บทที่ 7
โม่อีเหรินเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง หอยกาบตัวใหญ่ตัวนั้นหากใช้สายตากะขนาด น่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อยเกินสิบจั้ง
แม้จะรู้อยู่ตลอดว่านี่เป็นโลกที่มหัศจรรย์ และก็ชินกับ ‘ความไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์’ สารพัดอย่างของเหล่าสัตว์วิเศษในโลกนี้แล้ว แต่ว่าแวบแรกที่ได้เห็น…เอ่อ…สัตว์ที่ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ ก็ยังคงทำให้โม่อีเหรินตกใจจนอึ้งไปเล็กน้อยอยู่ดี
“เสี่ยวทุน มันตัวใหญ่ยิ่งนัก”
“อย่างนั้นหรือ” เสี่ยวทุนเงยหน้าขึ้น ลูกตาสีดำวาวเหลือบมองหอยกาบตัวยักษ์
ก็ไม่เท่าไรนี่! หอยกาบยักษ์อายุเป็นหมื่นปี ตัวโตประมาณนี้…อันที่จริงนับว่าเล็กไปหน่อย
รอวันหน้ามันโตเต็มวัย ขนาดตัวจะโตเต็มที่อย่างแท้จริง
หอยกาบตัวนี้ ข้าสะบัดหางทีเดียวก็ซัดมันลอยไปสุดขอบฟ้าได้แล้ว
“สิ่งที่เสี่ยวทุนต้องการให้ข้ามาดูก็คือหอยกาบยักษ์ตัวนี้หรือ” แม้จะใหญ่อยู่บ้าง พบเห็นได้ยากอยู่บ้าง แต่น่าจะไม่ถึงขั้นที่ทำให้เสี่ยวทุนเร่งให้นางมาถึงเพียงนั้นกระมัง…
“มิใช่ ท่านแม่ สิ่งนั้นน่าจะอยู่ในท้องมัน”
“ในท้อง?” โม่อีเหรินหมดคำพูดแล้ว หอยกาบตัวมหึมาเช่นนี้ ถ้ามันไม่อ้าฝาออกเอง ให้นางไปง้าง นั่นเป็นงานหนักโดยแท้
มิหนำซ้ำ…สาวน้อยพินิจมองหอยกาบยักษ์อย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนใช้ญาณวิเศษกวาดผ่านเปลือกหอย แต่กลับถูกขัดขวางไว้
หอยกาบยักษ์ตัวนี้มิอะไรไม่ชอบมาพากล
เหล่าหอยกาบเมื่อครู่นี้แม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีพลังชีวิตเปี่ยมล้น เปลือกหอยขาวจั๊วะ เห็นแล้วชวนให้คนรู้สึกว่ามีชีวิตชีวายิ่ง ทว่าหอยกาบยักษ์ตัวนี้ไม่เพียงเต็มไปด้วยกลิ่นอายตายซาก เปลือกหอยก็หม่นมัว ไม่มีความสดใสแม้แต่นิดเดียว นางอดจะสงสัยไม่ได้ว่านี่คงมิใช่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ไปแล้วกระมัง
“ท่านแม่ ข้าจะทำลายเปลือกหอย แล้วพวกเรามาดูของที่อยู่ข้างในกัน” พูดจบเสี่ยวทุนก็ผละออกจากข้อมือนาง ร่างกายเล็กๆ ขยายใหญ่ในพริบตา มันยกหางขึ้นมาทำท่าจะฟาดลงไป
“เสี่ยวทุน! ประเดี๋ยวก่อน”
“ท่านแม่?”
“ให้ข้าดูก่อน” นางเดินไปหยุดเบื้องหน้าหอยกาบยักษ์ ย่อตัวลงและยื่นมือไปลูบเปลือกมัน
หยาบ แข็ง ไม่มีความมีชีวิตชีวาใดๆ โดยสิ้นเชิง ฝาบนล่างทั้งสองฝาปิดแน่นสนิท
นางลองถ่ายพลังวิเศษผ่านจุดที่ฝาประกบกันเข้าไปทดสอบดู
หอยกาบยักษ์ไม่มีการตอบสนองใดๆ
“เสี่ยวทุน มันตายแล้วหรือ” โม่อีเหรินเอ่ยถาม
สัมผัสตอบสนองต่อสัตว์วิเศษของเสี่ยวทุนเฉียบคมกว่านางมาก เปลือกหอยกาบยักษ์แข็งแรงเกินไป นางไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันตายแล้วจริงหรือไม่ แต่เสี่ยวทุนน่าจะบอกได้
“อื้ม” เสี่ยวทุนพยักหน้า “ท่านแม่ ในท้องมันมีของอยู่ ไม่ทุบเปลือกให้แตกก็เอาออกมาไม่ได้”
หางของเสี่ยวทุนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ขอแค่ท่านแม่พยักหน้า มันก็ฟาดลงไปได้ทันที ไม่ว่าเปลือกหอยจะแข็งมากเพียงไร ไม่ว่ามันอายุเป็นหมื่นปีหรือไม่ เสี่ยวทุนฟาดหางทีเดียวก็ทำให้เปลือกแหลกละเอียด ช่วยคลี่คลายปัญหากวนใจให้ท่านแม่ได้แล้ว
“เสี่ยวทุน เด็กดี” นางเห็นท่าทางของเสี่ยวทุนก็รู้แล้วว่ามันกำลังคิดอะไร จึงอยากจะหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “เปลือกหอยกาบแข็งยิ่ง เป็นวัตถุดิบหลอมประดิษฐ์ เปลือกหอยกาบอายุเกินพันปีเป็นวัตถุดิบชั้นดียิ่งกว่า หากอายุเกินหมื่นปี นั่นยิ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่หาได้ยากมาก พวกเราเอามันกลับไป ท่านตาจะต้องดีใจมากแน่นอน”
“อ้อ” เสี่ยวทุนเก็บหางลงด้วยความเสียดาย จากนั้นก็คิดวิธีช่วยทุ่นแรงท่านแม่ได้อีกวิธี “ท่านแม่ ข้าจะช่วยแบกให้ท่านเอง”
โม่อีเหรินหัวเราะแล้ว “ไม่ต้อง พวกเราเปิดมันก่อน จากนั้นเก็บมันเข้าในแหวนก็ใช้ได้แล้ว เสี่ยวทุน บริเวณใกล้ๆ นี้มีมวลน้ำเล็กๆ อยู่จำนวนมาก เจ้าสามารถทำให้พวกมันออกไปห่างจากพวกเราสักหน่อยได้หรือไม่”
หอยกาบยักษ์ตัวนี้ตัวใหญ่เกินไป มวลน้ำเล็กๆ เหล่านี้เป็นอุปสรรคยิ่ง
“ไม่มีปัญหา” สามารถช่วยงานท่านแม่ได้ เสี่ยวทุนยินดียิ่ง จึงพ่นของลักษณะเหมือนฟองอากาศออกมาครอบตนเองและท่านแม่ไว้ทันที จากนั้นพอสะบัดหาง พลังขุมหนึ่งก็ดันให้ฟองขยายตัวออกไป
ฟองขยายไปถึงที่ใด ไม่ว่าเป็นกระแสน้ำหรือปลาใหญ่ปลาน้อยก็ล้วนถูกผลักออกไปไกลทั้งสิ้น บนล่างซ้ายขวา ร้อยลี้โดยรอบเหลือเพียงอากาศ เสี่ยวทุนพอใจอย่างมาก
“เสี่ยวทุนสุดยอดไปเลย” โม่อีเหรินเอ่ยชม
เสี่ยวทุนขยับตนเองไปรอท่านแม่อยู่ด้านหนึ่งทันทีด้วยท่าทางดีอกดีใจ
คราวนี้โม่อีเหรินถึงได้ย้ายไปอีกด้าน ชักหิมะแดงออกมาจากตรงบั้นเอว สะบัดข้อมือทีเดียว ตัวกระบี่หิมะแดงก็แทงเข้าไปข้างจุดเริ่มต้นรอยต่อฝาหอยทันที
ต่อจากนั้นประกายกระบี่สายหนึ่งก็กรีดผ่านตามจุดที่ฝาหอยประกบกัน แล้วตัวกระบี่ก็สั่นอีกครั้ง
เป๊าะ!
ฝาหอยมหึมาดีดเปิดในชั่วพริบตา
เปิดง่ายถึงเพียงนี้เชียว ท่านแม่ร้ายกาจเหลือเกิน! เสี่ยวทุนมองดูจนลูกตาเบิกโต
โม่อีเหรินเก็บหิมะแดงกลับมา แล้วถึงเดินไปดูข้างเปลือกหอย
ในเปลือกหอยมองเห็นว่ามีไข่มุกกลมเกลี้ยงสีขาวบริสุทธิ์อยู่ไม่กี่เม็ด ทุกเม็ดล้วนใหญ่เท่าลูกวอลเลย์ของยุคปัจจุบัน หนึ่งในนั้นพิเศษยิ่ง มิใช่สีขาว แต่ปรากฏเป็นสีเทามอๆ ไม่มีความสะดุดตาแม้แต่น้อย
โม่อีเหรินมองเห็นมันได้ในแวบเดียว
เสี่ยวทุนเองก็พุ่งตัวมาเช่นกัน “ท่านแม่ เม็ดนั้น!”
โม่อีเหรินก้มตัวลงใช้สองมือประคองไข่มุกสีมอขึ้นมาแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปในฉับพลัน
พอไข่มุกสีมอมาอยู่ในมือ พลังปราณทั่วทั้งร่างนางก็ปั่นป่วน พลังปฐมในกายถูกดูดเข้าไปในไข่มุกผ่านมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วทันที
“ท่านแม่!” เสี่ยวทุนร้อนใจ ทำท่าจะเอาหัวชนไข่มุกเม็ดนั้นให้หลุดจากมือโม่อีเหริน
“เสี่ยวทุน…อย่าขยับ…” โม่อีเหรินฝืนเอ่ยปากบอก
“ท่านแม่…” เสี่ยวทุนน้ำตาคลอหน่วย
“ไม่ต้องกังวล ช่วยเฝ้าพิทักษ์ข้าที ข้าไม่เป็นไร…”
“ได้” เสี่ยวทุนพ่นฟองออกมาอีกฟองทันที ห่อหุ้มท่านแม่พร้อมทั้งหอยกาบยักษ์ไว้ทั้งตัว ส่วนตัวมันเองก็คอยระแวดระวัง ทางหนึ่งก็จับตามองโม่อีเหรินแน่วนิ่งด้วยอารามเป็นกังวล
พลังปฐมภายในกายโม่อีเหรินกำลังจะถูกดูดไปสิ้นในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งตัวคนก็เริ่มรู้สึกอ่อนกำลังและวิงเวียนตาลาย นางกัดริมฝีปาก โคจรเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นขึ้นมาดูดซับไอวิเศษที่โลกภายนอกโดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเดียวกันแรงดูดของไข่มุกสีมอที่ดูดเอาพลังปฐมของนางไปก็หยุดลงโดยพลัน และคล้ายว่ายังคายไอวิเศษส่งกลับคืนมาทางมือซ้ายของนางนิดๆ อีกด้วย
เริ่มแรกโม่อีเหรินยังไม่รู้สึกตัว เพียงแต่ดูดซับและส่งออกไม่หยุด เคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นโคจรเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไข่มุกสีมอถึงกับค่อยๆ มีขนาดเล็กลงในระหว่างที่ดูดเข้าคายออกเช่นนี้
กว่าโม่อีเหรินจะรู้สึกตัว ไข่มุกก็เล็กลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนสองมือนางที่ประคองไข่มุกอยู่ก็เปลี่ยนเป็นข้างหนึ่งส่งพลังปฐมออกไป อีกข้างดูดเอาพลังวิเศษเข้ามา ก่อเกิดเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงระหว่างร่างกายนางกับไข่มุกโดยผ่านเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้น
ไม่ถึงครู่เดียวไข่มุกสีมอก็หดเล็กลงทุกที จากนั้นก็…หายไป
โม่อีเหรินกับเสี่ยวทุนอึ้งงันไปทันที
ทว่าในจุดตันเถียนของโม่อีเหรินกลับมีก้อนพลังสีเทาเพิ่มมาก้อนหนึ่ง รวมตัวกับพลังปฐมที่เก็บสะสมในจุดตันเถียนของนางจนกลายเป็นก้อนเดียว
โม่อีเหรินนั่งสมาธิโคจรเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นต่อทันใด
ตอนที่หลอมหญ้าโลหิตหงส์ เนื่องจากสัมผัสตระหนักรู้ต่อยาลูกกลอน นางก็ได้เหยียบถึงบันไดขั้นสุดท้ายของเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นระดับแรกแล้ว เทียบได้กับพลังแก่นแท้ของราชันยุทธ์
และขณะที่ทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้พื้นที่ว่าง เรียนรู้จนย่นระยะทางเป็น อีกทั้งใช้งานได้อย่างอิสระ นางก็รู้สึกได้ว่าการฝึกบำเพ็ญของนางมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เพียงไม่นานก็น่าจะเลื่อนขั้นได้
ผลคือผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว แต่นางก็ยังไม่ได้เลื่อนขั้น
ทว่าบัดนี้ในชั่วพริบตาที่ถูกไข่มุกสีมอดูดพลังปฐมไปจนเกือบหมด นางพยายามครองสติไว้อย่างสุดกำลัง และโคจรเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นนี้เอง นางกลับมีความรู้สึกว่ากำลังจะเลื่อนขั้นแล้ว
หากแต่ไม่มีไอวิเศษที่เพียงพอและพลังปฐมที่สะสมได้มากพอ การเลื่อนขั้นก็ไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด
ที่คิดไม่ถึงคือพอนางโคจรเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้น ไข่มุกสีมอกลับไม่ใช่แค่ดูดเอาพลังปฐมของนางไป แต่ยังส่งไอวิเศษกลับมาให้นางด้วย ท้ายที่สุดยิ่งกลายเป็นไอวิเศษเข้ามาอยู่ในร่างนาง
การเลื่อนขั้นของนางสำเร็จในเสี้ยวเวลานั้นเอง ที่นั่งสมาธิลงก็เพื่อทำให้พลังปฐมมั่นคง
เนื่องจากการเลื่อนขั้น พลังปฐมกลมกลึงดุจไข่มุกที่เดิมทีอัดตัวอยู่ในจุดตันเถียนของนางได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง แล้วอัดตัวขึ้นใหม่เป็นรูปคนตัวเล็กๆ ส่วนไข่มุกสีมอเม็ดนั้นก็กลายสภาพเป็นเม็ดเล็กๆ แนบเข้าไปตรงจุดตันเถียนของคนตัวน้อยผู้นั้น
นี่นับเป็น…เอ่อ…พลังปฐมในจุดตันเถียนของจุดตันเถียน? เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริงๆ
ทว่าโม่อีเหรินก็มิได้วุ่นวายใจมากนัก การทำให้พลังยุทธ์มั่นคงก่อนเป็นเรื่องสำคัญกว่า
โม่อีเหรินในเวลานี้คิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นเล็กๆ ของเสี่ยวทุนจะนำพาความน่าตกตะลึงที่มากยิ่งกว่ามาให้นางในอนาคต
หลังคนตัวน้อยภายในกายก่อรูปก่อร่างได้อย่างราบรื่นแล้ว วิชาระดับที่สองของเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นก็ปรากฏขึ้นใหม่ในญาณวิเศษ โม่อีเหรินจำได้แม่นแล้วถึงได้ลืมตาขึ้นช้าๆ
“ท่านแม่ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เสี่ยวทุนจ้องนางอย่างเป็นกังวลยิ่ง
“ไม่เป็นไร” โม่อีเหรินยิ้มก่อนลุกขึ้นยืน นางรู้สึกดียิ่ง พลังปฐมเต็มเปี่ยม ขอบเขตที่ญาณวิเศษสามารถสังเกตการณ์ได้ขยายตัวขึ้นอีกแล้ว นางค้นพบว่าเหล่าสัตว์วิเศษเช่นวาฬและฉลามต่างกำลังตามหานางกัน
“เสี่ยวทุน ข้านั่งสมาธิมานานเท่าไรแล้ว”
“เอ่อ…ราวสี่ชั่วยามเห็นจะได้” เสี่ยวทุนไม่ได้ตั้งใจนับ
“แย่แล้ว! ท่านตากับพวกท่านพี่จะต้องเป็นห่วงข้าแล้วแน่นอน”
โม่อีเหรินโบกมือ เก็บหอยกาบยักษ์พร้อมทั้งไข่มุกสีขาวขึ้นทั้งหมด เสี่ยวทุนกลับมาพันอยู่ที่ข้อมือนางอีกครั้ง จากนั้นก็ทะยานตัวขึ้นพ้นผิวน้ำในพริบตา
เหล่าสัตว์ในทะเลเห็นนางก็พากันพุ่งตัวออกมาด้วย จากนั้นโม่อีเหรินก็เหงื่อตกแล้ว
รวมสัตว์ที่บินอยู่บนฟ้าและที่วิ่งอยู่บนพื้นดิน อีกทั้งท่านตา ท่านตาเหยี่ยน และพี่ชายทั้งสอง…ล้วนแต่กำลังจับตามองในทะเลทั้งสิ้น
เขี้ยวเงินกับเซิ่นว่ายน้ำไม่เป็น ก็ยังถึงขนาดทำท่าจะพุ่งลงน้ำแล้ว เพียงแต่ถูกท่านตาขวางไว้ ส่วนเขียวครามก็สื่อสารกับวาฬโดยตลอด ให้มันหาบรรดาสัตว์มาค้นหาตัวนางในน้ำเพิ่มอีก…
“โม่อีเหริน!”
พอมองเห็นนางปรากฏกายอย่างปลอดภัย คนและสัตว์ทั้งหมดในที่นี้ก็ล้วนโล่งอก
ต่อจากนั้น
“โฮก…”
“มอ…”
“จี๊ด…”
“จิ๊บ…”
“เวิง…”
สัตว์ทั้งหลายประสานเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง คำพูดที่แสดงออกมามีเพียงประโยคประเภทว่า
‘โม่อีเหริน!’
‘ท่านไปที่ใดมา!’
‘พวกข้าตกใจแทบตาย!’
“ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่อยู่ที่ก้นทะเลนานไปหน่อย ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว” โม่อีเหรินได้แต่เหงื่อตกไปพลางปลอบขวัญไปพลาง
สุดท้ายโม่อีเหรินก็ทำอาหารโอชะออกมาด้วยวัตถุดิบที่สัตว์ทั้งหลายนำมาให้ ปลอบกระเพาะของพวกสัตว์และปลอบใจที่ได้รับความตระหนกของพวกมันแล้ว ก็นับว่าจบภารกิจปลอบพวกมันได้ในที่สุด ต่างแยกย้ายกันกลับรังไปพักผ่อน
จากนั้นพอมองเห็นสีหน้าที่ท่านตามองนาง โม่อีเหรินก็เหงื่อตกอย่างเงียบๆ อีก
…หวังว่าของขวัญอย่างหอยกาบยักษ์นี้จะมีประสิทธิภาพพอนะ
หุบเขาใจกลางเกาะโม่เสวียนเป็นสถานที่พำนักที่โม่ซั่งเฉินถูกใจตั้งแต่แรกมาถึงเกาะ
เดิมทีเพียงปลูกเรือนไม้เรียบง่ายสี่ห้อง ใช้เป็นห้องนอน ห้องหนังสือ ห้องหลอมประดิษฐ์ ห้องหลอมโอสถ
ทว่าหลังจากแน่ใจว่าจะยึดเกาะโม่เสวียนเป็นที่พำนักระยะยาว เฟิงเหยี่ยนก็ลงมือปลูกเรือนไม้หนึ่งห้องด้วยตนเองในตอนที่ถูกพามาหนแรก เพื่อเตรียมไว้สำหรับเข้าพักได้ทุกเมื่อยามมาเยือนเกาะนี้
ส่วนปัญหาเรื่องการอาบน้ำและอาหารการกิน ล้วนไปแก้ไขที่บริเวณธารน้ำแห่งหนึ่งในหุบเขา
ต่อมาพอโม่อีเหรินมาถึง โม่ซั่งเฉินกับเฟิงเหยี่ยนก็ลงมือปลูกเรือนพักหนึ่งหลังที่มีทั้งห้องส่วนนอกและส่วนใน ทำห้องครัวหนึ่งห้อง และห้องอาบน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนสถานที่สำหรับหลอมประดิษฐ์และหลอมโอสถ ตอนแรกล้วนใช้ของท่านตา ต่อมาถึงได้ต่อเติมให้โม่อีเหรินใช้โดยเฉพาะอยู่อีกด้านของเรือนพัก
บัดนี้เกาะโม่เสวียนมีผู้อยู่อาศัยเพิ่มมาอีกสองคนแล้ว
เรื่องแรกที่พี่น้องสกุลฉู่ทำหลังมาถึงมิใช่การเดินชมเกาะ มิใช่การสำรวจว่าเกาะมีขนาดเท่าไร แต่เป็น…การปลูกเรือนพักของตนเอง
‘ในเมื่อต้องการจะอยู่ต่อ ก็ต้องจัดการสถานที่พักเอาเอง’ นี่คือวาจาของโม่ซั่งเฉิน
เฟิงเหยี่ยนอธิบายเพิ่มเติมด้วยท่าทางยิ้มแฉ่ง
‘อันที่จริงจะปลูกเรือนหรือไม่ พวกข้าล้วนไม่มีความเห็น พวกเจ้าจะอาศัยบนต้นไม้ จะขุดถ้ำ จะขุดโพรงดิน หรือจะนอนกลางแจ้ง ล้วนตามแต่ใจพวกเจ้าเอง อยู่ที่เกาะโม่เสวียนไม่ต้องจำกัดตนเองเกินไป เฉินไม่มาสนใจพวกเจ้าเท่าไรหรอก’
‘…’ ท่านตาเหยี่ยน นี่คือเห็นพวกเขาสองคนกลายเป็นมนุษย์ถ้ำ เป็นลิงเป็นค่าง หรือว่าเป็นตัวตุ่นกันแน่
ไม่ต้องบอก พี่น้องสกุลฉู่ก็เข้าป่าไปตัดต้นไม้มาเองอย่างเงียบๆ ยามนั้นโม่อีเหรินกำชับเขี้ยวเงินเป็นพิเศษให้นำทางและไปหาไม้ดีๆ มา
จากนั้นทั้งสองก็ร่วมแรงกันปลูกเรือน
สองพี่น้องเลือกปลูกเรือนพักบนพื้นที่ว่างอีกข้างของเรือนพักโม่อีเหริน ที่ด้านหลังต่อเติมห้องสำหรับอาบน้ำเพิ่มอีกห้อง และชักน้ำจากน้ำพุบนเขามาใช้
ขณะสองพี่น้องกำลังสร้างห้องอาบน้ำ เฟิงเหยี่ยนก็ทอดถอนใจอยู่ข้างๆ ‘ห้องอาบน้ำอย่างนั้นหรือ…ไม่เลวเลยจริงๆ’
แม้ตามปกติฉู่เซวียนฉีจะไม่ได้ดูเฉียบแหลมนัก และก็มิได้มีนิสัยมากเล่ห์มากอุบาย ทว่ายามนี้เขากลับตอบสนองเร็วกว่าพี่ชาย
‘พี่ใหญ่ พวกเราทำห้องอาบน้ำอีกสองห้องเถอะ’ ห้องหนึ่งให้ท่านตา อีกห้องให้อาจารย์
‘อืม’ ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้าเงียบๆ
เฟิงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วก็พอใจยิ่ง
ด้วยเหตุนี้จวบจนปัจจุบัน ในหุบเขาเล็กแห่งนี้จึงมีเรือนไม้สิบกว่าห้อง แม้จะตั้งอยู่แยกกัน แต่กลับเชื่อมต่อกันเป็นรูปคล้ายตัว ‘U’ คว่ำอยู่กลายๆ
ส่วนที่เชื่อมอยู่ตรงกลางก็คือที่พักของโม่อีเหริน
รอบๆ เรือนไม้มีสมุนไพรที่โม่อีเหรินปลูกไว้ พื้นที่ว่างหน้าเรือนก็เป็นที่ให้นางตากและจัดการกับสมุนไพร
นอกจากนี้ยังมีศาลาเล็กอีกหลัง ใช้เป็นที่กินข้าวและสนทนาชมทิวทัศน์กัน
แม้จะออกไปจากเกาะโม่เสวียนหลายเดือน แต่สมุนไพรในหุบเขากลับไม่มีร่องรอยถูกทอดทิ้งแต่อย่างใด บนเกาะโม่เสวียนมีไอวิเศษเข้มข้น ดินอุดมสมบูรณ์ แม้จะมีสี่ฤดู แต่กลับไม่กระทบต่อการเติบโตของสมุนไพร นี่ก็เป็นสาเหตุที่ในตอนแรกโม่ซั่งเฉินถูกใจเกาะนี้
สถานที่ที่มีสมุนไพรพื้นเมืองและเหมาะแก่การปลูกสมุนไพร ย่อมจะเป็นที่รักของหมอโอสถ
หากเป็นสมุนไพรพื้นเมือง มีวัฏจักรการเติบโตของตนเอง ไม่ให้การดูแลสนใจก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่โม่อีเหรินกับโม่ซั่งเฉินปลูกนั้นย่อมต้องการการดูแลไม่มากก็น้อย
ในตอนแรกโม่อีเหรินมอบหมายงานนี้ให้เขี้ยวเงิน แต่ใครจะไปรู้ว่าเขี้ยวเงินต้องการจะติดตามนางไป จึงมอบงานนี้ให้บรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าแทน…มิหนำซ้ำเขี้ยวเงินยังแจกแจงเรื่องการรดน้ำ การเก็บเกี่ยว การเพาะปลูกไว้อย่างละเอียดยิบ เป็นการบอกกระบวนการขั้นตอนที่หลายปีมานี้มันเห็นโม่อีเหรินทำออกมาอย่างหมดเปลือกเลยทีเดียว
บรรดาสัตว์เองก็ให้ความร่วมมือยิ่ง รดน้ำ เก็บเกี่ยว เพาะปลูก ตากแห้ง งานทุกประเภทล้วนมีสัตว์ที่เหมาะสมรับผิดชอบ ไม่ว่าโม่อีเหรินจากเกาะโม่เสวียนไปนานเพียงไร สมุนไพรที่ควรปลูกควรเก็บเกี่ยวก็ไม่ขาดไปแม้แต่นิดเดียว กลับกลายเป็นว่ายังปรากฏสมุนไพรที่ตากแห้งเรียบร้อยแล้วเป็นจำนวนมาก ล้วนถูกวางไว้ในห้องหลอมโอสถของโม่อีเหรินอย่างเรียบร้อย
สามเดือนก่อนขณะพวกนางมาถึงหุบเขา ก็มองเห็นสัตว์วิเศษจำนวนมากวิ่งวนกลับไปกลับมารอบหุบเขา กำลังยุ่งง่วนกับกองสมุนไพร
เวลานั้นไม่เพียงพี่น้องสกุลฉู่กับเฟิงเหยี่ยนจะมองดูจนเซ่อซ่าไป แม้แต่โม่ซั่งเฉินก็ยังแสดงสีหน้าท่าทางอึ้งงันออกมาอย่างหาได้ยาก
ทางด้านสัตว์เหล่านั้นพอสังเกตเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา แต่ละตัวก็แสดงสีหน้าดุร้ายระแวงระวังออกมาก่อน แต่หลังจากมองเห็นโม่อีเหริน แต่ละตัวก็โผกระโจนพุ่งตรงมาด้วยความลิงโลดทันที
สัตว์วิเศษจำนวนมากเพียงนี้พุ่งตัวมาด้วยกันอาจจะเกิดอันตรายได้ พี่น้องสกุลฉู่จึงหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
ผลคือโม่อีเหรินยังไม่ทันได้ส่งเสียง เขี้ยวเงินก็ยังไม่ทันกระโดดออกมา สัตว์ทั้งหลายที่กรูกระโจนกันมาก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าโม่อีเหรินในระยะห่างสองจั้ง แล้วก็ต่างยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
โม่อีเหรินแย้มยิ้มออกมา
‘วู้…’ เขี้ยวเงินร้องขึ้นเสียงหนึ่ง ‘พวกข้ากลับมาแล้ว!’
‘มอ…’ ‘อีเหริน’
‘โฮก…’ ‘โม่อีเหริน’
‘จี๊ดๆ…’ ‘โม่อีเหรินมาแล้ว’
เสียงร้องของสัตว์ทั้งหลายดังผลัดกันเป็นระลอก เกือบจะทำให้เฟิงเหยี่ยนกับพี่น้องสกุลฉู่หูอื้อแล้ว
โม่อีเหรินกล่าว ‘ขอบใจพวกเจ้า’
‘มอๆ…’ ‘ไม่ต้องเกรงใจ’
‘โฮกๆ…’ ‘ไม่ต้องเกรงใจ’
‘จี๊ดๆ…’ ‘ไม่ต้องเกรงใจ’
‘ท่านตา ข้าพาพวกมันกลับไปก่อนนะเจ้าคะ’ โม่อีเหรินบอกกับท่านตา
‘อืม’ โม่ซั่งเฉินพยักหน้าให้นาง จากนั้นแค่ย่างเท้าออกไปก้าวเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าสมุนไพรตากแห้ง ตรวจดูสภาพของพวกมัน
‘พวกเราไปกันเถอะ!’ โม่อีเหรินตะโกนบอก แล้วเหาะเข้าป่านำไปก่อน
สัตว์ทั้งหลายตะโกนร้องพลางไล่ตามไปทันที
‘มอ…’ ‘อีเหรินกลับมาแล้ว!’
‘โฮก…’ ‘อีเหริน!’
‘จี๊ด…’ ‘โม่อีเหริน!’
เสียงร้องเหล่านี้เป็นการประกาศให้บรรดาสัตว์ที่อยู่ในป่าออกมาฉลองด้วยกัน!
เฟิงเหยี่ยนกับพี่น้องสกุลฉู่มองดูจนปากอ้าตาค้าง
พวกเขารู้มาตลอดว่าโม่อีเหรินมีวาสนากับสัตว์ต่างๆ มาก แต่มองเห็นสัตว์ทั้งหลายรักและปกป้องโม่อีเหรินเพียงนี้ ถึงขนาดเรียนการปลูกและตากสมุนไพรจนทำเป็น นี่สมควรกล่าวว่าเหล่าสัตว์วิเศษมีความสามารถในการเรียนรู้ดีจนน่าตกใจ หรือควรกล่าวว่าน้องสาวของพวกเขาร้ายกาจเกินไปดี
สัตว์วิเศษที่ปลูกและตากสมุนไพรเป็น? ดินแดนเทพยุทธ์หลายพันปีมานี้ไม่เคยได้ยินโดยสิ้นเชิง!
ขณะที่คนทั้งสามยังคงตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นี้เอง วาจานั้นของโม่ซั่งเฉินก็ถูกโยนมา
‘จัดการสถานที่พักเอาเอง’
นี่ทำให้พี่น้องสกุลฉู่ไม่มีเวลาให้ตกตะลึงอีก ทั้งสองเริ่มหาสถานที่และคิดว่าจะปลูกเรือนอย่างไร
เนื่องจากไม่เคยปลูกเรือนมาก่อน ดังนั้นหยาดเหงื่อ คราบน้ำตา และความเหนื่อยยากกว่าจะปลูกเรือนพักออกมาได้สำเร็จในที่สุดโดยมีเฟิงเหยี่ยนคอยชี้แนะ ก็ทำให้พวกเขานึกขยาดจนแทบไม่อยากหวนนึกถึงอีกแล้ว
ไม่กี่วันให้หลังสองพี่น้องสกุลฉู่ก็คุ้นเคยกับชีวิตบนเกาะโม่เสวียนแล้ว
โม่อีเหรินมีหัวข้อการฝึกบำเพ็ญของตนเอง ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีก็ย่อมจะมีเช่นกัน
ฉู่เซวียนฉีมีเฟิงเหยี่ยนให้การสอนตามเดิม ส่วนฉู่เซวียนอั๋งผ่านการฝึกบำเพ็ญใหม่อีกครั้ง จึงได้สนทนาปรึกษากับโม่ซั่งเฉินอยู่ช่วงสั้นๆ
‘ท่านตา ข้าเรียนกระบี่มาตั้งแต่เล็ก และก็เป็นแต่เพลงกระบี่’
‘เจ้าอยากมีกระบี่เป็นของตนเอง หรือเพียงแต่อยากกลายเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนเทพยุทธ์’ หากเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องง่ายแสนง่ายสำหรับโม่ซั่งเฉิน
เพลงกระบี่ตกทอดของสกุลฉู่ ในสายตาโม่ซั่งเฉินก็คือ ‘นั่นมันอะไร’
ไม่ใช่สิ ไม่นับว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำไป
ในห้องหนังสือของโม่ซั่งเฉินมีเพลงกระบี่หลายชุดที่ต่อให้เพลงกระบี่ของสกุลฉู่พัฒนาไปอีกสามระดับก็ยังไล่ตามไม่ทัน ไม่ว่าชุดใด หากเรียนจนเป็นแล้วล้วนสามารถทำให้ฉู่เซวียนอั๋งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์ได้อย่างมั่นคงทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นอย่างแรก…
‘ข้าอยากมีกระบี่เป็นของตนเองขอรับ’ ฉู่เซวียนอั๋งตอบอย่างหนักแน่น
‘เช่นนั้นก็ลืมทุกอย่างที่เจ้าเคยเรียนมาไปให้หมด นอกจากวิชาที่อีเหรินมอบให้เจ้าแล้ว เช้าตรู่ของทุกวันจงฝึกท่ากระบี่พื้นฐานท่าละพันรอบ หากรู้สึกว่าลำบาก ก็จงล้มเลิกแต่เนิ่นๆ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา’ โม่ซั่งเฉินกล่าวได้ชัดแจ้งยิ่ง และไร้ไมตรียิ่งเช่นกัน
‘ข้าจะฝึกให้ดีขอรับ’
ดังนั้นจึงมีภาพฉู่เซวียนอั๋งกวัดแกว่งกระบี่ให้เห็นทุกวันเป็นเวลาถึงสามเดือน
ต่อมาท่านตาได้กล่าวว่า ‘นี่เรียกว่าการลับกระบี่’
ส่วนว่าจะสามารถลับกระบี่เช่นไรออกมาได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับคนนั้นๆ เอง
เวลาสามเดือนเต็มๆ ตอนกลางวันของทุกวันนอกจากลับกระบี่ ฉู่เซวียนอั๋งก็มิได้เรียนเพลงกระบี่และเคล็ดวิชากระบี่ใดๆ ส่วนยามกลางคืนของทุกวันก็จะฝึกลมหายใจและสั่งสมพลังปฐมตามวิชาที่โม่อีเหรินมอบให้เขา
ทว่าเขาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน สงบจิตสงบใจ ทำเรื่องที่ซ้ำซากและจืดชืดทุกวัน
โม่ซั่งเฉินไม่ได้คอยจับตาอยู่ทุกเมื่อว่าเขากำลังทำอะไร ได้ฝึกกระบี่ถึงที่สุดหรือไม่ เนื่องจากแค่ดูกลิ่นอายของฉู่เซวียนอั๋ง โม่ซั่งเฉินก็รู้ได้ทุกอย่างแล้ว
สำหรับความสุขุมหนักแน่นและไม่ทุกข์ไม่ร้อนของฉู่เซวียนอั๋ง โม่ซั่งเฉินพยักหน้ารับเพราะนับว่าน่าพอใจมากแล้ว
ชีวิตบนเกาะโม่เสวียนเหมือนว่าตัดขาดจากโลก
ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ไม่มีการเอาชนะคะคาน และยิ่งไม่มีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนระหว่างผู้คน พี่น้องสกุลฉู่ต่างฝ่ายต่างฝึกบำเพ็ญไปตามขั้นตอน ขณะเดียวกันก็ทำให้ใจตนเองสงบลง
ไม่ถูกผูกมัดจากสกุลฉู่และความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ต่างๆ นานาแล้ว สองพี่น้องต่างแยกกันฝึกบำเพ็ญทุกวัน ยามว่างก็เดินเล่นบนเกาะโม่เสวียน กินอาหารที่โม่อีเหรินทำ ไปเปิดหูเปิดตาดูสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ บนเกาะด้วยกันกับโม่อีเหริน
หัวใจที่ถูกบีบคั้นของสองพี่น้องค่อยๆ คลายออก ประหนึ่งว่าจู่ๆ ก็คิดบางเรื่องได้ตกแล้ว และก็พลันพบว่าที่แท้แล้วการมีชีวิตอยู่ไม่จำเป็นต้องยากลำบากถึงเพียงนั้น
จิตใจก็ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนถึงเพียงนั้นเสมอไป แค่ใจสงบก็เพียงพอแล้ว
พอคิดได้ตก จิตใจก็เปิดออก สองพี่น้องต่างเลื่อนขั้นได้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
หลังจากนั้นพวกเขายิ่งฝึกบำเพ็ญอย่างมุ่งมั่นตั้งใจกว่าเดิม และก็ได้รับความผวาจากเสียงร้องของสัตว์นานาชนิดทุกเช้า…
จนกระทั่งวันนี้ พวกเขาก็ถูกน้องสาวของตนทำให้ตกใจอีกครั้งแล้ว
ขณะกลับมาถึงหุบเขาอันเป็นที่พำนัก ท้องฟ้าก็มืดแล้ว โม่อีเหรินจึงไปทำอาหารทันที
ของกินกองใหญ่ที่โม่อีเหรินทำที่ริมทะเลเมื่อครู่นี้ บุรุษหนุ่มชราทั้งสี่คนล้วนไม่ได้กิน…ก็จะไปแย่งของกินกับพวกสัตว์วิเศษลงได้อย่างไร
แน่นอนว่าวันนี้ทุกคนล้วนหิวมาทั้งวัน
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ทุกคนกินอิ่มหนำสำราญแล้ว โม่อีเหรินก็ถูกบุรุษหนุ่มชราทั้งสี่คนกับสัตว์วิเศษน้อยใหญ่ทั้งสี่ตัวถลึงตามองอยู่ในศาลาเล็ก
โม่อีเหรินแอบหลั่งน้ำตาเงียบๆ ในใจ เป็นการแสดงว่าความกดดันหนักหนาปานขุนเขา
เคราะห์ดีที่ยังมี ‘พลพรรคพิทักษ์นาง’ ผู้ซื่อสัตย์ภักดีอยู่ตัวหนึ่ง…
“ห้ามถลึงตาใส่ท่านแม่นะ!” พอรู้สึกว่าท่านแม่ของตนถูกรังแกแล้ว เสี่ยวทุนก็ผละออกจากข้อมือนาง ขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แล้วขดตัวนั่งบนโต๊ะ ชูหัวขึ้นมาให้สูงเท่าๆ กับทุกคน
ดวงตาสีดำวาวถลึงสี่ครั้งติด เขี้ยวเงิน เซิ่น เปลวอัคคี และเขียวครามล้วนถูกการถลึงตาของมันทำให้หดตัวกลับไปแล้ว
โม่อีเหรินไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อครู่นี้โม่อีเหรินก็ทำของอร่อยให้พวกมันกินไปมื้อหนึ่ง มิได้ละเลยพวกมันเสียหน่อย
สัตว์ทั้งสี่ปลอบใจตนเองจนเริ่มรู้สึกว่าพอใจแล้ว สองตัวถอยไปอยู่ข้างกายเจ้านายของตน อีกสองตัวนอนหมอบลงข้างกายโม่อีเหริน
หลังจัดการสัตว์วิเศษทั้งสี่ได้แล้ว ดวงตาสีดำวาวของเสี่ยวทุนก็สบกับบุรุษสองหนุ่มสองชราในที่นี้
เรื่องแข่งตาโต เสี่ยวทุนไม่กลัวอย่างเด็ดขาด
“เสี่ยวทุน เด็กดี ข้าไม่เป็นไร” โม่อีเหรินอุ้มมันกลับมา
“พวกเขาจะดุท่านแม่ไม่ได้” เสี่ยวทุนแหงนหน้าขึ้นพูดกับโม่อีเหริน ท่านพ่อไม่อยู่ มันจะต้องปกป้องท่านแม่อย่างเต็มที่
ไม่ถูกสิ ต่อให้ท่านพ่ออยู่ มันก็จะต้องปกป้องท่านแม่เช่นกัน ผู้ใดก็ห้ามรังแกท่านแม่ ห้ามดุท่านแม่
“ไม่หรอก พวกเขาล้วนรักข้ามาก”
“เช่นนั้น…” เสี่ยวทุนพิจารณาเล็กน้อย แล้วจึงพูดกับพวกเขา “ห้ามดุท่านแม่นะ ท่านแม่เอาของล้ำค่ากลับมาด้วย”
พูดจบเสี่ยวทุนก็หดตัวเป็นตัวเล็กๆ กลับไปพันรอบข้อมือโม่อีเหรินทันที
บุรุษทั้งสี่อ่อนอกอ่อนใจ โทสะและความเป็นห่วงในตลอดทั้งวันนี้ล้วนถูกงูน้อยตัวนี้ทำลายลงสิ้นแล้ว
โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายนั่น ‘เอาของล้ำค่ากลับมาด้วย’
แค่เอาของล้ำค่ากลับมาก็สามารถหายตัวไปเกือบทั้งวัน ทำให้พวกเขาหาตัวอย่างไรก็หาไม่เจอจนเป็นห่วงแทบล้มประดาตายได้อย่างนั้นหรือ
ก็ได้ หากกล่าวด้วยเหตุผล บนเกาะโม่เสวียนเกรงว่าคงหาสถานที่ใดที่สามารถทำให้โม่อีเหรินเป็นอันตรายออกมาไม่ได้จริงๆ
แต่ถ้ากล่าวด้วยอารมณ์ รู้ว่าน้องสาวลงทะเลไป มิหนำซ้ำบรรดาสัตว์วิเศษในทะเลก็หานางไม่เจอ พวกเขาจะไม่เป็นห่วง ไม่เป็นกังวล ไม่เป็นบ้าได้อย่างไร
“พบเจออะไร เกิดอะไรขึ้น” ในเวลาเช่นนี้ยังคงเป็นโม่ซั่งเฉินเอ่ยปากขึ้นก่อน
“ท่านตา ยามนั้นข้าฝึกบาทาเงามายาอยู่ก้นทะเลเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินรายงานทันที
โม่ซั่งเฉินกล้าออกทะเล กล้าอาศัยอยู่บนเกาะเล็กที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล แน่นอนว่าเขาต้องมีไพ่ตายอยู่
ทะเลนั้นไพศาลและไร้ขอบเขต อ่อนโยนแต่ก็ไร้ไมตรี คลื่นยักษ์ซัดโหมมาเมื่อใด ก็แทบมิมีผู้ใดสามารถต้านทานได้แล้ว
สำหรับโม่ซั่งเฉิน น้ำทะเลเขาควบคุมไม่ได้ และไม่มีปัญญาจะสู้กับพลังธรรมชาติอย่างน้ำทะเลนี้เช่นกัน หากแต่ยามอยู่ในน้ำทะเล การจะเดินเหิน การจะรักษาชีวิต กลับไม่เป็นปัญหา
เขาเองก็เคยใช้บาทาเงามายาในน้ำทะเล กอปรกับเขาเป็นวิชาเคลื่อนที่ในน้ำ จึงยังนับว่าสามารถเดินเหินในทะเลได้เร็วระดับหนึ่ง แต่หากเจอเข้ากับสัตว์วิเศษดุร้ายในทะเล อยากจะปลอดภัยก็ต้องเปิดฉากต่อสู้แล้ว
“ข้าหาวิธีการได้ สามารถทำให้ข้าไปมาในทะเลได้อย่างอิสระ ความเร็วในการเคลื่อนไหวไม่ต่างจากยามอยู่บนพื้นดิน” โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางชื่นบาน จากนั้นก็หยิบม้วนไผ่หยกที่ว่างเปล่าออกมาม้วนหนึ่ง ย้อนนึกถึงกระบวนการฝึกของตนเองเล็กน้อย ก่อนจารเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในน้ำเข้าไปแล้วยื่นส่งให้ท่านตา
ต่อจากนั้นก็หยิบม้วนไผ่หยกที่ว่างเปล่าออกมาอีกสามม้วน จารเคล็ดวิชาที่ใช้เดินใต้น้ำได้ดีที่สุดเข้าไป จากนั้นก็ยื่นให้ท่านตาเหยี่ยนและพี่ชายทั้งสอง
“เรียนวิธีนี้เป็นแล้วก็น่าจะสามารถเดินใต้น้ำได้อย่างอิสระ ท่านตาเหยี่ยน ท่านพี่ พวกท่านลองดูได้เจ้าค่ะ” พร้อมกับที่พูด โม่อีเหรินก็รู้สึกว่าสามเดือนมานี้ตนเองจดจ่อกับการฝึกบำเพ็ญของตนเองเกินไป จนลืมไปว่าสามารถมอบเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งให้พวกพี่ชายได้ โชคดีที่ตอนนี้ก็ยังทัน
ทว่าเนื่องจากบาทาเงามายาเป็นวิชาลับเฉพาะของท่านตา ท่านตาไม่ได้สอนผู้อื่น ดังนั้นเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในน้ำในม้วนไผ่หยกสามม้วนนี้จึงย่อมจะแตกต่างจากของท่านตา
อีกด้านหนึ่งโม่ซั่งเฉินเองก็อ่านเนื้อหาในม้วนไผ่หยกจบแล้ว เพียงแค่ได้อ่านเคล็ดวิชาชุดนี้ก็ทำให้โม่ซั่งเฉินต้องพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“วันนี้เจ้าง่วนอยู่กับการฝึกสิ่งนี้ที่ใต้น้ำหรือ”
“เอ่อ…ยังมีนี่ด้วยเจ้าค่ะ”
โม่อีเหรินโบกมือไปบนโต๊ะ บนโต๊ะศิลาก็มีไข่มุกสดใสวาววามกองหนึ่งปรากฏขึ้นในทันใด หลากสีสัน ซ้ำยังมีหยาดน้ำหยดลงมา
ดูช่าง…เอ่อ…สดอ่อนน่าอร่อยโดยแท้
เฟิงเหยี่ยนและพี่น้องสกุลฉู่ถูกไข่มุกที่หลากสีสันเพียงนี้ วาววามเพียงนี้ จำนวนมากเพียงนี้ทำให้ตะลึงลาน ส่วนโม่ซั่งเฉินก็…ม่านตาหดตัว
“ไข่มุกสีรุ้ง!”
“และยังมีนี่อีก…” เดิมทีโม่อีเหรินจะเอาหอยกาบยักษ์ออกมา แต่มองซ้ายมองขวาแล้ว หากเอามันออกมาในนี้ ไม่ทับสมุนไพรก็ต้องทับศาลาแห่งนี้เสียหายแน่นอน
นางเหลือบสายตามองเขี้ยวเงิน “เขี้ยวเงิน เจ้ามานี่หน่อย”
เขี้ยวเงินได้ยินก็กระโดดลุกขึ้นเดินตามโม่อีเหรินออกไปข้างนอกทันที
โม่อีเหรินพูดกับมันสองสามคำ ใบหน้าหมาป่าที่ดูเย็นชาสง่างามของเขี้ยวเงินก็พลัน…ยุ่งยากใจ ทว่ามันยังคงพยักหน้า
“เขี้ยวเงิน มีเจ้าอยู่ช่างดีจริงๆ” โม่อีเหรินยิ้มตาหยีในทันใด
เขี้ยวเงินหายยุ่งยากใจในทันที โม่อีเหรินดีใจก็พอแล้ว ส่วนเรื่องขายหน้าอะไร…ให้คิดเสียว่ามันไม่มีอยู่
“พร้อมหรือยัง”
“วู้” เขี้ยวเงินตอบรับ ก่อนบินขึ้นสูง
แม้จะพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ถึงอย่างไรโม่อีเหรินก็ฟังภาษาสัตว์เข้าใจ อีกทั้งเสียงดั้งเดิมของสัตว์วิเศษอันที่จริงก็เป็นเสียงที่พวกมันใช้ได้เคยชินและสบายที่สุด ดังนั้นหากไม่จำเป็น เขี้ยวเงินก็จะไม่พูดภาษามนุษย์
“ฮ่าๆ” โม่อีเหรินหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง มือขวายกสูง หอยกาบตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศทันที จากนั้นก็ลอยตกลงบนหลังเขี้ยวเงินอย่างช้าๆ
มองดูแล้วมีขนาดอย่างน้อยเกินสิบจั้ง บดบังท้องฟ้าจนทางหุบเขาด้านนี้มืดลงกว่าเดิม
บุรุษทั้งสี่ในศาลาเดินออกมา ก็ถูกโม่อีเหรินทำให้ปากอ้าตาค้างไปอีกครั้ง
เทียบกันแล้ว หมาป่าสีเงินที่เอาตัวยันไว้ข้างใต้ตัวนั้นปกติดูองอาจห้าวหาญน่าคร้ามเกรงยิ่ง บัดนี้กลับดูตัวเล็กน่ารักได้ถึงเพียงนี้!
เป็นหอยกาบที่ใหญ่ยิ่งนัก
เป็นเปลือกหอยที่ใหญ่ยิ่งนัก
อีเหรินน้อยเอาของที่ใหญ่ถึงเพียงนี้กลับมาได้อย่างไร…
ฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี เฟิงเหยี่ยน ทางหนึ่งถูกทำให้จิตใจสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันอีกทางก็มีแต่เครื่องหมายคำถาม
ทว่าโม่ซั่งเฉินกลับเดินไปข้างหน้า ก่อนยื่นมือออกมา
พลังวิเศษขุมหนึ่งถูกปล่อยออกมายันตัวหอยกาบไว้แทนโม่อีเหริน พร้อมทั้งตรวจดูสภาพของหอยกาบยักษ์
“หอยกาบตัวนี้…อายุเป็นหมื่นปีแล้ว”
“หมื่นปี?!” สามคนที่ยังปากอ้าตาค้างอยู่ข้างหลังสูดลมหายใจเฮือกพร้อมกัน
“มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ ตอนที่ข้าเจอ มันก็มีสภาพเยี่ยงนี้แล้ว ทว่าด้านในยังมีไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่อีกไม่กี่เม็ด” พอคิดถึงไข่มุก โม่อีเหรินก็ยิ้มตาหยี “ท่านตา ท่านแบ่งไข่มุกบนโต๊ะไปสักหน่อยนะเจ้าคะ ที่ข้ายังมีอยู่อีกจำนวนหนึ่ง สามารถใช้ทำเป็นน้ำวิเศษและยาลูกกลอนสำหรับบำรุงสายตาได้”
โม่ซั่งเฉินมองนางอึดใจหนึ่ง
“ท่านตา วันหน้าข้าจะระวังตัว” โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย
ครานี้เป็นนางเผอเรอจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไปเจอกับไข่มุกสีมอ อีกทั้งเลื่อนขั้นอย่างจวนตัว ถึงได้เสียเวลาอยู่ที่ก้นทะเลนานถึงเพียงนั้น
“อืม” คราวนี้โม่ซั่งเฉินถึงได้พยักหน้า “กลับไปพักผ่อนก่อน เรื่องหลอมโอสถค่อยมาว่ากันวันพรุ่ง”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านตา ท่านตาดีต่อข้าโดยแท้” โม่อีเหรินโผไปกอดท่านตา จากนั้นก็โบกมือให้อีกสามคนในศาลา “ท่านตาเหยี่ยน พี่ใหญ่ พี่เล็ก ข้าไปพักผ่อนก่อนแล้ว ฝันดีเจ้าค่ะ”
เฟิงเหยี่ยนและพี่น้องสกุลฉู่ทำได้เพียงมองส่งโม่อีเหรินกระโดดโลดเต้นกลับเข้าห้องไปตาปริบๆ
เซิ่นเองก็ตามไปแล้วเช่นกัน ทำให้เขี้ยวเงินคับแค้นใจยิ่ง
ทว่ามันไม่อาจทำลายความเชื่อใจของโม่อีเหริน มันต้องทูนเจ้าสิ่งนี้ไว้ต่อไป แม้ว่าน้ำหนักจะมิใช่ปัญหาสำหรับมัน แต่การที่ไม่อาจตามโม่อีเหรินไปได้ก็น่าแค้นใจมาก
“เฉิน จบแค่เท่านี้หรือ” เฟิงเหยี่ยนไม่อยากเชื่ออยู่สักหน่อย
โม่อีเหรินลงทะเลแล้วหายเงียบไปกะทันหัน เขารู้สึกได้ชัดๆ ว่าเฉินมีอารมณ์โมโห แต่ผลคือถึงกับไม่ได้ดุด่าแม้แต่คำเดียว…ไม่สิ แม้แต่น้ำเสียงดุสักนิดก็ยังไม่มี มากที่สุดก็แค่ใช้สายตามองโม่อีเหรินนานขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นก็ปล่อยให้อีเหรินน้อยไปนอนเช่นนี้ ไม่มีอบรม ไม่มีลงโทษ ไม่มี…สรุปว่าเฉินไม่ได้พูดและก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่ก็หายโมโหแล้ว
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” โม่ซั่งเฉินตอบเรียบๆ
“อ้อ” เฟิงเหยี่ยนเป่าลมหายใจออก ว่าแล้ว! เฉินมิใช่ผู้ที่จะไปยั่วโทสะได้ เวลาเฉินโมโห จะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน
เช่นนั้นเฉินคิดจะลงโทษอีเหรินน้อยอย่างไรกัน เฟิงเหยี่ยนมองเขาอย่างตั้งตารอ เอ่อ…นี่มิใช่เพราะเขาอยากเห็นอีเหรินน้อยถูกลงโทษแต่อย่างใด เขาเพียงแต่อยากรู้ว่าเฉินจะทำอย่างไรเท่านั้นเอง
“กองไข่มุกบนโต๊ะ แบ่งออกเป็นสี่กองเท่าๆ กัน พวกเราเก็บไปคนละกอง คืนนี้ต้องจัดการกับเปลือกหอยกาบนี่เสียหน่อย แม้มันจะไม่มีพลังโจมตี แต่เปลือกของหอยกาบอายุหมื่นปีกลับมีพลังป้องกันดียิ่ง เป็นรองแค่เพียงเต่าวิเศษ และเปลือกหอยกาบนี่อย่างน้อยๆ ก็มีอายุเกินหมื่นปี สามารถนำมาหลอมประดิษฐ์ได้พอดี”
โม่ซั่งเฉินพูดออกมายาวยืด แต่กลับไม่ได้พูดว่าจะลงโทษโม่อีเหรินอย่างไร
“ข้ารู้ว่าหอยกาบหมื่นปีหาได้ยากมาก เช่นนั้น…ก็เอาตามนี้”
“เซวียนฉี คืนนี้เจ้าก็อยู่จัดการด้วยกัน นับว่าเป็นการเรียนรู้ จากนั้นข้าจะหลอมรวมเปลือกหอยกาบเข้าในชุดปีกสวรรค์ของโม่อีเหรินเพื่อเพิ่มการป้องกัน เจ้าสามารถดูไปด้วยได้ว่าหลอมอย่างไร”
“ขอรับท่านตา” ฉู่เซวียนฉีตอบทันที
“เฉิน สรุปคือท่านไม่โมโหแล้วหรือ” เฉินที่เวลาโกรธชวนให้สยดสยองและต้องมีคนตาย หลังจากความโมโหระลอกแรกผ่านไปก็ไม่เหลือเพลิงโทสะแม้แต่น้อย…
“โม่อีเหรินรู้ขอบเขตดี” โม่ซั่งเฉินมองเขาอีกปราดหนึ่ง
แม้ว่าโม่อีเหรินจะไม่ได้พูด แต่โม่ซั่งเฉินที่เลี้ยงนางมาตั้งแต่เล็กอีกทั้งมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นอายพิเศษกลับรู้ว่าโม่อีเหรินเลื่อนขั้นแล้ว
ระยะนี้โม่อีเหรินอยู่ในสภาวะพร้อมเลื่อนขั้นมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าขาดอะไรไปถึงไม่อาจเลื่อนขั้นได้เสียที โม่ซั่งเฉินเองก็รู้
เช่นนี้วันนี้น่าจะเป็นเพราะขณะอยู่ในทะเลพลันมีโอกาสเลื่อนขั้นกะทันหัน ต้องเลื่อนขั้นอีกทั้งยังต้องทำพลังแก่นแท้หลังเลื่อนขั้นให้มั่นคง โม่อีเหรินถึงได้หายไปอยู่ที่ก้นทะเลนานถึงเพียงนั้น
“เฉิน อีเหรินน้อยเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านอย่างที่คิดจริงๆ…” ฟังมาถึงตรงนี้ เฟิงเหยี่ยนก็แจ้งใจในที่สุด
อีเหรินน้อย เหตุผลง่ายๆ ข้อเดียวนี้ก็ทำให้อุปนิสัยความเคยชินของเฉินมลายหายไป!
นิสัยสันโดษแปลกแยกและเอาใจยากทั้งหมดของปีศาจโม่ซั่งเฉิน ยามเจอกับอีเหรินน้อยก็บางเบาลง
กฎเหล็กของเฉินมาเจอกับโม่อีเหรินก็คือหลักเกณฑ์ที่สามารถผ่อนปรนได้
อารมณ์ร้ายของเฉินมาเจอกับโม่อีเหรินก็สามารถสงบนิ่งได้ทั้งหมด
เฟิงเหยี่ยนตระหนักรู้ในเหตุผลนี้อย่างเงียบๆ จากนั้นพอเงยหน้าขึ้นมา มุมปากก็กระตุกไปหนึ่งที
ลูกศิษย์ของตนถูกเฉินเรียกไปแบกหอยกาบแล้ว
ด้านฉู่เซวียนอั๋งก็รับหน้าที่แบ่งไข่มุกที่อยู่บนโต๊ะให้เป็นสี่ส่วนเท่ากัน ยามนี้กำลังเลือกหยิบตามสี
ส่วนโม่อีเหรินนั้น…กลับเข้าห้องไปนอนนานแล้ว
เป็นหลานเหมือนกัน คนหนึ่งได้นอนหลับสบาย สองคนที่เหลือคืนนี้กลับต้องอดตาหลับขับตานอน ด้วยเหตุนี้เฟิงเหยี่ยนจึงได้ข้อสรุปใหม่ออกมาอีก…
ใจของเฉินเอียงกระเท่เร่อย่างที่คิดจริงๆ มิหนำซ้ำยังเอียงไปแค่ทางอีเหรินน้อยผู้เดียว!
แล้วเขาเล่า
“เฮ้อ…” เฟิงเหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ จากนั้นก็ขยับตนเองไปช่วยจัดการกับเปลือกหอยกาบเช่นกัน
เปลือกใหญ่เพียงนี้ หากต้องการคงส่วนที่ดีที่สุดไว้ก็เป็นงานช้างงานหนึ่ง งานพรรค์นี้ให้บุรุษอย่างพวกเขาทำดีแล้ว
อืม ผลคือเขาก็มีใจลำเอียงเช่นกัน
บทที่ 8
สามวันต่อมาโม่อีเหรินเดินออกมาจากในห้องหลอมโอสถในที่สุด จากนั้นก็ถูกพี่ชายทั้งสองคุมตัวกลับห้อง หลังหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ ก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
“ท่านตา ข้าหลอมสกัดน้ำวิเศษออกมาเยอะเลยเจ้าค่ะ”
กินมื้อเช้าเสร็จ ศาลาแบบเดียวกัน…ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ เนื่องจากคืนนั้นเกิดไม่ระวัง ศาลาจึงถูกเปลือกหอยกาบยักษ์ทับจนพัง ด้วยเหตุนี้ในบุรุษทั้งสี่ที่จัดการกับเปลือกหอยและไข่มุกเสร็จจึงให้โม่ซั่งเฉินคุมงาน ส่วนสามคนที่เหลือก็รับหน้าที่สร้างมันขึ้นใหม่…ช่วยไม่ได้ เจ้าบ้านใหญ่ที่สุด เขาต้องการเป็นผู้คุมงาน สองเด็กหนึ่งชราก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง
“แม้ไข่มุกสีรุ้งจะมีอายุไม่นับว่ามากนัก แต่ขอแค่หยดใส่ในตาก็ยังทำให้เวลาลงทะเลสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ หยดใส่ตาข้างละหยด มีฤทธิ์นานหนึ่งวัน” โม่อีเหรินยกมือเสกขวดหยกสีขาวกองหนึ่งมาไว้บนโต๊ะ นับคร่าวๆ มีอย่างน้อยยี่สิบสามสิบขวด
“นอกจากนี้ก็ยังมีเจ้านี่ ขวดหยกสีเขียวสิบขวด ขวดหยกสีแดงสี่ขวด ขวดสีเขียวคือยาลูกกลอนชำระจิตที่ข้าหลอมออกมาโดยใช้ไข่มุกสีรุ้งเป็นตัวยาหลักผสมกับสมุนไพรอื่นๆ มีฤทธิ์ช่วยให้ญาณวิเศษแจ่มชัด ป้องกันสติหลงเลือน ขวดสีแดงเป็นยาผงที่ใช้ไข่มุกดำมาบด ปริมาณการใช้ไม่ต้องเยอะ ใช้แต่น้อยก็พอแล้ว…มีฤทธิ์บำรุงครรภ์”
บำรุง…ครรภ์?!
แม้แต่โม่ซั่งเฉินได้ยินแล้ว มุมปากยังอดจะกระตุกไม่ได้
ส่วนสามคนที่เหลือก็มองนางด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวอยู่สักหน่อย เจ้าสิ่งนี้ให้พวกเขาไว้ทำอะไรกัน
“เผื่อเอาไว้เจ้าค่ะ มีไว้ก็อุ่นใจ” ภายใต้การจับจ้องจากดวงตาวาววับทั้งแปดข้าง โม่อีเหรินร้อนตัวอยู่เล็กน้อย ทว่านางยังคงกล่าวอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “ต่อให้ไม่ได้ใช้ ยามขาดเงินก็นำไปขายแลกเงินได้ ผงไข่มุกมีค่ามากนะเจ้าคะ”
“…” ก็ได้ นับว่ามีเหตุผล
คนทั้งสี่รับขวดหยกที่แบ่งเอาไว้
ยาลูกกลอนชำระจิตอาจจะมีประโยชน์ใช้สอยต่อพวกเขาในยามนี้ไม่มาก แต่โม่ซั่งเฉินกลับรู้ว่าถ้ายานี้ปรากฏขึ้นในดินแดนเทพยุทธ์ นั่นจะเป็นของที่ทุกผู้ทุกคนต่างแย่งชิงกันอย่างแน่นอน
ในเมื่อโม่อีเหรินนำออกมา แน่นอนว่าเป็นเพราะต้องการมอบให้พวกเขา แม้แต่โม่ซั่งเฉินก็ยังรับไว้ หลานสาวที่เขาสั่งสอนชี้แนะออกมามีความสำเร็จด้านการหลอมโอสถเหนือกว่าเขาแล้ว บัดนี้สิ่งเดียวที่เขายังสอนนางได้ก็คือ ‘ประสบการณ์’
นี่มิได้หมายถึงประสบการณ์การหลอมโอสถ แต่หมายถึงระดับความคุ้นเคยและระดับความสามารถในการวินิจฉัยยาลูกกลอน
แม้โม่อีเหรินจะหลอมโอสถได้เก่ง แต่จะอย่างไรนางก็เพิ่งมีอายุเพียงสิบกว่าปี อ่านตำรามากเพียงไร รู้ตำรับยาลูกกลอนมากเพียงไร ระดับความเข้าใจต่อยาลูกกลอนในดินแดนเทพยุทธ์ก็ยังคงไม่เพียงพอ
ก็เหมือนกับหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ในตอนนั้น
นางสามารถหลอมยาแก้ออกมาได้โดยดูตามตำรับยารวมถึงอาศัยพรสวรรค์สัญชาตญาณ แต่ถ้ามีใครเอาหยาดน้ำตาเทพยุทธ์มาวางไว้ตรงหน้านาง นางกลับไม่รู้อย่างแน่นอนว่านั่นก็คือหยาดน้ำตาเทพยุทธ์
โม่ซั่งเฉินหาทิศทางถัดไปที่โม่อีเหรินควรเสริมให้แข็งแกร่งเจอแล้ว
“ท่านตา ยังมีนี่ด้วยเจ้าค่ะ”
ไข่มุกสีขาวน้ำนมใหญ่เท่าลูกวอลเลย์เม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นบนสองมือของโม่อีเหริน ทำเอาบุรุษทั้งสี่ในที่นี้สะท้านสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง
“…” นี่ก็…เป็นไข่มุกกระมัง จะใหญ่เกินไปแล้ว!
“ไข่มุกหมื่นปี” โม่ซั่งเฉินจำแนกได้ในแวบเดียว เขาเคยเห็นในบันทึกที่อยู่ในเผ่า
“อื้ม เป็นของที่เอาออกมาจากในเปลือกหอยกาบนั่น มีทั้งหมดแปดเม็ดเจ้าค่ะ” ตัดไข่มุกสีมอที่อยู่ในกายนางออกไปแล้ว
“แปดเม็ด?” โม่ซั่งเฉินมองหลานสาวของตนอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง มีแววภาคภูมิใจ มีแววหยอกล้อ และยังมีแววย้ำเตือนนางถึงความเคลื่อนไหวที่นางทำออกมาวันนั้น
ทว่าโชคของหลานสาวของเขาช่างดีมากจริงๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่อิจฉาริษยาชิงชังต่อความโชคดีของหลานสาวของตน เพียงแต่พูดไม่ออกอยู่สักหน่อยเท่านั้นเอง
เนื่องจากโชคของโม่อีเหรินนั้นดีจนทำให้เขาไม่รู้ว่ายังมีอะไรให้พูดได้อีกแล้ว ประหนึ่งว่าไม่ว่าเป็นของที่ประหลาดหายากเพียงไร การที่ถูกนางไปพบเจอเข้านั้นล้วนเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่หารู้ไม่ว่าความธรรมดาของนางได้ทำให้หัวใจของผู้อื่นสะท้านสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่าจนจะเป็นโรคหัวใจแล้ว
โม่อีเหรินยิ้มอย่างร้อนตัว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านตา ข้าสกัดน้ำวิเศษมาสามวัน ทั้งยังหลอมยาลูกกลอนหลอมยาผงด้วย สิ่งนี้…ท่านตาช่วยข้าหลอมสกัดได้หรือไม่เจ้าคะ”
โม่ซั่งเฉินมองนางปราดหนึ่ง ก่อนรับไข่มุกเม็ดใหญ่เม็ดนั้นไว้ จากนั้นโม่อีเหรินก็หยิบออกมาอีกสองเม็ด ส่งให้ท่านตารับไว้ต่อ
“เดี๋ยวสายหน่อยเอาชุดปีกสวรรค์มาให้ข้า ข้าจะหลอมมันอีกรอบ” พูดจบโม่ซั่งเฉินก็เดินไปห้องหลอมโอสถ
“…” เฟิงเหยี่ยนหมดคำพูด
ก็ได้ เขารู้มาตลอดว่าเฉินเอ็นดูอีเหรินน้อยมาก กอปรกับที่ได้อยู่ด้วยกันมาตลอดสามเดือนนี้…เขาไม่ควรประหลาดใจแล้วจริงๆ
ทว่า…ไข่มุกหมื่นปี นั่นเป็นของดีมาก!
“อีเหรินน้อย พอเฉินหลอมสกัดเสร็จเรียบร้อย ของเหลววิเศษนั่นก็ต้องให้ตาด้วยกระมัง” แม้เฟิงเหยี่ยนจะไม่ใช่หมอโอสถ แต่กลับมีพี่ชายที่เป็นหมอโอสถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟิงเจ๋อมักจะบ่นถึงส่วนผสมโอสถประหลาดหายากต่างๆ นานาที่ถึงพบเห็นก็เอามาไม่ได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไข่มุกหมื่นปีนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“แน่นอนเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินตอบตรงยิ่ง ไม่ลีลายั่วน้ำลายเขาแม้แต่น้อย “ของเหลววิเศษที่ได้จากการหลอมสกัดไข่มุกหมื่นปี หลังจากใช้หยดตา สามารถฝึกบำเพ็ญเป็นเนตรประจักษ์แจ้งได้ เมื่อฝึกเนตรประจักษ์แจ้งได้ถึงระดับสูงสุดจะสามารถมองภาพลวงตาทั้งหมดออกได้อย่างปรุโปร่ง เพราะฉะนั้นท่านตาเหยี่ยนและพี่ใหญ่พี่เล็กจะต้องตั้งใจฝึกนะเจ้าคะ”
แม้บนดินแดนเทพยุทธ์จะมีค่ายกลไม่มาก แต่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติยังคงมีอยู่ และในอนาคตหากไปจากดินแดนเทพยุทธ์ โอกาสที่อาจจะเจอภาพลวงตาก็ยิ่งสูงขึ้น
นี่จึงเป็นสิ่งที่โม่อีเหรินวางแผนเผื่ออนาคตเอาไว้
ไม่รู้ด้วยเหตุใดตั้งแต่ได้รู้ว่ามีดินแดนแรกนภา นางก็รู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่านางจะต้องได้ไปแน่นอน
ทว่าตามคำพูดของไป่หลี่จิงหงและท่านตา ดินแดนเทพยุทธ์…ดูเหมือนจะไม่มีวิธีไปยังดินแดนแรกนภา
หรือเป็นเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาและยังมีพลังแก่นแท้ไม่มากพอ พวกเขาถึงไม่บอกนาง
“โม่อีเหริน เหนื่อยหรือไม่” ฉู่เซวียนอั๋งไม่สนใจอย่างอื่น สนใจเพียงเรื่องนี้
เขาไม่เข้าใจว่าการหลอมโอสถมีความยากลำบากมากเพียงไร แต่ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆ หมอโอสถบนดินแดนเทพยุทธ์ก็คงไม่มีน้อยถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำเดินไปแห่งหนใดก็ล้วนได้รับความเคารพยกย่อง
ส่วนน้องสาวของเขาแม้จะหลับมาหนึ่งวัน แต่ก่อนหน้านั้นนางอยู่ในห้องหลอมโอสถถึงสามวันเต็มๆ
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินตอบพลางยิ้มตาหยี “พี่ใหญ่ ท่านกับพี่เล็กได้ฝึกเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในน้ำหรือยัง”
“ฝึกแล้ว” ฉู่เซวียนอั๋งลูบศีรษะน้องสาว “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า เส้นทางการฝึกบำเพ็ญเดิมทีก็สมควรเป็นความพยายามของตนเอง ไม่ต้องเตรียมอะไรให้พวกข้ามากเกินไป”
ตอนยังเล็ก นางเป็นน้องสาวที่พวกเขาสาบานว่าจะปกป้องคุ้มครอง
เติบใหญ่แล้ว แม้นางจะดูตัวเล็กอ่อนแอ แต่อันที่จริงกลับมีพลังแก่นแท้แข็งแกร่งยิ่ง
ไม่ว่าอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง นางก็เป็นน้องสาวของเขา ต่อให้บัดนี้พลังแก่นแท้ของพวกเขากลับกลายเป็นสู้นางไม่ได้แล้ว แต่พวกเขายังคงไม่มีทางลืมความมุ่งมาดปรารถนาเดิมในตอนเป็นเด็ก
น้องสาวไม่จำเป็นต้องเตรียมทุกอย่างให้พวกเขา
“ทางเดินเองได้ ฝึกบำเพ็ญพยายามเองได้ แต่หากสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นอีกนิด มีสิ่งในครอบครองได้มากขึ้นอีกหน่อย เหตุใดต้องปฏิเสธเล่าเจ้าคะ” โม่อีเหรินพิงไหล่พี่ชาย “ท่านพี่ สิ่งที่ข้าชำนาญที่สุดคือการหลอมโอสถ และก็มีวิธีการฝึกบำเพ็ญจำนวนหนึ่ง แม้จะอยากแบ่งปันให้พวกท่าน แต่หากพวกท่านใช้งานไม่เป็น ตัวพวกท่านเองไม่เพียรพยายามฝึกบำเพ็ญ เช่นนั้นข้ามอบให้มากเพียงไรก็ไม่มีประโยชน์”
ก็เหมือนตอนอยู่ในตระกูล มิใช่มีวิชาของตระกูล มิใช่มีทรัพยากรสำหรับฝึกบำเพ็ญที่ตระกูลอำนวยให้เช่นกันหรือไร
สิ่งที่นางสามารถช่วยได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้ การฝึกบำเพ็ญยังคงต้องอาศัยตัวพวกเขาเอง
มีเพียงพยายามด้วยตนเองจนสำเร็จเท่านั้นจึงจะเกิดประโยชน์กับตนเองอย่างแท้จริง
“ท่านพี่ หากพวกท่านมีของดี จะไม่มอบให้ข้าหรือเจ้าคะ” โม่อีเหรินย้อนถาม
“ต้องให้สิ!” ฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉีตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“นั่นก็ถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นพี่น้องกัน ความคิดความอ่านล้วนเหมือนกัน แล้วเหตุใดต้องใส่ใจอะไรมากมายปานนั้น ฝึกบำเพ็ญก็เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และก็เพื่อตนเองจะมีอิสระ ทำเป้าหมายของตนเองให้สำเร็จ ขอเพียงยึดมั่นในวิถีทางของตนเอง ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ไม่คิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่น ไม่หวังในโชควาสนา ใครมอบอะไรให้มากเท่าใด สำคัญนักหรือเจ้าคะ”
หากคิดว่าตนเองเป็นพี่ชายจึงไม่ควรรับสิ่งใดจากน้องสาว ยุ่งยากใจเนื่องจากได้รับมามาก รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ความเนื่องจากเหตุนี้ นั่นมิใช่จะกลับกลายเป็นการกักขังตนเองแล้วหรือไร
ต้องมองการณ์ไกล จึงจะสามารถไปได้ไกล
ไม่มีใครเก่งกล้าสามารถไปทุกอย่าง และก็ไม่มีใครที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ก็เหมือนตอนยังเล็ก นางเดินแค่สิบก้าวยังรู้สึกเหนื่อย นอนนิ่งอยู่บนเตียงแทบทุกวัน ไม่เคยคิดว่าตนเองจะเติบใหญ่ได้ ทว่าบัดนี้นางกลับเติบใหญ่แล้ว
เส้นทางบนโลกนี้ขรุขระก็เดินให้ระวังหน่อย แต่อย่าได้ทำให้ตนเองสะดุดเสียเอง นั่นเป็นการหาเรื่องลำบากให้ตนเองแล้ว
“อืม ไม่สำคัญ” ฉู่เซวียนอั๋งยิ้มออกแล้ว เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้น้องสาว
“ไม่สำคัญ” ฉู่เซวียนฉีก็พยักหน้าเช่นกัน
ดูเหมือนไม่ว่าเรื่องใดมาถึงมือของโม่อีเหริน ก็ล้วนเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง ความยุ่งยากใจของพวกเขาเกินจำเป็นไปหน่อยจริงๆ
มาที่เกาะโม่เสวียนได้เพราะน้องสาวแล้วอย่างไร
มีสิ่งในครอบครองมากมายถึงเพียงนี้ได้เพราะน้องสาวแล้วอย่างไร
เพราะว่าห่วงใย น้องสาวถึงได้ทำอะไรเพื่อพวกเขามากเพียงนั้น
พวกเขาแค่ต้องรับไว้ แล้วอย่าลืมความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของตนเอง ไม่เกียจคร้านทะนงตนเพราะเหตุนี้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
สิ่งที่น้องสาวต้องการมิใช่ความซาบซึ้งใจและความยุ่งยากใจจากพวกเขา แต่เป็นการที่พวกเขามุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก้าวแล้วก้าวเล่า
“เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการฝึกบำเพ็ญหรือการดำรงชีวิต ก็ล้วนต้องมีความสุข อย่าหาเรื่องทุกข์ให้ตนเอง” โม่อีเหรินยิ้มตาหยี “เพราะว่าท่านพี่หาเรื่องกลุ้มในตนเอง ดังนั้นจะต้องได้รับการลงโทษ”
ฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉีสบตากัน
“ลงโทษอะไรหรือ”
“พี่ใหญ่กับเขี้ยวเงิน พี่เล็กกับเซิ่น จะสู้จะหนีจะไล่ตามได้หมดทั้งสิ้น ห้ามหยุดเป็นเวลาสองชั่วยาม”
โม่อีเหรินเพิ่งจะพูดจบ เขี้ยวเงินกับเซิ่นก็วิ่งมากระโจนใส่คนทั้งสองทันที เคราะห์ดีที่สองพี่น้องตาไวเท้าไว มิเช่นนั้นยามนี้คงถูกกระแทกล้มแล้ว…
“เริ่มตอนนี้เลยหรือ!”
“อย่างน้อยก็บอกกันก่อนสิ!”
นี่คือการลอบจู่โจมชัดๆ
“วู้!”
“โฮก!”
พวกมันส่งเสียงร้องก่อนแล้ว ไม่ได้ลอบจู่โจม
สองพี่น้องถูกวิ่งไล่ตามไปแล้ว ต่อจากนั้นก็มีทั้งดาบวายุทั้งพ่นไฟ ทำเอาฉู่เซวียนฉีได้แต่ปล่อยเปลวอัคคีออกมาใช้ไฟสู้กับเซิ่น
ฉู่เซวียนอั๋งน่าสงสารกว่าเล็กน้อย ทำได้เพียงจับกระบี่ฝืนต้านทาน
ทว่าขณะเดียวกับที่ฝืนต้านดาบวายุ เขาก็ค้นพบว่ามือของเขาเคลื่อนไปที่ใด กระบี่ก็เคลื่อนตามไปที่นั้น กำลัง ทิศทาง และความแม่นยำล้วนเป็นไปตามใจนึก ไม่มีสักอย่างที่คลาดเคลื่อน ฉู่เซวียนอั๋งชักจะแจ้งใจอยู่หน่อยๆ แล้ว
ทางด้านโม่อีเหรินก็หยิบชุดน้ำชาออกมา ระหว่างชงชาก็ยังไม่ลืมแบ่งให้ท่านตาเหยี่ยนที่กำลังชมเรื่องสนุกด้วยกัน
“ไม่แปลกเลยที่เฉินจะมีใจลำเอียงไปทางเจ้าถึงเพียงนี้”
ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะสิบกว่า ทั้งๆ ที่บางครั้งดูไร้เดียงสามาก ทว่าบางครั้งกลับมีความคิดความอ่านละเอียดอ่อนจนน่ากลัว ปมในใจของอั๋งเอ๋อร์และฉีเอ๋อร์ล้วนถูกนางมองเห็นอยู่ในสายตา
เนื่องจากไม่อาจเปิดใจกว้าง มีเรื่องกวนใจ การฝึกบำเพ็ญในระยะนี้ของสองพี่น้องจึงล้วนหยุดชะงักอยู่เล็กน้อย
เขากับเฉินล้วนมองออก แต่กลับไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก
พูดออกไปด้วยฐานะตาและอาจารย์ ถ้าไม่ฟังเหมือนเป็นการอบรมตักเตือนก็จะฟังเหมือนเป็นการอบรมสั่งสอน พวกเขาสามารถฟังเข้าใจ แต่ไม่แน่ว่าจะสามารถปล่อยวางได้อย่างแท้จริง ทว่าวันนี้โม่อีเหรินนับว่าเป็นคนแก้ปมแล้ว
“ท่านพี่ต้องอิสระเป็นธรรมชาติ ต้องร้ายกาจเหมือนท่านตาถึงจะดี”
“เหมือนท่านตาเหยี่ยนไม่ดีหรือไร” หน้าตาหล่อเหลา อัธยาศัยดี เป็นมิตรน่าชิดใกล้ จิตใจก็ดีงาม
“ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
“ไม่ดีตรงที่ใดหรือ” เฟิงเหยี่ยนหวิดจะสำลักน้ำชา เขาถูกรังเกียจแล้ว? เขาถูกอีเหรินน้อยรังเกียจแล้วหรือ
“พูดด้วยง่ายเกินไป เก่งเกินไป คนเก่งมักต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่น วันหน้าจะกลายเป็นวัวเป็นม้าถูกใช้แรงงาน เหน็ดเหนื่อยหนักหนา”
“…” เฟิงเหยี่ยนแน่ใจแล้วว่าตนเองถูกรังเกียจจริงๆ
ทว่าไฉนความหมายในคำพูดนี้ถึงฟังดูคุ้นหูถึงเพียงนี้
อา…เฉินเคยพูด! เฟิงเหยี่ยนหมดคำพูดไปอีกครั้ง
“อีเหรินน้อย เจ้าทำร้ายจิตใจท่านตาเหยี่ยนแล้ว…” เขาแทบจะน้ำตาไหลพราก
นี่ควรชมอีเหรินน้อยว่าไม่เสียแรงที่เฉินสั่งสอนมา เดินตามรอยเท้าผู้เป็นตาอย่างสมบูรณ์ หรือว่าควรทอดถอนใจด้วยความเศร้าที่ตนเองถูกทั้งตาทั้งหลานรังเกียจดี
“ข้ามีน้ำผึ้งเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินยื่นน้ำผึ้งที่ผ่านการกลั่นแล้วขวดหนึ่งออกมาทันที
“หือ?” นางให้สิ่งนี้กับเขาด้วยเหตุใด การทำร้ายจิตใจเขาเกี่ยวอะไรกับน้ำผึ้งหรือ
“น้ำผึ้งมีความเหนียวดียิ่ง ยามบีบอัดปั้นลูกกลอนสามารถทำให้ความวิเศษอัดรวมอยู่ในตัวลูกกลอนไม่กระจายหายไป ดังนั้นจึงสามารถติดประสานหัวใจแก้วอันเปราะบางของท่านตาเหยี่ยนได้เป็นอย่างดี” โม่อีเหรินอธิบายด้วยท่าทางจริงจังยิ่ง
“…” ไฉนเขาจึงรู้สึกหนาววาบ ติดประสาน? เปราะบาง? หัวใจแก้ว? … นี่เขาถูกล้อแล้ว ถูกโม่อีเหรินรังเกียจแล้วจริงๆ
นะ…น่าปวดใจเกินไปแล้ว!
เสียแรงที่เขารักและเอ็นดูอีเหรินน้อยมาตลอด อีเหรินน้อยกลับ…เอ่อ…เขาถูกรังเกียจด้วยเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องทำงานเก่งเกินไปจนกลายเป็นต้องทำงานมากเกินไปอย่างนั้นหรือ
นี่นับว่าน่ารังเกียจด้วยหรือ
เฟิงเหยี่ยนยุ่งยากใจแล้ว
โม่อีเหรินแอบแลบลิ้น นางเผลอทำให้ท่านตาเหยี่ยนมึนงงแล้ว
ขออภัยด้วย นี่มิได้เจตนาจริงๆ ข้าจะชงชาให้ท่านตาเหยี่ยนดื่มอีกสักหลายถ้วยเป็นการชดเชยแล้วกัน
ขณะที่เฟิงเหยี่ยนดื่มชาจนท้องป่องแล้วนี้เอง ป้ายหยกสื่อสารที่โม่อีเหรินใส่ไว้ในกระเป๋าวิเศษก็พลันลอยออกมา
โม่อีเหรินแววตาสว่างวาบ รับหยกไว้ทันที “จิงหง!”
เสียงร้องชื่นบานทำให้สองคนสามสัตว์ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ค่อยๆ ลดความเร็วออกกระบวนท่าลงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย จากนั้นต่างก็เงี่ยหูแอบฟัง
“ฮูหยินน้อย ข้าคือ…ไป๋เหยา”
โม่อีเหรินมุ่นหัวคิ้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
สองคนสามสัตว์เก็บกระบวนท่าลงแล้วกลับเข้ามาในศาลาอย่างพร้อมใจกันทันที
“ประมุขน้อย…ถูกพาตัวไป ข้าอยู่ที่เมืองผิงเจิ้นขอรับ…”
“ไปหาหลงจู๊เฉียวที่โรงเตี๊ยมเฟิงหลิน ไม่นานข้าจะไปถึง” โม่อีเหรินสั่งจบก็เก็บป้ายหยกสื่อสารลง “ท่านตาเหยี่ยน พี่ใหญ่ พี่เล็ก ข้า…”
“พี่จะไปเป็นเพื่อนเจ้า” สองพี่น้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ไปเถอะๆ” เฟิงเหยี่ยนโบกมือ “เฉินอยู่ในห้องหลอมโอสถไม่อาจไปรบกวน พวกเจ้าไปก่อน จำไว้ว่าไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร รอข้ากับเฉินไปถึงก่อนค่อยว่ากัน อย่าบุกไปเกาะหุนส่งเดช”
ลำพังฟังจากเสียงของไป๋เหยาก็รู้แล้วว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่เบา
แม้แต่หนึ่งในสี่องครักษ์ข้างกายไป่หลี่จิงหงก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นสถานการณ์ของไป่หลี่จิงหงก็น่าจะไม่สู้ดี
คงมิใช่เป็นฝีมือของท่านป้าผู้นั้นอีกกระมัง เฟิงเหยี่ยนคิดในใจ ไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่าตนเองใช้คำที่โม่อีเหรินเรียกมาใช้เรียกตรงๆ
“อาจารย์ พวกข้าจะส่งข่าวกลับมาขอรับ” ฉู่เซวียนฉีกล่าว แล้วพี่น้องสามคนรวมกับสัตว์สามตัวก็ล่วงหน้าจากไปก่อน
เฟิงเหยี่ยนชงชาดื่มอยู่คนเดียว บรรยากาศวังเวงไปสักหน่อย
ทว่าสงบสุขมาได้สามเดือนก็นับว่าหาได้ยากมากแล้ว
หากไป่หลี่จิงหงถูกพาตัวไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นอีเหรินน้อย…จะต้องโมโหมากแน่นอน
โม่อีเหรินนั่งบนหลังเขี้ยวเงิน ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีก็ให้ฉลามสองตัวเป็นพาหนะ เคลื่อนที่ผ่านน่านน้ำทะเลด้วยความเร็วสูงสุด ครั้นมาถึงเมืองผิงเจิ้นก็ตรงดิ่งไปที่โรงเตี๊ยมเฟิงหลิน
“คุณหนูอีเหริน คุณชายใหญ่และคุณชายรองสกุลฉู่” พอหลงจู๊เฉียวมองเห็นนางก็ก้าวมาต้อนรับทันที
หลังจากศึกที่เมืองฝูเฉิง เหล่าหลงจู๊และผู้ดูแลของสมาคมเฟิงหลินทั้งหมดก็ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าสมาคมโดยทั่วกัน
หนึ่ง เห็นโม่อีเหรินเมื่อใด จงให้การรับรองระดับสูงสุด
สอง ให้ความร่วมมือและอำนวยความช่วยเหลือตามความต้องการของโม่อีเหรินทุกประการ มิอาจผิดพลาด
หลงจู๊เฉียวชื่นชมโม่อีเหรินอยู่เป็นทุนเดิม บัดนี้มีคำสั่งจากหัวหน้าสมาคม เขาก็ยิ่งปฏิบัติต่อโม่อีเหรินอย่างกระตือรือร้นกว่าเดิม
“หลงจู๊เฉียว ไป๋เหยามาถึงแล้วหรือไม่”
“มาถึงแล้ว เชิญตามข้ามา” หลงจู๊เฉียวพาคนทั้งสามตรงมาถึงหน้าประตูห้องแห่งหนึ่งในเรือนส่วนหลัง แล้วถึงกล่าวกับโม่อีเหรินเสียงค่อย “องครักษ์ไป๋บาดเจ็บหนักยิ่ง”
โม่อีเหรินพยักหน้า หลังหลงจู๊เฉียวเคาะประตู นางก็เดินเข้าไปในห้อง
“หลงจู๊เฉียว…” ไป๋เหยาที่นอนอยู่บนเตียงฝืนยันตัวขึ้นมา ทันใดนั้นก็มองเห็นโม่อีเหริน จึงทำท่าจะลงจากเตียงด้วยอารามตื่นเต้น “ฮูหยินน้อย…”
“อย่าขยับ! เจ้านอนไป” โม่อีเหรินบอกทันที จากนั้นก็ก้าวไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา
ลำพังเฉพาะที่มองเห็น ไป๋เหยาไม่เพียงใบหน้าซีดขาว ตามตัวก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง แม้แต่บนใบหน้ายังมีรอยแผลหลายรอย ชุดตัวในที่เปลี่ยนใหม่เปื้อนเลือดน้อยๆ อีกครั้งเนื่องจากการขยับตัวลุกขึ้นของเขาเมื่อครู่นี้ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกระดูกไหล่ขวาแตกร้าว ร่างซีกขวาส่วนบนไม่อาจใช้แรงและขยับเขยื้อนได้โดยสิ้นเชิง
ส่วนที่มองไม่เห็นก็คือเส้นชีพจรและเส้นเอ็นในตัวเขามีร่องรอยฉีกขาด พลังวิเศษที่รวมกันอยู่ตรงจุดตันเถียนถูกทำให้กระจัดกระจาย สามารถกล่าวได้ว่า…ถูกทำลายพลังวัตรแล้ว
สิ่งที่หลงจู๊เฉียวสามารถทำได้ในเวลาเร่งด่วนมีเพียงรักษาบาดแผลภายนอกและอาการบาดเจ็บที่กระดูก แล้วใช้ยาบรรเทาอาหารเจ็บปวดของเขา ทว่าเส้นเอ็น เส้นชีพจร และอาการบาดเจ็บที่จุดตันเถียนจนปัญญาจะช่วยได้จริงๆ
โม่อีเหรินตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขาเสร็จก็มีสีหน้าเคร่งเครียด หลังป้อนยาเม็ดหนึ่งให้ไป๋เหยากินแล้วก็หยิบยาออกมาสองสามขวด ขอให้พี่ชายทั้งสองช่วยเปลี่ยนยาให้ไป๋เหยาใหม่
“ฮูหยินน้อย ข้า…ไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่าประมุขน้อย…” ไป๋เหยาพูดพลางมีท่าทางจะอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
“ใจเย็นหน่อย” โม่อีเหรินยื่นมือไปถ่ายพลังปฐมเข้ากลางกระหม่อมเขา ทำให้อารมณ์ของไป๋เหยาคงที่ “เปลี่ยนยาก่อน”
ไป๋เหยาได้แต่ทำตามคำสั่ง โม่อีเหรินหลบออกไปอยู่นอกห้องก่อน
มิใช่นางไม่เป็นห่วงไป่หลี่จิงหง แต่นางเชื่อว่าท่านป้าผู้นั้นทำร้ายใครก็ได้ แต่จะไม่ทำร้ายไป่หลี่จิงหงแน่
นางยืนกรานต้องการพาไป่หลี่จิงหงไปเสียเพียงนั้น จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน เช่นนั้นสำหรับนางแล้วไป่หลี่จิงหงยังมี ‘ค่า’ อยู่
ชั่วครู่ให้หลังฉู่เซวียนฉีออกมา โม่อีเหรินก็เข้าไป ไป๋เหยานั่งพิงอยู่บนเตียงแล้ว
สามพี่น้องเองก็ต่างยกเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง เขี้ยวเงินกับเซิ่นแยกกันครอบครองบ่าสองข้างของโม่อีเหรินด้วยขนาดตัวที่แปลงให้เล็กแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” โม่อีเหรินถาม
“สามเดือนก่อนหลังจากแยกกับฮูหยินน้อย พวกข้าก็ตามประมุขน้อยกลับเกาะหุน…”
ตามที่ไป๋เหยาเล่า ขณะไป่หลี่จิงหงกลับถึงเกาะหุน ไป่หลี่เยียน ไป่หลี่จ้ง รวมถึงซย่าอวี่ได้มาอยู่บนเกาะสองวันแล้ว อีกทั้งยังมีข้อพิพาทกับประมุขเกาะเพราะเรื่องของไป่หลี่จิงหงอีกด้วย
ไป่หลี่จ้งใช้ฐานะญาติผู้ใหญ่เรียกร้องให้ไป่หลี่จิงหงปฏิบัติตามการจัดการของตระกูล ไป่หลี่จิงหงปฏิเสธอีกครั้ง สองฝ่ายคุยกันไม่รู้เรื่องก็สู้กันขึ้นมาอีก จากนั้นตกลงยึดตามผลแพ้ชนะ ผู้ใดชนะก็ฟังผู้นั้น
คราวนี้ไม่เหมือนกับคราวที่อยู่ในเมืองอิ้งสุ่ย ไป่หลี่จ้งหยิบเอาพลังแก่นแท้ที่แท้จริงออกมาใช้
แม้จะถูกกดพลังไว้ด้วยเพราะอยู่ดินแดนเทพยุทธ์ แต่ไป่หลี่จ้งก็มีอายุเกินสองร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การรับมือคู่ต่อสู้หรือการเคลื่อนไหวควบคุมยามรุกรับ ล้วนแต่จัดเจนกว่าคนหนุ่มอายุยี่สิบอย่างไป่หลี่จิงหงมาก
แต่หากกล่าวถึงพลังแก่นแท้ ไป่หลี่จิงหงก็มิได้อ่อนด้อยเช่นเดียวกัน
ประสบการณ์สู้ไม่ได้ ก็ใช้การจู่โจมอย่างไม่ให้ทันตั้งตัวมาชดเชย คนทั้งสองสู้กันสามชั่วยามเต็มๆ แล้วก็ยังคงไม่รู้ผลแพ้ชนะ แม้ทั้งสองจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังเลี่ยงบาดแผลไม่กี่รอยไม่ได้
เวลานี้เองไป่หลี่เยียนพลันลงมือลอบโจมตีกะทันหัน หมายจะทำให้ไป่หลี่จิงหงเกิดอาการมึนงง แต่กลับถูกไป่หลี่จิ้งหย่วนหยุดยั้งได้ทันกาล
เนื่องจากการลอบโจมตีของไป่หลี่เยียน ไป่หลี่จิ้งหย่วนจึงสำแดงฝีมืออย่างเหี้ยมหาญ ไป่หลี่จ้งต่อสู้สิ้นเปลืองกำลังมาสามชั่วยาม แน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสชนะแม้แต่นิดเดียว และก็เพราะความไม่มีเหตุผลในการลอบโจมตีระหว่างต่อสู้ ไป่หลี่จ้งจึงไม่พูดมากอีก พาไป่หลี่เยียนกับซย่าอวี่กลับไปดินแดนแรกนภาทันที
ส่วนไป่หลี่จิงหงก็มีการตระหนักรู้ใหม่ต่อวิชายุทธ์เนื่องจากการต่อสู้อย่างเต็มกำลังคราวนี้ หลังรักษาอาการบาดเจ็บเรียบร้อยจึงทำการสนทนาปรึกษาระหว่างพ่อลูกกับไป่หลี่จิ้งหย่วน
รูปลักษณ์ภายนอกของสองพ่อลูกคล้ายคลึงกันมาก แม้แต่บุคลิกพิเศษที่แสดงออกมาก็ยังใกล้เคียงกัน ข้อแตกต่างใหญ่ที่สุดระหว่างคนทั้งสองนอกจากการที่ภายนอกดูมีอายุต่างกันแล้ว ก็คือองคาพยพของไป่หลี่จิ้งหย่วนดูคร้ามเข้มกว่า ในขณะที่ไป่หลี่จิงหงออกไปทางหล่อเหลากว่า
‘จิงหง เจ้าไม่อยากไปดินแดนแรกนภาหรือ’
‘ข้าจะไปขอรับ แต่ไม่อยากไปเช่นนี้’
อันที่จริงเกาะหุนเองก็มีสิ่งตกทอดของสกุลไป่หลี่และมีเขตลี้ลับของสกุลไป่หลี่อยู่เช่นกัน
แม้สกุลไป่หลี่แห่งเกาะหุนจะมีผู้สืบสายเลือดไม่มาก แต่ส่วนใหญ่มีสติปัญญาเหนือผู้อื่น ประมุขเกาะแทบจะมีความสามารถโดดเด่นเกินใครทุกรุ่น ล้วนแต่ฝึกบำเพ็ญจนถึงจุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์
ทว่าผู้ที่ฝึกบำเพ็ญจนถึงจุดสูงสุดเหล่านี้มีเพียงจำนวนน้อยที่จากโลกไปเนื่องจากสิ้นอายุขัยอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนแต่ผ่านการทดสอบของเขตลี้ลับ แล้วไปจากดินแดนเทพยุทธ์โดยอาศัยค่ายกลส่งตัว
เพียงแต่หลังจากจากไปก็ไม่อาจกลับมาได้อีก จวบจนช่วงร้อยปีมานี้จู่ๆ เกาะหุนก็มีคนจากภายนอกมาปรากฏตัว มิหนำซ้ำยังเป็นญาติผู้ใหญ่จากสายตระกูลอื่นของไป่หลี่จิ้งหย่วน คราวนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่เหล่าบรรพบุรุษไปที่แท้มีชื่อว่า ‘ดินแดนแรกนภา’
กว่าญาติผู้ใหญ่จะมาเยือนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยันต์ส่งตัวผ่านมิติก็มิใช่จะมีได้ทุกเวลา หลังจากครั้งนั้นก็มีบรรพบุรุษกลับมาอีกหนึ่งครั้ง และในครั้งที่สามก็คือการมาถึงของไป่หลี่เยียน พร้อมทั้งให้กำเนิดไป่หลี่จิงหง
หากมิใช่เพราะตัวของไป่หลี่จิ้งหย่วนเองก็เก่งกาจพอ พลังแก่นแท้ก้าวหน้าได้ไวพอ ไป่หลี่จิงหงก็คงจะถูกไป่หลี่เยียนพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้ว
‘เจ้าจะไปดินแดนแรกนภา? แล้วแม่นางน้อยที่เจ้าพึงใจนางนั้นควรต้องทำอย่างไร’ แม้ไป่หลี่จิ้งหย่วนจะยังไม่เคยพบโม่อีเหริน แต่แค่นางเป็นหลานสาวผู้เป็นที่รักและเอ็นดูของโม่ซั่งเฉิน อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นหมอโอสถชั้นยอด เขาก็ไม่ค่อยเห็นค้านแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือบุตรชายของเขา…ชอบนาง
อีกประการหนึ่ง ด้วยอุปนิสัยของไป่หลี่จิงหง ไป่หลี่จิ้งหย่วนเองก็ไม่คิดว่าถึงเขาคัดค้านจริงๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
‘นางจะไปกับข้าขอรับ’
‘นางไปได้หรือ’ เงื่อนไขการไปจากดินแดนเทพยุทธ์ กล่าวว่ายากก็ไม่ยาก แต่ก็มิใช่คนทั่วไปสามารถบรรลุได้เช่นกัน
‘ได้ขอรับ’
ไป่หลี่จิ้งหย่วนพยักหน้า ‘ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็พานางกลับมาให้ข้าพบหน้าสักหน่อย’
‘ขอรับ’
ไป่หลี่จิงหงตัดสินใจแล้ว ไป่หลี่จิ้งหย่วนที่เป็นบิดาก็มีแต่ต้องสนับสนุน
จากนั้นไป่หลี่จิงหงก็กักตัวฝึกบำเพ็ญ…เพียงแต่ช่วงที่ว่างจากการฝึกบำเพ็ญหรือการตระหนักรู้ เขาจะใช้ป้ายหยกสื่อสารติดต่อกับโม่อีเหรินที่อยู่ที่เกาะโม่เสวียนเป็นระยะ
เรื่องที่คิดไม่ถึงคือเมื่อสี่วันก่อน บนเกาะหุนพลันปรากฏรอยแยกรอยหนึ่งขึ้นกลางอากาศ เงาคนเก้าสายดิ่งลงมาจากกลางรอยแยก เป็นไป่หลี่เยียน
มิหนำซ้ำคราวนี้ยังถึงกับพายอดฝีมือมาด้วยกันถึงแปดคน สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการทุ่มสุดตัวแล้ว ประกาศชัดว่าถ้าไป่หลี่จิงหงไม่ตามไป่หลี่เยียนไป ก็จะทำลายเกาะหุนทิ้ง
ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ไป่หลี่จิงหง แม้แต่ไป่หลี่จิ้งหย่วนก็พิโรธแล้ว
‘ท่านปู่และเหล่าท่านปู่ทวดของข้าเห็นด้วยกับการที่เจ้าทำเช่นนี้?’
เกาะหุนเป็นรากของสกุลไป่หลี่ ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่เชื่อว่าบรรดาบรรพบุรุษผู้อาวุโสที่ไปอยู่ที่ดินแดนแรกนภาจะเห็นด้วยกับการทำลายเกาะหุน
‘ข้าต้องการพาบุตรชายข้ากลับไป พวกเขามีแต่จะแตกตื่นดีใจ ไม่มีทางคัดค้าน’ ไป่หลี่เยียนตอบ
‘ไป่หลี่เยียน เจ้าไม่คู่ควรกับแซ่ ‘ไป่หลี่’ ’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนกล่าวเสียงเย็น
‘พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย ข้าจะถามอีกครั้ง หงเอ๋อร์ เจ้าจะตามข้าไปหรือไม่’
‘ไม่เคยมีความคิดนั้น’ ไป่หลี่จิงหงกุมยันต์ส่งตัวที่โม่อีเหรินมอบให้ไว้ในมือ
‘เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าต้องใช้วิธีการบังคับแล้ว ลงมือ!’ ไป่หลี่เยียนออกคำสั่ง การต่อสู้ตะลุมบอนก็เริ่มต้นขึ้น
แปดคนนี้แต่ละคนล้วนมีพลังแก่นแท้อยู่ในระดับยอดราชันยุทธ์ ด้วยพลังแก่นแท้ของไป่หลี่จิ้งหย่วนและไป่หลี่จิงหงสามารถต้านทานได้ทีละคน สำหรับหกคนที่เหลือ ใช้วิธีสู้เป็นหมู่จัดการก็ใช่จะจัดการไม่ได้ เพียงแต่…คงเจ็บหนักยิ่ง
ทว่าพ่อลูกสกุลไป่หลี่เป็นผู้ใด มีหรือจะกลัว
เพียงแต่สถานการณ์ต่อสู้กลับปรากฏการเปลี่ยนแปลงประหลาดตั้งแต่แรกเริ่ม
พอคำว่า ‘ลงมือ’ ถูกเปล่งออกมาเสร็จ ไป่หลี่จิงหงก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตบฝ่ามือใส่ไปที่คนสี่คน
หากแต่ไม่มีไอสังหาร ไม่มีการทำร้ายคน เพียงแต่ตบไปที่บ่าของคนทั้งสี่
ขณะที่ไป่หลี่เยียนยังไม่ทันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งสี่ที่ถูกไป่หลี่จิงหงตบฝ่ามือใส่ก็หายวับไปทันที
อย่าว่าแต่ไป่หลี่เยียน สถานการณ์ที่เกิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่ไป่หลี่จิ้งหย่วนก็ยังงงงันไปด้วย
พวกสี่เหยาที่อยู่ข้างๆ เองก็งันไปเล็กน้อยเช่นกัน ต่อจากนั้นก็นึกถึง ‘สิ่งประดิษฐ์ใหม่’ ของฮูหยินน้อยขึ้นได้
เป็นของดีจริงด้วยๆ!
ไป่หลี่จิงหงลงมือต่อโดยไม่หยุดพัก แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามตอบสนองทันแล้ว ขณะผลุบตัวหลบก็เริ่มโจมตีกลับพร้อมกัน ไป่หลี่จิ้งหย่วนกับองครักษ์ทั้งสี่ที่หายงงงันแล้วต่างก็เข้าร่วมการตะลุมบอน
ไป่หลี่เยียนมองดูพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ด้านข้าง
ที่นี่ถึงกับมียันต์ส่งตัวเหมือนกัน!
ผู้ช่วยน้อยลงไปสี่คน เรื่องที่เดิมทีมีโอกาสสำเร็จแทบจะแน่นอน บัดนี้กลายเป็นล่อแหลมแล้ว
หากแต่ครั้งนี้ไป่หลี่เยียนจะต้องบรรลุจุดประสงค์ให้ได้!
ขณะคนหนึ่งถูกไป่หลี่จิงหงเอาชนะได้ และคนที่สู้อยู่กับไป่หลี่จิ้งหย่วนก็ใกล้จะพ่ายแพ้เต็มแก่ ไป่หลี่เยียนพลันหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาก่อนตะโกนว่า ‘หยุดมือ!’
คนของไป่หลี่เยียนหยุดมือ คนของสกุลไป่หลี่จึงหยุดมือตาม
ไป่หลี่เยียนมองไป่หลี่จิงหง ‘หงเอ๋อร์ นี่คือหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ เจ้าน่าจะรู้ว่าหากข้าสาดยาขวดนี้ออกไปจะเกิดผลอะไรตามมา’
ไป่หลี่จิงหงมองนางอย่างเยือกเย็น
‘จะตามข้าไป หรือจะให้ยาขวดนี้อยู่ที่เกาะหุน เจ้าเลือกมา’
‘ไป่หลี่เยียน หากเจ้ากล้าสาดหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ เจ้าก็ไม่ต้องกลับไปดินแดนแรกนภาแล้ว ทะเลนอกเกาะหุนย่อมมีสถานที่ให้เจ้าได้นอนหลับไม่ตื่น’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนพูดเสียงเย็น
‘ท่าน…กล้าฆ่าข้า?’ ไป่หลี่เยียนไม่อยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย
‘ข้าไม่ได้ลงมือกับเจ้ามาโดยตลอด เป็นเพราะเจ้าได้ให้กำเนิดจิงหง มิเช่นนั้นเจ้านึกว่าข้าจะยอมปล่อยให้สตรีที่ใดก็ไม่รู้มาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้าหรือ’
สีหน้าของไป่หลี่เยียนดูตกตะลึงอยู่เล็กน้อย
ไป่หลี่จิ้งหย่วนหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ‘เจ้านึกว่าข้าจะมีใจให้เจ้าหรือไร’
ไป่หลี่เยียนอับอายจนกลายเป็นโกรธอยู่บ้าง จึงไม่มองเขาอีก ‘หงเอ๋อร์ เจ้าตัดสินใจอย่างไร’
สีหน้าของไป่หลี่จิงหงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิด เพียงแต่ก้าวไปข้างหน้า
‘จิงหง!’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนรั้งตัวบุตรชายไว้
ไป่หลี่จิงหงหันหลังกลับมาส่งป้ายหยกสื่อสารให้บิดา ก่อนถ่ายทอดเสียงให้อีกฝ่ายได้ยินผู้เดียว
‘ท่านพ่อ เกาะหุนจะถูกทำลายไปไม่ได้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ให้บอกอีเหรินทั้งหมด’
จากนั้นเขาก็เดินไปหยุดเบื้องหน้าไป่หลี่เยียน
‘หงเอ๋อร์ ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว เชื่อฟังคำข้า ข้าเป็นแม่ของเจ้า ไม่มีทางทำร้ายเจ้า…’
ไป่หลี่เยียนมีสีหน้าลำพองพออกพอใจ กลับคิดไม่ถึงว่าเสี้ยวเวลาถัดมาไป่หลี่จิงหงจะยื่นมือมาแย่งขวดหยกในมือนางไป
‘หงเอ๋อร์!’ ไป่หลี่เยียนหน้าเปลี่ยนสี นางถึงกับป้องกันลูกไม้นี้ของอีกฝ่ายไม่ได้
‘หยาดน้ำตาเทพยุทธ์ขวดนี้ ถือว่าข้าตอบแทนบุญคุณของท่าน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าไป่หลี่จิงหงจะไม่มีมารดา’ พูดจบไป่หลี่จิงหงก็เปิดขวดออก แล้วดื่มหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ลงไปทั้งขวด
คำสั่งของนาง เขาไม่มีวันเชื่อฟัง นางต้องการทำร้ายเขา เขาก็ชดใช้หนึ่งชีวิตให้นาง
นับแต่นี้ไม่ติดค้างต่อกันอีก
‘จิงหง!’
‘ประมุขน้อย!’
หยาดน้ำตาเทพยุทธ์ แค่หยดเดียวก็เพียงพอจะทำลายพลังวัตรชั่วชีวิตของคนหนึ่งคนได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นมีพลังยุทธ์สูงส่งเพียงไรก็ไม่มีประโยชน์
มิหนำซ้ำผู้ถูกพิษนอกจากจะต้องเผชิญกับการเสื่อมถอยของพลังวัตรแล้ว ยังจะมีอาการเจ็บปวดตามกระดูกและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างขณะที่ถูกพิษด้วย
ความรู้สึกพรรค์นั้น ไป่หลี่จิ้งหย่วนกระจ่างแจ้งดีที่สุด!
เขาเหินกายขึ้นหน้าไปในทันใด รับบุตรชายที่หน้าซีดและมุมปากมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่ขาดสายเอาไว้ได้พอดิบพอดี
‘จิงหง!’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนคิดไม่ถึงว่าบุตรชายของตนจะใช้วิธีเด็ดขาดเพียงนี้มาจัดการกับเรื่องราว
ไป่หลี่เยียนเองก็ตกใจแล้วเช่นกัน หากแต่นางได้สติในทันที ออกคำสั่งว่า ‘พาคุณชายกลับไป!’
‘ไป่หลี่เยียน!’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนตวาดด้วยความพิโรธ
‘ยาแก้อยู่ที่ดินแดนแรกนภา หากท่านไม่อยากให้หงเอ๋อร์มีอันเป็นไป ก็ส่งเขาให้ข้า’ ไป่หลี่เยียนพูดอย่างไม่ลนลาน
แม้ตอนนี้จะไม่มี แต่ไปถึงดินแดนแรกนภาแล้ว นางย่อมจะคิดหาทางเอายาแก้มาให้ได้แน่นอน
หงเอ๋อร์เป็นความหวังของนาง นางย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาสูญเสียพลังวัตรไปเยี่ยงนี้ มิเช่นนั้นความเหนื่อยยากลำบากใจตลอดหลายปีมานี้ของนางก็ต้องสูญเปล่าแล้ว
‘บุตรชายของข้า ใครก็ห้ามบีบบังคับ!’ พอไป่หลี่จิ้งหย่วนโกรธ กลิ่นอายทั้งตัวคนก็เปลี่ยนไป พายุสายหนึ่งพัดหอบขึ้นอย่างบ้าคลั่งรอบตัวเขา บีบให้คนทั้งหมดต้องล่าถอย
ส่วนไป่หลี่เยียนกับยอดฝีมือทั้งสี่ก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกันในชั่วพริบตา
พลังยุทธ์ของไป่หลี่จิ้งหย่วนเลื่อนสูงขึ้นหนึ่งขั้นในชั่วพริบตา พลังปราณทั้งร่างเลื่อนขึ้นมาเหนือกว่าราชันยุทธ์ ไป่หลี่เยียนเห็นแล้วก็หน้าเปลี่ยนสี
‘ไป่หลี่จิ้งหย่วน ท่าน ท่านถึงกับ…’ ฝึกวิชาลับของสกุลไป่หลี่ อีกทั้งยังฝึกสำเร็จแล้ว!
‘เกาะหุนทั้งหมดฟังคำสั่ง ใครบุกรุกเกาะ ฆ่าไม่ละเว้น!’
‘ขอรับ!’
องครักษ์เกาะหุนออกมาหลังเสียง ล้อมไป่หลี่เยียนและคนทั้งสี่ไว้ในทันที การต่อสู้ตะลุมบอนเริ่มขึ้นอีกครั้ง
‘สี่เหยา พาประมุขน้อยไปแช่ตัวในสระน้ำลับบัดเดี๋ยวนี้’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนเรียกคนทั้งสี่มา ก่อนส่งตัวไป่หลี่จิงหงให้พวกเขา จากนั้นก็มอบป้ายหยกสื่อสารให้ไป๋เหยา ‘หากถึงยามสุดวิสัย ข้าจะเปิดการทำงานค่ายกลพิทักษ์เกาะ พวกเจ้าสี่คนจะต้องมีสักคนที่ออกจากเกาะหุนไปก่อนค่ายกลจะเปิดทำงานสมบูรณ์ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกโม่อีเหริน นี่เป็น…ความต้องการของจิงหง’
‘ขอรับท่านประมุข’ เฮยเหยากับชิงเหยาประคองตัวประมุขน้อย
‘จำไว้ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร ภารกิจที่สำคัญที่สุดของพวกเจ้าสี่คนมีเพียงอย่างเดียว ก็คือคุ้มครองจิงหง เชื่อฟังเพียงคำสั่งของเขา คนอื่นๆ ไม่ว่าเป็นผู้ใด พวกเจ้าล้วนไม่ต้องสนใจ’
‘ทราบแล้วขอรับ!’ ทั้งสี่คนเอ่ยประสานเสียงกัน
พวกเขาสี่คนดำรงอยู่เพื่อไป่หลี่จิงหงแต่เพียงผู้เดียว
‘รีบไป!’
‘ขอรับ!’
จากนั้นคนทั้งสี่ก็พาไป่หลี่จิงหงเร่งรุดไปยังเขตลี้ลับของเกาะหุนทันที
ทางด้านไป่หลี่จิ้งหย่วนหันหลังกลับ มองเห็นองครักษ์เกาะหุนล้มเจ็บไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนสี่คนที่ถูกไป่หลี่จิงหงทำให้หายตัวไปก็มีสองคนรุดกลับมาแล้ว
ยอดฝีมือระดับยอดราชันยุทธ์หกคน ทำให้องครักษ์เกาะหุนต่างรู้สึกกดดัน ทว่าใบหน้าองครักษ์แต่ละคนล้วนปราศจากอารมณ์ ไม่มีผู้ใดล่าถอย
ไป่หลี่จิ้งหย่วนออกฝ่ามือทันที ฝ่ามือหนึ่งซัดยอดฝีมือคนหนึ่งจนถอยร่น ครั้นซัดติดต่อกันสี่ฝ่ามือก็ทำให้สี่คนที่ถูกเขาเล่นงานจนบาดเจ็บอยู่แต่เดิมยิ่งบาดเจ็บหนักขึ้นอีก
คนทั้งสี่กระอักเลือดออกมาต่อหน้าต่อตา ทำให้สองคนที่เพิ่งรุดกลับมาถึงต่างก็หน้าเปลี่ยนสี!
ฝ่ามือถัดมามุ่งเป้าไปที่ไป่หลี่เยียน…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.