บทที่ 1
ปีที่ยี่สิบสองในการครองราชย์ของฮ่องเต้เจี้ยนอู่ ปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ข้างนอกยังหนาวอยู่มาก ฤดูหนาวนี้ยาวนานและอึมครึม เข้าเดือนสองแล้วแต่อากาศไม่มีทีท่าจะอบอุ่นขึ้นเลย
กลางดึกเมื่อวานหิมะตกลงมาอีกครั้ง รุ่งเช้าวันนี้ทั้งเมืองหลวงขาวโพลนไปทั่ว เหนือสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่งดงามปกคลุมไปด้วยหิมะ ภายในจวนอี๋ชุนโหว* ทางตะวันออกของเมือง หญิงชราสวมเสื้อขนสัตว์สีน้ำตาลหม่นวิ่งตึกๆ มาทางเรือนจิ่นหนิง นางก้าวข้ามธรณีประตู เกาะเสาทางเดินแล้วปรับลมหายใจ จากนั้นตะโกนอย่างลนลาน “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
สาวใช้ที่เกล้าผมแน่นสองมวยคนหนึ่งพลิกเปิดม่านเดินออกมา นางดูแล้วอายุราวสิบห้าสิบหกปี เป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของหญิงสาว แต่พอถลึงตาเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางดูไม่อ่อนโยนสมวัยเลยสักนิด “ตะโกนโวยวายอะไรแต่เช้า ไม่รู้หรือว่าคุณหนูยังอยู่ข้างใน”
“ไอ้หยา แม่นางเหลียนเชี่ยวของบ่าว บ่าวก็แค่มีเรื่องจะบอกคุณหนูเท่านั้น!” ป้าเจิ้งโวยวายจะเดินเข้าไปในห้องให้ได้ “คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
กฎระเบียบในห้องคุณหนูใหญ่เข้มงวดเป็นพิเศษ สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยใช้แรงงานทั่วไปปกติจะเดินไปมาได้เพียงในลานเรือน มีเพียงสาวใช้ระดับสองเท่านั้นจึงจะเข้าไปในเรือนได้ ส่วนห้องนอนของคุณหนูใหญ่มีเพียงสาวใช้ระดับหนึ่งที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ เข้าเรือนพักมาแต่เด็กก็มีกฎระเบียบมากมายแล้ว ตอนนี้พอเหลียนเชี่ยวเห็นป้าเจิ้งจะบุกเข้าไปในห้องพักก็โกรธขึ้นมาไม่น้อยในทันที รีบออกแรงขวางประตูเอาไว้ “บังอาจ ยังมีกฎระเบียบอยู่หรือไม่! ห้องของคุณหนูใหญ่เจ้าเข้าได้หรือ”
เหลียนเชี่ยวเป็นคนสำคัญยิ่งข้างกายคุณหนูใหญ่ ปกติอยู่ในเรือนพักจะมีอำนาจอย่างมาก ต่อให้เป็นป้าเจิ้งก็ไม่กล้าล่วงเกินบ่าวฝีปากกล้าผู้นี้ แต่วันนี้ไม่รู้อย่างไรกัน ป้าเจิ้งกลับกล้าลงมือกับเหลียนเชี่ยว ผลักแขนของเหลียนเชี่ยวพลางพูดว่า “ไอ้หยา แม่นางเหลียนเชี่ยว บ่าวมีเรื่องสำคัญจริงๆ…”
“เหลียนเชี่ยว”
เหลียนเชี่ยวได้ยินเสียงก็หยุดวางอำนาจในทันที แม้แต่ป้าเจิ้งที่ตะโกนโวยวายก็เงียบเสียงลง คุกเข่าอย่างเรียบร้อยตรงหน้าประตู “คุณหนูใหญ่ บ่าวมีเรื่องสำคัญจะรายงานจริงๆ เจ้าค่ะ”
ภายในห้องมีดอกไม้หลากหลาย อบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศดูหรูหรางดงาม ชั้นวางของชั้นหนึ่งบังสายตาพื้นที่ชั้นในชั้นนอกไว้ ผ่านไปครู่หนึ่งสาวใช้ในชุดกระโปรงนวมสีม่วงอ่อนอมชมพูคนหนึ่งก็เดินออกมา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูมีเมตตา เจ้าเข้าไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ป้าเจิ้งรีบเดินอ้อมชั้นวางของ ผ่านม่านมุ้งสีสดใส นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของคุณหนูใหญ่ ป้าเจิ้งถูกผ้าแพรสองข้างทำให้ลายตา นางเห็นเงาหันข้างที่ตั้งตรงงดงามได้รางๆ ป้าเจิ้งไม่กล้ามองต่อ รีบคุกเข่าลง “คุณหนูใหญ่”
“พูดมาเถอะ” เพียงแค่เห็นเงาด้านข้างของอีกฝ่ายก็น่ามองอย่างประหลาด แม้แต่เสียงยังราวกับเม็ดหยกกระทบกัน ไพเราะอย่างยิ่ง “มีเรื่องอะไร”
ป้าเจิ้งเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อครู่ที่นางได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา ตลอดทางไม่ใส่ใจหิมะลื่น วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาแจ้งข่าวแก่คุณหนูใหญ่ ข่าวนี้ยังไม่ทันกระจายมา คุณหนูใหญ่เองเดิมไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ อีกทั้งวันนี้ก็ไม่ได้ย่างกรายออกจากห้อง ตามหลักแล้วไม่ควรจะรู้เรื่องเรือนส่วนหน้า
ทว่าฟังน้ำเสียงของคุณหนูใหญ่แล้ว…ป้าเจิ้งกลับรู้สึกฉงนใจยิ่ง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่เหมือนจะรู้เรื่องนี้แล้ว
“คุณหนูใหญ่ ทางจวนจิ้งหย่งโหวมาถอนหมั้นแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงอวี๋จิ่นนั่งนิ่งมองดูใบหน้าสวยสดงดงามราวกับภาพวาดของตนในกระจกแล้วยิ้มอย่างช้าๆ
เป็นจริงดังคาด เขามาถอนหมั้นแล้ว
ข่าวนี้เรียกได้ว่าเหมือนฟ้าคำรามอันน่าตกใจ คุณหนูใหญ่เพิ่งหมั้นหมายกับจิ้งหย่งโหวในเดือนสิบสองปีที่แล้ว นี่เพิ่งขึ้นปีใหม่ไปไม่ทันไร เหตุใดจึงคิดถอนหมั้นกะทันหัน ยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำของจิ้งหย่งโหวว่าแปลกหรือไม่ เพียงแค่เรื่องการถอนหมั้นนี้ก็น่าตื่นตระหนกพอแล้ว
สำหรับหญิงสาวนางหนึ่ง การถอนหมั้นต่อให้เกิดจากการกระทำของฝ่ายชาย ผลลัพธ์ก็เป็นผลเสียสำหรับฝ่ายหญิงอยู่ดี ด้วยเรื่องนี้ชื่อเสียงฝ่ายหญิงจะเสียหายอย่างมาก เกรงว่าวันหน้าคงยากจะหาบ้านสามีที่ดีได้แล้ว
ป้าเจิ้งถูกข่าวนี้ทำให้ตระหนกตกใจจนจิตใจว้าวุ่นแต่เช้า หลังจากนางพูดออกมา เดิมทีคิดว่าคุณหนูใหญ่จะตกใจหน้าถอดสี ทว่านางรออยู่นานกลับเห็นเพียงคุณหนูใหญ่ส่องกระจก ค่อยๆ มีรอยยิ้มให้เห็น
พวกเหลียนเชี่ยวและตู้รั่วคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้ พวกนางทั้งสองตกใจตะลึงงัน รอจนดึงสติคืนมาแล้ว จึงรีบตะโกนว่า “คุณหนูใหญ่! นี่! นี่จะ…”
เหลียนเชี่ยวปากไว รีบถามป้าเจิ้งว่า “เจ้าฟังผิดไปหรือไม่ มาพูดเช่นนี้ต่อหน้าคุณหนูใหญ่ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
ป้าเจิ้งเรียกได้ว่ามีความอึดอัดคับข้องใจเต็มท้องจนพูดไม่ออก โดยไม่รอให้นางพูดสิ่งใดต่อกลับเป็นคนอีกคนหนึ่งที่คลายความลำบากใจให้นาง “ไม่ผิดหรอก”
“คุณหนูใหญ่?”
เฉิงอวี๋จิ่นคว่ำกระจกลง ใบหน้าราวภาพวาดตอนไม่ยิ้มยิ่งดูงดงามจับตา ดึงดูดจิตวิญญาณคน นางมองหิมะนอกหน้าต่าง แววตาดูสงบนิ่ง แต่กลับเหมือนแฝงการเยาะหยันอย่างไร้สาเหตุ “เขาทำแล้วจริงๆ”
เฉิงอวี๋จิ่นคือคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหว มารดาคือท่านหญิงชิ่งฝูบุตรสาวของหนิงอ๋อง บิดาคือซื่อจื่อ* อี๋ชุนโหว นางในฐานะบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกบ้านใหญ่จวนอี๋ชุนโหวจะเรียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดก็ไม่เกินจริงเลย
ก็เหมือนกับชื่อของนาง เฉิงอวี๋จิ่น* เติบโตมาโดยถูกยกให้เป็นแบบอย่างอันไร้ที่ติให้กับบุตรสาวบ้านอื่นมาโดยตลอด นางเริ่มปูพื้นฐานการเรียนตอนเจ็ดขวบ เชี่ยวชาญการดีดพิณ เดินหมาก เขียนพู่กัน วาดภาพ ชำนาญงานฝีมือสตรี ทั้งกตัญญูและเชื่อฟัง เป็นบุตรสาวตัวอย่างเลยก็ว่าได้ บรรดาคุณหนูจวนอื่นยามถูกมารดาอบรมสั่งสอนทุกวัน พอได้ยินชื่อของเฉิงอวี๋จิ่นแล้วต่างเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ
ครั้นทำตามลมตามน้ำนานเกินไปก็ถูกคนเข้าใจว่าเสแสร้งได้ ลับหลังจึงมีคนรอดูว่าเฉิงอวี๋จิ่นจะหมั้นหมายกับคนบ้านใด ดูว่านางจะโดดเด่นต่อไปได้หรือไม่
คิดไม่ถึงว่าจะทำได้จริง
เดือนสิบสองปีที่แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นติดตามมารดาไปพักผ่อนชั่วคราวที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนกลางเขา พื้นที่ปกครองของหนิงอ๋องอยู่ที่เจียงหนาน** ท่านหญิงชิ่งฝูแต่งเข้าเมืองหลวงมาหลายปีเพียงนี้ก็ยังคงไม่เคยชินกับฤดูหนาวในเมืองหลวง สตรีในราชวงศ์มีเงินทองมีอำนาจ ท่านหญิงชิ่งฝูมีหมู่บ้านภายใต้ชื่อของตนเองแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีตาน้ำพุร้อนให้ใช้โดยเฉพาะ ท่านหญิงชิ่งฝูจึงเดินทางออกจากจวน บรรดาคู่สะใภ้ไม่สะดวกจะติดตามไปด้วย แต่บรรดาคุณหนูอาศัยใบบุญติดตามไปได้
เฉิงอวี๋จิ่นในฐานะบุตรสาวคนโตของท่านหญิงชิ่งฝูย่อมต้องติดตามมารดาไปด้วย คิดไม่ถึงว่าหลังจากเดินทางไปที่เขาซีซาน ในเมืองหลวงกลับมีหิมะตกหนักสามวันสามคืน ทางภูเขาถูกปิด ท่านหญิงและบรรดาคุณหนูที่ติดตามมาไม่อาจลงจากเขาได้ในขณะนี้
ท่านหญิงชิ่งฝูส่งบ่าวรับใช้ลงเขาไปแจ้งข่าวแล้ว เพียงอยู่ในหมู่บ้านรอให้คนของจวนอี๋ชุนโหวเกลี่ยทางมารับพวกนางก็พอ ขณะท่านหญิงชิ่งฝูยังคงดื่มด่ำกับน้ำพุร้อนอย่างสบายใจ ทางเฉิงอวี๋จิ่นกลับพบว่าน้องสาวคนรองหายตัวไป
น้องหญิงรองเฉิงอวี๋โม่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านรอง นายท่านรองและหร่วนซื่อ* รักดั่งแก้วตาดวงใจ นางหายไปในหมู่บ้านของบ้านใหญ่นับเป็นเรื่องร้ายแรง นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับชื่อเสียงของสตรี เฉิงอวี๋จิ่นจึงไม่กล้าโวยวาย แค่แอบส่งหญิงรับใช้สูงวัยไปเฝ้าปากทางไว้ แล้วให้เหลียนเชี่ยวไปสืบดูว่าเมื่อตอนเย็นเฉิงอวี๋โม่ไปที่ใด
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งคืนเฉิงอวี๋โม่ยังคงไม่กลับมา เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าเรื่องราวร้ายแรงขึ้นแล้ว นางไม่กล้าดึงเวลาต่อไป เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ไปรายงานเรื่องนี้แก่ท่านหญิงชิ่งฝู ท่านหญิงชิ่งฝูเองก็ตกใจเช่นกัน นางไม่มีความรู้สึกผูกพันใดต่อบ้านรอง แต่หากบุตรสาวภรรยาเอกของบ้านรองหายไปในพื้นที่ปกครองของนาง ท่านหญิงชิ่งฝูเองก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้เช่นกัน เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อวานได้ตรวจค้นในหมู่บ้านดูแล้วไม่พบ ท่านหญิงชิ่งฝูจึงจำต้องส่งคนออกไปค้นหาบนภูเขา
เฉิงอวี๋จิ่นเค้นถามสาวใช้ของเฉิงอวี๋โม่ ได้ความว่าคุณหนูของพวกนางตอนพลบค่ำเห็นหิมะก็นึกสนุก จึงออกไปชมหิมะ ไม่รู้ว่าเดินอย่างไรถึงได้หายตัวไป เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินแล้วโกรธไม่เบา นำหญิงรับใช้สูงวัยเดินไปตามทางที่สาวใช้บอก ออกไปตามหาเฉิงอวี๋โม่ด้วยตนเองทันที
พื้นที่หลังเขานี้กว้างใหญ่ กอปรกับมีหิมะตกไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ พวกนางเดินตามหาเฉิงอวี๋โม่ด้วยความยากลำบาก ระดับความเร็วเช่นนี้การเดินรอบภูเขาย่อมเป็นไปไม่ได้เลย จำต้องแยกกันค้นหา เฉิงอวี๋จิ่นนำตู้รั่วเดินไปครู่หนึ่งก็ตาดีพบถ้ำกลางเขาแห่งหนึ่งเข้า
ที่นั่นมีถ้ำอยู่ ปากถ้ำยังมีของบางอย่างปิดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ต้องมีคนเคยมาอย่างแน่นอน เฉิงอวี๋จิ่นรีบเดินเข้าไป ทว่านางหาเฉิงอวี๋โม่ไม่พบ กลับพบชายหนุ่มหมดสติอยู่คนหนึ่ง
แท้จริงแล้วด้วยนิสัยของเฉิงอวี๋จิ่น นางไม่คิดสนใจชายหนุ่มที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเช่นนี้ เขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอันใดกับนาง แต่เป็นอีกครั้งที่เฉิงอวี๋จิ่นตาดี นางแลเห็นตราขุนนางอันหนึ่งบนตัวของชายหนุ่ม
ฮั่วฉางยวนแห่งกองบัญชาการทหารพิทักษ์ซีเป่ย*
ฮั่วฉางยวน? แม่ทัพฉางเซิ่ง** ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จิ้งหย่งโหวฮั่วฉางยวน ท่านโหวที่อายุน้อยที่สุดในราชสำนักต้าฉี
ดีมาก เฉิงอวี๋จิ่นตัดสินใจจะช่วยชีวิตเขา
เฉิงอวี๋จิ่นให้ตู้รั่ววางร่างของฮั่วฉางยวนนอนราบ ชายหนุ่มตัวหนัก ตู้รั่วผู้เดียวทำไม่ได้ เฉิงอวี๋จิ่นจึงย่อตัวลงช่วยด้วยเช่นกัน ขณะที่นางกำลังประคองแขนของฮั่วฉางยวน เขากลับสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา ฮั่วฉางยวนรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างกายเขา เขาใช้แรงกายทั้งหมดที่มีหรี่ตาขึ้น ท่ามกลางความมืดสลัวเขามองเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยงดงามหมดจดอยู่ข้างกายเขา งดงามราวดวงตะวัน งามจนหาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้
‘เจ้าเองหรือ’
เฉิงอวี๋จิ่นไม่เข้าใจว่าตรงนี้มีนางเพียงคนเดียว เหตุใดยังต้องถามอีกว่า ‘เจ้าเองหรือ’ อีก หากไม่ใช่นางแล้วยังจะเป็นผีตนใดอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าเฉิงอวี๋จิ่นในฐานะคุณหนูผู้มีคุณสมบัติดีเลิศในเมืองหลวงย่อมไม่มีทางพูดเช่นนี้ นางพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ให้แก่ฮั่วฉางยวน ‘ท่านโหวไม่ต้องกลัว ข้าคือหลานสาวคนโตของจวนอี๋ชุนโหว หมู่บ้านท่านแม่ของข้าอยู่ไม่ไกล ท่านรอสักครู่ ข้าจะตามคนมาหามท่าน’
ฮั่วฉางยวนราวกับโล่งอก สุดท้ายจับจ้องนางครู่หนึ่งแล้วหลับตาหมดสติไป
รอจนบ่าวที่นางส่งคนไปตามมารับนาง บ่าวแบกเปลหามที่มาพร้อมกันจึงได้พูดว่า ‘เรียนคุณหนูใหญ่ หาตัวคุณหนูรองพบแล้ว ท่านหญิงให้ตามท่านกลับไปขอรับ’
หาตัวเฉิงอวี๋โม่เจอแล้วหรือ นี่เป็นข่าวดีมาก นางไม่อยากฝ่าไอหนาวเย็นอยู่ข้างนอกแล้วแสร้งเป็นพี่สาวที่ดีแม้แต่น้อย
ฮั่วฉางยวนหมดสติอยู่ในหมู่บ้านของท่านหญิงชิ่งฝูสามวัน ระหว่างนั้นตื่นบ้างหลับบ้าง โดยรวมแล้วไม่ค่อยมีสติเท่าใด ส่วนพวกนางในฐานะหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน ไม่สามารถเดินเข้าออกห้องนอนชายหนุ่มนอกครอบครัวได้ เคราะห์ดีที่ทางภูเขาถูกเกลี่ยทางได้เร็ว คนของจวนจิ้งหย่งโหวจึงมารับตัวฮั่วฉางยวนกลับไป
เป็นการดีที่ได้จวนจิ้งหย่งโหวช่วยเหลือ จึงสามารถเคลื่อนรถไปตามทางภูเขาได้รวดเร็วเช่นนี้
จริงดังคาด ผู้ที่อาศัยผลงานการรบสร้างตระกูลขึ้นอย่างมั่นคงย่อมไม่เหมือนชั้นประดับดอกไม้เช่นพวกเขา เพราะหากมัวแต่สงบใจรอให้จวนอี๋ชุนโหวส่งคนมาช่วยเหลือก็คงต้องอยู่บนภูเขาอีกนาน
เฉิงอวี๋จิ่นออกจากจวนก็ช่วยชีวิตคนเอาไว้ หลังจากกลับจวนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังพูดชื่นชมยกใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ท่านหญิงชิ่งฝู รวมถึงเฉิงอวี๋จิ่นต่างรู้ดีแก่ใจแต่ไม่พูดออกมา บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ จวนจิ้งหย่งโหวควรแสดงท่าทีอะไรบ้างกระมัง
ไม่ผิดไปจากที่คาด ผ่านไปไม่นานฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหย่งโหว ฮั่วเซวียซื่อ มารดาของฮั่วฉางยวนก็มาเยือนที่จวนด้วยตนเอง ขอบคุณที่เฉิงอวี๋จิ่นยื่นมือเข้าช่วย ของกำนัลที่สกุลฮั่วนำมายิ่งใหญ่กว่าที่เฉิงอวี๋จิ่นคิดไว้ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้นางพอใจที่สุดก็คือการหมั้นหมายที่ฮั่วเซวียซื่อนำมาด้วย
ฮั่วฉางยวนซาบซึ้งบุญคุณในการช่วยชีวิตของเฉิงอวี๋จิ่น อยากจะหมั้นหมายกับนางให้มาเป็นภรรยาเอก
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยามนั้นยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว ท่านหญิงชิ่งฝูกับเฉิงอวี๋จิ่นที่ผ่านมามีความผูกพันบังหน้า แต่เมื่อบุตรสาวที่เลี้ยงมาหลายปีภายใต้ชื่อของนางมีคู่ครองที่ดีได้ ท่านหญิงชิ่งฝูก็พลอยดีใจไปด้วย จวนอี๋ชุนโหวเบิกบานไปทั่ว กระนั้นจวนโหวย่อมต้องคำนึงถึงหน้าตา เหล่าผู้อาวุโสพูดบ่ายเบี่ยงคิดจะกลบเกลื่อนความยินดีแต่กลายเป็นเผยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น กล่าวว่าต้องถามความเห็นของบุตรสาวก่อน
ถามเฉิงอวี๋จิ่นหรือ เฉิงอวี๋จิ่นย่อมยินดีอยู่แล้ว ในความเป็นจริงนี่จึงจะเป็นจุดประสงค์แท้จริงที่นางช่วยชีวิตฮั่วฉางยวนเอาไว้
ปลายรัชศกเจี้ยนอู่ปีที่ยี่สิบเอ็ดจวนอี๋ชุนโหวอยู่ท่ามกลางความยินดีอย่างยิ่ง จวนโหวที่มีเพียงโครงเปล่าจับคู่กับท่านโหวสูงศักดิ์คนใหม่ที่มีอนาคตที่สุด อายุน้อยที่สุดในราชสำนัก เรียกได้ว่ามีความสุขกันทั้งจวน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเอาแต่พร่ำพูดว่าหลายปีมานี้ไม่ได้เลี้ยงเฉิงอวี๋จิ่นเสียเปล่าเลย
เฉิงอวี๋จิ่นทำการลงทุนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตสำเร็จแล้ว ไม่เกินความคาดหมาย เกียรติยศความร่ำรวยอีกครึ่งชีวิตของนางมีความมั่นคงแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นพอใจอย่างมาก นับจากนี้จึงไม่ออกจากจวน อยู่อย่างสบายใจในจวนเตรียมสินเดิม
ยามนั้นข้างกายเฉิงอวี๋จิ่นมีเสียงดังวุ่นวายเกินไป นางไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลังจากเฉิงอวี๋โม่กลับจากหมู่บ้านกลางเขาก็กลัดกลุ้มไม่เบิกบานใจ ล้มป่วยเป็นเวลานาน นางไม่ได้สังเกตว่าท่าทีการหมั้นหมายของสกุลฮั่วดูรีบร้อนมากเกินไป ต่อให้เป็นการตอบแทนบุญคุณก็ไม่น่าจะมีแค่การแต่งงานกับนางวิธีนี้วิธีเดียว
น่าเสียดายที่นางไม่ได้สังเกตเห็น
ตามหลักทุกอย่างกำหนดแน่นอนแล้ว แต่เมื่อเริ่มเข้าเดือนสอง เฉิงอวี๋จิ่นก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวนอย่างไร้สาเหตุ กระทั่งตอนนอนยังรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อคืนนี้นางก็มีความฝันยาวนานเรื่องหนึ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นตกใจตื่นอย่างฉับพลันตอนยามอิ๋น* เหงื่อผุดพรายเต็มตัว ไม่อาจหลับลงได้อีก นางนอนอยู่บนเตียงนานมาก ตามหลักนั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน เอาความฝันมาเป็นความจริงมันน่าขบขันเกินไป แต่เฉิงอวี๋จิ่นกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…นี่เป็นความจริง
นางเห็นตนเองในความฝัน แต่ก็ไม่เหมือนตัวนางเองทั้งหมด นางเป็นเหมือนหุ่นเชิดถูกโยงเส้นสาย ผ่านชีวิตของ ‘เฉิงอวี๋จิ่น’ ตั้งแต่ต้นจนจบ
นางในความฝันเหมือนในตอนนี้ เกิดในจวนอี๋ชุนโหวที่มีโถงเป็นหยกม้าเป็นทองร่ำรวยอย่างมาก นายหญิงรองหร่วนซื่อจวนอี๋ชุนโหวคลอดเด็กหญิงฝาแฝดออกมาคู่หนึ่ง ในเวลานี้ท่านหญิงชิ่งฝูที่เป็นนายหญิงใหญ่แต่งเข้าบ้านมาเกือบห้าปียังไม่มีบุตรเลย แต่หร่วนซื่อที่แต่งเข้ามาได้เพียงหนึ่งปีก็ได้อุ้มลูกสองคนแล้ว แม้จะเป็นเด็กหญิงทั้งคู่ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเด็กรุ่นหลานรุ่นที่หนึ่งของสกุลเฉิง มีความเป็นมงคล ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงตัดสินใจเอง อุ้มเด็กคนพี่มาเป็นบุตรสาวของท่านหญิงชิ่งฝู อยากให้บ้านใหญ่ได้มีบรรยากาศความยินดีของการมีบุตรบ้าง
ภายหลังเด็กสองคนนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า ‘เฉิงอวี๋จิ่น’ และ ‘เฉิงอวี๋โม่’
เฉิงอวี๋จิ่นรู้ตั้งแต่เด็กว่าตนเองกับน้องสาวคนรองบุตรสาวของท่านอาบ้านรองเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่นางก็รู้อีกเช่นกันว่าหร่วนซื่อเป็นอาสะใภ้รองของนาง มารดาเพียงคนเดียวของนางคือท่านหญิงชิ่งฝู
เป็นได้เพียงท่านหญิงชิ่งฝูเท่านั้น
เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงอวี๋โม่ตอนเด็กหน้าตาเหมือนกันมาก จนกระทั่งค่อยๆ เติบโตหน้าตาถึงเริ่มเปลี่ยนไป ความแตกต่างของสองพี่น้องปรากฏให้เห็น เฉิงอวี๋จิ่นสุขภาพดีกว่า รูปโฉมงดงามกว่า นิสัยก็สงบนิ่งมากกว่า ส่วนเฉิงอวี๋โม่เดิมทีเพราะเป็นคู่แฝดก็อ่อนแอกว่าเด็กทั่วไปอยู่แล้ว เฉิงอวี๋โม่ยังคลอดจากท้องแม่ทีหลัง จึงยิ่งมีร่างกายอ่อนแอกว่า แม้แต่รูปโฉมก็ด้อยกว่าเล็กน้อย
คนในบ้านตนเองไม่ต้องพูดถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับท่านหญิงชิ่งฝู หรือต่อให้เป็นสาวใช้คนหนึ่งที่ปรนนิบัติรับใช้ในสกุลเฉิงมานานแล้วก็สามารถแยกความแตกต่างของคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองได้ แต่สำหรับคนนอก ผู้ใดจะมาสังเกตโครงหน้าอย่างละเอียด พี่น้องในจวนเดียวกันเดิมทีก็มีความคล้ายกันอยู่แล้ว กอปรกับพวกนางอายุเท่ากัน ทั้งยังแต่งกายคล้ายกันอีก ดังนั้นมักจะมีคนภายนอกสับสนอยู่เสมอ
เฉิงอวี๋จิ่นในชีวิตมักต้องอธิบายว่า ‘ข้าคือคุณหนูใหญ่อวี๋จิ่น’ มาจนถึงอายุสิบสี่ปี
ฤดูหนาวปีก่อน นางช่วยชีวิตชายคนหนึ่งกลางหิมะตกหนัก ปีต่อมานางก็แต่งงานกับชายคนนี้
ชายผู้นี้ชื่อฮั่วฉางยวน
ในวันแต่งงาน เฉิงอวี๋จิ่นอยู่ในขบวนเจ้าสาวยาวเป็นสิบหลี่* แต่งกับฮั่วฉางยวนอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาพี่สาวน้องสาวต่างอิจฉาที่นางได้แต่งกับสามีที่ดี ฮั่วฉางยวนได้เป็นโหวตั้งแต่อายุยังน้อย เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อแต่งเข้าบ้านก็ได้เป็นฮูหยินท่านโหวเสียเวลาน้อยกว่าสตรีคนอื่นอย่างน้อยยี่สิบปี อีกทั้งฮั่วฉางยวนปีที่แล้วเพิ่งสร้างผลงานทางการทหารที่ซีเป่ย สภาพการณ์ดีเด่น มีอนาคตไร้ขีดจำกัด ตัวเขาเองก็รูปโฉมหล่อเหลา รูปร่างสง่าผ่าเผย สามีที่ดีเช่นนี้กลับถูกเฉิงอวี๋จิ่นจับไว้แน่น ช่างน่าโมโหจริงๆ
เฉิงอวี๋จิ่นในตอนนั้นไม่รู้ว่าในสถานการณ์ที่นางไม่รู้เรื่องราวอันใดเลย นางได้กลายเป็นคนเลวในเรื่องราวของผู้อื่นไปแล้ว
หลังแต่งงานชีวิตของเฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนโดยรวมเป็นอย่างที่นางคาดไว้ เพียงแค่แม่สามีเอาใจยากสักนิด สามีชอบสั่งการเกินไปสักหน่อย กฎระเบียบของสกุลฮั่วมากไปเล็กน้อย หลายปีนั้นคนภายนอกเห็นเฉิงอวี๋จิ่นเป็นดั่งดอกไม้สดประดับผ้าแพร* งดงามไร้ขีดจำกัด มีเพียงตัวนางที่รู้ว่าหลังประตูนั้นยากลำบากเพียงใด แต่นี่ไม่เป็นไร สตรีล้วนต้องเคยผ่านด่านนี้ทุกคน นางไม่ต้องปรนนิบัติย่าของสามี ตนเองมีอำนาจในการดูแลจวน มีสภาพการณ์ดีกว่าสตรีส่วนใหญ่แล้ว
ปีที่สองหลังการแต่งงานนางก็ตั้งครรภ์ ตอนฮั่วฉางยวนอายุเจ็ดขวบบิดาตายจากการรบ ฮั่วเซวียซื่อเป็นม่าย หลายปีมานี้เป็นฮั่วเซวียซื่อดูแลฮั่วฉางยวนจนเติบใหญ่มาอย่างยากลำบาก สองแม่ลูกพึ่งพาอาศัยกัน ฮั่วเซวียซื่อเรียกได้ว่ามีความต้องการครอบครองในตัวบุตรชายเกินปกติ นับตั้งแต่เฉิงอวี๋จิ่นแต่งเข้าบ้าน ฮั่วเซวียซื่อก็ปฏิบัติต่อเฉิงอวี๋จิ่นอย่างหมางเมินบ้างสนใจบ้างมาตลอด สรรหาวิธีมาแยกเวลาที่พวกเขาสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน เฉิงอวี๋จิ่นจนปัญญา ทำได้เพียงทำตามความต้องการของแม่สามี ไม่สนิทเสน่หากับสามีอีก
ที่น่าขันก็คือฮั่วเซวียซื่อไม่ให้พวกเขาสามีภรรยาใกล้ชิดกัน แต่กลับบีบให้เฉิงอวี๋จิ่นคลอดหลานให้ เฉิงอวี๋จิ่นมีความทุกข์เต็มท้องแต่พูดไม่ออก ดังนั้นปีที่สองหลังแต่งงาน ตอนที่เด็กคนนั้นมาถึง แค่คิดก็รู้ได้ว่าเฉิงอวี๋จิ่นมีความยินดีมากเพียงใด
นางโยนอำนาจการดูแลจวนทิ้งทันที ดูแลครรภ์ด้วยความยินดี เพราะอยู่ในเรือนส่วนในรู้สึกเบื่อหน่าย นางจึงรับน้องสาวมาจากบ้านเดิม เฉิงอวี๋จิ่นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับฮั่วฉางยวนอยู่แล้ว ตอนนี้ตั้งครรภ์จึงยิ่งไม่ให้เขาแตะต้องร่างกายตนเอง ช่วงเวลานั้นฮั่วฉางยวนพักรบอยู่บ้าน เฉิงอวี๋โม่มาพูดคุยกับนางทุกวัน เฉิงอวี๋จิ่นลูบท้องที่ค่อยๆ กลมขึ้น รู้สึกเพียงว่าการมีลูก สามี และน้องสาวอยู่ข้างกายช่างเป็นวันเวลาที่ดีมาก ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งใดเลย
ทว่าสีหน้าสาวใช้ข้างกายนางประหลาดขึ้นทุกที ตู้รั่วมีหลายครั้งที่อยากพูดอะไรแต่ก็ยั้งเอาไว้ เพียงเห็นท่าทางมีความสุขของเฉิงอวี๋จิ่นแล้วก็ทำใจพูดออกมาไม่ได้ แต่เฉิงอวี๋จิ่นอย่างไรก็ไม่ใช่คนโง่ นางสังเกตเห็นความผิดปกติ บังคับถามสาวใช้อย่างละเอียด จึงรู้ว่าตอนที่นางนอนพักดูแลครรภ์ ฮั่วฉางยวนมักจะพูดคุยหัวเราะกับเฉิงอวี๋โม่ การกระทำสนิทสนม
ราวกับฟ้าผ่าตอนท้องฟ้าสดใส เฉิงอวี๋จิ่นได้แต่ยืนตะลึง นางเยาะหยันตนเอง เสียทีที่นางบอกว่าตนเองเป็นสตรีที่เพียบพร้อม ไม่บกพร่องแม้แต่น้อย กลับทำความผิดพลาดที่น่าขันเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นคิดเพียงว่าตนเองมีแรงไม่พอ ไม่สามารถคอยสังเกตได้ตลอด ดังนั้นจึงทำให้ฮั่นฉางยวนกับเฉิงอวี๋โม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากขึ้น เกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้น คนหนึ่งคือสามีของนาง คนหนึ่งคือน้องสาวของนาง เฉิงอวี๋จิ่นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คิดจะโวยวายจนเสียหน้าทั้งสองฝ่าย
ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่ฮั่วฉางยวนไปฝึกทหารที่ค่าย เรียกเฉิงอวี๋โม่เข้ามา พูดเลี่ยงๆ ไปมากมาย นางคิดว่าตนเองไว้หน้าทั้งสองฝ่ายมากพอแล้ว ขอให้เป็นหญิงสาวที่รู้ความและรักหน้าตา พอได้ฟังถึงตรงนี้แล้วต้องเข้าใจแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเฉิงอวี๋โม่ฟังเข้าใจแล้วกลับร้องไห้วิ่งหนีไป คิดว่าถูกเฉิงอวี๋จิ่นหมิ่นศักดิ์ศรี
เฉิงอวี๋จิ่นโกรธขึ้นหน้า ไม่ได้สนใจนาง ในวันนั้นเฉิงอวี๋โม่ก็ขึ้นรถกลับจวนไป ฮั่วเซวียซื่อส่งคนมาสอบถาม เฉิงอวี๋จิ่นเพียงแค่ยิ้มพูดอย่างไม่จริงจัง ไว้หน้าครั้งสุดท้ายแก่เฉิงอวี๋โม่กับฮั่วฉางยวน
นางคิดว่าผู้ที่เป็นทั้งภรรยาและพี่สาวทำมาถึงขั้นนี้ เป็นการมีคุณธรรมอย่างยิ่งแล้ว นางรอฮั่วฉางยวนกลับมาให้คำชี้แจงแก่นาง ไม่คิดเลยว่าฮั่วฉางยวนกลับมาจากค่ายทหาร พอได้ยินว่าเฉิงอวี๋โม่กลับไปแล้วก็หมุนตัวออกไปตามคนทันที ทิ้งเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่ในห้องคนเดียว เผชิญหน้ากับบ่าวไพร่เต็มห้อง ผ่านไปนานก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ฮั่วฉางยวนกลับมาอีกครั้งก็มองนางด้วยสายตาเย็นชาอย่างมาก บอกว่านางเป็น ‘หญิงร้าย’ เฉิงอวี๋จิ่นจนถึงวันตายก็ไม่เข้าใจ นางช่วยดูแลครอบครัวให้ฮั่วฉางยวน อดทนกับแม่สามีที่เอาใจยาก แต่ฮั่วฉางยวนกลับลอบคบหากับน้องสาวลับหลังนาง นางใจร้ายที่ใด…นางผิดตรงที่ใด
เฉิงอวี๋จิ่นด้วยความกลัดกลุ้มจึงมีน้ำเดินเร็วขึ้น หลังจากคลอดลูกแล้ว ฮั่วเซวียซื่อก็รีบไปดูหน้าหลาน ไม่ได้สนใจเฉิงอวี๋จิ่นที่นอนอยู่บนเตียงคลอดเลย เพราะคลอดก่อนกำหนดรวมกับคลอดยาก เฉิงอวี๋จิ่นวันนั้นได้เสียเลือดมาก ไม่ช้าก็ตาย
นางในความฝันตายแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นสุดท้ายก็หลุดออกมาจากห้วงฝันร้ายนั้น แต่วิญญาณของนางกลับไม่ได้หลุดพ้น ยังคงล่องลอยอยู่ในจวนจิ้งหย่งโหว มองดูเรื่องราวดำเนินต่อไป
ที่แท้…จากมุมมองอีกด้านหนึ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนี้เอง
บทที่ 2
หลังจากตนเองในความฝันตายลง เฉิงอวี๋จิ่นได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดจากมุมมองอีกด้านหนึ่ง
พูดให้ถูกต้องก็คือเรื่องราวการพบหน้ารู้จักกันของเฉิงอวี๋โม่กับฮั่วฉางยวน
คุณหนูรองของจวนอี๋ชุนโหวร่าเริงไร้เดียงสา บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ฤดูหนาวในปีหนึ่งนางติดตามท่านป้าใหญ่ไปพักชั่วคราวที่หมู่บ้านกลางเขา ในคืนวันหนึ่งมีหิมะตกหนัก นางออกไปเดินเล่น ผลปรากฏว่าไม่ระวังถูกพายุหิมะบดบังสายตา รอจนนางรู้ตัวอีกครั้งก็หลงทางเสียแล้ว
นางเดินเหยียบบุรุษผู้หนึ่งหนึ่งริมทาง พลิกตัวกลับมาดูจึงพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามมากคนหนึ่ง คุณหนูรองหน้าแดง พอเห็นว่าชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บจึงใจดีดึงเขาเข้าไปในถ้ำบนภูเขา ตั้งใจดูแลทั้งคืน
รอจนถึงกลางดึก พายุหิมะข้างนอกเบาลงบ้างแล้ว ชายหนุ่มไข้ลดลงจู่ๆ ก็สั่นไปทั้งร่าง พูดว่าหนาวขึ้นมา ฝ่ายหญิงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาอับจนหนทาง ทำได้เพียงคลายเสื้อออก เอาผิวเนื้อแนบไปบนเสื้อเกราะเย็นเฉียบของอีกฝ่าย ใช้ร่างกายสร้างความอบอุ่นให้แก่เขา
กว่าจะรอให้ฟ้าสางไม่ง่ายนัก ฝ่ายหญิงวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตามคนในหมู่บ้านกลางเขามาช่วย แต่พอนางกลับมาก็พบว่าพี่สาวฝาแฝดชิงตัดหน้าช่วยชายหนุ่มที่บาดเจ็บลงเขาไปแล้ว
นับจากตอนนั้นชายหนุ่มเข้าใจผิดคิดว่าพี่สาวเป็นผู้มีคุณช่วยชีวิต รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ถึงขั้นมาทาบทามสู่ขอพี่สาว การหมั้นหมายของพี่สาวกับชายหนุ่มใหญ่โตโด่งดัง ส่วนน้องสาวที่น่าสงสารกลับขดตัวอยู่บนเตียง ไอโขลกไม่หยุด
เฉิงอวี๋จิ่นเห็นเหตุการณ์ในฝันมาถึงตรงนี้ก็สบถเหยียดอย่างทนไม่ไหว
มิน่าเล่าหลังจากฮั่วฉางยวนฟื้นมาจึงพูดกับนางว่า ‘เจ้าเองหรือ’
มิน่าเล่าฮั่วฉางยวนถึงยืนกรานจะแต่งงานกับนาง
มิน่าเล่าตอนที่ฮั่วเซวียซื่อมาพูดสู่ขอ แม้จะมีรอยยิ้มบนหน้า แต่ในแววตาที่มองมาทางเฉิงอวี๋จิ่นมักจะแฝงความไม่ใส่ใจนัก
ที่แท้เฉิงอวี๋โม่ได้สัมผัสผิวกายกับฮั่วฉางยวนแล้ว ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันทั้งคืนเป็นเรื่องใหญ่เกินประเพณีพอแล้ว และเฉิงอวี๋โม่ยังให้ความอบอุ่นแก่ฮั่วฉางยวน คลายเสื้อออกใช้ร่างกายกอดเขาไว้!
เฉิงอวี๋จิ่นกลายเป็นพี่สาวตัวร้ายที่แอบอ้างเอาความชอบในสถานการณ์ที่ตนเองก็ไม่รู้เรื่องราว ยังถูกคิดว่าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ตอนที่คนสกุลฮั่วเตรียมพิธีแต่งงานจะมองนางอย่างไร
มิน่าเล่านางคิดว่าทุกสิ่งที่ทำดีงามที่สุดแล้ว สตรีที่แต่งงานใหม่ทั่วเมืองหลวงไม่มีใครตรงตามเกณฑ์กว่านางอีก ทว่าฮั่วเซวียซื่อยังกล้าดูหมิ่นนางอย่างนั้น
ในสายตาของคนที่บ้าน เฉิงอวี๋จิ่นแย่งผลงานของน้องสาว เป็นหมาป่าตาขาว* ที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา ในสายตาของฮั่วฉางยวน เฉิงอวี๋จิ่นแต่งเรื่องโกหก ทั้งใจคิดถึงแต่ทรัพย์สินและอำนาจ ยังตั้งใจดูหมิ่นแสงจันทร์ขาว** ของเขา เป็นหญิงร้ายโดยสมบูรณ์ ในสายตาของแม่สามีฮั่วเซวียซื่อ เฉิงอวี๋จิ่นเสแสร้งแกล้งทำเป็นสูงส่ง ทั้งที่ตอนยังไม่แต่งงานก็ยั่วยวนบุตรชายของนางแล้ว เป็นหญิงสารเลวที่ทำเรื่องฉาวโฉ่
เฉิงอวี๋จิ่นตายแล้ว ทำให้คนมีความสุขมาก ทุกคนต่างโล่งอก ตอนที่เฉิงอวี๋โม่มาอยู่เป็นเพื่อนเฉิงอวี๋จิ่นดูแลครรภ์ เฉิงอวี๋โม่ทนความทรมานในใจไว้ไม่ไหวจริงๆ บอกความจริงแก่พี่เขยอย่างเจ็บปวด ฮั่วฉางยวนได้รู้ความจริงแล้วเหมือนถูกปลุกให้ตื่น ทั้งตกใจและปวดร้าวใจ ตอนนี้เฉิงอวี๋จิ่นหญิงร้ายที่เป็นผู้ขโมยวาสนาของผู้อื่นมาครอบครองสุดท้ายก็ตายแล้ว ฮั่วฉางยวนเสนอการแต่งงานกับเฉิงอวี๋โม่ แก้ไขความผิดพลาดทุกอย่าง
ทว่านี่เป็นเรื่องเจ้าตามข้าไล่ ทำร้ายกายทำร้ายใจกัน เฉิงอวี๋โม่รู้ว่าพี่สาวตายแล้ว ในใจนางรู้สึกไม่ดี เป็นตายไม่ยอมรับปากแต่งงานกับฮั่วฉางยวน ยังคิดจะปลงผมบวชชีตัดทางโลก ฮั่วฉางยวนติดตาม เฉิงอวี๋โม่หลบ ฮั่วฉางยวนใช้กำลังอำนาจบังคับ เฉิงอวี๋โม่ร่างกายตอบสนองพลางร้องไห้ปฏิเสธ สุดท้ายฮั่วเซวียซื่อเห็นบุตรชายให้ความสำคัญกับสตรีอีกคนหนึ่ง ความต้องการครอบครองทำงานอีกครั้ง คิดจะให้หลานสาวแดนไกลของตนเองมาแต่งงานกับฮั่วฉางยวน ฮั่วฉางยวนเจ็บปวดใจมาก บังคับตนเองให้ไปยอมรับสตรีคนใหม่ แต่ในเวลานี้เองเฉิงอวี๋โม่ก็คิดได้ในฉับพลัน ตัดสินใจแต่งงานกับฮั่วฉางยวนเพื่อดูแลบุตรชายของพี่สาว
เฉิงอวี๋จิ่นเห็นถึงตรงนี้ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแทบตาย ดูสามีที่ดี น้องสาวที่ดีของนางสิ ต่อให้ตายไปแล้วก็ไม่ยอมให้นางสงบสุข
หลังจากนั้นก็ผ่านมรสุมที่เกินจริง ทำร้ายร่างกายทำร้ายจิตใจมากมาย ฮั่วฉางยวนกับเฉิงอวี๋โม่ทลายรั้วกั้นทุกอย่าง ใจสื่อถึงกัน สุดท้ายกลายเป็นคู่ชีวิต ส่วนเฉิงอวี๋จิ่นเป็นเพียงพี่สาวตัวร้ายควบตำแหน่งภรรยาคนก่อนในเรื่องราวความรักของพวกเขา เป็นหินรองเท้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์พระนางให้ก้าวหน้าไปได้ เป็นกระดานภูมิหลังเปรียบเทียบความจริงใจอันดีงามของน้องสาว
ภายหลังบุตรชายของนางเติบโตเป็นลูกเศรษฐีที่ไร้สามารถ เป็นตัวเปรียบเทียบที่เด่นชัดกับบุตรชายที่เกิดจากเฉิงอวี๋โม่โดยตรง ช่วงหลายปีนี้อำนาจบารมีของฮั่วฉางยวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะผลงานที่สร้างไว้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ซึ่งขึ้นมาจากการเป็นองค์รัชทายาทจึงให้ความสำคัญในการใช้งานฮั่วฉางยวน กลายเป็นเสาหลักของราชสำนัก ในเวลาเดียวกันนี้เองซื่อจื่อจวนจิ้งหย่งโหวกลับขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ดี ไม่สนใจเรียนรู้ไร้วิชา ส่วนคุณชายรองกลายเป็นคนที่ขยันเล่าเรียน รักความก้าวหน้า และกตัญญู
ในตอนที่บุตรชายของเฉิงอวี๋จิ่นอายุสิบหกปี ฮั่วฉางยวนแค้นที่บุตรชายไม่ได้ดั่งใจ ยึดตำแหน่งซื่อจื่อของเขา และโยนเขาออกจากจวนให้ไปตายเอาดาบหน้า ภายหลังบุตรชายของนางดื่มสุราจนเมามาย ยามค่ำคืนไม่ระวังตกลงไปในแม่น้ำ จบชีวิตลงด้วยเหตุนี้
ร่องรอยสุดท้ายของเฉิงอวี๋จิ่นที่เหลือบนโลกนี้ก็หายไปแล้วเช่นกัน
ด้วยการจากโลกนี้ไปของบุตรชาย ภาพฝันก็ค่อยๆ สลายไป เฉิงอวี๋จิ่นตื่นขึ้นจากความฝันในทันใด นางมีเหงื่อผุดทั่วตัว ยกมือขึ้นพบว่าตอนนี้ยังคงอยู่ในรัชศกเจี้ยนอู่ปีที่ยี่สิบสอง องค์รัชทายาทที่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เยาว์วัยหายตัวไปเป็นปีที่สิบสี่
นางอายุสิบสี่ปีเพิ่งหมั้นหมายกับฮั่วฉางยวน
เฉิงอวี๋จิ่นนอนอยู่นานมาก จนกระทั่งท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ สว่าง มีเสียงบ่าวไพร่เดินไปเดินมาลอยจากนอกหน้าต่างเข้ามา
นางคิดสิ่งต่างๆ มากมาย ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับภาพฝัน ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องในตอนนี้
ในช่องว่างความฝันที่สลายลง นางเหมือนได้เห็นคำว่า
‘ตำนานรักฝาแฝด ท่านโหวจอมเผด็จการกับภรรยาคนงาม…จบบริบูรณ์’
นางคิดอยู่นานก็หัวเราะเยาะตนเอง คนนอกดูละคร ไหนเลยจะรู้ตัวว่าเป็นตัวละครเช่นกัน ที่แท้นางเป็นพี่สาวผู้เสแสร้ง ภรรยาคนก่อนที่เลวร้ายในเรื่องราวของผู้อื่น
ฮั่วฉางยวนกับเฉิงอวี๋โม่แค้นที่นางมาแย่งผลงานของน้องสาว แต่นางคิดจริงๆ ว่าตนเองช่วยชีวิตฮั่วฉางยวนเอาไว้
นางพบฮั่วฉางยวนในถ้ำกลางเขา รอบข้างไม่มีร่องรอยของผู้ใด เสื้อผ้าของฮั่วฉางยวนก็สวมอยู่ดีบนร่าง นางย่อมคิดอย่างมีเหตุผลว่าฮั่วฉางยวนหมดสติอยู่ที่นี่ ถูกนางพบเข้าโดยบังเอิญ นางจะคิดได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีคนอยู่ค้างคืนกับฮั่วฉางยวน ทั้งยังเกิดเรื่องผิวเนื้อแนบชิดกันด้วย
นางช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง ฮั่วฉางยวนเอาตำแหน่งภรรยาเอกมาแลกเปลี่ยน นี่นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผล นางมีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นภรรยาผู้เพียบพร้อมได้ หลังจากนางแต่งเข้าบ้าน นางจะกตัญญูเคารพต่อแม่สามี ดูแลงานในเรือน ช่วยสามีเลี้ยงดูลูก จากบุตรสาวจวนโหวผู้ไร้ที่ติกลายเป็นฮูหยินท่านโหวที่เพียบพร้อม
พอนางเกิดก็ถูกคนรับไปเป็นลูก คนอื่นอิจฉาที่นางมีมารดาสองคน มารดาให้กำเนิดอ่อนโยนละเอียดอ่อน มารดาเลี้ยงมีชาติกำเนิดสูงส่ง เฉิงอวี๋จิ่นถูกเลี้ยงอยู่ภายใต้ชื่อท่านหญิงชิ่งฝู เป็นการย้ายจากรังเงินไปรังทอง ถือเงินที่ใช้ไม่หมด มีความสุขให้ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น
ทว่าหร่วนซื่อแม้จะรักนาง แต่รักบุตรสาวที่เลี้ยงอยู่ข้างกายมากกว่า ท่านหญิงชิ่งฝูแม้จะใช้เงินราวเศษดิน แต่ไม่ได้ใช้เงินกับตัวของเฉิงอวี๋จิ่น คนภายนอกมองนางดั่งดอกไม้งดงามเลอค่า แต่มีเพียงนางที่รู้ว่าตนเองไม่มีอะไรเลย
นางไม่มีมารดา ไม่มีบิดา ถึงขั้นไม่มีสินเดิมของตนเองด้วยซ้ำ
นางเป็นป้ายแสดงความสวยงามอันหนึ่งเท่านั้น การแต่งงานกับฮั่วฉางยวนเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขอบเขตความสามารถของนาง ตอนที่นางเพิ่งแต่งงานกับเขา นางอยากจะเป็นภรรยาที่ดีจริงๆ
นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมา ตอนนั้นจู่ๆ เฉิงอวี๋โม่ก็ไม่สนใจมารยาทพรวดพราดเข้ามาในห้องของนาง จับจ้องนางอยู่นานมาก
เฉิงอวี๋จิ่นมีรอยยิ้มงดงามไร้ที่ติ ถามว่า ‘น้องหญิงรอง เจ้าเป็นอะไร’
เฉิงอวี๋โม่พูดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในทันใด ‘พี่หญิง พี่เป็นเช่นนี้มีความสุขหรือไม่’
อะไรนะ ตอนนั้นเฉิงอวี๋จิ่นงุนงงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ
เฉิงอวี๋โม่สุดท้ายทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘อะไรที่ไม่ใช่ของพี่…สุดท้ายก็ไม่ใช่ของพี่’ แล้วก็วิ่งออกไป
เมื่อวานเฉิงอวี๋จิ่นยังไม่รู้ความจริง นางยังจมอยู่ในความยินดีของการเตรียมตัวแต่งงาน แค่เพียงคิดว่าน้องสาวฉุกคิดอะไรขึ้นมาจนพูดจาส่งเดช ส่ายหน้า ก่อนหัวเราะแล้วไม่สนใจ คิดไม่ถึงว่าหลังจากเฉิงอวี๋โม่จากไป คืนนั้นเฉิงอวี๋จิ่นก็ฝันร้าย ฝันถึงคืนวันหิมะตก ฝันถึงหนังสือเล่มนั้น
ตอนนี้คิดไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คนเมื่อชาติก่อนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดความจริงก่อนนางแต่งงานจะเปลี่ยนนิสัยอย่างฉับพลัน สาเหตุมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือเฉิงอวี๋โม่รู้เรื่องราวในหนังสือแล้วเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่านางก็คือเฉิงอวี๋โม่ในชาติก่อน
ดูท่าเมื่อวานที่เฉิงอวี๋โม่วิ่งออกไป คงได้บอกความจริงแก่ฮั่วฉางยวนแล้วกระมัง นี่อย่างไรเล่า วันนี้ฮั่วฉางยวนจึงมาถอนหมั้น
ป้าเจิ้งเห็นคุณหนูใหญ่ที่งดงามราวภาพวาดมีรอยยิ้ม จากนั้นลุกขึ้น กระโปรงแพรจีบปักดิ้นทองทิ้งตัวลงราวสายน้ำ ประหนึ่งดวงดาวบนท้องฟ้าตกลงบนชายกระโปรงของคุณหนูใหญ่ เป็นประกายระยิบ งดงามอย่างมาก
เท้าที่สวมรองเท้าผ้าเดินมาทางป้าเจิ้งอย่างช้าๆ แต่กระโปรงจีบตัวกว้างของคุณหนูใหญ่ไม่พลิ้วไหวแม้แต่น้อย นางก้าวย่างเบาหวิว ชายกระโปรงไม่ขยับ เดินอย่างมีมารยาทจนแทบจะบีบให้คุณหนูในเมืองหลวงนับไม่ถ้วนขาดใจตาย แต่สำหรับตัวเฉิงอวี๋จิ่นแล้ว การก้าวย่างเบาเช่นนี้กลับเดินได้คล่องราวสายน้ำกระเพื่อมไหว
ขณะที่ป้าเจิ้งตะลึงอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นก็เดินผ่านตัวนางไปแล้ว ตู้รั่วรีบสวมเสื้อกันลมสีแดงสดให้แก่เฉิงอวี๋จิ่น ถามเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ไปพบคู่หมั้นของข้า”
“คุณหนูใหญ่!”
“พวกเจ้ากลัวอะไร” เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ “ข้าเฉิงอวี๋จิ่นเป็นหลานสาวคนโตของจวนอี๋ชุนโหว บุตรสาวคนโตของภรรยาเอกอย่างท่านหญิงชิ่งฝู หลานสาวของหนิงอ๋อง เป็นที่ชื่นชมของทุกคนมาสิบสี่ปี เป็นคุณหนูผู้มีคุณสมบัติดีเลิศในเมืองหลวง ข้าจะแต่งกับใครไม่ได้บ้าง เหตุใดต้องทนรับการดูหมิ่นเช่นนี้จากเขาด้วย”
พวกตู้รั่วเมื่อครู่คิดว่าเฉิงอวี๋จิ่นจะไปโวยวายที่โถงชั้นหน้า ถึงแม้พูดเช่นนี้จะน่าเศร้ามาก แต่การที่สตรีนางหนึ่งถูกถอนหมั้น ทั้งยังไปร้องไห้โวยวายต่อหน้าอดีตบ้านว่าที่สามีมันน่าขายหน้าเกินไป เหลียนเชี่ยวรีบพูดว่า “คุณหนู ท่านคิดตกได้ดีที่สุดแล้ว คุณหนูงดงามและยังมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่งไปบ้านใดถือว่าพวกเขาได้กำไร จิ้งหย่งโหวต้องถูกผู้ใดสะกดจิตมาแน่นอน จึงได้หุนหันไปชั่วขณะ ทำเรื่องผิดพลาด ตอนนี้ข่าวยังไม่ลือออกไป ยังทันเวลา ท่านรีบไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าให้นางเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน แม้จะเป็นฝ่ายชายเสนอถอนหมั้นเอง แต่ยกเลิกการหมั้นหมายอย่างไร้สาเหตุก็ไม่ดีกับชื่อเสียงของจวนจิ้งหย่งโหวเช่นกัน ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าออกหน้า ต้องกอบกู้การแต่งงานครั้งนี้กลับมาได้แน่นอน”
“ใช่แล้ว ยอมพังวัดสิบแห่งดีกว่าทำลายงานแต่งหนึ่งงาน* คุณหนูใหญ่รีบไปที่ห้องนายหญิง ให้นายหญิงนำท่านไปที่หอโซ่วอัน นายหญิงเป็นถึงท่านหญิง ได้นางเป็นคนเอ่ยปาก ต่อให้เป็นจวนจิ้งหย่งโหวคงไม่กล้ารังแกท่านหรอกเจ้าค่ะ”
เฉิงอวี๋จิ่นยิ้ม “ใครบอกพวกเจ้าว่าข้าจะไปกอบกู้การแต่งงาน”
บรรดาสาวใช้พากันตกใจ “หา?”
“ข้าจะไปถอนหมั้นด้วยตนเอง”
เชิงอรรถ
* โหว บรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องของขุนนางจีนสมัยโบราณประกอบไปด้วย กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยแตกต่างกัน โดยโหวมีศักดิ์รองจาก ‘กง’ ซึ่งเป็นลำดับขั้นสูงสุด
* ซื่อจื่อ หมายถึงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ มักเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
* อวี๋จิ่น หมายถึงหยกงาม ใช้อุปมาถึงสตรีที่เพียบพร้อมทั้งความงาม คุณธรรม สติปัญญา และความสามารถ
** เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑล
เจ้อเจียง
* ซื่อ ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
* ซีเป่ย หมายถึงทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
** ฉางเซิ่ง หมายถึงมีชัยชนะอยู่เสมอ
* ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น.
* หลี่ (ลี้) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* ดอกไม้สดประดับผ้าแพร มาจากสำนวน ‘เพลิงโชติช่วงเผาน้ำมัน ดอกไม้สดประดับผ้าแพร’ อุปมาถึงเรื่องราวที่ดีมาตั้งแต่ต้นและดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
* หมาป่าตาขาว หรือหมาป่าตาบอด อุปมาว่าเป็นคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ลืมบุญคุณคน
** แสงจันทร์ขาว อุปมาถึงคนที่หลงรักแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
* ยอมพังวัดสิบแห่งดีกว่าทำลายงานแต่งหนึ่งงาน หมายถึงการทำลายงานแต่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงชนิดที่บาปกรรมจากการพังวัดสิบแห่งยังไม่อาจเทียบเท่า
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.