X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

ชูหนิงเบนความสนใจไปเพียงชั่วครู่สั้นๆ จากนั้นก็กลับมาใช้สมาธิจดจ่อเช่นเดิม

เธออ่านโครงการคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็ตัดสินในแวบแรกทันที

กวนอวี้ถาม “ถูกใจอันไหนเหรอ”

นิ้วมือของชูหนิงชี้สองอัน “ไม่เลวเลย”

อันหนึ่งเป็นโครงการบริหารจัดการถนน อันหนึ่งเกี่ยวกับสายเคเบิลใยแก้วนำแสง พื้นที่ทำกำไรมีข้อจำกัด แต่มั่นคงปลอดภัยและป้องกันได้ ทั้งยังเป็นโครงการที่ชูหนิงเชี่ยวชาญเสียด้วย กวนอวี้เติมชาเขียวให้เธอเต็มถ้วย

“อันสุดท้ายนั่นก็ใช้ได้เลยทีเดียว ฟังชื่อแล้วดูไฮโซดีนะ”

กวนอวี้หมายถึงโครงการของมหาวิทยาลัยการบินฯ C นั่นเอง

น้ำเสียงของชูหนิงบางเบาเอื่อยเฉื่อย ทว่าท่าทางกลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาด “โครงการประเภทนี้ไม่เอาหรอก” เธอกลับไปให้ความสนอกสนใจกับสองโครงการที่เมื่อครู่เพิ่งจะคัดเลือกออกมาอีกครั้ง “ที่ทงโจว* เหรอ ทางนี้ฉันพอจะสามารถหาคนที่คุ้นเคยกันได้บ้าง ทำงานง่าย”

พอพูดถึงเงิน ดวงตาก็เปล่งประกาย กวนอวี้บุ้ยปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี

 

เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ควรค่าที่จะต้องพูดถึงอีก คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนค่ำชูหนิงจะได้รับสายของเฝิงจื่อหยางอีก

“เธอไม่ได้เลือกโครงการของมหาวิทยาลัยการบินฯ C นั่นเหรอ”

เวลานี้ชูหนิงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและใส่ชุดอยู่บ้าน หน้าอกหน้าใจงดงามวับๆ แวมๆ เส้นผมของเธอมัดรวบเป็นมวย ใส่ที่คาดผมหูกระต่าย พอได้ยินก็วางใบเสนอราคาในมือลง

“ทำไมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรกวนอวี้ก็บอกกับนายหมดเลย”

“ฉันว่าเธอควรคิดทบทวนนะ” ทว่าเฝิงจื่อหยางกลับไม่ได้พูดหยอกล้อเหมือนปกติ

“เหตุผลล่ะ”

“ฉันชอบไง”

“ไปให้พ้น”

ท่าทีร่าเริงของเฝิงจื่อหยางยังไม่จางหายไปไหน “ล้อเล่นหรอกน่า อย่าเพิ่งวางโทรศัพท์สิ หนิงเอ๋อร์ ฉันพูดกับเธอจริงๆ นะ นี่เป็นโครงการที่ดี เป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ โอกาสข้างหน้ายาวไกล หรูหราโอ่อ่า เข้ากับเธอมากเลยล่ะ”

ชูหนิงเอนตัวไปข้างหลัง ทำตัวผ่อนคลายลงตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกเจตนาแท้จริงด้วยคำพูดที่มีท่วงทำนองเชื่องช้า

“เทคโนโลยีแบบใหม่ โอกาสข้างหน้ายาวไกลอะไรกัน แต่ละอันห่วยแตกทั้งนั้น ก็แค่พูดเพื่อให้ฟังดูดี อย่าพูดถึงว่าทุ่มเงินลงทุนในโครงการนั้นเพื่อให้ได้ดอกผลเลย ต่อให้ใช้นายทุ่มลงไปทั้งคน พรุ่งนี้ก็ไม่มีทางที่ดอกผลต้นกล้าจะงอกเงยขึ้นมาได้หรอก”

เฝิงจื่อหยางด้านนั้นอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด อยากจะโต้แย้งแต่ก็ไม่มีคำพูดออกมาสักคำ

ชูหนิงเกาหูกระต่ายซึ่งอยู่บนที่คาดผมแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันว่าช่วงนี้นายเหลิงนิดหน่อยแฮะ”

“…”

“นายร่วมมือกับจ้าวหมิงชวนแล้วใช่ไหม ตั้งใจหาเรื่องหลอกลวงมาให้ฉันติดกับโดยเฉพาะสินะ”

เฝิงจื่อหยางร้องโวยเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่เธอเห็นฉันแล้วถูกใจงั้นเหรอ!”

มันก็ใช่ วิสัยทัศน์ของจ้าวหมิงชวน กล่าวแบบไม่เกินจริงก็คือสามารถทัดเทียมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเง็กเซียนฮ่องเต้ได้เลย

ชูหนิงหาวหวอดแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วางแล้วนะ”

 

นับตั้งแต่วันนั้นที่ลี่โจวซานมอบหนังสือโครงการให้อิ๋งจิ่งก็ผ่านไปสามวันแล้ว

ความจริงคืนนั้นหลังจากกลับไปที่ห้อง อิ๋งจิ่งกะจะอ่านคร่าวๆ สักหนึ่งรอบ แต่ก็จนปัญญาเพราะมันยาวเกินไป อ่านไปได้ครึ่งทางเขาก็หลับเสียแล้ว ครั้นตื่นขึ้นมา จากเรื่องที่ยังทำไม่จบก็กลายเป็นว่าจบเรื่องไปแล้ว จนวันต่อมาเมื่อลี่โจวซานเรียกอิ๋งจิ่งที่เพิ่งจะเสร็จจากการพยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขันบาสเกตบอลแบบครึ่งสนาม มาถามว่าเขาคิดอย่างไร

ท่านอิ๋งต้าหวังผู้ที่ร้อนระอุเหงื่อท่วมตัว เลือดเดือดพล่าน แถมยังหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขันอันดุเดือด ถามกลับด้วยแก้มบวมตุ่ย พร้อมไอศกรีมทั้งแท่งที่ยัดอยู่ในปาก

“คิดยังไงอะไรเหรอครับ”

ลี่โจวซานหน้าแดงฉาน สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโห

อิ๋งจิ่งตอบสนอง รีบสาวเท้าไล่ตามไป “ศาสตราจารย์ลี่ครับๆ!”

ผลก็คือวิ่งเร็วเกินไปจนเกือบจะหกล้ม อิ๋งจิ่งเดินโซเซอยู่หลายก้าวก่อนจะคุมร่างกายให้นิ่ง ขณะเดียวกันก็ผ่อนคลายมือ เจ้าตัวไม่ได้หกล้มหรอกนะ แต่ไอศกรีมแท่งรสถั่วเขียวที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไปเสียงดังฟิ้ว เหมือนกับมีตาเห็น หล่นแหมะใส่ตรงกลางศีรษะของสหายเฒ่าอย่างลี่โจวซานเข้าอย่างจัง

จากนั้นเสียงตะคอกคำรามสะเทือนเลือนลั่นดังสนั่นก้องทางเดินว่า “ไอ้! เด็ก! เวร!”

จบเห่กัน

อิ๋งจิ่งพนมมือสองข้างขึ้นไหว้ เกือบจะคุกเข่าเอาศีรษะลงไปคำนับแนบพื้น ลี่โจวซานไม่แยแสไม่เห็นหัวเขา ไม่ตอบอะไรอีก เดินจากไปด้วยความโมโห

แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่อิ๋งจิ่งก็รู้สึกผิดจริงๆ หลังจากเขากลับหอพักแล้วก็ส่งข้อความไปขอโทษลี่โจวซานเป็นอันดับแรก

ไม่ยักตอบแฮะ

มื้อกลางวันก็กินข้าวแค่สามถ้วย ไม่คิดว่าตัวเองจะไม่รู้สึกหิวแบบนี้ พอตกบ่ายมีคนหลายกลุ่มมาพูดจาทักทาย ทุกคนต่างพูดสรรเสริญเยินยอ ไม่มีใครยอมใครสักคน

“คุณสูญเสียโอกาสในการเป็นโฆษกพูดแทนไอติมแท่งรสถั่วเขียวแล้วนะครับ”

“ถ้าสอบตกปลายภาคก็คงเข้าใจได้แหละ”

“ขอแสดงความยินดีกับนายด้วย กลายเป็นคนในดวงใจที่ศาสตราจารย์ลี่ไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดกาลนับตั้งแต่บัดนี้”

อิ๋งจิ่งเคี้ยวหมากฝรั่ง ฟังพวกเขาพูดจาหยอกล้อไม่เป็นเรื่องเป็นราวด้วยเจตนาที่ดี

“จริงสิ พวกนายเคยได้ยินกันไหม คราวก่อนตาแก่ลี่ทะเลาะกับรองคณบดีถาน เสียงดังใช้ได้เลย” จู่ๆ เฉิงอีหานที่อยู่หอพักห้องติดกันก็พูดขึ้นมา

“หา! จริงเหรอเนี่ย ฉันยังนึกว่าปล่อยข่าวมั่วๆ เสียอีกนะ”

“เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นฉันกำลังกรอกแบบฟอร์มอยู่ที่ชั้นสาม เสียงดังลั่นมาก” หัวหน้าห้องตัวอ้วนเป็นพยาน ทำมือจีบๆ งอๆ ทำท่าทางลึกลับพิกล “ว่ากันว่าตาแก่ลี่อยากจะสู้เพื่อให้ได้โควตารายชื่อสำหรับโครงการนึงที่จะส่งเสริมผลักดันสู่ภายนอก แต่รองคณบดีถานไม่เห็นด้วย อยากจะเอาโควตารายชื่อให้สาขาเอกการออกแบบอากาศยานทั้งหมด บอกว่าพวกเขามีหวังมากกว่า”

หอพักที่เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นเงียบสงบลงในทันที

ผ่านไปสักพักเฉิงอีหานก็พูดว่า “ความลำเอียงของมหา’ลัยก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้วล่ะ”

น้ำเสียงขุ่นเคืองใจแบบไม่ได้รับความเป็นธรรมดังขึ้นมา “ใครใช้ให้พวกเขามีข้อได้เปรียบเป็นสาขาเอกที่ได้รับความนิยมกันล่ะ ปัดโธ่ เสียใจแทบตาย”

อิ๋งจิ่งที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเงยหน้าขึ้นมา “ทำไมต้องเสียใจ”

น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก สายตาเรียบเฉย มองตรงแน่ว ดูท่าทางไม่ได้มีความก้าวร้าวเลยแม้แต่น้อย แต่ทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

อิ๋งจิ่งไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากมายนัก ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คล้ายกับว่าพูดรำพึงรำพันกับตัวเอง

“ฉันรู้สึกว่าพวกเราก็เยี่ยมมากเหมือนกัน”

ฉีอวี้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะก็หันหน้ากลับมา พูดคล้อยตามเขา “นั่นสิ เยี่ยมมากเลย”

คำพูดเห็นด้วยเพียงไม่กี่คำไม่อาจบอกเหตุผลที่เจาะจงแน่ชัดได้ หลายปีผ่านไป วันเวลาผันเปลี่ยน บางทีคำพูดที่ใช้เพื่ออธิบายสภาวะอารมณ์ในตอนนี้ได้ ก็อาจจะเป็นว่า ‘ตรากตรำร่ำเรียนอย่างยากลำบากเหมือนกัน ทำไมต้องเต็มใจยอมรับว่าสู้คนอื่นไม่ได้’

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง

หัวหน้าห้องตัวอ้วนนำหัวข้อสนทนาวกกลับมาที่ลี่โจวซานอีกหน “ถึงแม้ศาสตราจารย์ลี่จะโหด แต่ก็เป็นคนที่ดีมาก เรื่องนี้ถือว่านายออกโรงแทนสาขาเอกของพวกเรานะ”

“เหมือนเขาจะอยู่คนเดียวมาตลอด ยังไม่เคยเห็นภรรยาของอาจารย์เลย”

“ชู่ว” เฉิงอีหานลดเสียงให้ต่ำลง “ศาสตราจารย์ลี่กับภรรยาหย่าขาดกันนานมากแล้ว แล้วศาลก็ไม่พิพากษามอบลูกสาวให้เขาด้วย”

คราวนี้เป็นความเงียบกริบแบบรวมหมู่กันของจริง ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ

อิ๋งจิ่งอัดอั้นตันใจมาก ถอนหายใจออกมายาวๆ ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปข้างนอก

ฉีอวี้หันไปถามเขา “จะไปไหนเหรอ”

 

ประตูปิดสนิทแล้ว

คล้อยสู่ยามวิกาล ขับแสงจันทร์รำไรให้โดดเด่น ตอนแรกอิ๋งจิ่งแค่อยากจะออกไปซื้อไอศกรีมแท่งเท่านั้น ขณะที่เดินๆ อยู่ เท้าก็จับกลิ่นได้อย่างฉับไวอย่างกับมีจมูกสุนัขติดอยู่ รีบเดินไปทางหอพักของบุคลากรทันที

เขตที่พักสวัสดิการของอาจารย์เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีก่อน คนส่วนใหญ่จึงย้ายไปอยู่ทางนั้นกันหมด ตึกเก่าตรงหัวมุมตะวันตกเฉียงใต้ไม่ได้ร้าง เพียงแค่คนที่อาศัยอยู่น้อยมากจนนับคนได้ ลี่โจวซานก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น อิ๋งจิ่งไม่รู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน แต่ทั้งตึกก็มีไฟสว่างอยู่แค่สามสี่ดวงเท่านั้น จึงคิดที่จะลองหาดูจากชั้นล่างของตึก

ตึกนี้ค่อนข้างเก่า มีอายุหลายปีหน่อย จึงคร่ำคร่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

ระหว่างทางขึ้นบันไดมืดตึ๊ดตื๋อ อิ๋งจิ่งกระทืบเท้าเล็กน้อย ไฟก็ไม่สว่าง เขาจึงตะโกนอย่างชายชาตรีอีกครั้ง

“ยาฮู!”

หน้าไม่อายจริงๆ

อิ๋งจิ่งที่กำลังงมหาทางขึ้นชั้นสองอยู่มองเข้าไปข้างในหน้าต่างที่ไฟสว่าง บานแรกก็เป็นห้องของลี่โจวซานแล้ว

ห้องมีสองห้องนอนแบบธรรมดาๆ เฟอร์นิเจอร์เรียบง่าย เปิดโคมไฟส่องสว่างไว้หนึ่งดวง โต๊ะอาหารอยู่ติดผนัง ลี่โจวซานนั่งอยู่ตรงนั้นหันหลังให้ประตู ภายในห้องเงียบเป็นพิเศษ โทรทัศน์ปิดอยู่ เขาก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่คนเดียว

เมื่อมองจากบานหน้าต่างก็เหมือนกับมองเฟรมภาพภาพหนึ่งที่เต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ แสงไฟในยามค่ำคืนทำให้ดูอ้างว้างมากยิ่งขึ้น

ลี่โจวซานเกิดสำลักซุปก๋วยเตี๋ยว จึงใช้มือหนึ่งปิดปากไออย่างแรง อีกมือหนึ่งเอื้อมไปคว้ากระดาษทิชชูที่อยู่ข้างๆ ยังมียาแก้หวัดไม่กี่กล่องวางอยู่ด้านข้างกระดาษทิชชู มือของเขาคว้าไม่แม่นจึงชนแก้วน้ำจนล้มหล่นพื้นแตกดังเพล้ง แก้วแตกเป็นชิ้นๆ กระจายเป็นเสี่ยงๆ

ลี่โจวซานขมวดคิ้วพลางก่นด่าเสียงเบาๆ หลังจากนั้นก็ก้มลงกวาดทำความสะอาดอย่างยากเย็น

อิ๋งจิ่งรีบหลบไปข้างหลังผนังอย่างรวดเร็ว เขายืนตรงยันกับฝาผนัง

กระแสลมระลอกหนึ่งพัดผ่านใบหน้า จมูก และดวงตาของเขาขานรับกับค่ำคืนอันเงียบเหงาในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง

อิ๋งจิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ในอก เขาหันหลังกลับแล้วลงบันไดไป

อิ๋งจิ่งตรงกลับไปที่หอพัก บรรดาคนที่ร่วมวงสนุกครึกครื้นกันเมื่อครู่นี้ได้สลายตัวไปหมดแล้ว

“นายไปทำอะไรมาเหรอ” ฉีอวี้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราเรียนก็เห็นคนบางคนกำลังรื้อค้นตู้หาข้าวของอย่างร้อนรน

“นายดูหน่อยสิ” อิ๋งจิ่งโยนของที่หาเจอให้เขา

ฉีอวี้งุนงงไม่เข้าใจ มองดูซองหนังอยู่พักหนึ่ง “นี่คืออะไร”

อิ๋งจิ่งสงบนิ่งอย่างมาก “หนังสือโครงการ นายทำด้วยกันกับฉันนะ”

เมื่อวัยรุ่นทำงานย่อมกระตือรือร้นสุดๆ ด้วยพลังที่เปี่ยมล้น

คืนนั้นทั้งสองคนเขียนรายการแผนงานออกมา

วันที่สอง ขยายความเพิ่มเติม

วันที่สาม เขียนโค้ดบนคอมพิวเตอร์ ทำการสร้างภาพแบบจำลองพื้นฐาน

ทั้งกุลีกุจอ ทั้งกระวีกระวาด ทว่าอิ๋งจิ่งไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด สิ่งที่ไม่พอใจเพียงอย่างเดียวก็คืออาหารที่ดีลิเวอรี่มาส่งให้น้อยเกินไปทุกครั้ง เขากินไปสองกล่องแล้วก็ยังหิวสุดๆ

วันที่สี่ ลี่โจวซานมองอิ๋งจิ่งที่หน้าตาเหมือนกับอดหลับอดนอนพักผ่อนไม่เพียงพออย่างรุนแรง ถุงใต้ตาดำคล้ำห้อยคล้อยลงมาเกือบจะถึงหน้าอกอยู่แล้วก็ตกใจทันที

“นายใช้เวลากี่วันในการทำ”

“ผมกับฉีอวี้ทำด้วยกัน สี่วันครับ”

ลี่โจวซานไม่พูดอะไรอยู่นาน สุดท้ายก็หยิบกล่องยาบำรุงสมองคลายประสาทกล่องใหม่ออกมาจากลิ้นชักแล้วยื่นให้

“…”

 

ทุกปีมหาวิทยาลัยการบินฯ C จะมีโควตารายชื่อเพื่อส่งเสริมผลักดันสู่ภายนอก เป็นโครงการที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัท ในฐานะที่เป็นสถานศึกษาที่ทรงคุณวุฒิภายในประเทศ มูลค่าที่แท้จริงของโควตานี้ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจได้ว่ามีค่าขนาดไหน ถ้าหากสามารถดึงดูดองค์กรธุรกิจให้มอบการสนับสนุนทางการเงินได้ และทำผลลัพธ์ในการศึกษาวิจัยของภาควิชาได้สำเร็จก็จะเป็นกระดาษคำตอบที่ถือว่าเป็นเงินทองล้ำค่าในสี่ปีของระดับปริญญาตรีจริงๆ เลยล่ะ ซึ่งโบนัสที่ได้มาส่วนนี้ก็จะกลายเป็นหลักฐานที่โดดเด่น เป็นที่จับตามองในกระบวนการสอบปริญญาโทและการจ้างงานอย่างแน่นอน

โควตารายชื่อในโครงการนี้ทุกปีจะตกเป็นของสาขาเอกการออกแบบอากาศยาน

สาขาดาวเด่น เป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ส่วนสาขาเอกเครื่องยนต์อากาศยานของอิ๋งจิ่ง ความรู้สึกในการมีตัวตนอยู่ช่างน้อยนิดมาก

แทบทุกคนต่างคิดว่าในครั้งนี้พวกเขาคงไร้ความหวังที่จะได้รับโควตารายชื่อแล้ว แม้กระทั่งตัวอิ๋งจิ่งเองก็ถือแค่ว่าเป็นการทำการบ้านแบบแหกตาน่ารำคาญ ทำๆ ไปงั้น เพื่อให้อาจารย์ให้คะแนนแบบจบๆ เรื่องไป

หนึ่งวันก่อนการเปิดประชุมพบปะองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัยแจ้งว่าพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมด้วย

เรื่องเซอร์ไพรส์มาเยือนอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำเอาอิ๋งจิ่งเกือบจะต้องไปซื้อยาบำรุงหัวใจชนิดออกฤทธิ์เฉียบพลัน เขาบอกลี่โจวซานอย่างตื่นเต้น ผลคืออีกฝ่ายดันสงบนิ่งสุดๆ ตอบว่าอือคำเดียวอย่างเย็นชา

“อย่าคิดมากเลย แค่ไปเจอโลกบ้าง ฝึกฝนความกล้าบ้างก็ใช้ได้แล้ว”

ความเหน็บหนาวเฉยชานี้ช่าง

ไม่เป็นไร ร่างกายของคนที่ไม่ใส่กางเกงลองจอนทนทานต่อความหนาวเยือกได้อยู่แล้ว อิ๋งจิ่งยังคงซุกซ่อนความร้อนรนอยู่ในอก ร้อนถึงขนาดแผ่คลื่นความร้อนได้ แทบจะแผดเผาทำเอาตัวเองตายได้เลย

เรื่องนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลในสาขามากทีเดียว ส่วนใหญ่รู้สึกปลาบปลื้มดีใจหลังจากอัดอั้นมานาน ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยความสุขออกมาเสียที ไม่นานนักกลุ่มแฟนคลับของเขาก็ได้รวมพลังออนไลน์ด้วยเทรนด์ ‘ออกตัวพุ่งชน ทำทุกสิ่งเพื่อเธอด้วยพลังรักแบบสุดปัง’ ส่วนทางฝั่งสาขาเอกออกแบบอากาศยานที่รับตำแหน่ง สนมคนโปรดมาหลายปีนั้นก็กลอกตาอย่างเอือมระอามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ขณะนั้นเองทั้งสองกลุ่มต่างฝ่ายต่างเปิดฉากรบแบบกินกันไม่ลงสุดๆ

‘สนมคนโปรด’ เปล่งวาจา

“เจ้าอย่าได้ริอ่านอวดดีแสดงนิสัยหยิ่งยโสโอหังที่เจ้ามีต่อหน้าข้า”

‘สนมโปรดคนใหม่’ ประกาศกร้าว

“หนทางอีกยาวไกล อย่าเกรี้ยวกราดให้มากนัก ในชีวิตอาจมีผู้ที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์เหนือเจ้าก็เป็นได้”

แหมๆ คนมาใหม่อย่างพวกเจ้าล้มเลิกความมั่นหน้าไปเสียเถอะ!

“ทำการใดต้องแยกแยะว่าใครเป็นใหญ่เป็นรอง วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้ารู้จักคำว่า ‘ศิโรราบ’ ”

ก๊วนแฟนคลับของอิ๋งจิ่งเชิดใส่

“คนมีตั้งเยอะแยะมากมายเป็นสิบล้าน ใครกลัวใครกันเล่า โง่เง่าเต่าตุ่น”

อิ๋งจิ่งมีสติอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความอลหม่าน เขาค้นหาในไป่ตู้* เกี่ยวกับการแต่งตัวในวาระโอกาสหรืองานที่เป็นมารยาทพิธี แล้วจึงใช้เงินค่าครองชีพสำหรับครึ่งเดือนซื้อชุดสูทสีดำที่อย่างเป็นงานเป็นการมาจนได้

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลย

อิ๋งจิ่งตัวสูง โดยทั่วไปแล้วไม่ได้รู้สึกเลยว่าการแต่งตัวในชุดทางการจะเหมือนกับการสวมใส่ชุดเกราะ ชุดสูทนั้นเผยให้เห็นสะโพกแคบ ไหล่ผึ่งผาย และรูปร่างที่ได้สัดส่วน ปกคอเสื้อเชิ้ตสีขาวพับเก็บเรียบร้อย ความรู้สึกที่ดูดีในแบบเด็กๆ ลดน้อยถอยลงไป หลอมรวมเป็นความหล่อเหลาและภูมิฐาน

เขาส่องกระจกแล้วก็ยิ้มในทันที ดวงตาทอแสงระยิบดุจดวงดาว

การเข้าร่วมประชุมในวันนั้นกล่าวได้ว่าเป็นฉากเลี้ยงส่งอำลาที่แสนยิ่งใหญ่อลังการสำหรับอิ๋งจิ่งมาก ใครที่ไม่รู้คงนึกว่าเป็นการส่งเข้าลานประหาร มีขบวนอาจารย์นำทีมเป็นการเฉพาะ ในรถธุรกิจยี่ห้อบิวอิคก์** หนึ่งคันมีกองพลสองทีมนั่งอยู่

ทุกคนต่างมองกันอย่างขัดลูกตา อีกฝ่ายมีความคิดชั่วช้าบานเบอะว่า ‘ลิงป่าที่ไหนโผล่มาแย่งชามอาหารของข้าวะ’ ทว่าเจ้าลิงป่าอิ๋งกลับผ่อนคลายสบายๆ แถมยังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเกมเที่ยวอีเที่ยวอีก

แต่ความมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่ต่อไปนานนัก หลังจากถึงสถานที่ประชุมแล้วจึงพบว่าเป็นงานที่ใหญ่โตมากทีเดียว บุคคลระดับยอดคนจากทั่วทุกหนแห่ง แต่งตัวชุดสูท สวมรองเท้าหนัง หิ้วกระเป๋าเอกสารสวยงามเก๋ไก๋ พูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างสนุกสนานกับคนในวงการ

อิ๋งจิ่งกับฉีอวี้เหมือนตั๊กแตนเรไรสองตัวที่เดินเข้ามาในกล้องคาไลโดสโคป*** มองดูทั่วสารทิศด้วยความมึนงง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือกลุ่มของสาขาเอกการออกแบบอากาศยานเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการแนะนำให้รู้จัก อาจารย์ผู้นำทีมจึงมุ่งสนใจแต่พาพวกเขาไปทักทายรอบบริเวณ ดูท่าทางคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น

“อย่าตกใจ นิ่งไว้” ฉีอวี้ลดเสียงให้ต่ำลง

“เฮ้อ” อิ๋งจิ่งถอนหายใจ พูดเสียงเอื่อยๆ “ถ้ารู้งี้ก็คงจะซื้อชุดสูทตัวนั้นที่ราคาแพงกว่านี้หน่อย”

“…” ฉีอวี้ถาม “นายว่าตัวนี้ยังแพงไม่พออีกเหรอ”

อิ๋งจิ่งก้มหน้าลงมองดูซ้ายทีขวาที และยังดึงชายเสื้อด้านล่างของชุดสูทเล็กน้อย “แพงจะตายชัก แต่ฉันรู้สึกว่าแบบมันกระชับเอวไม่พอ”

“นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่หว่า จะให้เอวกระชับไปทำไม”

“อยากอ่อย”

“…”

แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้เป็นการออกจากกระท่อมเพื่อเข้าสู่การทำงานครั้งแรกของพวกเขา แม้ว่าจะทำท่าอกผายไหล่ผึ่งหลังตรงกันสุดๆ แล้ว ทว่าสีหน้าท่าทางที่ระแวดระวังกับสายตาที่เผยความอ่อนหัดออกมาก็ไม่อาจหลอกลวงใครได้ บุคลิกลักษณะของเด็กน้อยสองคนนี้มีความเป็นเด็กหลังเขานิดหน่อย

พอบ่ายโมงก็เข้าประจำที่ในห้องประชุม

ยังมีเวลาอีกสิบนาทีก่อนจะเริ่มงาน ในการทำธุรกิจย่อมไม่ปล่อยโอกาสในการขยับขยายเครือข่ายให้หลุดลอยไป ทันใดนั้นรอบบริเวณซ้ายขวาหน้าหลังก็เหมือนกับฉากพบปะเครือญาติขนาดใหญ่

“คุณคือทีมหย่งเฟิงใช่ไหมครับ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ยินดีที่ได้เจอๆ”

“เกรงใจไปแล้วครับๆ คราวก่อนประธานสวีของพวกคุณยังดื่มชากับประธานจางของเราเลย ผมเคยอ่านโครงการของพวกคุณแล้วครับ เป็นโครงการดีที่หาได้ยากมากเลยนะครับ!”

“ไม่หรอกครับๆ พวกคุณเองก็งานคุณภาพเยี่ยมเหมือนกัน เอ ตกลงกันเป็นการภายในแล้วสินะครับ?”

พอเกี่ยวกับเรื่องที่อ่อนไหว อีกฝ่ายก็รีบทำท่าทางแบบว่า ‘อุ๊ย ฉันไม่รู้จักคุณคนนี้แล้ว’ และแสร้งทำเป็นยิ้มเมินเฉย

อิ๋งจิ่งแอบชื่นชมเองเลยว่าแสดงเก่ง!

ตัวแทนฝ่ายนายทุนต่างเดินเข้าประตูมาอย่างต่อเนื่องตามลำดับ

ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ทำให้ชูหนิงซึ่งสวมชุดสูทสีขาวโดนขนาบอยู่ตรงกลางยิ่งดูสะดุดตา ชุดที่ใส่ท่อนบนเป็นเสื้อสูทคาดเอว เสริมด้วยรองเท้าส้นสูง เดิมเธอก็สูงโปร่งอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูมีท่าทีแข็งแกร่งในตนเอง

มีเลขาฯ ติดตามอยู่ด้านหลังเธอ ท่าทางก็ขึงขังจริงจังเช่นเดียวกัน

คุยกันเพลินไปหน่อย หลายคนไม่ได้สนใจกับเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ แล้วคนตรงหน้าก็พูดกระชับความสัมพันธ์กับอิ๋งจิ่งอีก

“พ่อหนุ่มหล่อ คุณมาจากบริษัทไหนเหรอ”

สายตาของอิ๋งจิ่งเหมือนชะงักค้าง ยังคงจ้องมองที่ชูหนิง

ชูหนิงมองมาทางนี้นิดหน่อย จับจ้องมาที่เขาพอดี

อิ๋งจิ่งไม่ได้ทำอย่างอื่น เพียงแค่ฉีกยิ้มกว้างให้เธอ

อยู่ห่างกันไกลสักหน่อยจึงยากที่จะอธิบายถึงการแสดงออกของชูหนิงได้ แต่ว่าทีแรกใบหน้าท่าทีของเธอเรียบเฉย พอชั่วขณะที่สบสายตากันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบจะไม่เห็น

พี่ชายที่อยู่ข้างๆ เป็นคนประเภทรู้ทัน จึงถามขึ้นทันทีว่า “โอ้ คุณรู้จักกับประธานหนิงเหรอ”

อิ๋งจิ่งยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ทำเป็นพูดเหมือนกับเข้าใจเรื่องราวครรลองแห่งชีวิตอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่เพิ่งจะรู้แล้วก็งัดเอามาใช้เท่านั้น

“ไม่ใช่แค่รู้จักหรอกนะ”

พี่ชายที่อยู่ข้างๆ พูดคำว่า “หา!” เสียงยาวเฟื้อย แล้วหางจิ้งจอก* ก็โผล่ออกมา

คนในวงการคนนี้ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นประจบสอพลอ ควักนามบัตรออกมาอย่างกระตือรือร้นสุดๆ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกัน

“ผมก็ว่าอยู่แล้ว! ผมคุ้นตาคุณเป็นพิเศษเลย! จำได้แล้วล่ะ เคยเห็นคุณตั้งหลายครั้งหลายหนกับประธานหนิงนั่นเอง!”

ในใจอิ๋งจิ่งรู้สึกแฮปปี้อย่างประหลาด ‘ความสัมพันธ์แบบเส้นสาย’ ช่างใช้การได้ดีจริงๆ

ทำเป็นอ่อย ทว่าได้ผลสุดๆ ไปเลย

 

* ทงโจว หรือเขตทงโจว เป็นพื้นที่การปกครองระดับเขตภายในกรุงปักกิ่ง ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของปักกิ่ง เป็นสถานที่ตั้งของรัฐบาลปกครองส่วนท้องถิ่นของกรุงปักกิ่ง

* ไป่ตู้ เป็นเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่งของประเทศจีน

** บิวอิคก์ (Buick) คือยี่ห้อรถยนต์ระดับหรูสัญชาติอเมริกัน ถือเป็นยี่ห้อรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และเป็นรถยนต์ในเครือของแบรนด์จีเอ็ม (GM)

*** กล้องคาไลโดสโคป (Kaleidoscope) หรือกล้องสลับลาย คือกล้องทรงกระบอกที่ภายในมีกระจกเงาวางหันเข้าหากันหลายแผ่น มีช่องตรงส่วนปลายสำหรับมองภาพ เมื่อดูจะเห็นเป็นภาพที่เกิดการสะท้อนลวดลายซ้อนทับกันมากมาย บริบทนี้จึงเปรียบได้ว่าเห็นเป็นภาพผู้คนละลานตาเต็มไปหมด

* หางจิ้งจอก หมายถึงตัวตนที่แท้จริงในแง่ที่ไม่ดี หรือเจตนาชั่วร้ายปรากฏออกมาให้เห็น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: