บทที่ 81
แสงไฟส่องสว่าง เฉิงอวี๋จิ่นมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
หลินชิงหย่วนแท้จริงแล้วเห็นเฉิงอวี๋จิ่นตั้งแต่ไกลแล้ว นางสวมเสื้อคลุมสีขาว ยืนดูโคมไฟหน้าแผงโคมไฟแผงหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงแผ่นหลัง มองหน้าตาไม่ชัดเจน แต่กลับคุ้นตาอย่างมาก หลินชิงหย่วนรู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูกว่านางก็คือเฉิงอวี๋จิ่น
หลินชิงหย่วนลองเรียกดูทีหนึ่ง วันนี้เป็นเทศกาลซั่งหยวน คนดีเลวปะปนกัน เดินไปมาไม่หยุด เขาไม่มั่นใจว่าเฉิงอวี๋จิ่นยินดีจะพบเขาในสถานที่เช่นนี้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเฉิงอวี๋จิ่นจะหันหน้ามาจริงๆ
หลินชิงหย่วนมีแรงฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขาแหวกกลุ่มคนมาถึงข้างกายเฉิงอวี๋จิ่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ข้ายังไม่กล้ามั่นใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่เฉิงจริงๆ”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ยิ้มเลย และไม่ได้ขยับ เพียงยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ อย่างนั้น มองดูหลินชิงหย่วนเดินข้ามถนนมาอย่างยากลำบาก เบียดมาถึงตรงหน้านาง จนสุดท้ายเฉิงอวี๋จิ่นจึงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ข้าเห็นโคมไฟที่นี่น่าสนใจจึงเดินมาดู เมื่อครู่คนมากเหลือเกิน ข้าไม่เห็นอาลักษณ์หลิน ขออาลักษณ์หลินอภัยด้วย”
หลินชิงหย่วนได้ยินแล้วก็รีบโบกมือ “เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเรื่องปกติมาก บนถนนมีคนมากมายอย่างนี้ จะเห็นไปหมดทุกคนได้อย่างไร คุณหนูใหญ่เฉิงเกรงใจเกินไปแล้ว ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคำพูดประโยคนี้ ความรู้สึกอึดอัดมาตลอดคืนก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง ความตึงเครียดในใจนางคลายลง สีหน้าท่าทางก็ดูมีความสุขขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกเบิกบานใจตามไปด้วยอย่างไร้สาเหตุ
หลินชิงหย่วนปกติไม่จุกจิกเรื่องมาก ในเมืองหลวงเขามีญาติมิตรไม่มาก ออกมาชมโคมไฟเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น ตอนนี้ได้มาเจอเฉิงอวี๋จิ่นเข้า เขาคิดว่ายากนักจะได้เจอคนรู้จักสักคน ไม่ติดขัดอะไรที่จะไปชมโคมไฟด้วยกัน หลินชิงหย่วนคิดเช่นนี้จึงพูดออกมาว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อไป ข้าเห็นด้านหน้ามีการทายปริศนาโคมไฟ พวกเราไปดูด้วยกันดีหรือไม่”
ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวได้ยินคำพูดของหลินชิงหย่วนแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเมืองหลวงคนมีอำนาจบารมีมาก กฎระเบียบมารยาทก็มากเช่นกัน บุรุษผู้หนึ่งพูดคำเช่นนี้ออกมา เรียกได้ว่าเสียมารยาทอย่างมาก
เฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่ค่อยใส่ใจ หากเป็นบุรุษอื่นพูดคำเช่นนี้ออกมา คงเป็นการล่วงเกินอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลินชิงหย่วนไม่ใช่คนในเมืองหลวง เขาไม่คุ้นเคยกับประเพณีมารยาทของเมืองหลวงเป็นเรื่องปกติมาก อีกอย่างหลินชิงหย่วนเดิมทีก็เป็นคนที่มีนิสัยใจกว้างไม่จุกจิกเรื่องมากอยู่แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ ไม่ใส่ใจการออกนอกกรอบเล็กน้อยเหล่านี้ “ได้ รบกวนอาลักษณ์หลินแล้ว”
หลินชิงหย่วนได้ยินก็ดีใจจนออกนอกหน้า รวบรวมความกล้าอาสาเดินนำหน้า เฉิงอวี๋จิ่นหันหน้าไปมองด้านหลังเล็กน้อย ท่านหญิงชิ่งฝูกับนายหญิงรองตี๋ยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งสองไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกัน สีหน้าของท่านหญิงชิ่งฝูค่อยๆ เย็นชาขึ้น แต่เป็นหร่วนซื่อที่ทั้งตกใจและลอบยินดี พยายามสะกดรอยยิ้มบนใบหน้า
อยู่ไกลเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นย่อมไม่อาจได้ยินว่าพวกนางพูดอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางของท่านหญิงชิ่งฝู แม้จะตกใจไม่พอใจ แต่ไม่ได้โกรธจนสะบัดแขนเสื้อ เห็นได้ว่าเรื่องที่นายหญิงรองตี๋พูดแม้จะทำให้นางไม่ยินดี แต่ก็ไม่ได้เหยียบถูกขีดจำกัดต่ำสุด ก็หมายความว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องการถอนหมั้น?
ท่านหญิงชิ่งฝูต่อให้ไม่มีความรู้สึกต่อเฉิงอวี๋จิ่นเพียงไร แต่อย่างไรก็เป็นมารดาในนาม หากถอนหมั้นต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านหญิงชิ่งฝูต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วแน่นอน จะมายืนนิ่งฟังนายหญิงรองตี๋กลางถนนได้อย่างไร
ไม่ใช่ถอนหมั้น หรือจะเป็นเงื่อนไขในพิธีแต่งงานหรือสินสอด ตี๋เหยียนหลินแต่งภรรยาเอกคนใหม่ ตามหลักประเพณีคนที่แต่งใหม่ต้องทำพิธีในฐานะอนุภรรยาต่อหน้าภรรยาเอกเดิม ในทุกด้านย่อมไม่อาจเกินหน้าภรรยาเอกเดิมได้ สินสอดตามธรรมเนียมก็ต้องต่ำกว่าภรรยาเอกเดิมเช่นกัน สกุลตี๋อาจจะพิจารณาถึงกฎเกณฑ์ข้อนี้จึงมาเจรจาเงื่อนไขกับจวนอี๋ชุนโหวกระมัง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร นางเหม่อมองโคมไฟตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเยาะตนเอง นางกลายเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงกับต้องเริ่มอาศัยผู้อื่นแล้ว
ใต้หล้านี้ไม่มีใครสนใจเรื่องเหล่านี้มากกว่านางอีกแล้ว เฉิงหยวนจิ่งถึงแม้พูดว่าจะช่วยนาง แต่งานของเขายุ่งมาก จะสนใจไปทุกด้านได้อย่างไร พูดถึงที่สุดแล้ว เรื่องนี้ยังต้องอาศัยตนเอง
วิงวอนพระขอร้องคนสู้พึ่งพาตนเองไม่ได้ ทั้งที่เป็นหลักการที่นางเข้าใจตั้งแต่เจ็ดขวบ เหตุใดตอนนี้ยังเลอะเลือนได้อีก
หลินชิงหย่วนเดินไปครู่หนึ่ง พูดกับคนด้านหลังไม่มีการตอบสนองใด พอหันหน้าไปจึงเห็นว่าเฉิงอวี๋จิ่นยังยืนอยู่กับที่ กำลังจ้องมองโคมไฟดวงหนึ่งอยู่ หลินชิงหย่วนสงสัย ทำได้เพียงย้อนกลับมา “คุณหนูใหญ่เฉิง เป็นอะไรหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นหลุดจากภวังค์ความคิด รู้ตัวว่าตนเองทิ้งให้หลินชิงหย่วนเคว้งคว้าง จึงก้มหน้ากระแอมทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเห็นโคมไฟดวงนี้แปลกดี มองเพลินโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ได้เดินตามอาลักษณ์หลิน ”
หลินชิงหย่วนพอได้ยินว่าเป็นเพราะโคมไฟก็โบกมือทันที “ไม่เป็นไร คุณหนูใหญ่เฉิงไม่จำเป็นต้องขออภัยข้า ข้าเป็นคนพาคุณหนูใหญ่เฉิงไปเที่ยวเล่น ไม่ได้มาเพื่อให้คุณหนูใหญ่เฉิงขออภัย ขอเพียงคุณหนูใหญ่เฉิงมีความสุขก็พอ”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจ หลินชิงหย่วนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมามากคนหนึ่ง มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนสวีจือเซี่ยน แต่มีความคิดมีความสามารถมากกว่าสวีจือเซี่ยน คนเช่นนี้หากนางแต่งกับเขา วันหน้าต้องสบายใจมากแน่นอน
เฉิงอวี๋จิ่นหลุบตาลงปิดบังความคิดในใจ พูดว่า “ขอบคุณอาลักษณ์หลิน”
หลินชิงหย่วนเห็นเฉิงอวี๋จิ่นหยุดอยู่ตรงหน้าโคมไฟดวงหนึ่ง คิดจริงๆ ว่าเมื่อครู่นางดูโคมไฟอยู่ จึงพูดว่า “ถ้าคุณหนูใหญ่เฉิงชอบโคมไฟ ข้างหน้ายังมีโคมไฟรูปร่างแปลกตาอีกหลายแบบ คุณหนูใหญ่เฉิงลองเดินไปดูข้างหน้าก็ได้”
“ได้” เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้า บนถนนคนเดินไปเดินมา เฉิงอวี๋จิ่นหันหน้าไปมองแวบหนึ่ง เห็นพวกท่านหญิงชิ่งฝูยังคงตั้งใจพูดคุยกันอยู่ ไม่ได้สังเกตรอบข้างแม้แต่น้อย
ในเวลานี้มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านกลางถนนพอดี รอจนรถม้าเคลื่อนที่เบียดเอียงไปมา เฉิงอวี๋จิ่นก็หายไปจากตำแหน่งเมื่อครู่แล้วเช่นกัน
จู่ๆ ร่างของนางก็หายไปจากสายตา ตี๋เหยียนหลินขมวดคิ้ว รีบเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าวทันที ทว่าเทศกาลซั่งหยวนทุกคนออกมาเดินเล่น คนบนถนนมีมากเหลือเกิน ตี๋เหยียนหลินมองหาอยู่นานก็ไม่เจอเงาร่างของเฉิงอวี๋จิ่น
ตี๋เหยียนหลินหัวคิ้วขมวดแน่น วันนี้มีคนพลุกพล่านมากมายไปหมด ข้างกายเฉิงอวี๋จิ่นมีเพียงสาวใช้สองคน เดินรวมไปกับทุกคนเช่นนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าจะมุ่งไปทางที่เฉิงอวี๋จิ่นเดินหายไปทันที ทว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน
เขาไปร่วมงานเลี้ยงกับสหายร่วมงานตามปกติ แต่ระหว่างดื่มสุราเต็มที่เดินออกไปให้สร่างเมากลับถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งขวางเอาไว้ ตี๋เหยียนหลินมีประสบการณ์มาก พอฟังเสียงของอีกฝ่ายก็แยกออกได้ว่านี่คือขันที ใต้หล้านี้มีสถานที่แห่งเดียวที่มีขันที อาการเมาของตี๋เหยียนหลินสร่างไปกว่าครึ่งในทันที ทว่าขันทีผู้นั้นส่งยิ้มให้เพียงเปลือกนอก หลังจากพูดคำสองแง่สองง่ามบางอย่างแล้วก็บอกเขาอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่าอย่ามีความคิดอะไรที่ไม่ควรมี วาสนาบางอย่างเขารับไม่ไหว
อาการเมาของตี๋เหยียนหลินสร่างไปจนสิ้น
ตี๋เหยียนหลินยืนอยู่กลางลมหนาวอยู่นาน ใบหน้าเปลี่ยนจากแดงด้วยฤทธิ์สุราเป็นขาวซีด เขาย้อนคิดคำพูดของขันทีซ้ำไปซ้ำมา ‘อย่ามีความคิดอะไรที่ไม่ควรมี’ ระยะนี้เขาไม่ได้ทำอะไรต่างจากคนอื่น มีสิ่งเดียวที่แตกต่างไปก็คือกำลังวางแผนแต่งภรรยาเอกคนใหม่
ตี๋เหยียนหลินคิดถึงตรงนี้พลันรู้สึกว่าเหลือเชื่อ เฉิงอวี๋จิ่นถูกคนในวังหลวงหมายตาเข้าหรือ
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร
ตี๋เหยียนหลินจะมีแก่ใจดื่มสุราอีกได้อย่างไร สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปบอกความที่โต๊ะสุรา ส่วนเขากลับจวนไปก่อน หลังจากตี๋เหยียนหลินกลับถึงจวนก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก เขาครุ่นคิดซ้ำๆ อยู่นาน สุดท้ายไประบายให้ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ฟัง บอกให้มารดาระงับเรื่องการแต่งงานของสกุลเฉิงไว้ชั่วคราว
ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ได้ยินว่ามีขันทีมาเตือนตี๋เหยียนหลินก็ตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้วครึ่งหนึ่ง จะกล้าเพียงระงับไว้ได้อย่างไร จึงบอกให้นายหญิงรองตี๋ไปถอนหมั้นในทันที ทว่าการถอนหมั้นพวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินสกุลเฉิงเช่นกัน จำต้องทำอย่างเกรงใจ แทบจะขอร้องอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บอกว่าเรื่องที่พวกเขาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถือเสียว่าไม่เคยมีมาก่อนก็แล้วกัน
ในวังหลวงยังมีองค์ชายที่ยังไม่ได้แต่งพระชายา ต่อให้มอบความกล้าหาญล้นฟ้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋ นางก็ไม่กล้าแย่งคนกับทางราชวงศ์
บังเอิญก่อนหน้านี้นัดหมายกันว่าจะพบหน้ากันในเทศกาลซั่งหยวน เดิมทีผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านอยากจะสร้างโอกาสให้แก่ว่าที่บ่าวสาว ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน อันที่จริงพูดได้ชัดแล้วก็คือความคิดส่วนตัวของตี๋เหยียนหลินเอง ทว่าตอนนี้ถูกคนในวังหลวงตักเตือน จวนไช่กั๋วกงไม่กล้ามีความคิดใด ฮูหยินผู้เฒ่าตี๋อายุมากแล้ว ไม่เหมาะจะเดินเบียดเสียดคนมากมายบนถนน จึงให้นายหญิงรองตี๋ออกจากจวน พูดกับสกุลเฉิงให้กระจ่างด้วยท่าทีอันดี
อย่างไรเสียก็ไม่ได้หมั้นหมายเป็นทางการ เป็นเพียงผู้ใหญ่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนคำสัญญากัน ขอเพียงสกุลเฉิงไม่พูด สกุลตี๋ไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ดีต่อชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เฉิง และดีต่ออนาคตของสกุลตี๋เช่นกัน
นายหญิงรองตี๋สีหน้าอมทุกข์ออกจากจวน ในสถานการณ์เช่นนี้ตี๋เหยียนหลินไม่เหมาะจะพบหน้าเฉิงอวี๋จิ่นแล้ว แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ ตามรถม้าของนายหญิงรองตี๋อยู่ไกลๆ และมองเฉิงอวี๋จิ่นเดินลงมาจากรถม้าโดยมีผู้คนมากมายกั้นกลาง
วันนี้นางตั้งใจแต่งตัว แม้จะเป็นเพราะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เสื้อผ้าบนร่างจึงเป็นสีเรียบ แต่เสื้อคลุมสีขาวสะอาดทั้งตัวของนางยามยืนอยู่ใต้แสงไฟมีแสงเงาตัดกัน เหมือนบุปผาสีเงินบนต้นไม้ประดับไฟ ราวกับว่าดวงดาวบนท้องฟ้าพากันตกลงมาบนตัวนาง
ตี๋เหยียนหลินมองอยู่ไกลๆ ราวกับห่างกันคนละโลก มือของเขาใต้แขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น ความรู้สึกมากมายทั้งไม่ยินยอม ตกใจ ไม่พอใจต่างประดังประเดเข้ามา กรอกลงจนเต็มในใจของเขา
ก่อนหน้านี้ที่วัดเซียงจี เฉิงอวี๋จิ่นทำลายศักดิ์ศรีของเขาอย่างรุนแรง นับจากตี๋เหยียนหลินเติบโตมาถึงตอนนี้ นั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับเขาเช่นนั้น สตรีทุกคนต่างประจบเขาเอาใจเขา มีเพียงอยู่ในสายตาเฉิงอวี๋จิ่นที่ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว
ตี๋เหยียนหลินถูกกระตุ้นความดุร้ายขึ้นมา ต้องการจะเอาหญิงคนนี้มาเป็นของตนเองยิ่งขึ้น ใต้หล้านี้จะมีเหตุผลอะไรมากมายให้พูดกัน แค่เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยินดีจะแต่งก็จะไม่แต่งได้หรือ
เช่นนั้นก็ดูถูกจวนไช่กั๋วกงของพวกเขาเกินไปแล้ว
ตี๋เหยียนหลินถือเอาความต้องการของตน ฝืนทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจริงๆ ระยะนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่น เขาคิดมาตลอดว่ารอให้เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วจะมีท่าทีอย่างไร รอจนนางแต่งเข้าจวนไช่กั๋วกงกลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว จะโอนอ่อนมาขอร้องเขาหรือไม่
ตี๋เหยียนหลินแค่คิดก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน การพบหน้าในเทศกาลซั่งหยวนก็เป็นเรื่องที่ตี๋เหยียนหลินตั้งใจเตรียมการไว้ เขาอยากดูว่าตอนเฉิงอวี๋จิ่นเผชิญหน้ากับเขาจะมีสีหน้าอย่างไร
ทว่าคำพูดของขันทีในวังหลวงคล้ายสาดน้ำเย็นหนึ่งอ่างรดหัวของตี๋เหยียนหลินอย่างไม่ปรานี ทั้งที่เป็นการพบหน้าที่เขาเตรียมการไว้ แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาที่ไม่กล้าปรากฏตัวราวกับหนูที่ต่ำต้อยน่าขัน กล้าเพียงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนลอบมองสภาพการณ์ของสกุลเฉิง
หลังจากสอดส่องสายตาอีกครั้งจนมองเห็นเงาร่างของนาง ทุกอย่างเป็นไปตามความคิดของตี๋เหยียนหลิน เฉิงอวี๋จิ่นงดงามสะดุดตา งดงามจนทำให้คนไม่อาจเลื่อนสายตาหนีได้ แต่ตี๋เหยียนหลินคาดไม่ถึงว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปพบหน้าเฉิงอวี๋จิ่น
ตี๋เหยียนหลินทำได้เพียงมองเฉิงอวี๋จิ่นนำสาวใช้ไปชมโคมไฟ นางหยุดตรงหน้าแผงเล็กแผงหนึ่งอยู่นานโดยไม่ได้ซื้ออะไรเลย บนถนนมีคนมากมายมองนางอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่สังเกตเห็น สุดท้ายชายคนหนึ่งเดินเบียดกลุ่มคนด้วยความตื่นเต้นยินดีไปถึงข้างกายนาง ทั้งสองพูดคุยอะไรกันบางอย่างแล้วเฉิงอวี๋จิ่นก็หายไป
ตี๋เหยียนหลินเดาได้ไม่ยาก เกรงว่าชายผู้นี้คงจะเดินนำเฉิงอวี๋จิ่นไปชมโคมไฟแล้ว
เขาโกรธ เคียดแค้น และมีความริษยาที่ไม่กล้าแสดงออกผสมผสาน ทว่าสุดท้ายตี๋เหยียนหลินทำได้เพียงออกแรงหักคันไม้โคมไฟในมือ หมุนตัวเดินจากไปด้วยความโกรธ
เช่นเดียวกับตอนที่มา ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีใครสนใจ
นายหญิงรองตี๋ไม่รู้ว่าพี่ชายสามีของนางเมื่อครู่มาดูอย่างห่างๆ
ตี๋เหยียนหลินไม่สบายใจ นายหญิงรองตี๋เวลานี้ก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
จวนไช่กั๋วกงเป็นคนเสนอจะแต่งออกมาก่อน ปรากฏว่าผ่านไปไม่นานเท่าใด ครอบครัวพวกเขากลับพูดว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด ขอให้จวนอี๋ชุนโหวเป็นผู้ใหญ่มีใจกว้าง ถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
เป็นผู้ใหญ่มีใจกว้างบ้าบออันใด ท่านหญิงชิ่งฝูจะทนรับการดูหมิ่นเช่นนี้ได้อย่างไร
นายหญิงรองตี๋อมทุกข์ไว้เต็มกลืน ทั้งไม่กล้าล่วงเกินสกุลเฉิง ทำได้เพียงโอนอ่อนพูดคำดีไม่หยุด ท่านหญิงชิ่งฝูถูกการกระทำนี้ของสกุลตี๋ทำให้งุนงง บอกว่าจะถอนหมั้น แต่สกุลตี๋กลับมีท่าทีเกรงใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นพูดอย่างประจบเอาใจ แต่จะบอกให้เป็นสหายที่ดีกันต่อไป นายหญิงรองตี๋ก็กลับเอาแต่พูดว่าไม่กล้าอาจเอื้อม ราวกับว่าแสดงท่าทีช้าไปจะมีภัยร้ายอะไรเกิดขึ้น
นี่มันอยู่ในสถานการณ์อะไรกันแน่
ท่านหญิงชิ่งฝูกับนายหญิงรองตี๋สนทนากันไม่จบสิ้น พวกนางล้วนไม่ได้สังเกตว่าเฉิงอวี๋จิ่นหายตัวไปแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นตามหลินชิงหย่วนไปทายปริศนาโคมไฟ หลินชิงหย่วนอย่างไรเสียก็มาจากตระกูลบัณฑิต เป็นถึงจ้วงหยวน ตลอดทางที่เดินนำช่างเจรจาอย่างมาก เฉิงอวี๋จิ่นฟังแล้วก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มที่แท้จริงออกมา
หน้าแผงโคมไฟแผงหนึ่งมีคนล้อมอยู่จำนวนมาก แผงนี้โคมไฟทั้งใหญ่และสวยงาม เห็นได้ชัดว่าราคาไม่เบาเลย ข้างหน้ายังขึงเชือกไว้เส้นหนึ่ง บนนั้นมีโคมไฟห้อยไว้เต็ม บนโคมไฟแต่ละดวงล้วนมีปริศนาอยู่ ทายถูกก็เอาโคมไฟไปได้ เจ้าของแผงตั้งแผงยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ยอมขาดทุนเสียเปล่า ปริศนาโคมไฟแต่ละข้อล้วนยากมาก หากเดาไม่ออกสามารถไปซื้อโคมไฟบนแผงได้เลย
เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกชื่นชมกับความชาญฉลาดในการทำการค้าของชาวเมือง เดิมทีนางคิดว่าตาไม่เห็นไม่วุ่นวายใจ อยู่ให้ห่างจากพวกท่านหญิงชิ่งฝูสักหน่อย ทว่าตอนนี้เห็นปริศนาโคมไฟมากมาย นางก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา คิดพิจารณาอย่างละเอียดไปทีละข้อ
นางดูไปพลางแลกเปลี่ยนความคิดกับหลินชิงหย่วน ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทุกที หลินชิงหย่วนเล่าตำนานเรื่องหนึ่ง นางก็ถูกเย้าจนหลุดหัวเราะออกมา หางตาหางคิ้วล้วนมีรอยยิ้ม
หลิวอี้ยืนอยู่ในมุมเงียบสงบ รู้สึกว่าลมในคืนนี้หนาวยะเยือกขึ้นทุกที เขาลูบแขนเงียบๆ ท่ามกลางสายตาขอความช่วยเหลือของทุกคน จำใจเดินเข้าไปหนึ่งก้าว ถามอย่างระมัดระวังว่า “องค์รัชทายาท ทางฝ่าบาทยังทรงรออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ว่า…”
เฉิงหยวนจิ่งยืนมือไพล่หลัง มีแม่น้ำกั้นกลางหนึ่งสาย มองดูเหตุการณ์บนฝั่งตรงข้ามโดยไม่พูดอะไร
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำตั้งเพิงใหญ่มากไว้เพิงหนึ่ง ตอนนี้มีคนจำนวนมากห้อมล้อมเพื่อทายปริศนาโคมไฟ หลิวอี้อยากจะกัดลิ้นของตนเองทิ้งเสีย ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เหตุใดเขาต้องปากเปราะชี้ไปที่เพิงโคมไฟให้องค์รัชทายาทดูความคึกคักด้วย
ตอนนี้ดีเลย เขาจะกลายเป็นความคึกคักแล้ว หลิวอี้ในเวลานี้รู้สึกว่าศีรษะของตนเองไม่ปลอดภัย วันนี้จันทราเต็มดวงเป็นครั้งแรกของปี ฮ่องเต้ร่วมสนุกกับราษฎร ขึ้นไปบนหอไฟเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวเมือง แน่นอนที่บอกว่าร่วมสนุกกับราษฎรเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น สาเหตุที่สำคัญไปกว่านั้นอยู่ที่ฮ่องเต้อยากฉวยโอกาสที่วันนี้มีคนมากหน้าหลายตาลอบพบเฉิงหยวนจิ่งสักครั้ง
เฉิงหยวนจิ่งกับพวกหลิวอี้อยู่ระหว่างทางจะไปพบฮ่องเต้ แต่โชคไม่ดีที่เห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นบางอย่างเข้าพอดี และความวุ่นวายเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลิวอี้ชี้ให้เห็นเองอีกด้วย
หลิวอี้รู้สึกเสียใจภายหลังจนไส้แทบขาดแล้ว สวรรค์เป็นพยานได้ ตอนแรกเขาเพียงอยากจะประจบเอาใจผู้เป็นนายเท่านั้นจริงๆ ราษฎรทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุข เพราะผู้เป็นนายดูแลแผ่นดินได้ดีมิใช่หรือ ใครจะรู้ว่าคุณหนูใหญ่เฉิงจะมาทายปริศนาโคมไฟอยู่ใต้เพิงขายโคมไฟแห่งนั้นเช่นกัน
เฉิงหยวนจิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ปรับสภาพอารมณ์ ตัดสินใจจะไปพบฮ่องเต้ก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องของเฉิงอวี๋จิ่น เขาหมุนตัวกลับ บนใบหน้าไม่แสดงอาการใด แต่บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนน่าตกใจ พวกหลิวอี้ตอนแรกวางใจ แต่จากนั้นก็กังวลใจมากขึ้น ก้มหน้าลงต่ำ แสร้งทำเป็นคนใบ้หูหนวก เดินตามหลังผู้เป็นนายอย่างเงียบๆ
พวกเขาเดินอย่างหวาดหวั่นไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึงทางด้านหลัง หลิวอี้เดิมทีไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เทศกาลซั่งหยวนผู้คนมากมายอย่างนี้ ทุกปีต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นบ้าง แต่เสียงอื้ออึงดังขึ้นทุกที ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน่าตกใจ
เฉิงหยวนจิ่งหันหน้ามา พบว่าจุดที่เสียงดังขึ้นมาเป็นทิศทางที่เฉิงอวี๋จิ่นอยู่เมื่อครู่ เขาสีหน้าเคร่งเครียด รีบย้อนกลับไปด้านหลังทันที
บทที่ 82
ถึงแม้โคมไฟตรงหน้าจะทำได้เหมือนจริงและงดงามจับตาเพียงใด แต่เฉิงอวี๋จิ่นยังคงไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ การทายปริศนาโคมไฟแม้จะคึกคัก แต่เสียงข้างหูล้วนเป็นคำพูดระหว่างสามีภรรยา สหาย และครอบครัวพ่อแม่ลูก เฉิงอวี๋จิ่นเพียงรู้สึกว่าความคึกคักเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
นางเหม่อลอยอีกครั้ง หลังจากดึงสติกลับมา เฉิงอวี๋จิ่นพบว่านางมองปริศนาโคมไฟตรงหน้าอยู่นานมากแล้ว
สามีภรรยาคู่หนึ่งด้านข้างพาบุตรสาวบุตรชายมาชมโคมไฟ เห็นเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่หน้าโคมไฟนานมากแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางท่านนี้ ปริศนาโคมไฟข้อนี้ค่อนข้างยากสินะ เมื่อครู่พวกเราก็ทายไปหลายข้อ ล้วนผิดหมด”
พวกเขาคิดว่าเมื่อครู่เฉิงอวี๋จิ่นกำลังคิดคำตอบของปริศนาโคมไฟอยู่ ในน้ำเสียงจึงแฝงการหยอกเย้าอย่างเป็นมิตร เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้ายิ้มให้พวกเขา แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินชิงหย่วนได้ยินเสียงจึงหันหน้ามาถามว่า “คุณหนูใหญ่เฉิงเป็นอะไรหรือ”
“ไม่ได้เป็นอะไร” เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้า สถานที่นี้ปลอดภัยและคึกคัก เหลียนเชี่ยวกับตู้รั่วนานทีจะได้ออกนอกจวน ตอนนี้มองดูจนตาไม่กะพริบ พวกนางปรนนิบัติรับใช้เฉิงอวี๋จิ่นมาหนึ่งปี แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย เฉิงอวี๋จิ่นอยากให้พวกนางได้พักผ่อน จึงไม่ได้เรียกพวกนาง เพียงเดินไปริมแม่น้ำคนเดียว
เพิงขายโคมไฟนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ในตอนนี้ผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าลูกค้าจะเบียดแน่นจนตกน้ำไป ขนาดแผงแต่ละแผงมีจำกัด เจ้าของแผงอยากจะจัดวางโคมไฟให้มากขึ้น จึงยื่นตัวแผงจากบนฝั่งแม่น้ำไปบนผิวน้ำแข็ง ลอบขยายความกว้างของพื้นที่แผงขาย
ไม่เพียงแต่เจ้าของแผงคนนี้มีความคิดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน กวาดตามองไป ธาราน้ำแข็งราวกับแถบสีเงินแถบหนึ่งทอดยาวคดเคี้ยวอยู่กลางเมือง สองฟากประดับด้วยโคมไฟดวงเล็กดวงน้อยราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าตกลงมาในแดนมนุษย์ งดงามอย่างยิ่ง
แผงขายต้องการทำการค้า ดังนั้นจะแขวนโคมไฟที่สวยที่สุดไว้ตรงกลางแผง คนที่ห้อมล้อมตรงนั้นจึงมีมากที่สุดเช่นกัน ตรงส่วนที่อยู่บนผิวน้ำแข็งจะเป็นโคมไฟเล็กแขวนกระจัดกระจายจำนวนหนึ่งเท่านั้น จำนวนคนจึงมีน้อยลงตามไปด้วย เฉิงอวี๋จิ่นเดินตามเส้นทางไปถึงริมแม่น้ำ ข้างกายมีคนบางตาลงมาก นางรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
เดินเล่นบนถนนทั้งที่มีเรื่องเก็บอยู่ในใจ ต่อให้เห็นของดีก็ไม่ทำให้รู้สึกสนใจได้ เฉิงอวี๋จิ่นเป็นเช่นนี้ นางแค่รู้สึกว่ากำลังเดินเล่นเป็นเพื่อนคนอื่นอยู่เท่านั้น ตนเองไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย
นางจ้องไปยังแสงไฟที่สะท้อนบนผิวแม่น้ำ ท่าทางเหม่อลอย เมื่อเทียบกันแล้วในฤดูร้อนตอนที่นางออกจากจวนไปดูร้านค้าที่ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเหลือทิ้งไว้ให้นางครั้งนั้น เดินทางไปด้วยเที่ยวเล่นไปด้วย มีความตั้งใจมากกว่าตอนนี้ เป็นไปได้ว่าสภาพจิตใจในการไปสำรวจของของตนนั้นไม่เหมือนกัน และอาจเป็นไปได้ว่าเพราะเป็นคนละคนกัน
เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันใด นางสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง อยากให้อากาศที่เย็นเยือกกระตุ้นสมองของตนเองสักนิด ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น เฉิงอวี๋จิ่นกลับพบว่ามีเด็กคนหนึ่งถือโคมไฟรูปเสือดวงหนึ่งวิ่งเล่นอยู่กลางแม่น้ำ
ผู้ใหญ่ที่ดูแลเขาคงไม่ได้จับตาดูไปชั่วขณะ หรืออาจคิดว่าแม่น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งแน่นหนาแล้ว คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงปล่อยให้เด็กมาวิ่งเล่นบนพื้นน้ำแข็งตามลำพัง ทว่าเด็กคนนี้ค่อยๆ วิ่งไปถึงกลางแม่น้ำ ตรงนั้นห่างจากริมฝั่งไปไกล ชั้นน้ำแข็งที่จับตัวบางมาก ยิ่งไปกว่านั้นฤดูหนาวปีนี้มีหิมะตกเพียงไม่กี่ครั้ง และช่วงปีใหม่หลายวันนี้อากาศยังอบอุ่นขึ้นมากอีกด้วย
เฉิงอวี๋จิ่นเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาทันใด ในเวลานี้เองนางดูเหมือนจะมองเห็นรางๆ ว่าชั้นน้ำแข็งเกิดรอยแตกบางๆ เส้นหนึ่งทอดยาวออกไป
เฉิงอวี๋จิ่นตกใจ ตะโกนเรียกคนตามสัญชาตญาณ ทว่ารอบข้างเสียงดังอึกทึก ทุกคนกำลังล้อมชมโคมไฟทายปริศนา จะได้ยินเสียงของนางได้อย่างไร และเด็กคนนั้นเหมือนไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายเลย ยังคงวิ่งไปตรงกลางแม่น้ำ
กลางแม่น้ำอยู่ห่างจากฝั่ง ชั้นน้ำแข็งไม่มีแรงยึดเหนี่ยว มักจะเป็นส่วนที่บางที่สุด เด็กคนนั้นไม่รู้ความ ตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบเวลาเช่นนี้ ทั้งยังเป็นเด็กที่ตัวแค่นี้อีกด้วย แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดเลย
เฉิงอวี๋จิ่นชำนาญการวางแผน ทำอะไรต้องคำนวณล่วงหน้าสามก้าว แต่ตอนตัดสินใจในเวลาสำคัญกลับรวดเร็วมาก เพียงพริบตาเฉิงอวี๋จิ่นก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นางเหยียบลงบนชั้นน้ำแข็งทันที วิ่งไปกลางแม่น้ำอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็พยายามพูดเตือนเด็กคนนั้นว่าบนแม่น้ำอันตราย อย่าเดินไปไกล ให้รีบกลับมา
ทว่าเทศกาลซั่งหยวนเสียงดังอึกทึก คนบนริมฝั่งไม่ได้สนใจคำพูดของเฉิงอวี๋จิ่น เด็กที่อยู่กลางแม่น้ำยิ่งฟังไม่ได้ยิน เฉิงอวี๋จิ่นได้แต่มองเด็กคนนั้นวิ่งไปอีกหลายก้าว กระโดดโลดเต้นอยู่บนชั้นน้ำแข็ง เฉิงอวี๋จิ่นเห็นแล้วรู้สึกตระหนกจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ รีบตะโกนพูดว่า “อย่าขยับ!”
ในเวลานี้คนที่เดินอยู่สองฟากสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว พวกเขาเห็นสตรีนางหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาว ดูการแต่งกายแล้วงามสง่าอย่างมาก ความผิดปกติของเฉิงอวี๋จิ่นดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมาก จากนั้นก็มีคนเห็นความผิดปกติบนผิวน้ำแล้ว
“ตายล่ะ น้ำแข็งกลางแม่น้ำยังไม่แข็งตัว จะแตกแล้ว!”
คนที่หยุดยืนชี้ไม้ชี้มือไปบนผิวแม่น้ำมีจำนวนมากขึ้นทุกที เด็กคนนั้นสุดท้ายก็รับรู้ถึงความผิดปกติ เขาก้มหน้าเห็นรอยแตกเป็นลายเส้นน่าอันตรายบนผิวน้ำแข็งก็ตกใจไม่น้อย ร้องไห้วิ่งกลับหลังในทันที
แม้จะเป็นเด็กเล็กคนหนึ่ง แต่แรงกดจากการเหยียบบนชั้นน้ำแข็งอย่างเต็มที่นั้นก็ไม่เบาเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาอยู่ภายใต้ความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ย่อมมีอาการล้มลุกคลุกคลาน เฉิงอวี๋จิ่นได้แต่มองดูรอยน้ำแข็งแตกออกราวกับใยแมงมุม จากการเคลื่อนไหวของเด็กน้อยทำให้สามารถเห็นได้ด้วยตาว่าชั้นน้ำแข็งเปราะบางขึ้นทุกที
เฉิงอวี๋จิ่นในใจบีบรัด รู้ว่าตนทำผิดพลาด เมื่อครู่นางวิ่งลงมาเพราะร้อนใจไปชั่วขณะ แต่การช่วยคนตกน้ำในฤดูหนาวกับฤดูร้อนไม่เหมือนกันเลย คนที่ช่วยจะให้ดีอย่าลงมาดีกว่า แต่ให้หาไม้ไผ่ยาวมาลากตัวคน ไม่เช่นนั้นการเหยียบชั้นน้ำแข็งแตกมากขึ้นอาจจะทำให้ทั้งสองคนเป็นอันตรายได้มาก
แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ นางไม่มีหนทางถอยกลับแล้ว หากย้อนกลับทางเดิม น้ำแข็งที่ถูกนางเหยียบมาครั้งหนึ่งรับแรงกดเป็นครั้งที่สอง ใครจะรู้ว่ามันจะแตกได้เร็วขึ้นหรือไม่ ที่สำคัญก็คือภายใต้สายตาของคนมากมายหากนางถอยกลับ คนที่มุงดูไม่สนใจหรอกว่านี่เป็นการช่วยเหลือที่ดีกว่าหรือไม่ พวกเขาจะคิดเพียงว่าเฉิงอวี๋จิ่นรักตัวกลัวตาย
ในเวลานี้เองมีเสียงดังแกร๊กรางๆ มาเข้าหู ชั้นน้ำแข็งที่เปราะบางภายใต้การออกแรงเหยียบของเด็กก็แตกออก เด็กน้อยตกลงไปในหลุมน้ำแข็งทันที ถูกน้ำเย็นเยือกทำให้รู้สึกหนาวสั่นอย่างรุนแรง
เฉิงอวี๋จิ่นตัดสินใจกระโดดลงน้ำแทบจะพร้อมกัน น้ำในฤดูหนาวเย็นจับขั้วหัวใจมาก ตอนที่ร่างกายลงสู่น้ำเย็น เฉิงอวี๋จิ่นก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มีชั่วขณะที่สูญเสียการควบคุมร่างกายไป นางพยายามจะไปดึงตัวเด็กคนนั้น แต่พบว่าเสื้อคลุมกันลมของตนดูดน้ำแล้วมีแรงต้านมาก นางจึงคลายเชือกผูกด้วยมือที่สั่นเทา แล้วว่ายไปทางเด็กคนนั้นอย่างเต็มกำลัง
โชคดีที่ช่องน้ำแข็งที่แตกออกในตอนนี้ไม่ใหญ่มาก เด็กน้อยถูกน้ำเย็นปะทะ แทบจะสูญเสียความสามารถในการตอบสนองไปแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นดึงตัวเขาเอาไว้ อยากจะหาแผ่นน้ำแข็งที่แข็งแรงเพื่อขึ้นฝั่ง ทว่าชั้นน้ำแข็งกลางแม่น้ำล้วนเป็นน้ำแข็งแผ่นบาง เฉิงอวี๋จิ่นหาชั้นน้ำแข็งที่สามารถแบกรับน้ำหนักคนสองคนไม่ได้เสียที และนางยังต้องลากเด็กคนหนึ่งมาอีกด้วย กำลังกายจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงอวี๋จิ่นรู้ในทันทีว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ตกน้ำฤดูหนาวไม่เหมือนกับในฤดูร้อน หากเป็นฤดูร้อน ขอเพียงมีคนมาก ต้องช่วยขึ้นมาได้แน่นอน แต่ฤดูหนาวน้ำเย็นเฉียบ หากกำลังกายของนางหมดลง ไม่สามารถลอยตัวเหนือน้ำได้แล้วจมลงไป เช่นนั้นก็จบสิ้นกัน ชั้นน้ำแข็งคลุมผิวน้ำทั้งหมดไว้ หากนางตกลงไปแต่หาช่องว่างลอยตัวขึ้นมาไม่ได้ จะต้องถูกทำให้แข็งตายทั้งเป็น คนบนฝั่งมีชั้นน้ำแข็งกั้น ต่อให้อยากช่วยนาง เกรงว่าคงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
เฉิงอวี๋จิ่นจำต้องลองปล่อยตัวเด็กก่อน เด็กตัวเบากว่านาง นอนหมอบบนชั้นน้ำแข็งได้มั่นคงกว่านาง เฉิงอวี๋จิ่นเจอก้อนน้ำแข็งที่ไม่โปร่งใสมากนักก้อนหนึ่ง ให้เด็กใช้สองแขนกดยันบนก้อนน้ำแข็ง พยายามปีนขึ้นไป นางช่วยวางตัวเขาไว้บนผิวน้ำแข็งเช่นกัน
ทว่าเพียงแค่ทำเช่นนี้ น้ำแข็งก้อนนี้ก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นรางๆ แล้ว ทั้งสองคนอ่อนกำลังมากเต็มที ในเวลานี้ทุกคนริมแม่น้ำถูกเหตุไม่คาดฝันนี้ดึงดูดมาหมด ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวอยากจะลงน้ำไปช่วยเฉิงอวี๋จิ่น แต่ถูกหลินชิงหย่วนห้ามไว้ หลินชิงหย่วนมีบ้านเกิดอยู่ที่จี่หนาน เคยเห็นโศกนาฏกรรมคนตกน้ำในฤดูหนาว เขารู้ว่าต้องช่วยคนอย่างไร ดังนั้นจึงดึงสาวใช้ทั้งสองไม่ให้พวกนางลงไปบนน้ำแข็ง จากนั้นก็ดึงไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งออกมาจากแผงขายของ กำกับให้ทุกคนเอาไปพาดช่วยสองคนกลางแม่น้ำ
ครอบครัวของเด็กน้อยรุดมาถึงแล้วเช่นกัน มารดาของเด็กชายเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจจนเข่าอ่อน แทบจะคุกเข่าลงบนผิวน้ำ ญาติมิตรเพื่อนบ้านรีบเลียนแบบการกระทำของหลินชิงหย่วน ดึงไม้ไผ่ยาวออกมาจากแผงขายโคมไฟ เป็นหลักให้เด็กน้อยคลานกลับมา รอจนคลานมาถึงพื้นที่แข็งแรงแล้ว พวกผู้ใหญ่จึงกรูกันลงไปช่วยกันอุ้มตัวเด็กขึ้นมา
เทียบกันแล้วสถานการณ์ของเฉิงอวี๋จิ่นอันตรายกว่ามาก เพราะเด็กน้อยเมื่อครู่ เฉิงอวี๋จิ่นถึงกับเสียกำลังเกือบครึ่งที่มีเพื่อผลักขึ้นไปบนผิวน้ำแข็ง เดิมทีก็ปลอดภัยไปแล้วครึ่งหนึ่ง ครอบครัวของอีกฝ่ายจึงช่วยเหลือได้อย่างราบรื่น ทว่านางกลับสูญกำลังกายไปรุนแรงมาก ตอนเพิ่งลงน้ำ น้ำเย็นกระทบจนมือเท้าเจ็บแปลบ แต่จากนั้นนางพบว่ามือเท้าค่อยๆ แข็ง เริ่มหมดความรู้สึก
พวกตู้รั่วพยายามจะยื่นไม้ไผ่ยาวออกไป ถึงขั้นเสี่ยงอันตรายลงไปยืนบนน้ำแข็ง แต่เฉิงอวี๋จิ่นเสียกำลังกายไปอย่างรุนแรง ระยะห่างแค่สั้นๆ ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ว่ายไปไม่ถึง หลินชิงหย่วนเห็นท่าไม่ดีจึงพูดว่า “เมื่อครู่นางเสียกำลังมากเกินไป ตอนนี้ไม่มีกำลังแล้ว ช่วยถือเสื้อคลุมให้ข้า ข้าจะลงน้ำไปช่วยนาง”
หลินชิงหย่วนถอดเสื้อคลุมออก รู้สึกหนาวจนตัวสั่นในทันที เด็กรับใช้สกุลหลินคัดค้านอย่างแรงกล้า หลินชิงหย่วนเองก็ลังเลใจไปชั่วขณะเพราะความหนาวเย็นเช่นกัน ในชั่วขณะที่ชะงักไปเพียงชั่วครู่นั้นเอง ทางฝั่งแม่น้ำอีกด้านก็มีเสียงกระทบน้ำดังลอยมาในทันใด เหมือนมีคนตะโกนอะไรบางอย่าง จากนั้นก็มีเสียงกระโดดน้ำตู้มๆ อีกหลายครั้ง
หลินชิงหย่วนหันหน้าไปอย่างตกใจ มองผ่านแสงไฟที่รางเลือน เห็นคนคุ้นตาที่ฝั่งตรงข้าม
นั่นคือองครักษ์ของเฉิงหยวนจิ่ง ดูเหมือนจะชื่อหลิวอี้ ระยะนี้หลินชิงหย่วนเข้าออกจวนสกุลเฉิงบ่อยครั้ง จึงสนิทกับหลิวอี้มาก เพียงแต่เวลานี้หลิวอี้ ทั้งร้อนใจและตื่นตระหนก ลนลานกระสับกระส่ายเหมือนมดที่วิ่งไปมาบนหม้อร้อนไม่มีผิด
ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวสองสาวใช้ตะโกนร้องอย่างไม่ห่วงหน้าตา แทบจะกระโดดอยู่แล้ว “เป็นนายท่านเก้า! คุณหนูรอดแล้ว!”
พวกนางสองคนตะโกนพูด แล้วรีบวิ่งไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ คนทางนี้ก็ยืดคอยาว พูดวิจารณ์ความเปลี่ยนแปลงของอุบัติเหตุเมื่อครู่ เด็กรับใช้สกุลหลินรีบคว้าแขนของหลินชิงหย่วนไว้แน่น เขาเห็นหลินชิงหย่วนจ้องกลางแม่น้ำนิ่งไม่ขยับ กลัวว่าคุณชายยังคิดจะกระโดดลงไปอีก รีบพูดว่า “คุณชาย ฤดูหนาวลงน้ำอันตรายเกินไป ท่านไม่ได้ว่ายน้ำได้ชำนาญนัก จะเสี่ยงอันตรายไม่ได้นะขอรับ!”
หลินชิงหย่วนบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเศร้าจางๆ จางเสียยิ่งกว่าแสงไฟด้านหลังเสียอีก “ไม่ต้องแล้ว”
“คุณชาย?”
“นี่ก็คือความแตกต่างกระมัง ข้าจนปัญญาแล้วจริงๆ จึงจะลงน้ำ แต่เขากระโดดลงไปช่วยคุณหนูใหญ่เฉิงทันทีในชั่วขณะที่เห็นนาง”
“…คุณชาย ท่านพูดอะไรขอรับ”
หลินชิงหย่วนส่ายหน้า รับเสื้อคลุมตัวนอกมาจากมือของเด็กรับใช้ ไม่พูดอะไรอีก
เฉิงอวี๋จิ่นค่อยๆ รู้สึกว่าโลกห่างจากนางไกลออกไปทุกที แสงไฟและเสียงโวยวายที่ฝั่งตรงข้ามเหมือนจะกลายเป็นภาพเลือนรางที่ห่างไปไกล นางไม่รู้ว่าร่างกายตนเองเย็นเฉียบเกินไปจนเกิดภาพลวงหรือไม่ นางจึงมองเห็นเฉิงหยวนจิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นเองยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เกิดภาพฝันว่าเทพเซียนมาช่วยนางยังดีกว่า เหตุใดจึงคิดถึงเฉิงหยวนจิ่งเล่า ทว่าช่วงเวลาต่อมาแขนของนางก็ถูกคนผู้หนึ่งจับไว้ จากนั้นตัวนางก็ถูกแรงที่แข็งแกร่งยึดไว้มั่นราวกับในที่สุดก็หลุดจากความว่างเปล่าขึ้นมาเหยียบบนพื้นแข็งได้แล้ว
มือของอีกฝ่ายเย็นมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเฉิงอวี๋จิ่น มือนั้นยังคงเป็นเหมือนขุมความร้อน ส่งไอร้อนไหลเข้าสู่ร่างกายนางไม่หยุด
เฉิงอวี๋จิ่นจ้องอยู่นาน ไม่มั่นใจว่านี่เป็นภาพลวงตาท่ามกลางความหนาวเหน็บของตนหรือว่าเป็นความจริง “ท่านอาเก้า?”
“ไม่ต้องพูดอะไร รักษากำลังกายไว้”
หลังจากเฉิงหยวนจิ่งกระโดดลงน้ำ องครักษ์อีกหลายคนก็กระโดดลงน้ำตามมาทันที เวลานี้น้ำแข็งที่แตกถูกแหวกเปิดทาง สุดปลายทางเป็นก้อนน้ำแข็งที่แข็งแรงมากพอก้อนหนึ่ง บนผิวน้ำแข็งมีคนคอยรับอยู่ หลิวอี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งแล้วก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ทำท่าเหมือนหัวของตนเองงอกกลับมาใหม่อีกครั้ง ทว่าเฉิงหยวนจิ่งกลับไม่ได้ขึ้นมาก่อน แต่วางตัวเฉิงอวี๋จิ่นไว้บนที่ปลอดภัยก่อน ตนเองจึงค่อยตามขึ้นมาจากผิวน้ำ
เฉิงอวี๋จิ่นรับรู้ว่าน้ำเย็นไหลลดจากรอบตัว ขณะเดียวกันลมหนาวก็พัดใส่ตัวนาง ให้ความรู้สึกเย็นเยือกอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอวี๋จิ่นจึงได้รู้ว่าเป็นเฉิงหยวนจิ่งจริงๆ นางพ้นอันตรายแล้ว
ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวคุกเข่าอยู่บนชั้นน้ำแข็ง พอเห็นเฉิงอวี๋จิ่นก็รีบดึงตัวนางไว้ ทั้งร้องไห้ทั้งหวาดกลัว แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ออก ตู้รั่วรีบหาเสื้อคลุมกันลม ในเวลานี้เสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งก็เหมือนตกลงมาจากฟ้า ทั้งหนาหนักและอบอุ่น ห่อตัวของเฉิงอวี๋จิ่นไว้แน่นหนา
ตู้รั่วตกใจ ชะงักการกระทำไป ในเวลานี้เฉิงหยวนจิ่งจึงพูดว่า “ยังไม่รีบไปหาเตาอุ่น* ให้นางอีก นางถูกความเย็นแล้วยังโดนลมโกรกเช่นนี้ หากให้ทนจนกลับถึงจวนคงล้มป่วยแน่”
ตู้รั่วรีบเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ไม่กล้าพูดอะไร ทำตามที่เฉิงหยวนจิ่งพูด เฉิงอวี๋จิ่นในตอนนี้สมองยังคิดได้ไม่ชัดเจน แต่เสื้อผ้าที่มีความร้อนบนตัวสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้นางได้มาก ในมือนางไม่รู้ว่ามีใครยัดเตาอุ่นใส่มือ ภายใต้การเพิ่มความร้อนทั้งนอกใน ในที่สุดเฉิงอวี๋จิ่นก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตกลับมาแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นพอขึ้นมาจากผิวน้ำก็ถูกเสื้อคลุมห่อตัวไว้ รูปร่างของเฉิงหยวนจิ่งใหญ่กว่านางมาก เสื้อคลุมห่อตัวของนางได้อย่างแน่นหนา ชายเสื้อไม่โผล่ออกมาแม้แต่น้อย
พื้นที่นี้ตอนที่เฉิงหยวนจิ่งมาถึงก็ถูกล้อมไว้แล้ว คนที่มาดูเหตุการณ์ถูกไล่ไปไกล พวกเขาเห็นเพียงคุณชายที่กระโดดลงน้ำคนแรกพาคนคนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นสายตาก็ถูกบดบังมองไม่เห็นอะไรเลย
เสื้อผ้าฤดูหนาวเดิมทีก็สวมหนาชั้นอยู่แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นถูกห่อตัวไว้ เสื้อผ้าบนตัวถูกน้ำ แม้จะแนบตัว แต่ก็ไม่เห็นเรือนร่างจนน่าเกลียด กอปรกับมีเฉิงหยวนจิ่งเก็บกวาดสถานที่ แม้แต่สภาพทุลักทุเลที่นางขึ้นมาจากน้ำยังไม่มีผู้ใดเห็น
หลังจากความกังวลถูกคลี่คลาย สิ่งเดียวที่เฉิงอวี๋จิ่นเป็นห่วงหมดลงแล้ว นางก็รู้สึกประคองสติไม่ไหวในทันใด เดิมทีนางคิดว่ารถม้าของจวนอี๋ชุนโหวจอดอยู่ค่อนข้างไกล หากนางกลับไปควรจะอธิบายกับท่านหญิงชิ่งฝูอย่างไร นางยังคิดไม่จบ ร่างกายก็เหมือนไร้น้ำหนัก นางรวมถึงเสื้อคลุมตัวโคร่งถูกเฉิงหยวนจิ่งช้อนอุ้มขึ้นมาทั้งหมด
เฉิงอวี๋จิ่นคิดตามไม่ค่อยทัน จึงเรียกเฉิงหยวนจิ่งด้วยจิตใต้สำนึก “ท่านอาเก้า?”
เฉิงอวี๋จิ่นตกน้ำ ยังถูกน้ำเย็นแช่แข็งอยู่นานมาก ตอนนี้เสียงเบาราวแมลง อยู่ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายก็ฟังดูอ่อนแอราวลมเพียงวูบหนึ่ง แต่เฉิงหยวนจิ่งกลับได้ยินเสียงอันเคร่งเครียดของเขาพูดออกมาอย่างชัดเจนและสงบนิ่ง “อดทนสักครู่ หลิวอี้ไปตามหมอแล้ว น้ำร้อนกับน้ำขิงเตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดอะไรอยู่นาน ร่างกายสงบนิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงถามด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกเราจะไปที่ใด”
“ประตูเจิ้งหยางกับประตูฉงเหวินคนแน่น กลับจวนอี๋ชุนโหวช้าเกินไป ข้าจะพาเจ้าไปเรือนพักส่วนตัว อีกแห่งหนึ่ง” เฉิงหยวนจิ่งคิดว่าเฉิงอวี๋จิ่นกลัว จึงขยับเสื้อคลุมบนร่างนางให้แน่นขึ้น แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัว เรือนพักแห่งนี้ไม่มีคนนอก ไม่กระทบกับชื่อเสียงของเจ้าหรอก”
ไม่มีคนนอก เฉิงอวี๋จิ่นเข้าใจแล้ว นี่เป็นเรือนพักส่วนตัวภายใต้ชื่อของเฉิงหยวนจิ่ง และเห็นได้ชัดมากว่าเรือนพักส่วนตัวที่เขาเตรียมไว้ไม่ได้มีเพียงที่นี่แห่งเดียว นี่เป็นเพียงเรือนที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้น
เฉิงอวี๋จิ่นสติรางเลือน หัวก็รู้สึกปวดหนึบ เพราะร่างกายอ่อนแอ แม้แต่เรื่องของเวลาก็ยังรู้สึกสับสน นางไม่รู้ว่าตอนที่ตนเองหลับตาแค่หลับตาเพียงชั่วครู่ หรือว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว
แสงไฟสองข้างทางส่องตัดกัน เสียงคนโวยวายห่างออกไป แสงไฟเลือนรางตกกระทบในดวงตาของเฉิงอวี๋จิ่น ให้ความรู้สึกสับสนระหว่างความจริงกับความฝันตัดสลับกัน มีเพียงลมหายใจของคนข้างกายที่จริงแท้และมั่นคง
เฉิงอวี๋จิ่นนิ่งไปนานมาก ก่อนจะถามว่า “เพราะเหตุใด”
ร่างของเขาเหมือนจะชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นมือที่โอบแผ่นหลังของนางและบนหน้าตักก็เกร็งแน่นขึ้น “อวี๋จิ่น เจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด เจ้าว่าเพราะเหตุใดเล่า”
เฉิงอวี๋จิ่นสะลึมสะลือ ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหว พิงตัวเขาหลับตาลง เสียงของนางไร้เรี่ยวแรง เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ข้าไม่เคยทำเพื่อคนอื่น ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเชื่อว่าผู้อื่นจะทำเพื่อข้า”
* เตาอุ่น (ทังผอจื่อ) เป็นอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นที่เริ่มปรากฏใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ทำจากสำริด ดีบุก กระเบื้อง ฯลฯ มักมีรูปทรงเหมือนฟักทอง ด้านบนมีปากเล็กสำหรับเติมน้ำร้อนแล้วปิดด้วยฝาเกลียวป้องกันน้ำเล็ดลอดออกมา สวมลงในถุงผ้าที่มีขนาดพอๆ กันก่อนจะนำไปใส่ไว้ใต้ผ้าห่ม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.