X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3

ภายในโถงหลัก เรือนส่วนหน้า สาวใช้ก้มหน้ายกน้ำชาเดินเข้ามา ท่านหญิงชิ่งฝูปั้นหน้าเครียด อดทนอยู่นาน แล้วพูดว่า “ฮั่วฮูหยิน การแต่งงานของบุตรสาวบุตรชายไม่ใช่เรื่องเล็ก ท่านคิดดีแล้วหรือ”

ฮั่วเซวียซื่อยิ้ม พูดว่า “ในเมื่อข้ามาพบท่านหญิงที่นี่ก็คงไม่ทำเรื่องที่ไม่มีหัวคิดอะไร คุณหนูใหญ่เป็นสตรีที่ดีมาก ท่านหญิงกับฮูหยินท่านโหวเลี้ยงนางมาได้เป็นอย่างดี ข้าเห็นก็ชอบเช่นกัน แต่เรื่องการแต่งงานของลูกๆ ต้องอาศัยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย เรื่องเช่นนี้ฝืนใจไม่ได้จริงๆ”

ท่านหญิงชิ่งฝูฟังแล้วมีไฟโทสะในใจ ยังพูดว่ายินยอมสองฝ่ายอีกหรือ ถุย! คิดว่าจวนอี๋ชุนโหวของพวกเราอยากจะแต่งกับฮั่วฉางยวนอย่างนั้นรึ!

ท่านหญิงชิ่งฝูบริภาษอยู่ในใจ ที่นางโกรธมิใช่เพราะบุตรสาวภายใต้ชื่อของนางถูกถอนหมั้น แต่เป็นเพราะการหมั้นหมายของเฉิงอวี๋จิ่นก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ยามนี้มาถอนหมั้น ไม่เท่ากับทำให้นางขายหน้าหรือ

ท่านหญิงชิ่งฝูโกรธก็ส่วนโกรธ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าฮั่วฉางยวนเป็นบุตรเขยที่หาได้ยากคนหนึ่ง กวาดตามองไปทั่วเมืองหลวง คุณชายจากตระกูลร่ำรวยที่มีทั้งชื่อเสียงและอำนาจคนอื่นๆ ตอนอายุเท่าฮั่วฉางยวนต่างเพิ่งจะย้ายออกมาจากเรือนส่วนใน รอบิดาอาศัยเส้นสายขอตำแหน่งขุนนางให้อยู่เลย คนอย่างฮั่วฉางยวนที่สร้างผลงานและได้รับแต่งตั้งเป็นโหวมีจำนวนน้อยมากจริงๆ

บิดาของฮั่วฉางยวน จิ้งหย่งโหวผู้เฒ่าตายจากการรบเมื่อรัชศกเจี้ยนอู่ปีที่เก้า ยามนั้นเกิดเรื่องบางอย่างกับสกุลฮั่ว มีคนคาดเดาความคิดของราชเลขาธิการหยางว่าอาศัยเหตุผลที่ซื่อจื่อฮั่วฉางยวนอายุยังน้อย เก็บบรรดาศักดิ์เอาไว้ไม่ยอมให้ฮั่วฉางยวนสืบทอดต่อ ในช่วงเวลานั้นจวนจิ้งหย่งโหวเป็นเปลือกที่ว่างเปล่า มีเพียงป้ายชื่อจวนโหวแต่ไม่มีผู้ควบคุมดูแล ไม่ว่าใครก็มาเหยียบย่ำได้

ฮั่วเซวียซื่อไม่เพียงเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ยังมาเจอคนรังแกเช่นนี้อีก นางกัดฟันไม่ยอมก้มหัว ฝืนเลี้ยงบุตรชายอายุเจ็ดขวบจนเติบใหญ่ โชคดีที่ฮั่วฉางยวนเองก็ใจสู้ เขาอายุครบสิบหกปี ทางสำนักการพระราชวงศ์ยังคงไม่มีทีท่าจะคืนบรรดาศักดิ์ให้สกุลฮั่ว ฮั่วฉางยวนรู้ว่าเขาทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง ดังนั้นจึงไม่สนใจฮั่วเซวียซื่อที่ร้องไห้ใจแทบขาด เข้าสู่สมรภูมิรบตอนอายุสิบเจ็ดปี

บังเอิญในปีเดียวกันนั้นคดีสกุลเซวียที่เก็บเงียบนานหลายปีคลี่คลายลง สกุลฮั่วได้ข่าวนี้จึงลองหยั่งเชิงยื่นฎีกาขอแต่งตั้งไปในวังหลวง แม้จะไม่มีสารตอบกลับ แต่ฎีกาก็ไม่ได้ถูกตีกลับ ฮั่วเซวียซื่อดีใจมาก รู้ว่าเรื่องบุตรชายจะได้บรรดาศักดิ์นั้นมีความหวังเกินครึ่งแล้ว

ฮั่วฉางยวนเองก็เป็นคนมีความสามารถโดดเด่น เขาเป็นทหารได้ปีที่สอง สร้างผลงานไว้ในสนามรบเข้าสู่สายตาของทุกคนอย่างเป็นทางการ จากนั้นเขาก็รบชนะต่อกันหลายศึก ฮ่องเต้ได้ยินข่าวก็ยินดีมาก เรียกพบฮั่วฉางยวนในงานฉลองชัยชนะด้วยตนเอง ฮ่องเต้เห็นฮั่วฉางยวนอายุไม่มากก็แปลกใจ สอบถามเขาว่าเหตุใดจึงมาเป็นทหาร ฮั่วฉางยวนเล่าเรื่องมารดาที่เป็นม่ายอยู่บ้าน ฮ่องเต้ไม่รู้คิดเห็นอย่างไร หลังจากฟังแล้วก็นิ่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายถอนใจแล้วพูดว่า ‘สงสารหัวใจคนเป็นพ่อแม่ รัชทายาทของเราก็หายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ คงจะอายุใกล้กันกับเจ้า’

ฮ่องเต้ถามอายุของฮั่วฉางยวน ยิ่งรู้สึกรันทดใจ ‘เพิ่งจะสิบแปดปี เขาอายุน้อยกว่าเจ้าหนึ่งปี เจ้ายังมีมารดาคอยปกป้องเช่นนี้ ส่วนเขาตัวคนเดียวอยู่ภายนอก ระหกระเหินอยู่ท่ามกลางผู้คน ไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากเพียงใด’

ฮ่องเต้พูดจบก็สะอื้นพูดอะไรไม่ออก ลุกออกจากงานไปก่อน หลังฮ่องเต้จากไปภายในตำหนักเงียบจนได้ยินแม้เสียงเข็มตก สุดท้ายเป็นราชเลขาธิการหยางยกจอกสุรา ทุกคนจึงปรับบรรยากาศให้ดีขึ้นได้อีกครั้ง

เรื่องในวังไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์ แต่หลังจากฮ่องเต้ถามประโยคนั้นจบแล้ว วันรุ่งขึ้นก็มีขุนนางกรมพิธีการมาสอบถามฮั่วฉางยวนเรื่องที่เหตุใดจึงยังไม่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ คนข้างบนเพียงแค่ถามไปหนึ่งประโยค ท่าทีของคนข้างล่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ช้ากรมพิธีการกับสำนักการพระราชวงศ์จึงบอกว่าเจ้าหน้าที่ละเลยหน้าที่ เดือนสิบจึงส่งป้ายเหล็กอักษรชาด* เป็นรางวัลมาให้ฮั่วฉางยวน

อายุสิบแปดปีสืบทอดตำแหน่งโหว ได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ด้วยความสามารถของตนเอง อยู่ในกองทหารก็มีผลงานโดดเด่น ฮั่วฉางยวนมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงทันที จวนจิ้งหย่งโหวก็กลับขึ้นมาเป็นตระกูลขุนนางที่ทรงอำนาจใหม่ภายในเมืองหลวงเช่นกัน

ท่านหญิงชิ่งฝูต่อให้มีใจเอนเอียง แต่เมื่อคิดถึงบรรดาหลานชายในจวน รวมถึงบรรดาลูกหลานบ้านเดิมและบ้านย่าของตนเอง ยังคงยอมรับว่าคนเราไม่เหมือนกัน ฮั่วฉางยวนมีใจสู้มาก ฮั่วเซวียซื่อเลี้ยงบุตรชายคนหนึ่งมาได้ดีเพียงนี้ก็ไม่แปลกที่กล้าอวดดีเช่นนี้

กระนั้นที่ฮั่วเซวียซื่อมาถอนหมั้นนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นเลย อยู่ดีๆ เขาก็มายกเลิกการหมั้นซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจวนจิ้งหย่งโหว แต่ใครใช้ให้นี่คือฮั่วฉางยวนผู้นั้นเล่า ไม่มีเฉิงอวี๋จิ่นก็มีคุณหนูลูกขุนนางที่ดีกว่าแย่งจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว

การแต่งงานของเฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนครั้งนี้ นับตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นสกุลเฉิงที่ได้ประโยชน์ ท่านหญิงชิ่งฝูรู้สึกจัดการได้ยาก จะพูดถึงการถอนหมั้น ทางบ้านพวกเขาย่อมไม่อยากถอน แต่ฮั่วเซวียซื่อมาถึงที่จวนเอง ได้ยินว่าแม้แต่ฮั่วฉางยวนก็มาด้วย หากพวกเขาเป็นตายไม่ยอมปล่อยมือก็คงเสียหน้าเกินไป ท่านหญิงชิ่งฝูในชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร นางแอบโอดครวญในใจ ส่งสาวใช้ไปแจ้งข่าวแก่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงนานแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มาเสียที

ท่านหญิงชิ่งฝูเพิ่งคิดจบก็มีเสียงเดินตึกๆ ดังมาจากข้างนอก ท่านหญิงชิ่งฝูโล่งอก ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านแม่มาแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเดินเข้ามาโดยมีคนประคอง นางสวมเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลปักดิ้นทอง เสื้อตัวในเป็นเสื้อนวมตัวสั้นสีเข้ม คอเสื้อแต่งด้วยขนนุ่มๆ ฮั่วเซวียซื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามาเช่นกัน จำต้องยืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงผู้เฒ่ามาแล้วหรือ”

ฮั่วเซวียซื่อแม้จะยืนขึ้น แต่ไม่ได้นอบน้อมอะไรมาก บุตรชายของนางเป็นท่านโหว นางตอนนี้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยคุณสมบัติแล้วมีฐานะสูงกว่านายหญิงผู้เฒ่าเฉิงที่เป็นฮูหยินอี๋ชุนโหวเสียอีก แต่เห็นแก่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงอายุมาก ฮั่วเซวียซื่อจึงให้เกียรติสกุลเฉิงเท่านั้นเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของฮั่วเซวียซื่อ ในใจก็เคร่งเครียดขึ้น ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนหมั้นหมายกัน ฮั่วเซวียซื่อกับท่านหญิงชิ่งฝูนับเป็นรุ่นเดียวกัน พบฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแล้วต้องคารวะตามธรรมเนียมในบ้าน แต่ในตอนนี้ฮั่วเซวียซื่อเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้ปฏิบัติตัวในฐานะผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า ดูท่าการแต่งงานของหลานสาวคนโตกับฮั่วฉางยวนครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเดินเข้ามาใกล้ บรรดาสาวใช้รีบเข้าไปเปลี่ยนชา ปูผ้ารองใหม่ทั้งหมด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจับไม้เท้าแน่น มีสาวใช้ประคอง ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่

ฮั่วเซวียซื่อเห็นฉากนี้แล้วในใจรู้สึกดูถูกเป็นอย่างมาก คุณหนูรองบ้านพวกเขาทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น คุณหนูใหญ่เห็นผลประโยชน์ยึดผลงานของน้องสาว สตรีที่อบรมสั่งสอนออกมาใช้ไม่ได้เลยสักคน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเอาพลังจากที่ใดมาแสดงบารมีเช่นนี้ต่อหน้านาง

ทว่าพวกนางต่างเป็นสตรีในตระกูลชั้นสูง ปกติสิ่งที่ถือก็คือหน้าตาศักดิ์ศรี ฮั่วเซวียซื่อไม่ได้แสดงการดูถูกในใจออกมาให้เห็น เพียงยิ้มแล้วพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง “ไม่ได้พบนายหญิงผู้เฒ่ามานาน นายหญิงผู้เฒ่าช่วงนี้สุขภาพดีหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสีหน้านิ่งขรึม พูดว่า “ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วที่เป็นห่วง สุขภาพข้ายังแข็งแรงดี”

“ช่วงนี้หนาว อากาศแห้ง นายหญิงผู้เฒ่าต้องระวังอาการร้อนใน”

“ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วที่เตือน” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยิ้มรับคำ นางเปลี่ยนเรื่องพูดไปทันใด พูดว่า “ปีที่ผ่านมานี้ข้าเลอะเลือนขึ้นทุกที ปกติโชคดีที่มีพวกหลานสาวคอยกตัญญู โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ ไม่ใช่ข้าอวดอ้าง คุณหนูใหญ่เป็นเด็กที่ข้าเห็นมาจนโต กฎระเบียบหรืองานฝีมือไม่มีสิ่งใดแย่เลย ฮูหยินที่เคยมาเป็นแขก มีผู้ใดบ้างเห็นหลานสาวคนโตของข้าแล้วไม่เอ่ยปากชม ตั้งแต่นางยังเด็กข้าก็รักนางที่สุด หลายปีมานี้ข้าสุขภาพไม่ค่อยดีแล้วก็รอให้นางมีครอบครัวแน่นอน ทำความปรารถนาในใจให้สำเร็จตอนมีชีวิตอยู่”

ฮั่วเซวียซื่อรอยยิ้มจางๆ พูดว่า “นายหญิงผู้เฒ่าพูดถูก คุณหนูใหญ่เป็นสตรีที่ดีจริงๆ ขนาดข้าหลังจากเป็นม่ายไปไหนมาไหนน้อยมากก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนูใหญ่ แต่เรื่องการแต่งงานของลูกใช่ว่าข้าเห็นดีด้วยก็จะตรงใจได้ ในเมื่อยวนเอ๋อร์ไม่ยินดี เรื่องนี้…ข้าที่เป็นแม่ก็จนปัญญา”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พูดว่า “ตรงใจ อะไรคือเรียกว่าตรงใจ การใช้ชีวิตไม่ใช่การขี่ม้าชมดอกไม้ การแต่งงานเป็นการเชื่อมสัมพันธ์สองสกุล สิ่งที่ถือคือฐานะที่เหมาะสม จะตัดสินด้วยการชอบหรือไม่ชอบชั่วขณะได้อย่างไร คนหนุ่มสาวอารมณ์ร้อน มักจะคิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หากคิดเช่นนี้ย่อมเป็นการรับอนุภรรยา มิใช่การแต่งภรรยา ท่านโหวฮั่ววันนี้ก็มาด้วยใช่หรือไม่ ข้าอยากจะพูดคุยกับเขาเสียหน่อย”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงดูแลงานในตระกูลและจัดการชีวิตแต่งงานมานานหลายปี ไม่ใช่ทำอย่างเล่นๆ พอสีหน้าเคร่งขรึมจะดูน่ากลัวมาก ฮั่วเซวียซื่อถูกบารมีของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกดเอาไว้เช่นกัน ทำได้เพียงหันหน้าไปแล้วพูดว่า “ไปเชิญนายท่านใหญ่มา”

 

ฮั่วฉางยวนวันนี้อยู่ในจวนอี๋ชุนโหวจริง เมื่อวานเขาได้รู้ความจริงในคืนวันหิมะตก ทั้งตกใจและแปลกใจ นอนไม่หลับทั้งคืน รอจนฟ้าสางฮั่วฉางยวนก็ตัดสินใจมาถอนหมั้นที่จวนอี๋ชุนโหว เพื่อแต่งงานกับเทพธิดาในคืนหิมะตกตัวจริงที่ช่วยชีวิตเขาไว้

ฮั่วฉางยวนลุกจากเตียงแล้วก็ไปบอกเรื่องนี้แก่ฮั่วเซวียซื่อ ฮั่วเซวียซื่อแม้จะรู้สึกว่าพูดแล้วคืนคำไม่ดี แต่บุตรชายอยากถอนหมั้น เช่นนั้นก็ถอนไปเถอะ ฮั่วเซวียซื่อไม่พูดพล่ามเปลี่ยนเสื้อผ้ามาที่จวนอี๋ชุนโหวพร้อมกับบุตรชาย

ฮั่วเซวียซื่อเข้าประตูพบนายหญิงดูแลจวน ฮั่วฉางยวนอยู่เรือนส่วนหน้า ตรงไปพบอดีตว่าที่พ่อตา นายท่านเฉิงที่เป็นซื่อจื่ออี๋ชุนโหว

ตอนเช้าตรู่ เฉิงหยวนเสียนนายท่านใหญ่สกุลเฉิงเพิ่งออกมาจากห้องอนุภรรยาคนงาม สติยังไม่กลับออกมาจากดินแดนแห่งความอ่อนโยนก็เห็นว่าที่บุตรเขยของตนเองมาหา ยังมาบอกต่อหน้าว่าจะถอนหมั้นอีก ความตื่นตระหนกตกใจของเฉิงหยวนเสียนมากเพียงไร แค่คิดก็รู้ได้

ตอนที่ฮั่วฉางยวนกับเฉิงหยวนเสียนเดินเข้ามา สีหน้าต่างไม่สู้ดี

ญาติผู้ใหญ่สองฝ่ายล้วนอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรต้องหลบเลี่ยง ฮั่วฉางยวนกับเฉิงหยวนเสียนก็ตรงเข้าไปในห้อง ไปนั่งกับฝ่ายหญิง หลังจากคนในห้องยืนขึ้นเปลี่ยนที่นั่งใหม่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมองหน้าฮั่วฉางยวน ถามเสียงเข้มว่า “ท่านโหวฮั่ว ตามระดับชั้นแล้วแม้ว่าเจ้าจะอยู่ระดับเดียวกับข้า แต่อย่างไรเสียข้าก็อายุมากกว่าเจ้ามาก ข้าขอใช้ฐานะการเป็นญาติผู้ใหญ่ถามเจ้าสักสองสามประโยคได้หรือไม่”

ฮั่วฉางยวนประกบมือพูดว่า “ฮูหยินท่านโหวเชิญได้เลย”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นฮั่วฉางยวนท่าทางไม่อ่อนข้อไม่แข็งกร้าว รุกรับเหมาะสม ในใจก็รู้สึกเสียดาย นางชอบชายหนุ่มรุ่นหลังผู้นี้จริงๆ สามารถเห็นถึงอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด ไม่สามารถใช้การแต่งงานผูกคนผู้นี้ไว้ได้ ช่างน่าเสียดาย

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถามว่า “เจ้าจะถอนหมั้นกับหลานสาวคนโตของข้าจริงหรือ”

ฮั่วฉางยวนหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ขอรับ”

ท่าทีหนักแน่นเช่นนี้ทำให้เฉิงหยวนเสียนฟังแล้วมีไฟโทสะพวยพุ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงใช้สายตาสะกดเฉิงหยวนเสียนเอาไว้ แล้วถามว่า “เพราะเหตุใด”

ฮั่วฉางยวนคิดถึงคืนฤดูหนาวที่เย็นเยือกเข้ากระดูกนั้นขึ้นมา เขาฟื้นขึ้นมาอย่างยากลำบากในวันที่หนาวเหน็บ พอลืมตาขึ้นก็เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งยิ้มให้เขา

เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจน เขาคิดว่าที่แท้คืนนั้นเป็นนางที่ใช้ผิวเนื้อให้ความอบอุ่นแก่เขา สัมผัสที่หอมกรุ่นนุ่มเนียนนั้นราวกับตอนนี้ยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว

ฮั่วฉางยวนคิดว่าชาตินี้หากสามารถแต่งนางเป็นภรรยาได้จะต้องเป็นความสุขชั่วชีวิตของเขาแน่นอน

แต่ฮั่วฉางยวนคิดไม่ถึงว่านางกลับหลอกลวงเขา หญิงที่งดงามเพียงนั้นกลับมีจิตใจเลวร้ายเช่นนี้

ฮั่วฉางยวนดึงความคิดกลับมาตอนนี้อีกครั้ง เขามองดูฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่แววตาแฝงความคาดหวัง ท่านหญิงชิ่งฝูที่ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง รวมถึงเฉิงหยวนเสียนที่แทบจะเข้ามาทุบตีเขาอยู่แล้วก็พูดไปทีละคำอย่างไม่ลังเล “ไม่มีเหตุผล คุณหนูใหญ่จวนของท่านอาจจะดีจริง แต่ไม่เหมาะสมกับข้า”

เฉิงหยวนเสียนครั้งนี้อยากจะถกแขนเสื้อจริงๆ ท่านหญิงชิ่งฝูรีบรั้งตัวเขาไว้ ฮั่วเซวียซื่อลุกขึ้นเช่นกัน ตะโกนว่า “พวกท่านจะทำอะไร!”

ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งดังลอยมาจากประตูโถงหลัก “คำพูดของจิ้งหย่งโหวนี้ ขออภัยที่ข้าไม่อาจเห็นด้วยได้”

ทุกคนหันกลับไปอย่างตกใจ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นผู้มาทีหลังก็ยืนขึ้นกระแทกไม้เท้าอย่างแรง “ยายหนูใหญ่! เจ้ามาทำไม!”

ฮั่วฉางยวนคิดว่าที่เฉิงอวี๋จิ่นพูดว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ คือไม่เห็นด้วยที่พวกเขาจะถอนหมั้นกัน เขารู้สึกระอาใจอย่างมาก พูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว การแต่งงานจะฝืนใจกันไม่ได้ ข้ากับคุณหนูใหญ่จบกันด้วยดีตอนนี้ คุณหนูใหญ่อย่าโวยวายจนทำให้สองฝ่ายขายหน้าเลย”

เฉิงอวี๋จิ่นบนใบหน้ามีรอยยิ้มสง่างาม งดงามไร้ที่ติ เดินสง่าย่างฝีเท้าเบาเข้าประตูมา หลังจากเข้ามาแล้วนางก็ไม่ได้สนใจฮั่วฉางยวน เพียงคารวะผู้อาวุโสในที่นั้นก่อน “อวี๋จิ่นคารวะท่านย่า คารวะท่านพ่อท่านแม่”

ฮั่วฉางยวนไม่เคยถูกเมินเช่นนี้มาก่อน สีหน้าของเขาเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม ใจคิดว่าการถอนหมั้นกับสตรีนางนี้เป็นการหยุดความเสียหายได้ทันเวลามาก เป็นเรื่องถูกต้องที่สุดแล้ว ฮั่วฉางยวนที่สีหน้าไม่ดีถามว่า “คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง จะกล้ามีความเห็นอะไรต่อจิ้งหย่งโหวได้” เฉิงอวี๋จิ่นมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้ม แผ่นหลังยืดตรง ดวงตากระจ่างแจ้งสุกใสราวดวงจันทร์เหนือหุบเหว สูงส่งงดงาม ไม่มีอะไรเทียบได้

ทว่าเมื่อสิ้นเสียงพูดไม่รอให้คนอื่นพูดต่อ เฉิงอวี๋จิ่นก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ทุกเรื่องต้องพูดด้วยเหตุผล ตอนแรกจิ้งหย่งโหวหมดสติ ข้าช่วยท่านจากถ้ำกลางเขามาที่หมู่บ้านกลางเขาของท่านแม่ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง หลังจากได้รับการช่วยเหลือ เป็นท่านที่ตามติดจะมาสู่ขอ อยากจะดองสองสกุลกับจวนอี๋ชุนโหวเอง ข้าเฉิงอวี๋จิ่นไม่เคยบังคับท่าน สกุลเฉิงของข้าก็ไม่เคยขอร้องท่าน นี่เป็นเรื่องที่สอง เพิ่งหมั้นหมายได้สองเดือน รู้กันทั่วเมือง แต่ท่านกลับจะยกเลิกด้วยตนเอง มาถอนหมั้นด้วยตนเองถึงบ้านอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังพูดจาไม่ดีกับญาติผู้ใหญ่ในบ้านข้า นี่เป็นเรื่องที่สาม หนึ่งคือไร้คุณธรรม สองคือไร้สัจจะ สามคือไร้ยางอาย ท่านไม่มีคุณธรรม ไม่รู้จักกตัญญูเช่นนี้ ข้าแม้ยินดีไม่แต่งงานชั่วชีวิตก็อายที่จะแต่งเป็นภรรยาของท่าน วันนี้ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ทุกท่าน ข้าขอพูดกับจิ้งหย่งโหวให้กระจ่าง ข้าเฉิงอวี๋จิ่นไม่พอใจนิสัยของจิ้งหย่งโหว ดังนั้นจึงขอถอนหมั้นกับจิ้งหย่งโหว”

คนในโถงหลักยืนตะลึง ต่างคิดไม่ทันว่าเฉิงอวี๋จิ่นกำลังทำอะไรอยู่ นับจากโบราณมามีเพียงสามีหย่าภรรยา ฝ่ายชายถอนหมั้น มีฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายออกหน้าเองเสียที่ไหน ฮั่วเซวียซื่อตกตะลึงโดยสิ้นเชิง เป็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่ดึงสติคืนมาเร็วที่สุด ในใจแอบชมว่าไม่ได้เลี้ยงอย่างเสียเปล่า เป็นเด็กที่มีสมองคนหนึ่ง ฮั่วฉางยวนตั้งใจจะถอนหมั้น เรื่องนี้ดูแล้วไม่มีวิธีกอบกู้คืนมาได้ เช่นนั้นก็ออกมาพูดด้วยตนเองเสียเลย อย่างไรเสียในด้านคุณธรรมก็ได้เปรียบกว่า ขอเพียงจัดการได้ดี วันหน้าเฉิงอวี๋จิ่นอาจไม่ถึงขั้นแต่งกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อีก

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตัดสินใจแน่วแน่ จึงเปลี่ยนท่าทีในทันที “ช่างเถอะ ในเมื่อบ้านพวกเจ้าหลงทางไม่ยอมตื่น ยืนยันจะทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ เช่นนั้นสกุลเฉิงของข้าก็ไม่กลัวพวกเจ้า ท่านโหวฮั่วทำเรื่องไร้คุณธรรมมากไปจะทำลายตนเอง เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

ท่านหญิงชิ่งฝูกับเฉิงหยวนเสียนยังคิดตามไม่ทัน การด่าท่อยาวเหยียดของเฉิงอวี๋จิ่นนั้นสาแก่ใจมาก คนทั่วไปทะเลาะกันก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แต่ว่า…จะถอนหมั้นจริงหรือ

ฮั่วฉางยวนถูกคำพูดสั่งสอนท่อนยาวของเฉิงอวี๋จิ่นทำให้ตื่นตะลึง รอจนเขาคิดตามทัน ในใจก็โมโหมาก สตรีร้ายกาจเช่นนี้ กล้าหาเรื่องกลับอีกด้วย แต่ฮั่วฉางยวนกลับคิดได้ว่าข้าเป็นบุรุษ จะถือสาสตรีอ่อนแอไม่ได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นพี่สาวของโม่เอ๋อร์ เห็นแก่หน้าของโม่เอ๋อร์ ให้นางชนะในด้านการพูดก็ได้

ฮั่วเซวียซื่อตะลึงงันไปครู่หนึ่ง รอจนคิดตามทันก็หันไปมองเฉิงอวี๋จิ่นด้วยสายตาเคืองโกรธในทันที ฮั่วฉางยวนขวางมารดาเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านแม่ ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูดก่อน ขอเพียงถอนหมั้นได้ก็พอ คุณหนูใหญ่เฉิง ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรี ไม่พูดทะเลาะกับเจ้าในเรื่องนี้ หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด ถอนหมั้นโดยเร็ว”

“จิ้งหย่งโหวดูถูกสตรีเช่นนี้เชียวหรือ” เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ หยิบหนังสือหมั้นหมายออกมา ตั้งใจฉีกเป็นเส้นๆ อย่างช้าๆ ต่อหน้าฮั่วฉางยวน “ผู้ที่ไม่รักษาคำพูดคือท่านโหวฮั่ว หวังว่าท่านจะจำไว้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่ทะเลาะกับข้า แต่เพราะท่านไม่มีเหตุผลในการทะเลาะ”

เฉิงอวี๋จิ่นฉีกหนังสือหมั้นหมายเสร็จก็คลายมือออก เศษทั้งหมดตกลงพื้น เฉิงอวี๋จิ่นมองฮั่วฉางยวนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น คารวะลาผู้อาวุโสไปทีละคน จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป

เฉิงอวี๋จิ่นต่อให้มาด่าคนก็ต้องทำให้ตนเองไม่มีที่ติอะไร เป็นคนที่มีคุณธรรมสูง

ฮั่วฉางยวนมองดูแผ่นหลังนั้น ในตอนนี้ภาพแผ่นหลังของนางยังคงสง่างดงาม ก้าวย่างไม่ยาวไม่สั้น ระยะเท่ากันราวกับคำนวณไว้ ฮั่วฉางยวนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความโกรธในทันที

พวกเฉิงหยวนเสียนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ต่างหันหน้ามองกัน ดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่นาน

ฮั่วฉางยวนไล่ตามเฉิงอวี๋จิ่นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยก้าวย่างอันเป็นระเบียบแต่เชื่องช้านั้น การจะไล่ตามนางง่ายดายอย่างมาก ฮั่วฉางยวนตะโกนเรียกจากด้านหลัง

เฉิงอวี๋จิ่นทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ไปสนใจ

ฮั่วฉางยวนทนไม่ไหว เข้าไปคว้าแขนของเฉิงอวี๋จิ่นเอาไว้ “หยุดนะ!”

เฉิงอวี๋จิ่นทนไม่ไหวเช่นกันหมุนตัวกลับไปตบเขาหนึ่งที “ปล่อยมือ!”

พอเฉิงอวี๋จิ่นลงมือ ฮั่วฉางยวนก็ตกตะลึง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีสตรีใดกล้าตบเขา ทำให้เขาไม่ทันหลบ

น่าเสียดายที่เฉิงอวี๋จิ่นมีแรงจำกัด นางสะบัดมือที่เจ็บอย่างเสียดาย มือตบจนแดง แต่ไม่ได้ทำให้บุรุษสารเลวผู้นี้เปิดเผยโฉมหน้า ไม่เช่นนั้นคงจะทำลายเส้นทางขุนนางของเขาได้ เฉิงอวี๋จิ่นในใจเสียดายมาก

ฮั่วฉางยวนลูบมุมปากของตนเองอย่างไม่กล้าเชื่อ เขาโมโหอย่างมาก แต่โชคดีที่ยังรู้รักษาท่าที ไม่ได้ตบกลับไป เขามองเฉิงอวี๋จิ่นอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ทำไม ตอนนี้ไม่แสร้งทำแล้วหรือ”

“แสร้งทำอะไร ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนอี๋ชุนโหว งามสง่าสงบนิ่ง มีแต่คนชื่นชมมาหลายปี แม้แต่เหยียบมดตายสักตัวก็ไม่กล้า เป็นท่านโหวฮั่วที่เวลาเดินต้องระวังสักนิด ครั้งหน้าถ้าชนก้อนหินเข้าอีก ระวังหน้าจะร้าว ตัดเส้นทางขุนนางอีกครึ่งชีวิตของท่านแน่นอน”

“เจ้า!” ฮั่วฉางยวนโกรธเกรี้ยว เขาขมวดคิ้วมองเฉิงอวี๋จิ่น ไม่กล้าคิดเลยว่าบนโลกนี้ยังมีสตรีเช่นนี้อยู่ด้วย เขาพูดด้วยความกรุ่นโกรธว่า “ใช้วิธีเลวร้ายได้ชื่อเสียงมา เสแสร้งแกล้งทำ สตรีที่เหมือนอสรพิษอย่างเจ้า วันหน้าใครจะแต่งงานด้วย เสียดายหน้าตาอันงดงามของเจ้าแล้ว!”

เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ “ขอบคุณท่านโหวที่เอ่ยชม ท่านโหวคงไม่เคยได้ยิน สตรียิ่งงดงามก็ยิ่งโกหกเก่งใช่หรือไม่ ท่านคิดว่าสตรีทุกคนในโลกนี้เหมือนน้องหญิงโม่ของท่านที่ไร้เดียงสา มีเมตตา อ่อนแอรังแกง่ายอย่างนั้นหรือ”

เฉิงอวี๋จิ่นพูดพลางกลอกตาขาว ไม่ปิดบังการดูถูกที่ตนเองมีต่อฮั่วฉางยวนเลย “เกรงว่าคงไม่ใช่คนโง่กระมัง”

“เจ้า!”

เฉิงอวี๋จิ่นไม่อยากเห็นหน้าคนโง่ผู้นี้อีก นางหันหน้ากลับอย่างเย็นชาก็เห็นคนขบวนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไป

เฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนขวางอยู่ตรงทางเดินเพียงทางเดียวนั้นพอดี ผู้ที่มาหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าฟังอยู่นานเท่าใดแล้ว

เฉิงอวี๋จิ่นแอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว บนใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสง่างามในพริบตา ดวงตามองสำรวจคนในขบวนนั้นอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่เช่นนี้พวกเขามาปรากฏตัวในจวนสกุลเฉิง ข้างกายไม่มีใครนำทาง คิดว่าคงเป็นญาติฝั่งบิดาของสกุลเฉิง คนเดินนำสวมชุดอี้ส่าน* สีแดง สวมเสื้อคลุมสีดำ ห้อยถุงป้ายตำแหน่งที่เอว รูปร่างสูงโปร่ง งามสง่าราวต้นสน

เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีคิดว่าเป็นคนบ้านตนเอง หากเป็นญาติสกุลเฉิง เช่นนั้นการเสียมารยาทเล็กน้อยของนางเมื่อครู่คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้นี้ การคาดเดาเมื่อครู่กลับรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว

ผู้ที่สวมชุดอี้ส่านสีแดงได้เช่นนี้จะต้องเป็นขุนนางในราชสำนัก และระดับขั้นไม่ต่ำอีกด้วย ตอนเช้ามีลมพัด พัดเอาหิมะยามกลางคืนลอยขึ้นมา ปลิวพลิ้วขาวไปทั่ว มองหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจน ทว่าสามารถมั่นใจได้ว่าอายุของเขายังไม่มากนัก

อายุน้อยอยู่ตำแหน่งสูง สกุลเฉิงมีคนเช่นนี้ด้วยหรือ

ผู้ติดตามข้างกายชายหนุ่มกระแอมหนึ่งที ตั้งใจพูดเสียงดังว่า “นายท่านเก้า ท่านโหวผู้เฒ่ายังรอท่านอยู่นะขอรับ”

นายท่านเก้า?

เฉิงอวี๋จิ่นรู้กระจ่างในทันที ที่แท้เป็นเขาเอง! ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะอดทนมาพอแล้ว เขาจึงนำคนค่อยๆ เดินมาใกล้ สายตาไม่ได้มองมาที่ตัวเฉิงอวี๋จิ่นแม้แต่น้อย เฉิงอวี๋จิ่นปกติควบคุมสถานการณ์ได้ดี นางถอยหลังหนึ่งก้าวเปิดทางให้ พลิกข้อมือเล็กน้อยแล้วย่อตัวคารวะด้วยท่าทางที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ “คารวะท่านอาเก้า”

บทที่ 4

เฉิงอวี๋จิ่นถอยหลังเปิดทางเดินให้ ผู้ที่มาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ก้าวเท้าเดินผ่านหน้าเฉิงอวี๋จิ่นไป

เขารูปร่างสูงโปร่งงามสง่า สูงกว่าฮั่วฉางยวนเล็กน้อย คนผู้นี้คิ้วคมตาเป็นประกาย สันจมูกโด่งตรง สองแก้มเป็นเหลี่ยมชัดเจน รูปโฉมโดดเด่นอย่างมาก บนใบหน้าเขาไม่แสดงความรู้สึกใด ตอนที่เดินผ่านเฉิงอวี๋จิ่นและฮั่วฉางยวน ทั้งสองจำต้องถอยหลังหนึ่งก้าว เปิดทางให้แก่คนผู้นี้

ความสง่าที่เป็นธรรมชาติราวกับเกิดมาก็ควรถูกคนหมอบกราบนี้ ดูไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ

เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าสกุลเฉิงมีคนพิเศษมากผู้หนึ่ง ทว่าเขาไม่อยู่ในจวนโหวมาหลายปี ไม่กี่ปีก่อนเหมือนจะถูกย้ายไปเป็นขุนนางนอกเมืองหลวง เฉิงอวี๋จิ่นมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาบางเบามาก

ในอดีตเรื่องนี้ใหญ่โตมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแทบจะโวยวายแตกหักกับท่านโหวผู้เฒ่า ยามนั้นเฉิงอวี๋จิ่นยังจำเรื่องราวไม่ได้ เป็นเพียงเด็กน้อยหนึ่งขวบไม่รู้ความ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจู่ๆ ก็พาเด็กชายห้าหกขวบคนหนึ่งกลับมา บอกว่าเป็นบุตรของตนเองกับเสี่ยวเซวียซื่อ เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไประหกระเหินอยู่ภายนอกนั้นไม่เหมาะสม ดังนั้นท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจึงพากลับมา ให้เขาได้กลับเข้าตระกูลเคารพบรรพชน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงระเบิดอารมณ์ในทันที ดีจริง นางอยู่ในบ้านดูแลทรัพย์สมบัติอย่างยากลำบาก ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับไปเด็ดดอกไม้ใบหญ้านอกบ้าน มีความผูกพันตัดบัวเหลือใยกับอดีตคนรัก อีกทั้งยังเอาลูกนอกสมรสอายุหกขวบคนหนึ่งกลับมาให้นางอีกด้วย

คิดจะเข้าจวนสกุลเฉิงอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

ทว่าครั้งนี้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับตัดสินใจเด็ดขาด เขายืนกรานเปิดหอบรรพชน ใส่ชื่อเด็กไว้ในลำดับวงศ์ตระกูล ตั้งชื่อว่า ‘เฉิงหยวนจิ่ง’ และลำดับในวงศ์ตระกูลเป็นลำดับเก้า

ซึ่งจากลำดับญาติแล้ว เฉิงหยวนจิ่งเป็นท่านอาเก้าของเฉิงอวี๋จิ่น

เรื่องภายหลังเฉิงอวี๋จิ่นพอจำได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงโวยวายอย่างมาก พูดจาโหดร้ายว่าหากท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจะเลี้ยงเสี่ยวเซวียซื่อกับลูกนอกสมรสคนนั้นเอาไว้ นางก็จะพาลูกๆ กลับบ้านเดิม หลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็จะจากไปด้วย ย่อมไม่สามารถหย่าได้ แต่อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เป็นนายหญิงของบ้าน คลอดบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคนให้แก่จวนโหว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่สามารถควบคุมภรรยาได้ ทำได้เพียงสร้างเรือนอีกหลังหนึ่ง เลี้ยงเสี่ยวเซวียซื่อกับเฉิงหยวนจิ่งไว้นอกบ้าน

บุรุษต่อให้เจ้าสามารถยึดส่วนล่างของเขาไว้ได้แต่ก็ยึดใจเขาไว้ไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นว่าขวางไม่อยู่แล้วจริงๆ มั่นใจว่าเสี่ยวเซวียซื่อกับเฉิงหยวนจิ่งไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของนาง จึงลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง เพราะสาเหตุจากฮูหยินผู้เฒ่า สกุลเฉิงจึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงคุณชายเก้า เฉิงอวี๋จิ่นจึงได้รู้จากคำพูดบางอย่างที่หลุดออกมาจากปากท่านหญิงชิ่งฝูเท่านั้น บุตรนอกสมรสผู้นั้นดูเหมือนจะฉลาดมาก อายุสิบหกปีสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ* เพียงแต่ไม่มีใครคอยปูทางให้ เส้นทางขุนนางของเขาจึงไม่นับว่าดีนัก

ตามหลักแล้วบัณฑิตจิ้นซื่อควรจะเข้าสำนักราชบัณฑิต ถึงแม้ตำแหน่งจะไม่โดดเด่น แต่ยังคงอยู่ใต้อาณัติของราชเลขาธิการหยาง เป็นหนทางการเข้าสภาขุนนางในวันข้างหน้า แต่เฉิงหยวนจิ่งกลับไม่มีโชคดีเช่นนี้ เริ่มด้วยเขาได้รับตำแหน่งขุนนางที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กตำแหน่งหนึ่ง ผ่านไปไม่นานก็ถูกย้ายไปประจำนอกเมืองหลวง

ถูกย้ายไปครั้งนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีก จนกระทั่งวันนี้ เฉิงอวี๋จิ่นจู่ๆ กลับได้พบท่านอาเก้าของนางในเรือนส่วนในของจวนตนเอง

ยามเฉิงหยวนจิ่งเดินผ่านเฉิงอวี๋จิ่นไปไม่ได้เหลือบแลสายตามาแม้แต่น้อย เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่ถือสา เพราะว่าเขาก็ไม่ได้สนใจฮั่วฉางยวนเช่นกัน

ฮั่วฉางยวนตอนนี้ก็ตกใจระคนสงสัยเช่นกัน เขาเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนในกองทหาร มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยม เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างมาก แต่ชายผู้นั้นสามารถนำคนจำนวนมากมายืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินโดยที่เขาไม่สังเกตเห็นเลย

ในเวลานี้ฮั่วฉางยวนเหมือนถูกกระทบกระเทือนใจอย่างมาก ความหวาดกลัวในใจเขาเพิ่มมากขึ้น ไม่มีแก่ใจไปสนใจเฉิงอวี๋จิ่น หางตาชำเลืองเห็นเฉิงอวี๋จิ่นเดินจากไป เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก

เขาคงลงมือตบตีสตรีไม่ได้ การตบของเฉิงอวี๋จิ่นฉาดนั้นถือเป็นการชดเชยที่ชื่อเสียงของนางได้รับความเสียหายก็แล้วกัน

เฉิงอวี๋จิ่นเดินผ่านระเบียงทางเดิน ผ่านประตูหลายประตู รอจนคนด้านหลังมองไม่เห็นนางแล้ว นางจึงเอ่ยว่า “ชายหนุ่มเมื่อครู่นั้นคือท่านอาเก้าจริงๆ กระมัง”

“ดูจากสรรพนามที่บ่าวเรียกแล้ว และเขาไม่ได้ปฏิเสธตอนท่านเอ่ยเรียก ย่อมเป็นเขาเจ้าค่ะ”

เฉิงอวี๋จิ่นขมวดคิ้ว พูดพึมพำว่า “ท่านย่าเกลียดเสี่ยวเซวียซื่อที่สุด เขาไร้ข่าวคราวไปสี่ห้าปีแล้ว เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมาวันนี้”

เรื่องภายนอกตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวจะรู้ได้อย่างไร เฉิงอวี๋จิ่นเดินผ่านประตูวงเดือน* ประตูหนึ่ง แล้วพูดกับตนเองว่า “เพียงไม่กี่ปีเขาก็เลื่อนขึ้นถึงขั้นสี่ เร็วเกินไปแล้วกระมัง”

ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวไม่รู้เรื่องในราชสำนัก พวกนางได้ยินแล้วก็สงสัย “คุณหนู เพียงแค่เห็นหน้ากัน ท่านรู้ได้อย่างไรว่านายท่านเก้าอยู่ขั้นสี่เจ้าคะ”

“ตำแหน่งที่ต่ำกว่ากง โหว ราชบุตรเขยถึงขั้นสี่จะสวมชุดสีแดง ขั้นสี่นั้นไม่ต่ำแล้ว ขุนนางขั้นสามในราชสำนักนับไปนับมาก็มีเพียงไม่กี่คน” เฉิงอวี๋จิ่นพูดจบก็ชะงักฝีเท้าทันใด “แย่แล้ว”

พวกนางหยุดอยู่ใต้เหมยแดงต้นหนึ่งพอดี หิมะขาวดอกเหมยแดง เฉิงอวี๋จิ่นสวมเสื้อคลุมกันลมสีแดงสด ยิ่งทำให้หน้าตาพริ้มเพราราวภาพวาด ผิวหน้าขาวกระจ่างใส

“มารดาผู้ให้กำเนิดของเขาคือเสี่ยวเซวียซื่อ แม่ของฮั่วฉางยวนก็แซ่เซวียเช่นกัน” หากดูจากชื่อสกุล ไม่อาจตัดสินฐานะของเสี่ยวเซวียซื่อกับฮั่วเซวียซื่อได้ อย่างไรเสียความเป็นมาของทั้งสองคนนี้ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เฉิงอวี๋จิ่นเคยผ่านช่วงเวลาชาติก่อนในความฝัน นางบังเอิญได้รู้ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องญาติห่างๆ กันจริงๆ

เฉิงอวี๋จิ่นหมุนตัวเดินย้อนกลับทันที เหลียนเชี่ยวกับตู้รั่วมองหน้ากันแล้วรีบไล่ตามไป

 

ในเวลานี้เองเฉิงหยวนจิ่งก้าวเท้าข้ามธรณีประตูที่หรูหราที่สุดในจวนอี๋ชุนโหว ถอดเสื้อคลุมออก บ่าวรับมาแล้วพาดไว้บนเตากำยานละลายเกล็ดหิมะเสื้ออย่างตั้งใจ

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงฝืนลุกจากเตียงคนป่วย รีบเดินสองก้าวไปทางประตู เกือบจะหกล้ม เฉิงหยวนจิ่งตาเร็วมือไวประคองท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเอาไว้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงยังไม่ทันพูดอะไรดวงตาก็มีน้ำรื้นแล้ว

เฉิงหยวนจิ่งเพียงแค่ยกมือขึ้น บ่าวไพร่ก็พากันทยอยเดินออกไป หลังจากภายในห้องไม่มีผู้ใดแล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงยืนขึ้นตัวสั่น งอเข่าจะคารวะเฉิงหยวนจิ่ง “รัชทายาท พระองค์เสด็จกลับมาแล้วหรือ”

เฉิงหยวนจิ่งประคองแขนของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอยากจะคุกเข่าลงหลายครั้งกลับถูกเขาพูดยับยั้งเอาไว้ “ท่านโหว เชิญลุกขึ้นเถอะ”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงฝืนกลั้นน้ำตาไว้ เขาไม่ยอมนั่ง พูดว่า “กระหม่อมจะนั่งเสมอพระองค์ได้อย่างไร นี่ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียม”

“ท่านโหวพูดตลกแล้ว จะมีธรรมเนียมอะไรกัน” เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะ แต่ในดวงตากลับเรียบเฉย “ท่านโหว ตอนนี้ข้าแซ่เฉิง ครั้งหน้าห้ามเรียกเช่นนี้อีก”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรีบรับปาก เขาไม่กล้าขัดความต้องการของเฉิงหยวนจิ่ง นั่งลงตรงข้ามกับเฉิงหยวนจิ่งช้าๆ ทว่าแม้จะนั่งอยู่ แต่ครึ่งตัวของเขากลับดูอ่อนแรง

“กระหม่อมขอบังอาจเรียกพระองค์ว่า ‘จิ่วหลาง’** ก็แล้วกัน”

เฉิงหยวนจิ่งผายมือส่งสัญญาณ “ท่านโหวเชิญตามสบาย”

“จิ่วหลาง ท่านอยู่ข้างนอกสถานการณ์เป็นไปด้วยดี เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมา”

“ได้ยินว่าท่านป่วยหนัก ข้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังจะสบายใจได้อย่างไร อีกอย่างข้าจะหลบอยู่ข้างนอกไปตลอดไม่ได้ ดังนั้นจึงย้ายกลับมาที่เมืองหลวง ปรนนิบัติท่านโหวพักฟื้นอย่างดี วันหน้าจะพักอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงทั้งดีใจและทอดถอนใจ เฉิงหยวนจิ่งแม้จะเป็นโอรสของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียก็เลี้ยงอยู่ภายใต้ชื่อของเขามาหลายปี จะไม่มีความผูกพันได้อย่างไร

ฤดูหนาวปีที่แล้วท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงป่วยหนัก หลังจากนั้นร่างกายก็ไม่เหมือนก่อน ระยะนี้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกตลอดว่าเวลาของเขาใกล้หมดแล้ว เขาย้อนคิดถึงชีวิตของตนเอง เกิดในจวนโหวสูงศักดิ์ ตอนอายุน้อยมีชีวิตดีเยี่ยม แม้จะเจ็บปวดที่เสียคนรัก แต่ตอนอายุสามสิบปีโชคดีได้พบกับคนรักอีกครั้ง ครองคู่กันเป็นเวลานาน บั้นปลายชีวิตยังแบกความหวังของทั้งแคว้นเอาไว้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่มีอะไรให้เสียดายอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจก็คือองค์รัชทายาทที่ปกปิดชื่อแซ่ อยู่ภายนอกตามลำพัง

ดังนั้นวันนี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งกลับมา ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกดีใจอย่างมาก เขาเช็ดน้ำตาที่หางตา กุมมือของเฉิงหยวนจิ่งแล้วพูดว่า “กลับมาก็ดี…กลับมาก็ดี ท่านอยู่พักในเมืองหลวงให้ดี ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็ผ่อนคลายพระทัยลงได้”

เฉิงหยวนจิ่งหยุดนิ่งไปนาน จึงถามว่า “ฝ่าบาท…ระยะนี้พระวรกายดีหรือไม่”

“ฝ่าบาทพระวรกายดีทุกอย่าง แค่เพียงไม่มีท่านอยู่เบื้องพระพักตร์ ทรงได้พบท่านในการสอบเตี้ยนซื่อ* ครั้งนั้นไม่ง่ายนัก เพียงพริบตาท่านก็ไปรับตำแหน่งนอกเมืองแล้ว ฝ่าบาทในพระทัยเป็นห่วง ในงานฉลองชายแดนครั้งก่อน ฝ่าบาททอดพระเนตรชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อายุใกล้กับท่าน ยังสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ด้วย”

พูดถึงฮ่องเต้ เฉิงหยวนจิ่งก็นิ่งเงียบอยู่นาน ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงถอนหายใจ พูดช้าๆ ว่า “จิ่วหลาง กระหม่อมรู้ว่าท่านได้รับความลำบากมากมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับต้องแบกรับชื่อว่าเป็นลูกนอกสมรส ทว่าฝ่าบาทก็มีความทุกข์เช่นกัน ตอนนี้หยางไทเฮายังทรงแข็งแรงอยู่ หยางฝู่เฉิงกุมอำนาจในราชสำนัก ในตำหนักในหยางฮองเฮาประทับอยู่ทุกวัน ฝ่าบาทใช่ว่าจะไม่ทรงอยากรับท่านกลับมา แต่ว่า…ทรงทำไม่ได้”

“ข้ารู้” เฉิงหยวนจิ่งเลื่อนสายตากลับมาแล้วยิ้มอย่างสงบนิ่งและเรียบเฉย “ข้าย่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงผ่านมาอย่างไม่ง่ายนัก ข้าเป็นขุนนางก็ควรแบ่งเบาความไม่สบายพระทัยของพระองค์”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเห็นภาพนี้แล้วในใจมีความรู้สึกเศร้าใจที่พูดไม่ออก เขายังอยากจะพูดปลอบ แต่เห็นสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว เขาก็ยั้งปากไว้ บนใบหน้าของเฉิงหยวนจิ่งไม่ได้แสดงความดุดัน โกรธเกรี้ยว อยู่นอกเมืองมาสามปี เขามีความสุขุมนุ่มลึกยิ่งขึ้น ไม่แสดงความรู้สึกออกมา ทว่าสิ่งนี้ช่วยเสริมบารมีของเขาได้มากขึ้น

ตัดสินใจเด็ดขาด มีความลึกล้ำยากจะคาดเดาได้

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งมีบารมีของคนที่เป็นผู้นำมากขึ้นแล้ว หากนี่เป็นลูกหลานสกุลเฉิงของพวกเขาจริง ต่อให้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงตายไปตอนนี้ก็สบายใจแล้ว น่าเสียดายสกุลเฉิงของพวกเขาจะมีวาสนานี้ได้อย่างไร คนเขามิใช่แซ่เฉิง ชื่อตัวก็ไม่ใช่เฉิงหยวนจิ่ง

เขาคือหลี่เฉิงจิ่ง องค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปสิบสี่ปี

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ความสามารถในการจับคำพูดสังเกตสีหน้ายังคงอยู่ เขาเห็นท่าทางเฉิงหยวนจิ่งไม่อยากพูดถึงฮ่องเต้มากนัก จึงค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องพูด ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเอ่ยว่า “จิ่วหลาง ท่านจากไปครั้งนี้นานสามปี วันเทศกาลก็กลับมาไม่ได้ ฉวยโอกาสตอนนี้เพิ่งกลับเมืองหลวง คำสั่งโยกย้ายของกรมปกครองยังไม่ลงมา ท่านก็พักผ่อนในบ้านให้มากสักสามสี่วันเถอะ ท่านอาจจะยังไม่เคยเห็น เด็กรุ่นหลังหลายคนในสกุลเฉิงต่างเติบโตกันหมดแล้ว”

เฉิงหยวนจิ่งนึกถึงฉากที่ได้เห็นตรงระเบียงทางเดินเมื่อครู่ขึ้นมาทันใด

เขาคิดว่าตนเองอาจจะเคยเห็นมาแล้ว

เฉิงหยวนจิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย พอดีวันนี้ไม่มีงานอะไร จึงถามเพิ่มอีกหลายประโยค “วันนี้ข้าเห็นมีแขกมา เป็นผู้ใดหรือ”

“แขกหรือ” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงสงสัย เขาป่วยหนักพักฟื้นอยู่ ข่าวแขกภายนอกย่อมมาไม่ถึงหูของเขา

เฉิงหยวนจิ่งเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุไม่มาก เป็นคนในกองทัพ”

เฉิงหยวนจิ่งพูดเช่นนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงก็เข้าใจในทันที ผู้ที่เป็นทหารอายุน้อย สามารถมาปรากฏตัวที่เรือนส่วนในของสกุลเฉิงในตอนนี้ได้ จะมีใครได้อีก เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นคือบุตรชายสกุลฮั่วจวนจิ้งหย่งโหว ชื่อว่าฉางยวน ปีที่แล้วหมั้นหมายกับหลานสาวคนโตของท่าน”

“อ้อ” เฉิงหยวนจิ่งมีความสนใจมากขึ้น ในดวงตาของเขาปรากฏรอยยิ้มเป็นประกาย หยุดคิดไปครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ความสัมพันธ์กลับดูไม่ค่อยดีนัก”

“อะไรนะ!” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงตกใจอย่างมาก ในสมองงุนงง หลังจากตามหาเสี่ยวเซวียซื่อเจอ เขาก็สนใจแต่เสี่ยวเซวียซื่อ ภายหลังได้รู้ฐานะของเฉิงหยวนจิ่ง เขาก็ทุ่มเทจิตใจกับวางแผนเพื่อเฉิงหยวนจิ่ง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงสนใจบรรดาหลานชายหลานสาวในเรือนส่วนในน้อยมาก…หรือเรียกได้ว่าไม่เคยสนใจเลย

แต่อย่างไรเสียเขาก็รู้ว่าบุตรสาวคนโตของบ้านรองถูกยกให้เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของสะใภ้ใหญ่ หลายปีมานี้เป็นเด็กเชื่อฟังรู้ความ กตัญญูอย่างมาก แม้ว่าเขากับเฉิงอวี๋จิ่นจะไม่มีความผูกพันกันเท่าใดนัก แต่ด้วยฐานะญาติผู้ใหญ่ย่อมหวังว่าหลานสาวจะมีชีวิตที่ดี ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นหมั้นหมายกับฮั่วฉางยวน เขายังรู้สึกเบิกบานใจแทนนางอยู่พักหนึ่ง

แต่เพิ่งผ่านไปเพียงสองเดือน หรือจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่ค่อยสอบถามเรื่องราวในบ้าน แต่ในด้านนี้มีความมั่นใจอย่างมาก จึงพูดว่า “หลานสาวคนโตของท่านเป็นคนเชื่อฟังรู้ความที่สุดแล้ว คงเป็นเจ้าหนุ่มสกุลฮั่วทำไม่ถูก ทำให้นางเจ็บช้ำใจ”

เฉิงอวี๋จิ่นเจ็บช้ำใจ? ดูไม่ค่อยเหมือนนัก

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่ได้สังเกตสีหน้าประหลาดใจของเฉิงหยวนจิ่ง พร่ำบ่นต่อไปว่า “วันหน้าค่อยเรียกเจ้าใหญ่เข้ามาสอบถามดู เขาก็อายุมากแล้ว ดูสิว่าเป็นพ่อประเภทไหน จริงสิ จิ่วหลาง ฮั่วฉางยวนกับท่านก็มีความเกี่ยวพันด้วยเช่นกัน”

เฉิงหยวนจิ่งรู้สึกแปลกใจ เขาเลิกคิ้วขึ้น “อย่างนั้นหรือ”

“แม่ของฮั่วฉางยวนแซ่เซวียเช่นเดียวกัน เป็นพี่น้องห่างๆ กับเสวี่ยหลัน”

เรื่องนี้เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้จริงๆ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอธิบายว่า “ในตอนนั้นบ้านของเสวี่ยหลันได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ถูกเนรเทศออกไปทั้งบ้าน บ้านเกิดของฮั่วเซวียซื่ออยู่ไกล กอปรกับโทษนี้มาไม่ถึงหญิงที่แต่งออก จึงถูกปล่อยไป”

‘เสวี่ยหลัน’ เป็นชื่อของ ‘เสี่ยวเซวียซื่อ’ เฉิงหยวนจิ่งถูกรับมาที่เมืองหลวง เสี่ยวเซวียซื่อเป็นผู้เลี้ยงดู ในด้านความหมายบางอย่าง เสี่ยวเซวียซื่อก็ถือเป็นมารดาที่เลี้ยงดูเขา

เฉิงหยวนจิ่งพยักหน้า ดูท่าเขาย้ายเข้าเมืองหลวงมา จำเป็นต้องตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของแต่ละจวนให้ดีแล้ว

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกับเฉิงหยวนจิ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ บ่าวที่อยู่ข้างนอกเพิ่มน้ำหนักฝีเท้ามาแต่ไกล ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกับเฉิงหยวนจิ่งจึงหยุดการสนทนาลง

คนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูคารวะ “ท่านโหว นายท่านเก้า คุณหนูใหญ่มาเยี่ยมคารวะขอรับ”

เยี่ยมคารวะ? เฉิงหยวนจิ่งส่ายหน้าฉีกยิ้ม รู้สึกมากขึ้นว่าหลานสาวคนนี้น่าสนใจ นางไม่วางใจในตัวเขาถึงขั้นนี้ เพิ่งผ่านไปไม่นานก็ไล่ตามมาเสียแล้ว

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ปกติเข้าไม่ได้ให้เด็กรุ่นหลังมาเยี่ยมคารวะ มีเพียงวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าเหล่าบุตรชายหลานชายจะมาหาเป็นพิธี หลานสาวในหนึ่งปีได้เจอหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง เหตุใดเฉิงอวี๋จิ่นจึงคิดอยากจะมาเยี่ยมคารวะเขา

ท่านโหวผู้เฒ่ามองเฉิงหยวนจิ่งเป็นเชิงถาม

เฉิงหยวนจิ่งยิ้มพยักหน้า พูดว่า “เชิญคุณหนูใหญ่เข้ามาเถอะ”

 

เชิงอรรถ

* ป้ายเหล็กอักษรชาด ชาวจีนทั่วไปรู้จักในนาม ‘ป้ายทองเว้นโทษตาย’ บ้างเป็นแผ่นโค้งอย่างกระเบื้อง บ้างเป็นทรงคล้ายปล้องไผ่ผ่าครึ่ง เป็นของที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ผู้มีคุณูปการแก่บ้านเมือง

* ชุดอี้ส่าน เป็นชุดขุนนางแบบหนึ่งแขนยาวกระโปรงจีบ เป็นชุดที่ชาวมองโกเลียคิดขึ้น แต่ยุคที่ใช้มากที่สุดคือยุคราชวงศ์หมิง

* จิ้นซื่อ เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบรับราชการผ่านในระดับหน้าพระที่นั่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณของจีน (เคอจวี่) จะสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับท้องถิ่น (อำเภอหรือจังหวัด) เรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อและได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเลือกเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามลำดับคะแนนจากมากที่สุด ได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา

* ประตูวงเดือน คือประตูที่เจาะเป็นรูปวงกลม

** หลาง เป็นคำที่ใช้เรียกบุรุษ ใช้ในหลายกรณี เช่น ภรรยาเรียกสามี บ่าวเรียกเจ้านาย ในที่นี้ ‘จิ่วหลาง’ หมายถึงบุตรชายลำดับที่เก้าของสกุล

* การสอบเตี้ยนซื่อ คือการสอบขุนนางหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเป็นการสอบระดับสูงสุดในการสอบขุนนางจีนในสมัยโบราณ ผู้ที่สอบได้เป็นบัณฑิตเอกสามขั้น (จิ้นซื่อ) เรียงตามลำดับคะแนน ได้แก่ บัณฑิตเอกขั้นหนึ่ง เรียกว่า ‘บัณฑิตจิ้นซื่อระดับสูง’ มีสามคน เรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา บัณฑิตเอกขั้นสอง เรียกว่า ‘บัณฑิตจิ้นซื่อระดับรอง’ และบัณฑิตเอกขั้นสาม เรียกว่า ‘บัณฑิตถงจิ้นซื่อ’

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: