X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 26

           บทที่ 1

ทางทิศใต้ของดินแดนเทพยุทธ์ เมืองอิ้งสุ่ย

เมืองอิ้งสุ่ยได้ชื่อมาจากการที่แม่น้ำอิ้งชวนไหลผ่านทั้งเมือง ทั้งในเมืองและนอกเมืองมีกิจการเดินเรือรุ่งเรือง

เมื่อมาถึงเมืองอิ้งสุ่ย สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือเรือหลายลำแล่นช้าๆ อยู่บนแม่น้ำอิ้งชวน

แม่น้ำอันกว้างใหญ่ไม่ได้มีการแบ่งช่องทางที่ชัดเจน ทว่าเรือที่สัญจรไปมากลับแยกออกเป็นซ้ายขวาสองด้าน ด้านหนึ่งมาอีกด้านหนึ่งไป

แม้ว่าบนแผ่นดินใหญ่จะเพิ่งจะเกิดเหตุโกลาหล แต่เนื่องจากเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้มีแม่น้ำเหิงเหอกั้นกลาง ยังไม่ทันได้รับผลกระทบ เหตุโกลาหลก็ถูกปราบปรามจนสงบลงแล้ว ด้วยเหตุนี้เมืองส่วนมากจึงยังคงรักษาบรรยากาศอันสงบและร่มเย็นแต่เดิมไว้ได้ประหนึ่งว่าเหตุโกลาหลไม่เคยเกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง

เหตุผลเดียวที่ทำให้คนรู้สึกว่าบนแผ่นดินใหญ่ไม่สงบอยู่บ้างก็คือ…ราคาสินค้า

ไม่ว่าของกิน ของใช้ ค่าเดินทาง หรือค่าที่พัก ล้วนแต่ถูกความต้องการของพื้นที่ทางเหนือของแม่น้ำเหิงเหอทำให้ราคาข้าวของทั้งหมดในเมืองต่างๆ ทางใต้สูงขึ้น

หลังโม่อีเหรินออกจากเมืองฝูเฉิงไปสมทบกับพวกพี่ชายที่เมืองผิงเจิ้นแล้ว เดิมทีไป่หลี่จิงหงต้องการจะพานางเที่ยวไปในที่ต่างๆ สักหน่อย หากแต่พี่ชายสกุลฉู่จะปล่อยให้น้องสาวของตนเองออกท่องแผ่นดินใหญ่กับบุรุษผู้หนึ่งตามลำพังได้อย่างไร

แม้ว่าดินแดนเทพยุทธ์จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างระหว่างบุรุษและสตรีนัก บุรุษและสตรีไปไหนมาไหนด้วยกันก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่พอเป็นโม่อีเหริน อย่างไรก็ไม่ได้

น้องสาวของพวกเขาไร้เดียงสาเกินไป จำต้องได้รับการปกป้อง

ส่วนไป่หลี่จิงหงผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษที่หมายปองในตัวน้องสาวของพวกเขา

แม้ว่าพวกเขาจะห้ามปรามความคิดจิตใจของน้องสาวไม่ได้ ทว่าก่อนที่สถานะของทั้งสองจะถูกกำหนดเป็นที่แน่นอน พวกเขาก็มิถือสาที่จะปกป้องน้องสาวมากขึ้นอีกนิด และทำความลำบากให้ไป่หลี่จิงหงมากขึ้นอีกหน่อย

หลังจากนั้นท่านตากับท่านตาเหยี่ยนก็ตามมาถึง

แม้แต่เฟิ่งเชียนลั่งหัวหน้าสมาคมพ่อค้าเฟิงหลินก็ยังมาร่วมด้วย

ด้วยเหตุนี้การท่องแผ่นดินใหญ่ครานี้จึงเปลี่ยนจากการเดินทางสองคนกลายเป็นหมู่คณะ อีกทั้งยังมีสัตว์วิเศษร่วมด้วยอีกห้าตัว

นี่ทำให้สีหน้าของไป่หลี่จิงหงที่เดิมทีก็เหมือนภูเขาน้ำแข็งมากอยู่แล้วกลายเป็นยิ่งเหมือนภูเขาน้ำแข็งมากขึ้นไปอีก ผู้อื่นยังไม่ทันมองเห็นเขาก็รู้สึกได้แล้วว่าตนเองถูกทำให้หนาวจนตัวแข็ง

หนึ่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิงน่าจะมีเพียงโม่อีเหรินแล้ว

หลังเดินทางพร้อมกับเที่ยวเล่นจากเมืองผิงเจิ้นลงใต้ได้ร่วมสามเดือน พวกเขาก็มาถึงเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของแคว้นมู่แห่งนี้…เมืองอิ้งสุ่ย

คนทั้งคณะยังไม่ทันได้เข้าประตูเมือง สายตาของโม่อีเหรินก็ถูกเรือหลายลำบนแม่น้ำล้อมเมืองดึงดูดเอาไว้

เมืองอิ้งสุ่ยเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนน้ำ! พอคิดถึงจุดนี้ได้ สายตาของนางก็สว่างวาบ

คนทั้งคณะเดินหน้าไปต่อ เพิ่งจะเข้าประตูเมืองมาก็มีคนก้าวมาคารวะเฟิ่งเชียนลั่งอย่างเคารพนบนอบ ก่อนจะยื่นศิลาบันทึกในมือมาให้

หลังเฟิ่งเชียนลั่งอ่านเนื้อหาในศิลาบันทึกจบ ก็มองโม่อีเหรินด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูจนใจและเสียดายอยู่เล็กน้อย

“เดิมทียังอยากจะท่องเที่ยวไปกับเจ้าอีกสักหลายแห่ง แต่บัดนี้เห็นทีคงไม่ได้แล้ว”

แม้น้ำเสียงของเฟิ่งเชียนลั่งจะสงบนิ่ง แต่แววตากลับมีโทสะแอบซ่อนอยู่

โม่ซั่งเฉินเห็นแล้วก็เหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉย

“ท่านจะไปแล้ว?” โม่อีเหรินหันหน้ากลับมากะพริบตาพลางเอ่ยถาม

ได้ยินว่าเฟิ่งเชียนลั่งอยู่ในรุ่นเดียวกับท่านตา เป็นคนที่อยู่ร่วมด้วยไม่ยาก ยิ่งนับตั้งแต่การหยั่งเชิงที่งานประมูลในตอนแรก จวบจนต่อมาหลังได้รู้ว่านางเป็นหลานสาวของท่านตา เขาก็ให้ความสนิทสนมเป็นห่วงเป็นใยต่อนางมาโดยตลอด และก็ดูคล้ายจะเอ็นดูนางเป็นพิเศษด้วย ด้วยเหตุนี้โม่อีเหรินจึงมีภาพจำต่อเขาไม่เลวเช่นกัน

ทุกคนเที่ยวเล่นกันมาตลอดทาง แม้จะมีเอะอะกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่กลับสนุกสนานเบิกบานใจยิ่ง บัดนี้จู่ๆ เขาก็จะจากไป โม่อีเหรินจึงอาลัยอยู่เล็กน้อย

“ใช่แล้ว” เฟิ่งเชียนลั่งถอนหายใจ “ข้าไปแล้ว อีเหรินน้อยจะคิดถึงข้าหรือไม่”

“อื้ม…เวลาว่างๆ ก็จะคิดถึงแน่นอน” นางตอบอย่างจริงจัง

เฟิ่งเชียนลั่งหลุดหัวเราะออกมา สีหน้าพึงพอใจยิ่ง

“อีเหรินน้อยช่างดีโดยแท้ ไม่เหมือนใครบางคนเลยแม้แต่น้อย” พูดจบเขาก็ส่งสายตาขุ่นเคืองไปยัง ‘ใครบางคน’

‘ใครบางคน’ จากบ้านจากเมืองมาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยคิดจะกลับไปเยี่ยมเยียนเองเลยสักครั้ง มิใช่สิ ไม่กลับไปก็ช่างเถอะ ทว่าแม้แต่ข่าวคราวก็ยังไม่ยอมส่งไปด้วย

ก้าวออกจากประตูบ้านปุ๊บก็ราวกับหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ไร้ซึ่งข่าวคราวโดยสิ้นเชิง ซ้ำยังต้องให้เขาเที่ยวตามหาคนไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ข่าวคราวสักเล็กน้อย ผลคือคนเขาไปอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวบนทะเล ไม่มีหนทางไปพบได้โดยสิ้นเชิง

พอคิดถึงตรงนี้ เฟิ่งเชียนลั่งก็แอบกัดฟันเงียบๆ

“พวกเราไปทางนั้นกันหน่อย ข้ามีเรื่อง…จะพูดกับท่าน”

น้ำเสียงนี้ช่างเปลี่ยนแปลงกะทันหันมากจริงๆ สองประโยคหน้าน้ำเสียงดุร้ายยิ่ง แต่ครั้นถึงประโยคสุดท้าย โม่ซั่งเฉินปรายตามองไป น้ำเสียงดุร้ายของเฟิ่งเชียนลั่งก็เปลี่ยนเป็นเกรงใจมีมารยาทขึ้นมาทันควัน

ข้า…ต้องอดทน

“อืม” คราวนี้โม่ซั่งเฉินถึงค่อยพยักหน้าและก้าวเท้าเดินไปอีกด้าน

ยามนี้เองฉู่เซวียนฉีก็รีบเดินเข้ามาใกล้โม่อีเหรินทันที เขามองเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของน้องสาวจึงเอ่ยถามว่า “อีเหริน อยากนั่งเรือหรือไม่”

“ได้หรือเจ้าคะ” โม่อีเหรินตาเป็นประกาย

“ได้แน่นอน” สีหน้าคาดหวังของน้องสาวทำให้ฉู่เซวียนฉียิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เมืองอิ้งสุ่ยเป็นเมืองที่สร้างติดน้ำ เมืองทั้งเมืองถูกแม่น้ำอิ้งชวนล้อมรอบ อีกทั้งอาคารบ้านเรือนครึ่งหนึ่งก็สร้างอยู่บนแม่น้ำ เมืองอื่นอาศัยการขี่ม้า นั่งเกี้ยว หรือโดยสารรถม้าไปยังสถานที่ที่ต้องการ แต่ที่เมืองอิ้งสุ่ยใช้การนั่งเรือเป็นหลัก”

ไม่กี่ปีก่อนเขาเคยมาเยือนหนหนึ่ง แม้จะพักอยู่เพียงไม่กี่วัน ทว่าเขาจดจำเมืองนี้ได้ดียิ่ง

ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์หาเมืองใดที่มีน้ำในเมืองมากไปกว่าเมืองอิ้งสุ่ยไม่ได้แล้วจริงๆ

“เช่นนั้นก็นั่งเรือกัน” โม่อีเหรินกล่าวทันที

“โฮ่ว” ‘จะกิน’

“อาวู้” ‘จะกิน’

“โฮก” ‘จะกิน’

“อู” ‘จะกิน’

เปลวอัคคี เขี้ยวเงิน เซิ่น เขียวครามที่อยู่ด้านข้างร้องตามในทันใด

‘ท่านแม่ จะกิน’ เสี่ยวทุนที่พันอยู่บนข้อมือโม่อีเหรินมาตลอดไม่อยากใช้เสียงร้องที่ไม่มีความสง่าเยี่ยงนั้น จึงสื่อสารกับโม่อีเหรินผ่านดวงจิต

สัตว์ไม่กี่ตัวนี้ชอบอาหารที่โม่อีเหรินทำมากอยู่แต่เดิม และตลอดทางมานี้นางก็หาของโอชะมาแบ่งให้พวกมันเป็นประจำ ดังนั้นพวกมันจึงล้วนถูกเลี้ยงเช่นนี้จนความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นแล้ว

ได้กิน ได้เล่น ชีวิต ‘สัตว์’ พวกนี้ช่างสมบูรณ์พูนสุขเสียนี่กระไร

แม้แต่เขียวครามก็ยังรู้สึกว่าแม้เฟิงเหยี่ยนเจ้านายของมันจะดีต่อมันมาก เห็นมันเป็นสหายตลอดมา ทว่าก็ยังเทียบไม่ได้กับโม่อีเหรินที่กินเป็นเล่นเป็นทั้งยังหลอมโอสถให้มันกินเป็นขนมได้

ดังนั้นสัตว์เทพสิงโตอย่างเขียวครามตัวนี้จึงคอยตามหลังโม่อีเหริน…ในระยะห่างสิบก้าว…มาตลอดทางอย่างไม่มีศักดิ์ศรียิ่ง ถ้าหากมิใช่ ‘พลังแช่แข็ง’ ของใครบางคนแก่กล้าเกินไป มันจะต้องขยับไปใกล้ขึ้นอีกสองสามก้าวอย่างแน่นอน

“อื้ม!” โม่อีเหรินออกแรงพยักหน้า “พี่เล็ก ท่านไปจองเรือ ข้ากับจิงหงจะไปซื้อของกิน อีกประเดี๋ยวพวกเราไปพบกันที่ท่าที่จะขึ้นเรือนะเจ้าคะ”

จะนั่งเรือชมทิวทัศน์ย่อมไม่อาจขาดของว่างไปได้ ต่อให้พวกมันไม่พูด โม่อีเหรินก็ไม่มีทางพลาดเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

เมืองที่มีน้ำมากถึงเพียงนี้น่าจะมีอาหารจากสัตว์และพืชน้ำเป็นจำนวนมาก ย่อมจะพลาดไม่ได้แน่นอน

ได้ยินคำของน้องสาว ฉู่เซวียนอั๋งก็เดินมาข้างกายนางอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนกล่าวกับนางอย่างอ่อนโยนยิ่ง

“พี่ใหญ่จะไปซื้อของกินเป็นเพื่อนเจ้า ไม่ต้องรบกวนคุณชายไป่หลี่”

“เอ่อ…” โม่อีเหรินเหลือบมองสีหน้าภูเขาน้ำแข็งที่ดูจะเย็นยิ่งกว่าเดิมของไป่หลี่จิงหง ก่อนจะมองพี่ชายทั้งสอง

นางไม่ได้คิดไปเองจริงๆ พวกพี่ชายกีดกันไป่หลี่จิงหงยิ่งนัก

แต่ก่อนหน้านี้ก็ล้วนดีๆ กันอยู่แท้ๆ ไฉนพอออกมาเที่ยวด้วยกันกลับมิตรภาพย่ำแย่ลงเสียได้

‘มิตรภาพ’ หากคำคำนี้ถูกพี่น้องสกุลฉู่ได้ยินเข้า คงมีแต่จะแอบพูดลับหลังน้องสาวว่า ‘ใครมีมิตรภาพกับไป่หลี่จิงหงกัน นั่นเป็นเรื่องคิดไปเอง! คิดไปเองทั้งนั้น!’

หากแต่เหตุใดต้อง ‘พูดลับหลัง’ ด้วยเล่า

นั่นก็เป็นเพราะถ้าแสดงความไม่พอใจหรือทะเลาะเบาะแว้งกันออกมาต่อหน้า น้องสาวจะลำบากใจ จะเสียใจอย่างไรเล่า!

ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ท่านตาก็ยังไม่ได้ชักสีหน้าใส่ไป่หลี่จิงหงอย่างโจ่งแจ้งเลย

นั่นก็เพราะไม่อยากให้โม่อีเหรินทุกข์ใจ

ทว่าท่านตาก็ไม่เสียแรงที่เป็นท่านตา กลั่นแกล้งซึ่งหน้าไม่ได้ แต่การถ่วงเวลาแต่งงานออกไปกลับกระทำได้อย่างมีเหตุผลเต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำท่านตายังยืนกรานอย่างมาก ต่อให้บิดาของไป่หลี่จิงหงมาเจรจาเองก็ไม่มีประโยชน์

ถึงแม้อยากจะประลองพลังยุทธ์ชิงตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน ท่านตาก็ไม่กลัวเช่นกัน

มิเช่นนั้นยามนี้น้องสาวของพวกเขาเกรงว่าคงได้กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว

ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีไหนเลยจะตัดใจได้

พวกเขาเพิ่งจะได้พบหน้าน้องสาวอีกครั้งได้ไม่นานเอง มิหนำซ้ำเนื่องจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้นติดต่อกันบนแผ่นดินใหญ่ก็ทำให้ได้อยู่ด้วยกันน้อยนัก พวกเขายังไม่ทันได้รักใคร่เอ็นดูน้องสาวสุดที่รักเพียงพอ จะปล่อยให้ถูก ‘ชายชั่ว’ หลอกเอาตัวไปเช่นนี้ได้อย่างไร

โชคดีที่มีท่านตาอยู่ด้วย

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องสกุลฉู่รู้สึกว่าการมีท่านตานั้นดีจริงๆ การมีท่านตาที่หัวแข็งนั้นดีโดยแท้ การมีท่านตาที่มีพลังแก่นแท้เลิศล้ำไม่เกรงกลัวผู้ใดนั้นดีอย่างแท้จริง

“พี่ใหญ่ เอาอย่างนี้แล้วกันเจ้าค่ะ ท่านไปทางหนึ่ง ข้าไปอีกทาง พวกเราซื้อของกินกลับมาโดยใช้เวลาให้สั้นที่สุด จากนั้นก็ไปขึ้นเรือด้วยกัน ส่วนท่านตาเหยี่ยนกับพวกสัตว์วิเศษก็ให้ไปรอที่ท่าเรือก่อนแล้วกัน”

“ก็ได้” ฉู่เซวียนอั๋งคิดแล้วก็ยอมพยักหน้า

“เช่นนั้นข้าไปทางนี้นะเจ้าคะ” โม่อีเหรินเลือกก่อน จากนั้นก็ออกเดินไปทางด้านขวามือ ทว่าก่อนไปก็ยังไม่ลืมจูงภูเขาน้ำแข็งที่ด้านข้างเดินไปด้วย

ฉู่เซวียนอั๋งเห็นแล้วก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ

น้องสาวเติบใหญ่แล้วก็รั้งไม่อยู่จริงๆ…ช่างน่าสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก

หากแต่ของกินที่น้องสาวต้องการยังคงต้องซื้อ ดังนั้นฉู่เซวียนอั๋งจึงออกเดินไปอีกด้านหนึ่งอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย และควักเงินออกมาซื้อของ

แค่คิดถึงว่าน้องสาวจะได้กินของอร่อย รอยยิ้มเบิกบานใจก็ปรากฏออกมา ความอึดอัดคับข้องใจเมื่อครู่นี้ฉู่เซวียนอั๋งพลันไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว

“อู” ‘อีเหรินดียิ่ง’

“วู้…” ‘ภูเขาน้ำแข็งก็พอใช้ได้ นับว่าพอจะคู่ควรกับอีเหริน’

“โฮก…” เซิ่นไม่พอใจ อยากจะตามไปกัดใครบางคนเสียเหลือเกิน

“…” เขียวครามมองตัวนี้ก่อนมองตัวนั้น ตัดสินใจว่าในเวลาเช่นนี้ตนเองยังคงเงียบไว้ ยืนอยู่กับเจ้านาย…ดูละครไปก็พอแล้ว

ขณะนี้เองโม่ซั่งเฉินก็กลับมาพอดี “มีอะไรกันหรือ”

“เอ่อ…ไม่มีอะไร” เฟิงเหยี่ยนกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เฟิ่งเชียนลั่งไปแล้ว?”

“อืม”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

คบหาเป็นสหายกันมาหลายปี เฟิงเหยี่ยนย่อมจะมองออกว่ายามนี้โม่ซั่งเฉินอารมณ์ไม่สู้ดี ทว่าก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไป

“แค่มีพวกคนแก่ไม่มีงานการทำจำนวนหนึ่งเล่นเล่ห์เพทุบาย ไม่จำเป็นต้องสนใจ” โม่ซั่งเฉินตอบเรียบๆ

ขณะเดียวกันพวกคนแก่ไม่มีงานการทำที่เล่นเล่ห์เพทุบายอยู่ในที่ห่างไกลเหล่านี้ก็พลันจามออกมาพร้อมกัน

“ไม่เป็นไรจริงๆ?”

“ไม่เป็นไร”

โม่ซั่งเฉินยืนยันถึงเพียงนี้ เฟิงเหยี่ยนคิดแล้วก็เห็นว่าน่าจะไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป เขายังไม่เคยเห็นว่ามีเรื่องใดที่อีกฝ่ายจัดการไม่ได้เลย

“จริงสิ สิ่งนี้ให้ท่านส่งกลับไปให้เซียวชินกับเฟิงเจ๋อ” โม่ซั่งเฉินพลันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้เฟิงเหยี่ยน

“คืออะไร” เฟิงเหยี่ยนรับมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ครั้นกางออกดู คางก็หวิดจะร่วงลงมาในทันใด “เฉิน เจ้านี่…”

“เห็นแก่หน้าท่าน ข้าลดไปสองส่วนแล้ว”

ลดไปสองส่วนแล้วก็ยังมากถึงเพียงนี้! หากพี่ใหญ่กับหัวหน้าเซียวได้เห็นเข้า ความรู้สึกคงจะไม่ต่างกับถูกเฉือนเนื้อสักเท่าไรแล้ว

“นี่…ลดลงอีกหน่อยไม่ได้หรือ” เฟิงเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างไม่คาดหวังมากนัก ประหนึ่งดิ้นรนก่อนตาย

“หากโม่อีเหรินไม่ลงมือช่วย พวกเขาจะต้านทานซือลิ่งเทียนกับกองทัพสัตว์วิเศษนั่นได้หรือ” โม่ซั่งเฉินย้อนถาม

กล้าให้หลานสาวของเขาลงมือช่วยเหลือ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมาแต่โดยดี

เรื่องของเหยี่ยน เนื่องจากมิตรภาพของพวกเขา เขาลงมือช่วยเหลือก็แล้วไปเถอะ ทว่าโม่อีเหรินไม่เคยติดค้างสมาคมและสำนักเหล่านั้นแม้เพียงน้อยนิด

อย่านึกว่าเขาไม่อยู่ก็จะไม่รู้เรื่องที่โม่อีเหรินเพิ่งไปถึงสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษก็ถูกกลั่นแกล้งต่อหน้าคนของสมาคมรวมถึงสำนักและตระกูลต่างๆ ต่อให้โม่อีเหรินไม่ได้เสียเปรียบ แต่บัญชีก็ยังต้องคิด!

ยิ่งกอปรกับการต่อสู้คราวนั้นทำให้หลานสาวของเขาเหน็ดเหนื่อยสูญเสียพลังจนสลบไสลไป เขาไม่ทวงของที่หลานสาวพึงได้รับมา จะมิใช่แสดงว่าเขาโม่ซั่งเฉินไม่มีฐานะในสังคมยิ่งหรือ

เพราะฉะนั้นสิ่งของที่ระบุในใบรายการจึงล้วนยอมตัดออกไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว เงินก็ยอมลดไม่ได้แม้แต่เหรียญเดียวเช่นกัน

“ก็ได้ ข้าจะส่งเจ้านี่กลับไป” ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เฟิงเหยี่ยนก็ได้แต่ทำตามแล้ว พร้อมกันนั้นในใจเขาก็นึกเห็นใจพี่ใหญ่และหัวหน้าสมาคมตลอดจนคนอื่นๆ อย่างเงียบๆ

จริงอยู่ว่าที่ตอนแรกเฟิงเหยี่ยนไปยังแดนถิ่นอำนวยพรเป็นเพราะที่นั่นต้องการคนเฝ้าพิทักษ์ หากแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ไปได้เช่นกัน ไม่มีใครสามารถบังคับเขาได้ ทว่าเพื่อความสงบมั่นคงของดินแดนเทพยุทธ์ เขายังคงไปเป็นตัวแทนของสมาคม

ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเป็นไปได้อย่างมากที่สุดว่าโม่ซั่งเฉินจะไปด้วยเช่นกัน

มีอัจฉริยบุคคลผู้เป็นเลิศทั้งด้านพลังยุทธ์ การหลอมโอสถ ตลอดจนค่ายกลบนดินแดนเทพยุทธ์อย่างโม่ซั่งเฉินอยู่ก็เท่ากับมีหลักประกันเพิ่มขึ้นมา

สาเหตุที่เฟิงเจ๋อและเซียวชินหวังให้เฟิงเหยี่ยนไปก็ด้วยเพราะหวังจะอาศัยความสัมพันธ์นี้ บางทีอาจจะสามารถรักษาแดนถิ่นอำนวยพรไว้ได้ก็เป็นได้

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเฉินไปเป็นเพื่อนเขาจริงๆ

แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้ดีเท่าที่คิดไว้ แต่ชีวิตของเขาเป็นเฉินช่วยเอาไว้ และการปรากฏตัวของโม่ซั่งเฉินก็ได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์หลังจากผนึกพังทลายลงเช่นกัน

อย่างน้อยดินแดนเทพยุทธ์ในยามนี้ก็ไม่มีคนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ในที่ลับ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่แนวทางอันถูกต้อง

ความคิดความอ่านเล็กๆ ในตอนแรกนี้ของหัวหน้าสมาคมและพี่ใหญ่ย่อมจะปิดบังเฉินไม่ได้ ดังนั้นยามนี้เฉินจึงคิดบัญชีในรวดเดียว

คิดจะหลอกเฉิน? นั่นเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

ปฏิทินเทพยุทธ์ เดือนสิบในปีนั้น แดนถิ่นอำนวยพรเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์วิเศษที่ร้างรามาหลายพันปีปะทุขึ้นอีกครั้งเนื่องจากการสลายไปของผนึก

ทว่าความจริงกลับมิใช่เพียงเท่านี้

ผิวเผินดูคล้ายว่าศึกใหญ่ระหว่างมนุษย์กับสัตว์วิเศษได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่อันที่จริงศึกใหญ่ครั้งนี้กลับเป็นผลมาจากการบงการของผู้มีแผนการร้าย

ต้นตอของศึกใหญ่มาจากซือลิ่งเทียนประมุขหอซือมิ่ง

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าซือลิ่งเทียนเริ่มวางแผนศึกใหญ่ครั้งนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ครั้นศึกใหญ่ปะทุขึ้น ซือลิ่งเทียนก็เป็นผู้นำ ใช้แรงผลักดันและความเร็วที่ไวจนราวกับฟ้าผ่านำตระกูลต่างๆ รวมถึงนักยุทธ์ และผู้วิเศษกว่าครึ่งทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ยึดครองทั้งตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่ในเวลาอันสั้น ก่อให้เกิดความโกลาหลและความตื่นตระหนกไปทุกหัวระแหง ชาวประชาล้มตายนับไม่ถ้วน

ในขณะที่อีกด้านก็มีเซียวชินหัวหน้าสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษและเฟิงเจ๋อหัวหน้าสมาคมหมอโอสถเป็นผู้นำ เนื่องจากรับมือไม่ทันในศึกช่วงแรก จึงทำได้เพียงนำสำนักและตระกูลที่เหลือรวมไปถึงราชวงศ์สองแคว้นถอยร่นลงมาถึงด้านใต้แม่น้ำเหิงเหอ ใช้เมืองฝูเฉิงเป็นที่พักชั่วคราว คุมเชิงกับฝ่ายเหนือโดยมีแม่น้ำเหิงเหอกั้นกลาง

ในเดือนเดียวกันซือลิ่งเทียนได้ให้สัตว์วิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นทัพหน้าตะลุยข้ามแม่น้ำบุกโจมตีเมืองฝูเฉิง แนวรบแผ่ไปถึงเมืองริมฝั่งแม่น้ำเหิงเหอตลอดทั้งสาย

เซียวชินและเฟิงเจ๋อนำเจ้าหน้าที่สมาคมและสมาชิกที่เหลือของตระกูลนักยุทธ์เซียว สำนักชิงหยวน สำนักคุนหยาง รวมถึงราชวงศ์สองแคว้นออกรับศึกอย่างเต็มกำลัง

ทว่าต้านทานคนไหว แต่กลับต้านทานกองทัพสัตว์วิเศษไม่ไหว การต่อสู้ดำเนินดุเดือดตลอดทั้งวันทั้งคืน ชั่วขณะคับขันที่พวกเซียวชินและเฟิงเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใกล้จะพ่ายแพ้นี้เอง เนื่องจากการมาถึงของโม่อีเหริน การเข้าร่วมของกำลังพลเกาะหุน และการปรากฏตัวอันเหนือความคาดหมายของคนตระกูลเฟิ่ง เมืองฝูเฉิงถึงสามารถพลิกร้ายกลายเป็นดี กอบกู้สถานการณ์ย่ำแย่ของฝั่งใต้ได้

พร้อมกันกับที่ทำให้ซือลิ่งเทียนแพ้พ่าย ก็ได้ชำระหนี้แค้นยาวนานหลายพันปีของตระกูลเฟิ่งไปด้วย

โม่อีเหรินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ท่ามกลางศึกครานี้

คู่หูสัตว์วิเศษระดับสูงและแม้แต่ราชาสัตว์เทพอย่างพยัคฆ์ขาวก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของนาง ซ้ำยังมีสัตว์เทพ…ที่ทุกคนแทบจะไม่รู้จักอยู่อีกตัวด้วย

นั่นเป็นสัตว์อะไรกันแน่ ไม่มีผู้ใดมองออก มองเห็นเพียงมันเป็นงูเขียวตัวหนึ่ง เอาแต่ร้องเรียกโม่อีเหรินว่า ‘ท่านแม่’ จากนั้นพอตวัดหางเบาๆ ก็ฟาดงูดำมังกร สัตว์เทพคู่กายของซือลิ่งเทียนให้หมอบกับพื้นได้

ส่วนโม่อีเหรินที่ดูน่ารักปวกเปียกก็กลับมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งทะลุพิกัด ถึงกับสามารถต่อกรกับปีศาจเฒ่าที่ฝึกบำเพ็ญมาเป็นร้อยๆ ปีอย่างซือลิ่งเทียนได้เพียงลำพัง!

ถึงจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เค่อก็ยังแข็งแกร่งยิ่ง

ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงมองโม่อีเหรินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

โม่อีเหริน…สมแล้วที่เป็นหลานสาวที่ปีศาจโม่ซั่งเฉิน นักยุทธ์ในตำนานของแผ่นดินใหญ่สั่งสอนออกมา

มีเพียงคำเดียวที่บรรยายได้คือ ‘แกร่ง’

สองคำคือ ‘แกร่งมาก’

หลังราตรีนี้ผ่านพ้นไป ไม่มีใครสงสัยในพลังแก่นแท้ของโม่อีเหรินอีกต่อไป

เริ่มจากเอาชนะมู่หลินหัวหน้าสมาคมช่างหลอม แล้วก็มาเอาชนะซือลิ่งเทียนประมุขหอซือมิ่ง ทำให้ดินแดนเทพยุทธ์รอดพ้นเภทภัย ไม่ถึงกับกลายเป็นของส่วนตัวของซือลิ่งเทียนไป

ความสำเร็จเยี่ยมยอดเช่นนี้ ไม่กล่าวถึงว่าจะมีชนรุ่นหลังทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน

ขณะที่คนทั้งหลายบนแผ่นดินใหญ่กำลังทึ่งและเลื่อมใสในตัวโม่อีเหริน เกียรติประวัติตั้งแต่เล็กจนโตของโม่อีเหรินก็ถูกลือออกมาด้วยเช่นกัน

เกิดมาร่างกายอ่อนแอ อายุสามขวบแล้วยังไม่อาจเดินดีๆ ได้ ต่อจากนั้นก็ถูกโม่ซั่งเฉินพาตัวไปจากสกุลฉู่

สิบสองปีให้หลังถึงกลับมายังแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง

แรกมาถึงเมืองชิ่งเฉิงก็เกือบจะพังสมาคมหมอโอสถแล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องกับสมาคมช่างหลอมอีกด้วย

นางมีวิชาหลอมโอสถเป็นเลิศ แม้แต่เฟิงเจ๋อหัวหน้าสมาคมหมอโอสถก็ยังชมไม่ขาดปาก

ในงานประลองผู้ครองสัตว์วิเศษและนักยุทธ์ได้เอาชนะหัวหน้าสมาคมช่างหลอมต่อหน้าธารกำนัล พลังแก่นแท้เป็นที่น่าตกใจ

นี่เหมือนกับพวกอ่อนแอใช้การไม่ได้เสียที่ใด เป็นอัจฉริยะผู้ร้ายกาจเสียมากกว่า

มิหนำซ้ำข้างกายนางยังมีสัตว์วิเศษน่ากลัวอยู่ด้วย มันอ้าปากพูดได้ นั่นมิใช่สัตว์วิเศษธรรมดาโดยสิ้นเชิง แต่เป็นระดับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว

โดยเฉพาะงูเขียวยักษ์ที่ปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดกะทันหันในคืนนั้น ถึงทุกคนจะไม่รู้แน่ชัดว่านั่นเป็นงูอะไร แต่ก็ตัวหนาตัวใหญ่ถึงเพียงนั้น แม้แต่งูดำมังกรของซือลิ่งเทียนมองเห็นมันแล้วยังตัวสั่นงันงก เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ถูกซัดหมอบ

จากเรื่องนี้จึงรู้ได้ว่าถึงงูเขียวยักษ์ตัวนั้นจะดูน่ารักยิ่ง แต่ก็ไม่อาจไปแหย่มันเล่นได้โดยเด็ดขาด

เรื่องเกี่ยวกับโม่อีเหรินที่ชวนให้คนชื่นชมอีกทั้งเลื่อมใสดังเช่นเรื่องเหล่านี้เล่าอย่างไรก็เล่าไม่จบจริงๆ ทว่าแล้วบิดามารดาของโม่อีเหรินเล่า

ในศึกบนแผ่นดินใหญ่ครานี้สกุลฉู่เชื่อฟังทำตามคำสั่งของซือลิ่งเทียน เป็นหนึ่งในผู้ร้ายหลักที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินใหญ่

ผู้ที่ข้องเกี่ยวกับซือลิ่งเทียนและก่อให้เกิดสงครามบนแผ่นดินใหญ่คราวนี้ก็ล้วนจำต้องได้รับโทษทัณฑ์

หากแต่โม่อีเหรินกลับได้ช่วยทุกคนเอาไว้ เช่นนั้นการจัดการกับคนสกุลฉู่…

เมืองฝูเฉิง สมาคมหมอโอสถ

หลังจากศึกใหญ่ยุติลง หัวหน้าสำนักคุนหยาง ประมุขตระกูลเซียว และตัวแทนจากราชวงศ์สองแคว้นต่างชุมนุมกันอยู่ที่นี่มาตลอดโดยมีเซียวชินและเฟิงเจ๋อเป็นผู้นำ

ปัญหาหลายหลากส่งมาจากที่ต่างๆ พวกเขาก็ส่งคำสั่งต่างๆ ออกไปให้รับกับสถานการณ์

แม้แผ่นดินใหญ่ตอนเหนือของแม่น้ำเหิงเหอจะถูกซือลิ่งเทียนยึดครองไว้เพียงครึ่งเดือน ทว่าชีวิตผู้คนที่สูญสิ้นไป ทรัพย์สินที่ถูกแย่งชิงไป และผืนดินบ้านเรือนที่ถูกทำลายในสิบกว่าวันมานี้กลับมีจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้ซือลิ่งเทียนจะตายแล้ว บุคคลมีชื่อจากตระกูลและสำนักที่ติดตามเขาก็ถูกคุมขังแล้ว แต่ผู้ที่สวามิภักดิ์ต่ออำนาจเหล่านี้กลับยังคงหนีกระจัดกระจายอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำเหิงเหอ

หากต้องการจะจับคนเหล่านี้กลับมา ส่งคนไปยึดเมืองและอาณาเขตบนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือคืนมา คำนวณความเสียหาย สร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่…และอื่นๆ นั่นก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาไม่กี่วันอย่างแน่นอน

ยิ่งรวมกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งการจัดสรรกำลังคนของพวกเขา ก็ล้วนแต่ทำให้พวกเซียวชินปวดเศียรเวียนเกล้าและยุ่งจนหัวหมุนแล้ว

“…เรื่องการจัดการกับคนที่ก่อความวุ่นวายก็ให้ยึดตามมติแต่เดิมของพวกเรา เพิกถอนชื่อชั้น ทำลายพลังวัตร ริบสิ่งของมีค่าเป็นต้นว่าทรัพย์สมบัติและที่ดินทั้งหมด ลดฐานะเป็นทาส ในสามชั่วโคตรให้จัดการจำกัดพลังยุทธ์ไม่ให้เกินขั้นดินระดับหก ยังผลต่อเนื่องไปสิบชั่วโคตร” เฟิงเจ๋อประกาศ

มตินี้อาจจะโหดร้ายไปบ้างในดินแดนเทพยุทธ์ที่นับถือผู้แข็งแกร่ง ให้ความสำคัญกับการฝึกบำเพ็ญเป็นอันดับหนึ่ง หากแต่ความผิดที่พวกเขาได้ก่อขึ้น โทษทัณฑ์เพียงเท่านี้มีหรือจะชดเชยได้

คนตั้งเท่าไรที่ตายไปโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คนตั้งเท่าไรที่ถูกฆ่าตายอย่างทรมาน คนตั้งเท่าไรที่ต่อสู้จนตัวตายเพราะความทะเยอทะยานของพวกเขา คนตั้งเท่าไรที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีบ้านให้กลับเพราะศึกครานี้

เหล่านี้ล้วนเป็นโทษทัณฑ์ที่พวกเขาสมควรแบกรับ!

ไม่ตัดสินประหารชีวิต เพียงให้พวกเขาเป็นทาส ใช้แรงงานทดแทนการมีชีวิตรอดและก่อสร้างบ้านเรือนบนแผ่นดินใหญ่ขึ้นใหม่ นี่ก็คือโอกาสให้พวกเขาชดใช้ความผิดแล้ว

“ตกลงตามนี้ จงประกาศออกไปให้รู้ทั่วกัน”

คนทั้งหมดต่างเห็นด้วย จากนั้นทุกคนก็ถกเรื่องถัดไปกันต่อ

เฟิงเจ๋อกลับยิ่งคับแค้นใจขึ้นทุกที “ข้าเป็นหัวหน้าสมาคมหมอโอสถ หาใช่คนบริหารบ้านเมืองไม่ เหตุใดต้องมานั่งคิดเรื่องเหล่านี้ด้วย”

เรื่องยึดเมืองคืน สร้างเมืองใหม่ ลงโทษผู้กระทำผิด เรื่องเหล่านี้เวียนมาให้เขาคิดหาทางได้อย่างไร

เขาเป็นหมอโอสถ มิใช่ฮ่องเต้เสียหน่อย

คำบ่นของเฟิงเจ๋อทำให้คนอื่นๆ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถกเถียงกันต่อ แสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่ได้ยิน

ถูกทำเหมือนเป็นฉากหลังเช่นนี้ เฟิงเจ๋อก็ไม่พอใจแล้ว จึงตะโกนขึ้นทันทีว่า “ตาแก่เซียว ท่านได้ยินหรือไม่!”

“ได้ยินแล้ว” เซียวชินตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง จากนั้นก็พูดต่อ “เช่นนั้นเรื่องนี้พวกเราก็ยึดตามที่ถกกันเมื่อครู่…”

“เซียวชิน ชิน ชิน ชิน ชิน…” เฟิงเจ๋อทำเสียงสะท้อนให้ตนเอง

เซียวชินจนใจ ทุกคนได้แต่หยุดพูดแล้วมองเขา

เฟิงเจ๋อไม่ได้มีสำนึกที่ตนเองขัดขวางการถกเถียงของทุกคนโดยสิ้นเชิง เขาโยนแผนที่ในมือทิ้งเสร็จก็พูดด้วยท่าทางสง่างามเป็นธรรมชาติยิ่ง “เซียวชิน ข้าตัดสินใจแล้ว เรื่องเหล่านี้ข้าจะไม่สนใจอีก”

“ท่านไม่สนใจมานานมากแล้วต่างหาก”

พวกเขางานยุ่งมากมาตลอด แต่เฟิงเจ๋อกลับรับหน้าที่คับแค้นใจและสร้างความวุ่นวายอยู่ข้างๆ เรื่องนี้ทำให้คนทั้งหลายที่เดิมทีเคารพเขาอย่างมากได้กระจ่างแจ้งในนิสัยเดิมของเฟิงเจ๋อแล้ว

ลองคิดดูว่าหัวหน้าสมาคมหมอโอสถนั้นมีชื่อชั้นและฐานะที่องอาจเลิศล้ำชวนให้คนเคารพเทิดทูนมากเพียงไร เมื่อเอ่ยถึงเฟิงเจ๋อ มีใครที่ไม่มีท่าทีเคารพนบนอบอีกทั้งประจบประแจงบ้าง

ทว่าในความเป็นจริง ตัวของเฟิงเจ๋อกับคำบรรยายประเภท ‘เลิศล้ำ องอาจ น่าเคารพ มีเกียรติ’ นั้น ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กันโดยสิ้นเชิง

เฟิงเจ๋อเป็นเฒ่าทารกอย่างเต็มตัว

นอกจากเวลาคับขันและนอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาลูกกลอน เวลาส่วนใหญ่หากหวังให้เฟิงเจ๋อทำตัวเอาการเอางาน นั่นก็เหมือนกับหวังให้อากาศอบอุ่นในยามหิมะตกหนัก…เป็นไปไม่ได้เลย

หมอโอสถอันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับทั่วแผ่นดินใหญ่ถึงกับมีนิสัยเยี่ยงนี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องทำให้คนจำนวนมากเกิดความคิดสับสนในทันทีอย่างแน่นอน

“ทว่าก่อนหน้านี้ข้างานยุ่งมาตลอด” เฟิงเจ๋อกล่าวเต็มปากเต็มคำ

“พวกข้าก็งานยุ่งเช่นกัน”

ความหมายโดยนัยคือ…ทุกคนงานยุ่งเหมือนกันหมด หากแต่บัดนี้งานยังจัดการไม่เสร็จ พวกเขากำลังงานยุ่งไม่ต่างกัน แต่หัวหน้าเฟิงกลับทำตัววุ่นวายอยู่ข้างๆ ถ้าหัวหน้าเฟิงมีสำนึกสักนิดก็เลิกบ่นแล้วรีบมาถกปัญหาด้วยกันได้แล้ว

ทว่าเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเฟิงไม่มีสำนึกทำนองนี้

“เมืองที่ยึดกลับมา ชาวบ้านที่อพยพลงใต้ย้ายกลับไป การสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่…เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นงานของราชสำนัก” เฟิงเจ๋อเริ่มโยนงาน

มู่หรงฉางเฟิงและฉินจ้งเยี่ยที่เป็นตัวแทนราชวงศ์ได้ยินแล้วมีหรือจะยังไม่รู้ความหมายของหัวหน้าเฟิงผู้นี้

“พวกข้าสามารถจัดการเรื่องของชาวบ้านราษฎรได้ หากแต่สมาคมและตระกูลต่างๆ…” มิใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถจัดการได้จริงๆ

กล่าวถึงอายุ กล่าวถึงความอาวุโส พวกเขาสองคนล้วนอ่อนที่สุดในบรรดาคนในที่นี้

ต่อให้มีพลังแก่นแท้ไม่เลว แต่นั่นก็เพียงเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน

อีกทั้งเมื่อได้ประจักษ์พลังแก่นแท้ที่โม่อีเหรินและไป่หลี่จิงหงแสดงออกมาแล้ว บัดนี้พวกเขาสองคนก็หาได้ทะนงตนเกินไปนัก มีแต่ความรู้สึกเร่งร้อนที่ยิ่งอยากจะยกระดับพลังแก่นแท้ให้สูงขึ้น

มิใช่เพราะเห็นไป่หลี่จิงหงเป็นคู่แข่ง แต่เป็นเพราะมีฐานะเป็นนักยุทธ์ จึงมีศักดิ์ศรีและอยากท้าทายตนเองอย่างไม่ยอมแพ้

ทว่าพวกเขาสองคนก็มีฐานะเป็นองค์ชาย ในเวลาที่ราชวงศ์ประสบความลำบากอย่างหนักเช่นนี้จึงไม่อาจละทิ้งแว่นแคว้นได้เช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นเรื่องของทั้งดินแดนเทพยุทธ์ มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาไม่สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้

ที่สำคัญที่สุดคือเสด็จพ่อของพวกเขาต่างบอกกับพวกเขาเหมือนกันโดยมิได้นัดหมายว่า

‘ฝึกฝนให้มากก็เป็นเรื่องดี และนี่ก็เป็นโอกาสอันหาได้ยาก เชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้ดี มอบหมายงานให้เจ้า ข้าวางใจยิ่ง’

จากนั้นพวกเขาสองคนก็มาอยู่ที่นี่ได้สามเดือน วันๆ ง่วนกับการอ่านข่าวที่ส่งมาจากที่ต่างๆ เปิดประชุม ถกปัญหา และออกคำสั่ง แล้วก็อ่านข่าว เปิดประชุม ถกปัญหา และออกคำสั่ง…

ทำเรื่องเช่นนี้ติดต่อกันทุกวัน ตอนเริ่มแรกถึงขนาดยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนด้วยซ้ำ สภาพเช่นนั้นแค่คำว่า ‘ซูบซีด’ จะไปพอบรรยายได้อย่างไร

ครั้นผ่านพ้นเดือนแรกมาได้ก็นับว่าสามารถเจียดเวลาท่ามกลางความยุ่งง่วนมางีบหลับได้แล้ว

พอมาถึงหนึ่งเดือนหลังนี้ถึงค่อยกลับมาเกือบเป็นปกติในที่สุด แม้กลางวันจะงานยุ่ง กลางคืนก็ยังสามารถนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญในห้องได้เล็กน้อย นับว่าดีกว่าไม่ได้ทำเลย

ทว่ายามนี้เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าสมาคมเฟิงเจ๋อมีความคิดจะโยนงานที่เหลือมาให้พวกเขาสองคนทั้งหมด มู่หรงฉางเฟิงกับฉินจ้งเยี่ยสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาพร้อมกัน

“แม้ข้ากับจ้งเยี่ยยินดีอย่างมากที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อดินแดนเทพยุทธ์ แต่พวกข้าจะอย่างไรก็ยังเยาว์วัย พลังแก่นแท้ก็มีไม่เพียงพอ ไม่มีการนำของหัวหน้าเฟิง หัวหน้าเซียว ตลอดจนผู้อาวุโสทุกท่าน พวกข้าสองคนก็ไม่มีความมั่นใจจริงๆ” มู่หรงฉางเฟิงกล่าว ขณะเดียวกับที่ประเมินตนเองต่ำก็ไม่ลืมที่จะยกยอผู้อาวุโสแต่ละท่านเล็กน้อยด้วย

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้ามีความคิดเหมือนกับฉางเฟิง ยังคงต้องขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านช่วยชี้แนะให้มาก” ฉินจ้งเยี่ยเองก็กล่าวขึ้นอย่างเคารพนบนอบยิ่ง

“ความสามารถของพวกท่านสองคนมีเพียงพอแน่นอน เรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องยากสำหรับพวกท่านเลย ข้าเชื่อใจพวกท่าน หวังในตัวพวกท่าน!” เฟิงเจ๋อกล่าวด้วยเสียงดังกังวานมีพลัง ขาดแค่มิได้ตบอกรับรองเท่านั้น

นี่คือกำลังหลอกให้หลงตามลมปากชัดๆ

ในห้วงสมองของมู่หรงฉางเฟิงและฉินจ้งเยี่ยมีข้อความนี้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หลังจากอยู่ด้วยกันในช่วงที่ผ่านมา พวกเขาเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้วว่าหัวหน้าเฟิงนั้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ บางครั้งหลักการที่ยึดถือปฏิบัติอย่างเข้มงวดก็สามารถ ‘ยืดหยุ่นได้อย่างมาก’

นับประสาอะไรกับแค่คำชมเชยไม่เจ็บไม่คันไม่กี่คำในยามนี้ พวกเขายิ่งเชื่อว่าหัวหน้าเฟิงพูดออกมาได้อย่างไร้ซึ่งความกดดันหรือความตะขิดตะขวงใจโดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงยืนขึ้นกล่าวอย่างเคารพนบนอบพร้อมกัน…

“หัวหน้าเฟิงชมเกินไปแล้ว พวกเรารับมิไหว”

“ไม่ต้องถ่อมตัวไป พวกท่านทำได้” เฟิงเจ๋อเดินมาตบบ่าพวกเขาอย่างองอาจ “พวกท่านวางใจได้ เรื่องยาลูกกลอนสำหรับรักษาผู้บาดเจ็บหลังจากนี้ สมาคมหมอโอสถจะอำนวยให้ต่อไป เชื่อว่ามีพวกท่านอยู่ บาดเจ็บสาหัสเพียงไรก็สามารถหายดีได้ในเวลาอันสั้น”

วาจานี้แฝงความหมายลึกซึ้งยิ่งว่า ‘พวกท่านสองคนไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ข้าอำนวยยาลูกกลอนให้ พวกท่านก็จัดการให้ดี ให้ตาแก่อย่างข้าจากไป…เที่ยวเล่นได้อย่างไม่มีห่วง’

มู่หรงฉางเฟิงกับฉินจ้งเยี่ยอับจนคำพูดไปทันใด “…”

นี่คือการกดขี่ข่มเหงกระมัง คือการกดขี่ข่มเหงใช่หรือไม่

ถ้าพวกเขากล้าคัดค้าน หัวหน้าเฟิง…จะต้องทำเรื่องอย่างหักจำนวนยาลูกกลอนออกมาเป็นแน่

ปะทะกับผู้อาวุโสที่หัวรั้นหนักถึงเพียงนี้ ซ้ำยังเป็นหมอโอสถคนสำคัญ ช่างเหลือจะรับจริงๆ

สุดท้ายก็เป็นเซียวชินที่ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “อย่าทำให้เด็กอย่างพวกเขาลำบากใจเลย”

“ข้าทำหรือ” เฟิงเจ๋อท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิดยิ่ง

“หากท่านอยากพักอยากไป…หาน้องชายของท่านจริงๆ ก็รีบช่วยจัดการงานให้เรียบร้อย ท่านก็จะได้ไปเร็วขึ้นแล้ว”

คำว่า ‘เที่ยวเล่น’ เซียวชินพูดออกมาไม่ได้จริงๆ

งานทางเหนือยังจัดการไม่เรียบร้อยก็อยากจะไปเที่ยวเล่น นี่ช่างไร้ความรับผิดชอบและไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย

เพื่อหน้าตาของเฟิงเจ๋อ บวกกับมิตรภาพนับสิบๆ ปีของคนทั้งสอง เซียวชินจึงยังคงกลืนสองคำนั้นกลับลงไป เปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทน

“กว่าจะจัดการงานเสร็จ อาเหยี่ยนก็คงกลับมาแล้ว” เฟิงเจ๋อพูดอย่างไม่พอใจ เช่นนั้นเขาจะยังไปร่วมวงหาความสนุกที่ใดได้อีก

“เพราะฉะนั้นท่านยิ่งควรช่วยงานให้เต็มที่ หยุดบ่นได้แล้ว” เซียวชินแนะนำอย่างมีจิตสำนึก

แม้การพร่ำบ่นพรรค์นี้จะไม่มีอะไร แต่ได้ยินนานเข้าก็ชวนให้คนประสาทได้

อีกทั้งมิใช่มีเพียงเฟิงเจ๋อคนเดียวที่อยากออกไปเที่ยวเล่น พวกเขาก็อยากหลุดพ้นโดยเร็วเช่นกัน!

“มีพวกท่านอยู่ก็พอแล้ว ข้าจะสั่งให้หมอโอสถทั้งหมดสนองความต้องการของพวกท่านอย่างเต็มกำลัง” เฟิงเจ๋อกล่าวอย่าง ‘ใจกว้าง’

เขาเป็นหมอโอสถ แน่นอนว่าต้องทำงานตามอาชีพ ก็คือหลอมโอสถให้ทุกคน ถ้าเช่นนี้เขาก็ทำหน้าที่ของตนเต็มที่แล้ว เรื่องอื่นๆ มิใช่งานของเขา! เฟิงเจ๋ออยากจะกล่าวยืนกรานยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองทำดีมากแล้ว

“…” เซียวชินหมดคำจะกล่าว

เป็นไปตามคาด มิใช่เวลาที่เกิดเรื่องใหญ่หน้าสิ่วหน้าขวานอะไร เฟิงเจ๋อก็จะมีท่าทางเยี่ยงนี้ นอกจากคิดเรื่องเที่ยวเล่นหาความสำราญ ก็ยังคงคิดเรื่องเที่ยวเล่นหาความสำราญ คราวนี้รั้งอยู่ที่เมืองฝูเฉิงได้สามเดือน เขาก็รู้สึกว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าไปก่อนล่ะ”

พอเห็นพวกเขาต่างไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เฟิงเจ๋อก็โบกมือลาคนอย่างมีความสุข มิหนำซ้ำยังรวดเร็วยิ่ง เพื่อทำให้พวกเขาไม่ทันห้ามปราม

ทว่าในยามนี้เองบานประตูก็ถูกผลักเปิดเฉียดกระแทกหน้าผากเฟิงเจ๋อไปเพียงนิดเดียว

“ใคร! คิดจะสังหารข้าหรือ” เคราะห์ดีที่เขาหลบได้ไว มิเช่นนั้นหน้าผากคงได้ปูดบวม จะไปเจอหน้าผู้อื่นได้หรือ

“มีประตูบังอยู่ ข้าไม่ทันเห็นและไม่ทราบเช่นกันว่าท่านกำลังจะออกมาขอรับ” เซียวเถิงอวิ๋นกล่าวอย่างบริสุทธิ์ไร้ความผิดยิ่ง

“ช่างเถอะๆ เจ้าเข้าไปเถอะ” เฟิงเจ๋อคิดแต่เพียงเรื่องว่าจะไล่ตามไปร่วมวงกับเฟิงเหยี่ยน

โชคดีที่เฟิงเหยี่ยนมีการติดต่อกับเขาตามกำหนดเวลา เขาจึงรู้ว่ายามนี้พวกเฟิงเหยี่ยนน่าจะไปถึงเมืองอิ้งสุ่ยแล้ว เขานั่งสัตว์พาหนะบินไปน่าจะเร็วยิ่ง…

“ประเดี๋ยวก่อนขอรับ ผู้อาวุโสเหยี่ยนมีจดหมายมาให้ท่าน” พอมองเห็นแผ่นหลังรีบร้อนของเฟิงเจ๋อ เซียวเถิงอวิ๋นก็รีบร้องเรียก

“อาเหยี่ยนส่งมาให้ข้าหรือ” อย่างอื่นไม่ต้องสนใจได้ แต่จดหมายจากเฟิงเหยี่ยนนั้นต้องอ่าน

เฟิงเจ๋อได้แต่วกกลับมาหยิบจดหมายไปเปิดออกอ่าน…

“อาจารย์ นี่คือสารล่าสุดขอรับ” เซียวเถิงอวิ๋นมอบศิลาบันทึกในมือให้เซียวชิน เขามาที่นี่ก็เพราะได้รับสารนี้

ในศิลาบันทึกก้อนนี้บันทึกรายการของล้ำค่าและทรัพย์สินที่ค้นออกมาจากหอซือมิ่ง สมาคมช่างหลอม ตระกูลนักยุทธ์ต้วน ตระกูลนักยุทธ์ฉู่ สมาคมนักล่า รวมถึงในสำนักเถาฮวากู่ได้เอาไว้

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดในนี้ก็คือสิ่งที่ค้นออกมาได้จากหอซือมิ่ง

สั่งสมรากฐานมานานหลายพันปี สมุนไพรเลอค่า อาวุธวิเศษอาวุธล้ำค่า เงินทองของมีค่าจำนวนมหาศาลขนาดที่ใช้ถมสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษจนเต็มแล้วก็ยังเหลือ

“ดีเหลือเกิน” เซียวชินเพียงดูไปส่วนเดียว ในใจก็ให้โล่งอย่างมาก

การสร้างบ้านเมืองใหม่ต้องใช้เงิน การหลอมโอสถมารักษาอาการป่วยอาการบาดเจ็บต้องใช้สมุนไพร การตามจับผู้ทรยศแผ่นดินใหญ่ก็ต้องใช้อาวุธชั้นดี ของเหล่านั้นบัดนี้มีครบหมดแล้ว

เซียวชินดูเสร็จก็ให้ประมุขตระกูลเซียว หัวหน้าสำนักคุนหยาง หัวหน้าสำนักชิงหยวน รวมถึงมู่หรงฉางเฟิงและฉินจ้งเยี่ยดูด้วย

สิ่งของเหล่านี้เพียงพอจะสร้างบ้านเมืองทางตอนเหนือขึ้นใหม่ได้แล้ว

“นั่น…คืออะไร” เฟิงเจ๋ออ่านจดหมายของน้องชายจบก็มีสีหน้าพิกล ก่อนจะเดินกลับมาอย่างเชื่องช้า

“หาสมบัติได้จำนวนหนึ่ง นี่เป็นศิลาบันทึกที่ส่งกลับมาจากที่ต่างๆ” เซียวชินตอบ ทางหนึ่งก็มองเขาแปลกๆ

เฟิงเจ๋ออยากหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ไม่ใช่หรือไร ตนอุตส่าห์ยอมรับชะตากรรมตัดสินใจปล่อยให้เขาทำตามใจชอบแล้ว ไฉนโอกาสดีเพียงนี้ เฟิงเจ๋อกลับเป็นฝ่ายกลับมาเอง

“เป็นของที่ค้นได้จากหอซือมิ่ง สมาคมนักล่า สมาคมช่างหลอม ตระกูลนักยุทธ์ต้วนและฉู่ รวมถึงสำนักเถาฮวากู่?” สีหน้าของเฟิงเจ๋อยิ่งดูพิกล

“ใช่” เซียวชินไม่เข้าใจสีหน้าของเขา แต่ยังคงพยักหน้าพร้อมทั้งกล่าวต่อ “มีของเหล่านี้ พวกเราก็ทุ่นแรงและความยุ่งยากใจไปได้มาก”

เฟิงเจ๋อมองศิลาบันทึกที่หยิบมาจากมือฉินจ้งเยี่ยอย่างเงียบๆ สีหน้าพลันใกล้เคียงกับยามท้องผูก มิหนำซ้ำยังดูเหมือนเจ็บหน้าแข้งอีกด้วย

“เป็นอะไรไป” คนทั้งหมดรู้สึกประหลาดใจยิ่ง สีหน้านี้ของหัวหน้าเฟิง…แปลกยิ่งนัก

เฟิงเจ๋อยื่นศิลาบันทึกให้เซียวชิน ก่อนจะยื่นศิลาบันทึกที่เฟิงเหยี่ยนส่งมาพร้อมจดหมายให้เขาตาม จากนั้นก็โบกมือ “ท่านดูเองแล้วกัน!”

เซียวชินรับศิลาบันทึกสองก้อนมาดูอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

ครั้นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเปล่งปลั่งกระปรี้กระเปร่าในทันที แต่สุดท้ายก็มีสีหน้า ‘เหมือนท้องผูกและเจ็บหน้าแข้ง’ ดุจเดียวกัน

จากนั้นเขาก็ส่งให้ประมุขตระกูลเซียว ส่งเวียนกันดูทีละคน สุดท้ายก็เวียนกลับไปที่เซียวเถิงอวิ๋น

ทั้งห้องเงียบสงบไร้เสียงใด

ความหมายของโม่ซั่งเฉินชัดแจ้งไม่ซับซ้อน หลานสาวของเขาขจัดภัยจากสัตว์วิเศษและกำจัดซือลิ่งเทียน ต้องวิ่งวุ่นตรากตรำ สร้างความชอบไว้ใหญ่หลวง เชื่อว่าทุกท่านคงไม่ถือสาที่จะมอบสมุนไพรชดเชย มอบวัตถุดิบหลอมประดิษฐ์ ตลอดจนมอบของล้ำค่าที่แปลกและหายากชนิดต่างๆ ให้หลานสาวตัวจ้อยผู้อ่อนแอของเขาได้เล่นยามเบื่อ สุดท้ายก็ยังไม่ลืมระบุเรียกจำนวนเงิน ‘ก้อนเล็กๆ’ ที่จะให้เป็นเงินเก็บส่วนตัวของหลานสาวเขามาด้วย

และ ‘เงินก้อนเล็กๆ’ นี้ก็เป็นจำนวนเท่ากับทรัพย์สินเงินทองที่พวกเขาได้มาพอดี

นอกจากนี้ยังเน้นอีกว่าไม่ต้องให้อาวุธล้ำค่าและอาวุธวิเศษอะไรมา หลานสาวของเขามีเพียงคนเดียว มีมากมายก็ใช้ไม่ไหว ดังนั้นขอจงอย่าส่งมาเยอะเด็ดขาด

ส่งเยอะ?

ส่งเยอะ?!

เขาระบุของทุกอย่างนอกเหนือจากอาวุธล้ำค่าและอาวุธวิเศษมาหมดแล้ว ยังจะมีอะไรให้ ‘ส่งเยอะ’ อีก

คนทั้งหลายราวกับสติหลุดหาย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงใจเย็นลงได้เล็กน้อย ความสามารถในการคิดวิเคราะห์กลับคืนมา

“ผู้อาวุโสโม่…ทราบได้อย่างไรว่ามีของเหล่านี้”

“มิหนำซ้ำผู้อาวุโสโม่ยัง…เขียนมาได้…ไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียวจริงๆ” วัตถุดิบหลอมประดิษฐ์และสมุนไพรชนิดต่างๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว

“จำนวนเงินนี้…” จะพอดิบพอดีเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่

“อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องควักเงินตนเองเพิ่ม”

“หากแต่นี่จะแพงเกินไปแล้วหรือไม่”

“ท่านอยากไปต่อรองกับโม่ซั่งเฉิน?”

“…” มิกล้า

“นอกจากของเหล่านี้แล้ว พวกท่านไม่เห็นหรือว่ายังมีจุดที่สำคัญที่สุดอยู่อีก” เฟิงเจ๋อถามขึ้น

“จุดใด” คนทั้งหลายไม่กระจ่าง

“พอพวกเราได้รับศิลาบันทึกทรัพย์สินสิ่งของนี้ ‘รายการของกำนัล’ ของโม่ซั่งเฉินก็มาถึงพร้อมกัน” มุมปากเซียวชินกระตุกเล็กๆ

“เอ่อ…” เวลาจะประจวบเหมาะกันพอดีเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่

หรือว่าพวกเขากำลังทำอะไร ดำเนินการไปถึงขั้นใด โม่ซั่งเฉินล้วนรู้ทั้งสิ้น

หากแต่…ยามนี้เขามิใช่พาหลานสาวออกท่องเที่ยวหรือไร ไฉนจึงรู้เรื่องการดำเนินการของพวกเขาดีปานนี้

นี่ต้องหาข่าวเก่งเพียงใดถึงสามารถสืบรู้เรื่องสิ่งของเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ไม่ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว

ไม่ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว

พอคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของทุกคนก็ดูคล้ายจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยในทันใด

หรือว่า…โม่ซั่งเฉินปีศาจโม่ที่ไปไหนมาไหนตามลำพัง เย่อหยิ่งเย็นชา และบ้าคลั่งไร้ขอบเขตเสมอมาจะยังมีอาชีพเป็นสายสืบด้วย!

บทที่ 2

หลังนิ่งเงียบเป็นครู่ใหญ่ ในที่สุดในห้องประชุมก็มีคนส่งเสียงออกมา

“จะ…ให้หรือไม่” น้ำเสียงของหัวหน้าสำนักคุนหยางฟังดูไร้กำลังอยู่สักหน่อย

“ที่โม่ซั่งเฉินเขียนมานี้ จะเยอะเกินไปหน่อยหรือไม่” ประมุขตระกูลเซียวเลิกคิ้ว

เขาไม่ค้านว่าไม่ควรให้ของตอบแทนจำนวนหนึ่ง หากแต่ของเหล่านี้ก็เยอะเกินไปแล้วกระมัง

“ข้าคิดว่าข้อเรียกร้องของผู้อาวุโสโม่หาได้เกินไปไม่” ฉินจ้งเยี่ยกล่าว

ถ้าหากไม่ได้โม่อีเหรินลงมือช่วยเหลือ บัดนี้พวกเขาจะยังมานั่งอย่างสบายใจอยู่ที่นี่ได้หรือ

ของเหล่านี้ล้วนมาจากสำนักตระกูลที่ปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่แล้ว กล่าวให้ถูกต้องคือพวกมันไม่นับว่าเป็นของของพวกเขา

นอกเหนือจากนี้ผู้อาวุโสโม่ก็หาได้เรียกเอาสิ่งของจากพวกเขาไม่ ดังนั้น ‘รายการของกำนัล’ นี้จึงไม่เกินไปอย่างแน่นอน

“ความเห็นของข้าเหมือนกับของจ้งเยี่ย” มู่หรงฉางเฟิงกล่าวเช่นกัน

กล่าวตามตรง ‘รายการของกำนัล’ ของผู้อาวุโสโม่ถือว่าเกรงใจมากแล้วจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังเหลือพวกอาวุธ อาวุธล้ำค่า อาวุธวิเศษต่างๆ ให้พวกเขา ไม่ได้เรียกร้องแม้แต่ชิ้นเดียว คำนวณให้ถูกต้องคือพวกเขายัง ‘ได้กำไร’ อยู่ไม่น้อย

“แม้ว่าสิ่งของที่เรียกร้องจะไม่น้อย แต่ของเหล่านี้ก็เป็นของที่คุณหนูอีเหรินพึงได้รับ” หัวหน้าสำนักชิงหยวนเองก็ไม่คัดค้าน

สำนักชิงหยวนมุ่งเน้นการฝึกร่างกายและฝึกบำเพ็ญ แม้จะมีกิเลสต่อของนอกกายบ้าง แต่สิ่งใดมิใช่ของของตนเอง ก็มิได้ให้ความสำคัญถึงเพียงนั้น

“เช่นนั้นหัวหน้าสมาคมทั้งสองคิดเห็นเช่นไร” ประมุขตระกูลเซียวเอ่ยถาม ต้องส่งมอบของมากถึงเพียงนี้ออกไป เขา…เจ็บใจยิ่งนัก

“…ให้” ต้องมองดูสมุนไพรจำนวนมากถึงเพียงนั้นลอยผ่านหน้าไปโดยไม่หยุดลงแม้เพียงชั่วครู่ เฟิงเจ๋อเองก็เจ็บใจเช่นกัน แต่ครั้นนึกถึงฝีมือการหลอมโอสถของอีเหรินน้อย…

ก็ได้ ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ

ส่งมอบของจำนวนมากเพียงนี้ออกไป ไม่แน่ว่าวันหน้าอีเหรินน้อยหลอมยาลูกกลอนมหัศจรรย์อะไรออกมา อาจจะใจกว้างส่งมาให้เขาส่วนหนึ่งก็เป็นได้

“เช่นนั้นก็ตกลงตามข้อเรียกร้องของโม่ซั่งเฉิน” เซียวชินกล่าวลงมติปิดท้าย “เถิงอวิ๋น เจ้าให้คนจัดการนับสิ่งของสักหน่อย แล้วจัดการเรียบเรียงสิ่งของในศิลาบันทึกให้เรียบร้อย จากนั้นก็เชิญให้ผู้อาวุโสเหยี่ยนกลับมารับไป”

“ขอรับ” เซียวเถิงอวิ๋นคิดอย่างเงียบๆ ในใจว่าอาจารย์ ของพวกนี้มีจำนวนมากยิ่งนัก อาจจะต้องนับกันนานทีเดียว

“ไม่ต้องรีบ เจ้าค่อยๆ ทำไป พวกผู้อาวุโสเหยี่ยนน่าจะยังไม่กลับมาเร็วปานนั้น” เซียวชินมองออกถึงสีหน้าลำบากใจของลูกศิษย์ของตนเอง จึงเอ่ยปลอบใจ

ไม่อาจปฏิเสธไม่มอบสิ่งของให้ได้ เช่นนั้น…ถ่วงเวลาไปอีกนิดก็ยังดี จะอย่างไรพวกเขาหลายคนก็ถูกศิลาบันทึกและวาจาไม่กี่คำของเขาทำเอาทั้งหน้าเปลี่ยนสีไปเปลี่ยนสีมา คับอกคับใจเหลือประมาณ

หากถ่วงเวลาไปสักนิด ทำให้โม่ซั่งเฉินหน้าเปลี่ยนสีได้สักหน่อยก็ดีเหลือเกินแล้ว…นี่เป็นความฝันงดงามของเซียวชิน

ราตรีในเมืองอิ้งสุ่ยต่างจากในเมืองทั่วไป

สถานที่ที่คึกคักที่สุด สว่างไสวที่สุด มิใช่ที่หอสุราหรือถนนอันกว้างใหญ่ แต่เป็นบนแม่น้ำอิ้งชวน

เรือหลายลำล่องอยู่บนแม่น้ำอิ้งชวน โคมไฟหลายดวงแขวนอยู่ที่หัวเรือและหางเรือ แกว่งไกวเบาๆ ตามการเคลื่อนตัวของเรือและแรงลม

ทอดมองจากที่ใกล้ไปยังที่ไกล แม่น้ำอิ้งชวนดูราวกับเป็นธารโคม

สองข้างฝั่งมีร้านค้าร้านน้ำชาหลากสีสัน มีเสียงตะโกนร้องขายสินค้า เสียงสนทนาพูดคุยเรื่องล่องแม่น้ำชมทิวทัศน์ หลายเสียงดังอึกทึก เสริมแต่งให้ราตรีของเมืองอิ้งสุ่ยครึกครื้นไม่ธรรมดา

เพื่อให้โม่อีเหรินสามารถเที่ยวเล่นได้เต็มที่ ฉู่เซวียนฉีเจาะจงเช่าเรือที่มีห้องโดยสารมาลำหนึ่ง ทำให้ถึงโม่อีเหรินอยากพักบนเรือสักสองสามคืนก็ไม่เป็นปัญหา

“อีเหริน ยังอยากกินอะไรอีกหรือไม่” ฉู่เซวียนอั๋งถาม เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งล่องแม่น้ำกัน แต่ละคนกินเนื้อย่างเป็นมื้อเย็น

“อืม…ข้าจะชงชา ทุกคนมาดื่มด้วยกันแล้วกัน พี่ใหญ่ ท่านซื้อขนมและผลไม้แห้งมากินกับชาสักหน่อยนะเจ้าคะ”

โม่อีเหรินบอกจะทำก็ทำเลย นางใช้ญาณวิเศษ โต๊ะน้ำชา เก้าอี้ และอุปกรณ์ชงชาทั้งชุดก็ปรากฏขึ้นมาพรั่งพร้อมครบถ้วน

หลังนางล้างชุดน้ำชาเสร็จ ก็หยิบน้ำจากน้ำพุบนภูเขาที่ใส่ไว้ในแหวนพู่สวรรค์ออกมากาหนึ่ง ก่อนหยิบใบชาออกมาใส่ลงต้มในกา

ขณะโม่อีเหรินเปิดฝากล่องชาออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แฝงด้วยไอวิเศษก็โชยออกมา ทำให้พอคนสูดดมก็รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย

“ชาดี!” เฟิงเหยี่ยนออกปากชมอย่างอดใจไม่ไหว

“นี่คือ ‘ชาอวลหยก’ เป็นของที่ข้าเพิ่งเก็บมาคั่วในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่ข้าจะออกจากเกาะโม่เสวียน ใช้น้ำต้มก็ดื่มได้เลย” โม่อีเหรินพูดพลางรินชาที่ชงเสร็จให้ทุกคนคนละถ้วย

พอชาอวลหยกเข้าปาก สัมผัสหอมนุ่มชุ่มคอ อุณหภูมิอุ่นกำลังดี ครั้นชาไหลลงคอแต่ละคนในที่นี้ก็ต่างรู้สึกได้ว่ามีไอวิเศษเด่นชัดกลุ่มหนึ่งแผ่เข้าสู่ร่างกาย ไม่เพียงร่างกายจะรู้สึกสบาย สติก็ยังแจ่มใสในฉับพลัน เสียงอึกทึกที่เดิมทีรู้สึกว่าเอะอะเซ็งแซ่พลันมิได้น่ารำคาญแล้ว ราวกับรอบข้างเงียบสงบลง

คนทั้งหลายต่างสงบท่ามกลางความอึกทึกครึกโครม

ใจสงบ สติแจ่มชัด

“โฮก” ‘อร่อยยิ่ง’

“วู้” ‘อุ่นคอคลายกระหาย’

“โฮกๆ” ‘เอาอีกๆ’

“อู…” ‘รู้สึกสบายดีจริง…’

เดิมทีทุกคนยังจมจ่อมอยู่ในสัมผัสตระหนักรู้ที่ชาอวลหยกนำมาให้ ผลคือพอสัตว์สี่ตัวนี้ร้องขึ้น สัมผัสตระหนักรู้อะไรก็ไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เจ้าสี่ตัวนี้ช่าง…ทำลายบรรยากาศ

ไป่หลี่จิงหงรับหน้าที่ชงชาต่อจากโม่อีเหริน เริ่มชงรอบที่สอง

“ล้างถ้วยชาอีกรอบก่อน…อุณหภูมิน้ำได้ที่แล้ว อืม…อย่างนั้นล่ะ…” โม่อีเหรินเอ่ยเตือนพลางเก็บถ้วยชามา ก่อนยื่นถ้วยชาไปข้างหน้า

“อร่อยหรือไม่” รอจนโม่อีเหรินดื่มลงไปอึกหนึ่ง ไป่หลี่จิงหงถึงเอ่ยถามขึ้น

“อื้ม! อร่อยยิ่ง” โม่อีเหรินยิ้มหวานให้เขา จิงหงเองก็ชงชาเก่งเหมือนกันนี่…

“เช่นนั้นก็ดื่มอีกถ้วย” เขารินชา

“ได้ ท่านก็ดื่มด้วย” นางรินชาคืน

“ได้”

ความอ่อนโยนในน้ำเสียงของภูเขาน้ำแข็งนี้ช่าง…

“…” สี่คนที่ด้านข้างถูกเล่นงานจนพูดไม่ออก

เคลื่อนไหวเร็วแท้ แย่งชิงความสนใจของน้องสาวไปเยี่ยงนี้ เลวทรามเกินไปแล้วจริงๆ!

คิดไม่ถึงว่าประมุขน้อยเกาะหุนที่ดูเย็นชายิ่ง ที่แท้ก็เจ้าเล่ห์มากเช่นกัน!

ฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี เฟิงเหยี่ยนต่างค่อนขอดในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ในขณะที่โม่ซั่งเฉินนั้นเอ่ยปากตรงๆ

“โม่อีเหริน”

“ท่านตามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

“มีเนื้อแห้งที่เจ้าทำหรือไม่”

“เอ่อ…เพิ่งกินหมดไปพอดีเจ้าค่ะ” มี ‘ตัวตะกละ’ สี่ตัวอยู่ เนื้อแห้งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเหลือเก็บ “ท่านตาอยากกินหรือเจ้าคะ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้”

“อืม” โม่ซั่งเฉินผงกศีรษะน้อยๆ

โม่อีเหรินลุกเข้าไปในประทุนเรือ หยิบเตาหลอมโอสถและวัตถุดิบทำเนื้อแห้งออกมาเริ่มลงมือทำทันที

สายตาของเฟิงเหยี่ยนปรายมองสหายสนิทขึ้นๆ ลงๆ พลางส่งเสียงจุปาก “เฉิน…”

นี่ควรกล่าวว่าไม่เสียแรงที่เป็นเฉินกระมัง แม้แต่ยามทำลายการพลอดรักของผู้อื่น สีหน้ายังสุขุมได้ปานนี้ น้ำเสียงก็ยังเป็นการเป็นงานได้ปานนี้ แม้กระทั่งเหตุผลก็ยังไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้…

เขาแค่อยากกินเนื้อแห้ง ไม่ได้มีถ้อยคำจำพวกโจมตีไป่หลี่จิงหงหรือยุแยงตะแคงรั่ว

อีกทั้งการที่หลานสาวจะทำของกินให้ผู้เป็นท่านตาสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรและปกติยิ่ง ไม่ได้มีเจตนาจงใจเรียกตัวโม่อีเหรินออกไปแต่อย่างใด

เช่นนั้นสีหน้าของคนที่ถูกทำลายการพลอดรักเล่า…

เฟิงเหยี่ยนมองไป

สวรรค์! สีหน้าไม่เปลี่ยน แววตาไม่เปลี่ยน อิริยาบถไม่เปลี่ยน แม้แต่เส้นโค้งตรงมุมปากก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิด…ช่างสุขุมมั่นคงนัก!

ครั้นแล้วจึงกลับมามองเฉิน

ดื่มชาอย่างเฉยชาจดจ่อ ดื่มชาอย่างเฉยชาจดจ่อ…ยังคงดื่มชาอย่างเฉยชาจดจ่อ แม้แต่หางตาก็ไม่มีชำเลืองแล ดูประหนึ่งเบื้องหน้าเขามีเพียงชาถ้วยนั้น ราวกับชาถ้วยนั้นสำคัญที่สุด

เฟิงเหยี่ยนอดจะสะท้อนใจไม่ได้ ทั้งสองล้วนแต่เป็นภูเขาน้ำแข็ง มิหนำซ้ำยังเป็นชนิดที่ไม่ละลายมาเป็นร้อยปีอีกด้วย คนหนึ่งเย่อหยิ่ง คนหนึ่งเย็นชา กินกันไม่ลงจริงๆ

ปัจจุบันเฉินยึดครองความได้เปรียบด้วยมีฐานะเป็นท่านตา ไป่หลี่จิงหงดูไปแล้วมีเพียงตกเป็นฝ่ายถูกเล่นงานและตั้งรับ นี่ชวนให้คนรู้สึกปวดใจแทนเขาอยู่บ้างจริงๆ

หากแต่คิดถึงว่าบุรุษที่หล่อเหลาหนุ่มแน่นและเย่อหยิ่งเย็นชาโดยธรรมชาติผู้นี้กำลังจะหลอกเอาตัวอีเหรินน้อยที่พวกเขารักใคร่เอ็นดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไป เฟิงเหยี่ยนก็ตัดสินใจเก็บความปวดใจเล็กๆ นั้นลง

จะหลอกเอาตัวเด็กน้อยสุดที่รักของพวกเขาไป นั่นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้ล่ะ เพราะฉะนั้น…

เฉิน ข้าสนับสนุนท่าน เชิญต่อได้เลย

เฟิงเหยี่ยนมองดูคนทั้งสองอย่างตั้งตารอ มองไปๆ…

สองคนนี้คนหนึ่งชงชา อีกคนดื่มชา แล้วก็ชงชา แล้วก็ดื่มชา…มิได้ระเบิดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ หากแต่…ทำให้ผู้อื่นอึดอัดตายท่ามกลางความเงียบสงบแทน

สัตว์ทั้งสี่ที่อยู่ข้างๆ ดื่มชาจนหลับกองรวมกันไปแล้ว…สัตว์วิเศษสามารถอาศัยการนอนหลับดูดซับไอวิเศษที่เกินมาได้

ส่วนสองพี่น้องสกุลฉู่นั้นดื่มชาวิเศษหมดไปถ้วยหนึ่งก็ไม่ดื่มอีก…ผู้มีพลังวัตรไม่พอ ดูดซับไอวิเศษมากเกินไปอย่างเฉียบพลันหาใช่เรื่องดีไม่

ทว่าอันที่จริงพวกเขามีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั่นก็คือ…แล่นเข้าไปทำเนื้อแห้งเป็นเพื่อนน้องสาวในประทุนเรือ

ส่วนตัวเขานั้น ดื่มไปสามถ้วยก็พอแล้ว

หลังจากนั้นภูเขาน้ำแข็งที่เงียบกริบทั้งสองลูกนี้ก็ดื่มชาหมดไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า…ซ้ำยังไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ เฟิงเหยี่ยนก็ชักอัดอั้นตันใจแล้ว

‘การประลองตัดสินสุดตื่นตาตื่นใจ’ ที่เขาตั้งตารอมิได้ปรากฏขึ้นโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ปรากฏมีเพียง ‘การต่อต้านอย่างเงียบกริบ’

ไม่มีความตื่นตาตื่นใจ ไม่อลังการเลยแม้แต่น้อย

ในเวลานี้เองกลิ่นหอมเย้ายวนใจก็โชยออกมา

“ท่านตา ข้าทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

สัตว์ทั้งสี่ที่หลับอยู่ข้างๆ มีการตอบสนองเร็วกว่าเฟิงเหยี่ยนเสียอีก พวกมันวิ่งแกมกระโดดมาถึงเบื้องหน้าโม่อีเหริน

“โฮ่ว”

“อาวู้”

“โฮก”

“อู”

สัตว์ทั้งสี่ต่างส่ายหัวกระดิกหาง แววตาเป็นประกายวิบวับ มอง…จานในมือโม่อีเหรินเป็นตาเดียว

“พรืด…” โม่อีเหรินหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นางย่างเท้าเดินอ้อมพวกมันไป “พวกเจ้าไปหาท่านพี่นู่น จานนี้เป็นของท่านตา”

ด้วยเหตุนี้สัตว์ทั้งสี่จึงยิ่งกระโจนตัวไปข้างหน้า ไม่ได้กินเนื้อแห้งก็จะไม่ปล่อย ‘เจ้านาย’ อย่างฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉีไปเด็ดขาด

“ท่านตา” โม่อีเหรินนั่งลงข้างผู้เป็นตา วางจานในมือลงตรงหน้าเขา

โม่ซั่งเฉินหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ปาก กินหมดก็พยักหน้า “อืม”

มีรสหวานและเค็มปะแล่มจากตัวเนื้อ กลิ่นหอมถูกใจ เนื้อเหนียวนุ่ม เคี้ยวเพลิน ฝีมือของโม่อีเหรินก้าวหน้าไปอีกแล้ว

“ข้าทำไว้เยอะเลย ท่านตาเอาไว้นะเจ้าคะ” โม่อีเหรินมองเห็นท่าทีตอบสนองของท่านตาแล้วก็ยิ้มอย่างเบิกบาน จากนั้นจึงหยิบเนื้อแห้งห่อหนึ่งที่หนักอย่างน้อยสิบชั่ง* ออกมาวางลงบนมือท่านตา

โม่ซั่งเฉินพลิกมือทีเดียว ห่อเนื้อแห้งก็ถูกเก็บเข้าไปในแหวนงำของของเขา

“อีเหรินน้อย ตาก็อยากได้เหมือนกัน” เฟิงเหยี่ยนยื่นมือออกมา

ชั่วขณะที่เฉินกับอีเหรินน้อยคุยกันไม่กี่คำเมื่อครู่นี้ เขาได้กินไปสองสามชิ้นแล้ว ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกินอีก อร่อยเสียยิ่งกว่าอะไร

“ท่านตาเหยี่ยน ให้ท่านเจ้าค่ะ”

คาดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องมีสถานการณ์ทำนองนี้ โม่อีเหรินจึงหยิบออกมาอีกสองห่อให้ท่านตาเหยี่ยนกับไป่หลี่จิงหง

ไป่หลี่จิงหงรับไว้ทันที สำหรับของที่โม่อีเหรินให้เขา เขาล้วนไม่สงสัยหรือลังเลที่จะรับเอาไว้

“ไฉนจึงเล็กเพียงนี้” เฟิงเหยี่ยนมองห่อเล็กที่หนักราวหกเจ็ดชั่งในมือ นึกถึงห่อใหญ่ของเฉินเมื่อครู่นี้ ในใจก็รู้สึกไม่ยุติธรรมแล้ว

“แน่นอนว่าของท่านตาต้องเป็นห่อที่ใหญ่ที่สุดเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินยิ้มตาหยี

กตัญญูต่อท่านตาต้องทำให้เต็มที่ โม่อีเหรินไม่กลัวที่จะให้ผู้อื่นรู้แม้แต่น้อย

“อีเหรินน้อย มีหลักครองตนในสังคมบางประการที่เจ้าต้องระวังเอาไว้” เฟิงเหยี่ยนกล่าวสั่งสอน “ต่อให้เจ้ามีใจลำเอียง แต่ยามมีคนนอกอยู่ด้วย ต่อให้เป็นการเสแสร้งก็ต้องทำออกมา…ต้องใจกว้างต่อแขก ใจแคบต่อคนของตนเองสักหน่อย”

ดังนั้นห่อใหญ่ห่อนั้นจึงควรมอบให้เขา แล้วมอบห่อเล็กห่อนี้ให้เฉินแทน

“แต่ท่านตาเหยี่ยนหาใช่คนนอกไม่ ถ้าต้องแสร้งแสดงมารยาทผิวเผินพรรค์นี้ก็จอมปลอมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินพูดอย่างบริสุทธิ์ไร้ความผิดยิ่ง

“…” เวลานี้เฟิงเหยี่ยนไม่ถือสาที่จะเป็น ‘คนนอก’ ชั่วครู่ชั่วยาม

“มิหนำซ้ำหากมีคนนอกอยู่จริงๆ…คนนอกก็คือคนนอก จะไปสำคัญเท่าคนกันเองได้อย่างไร ดังนั้นจึงยิ่งไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว” หลักความเห็นของโม่อีเหรินทำให้เฟิงเหยี่ยนพ่ายแพ้ราบคาบ

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นโม่ซั่งเฉินสอนสั่งมาด้วยวาจาและการกระทำทั้งสิ้น โม่อีเหรินเรียนรู้ได้ดีเหลือเกิน

“อีเหรินน้อย…” เฟิงเหยี่ยนยิ่งคับแค้นใจ

ไป่หลี่จิงหงยัดชาถ้วยหนึ่งใส่มือเฟิงเหยี่ยน

เฟิงเหยี่ยนงุนงงยิ่ง

โม่ซั่งเฉินก็ไม่เข้าใจนัก

“พรืด…” ทว่าโม่อีเหรินขำกลิ้ง

ท่านตาเหยี่ยนอึ้งงันไปแล้ว ท่านตาก็ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน นี่ช่าง…ไม่ง่ายเลยจริงๆ

มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าการที่ท่านตาจะสีหน้าเปลี่ยนสักทีนั้นยากมากเพียงไร

ไป่หลี่จิงหงยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งนัก

เฟิงเหยี่ยนมองชาถ้วยนั้น แม้ชาวิเศษจะเป็นของดี แต่ไฉนเขาถึงได้มีความรู้สึกคล้ายถูกเมินเฉยอย่างไรอยู่

“เหนื่อยหรือไม่” ภูเขาน้ำแข็งยักษ์ไป่หลี่จิงหงเอ่ยปากในที่สุด

“ไม่เหนื่อย” ดวงตาเรียวคิ้วของโม่อีเหรินโค้งขึ้น

ถ้าแค่ทำของกินนิดหน่อยก็เหนื่อย พลังกายก็ถือว่าย่ำแย่เกินไปแล้ว ต้องกลับไปฝึกที่เกาะโม่เสวียนใหม่

“อืม” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า ก่อนรินชาให้นาง

โม่อีเหรินดื่มหมดแล้วก็มองท่านตา “ท่านตา ข้าอยากไปเดินเล่นบนฝั่งสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“ไปเถอะ” โม่ซั่งเฉินพยักหน้า

“ขอบคุณท่านตาเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินส่งพวกชุดน้ำชาและใบชาให้ท่านตาเหยี่ยนทั้งหมด จากนั้นก็จับมือไป่หลี่จิงหง กระโดดเบาๆ ทีเดียวก็พ้นจากเรือไปถึงบนฝั่ง

สองพี่น้องสกุลฉู่กับสัตว์วิเศษทั้งสี่เห็นแล้วก็ทำท่าจะตามไปทันที

“พวกเจ้ามานี่” โม่ซั่งเฉินเอ่ย สองคนสี่สัตว์ก็กลับมานั่งที่เดิมอย่างเงียบๆ

“ท่านตา พวกเรา…” ฉู่เซวียนฉีเพิ่งจะเปิดปาก โม่ซั่งเฉินก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง

“ทุกเรื่องมีขอบเขต ทำเกินไปก็ไม่ดี”

“…” นี่หมายถึง

โม่ซั่งเฉินมองสองพี่น้องปราดหนึ่ง สองพี่น้องสกุลฉู่ก็เข้าใจในทันใด

ถึงจะอยากเป็นดวงไฟ ก็ไม่อาจส่องแสงสว่างจ้าอยู่ตลอดได้ เช่นนี้จะทำให้คนรู้สึกระคายตาได้ง่ายๆ แล้วจะพาลปิดไฟเสียเอง

กลับกันถ้าหากรักษาความสว่างไว้ในระดับที่เหมาะสม เมื่อไม่รู้สึกระคายตา คนก็จะไม่มีข้ออ้างให้ปลีกตัวจากไป และยอมรับได้ในที่สุด

เพื่อไม่ให้ไป่หลี่จิงหงหลอกเอาตัวคนไปอีกครั้ง ต้องรักษาความพอเหมาะไว้ให้ได้ เช่นนี้ต่อให้ไป่หลี่จิงหงอยากจะลักพาคนไป โม่อีเหรินก็จะไม่หนีไปกับเขาอย่างส่งเดช

“ในเรื่องการฝึกบำเพ็ญก็เป็นเช่นเดียวกัน” โม่ซั่งเฉินเสริมอีกประโยค

พี่น้องสกุลฉู่ร้อนตัวขึ้นมาน้อยๆ ทันที

แม้ว่าสามเดือนมานี้จะท่องเที่ยวลงใต้มาตลอด แต่อันที่จริงนับตั้งแต่สู้กับซือลิ่งเทียนที่เมืองผิงเจิ้น พี่น้องสกุลฉู่ก็รู้สึกได้ว่าตนเองยังมีความสามารถไม่เพียงพอ

ด้วยอายุของพวกเขา สามารถฝึกบำเพ็ญได้ถึงขั้นฟ้าและผู้บัญชาสัตว์วิเศษอาจจะนับเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้น้อยแล้ว หากแต่ยอดฝีมือต่อสู้กัน เคยสนใจอายุเสียที่ใด

ในขณะที่น้องสาวของพวกเขากลับเอาชนะผู้บัญชาสัตว์วิเศษระดับเก้าได้อย่างง่ายดาย และยิ่งสามารถต่อกรกับซือลิ่งเทียนที่ลึกล้ำมิอาจหยั่งได้อีกด้วย

หากต้องการปกป้องน้องสาวก็จำต้องบากบั่นพากเพียร ยกระดับพลังแก่นแท้ของตนเองให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ดังนั้นแม้ยามกลางวันพวกเขาจะตามอยู่ข้างกายโม่อีเหริน แต่ยามกลางคืนหลังกลับเข้าห้อง ถ้ามิใช่นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญทั้งคืนก็แอบออกไปฝึกกระบวนท่า

พวกเขาหลงนึกว่าตนเองปิดบังได้ดีมากแล้ว…ผลคือท่านตาทราบทุกเรื่อง

เฟิงเหยี่ยนมองเห็นสีหน้าท่าทีก้มหน้ารับผิดและทบทวนตนเองอย่างเงียบๆ ของสองพี่น้องแล้วก็นึกขำในใจอย่างอดไม่อยู่

“เฉิน พวกเขาสองคนทำเช่นนี้…ก็นับว่าขยันหมั่นเพียร ชี้แนะตักเตือนสักหน่อยก็พอแล้ว” เขากล้าพูดเลยว่าถ้าเฉินยังพูดต่อไป ลูกศิษย์ของเขาคงไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว

โม่ซั่งเฉินดื่มชาไปอีกถ้วยด้วยท่าทางเฉยชา จากนั้นก็มองไปยังสองพี่น้องอีกครั้ง “อยากยกระดับพลังแก่นแท้?”

“ขอรับ” สองพี่น้องตอบประสานเสียงกัน

“ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป การฝึกบำเพ็ญให้ยึดความสมดุลเป็นหลัก หากรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเลื่อนขั้นแล้วก็ให้ควบคุมเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้า” เขาชี้ฉู่เซวียนอั๋ง “เจ้าเคยถูกคนวางยาพิษ ‘หยาดน้ำตาเทพยุทธ์’ แม้จะแก้พิษได้แล้ว และโม่อีเหรินก็ได้ให้เคล็ดวิชาต่อสู้และฝึกบำเพ็ญที่ต่างจากเดิมแก่เจ้าแล้ว ทว่าพื้นฐานไม่มั่นคง ภัยแฝงมีแต่จะใหญ่ขึ้น สถานเบาก็ไม่อาจเลื่อนขั้น สถานหนักก็ธาตุไฟเข้าแทรก เรื่องเหล่านี้เจ้าสมควรรู้”

ฉู่เซวียนอั๋งสะท้านเฮือกก่อนพยักหน้า “เซวียนอั๋งทราบแล้วขอรับ”

“เคยยืนอยู่จุดสูง วันหนึ่งต้องมาเริ่มต้นใหม่ แม้กระบวนการจะลำบากยากเย็น แต่ถ้าสามารถรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคงและผ่านด่านนี้ไปได้ เจ้าก็จะขึ้นไปได้สูงกว่าเดิม”

ฉู่เซวียนอั๋งนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วถึงเงยหน้าขึ้นมา “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านตาขอรับ”

เขาเคยเป็นอัจฉริยะที่ผู้อื่นกล่าวขาน เคยเป็นผู้สืบทอดที่วงศ์ตระกูลให้ความสำคัญ แต่ยามถูกพิษในครานั้น นอกจากได้ทำลายการฝึกบำเพ็ญของเขาลงแล้ว ยังโจมตีมาถึงจิตใจของเขาเช่นกัน

แม้จะให้ความสำคัญกับเขา แต่ในใจของบิดาและผู้อาวุโสในตระกูล เรื่องที่สำคัญกว่าเขามีมากเหลือเกิน เมื่อเกิดการขัดแย้งกัน ถึงจะเป็นบุตรชายแท้ๆ ก็ยังสละทิ้งได้

ทว่าบนโลกนี้กลับมีคนสองคนที่ไม่มีวันละทิ้งเขา

ขณะที่เขาคิดไม่ถึง โม่อีเหรินกับน้องฉีได้ช่วยเขากลับมา โม่อีเหรินไม่เพียงแก้พิษให้เขา ยังมอบเคล็ดวิชาต่อสู้ที่ต่างจากเดิมให้เขาด้วย ฉู่เซวียนอั๋งรู้ว่าขอเพียงตนเองพยายามฝึกบำเพ็ญ การจะกลับมามีพลังแก่นแท้เท่าเมื่อก่อน หรือแม้กระทั่งเหนือกว่าเมื่อก่อนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความช้าเร็วเท่านั้น หากแต่ขณะอยู่ที่เมืองผิงเจิ้นเขากลับใจร้อน กลัวว่าตนเองไม่มีพลังแก่นแท้แล้วจะปกป้องน้องชายไม่ได้ ยามอันตรายมาเยือนก็จะปกป้องน้องสาวไม่ได้…

ความหุนหัน ความไม่มั่นคง ความเร่งร้อน ล้วนเป็นข้อห้ามใหญ่ในการฝึกบำเพ็ญ

หากมิใช่เมืองผิงเจิ้นไม่ได้ปรากฏสถานการณ์คับขัน เกรงว่าเขาคงจะธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว

โม่ซั่งเฉินมองเขาอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอีกประโยค “จะฝึกบำเพ็ญ อันดับแรกต้องฝึกใจเสียก่อน”

“ขอรับท่านตา” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้าอย่างให้ความเคารพ

คราวนี้โม่ซั่งเฉินถึงได้เลิกมองเขาพลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ถ้าไม่อยากอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ก็ตามข้ากลับไปเกาะโม่เสวียนแล้วกัน”

“ข้าก็จะไปด้วย!” ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉียังไม่ทันพูดอะไร เฟิงเหยี่ยนก็แสดงท่าทีทันควัน

พอคิดถึงว่านับแต่นี้จะได้กินอาหารที่อีเหรินน้อยทำทุกวัน เฟิงเหยี่ยนก็รู้สึกว่าน้ำลายของตนจะไหลออกมาแล้ว

สองพี่น้องมองตากันพลางเอ่ยตอบ

“เซวียนอั๋งฟังท่านตาขอรับ”

“เซวียนฉีฟังท่านตาขอรับ”

“อืม” โม่ซั่งเฉินพยักหน้าให้เพียงสองพี่น้อง

เฟิงเหยี่ยนไม่พอใจแล้ว “เฉิน ข้าก็จะไปด้วย”

โม่ซั่งเฉินไม่พูดและไม่มองเขาสักนิด

“เฉิน ข้าก็จะไปด้วย!” เฟิงเหยี่ยนพูดอีกรอบ

พอเห็นโม่ซั่งเฉินยังไม่นำพาเขา เฟิงเหยี่ยนก็เริ่มพูดพร่ำ “ข้าก็จะไปด้วย ข้าก็จะไปด้วย ข้าก็จะไป…”

เฟิงเหยี่ยนพูดพร่ำโดยตลอดจนไม่ได้สังเกตเห็นว่าสองพี่น้องที่ด้านข้างกลายเป็นหินไปแล้ว

ตาลุงรูปงามที่พูดพร่ำไม่หยุดผู้นี้คือ ‘อาจารย์ของเขา’ ผู้อาวุโสเฟิงเหยี่ยนแห่งสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนเทพยุทธ์ เป็นที่เล่าลือว่าสุขุมเป็นผู้ใหญ่ มีความยุติธรรม แยกแยะถูกผิดชัดเจน พลังแก่นแท้สูงส่งล้ำลึก และได้รับความเคารพนับถือจากคนนับไม่ถ้วนจริงๆ น่ะหรือ

ภาพลักษณ์แตกต่างกันเกินไปแล้ว พี่น้องสกุลฉู่สับสนอยู่เล็กน้อย

ทว่าฉู่เซวียนฉียังนับว่าดีหน่อย จะอย่างไรเขาก็เคยเห็นอาจารย์บ่นกระปอดกระแปดด้วยความพลุ่งพล่านและไม่พอใจแต่อันที่จริงในใจดีใจยิ่งทุกครั้งเวลาได้รับของที่ท่านตาฝากมาจากเกาะโม่เสวียน ส่วนบัดนี้นับว่าก้าวไปอีกขั้น ดังนั้นเขาจึงได้สติกลับมาเร็วกว่าพี่ชาย

“อาจารย์ ท่านตายังไม่ได้บอกว่าไม่ให้ท่านไป…” เขาเอ่ยเตือนเสียงเบา

เฟิงเหยี่ยนที่พูดพร่ำพลันได้ยินวาจานี้ จริงด้วย! เฉินไม่ได้บอกว่าไม่ได้ ก็แสดงว่าอนุญาตแล้ว

“แค่กๆ” เขาหยุดพูดพร่ำและหยุดสีหน้าคับแค้นบิดพลิ้วลงทันควัน ก่อนจะจัดสาบเสื้อนั่งตัวตรง แสดงบุคลิกท่าทางของผู้วิเศษออกมา “อะแฮ่ม พวกเจ้าสองคนกลับไปนั่งสมาธิที่ห้องก่อน”

“…” สองพี่น้องต่างก็อึ้งงัน นี่เขาจะเปลี่ยนท่าทีเร็วเกินไปแล้วหรือไม่

เฟิงเหยี่ยนมองเห็นคนเซ่อทั้งสองก็พูดออกมาชัดๆ เสียเลย

“ท่านตาเจ้าบอกว่าพวกเจ้าฝึกบำเพ็ญเร็วเกินไป รากฐานไม่มั่นคง ชาที่อีเหรินน้อยชงมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ เช่นนี้พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

โม่อีเหรินมองสภาวะของทั้งสองคนออกนานแล้ว แต่กลับไม่สะดวกจะพูดอะไร ด้วยกลัวว่าพี่ชายทั้งสองจะละอายใจหนักขึ้นจนทิ้งเป็นปมในใจ

ส่วนท่านตาที่แม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่อันที่จริงรักหลานสาวยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจอย่างเฉินผู้นี้ก็ทนเห็นหลานสาวเป็นห่วงเป็นใยเป็นกังวลต่อไปไม่ได้จริงๆ จึงเอ่ยปากพูดเสียเลย

ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีเงียบไป ก่อนจะสบตากันอีกครั้ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกัน “ท่านตา พวกข้าขอตัวกลับห้องก่อนขอรับ”

จากนั้นทั้งสองก็กลับเข้าไปในประทุนเรือ

เฟิงเหยี่ยนพอใจมาก ลูกศิษย์ของเขาสอนง่ายยิ่ง พี่ชายของลูกศิษย์ก็สอนง่ายเช่นกัน ดียิ่งนัก

ทว่าอันที่จริงให้พูดยืดพูดยาวมากเพียงไร ในใจพี่น้องสกุลฉู่ก็มีถ้อยคำเพียงประโยคเดียวคือ ‘ไม่อาจปล่อยให้น้องสาวเป็นกังวลแทนได้’

เรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง พวกเขากลับถึงห้องก็สงบใจฝึกบำเพ็ญ

ความจริงข้อนี้เฟิงเหยี่ยนย่อมจะไม่รู้ เขารู้สึกเพียงว่าความเหนื่อยยากลำบากใจของตนเองมิได้สูญเปล่า ประเสริฐยิ่งนัก

ทว่าพอผู้น้อยทั้งสองจากไปแล้ว เฟิงเหยี่ยนก็ขยับไปใกล้สหายสนิททันที “เฉิน ท่านแปลกไป”

โม่ซั่งเฉินไม่มีการตอบสนองใด

“ท่านไม่เคยสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองมาแต่ไหนแต่ไร”

ต่อให้พี่น้องสกุลฉู่นับได้ว่าเป็นหลานชายของเขาเช่นกัน แต่โม่ซั่งเฉินเป็นผู้ใด อาศัยแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ควบคุมท่าทีของเขาได้หรือ

ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง…แม้สายเลือดจะสำคัญ แต่ความพอใจของตัวโม่ซั่งเฉินนั้นสำคัญยิ่งกว่า

หากให้เฟิงเหยี่ยนกล่าวโดยพิจารณาจากมิตรภาพนับสิบๆ ปีกับโม่ซั่งเฉิน โม่ซั่งเฉินก็คือตาแก่ที่เอาแต่ใจถึงขีดสุดผู้หนึ่ง!

ก็ได้ เป็นตาแก่รูปงาม เอ่อ…ตาลุงรูปงาม

หากแต่คำพูดนี้เขากล้าตะโกนร้องแค่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเด็ดขาด

โม่ซั่งเฉินไม่มีความสนใจต่อความเคลื่อนไหวภายในใจของเฟิงเหยี่ยนโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รีบร้อนไปอีกถ้วย กินเนื้อแห้งที่หลานสาวของตนทำมาให้ จากนั้นก็กล่าวอีกประโยค

“หลังจากนี้อีเหรินจะต้องการผู้คุ้มกัน”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกลับไปถึงตระกูลเฟิ่ง

ที่บอกว่าอยากเดินเล่นบนถนนของเมืองอิ้งสุ่ย นั่นมิใช่เรื่องหลอกลวง

โม่อีเหรินจูงไป่หลี่จิงหงขึ้นฝั่งได้ก็พุ่งตรงไปที่ร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุด หยิบรายชื่อหนังสือมาดู แล้วกวาดตามองหาเล่มที่ยังไม่เคยอ่าน ก่อนจะจ่ายเงินและยัดใส่ในกระเป๋าวิเศษทั้งหมด จากนั้นก็ถือออกมา

อีกทั้งนางยังพุ่งตัวไปร้านถัดไปโดยไม่สนใจคนงานร้านผู้น่าสงสารที่ถูกจำนวนหนังสือที่นางซื้อทำให้ตกใจจนอากัปกิริยาแข็งทื่อเหมือนกับหุ่นไม้

ร้านนี้ขายของใช้ที่เกี่ยวข้องกับพวกเครื่องเขียนและศิลาบันทึกโดยเฉพาะ

โม่อีเหรินเดินเข้าประตูมาได้ก็ซื้อของไปกองใหญ่เช่นเดียวกัน จากนั้นก็ท่องคำว่า ‘เก็บ’ ในใจ ใส่ข้าวของเข้าไปในกระเป๋าวิเศษอีกใบ ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน

ร้านถัดมาเป็นร้านสมุนไพร นางโกยสมุนไพรที่ถูกใจมาอีกครั้งแล้วจากมา

ร้านถัดจากนั้นเป็นร้านอาวุธ แน่นอนว่ามิใช่จะซื้ออาวุธ แต่อยากหาดูว่ามีวัตถุดิบดีๆ อะไรหรือไม่

ผลคือ…ไม่มี

โม่อีเหรินก็มิได้ผิดหวัง วัตถุดิบชั้นดีเดิมทีก็หายาก ไม่จำเป็นต้องคาดหวังมากเกินไป หลังจากนี้ก็ถึงเวลากินขนม นางจะได้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยแล้ว

ยามราตรีของเมืองอิ้งสุ่ย เนื่องจากการขนส่งทางน้ำมีความพัฒนา อีกทั้งทิวทัศน์ยามราตรีของแม่น้ำก็งดงาม ดังนั้นแม้ประตูเมืองจะปิดเร็ว แต่ร้านรวงต่างๆ กลับยังเปิดกันถึงดึกดื่น

เมืองทั่วไปพอถึงยามซวี* ก็มีคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว แต่ที่เมืองอิ้งสุ่ย ทุกวันหากยังไม่ถึงยามจื่อ* ก็จะยังคึกคักไม่หยุด

สายลมยามราตรีเย็นอยู่เล็กน้อย เนื่องจากขณะพัดผ่านแม่น้ำอิ้งชวนก็ได้นำพาไอน้ำมาด้วยบางๆ

เรือบนแม่น้ำอิ้งชวนมีทั้งที่แล่นและหยุดจอด ประดับให้แม่น้ำทั้งสายสว่างไสวน่าประทับใจ

ส่วนร้านค้าและหาบเร่แผงลอยสองฝั่งตลิ่งนี้ พอมองเห็นเรือและผู้คนที่สัญจรไปมาก็พากันร้องขายของอย่างคึกคักอบอุ่น

ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสายกลับมีเงาร่างสองร่างที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

เงาร่างสูงใหญ่ในชุดสีม่วง ท่าทางหล่อเหลาเย็นชา สูงศักดิ์โดยธรรมชาติ ทั้งๆ ที่เดินอยู่บนถนนแต่กลับไม่มองผู้ใด มอบความสนใจให้เพียงเงาร่างเล็กอ้อนแอ้นข้างกาย

ด้านเงาร่างเล็กอ้อนแอ้นในชุดสีชมพูก็มีผิวขาวปานกระเบื้องเคลือบ ท่วงทีเป็นธรรมชาติ เรียวคิ้วและดวงตาโค้งแย้มยิ้มได้น่ารักใสซื่อ ระหว่างที่กินก็ไม่ลืมจะแบ่งให้เงาร่างสูงใหญ่ที่ข้างกายได้กินด้วย

คนทั้งสองเดินด้วยกัน ความสนใจของนางล้วนอยู่ที่ร้านค้าและหาบเร่แผงลอย โชคดีที่มือจับเขาไว้ไม่ปล่อย ดังนั้นถึงจะไม่มองทางก็ไม่มีทางชนผู้อื่น

ครั้นเดินเล่นได้สุดถนนทั้งสาย โม่อีเหรินก็มีความรู้สึกปลื้มใจอย่างมาก นางคิดถึงว่ายังมีหนังสืออีกไม่น้อยให้อ่าน ยังมีของอีกไม่น้อยให้ศึกษา เพียงเท่านี้นางก็ยิ้มตาหยีแล้ว

สองฝั่งแม่น้ำอิ้งชวนล้วนเป็นเขตถนนอันครึกครื้น บัดนี้เดินมาสุดถนนฝั่งหนึ่งก็เจอสะพานโค้งเชื่อมกับฝั่งตรงข้ามอยู่ที่เบื้องหน้า โม่อีเหรินจึงพูดขึ้นทันที “จิงหง พวกเราไปอีกฝั่งหนึ่งกันต่อเถอะ”

“ได้” ความต้องการของโม่อีเหริน ไป่หลี่จิงหงไม่มีทางปฏิเสธ

ครั้นคนทั้งสองข้ามสะพานแล้วเดินชมร้านค้าและหาบเร่แผงลอยที่อยู่อีกฝั่งจนหมด ในกระเป๋าวิเศษของโม่อีเหรินก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มมาอีกไม่น้อย

และตั้งแต่ต้นจนจบไป่หลี่จิงหงมิได้ซื้อสิ่งใดเลย เพียงแต่รับหน้าที่เดินเล่นเป็นเพื่อนและคอยดูทางให้เท่านั้น อีกทั้งยังมองดูสีหน้ายิ้มแย้มของนางโดยมิได้รำคาญอย่างสิ้นเชิง

แม้จะไม่อาจเข้าใจได้ว่าการเดินเล่นและซื้อของเยี่ยงนี้มีอะไรน่าสนุก ทว่าสีหน้าท่าทางของนางดูเบิกบานมากโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถามว่า “ชอบหรือ”

“อื้ม” นางพยักหน้า รั้งสายตากลับมาจากหาบเร่แผงลอยย้ายมามองเขา “ตอนยังเล็กสุขภาพร่างกายไม่ดี ทำได้เพียงนอนอยู่ในห้อง เวลานั้นความปรารถนาของข้าก็คือ…สักวันหนึ่งหากสามารถแข็งแรงขึ้นได้ ข้าจะออกไปเดินเล่นให้ทั่ว ชมดูทิวทัศน์อันงดงามให้มาก กินของอร่อยให้มาก ทำเรื่องสนุกให้มาก ซื้อของที่ชอบให้มาก”

ทั้งหมดเป็นความปรารถนาที่มิได้มีอุดมการณ์กว้างไกลและมิได้สร้างประโยชน์ใดๆ ต่อมนุษย์โดยสิ้นเชิง มีเพียงเรื่องเล่นสนุกเท่านั้นเอง

หากแต่ไป่หลี่จิงหงกลับพยักหน้า “ข้าจะทำเป็นเพื่อนเจ้า”

โม่อีเหรินมองเขาอย่างประหลาดใจอยู่เล็กๆ

“ข้าจะทำเป็นเพื่อนเจ้าเอง” ไป่หลี่จิงหงย้ำอีกรอบ

ไม่ว่านางอยากทำอะไร นางต้องการไปที่ใด เขาก็จะทำจะไปเป็นเพื่อนนางทั้งหมด

โม่อีเหรินคิดเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นถ้าข้าอยากกลับเกาะโม่เสวียนแล้วไม่ออกมาอีกเล่า”

“ข้าก็จะไปกับเจ้า” เขาไม่มีความลังเลใดๆ

“ท่านไม่ต้องกลับเกาะหุนหรือไร”

ไป่หลี่จิงหงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่ต้อง” มีบิดาของเขาอยู่ เขาไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร

“เช่นนี้จะดีหรือ” โม่อีเหรินเอียงศีรษะ สีหน้าวุ่นวายใจอยู่สักหน่อย

ท่านพ่อของจิงหงจะรู้สึกหรือไม่ว่าถูกนางแย่งบุตรชายไป

แม้ว่านับแต่โบราณมาแม่สามีลูกสะใภ้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าพ่อสามีลูกสะใภ้ไม่ใช่ไม้เบื่อไม้เมากัน เอ่อ…พวกนางยังไม่ได้แต่งงานกัน นางก็ไม่นับเป็นลูกสะใภ้ ทว่าก็ใกล้เคียงแล้ว

“ดีสิ วางใจเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” ไป่หลี่จิงหงมองสีหน้าท่าทางของนางเข้าใจ จึงโอบนางไว้แล้วตบปลอบเบาๆ

ต่อให้มีเรื่องอะไร เขาจะจัดการเอง

“เป็นบุรุษ ไม่ว่าจะประสบเรื่องอะไรก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้สตรีแบกรับไว้เอง”

“พรืด…” โม่อีเหรินหัวเราะออกมา ก่อนโอบตอบไป่หลี่จิงหง “ก็ได้ จะไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้มี พวกเราก็แบกรับด้วยกัน”

ไป่หลี่จิงหงดูไม่ใคร่พอใจนัก “ข้าแบกรับเอง” นี่เป็นการยืนกรานของบุรุษ แค่ปกป้องสตรีของตน เขาจะต้องทำให้ได้

“ด้วยกัน” นางยืนกราน จากนั้นก็สำทับอีกประโยค “ยกเว้นท่านตา”

หากคนทั้งสองต้องการอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าประสบเรื่องอะไรก็จะต้องเผชิญหน้าด้วยกัน…แน่นอนว่ายกเว้นเรื่องการทดสอบของท่านตานาง

นางเคารพรักท่านตา จึงไม่อยากอกตัญญูต่อเขา ‘กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา’ อะไรนั่น ชวนให้เสียความรู้สึกเหลือเกิน

อีกทั้งนางเองก็เชื่อว่าท่านตาไม่มีทางตัดสินใจทำเรื่องที่ทำให้นางเสียใจออกมาแน่นอน

อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้ลำบากใจเล็กๆ

เรื่องนี้…ไป่หลี่จิงหงก็รับไปแล้วกัน เพราะว่าเขาคือคนที่ต้องการหลอกเอาตัวนาง

คนหนึ่งคือท่านตา อีกคนคือบุรุษที่ตนชมชอบ โม่อีเหรินมีสังหรณ์ว่าวันหน้านางจะมีเกียรติอย่างมาก จะได้ซาบซึ้งอย่างไม่หยุดหย่อนว่าอะไรเรียกว่า ‘ถูกหนีบอยู่ระหว่างความชอบและความระทมใจ’

ทว่าเมื่อคิดจากอีกมุม นี่ก็เป็นความสุขและความโชคดีของนางเช่นกัน

บนโลกนี้มีบุรุษที่ให้ความสำคัญกับนางอยู่ถึงสอง…ไม่สิ สี่คน นี่เป็นบุญวาสนาของนาง จะต้องทะนุถนอมให้ดี

“ข้าจะทำให้เขาเห็นด้วย” ไป่หลี่จิงหงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังยิ่ง

“จะไม่โมโห?”

“ไม่”

“ถ้าเกิดต้องใช้เวลาหลายปีมากเล่า” เห็นได้ชัดยิ่งว่าท่านตาไม่อยากให้นางแต่งงานเร็วๆ นี้แน่

แม้ว่านางเองก็รู้สึกว่าตนเองยังเด็กเช่นกัน…หากเป็นชาติก่อน ด้วยอายุในตอนนี้ของนางก็เพิ่งจะขึ้นมัธยมปลายเท่านั้น แต่งงานในเวลาเช่นนี้ ยังคงน่า…อิหลักอิเหลื่ออยู่บ้างจริงๆ

“ต่อให้ต้องใช้เวลาหลายปี เจ้าก็เป็นของข้าเช่นเดิม ข้าจะแต่งงานกับเจ้า เจ้าก็แต่งงานได้แค่กับข้าคนเดียว”

สามารถแต่งงานโดยเร็วได้ย่อมดียิ่ง แต่ถึงจะต้องใช้เวลาหลายปี เขาก็ยังจะแต่งกับนาง

ไม่มีข้อสรุปอื่น

กล่าววาจานี้จบ ไป่หลี่จิงหงก็ยังมองดูนางอย่างจริงจังตั้งใจ สายตาไม่กะพริบ สีหน้าไม่เปลี่ยน ความหมายคือ ‘รีบพูดมาเร็วว่าเจ้าเองก็จะแต่งงานกับข้าคนเดียวเช่นกัน’

เขารอคอยให้นางเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเองอย่างจริงจังตั้งใจ

“พรืด…” โม่อีเหรินหัวเราะพรืดออกมาเสียงหนึ่งอย่างสุดจะกลั้น

นางไม่เคยคิดเลยว่าไป่หลี่จิงหงที่ทั้งเย็นชาทั้งเย่อหยิ่งทั้งเคร่งขรึมและเหมือนภูเขาน้ำแข็งมาโดยตลอดก็มีสีหน้า ‘น่ารักน่าหยิก’ ถึงเพียงนี้ได้เช่นกัน

น่ารักกว่าลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดเสียอีก!

จิงหง ลูกสุนัข? พรืด…

พอเห็นนางหัวเราะจนหยุดไม่อยู่ ไป่หลี่จิงหงก็ฉงนสนเท่ห์อยู่บ้าง แต่ก็มิได้ขยับ ยังคงมองนางต่อไป

สีหน้าท่าทางนี้ยิ่งน่ารักน่าหยิกกว่าเดิมเสียอีก

โม่อีเหรินหัวเราะหนักจนหยุดไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม

ไป่หลี่จิงหงมองไปมองมากลับพลันยื่นมือออกมาปัดเส้นผมที่ปลิวอยู่ข้างแก้มนาง จากนั้นก็จ้องมองกลีบปากอ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำที่นางกัดไว้ด้วยต้องการกลั้นเสียงหัวเราะ

โม่อีเหรินพลันมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี จึงเงยหน้าขึ้นอย่างงงงันอยู่บ้าง

ไป่หลี่จิงหงโอบเอวนางไว้ทันที ขณะกำลังโน้มตัวลงมา ท่าทางกลับเปลี่ยนไปในฉับพลัน

“ออกมา!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 26

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: