X
    Categories: THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 2

เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้

อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้

 

“แล้วระหว่างเธอกับอากาเมื่อคืนนี่ยังไงเหรอ” ไรยากับเอรินตื่นขึ้นจนได้ในตอนเที่ยงของวันถัดมา และนั่นคือคำถามแรกที่ออกมาจากปากเอริน ดวงตาของเธอเป็นประกายอย่างมีเลศนัย

“ก็ไม่ยังไง” ไรยาตอบกลั้วหัวเราะ “ทำไมถามแบบนั้น”

“ก็แค่สงสัย เมื่อคืนเธอสองคนดูเข้ากันได้ดีนี่”

“เราแค่คุยกันเฉยๆ ไม่มีอะไรโรแมนติกทั้งนั้นแหละ”

“อ้ออออ” ถ้าเอริน ‘อ้ออออ’ ยาวแบบนี้ แสดงว่าเธอมีคำถามอื่นๆ ที่อยากจะถามมากกว่านี้แน่นอน

ไรยาเลือกที่จะเมินเอรินแล้วเปิดเครื่องชงกาแฟ เช้านี้ขอสองแก้วเป็นอย่างต่ำ

“รู้ไหม เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีได้นะ”

“ฮะ?” ไรยามองเอรินงงๆ

“ฟังนะ เมื่อวันก่อนฉันเสิร์ช ‘วิธีเอาตัวรอดจากสภาวะเขียนไม่ออก’ ในกูเกิลมา ฉันรู้ๆ ฉันแค่สงสัยน่ะ ฉันรู้สึกแย่ที่เห็นเธอนั่งเครียดหน้าแล็ปท็อปแบบนั้น เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง คืองี้ ฉันเจอบทความหนึ่งบอกว่านักเขียนหาแรงบันดาลใจจากเรื่องราวความรักของตัวเองได้ ถ้านักเขียนตกหลุมรัก ซึ่งก็คือถ้าเธอตกหลุมรัก เธอจะมีแรงบันดาลใจมากมายที่เอามาใส่ลงในงานเขียนได้ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถึงเป็นเรื่องที่ดีได้ไง”

“แหมมม ปลื้มใจจัง เธอรักฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ไรยาพูด จุ๊บแก้มเอรินไปหนึ่งที

“นี่ ฉันรู้แล้ว!” จู่ๆ เอรินก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมา

“อะไร”

“ฉันรู้แล้วว่าจะช่วยให้เธอกลับมาเขียนได้ยังไง มาหาคู่เดตให้เธอกันดีกว่า! เธอจะได้มีความรักฉบับเร่าร้อนสไตล์นิวยอร์ก หลังจากนั้นฉันมั่นใจเลยว่าเธอจะกลับมาเขียนได้อีกแน่!” เอรินบอก ตาเป็นประกายอีกรอบ

ให้ตายเถอะ เอาจริงเหรอ ไรยาหัวเราะ “อะไรเนี่ย…เธอบ้าไปแล้ว”

“ฉันจริงจังนะ! มาเริ่มกันเลย!” เอรินนั่งลงที่โต๊ะในครัว แกว่งขาไปมาด้วยความตื่นเต้น “ไหนดูซิ อืม เริ่มจากลิสต์เพื่อนๆ ของฉันที่ยังโสดอยู่ละกัน อากา…เธอชอบเขาไหม หรือว่าเท็ดดี้ดี ดาน่าเหรอ แต่เขาดูจริงจังไปหน่อยแฮะ เธออยากเดตกับคนอินโดนีเซียหรือคนอเมริกันอะ มาร์กก็ดีนะ เธอจำเขาได้ใช่ไหม คนที่เล่นเปียโนเมื่อคืนไง หรือว่าจอห์น ไม่ดีกว่า เขาน่าจะเป็นเกย์ หรืออีธาน คือเขาก็ไม่ได้โสดหรอกแต่ฉันไม่ชอบแฟนเขาเท่าไหร่ เราจัดการเรื่องนั้นได้เสมอ!”

“นี่!” ไรยาร้อง กลั้นหัวเราะไม่ไหว เอรินเสียสติไปแล้ว

“โอเค เอางี้ดีไหม ฉันจะจัดมื้อสายสไตล์นิวยอร์กในอพาร์ตเมนต์ของเราในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เราจะ…”

“ที่รัก เธอจะแนะนำฉันให้หนุ่มสักคนแล้วคาดหวังให้เราตกหลุมรักกันง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”

“อย่าคิดมากน่า มองว่าเป็นการค้นคว้าสิ นอนกับหนุ่มสักคนแล้วก็ดึงอะไรสักอย่างมาเขียน ตู้ม ต้าม แล้วก็หนีไปเหมือนในหนังสายลับไง”

“ทานโทษนะ พอดีฉันไม่ใช่สายลับ และอีกอย่าง เราไม่ควรล้อเล่นกับหัวใจคนอื่นด้วย”

“ใครเขาพูดเรื่องหัวใจกัน ใช้แค่ร่างกายก็พอแล้ว”

“จะบ้าเหรอ!” ไรยาอุทานพร้อมหัวเราะ

“คิดไปคิดมา เอาเป็นคนอเมริกันดีกว่า หนุ่มอินโดฯ ค่อนข้างอ่อนไหวง่าย พวกเขาไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของความสัมพันธ์แค่ชั่วคราวหรอก” เอรินพูดต่อพลางปาดแยมลงบนขนมปังปิ้ง

“ว้าว โอเค หยุดเลย!” ไรยาพูด ยังคงหัวเราะอยู่

เอรินมองมือถือของเธอที่ส่งเสียงปี๊บๆ แจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ ครู่ต่อมา เธอคลี่ยิ้มแล้วอ่าน “อากาทักมาขอเบอร์เธอแหละ ฉันควรให้ไหม”

“ได้สิ ให้ไปเลย”

“ฉันว่าเขาชอบเธอ” เอรินบอก ล้อไรยาอีกแล้ว “ทำไมฉันไม่แนะนำเธอสองคนให้รู้จักกันเร็วกว่านี้นะ”

“อ่า จะยังไงก็ช่างเถอะ ฉันไปอาบน้ำดีกว่า” ไรยาพูด พลางลุกขึ้นยืน

“เธอจะออกไปไหน”

“ว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย อาจจะบังเอิญเจออะไรสักอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันได้ ไม่รู้สิ”

ที่จริงแล้วไรยาจวนเจียนจะสิ้นหวังเต็มที เธอไม่รู้จะไปหาแรงบันดาลใจ ไอเดีย หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เธอรู้สึกอยากเขียนจากที่ไหน แต่เธอรู้ว่าการนั่งเฉยๆ ในอพาร์ตเมนต์ไม่ช่วยอะไรแน่ๆ

“ให้ตายเถอะ นักเขียนไม่มีวันหยุดพักผ่อนเลยสินะ ว่าแต่ข้อเท้าเป็นไงบ้าง”

“หายดีแล้ว ไม่เจ็บแล้วล่ะ อยากไปด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ ขอบใจที่ชวน วันนี้ฉันจะนอนเอื่อยอยู่บ้าน เธอไม่อยากเห็นฉันออกไปเดินเล่นทั้งๆ ที่ยังเมาค้างหรอก”

เริ่มต้นเดือนมกราคมในแมนฮัตตันด้วยความอบอุ่นอันเบาบาง อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดองศา ลมไม่แรงเหมือนก่อนหน้านี้และมีแดดอ่อนๆ แม้จะยังมีหิมะตกอยู่ก็ตามที อากาศดีมาก เหมาะสำหรับการเดินเล่นเลย และในบ่ายวันนั้นไรยาเลือกที่จะเดินตัดเข้าไปในเซ็นทรัลพาร์ก เธออยากจะนั่งลง คอยมองและสังเกตผู้คนที่ลานสเก็ตน้ำแข็งโวลแมน บางครั้งไอเดียสำหรับการเขียนก็ผุดขึ้นจากการกระทำง่ายๆ อย่างการเฝ้าสังเกต

ไรยาเดาว่าวันนี้ที่ลานสเก็ตน่าจะคนไม่เยอะเพราะทุกคนคงนอนหลับอยู่บ้านเพื่อเติมพลังหลังจากฉลองวันส่งท้ายปีเก่ากันยันสว่าง แต่กลายเป็นว่าคนเยอะพอสมควร หลายคนคงเสียดายถ้าปล่อยให้วันที่อากาศดีแบบนี้ผ่านไปเฉยๆ

ไรยาเลือกม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนั่งไขว่ห้างลงบนนั้น เสื้อโค้ตติดกระดุมเรียบร้อย มือขวาถือแก้วลาเต้ร้อนของสตาร์บัคส์ที่เธอกะจะค่อยๆ จิบระหว่างซึมซับบรรยากาศรอบตัว นักเขียนคือหนึ่งในอาชีพที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก ในยามที่เขียนเรื่องราวต่างๆ เวลาเขียนจะมีเพียงนักเขียนกับหน้ากระดาษ หรือไม่ก็เครื่องพิมพ์ดีดหรือแล็ปท็อปเท่านั้น ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีช่องว่างให้บุคคลที่สาม ไม่ว่าจะเป็นตอนเสาะหาแรงบันดาลใจหรือตอนที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ไรยาจะทำตัวเป็นคนนอก เป็นเพียงผู้สังเกตที่แยกตัวเองออกจากผู้คนด้วยการสร้างฟองอากาศล่องหนคลุมตัวเองเอาไว้ ถ้าผ้าคลุมล่องหนมีจริง ไรยาจะเป็นคนแรกที่ไปต่อคิวซื้อแน่นอน ไม่ต่างจากที่คนไปต่อคิวซื้อเสื้อผ้าราคาย่อมเยาจากดีไซเนอร์ชื่อดังในสมัยก่อนอย่างคอลเล็กชั่นบัลแมงของเอชแอนด์เอ็ม มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดแล้ว เครื่องมือที่จะช่วยให้เธอสังเกตสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นและแอบฟังได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

การสังเกตของเธอมีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือเปิดหูเปิดตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สองประสาทสัมผัสนี้ตื่นตัวเพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวจากผู้คนรอบตัว อย่างบทสนทนาของคู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตรงหน้า วิธีที่สองซึ่งเป็นวิธีที่เธอกำลังใช้อยู่คือหยิบไอพอดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ใส่หูฟัง และกดเล่นเพลง พลางกวาดสายตามองหาเรื่องราวจากสีหน้าของผู้คนตรงหน้าและรอบๆ ตัวเธอ ระหว่างที่มีดนตรีเป็นซาวนด์แทร็กเปิดคลอ ไรยาจะแต่งเรื่องราวขึ้นในใจ เรื่องราวที่มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ เรื่องราวที่เธอจะเก็บซ่อนรักษาไว้อย่างหวงแหนราวกับเป็นความลับ จนกระทั่งนักอ่านของเธอมีโอกาสได้อ่านในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีต่อมา

อันเดรอา โบเชลลีกับคริส บอตตีขับกล่อมเธอด้วยเพลงเวนไอฟอลอินเลิฟ ไม่มีอะไรจะเหมาะกับเมืองอย่างนิวยอร์กไปกว่าเพลงแจ๊ซ บลูส์ และคลาสสิกอีกแล้ว ดนตรีบรรเลงขึ้นเป็นสัญญาณให้เธอเริ่มสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว ดวงตาของเธอไปสบเข้ากับคุณแม่ที่กำลังเล่นสเก็ตกับลูกสาวสองคนที่ไถวนไปมาอย่างสนุกสนาน คุณพ่อที่กำลังสอนลูกชายเล่นสเก็ตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดูจากสีหน้าแล้ว ไรยาพอจะเดาบทสนทนาระหว่างคุณพ่อกับลูกชายได้เลย ‘เร็วเข้าไอ้หนู ทำได้น่า นั่นแหละ มาเร็ว พ่อจับอยู่’

แล้วสายตาเธอก็เลื่อนไปเห็นคู่รักคู่หนึ่งจับมือกันไถสเก็ต พวกเขาหัวเราะร่าและจุ๊บกันเป็นครั้งคราว ว่ากันว่าปารีสคือเมืองแห่งความรัก แต่สำหรับไรยา นิวยอร์กเหมาะกับฉายานั้นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้ อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้

โอ้ นี่ไงล่ะ! ประโยคเปิดเรื่อง! ไรยาบอกตัวเอง ตาเป็นประกาย เธอหยิบสมุดโน้ตเล็กๆ กับปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตแล้วเริ่มจด

 

‘ว่ากันว่าปารีสคือเมืองแห่งความรัก แต่สำหรับฉัน นิวยอร์กเหมาะกับฉายานั้นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักเมืองนี้ อย่างที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตกหลุมรักในเมืองนี้’

 

เยี่ยม ผ่านไปสองเดือน ในที่สุดก็ได้ประโยคแรก! ไรยาปลื้มปีติจนแทบจะกระโดดไปมาด้วยความเบิกบานใจ ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะ เธอคงทำไปแล้วจริงๆ แต่ถ้ามีใครมองเธออยู่ พวกเขาจะรู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ของเธอเปลี่ยนไป เธอยืดตัวขึ้นและเคาะปากกาลงบนสมุด ตื่นเต้นที่จะหาไอเดียเพิ่ม คิดสิ ไรยา คิด คู่รักที่เธอแอบมองเมื่อครู่ไปยืนพักที่ขอบลานแล้ว ยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลินด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ส่วนคุณพ่อกำลังปลอบลูกชายที่ร้องไห้เพราะลื่นล้ม เสียงหัวเราะและบทสนทนากลืนไปกับผู้คน ขณะที่เธอเลื่อนสายตาไปรอบๆ เซ็นทรัลพาร์ก เธอก็เห็นเขา เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล และถุงเท้าสีเขียวคู่เดิมที่ไรยาเคยเห็นตอนเขานั่งไขว่ห้างเมื่อคืน เจ้าถุงเท้าสีเขียวอันคุ้นหน้าคุ้นตา วันนี้ชายหนุ่มสวมหมวกบีนนี่สีเทาเข้มคลุมผมไว้ด้วย เขานั่งบนม้านั่งคล้ายๆ กับตัวที่ไรยานั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของลานสเก็ต ในมือถือสมุดสเก็ตช์กับดินสอ

พี่ชายไร้ชื่อของอากา

บางสิ่งบางอย่างโน้มน้าวให้ไรยาเก็บไอพอดกับสมุดใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปทางนั้น แต่เธอก็ลังเล เธอไม่อยากรบกวนการปลีกวิเวกของเขาอีกรอบหลังจากบังเอิญเข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อคืน

แต่ไรยาห้ามอาการอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหว เธอยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปหาเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบสังเกตรูปร่างและสีหน้ามุ่งมั่นของเขาขณะวาดรูปลงบนสมุดสเก็ตช์ ชายหนุ่มที่ไรยารู้แค่ว่าเป็นพี่ชายของอากาดูเหมือนจะจมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างที่ไรยาเป็นเวลาเธอแต่งนิยาย เขาถือสมุดสเก็ตช์ไว้ในมือขวาขณะขีดเขียนดินสอลงไปบนหน้ากระดาษด้วยมือซ้าย เบนความสนใจไปยังโลกภายนอกบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อมองวิวรอบตัว

ขณะที่เขาเคลื่อนสายตาไปรอบๆ ตาเขาก็สบเข้ากับไรยา ทำเอาเธอผงะ พลันรู้สึกอายที่โดนจับได้ว่าแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ไรยารีบกลับมาสนใจสมุดในมือและทำเป็นจดอะไรสักอย่าง รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองแดงด้วยความกระดากอาย ไรยาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ลานสเก็ตตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ กลัวว่าจะอดมองไปที่เขาและสบตากันอีกรอบไม่ได้ แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้

“ไงครับ” ร่างนั้นเอ่ยทัก เขายืนห่างออกไปไม่ถึงสามฟุต

ไรยาเงยหน้าขึ้นช้าๆ พี่ชายไร้ชื่อของอากายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองมาที่เธอ “โอ้ สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักการมาถึงอย่างกะทันหันของเขาด้วยความประหม่า

“มาคนเดียวเหรอครับ”

ไรยาพยักหน้า

“ผมนั่งด้วยได้ไหม”

ไรยาพยักหน้า พยายามทำใจร่มๆ ชายหนุ่มนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกันห่างไปสองฟุต เขาเปิดสมุดสเก็ตช์ หยิบดินสอออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ต และดำดิ่งลงสู่โลกของตัวเองอีกครั้งโดยไม่มองหน้าเธอหรือพูดอะไรออกมาอีก

ไรยาพยายามทำให้ตัวเองยุ่งด้วยการโฟกัสไปที่ผู้คนรอบๆ ลานสเก็ตที่ต่างก็มีสไตล์และรสนิยมเป็นของตัวเอง แต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสมุดสเก็ตช์ของเขา เส้นขอบฟ้าจรดตึกเมืองแมนฮัตตันเหนือทั้งคู่ถูกย้ายมาอยู่ในสมุดสเก็ตช์ของเขาอย่างสวยงาม นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงบอกกันว่าลานสเก็ตน้ำแข็งโวลแมนมีหนึ่งในวิวที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก

“ว้าว คุณวาดเก่งมากเลย!” ไรยาพูดออกไปโดยอัตโนมัติ

มันเป็นแค่ภาพร่างด้วยดินสอ แต่เขาเก็บรายละเอียดได้อย่างประณีตงดงาม ทั้งโรงแรมเชอร์รี่เนเธอร์แลนด์ อาคารเจเนอรัลมอเตอร์ส อาคารสควิบบ์ อาคารซีแกรม อาคารโซนี (ที่เคยเป็นอาคารเอทีแอนด์ที) ทรัมป์ทาวเวอร์ โรงแรมพลาซ่า และอาคารโซโลว์

เขาเหลือบมองเธอและยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะวาดต่อ “ขอบคุณครับ คุณชื่อไรยาใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“ริเวอร์” *

“คะ?” ไรยามองไม่เห็นแม่น้ำแถวๆ นี้เลย จะมีก็แต่ทะเลสาบ

“ผมชื่อริเวอร์”

เป็นชื่อที่เท่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาเลย แถมเขายังเป็นผู้ชายที่นิ่งขรึมที่สุดที่เธอเคยเจอ ถ้าเอาตามความหมายตรงตัวก็เย็นชา

ชาวอินโดนีเซียทุกคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมักจะรู้สึกถึงความเป็นญาติมิตรสนิทสนมเวลาเจอคนชาติเดียวกัน แม้จะแค่บังเอิญได้ยินคำพูดภาษาอินโดนีเซียลอยมาในร้านขายของ บนรสบัส บนรถไฟ หรือตามท้องถนนก็ตาม แต่ริเวอร์ไม่เป็นแบบนั้น เขาไม่ต่อบทสนทนากับใคร ไม่แบ่งปันความอบอุ่นอย่างที่คนอื่นทำ ไม่ถามด้วยว่าไรยามาจากไหน ไม่ถามอะไรทั้งนั้น เมื่อคืนก็ไม่ บ่ายนี้ก็ไม่ เขามีแค่ความเงียบ การหมกมุ่นกับภาพวาด และเหมือนจะขังตัวเองอยู่ในความสันโดษแม้เขาจะเป็นคนเดินมาหาไรยาที่ม้านั่งตรงนี้ก็ตาม

ตอนนี้ไรยาเลยพยายามง่วนอยู่กับสมุดและปากกาของตัวเอง เหม่อมองทิวทัศน์ เสาะหาประกายของแรงบันดาลใจ แต่เธอเขียนออกมาไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ทำได้แค่ขยับปากกาไปมาด้วยความกระสับกระส่าย

สิบนาทีต่อมาริเวอร์ก็วาดรูปเสร็จ เขาวางสมุดสเก็ตช์ลงบนตัก ระหว่างที่นั่งอยู่อย่างนั้น เขาก็ถูมือเย็นๆ ของตัวเอง นี่คือแมนฮัตตันในเดือนมกราคม แต่เขาไม่สวมถุงมือ

“ข้อเท้าคุณเป็นยังไงบ้าง” เขาถามขึ้นมา

“หายดีแล้วค่ะ”

“ผมจะไปหากาแฟร้อนดื่มสักหน่อย อยากไปด้วยกันไหมครับ”

ก่อนจะทันได้คิดอะไร ไรยาก็พยักหน้าด้วยความประหลาดใจ และนั่นเป็นบทสนทนาเดียวระหว่างทั้งสองขณะเดินตัดเซ็นทรัลพาร์กไปยังถนน 59 ฝั่งตะวันตก ริเวอร์เป็นคนตัวสูง และถึงจะไม่ได้เดินเร็ว แต่เขาก็ก้าวขายาวมากจนไรยาต้องคอยตามให้ทัน

ริเวอร์เลือกร้านกาแฟเล็กๆ ที่จุได้แค่ยี่สิบคน ทุกโต๊ะถูกจับจองไปหมดแล้ว เว้นแต่โต๊ะตัวข้างหน้าต่างที่มีเก้าอี้สูงเหมือนในบาร์

“นั่งตรงนั้นได้ไหมครับ” ริเวอร์ถาม น้ำเสียงของเขาสุภาพ แทบจะเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ

“ค่ะ ได้เลย”

“คุณอยากดื่มอะไร”

ไรยามองเมนูบนกระดานดำหลังแคชเชียร์ที่เขียนด้วยชอล์กสีขาว อเมริกาโน เอสเพรสโซ มัคคิอาโต คาปูชิโน ลาเต้ และช็อกโกแลตร้อน

“ช็อกโกแลตร้อนก็ได้ค่ะ”

ริเวอร์พยักหน้าก่อนตรงไปยังแคชเชียร์ ขณะที่ไรยาถอดเสื้อโค้ตวางไว้บนตัก แล้วเธอก็ตกหลุมรักร้านนี้ทันที มันเป็นร้านเล็กๆ แต่ให้บรรยากาศผ่อนคลายและอบอุ่น ไม่มีเพลงเปิดคลอ มีแต่เสียงคนพูดคุยกัน เสียงหึ่งๆ จากเครื่องทำกาแฟ และกลิ่นหอมของกาแฟที่โชยฟุ้งในอากาศ แต่ส่วนที่ไรยาชอบที่สุดคือหน้าต่างที่มองออกไปเห็นถนน กรอบหน้าต่างโอบล้อมผู้คนและรถราที่ผ่านไปมา ในตอนนั้นเองไรยาก็นึกภาพออกว่าเธอสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้เป็นชั่วโมงๆ สั่งกาแฟหลายแก้ว ขณะเฝ้ามองชีวิตที่ดำเนินไปตรงหน้า โดยมีสมุดโน้ตกับปากกา หรือแม้กระทั่งแล็ปท็อปไว้พร้อมที่จะแปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นนิรันดร์ในเรื่องราวที่ถูกเขียนออกมา ที่แห่งนี้ทำให้เธออยากย้อนกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

“นี่ครับ” ริเวอร์กลับมาพร้อมแก้วสองใบ แก้วหนึ่งเป็นช็อกโกแลตร้อนของไรยา ส่วนของเขาเป็นอเมริกาโน เขาสาวเท้ากลับไปยังแคชเชียร์แล้วกลับมาพร้อมจานสองใบ รอบนี้เป็นเมนูเดียวกัน แซนด์วิชทูน่าสองชิ้น “ผมคิดว่าคุณน่าจะหิวหลังจากนั่งหนาวอยู่ข้างนอกตั้งนาน”

“โอ้ ขอบคุณค่ะ” ไรยาพูดยิ้มๆ “ฉันติดคุณเท่าไหร่คะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ริเวอร์กล่าว เขานั่งลงข้างเธอแล้วจัดการแซนด์วิชทันที

“คุณคือไรยา ริสจาดใช่ไหมคะ” ชาวอินโดนีเซียสองคนเข้ามาทักไรยาด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น ไรยาหันไปทางพวกเขาแล้วพยักหน้า

“ตายจริง ดีใจจังค่ะที่ได้เจอ! เราชอบนิยายของคุณมากๆ เลย!”

“ใช่แล้ว! เราอ่านนิยายของคุณมาตั้งแต่สมัยอยู่มหา’ลัย ติดงอมแงมเลยค่ะ”

“รู้อะไรไหม เราทำงานและอาศัยอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว และทุกครั้งที่หนังสือคุณออก เราจะขอให้คนที่บ้านส่งมาให้จากอินโดนีเซียตลอดเลย”

ไรยายิ้มขณะมองนักอ่านพูดถึงผลงานของเธอด้วยความกระตือรือร้น เธอเจอแบบนี้มาบ่อยแล้วเวลาได้พบนักอ่านของตัวเอง และไม่ว่าจะเจอกันโดยบังเอิญ เจอที่งานมีตแอนด์กรีต งานเปิดตัวหนังสือ หรืองานอื่นๆ มันก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นเสมอ

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอคุณที่นี่ ที่ที่ไกลจากบ้านขนาดนี้ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าจะขอถ่ายรูปด้วย”

“ได้สิคะ”

นักอ่านทั้งสองกำลังผลัดกันถ่ายรูปกับไรยาตอนที่ริเวอร์เสนอตัวเข้ามาช่วย “ให้ผมถ่ายให้ทั้งสามคนไหม”

“ดีเลยค่ะ!” สองสาวพูดอย่างตื่นเต้นจนไรยาเกือบหลุดขำออกมา

หนึ่งในสองคนนั้นยื่นมือถือให้ริเวอร์ เขาถ่ายรูปให้พวกเธอหลายชอตด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะคืนมือถือแล้วกลับไปนั่งหันหลังอยู่ที่เดิม

“ขอบคุณค่ะคุณแฟนของไรยา” หนึ่งในสองสาวพูดแซวๆ

“ไม่ใช่แฟนค่ะ เขาเป็นเพื่อนฉัน” ไรยารีบแก้การคาดเดาของพวกเธอ แต่ริเวอร์เพียงแค่กินแซนด์วิชต่อเงียบๆ

เพื่อนเหรอ พวกเขาเพิ่งเจอกันเมื่อคืนเอง

“คุณมานิวยอร์กนานแค่ไหนแล้วคะ มาเที่ยวพักผ่อนเหรอ”

“ใช่ค่ะ ฉันมาพักผ่อน ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะอยู่นานแค่ไหน”

“ว้าว ถ้ามีโอกาสเจอกันอีก เราขอลายเซ็นคุณได้ไหมคะ ฉันจะพกหนังสือของคุณไปด้วยทุกที่เลย เราอาจบังเอิญเจอกันอีกรอบก็ได้”

ไรยาพยักหน้าอย่างเป็นมิตร

“คุณจะปล่อยเรื่องใหม่ออกมาเมื่อไหร่เหรอคะ เรารอมาสองปีแล้วนะ! เราไม่อ่านหนังสืออินโดฯ ของคนอื่นเลยนอกจากของคุณ เรารอกันร้อนใจมากเลย”

คำถามแบบนี้ทำเอาไรยารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเพราะเธอไม่ได้เขียนอะไรเลยมาสองปีแล้ว แต่เพราะเจอคำถามนี้บ่อย เธอเลยมีคำตอบเตรียมไว้ “แหม ขอบคุณนะคะ ไม่มีอะไรจะทำให้หัวใจฉันอบอุ่นไปกว่าการได้ยินว่าพวกคุณตั้งตารออ่านนิยายเรื่องต่อไปของฉันอีกแล้วล่ะค่ะ หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรนะคะถ้าต้องรออีกสักหน่อย ฉันกำลังเขียนเรื่องใหม่อยู่ค่ะ”

นักอ่านทั้งสองหวีดร้องด้วยความสุขใจ “เย่! เรารออ่านแน่นอนค่ะ”

พวกเธอคุยกันต่ออีกสองสามนาทีก่อนสองสาวจะออกไปจากร้านกาแฟ พวกเธอโบกมือบ๊ายบายให้ไรยาขณะก้าวเดิน

“คุณเป็นนักเขียน?” ริเวอร์ถามตอนไรยาจิบช็อกโกแลตร้อน เธอพยักหน้า

“ดูเหมือนคุณจะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จนะ ดูจากที่นักอ่านตื่นเต้นขนาดนั้น”

คราวนี้ไรยายิ้มเจื่อนๆ นึกได้ว่าไม่ได้เขียนอะไรมาสองปีแล้ว เธอตัดสินใจตอบเขาไปแบบกลางๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”

ริเวอร์ไม่พูดอะไร เขาตั้งหน้าตั้งตากินแซนด์วิชให้หมด

“คุณวาดรูปมานานหรือยังคะ” ไรยาถามเพื่อทำลายความเงียบ

ริเวอร์พยักหน้า “ตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

“มิน่ารูปของคุณถึงสวยขนาดนั้น” ไรยาพูดออกไปโดยอัตโนมัติ ชมเขาอีกรอบ ในหนังสือเรื่อง ‘เอาต์ไลเออร์ส’ ของมัลคอล์ม แกลดเวลล์ เขาเขียนไว้ว่ากุญแจสำคัญสู่ความชำนาญในสายงานหนึ่งๆ คือการหมั่นฝึกฝนขั้นต่ำหนึ่งหมื่นชั่วโมง นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ริเวอร์มีความสามารถทางศิลปะมากขนาดนี้ ไรยาลองนึกจากการคาดเดาของตัวเองว่าเขาคงฝึกวาดรูปมาหลายพันชั่วโมงตั้งแต่ยังเด็ก หรือไม่ก็อาจเป็นพรสวรรค์ หรือทั้งสองอย่าง

ริเวอร์ตอบกลับคำชมของเธอด้วยรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาเพียงชั่วครู่ “ขอบคุณครับ”

“คุณเป็นนักวาดภาพประกอบหรือเปล่าคะ”

ริเวอร์ส่ายหน้า “ผมเป็นสถาปนิก”

“ว้าว เยี่ยมเลย คุณทำงานที่นี่เหรอคะ”

“ที่จาการ์ตาครับ”

“คุณมาเที่ยวช่วงวันหยุดเหรอคะ”

“ประมาณนั้น”

“เพราะงั้นคุณเลยชอบวาดรูปอาคารสินะคะ”

ริเวอร์พยักหน้า

“คุณออกมาสำรวจเมืองทุกวันเลยหรือเปล่า”

ไรยารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังซักไซ้เขา แต่ริเวอร์ก็ยอมตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่ไรยาอ่านไม่ออก รอบนี้ริเวอร์พยักหน้าเป็นคำตอบ

“คุณจะกลับอินโดนีเซียเมื่อไหร่คะ”

“ผมก็ไม่รู้”

ไรยาแปลกใจกับคำตอบของเขา ในที่สุดพวกเขาก็มีบางสิ่งที่เหมือนกัน ทั้งคู่มา ‘พักผ่อน’ ในเมืองนี้โดยที่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่ เธอสงสัยว่าอะไรคือเหตุผลที่ริเวอร์มา ‘พักผ่อน’ ที่นี่ ทุกคนล้วนมีเหตุผลในการเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเราไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหน หรือจะกลับไหม

ริเวอร์มองแก้วและจานของไรยาที่ว่างเปล่าเหมือนของตัวเอง “ไปกันเลยไหมครับ” เขาพูดอย่างสุภาพพลางลุกจากเก้าอี้ ไรยาสวมเสื้อโค้ตแล้วเดินตามเขาไปที่ประตู

“ผมขอตัวกลับบ้านก่อน ดีใจที่ได้เจอคุณวันนี้นะครับ” ริเวอร์กล่าวลาแล้วรีบหันกายไปจากเธอ

“ริเวอร์”

เขามองเธอ

“พรุ่งนี้คุณจะออกมาสำรวจเมืองอีกไหมคะ ออกมาวาดรูปน่ะ”

ริเวอร์พยักหน้า

“ฉันก็ออกมาสำรวจเมืองทุกวันเหมือนกัน มันเป็นวิธีหาแรงบันดาลใจมาแต่งนิยายน่ะค่ะ ปกติฉันจะออกมาคนเดียว” ไรยามองเขา รู้สึกลังเลที่จะพูดสิ่งที่อยากบอกออกไป แต่ริเวอร์มองเธออยู่แล้ว รอให้เธอพูดต่อ “พรุ่งนี้…คุณอยากสำรวจเมืองด้วยกันไหม”

 

* สะกดว่า ‘River’ ที่แปลว่าแม่น้ำ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: