X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงหมอเทวดา

ทดลองอ่าน ยอดหญิงหมอเทวดา บทที่ 1 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 1

 

ยามดึกสงัด ท้องฟ้าดำเข้มดุจสีหมึกปราศจากแสงดาว

หลังงานเลี้ยงฉลอง จวนจ้วงหยวน*จมอยู่ในความมืดอันเงียบงัน สรรพสิ่งไร้เสียง

แสงไฟดวงเล็กลอยวับแวมไปมาอยู่กลางอากาศเหมือนลูกไฟเรืองแสงที่คอยนำทาง สี่เชวี่ยยกถาดไม้แดงก้าวออกจากห้องครัว หันไปมองเรือนไผ่หยกที่ยังคงสว่างไสวและเต็มไปด้วยความครื้นเครงแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวเดินไปยังเรือนเกล็ดน้ำค้าง

“พี่สี่เชวี่ยกลับมาแล้ว…” สาวใช้ฟู่กุ้ยรีบเดินออกมารับถาดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง” สี่เชวี่ยถามขึ้น

“เงียบตลอดเลย…” ดวงตาของฟู่กุ้ยฉายแววประหลาดใจ เพราะนายหญิงใหญ่ของตนไม่ได้ร้องไห้โวยวายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

วันนี้เป็นวันดีที่นายท่านเสิ่นจงชิ่งรับอนุภรรยา

อนุภรรยาคนที่ห้านี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ นามเดิมของนางคือฉู่ซินอี๋ เป็นบุตรสาวของราชอาลักษณ์ฉู่เซิงแห่งสำนักราชบัณฑิต นางยอมลดตัวมาเป็นอนุภรรยาเพราะรักปักใจกับเสิ่นจงชิ่งมาตลอด นางเป็นคนรู้ใจของเสิ่นจงชิ่งตั้งแต่ก่อนเขาสอบได้จ้วงหยวน สองฝ่ายผูกสมัครรักใคร่ เดิมทีเสิ่นจงชิ่งให้สัญญาว่าจะหมั้นหมายและแต่งนางเป็นเอกภรรยา น่าเสียดายที่ถูกนายหญิงใหญ่โผล่มาคั่นกลางกะทันหันเสียก่อน ด้วยเกรงว่าจะผิดต่อฉู่ซินอี๋ เสิ่นจงชิ่งจึงเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์ครั้งนั้นลงเสียเอง

ทว่าฉู่ซินอี๋กลับรักมั่นผูกพัน นางเฝ้ารออย่างมั่นคงมาตลอดสองปี จวบจนตระกูลของนายหญิงใหญ่สูญเสียอำนาจ เสิ่นจงชิ่งถึงได้รับนางมาเป็นอนุอย่างเอิกเกริก

แม้จะเป็นการรับอนุภรรยา แต่นอกจากชุดเจ้าสาวที่ไม่ใช่สีแดงสดแล้ว พิธีการอย่างอื่นล้วนไม่ต่างจากการแต่งภรรยาเอก การทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการตบหน้านายหญิงใหญ่ของจวนจ้วงหยวนต่อหน้าผู้คนมากมาย ด้วยนิสัยของนายหญิงใหญ่แล้ว นางไม่อาละวาดนี่สิแปลก

สี่เชวี่ยคิดได้ดังนั้นก็ทอดถอนใจ ก่อนจะสั่งฟู่กุ้ยให้ลงกลอนประตูชั้นนอกแล้วย่างเท้าเข้าไปด้านในทันที

“โจ๊กรังนกที่นายหญิงสั่งตุ๋นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยเคาะประตูห้องนอนของนายหญิงใหญ่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขลาดกลัว เห็นได้ว่านางเองก็ขยาดเจ้านายผู้มีนิสัยดุร้ายเผด็จการคนนี้อย่างยิ่ง

รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยจึงผลักประตูและก้าวเข้าไป “นายหญิงนอนแล้วหรือเจ้าคะ”

ความเงียบและนิ่งสนิทเหมือนอยู่ในแดนปรโลกนี้ทำเอาสี่เชวี่ยหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ รู้สึกว่าขนลุกซู่ขณะเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ท่ามกลางความมืด เงาคนผู้หนึ่งแขวนนิ่งอยู่กลางอากาศ

‘เพล้ง!’ เสียงของแตกบาดหูแหวกผ่านราตรี ทำลายความเงียบสนิทประดุจสุสานโบราณในจวนจ้วงหยวนลงทันใด

“แย่แล้ว! นายหญิงฆ่าตัวตายอีกแล้ว!” พอได้สติสี่เชวี่ยก็วิ่งออกไปข้างนอก

เสียงเปิดปิดหน้าต่างดังสนั่นระลอกหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น จวนจ้วงหยวนก็คืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงร้องแหลมเหมือนหมูถูกเชือดของสี่เชวี่ยดังสะท้อนอยู่ท่ามกลางความมืด เนิ่นนานก็ยังไม่จางหายไป

“ข้าว่าอยู่แล้วเชียว นายท่านแต่งอนุคนที่ห้าด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยา นางจะไม่อาละวาดได้อย่างไร” อี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิงอนุภรรยาคนแรกรับน้ำชาที่สาวใช้ตู้เจวียนส่งให้ ก่อนจิบน้อยๆ พลางยิ้มหยัน “แต่ไม่รู้คราวนี้นายท่านจะถูกนางหลอกให้ไปหาอีกหรือไม่”

คิดถึงคืนแต่งงานของตนเองที่นายหญิงใหญ่ใช้ลูกไม้แขวนคอตายยึดตัวเจ้าบ่าวไปแล้ว นัยน์ตาของอี๋เหนียงใหญ่สะท้อนแววเหยียดหยันขึ้นวูบหนึ่ง ช่างเป็นสตรีที่ไม่รู้จักหนักเบาเสียเลย ตระกูลบิดามารดาหมดอำนาจไปแล้ว นางยังกล้าอาละวาดเช่นนี้อีก!

“ตระกูลเสนาบดีเจินถูกริบทรัพย์สินและประหารชีวิตแล้ว หากไม่เพราะมีราชโองการพระราชทานสมรสของอดีตฮ่องเต้อยู่ ป่านนี้นายหญิงใหญ่คงถูกประหารไปแล้วเช่นกันนะเจ้าคะ” ตู้เจวียนหัวเราะพลางยิ้มหยันตามเจ้านายตน “ตอนนี้ถึงนางจะตาย นายท่านก็ไม่กลัวจวนจ้วงหยวนจะมีความผิดหรอก อาจจะอยากให้นางตายเสียด้วยซ้ำ จะได้ยกตำแหน่งให้คนผู้นั้น” ตู้เจวียนชูนิ้วออกมาห้านิ้ว เป็นที่รู้กันว่าหากนายหญิงใหญ่ตาย อี๋เหนียงห้าในเรือนไผ่หยกที่เพิ่งแต่งเข้ามาจะต้องถูกยกขึ้นเป็นภรรยาเอกแน่นอน “อี๋เหนียงไม่เห็นหรือเจ้าคะ ไม่ว่าสี่เชวี่ยจะแหกปากร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีคนในจวนไปชมความครึกครื้นที่เรือนเกล็ดน้ำค้างเลยสักคน”

เสนาบดีเจินนามว่าเจินซีถิง ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอากร นายหญิงใหญ่ของจวนจ้วงหยวนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของเขา สองปีก่อนพึงใจในตัวเสิ่นจงชิ่งที่แสดงความสามารถโดดเด่นเกินใครในสนามสอบจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ นางอาศัยบิดาวางแผนเชิญเขามางานเลี้ยงที่บ้าน จากนั้นทำให้เขาเข้าห้องผิดจนเห็นสาวงามกำลังอาบน้ำอยู่ บีบให้เขาต้องแต่งงานกับนางเพื่อแสดงความรับผิดชอบ

ด้วยรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด หลังแต่งงานเสิ่นจงชิ่งจึงตั้งใจเป็นสามีที่ดี แต่เจินสือเหนียงผู้นี้หาใช่คนอ่อนโยนว่าง่าย ด้วยถือว่าพ่อแม่ตนมีอำนาจ จึงดูแคลนบ้านสามีที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ถึงขั้นยกตนข่มแม่สามี

ดังนั้นเสิ่นจงชิ่งจึงแต่งอนุเข้าบ้านคนแล้วคนเล่า แค่เวลาสองปีเขาก็มีอนุถึงสี่คน บวกกับวันนี้อีกคนเป็นห้าคนแล้ว

ย้อนคิดถึงทุกครั้งที่นายท่านแต่งอนุ นายหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นต้องเล่นละครผูกคอตายเรียกร้องความสนใจ ทำเอาจวนจ้วงหยวนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสองสามเดือน หยางอี๋เหนียงพลันยิ้มอย่างรู้ทัน โบกมือขัดเสียงพูดเจื้อยแจ้วของตู้เจวียนและเอ่ยว่า “เจ้าไปดูซิว่านายท่านไปหรือเปล่า” นางกล่าวพลางเอามือลูบหน้าท้องตนเองเบาๆ และภาวนาในใจ อมิตาภพุทธ ขอให้นางรีบๆ ตายไปซะเถอะ ลูกของข้าจะได้ปลอดภัย

 

ในเรือนของอนุภรรยาลำดับที่สามหม่ารุ่ยชิว อนุภรรยาลำดับที่สองหลี่ไฉ่เซียงกับอนุภรรยาลำดับที่สี่ฟู่ซิ่วกำลังแทะเมล็ดแตงกันอยู่

“นอกจากแขวนคอตาย นางคิดลูกไม้ใหม่ๆ ไม่ออกแล้วหรือไร” หลี่อี๋เหนียงถุยเปลือกเมล็ดแตงลงบนพื้น “น่าเสียดายที่อนุที่แต่งเข้ามาวันนี้หาใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน!” ฉู่ซินอี๋ไม่เหมือนพวกนางที่จะยอมปล่อยให้เจินสือเหนียงรังแกได้ตามใจชอบ

ฟู่อี๋เหนียงหัวเราะขึ้น “ประหลาดจริง นางแขวนคอตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมยังไม่ตายเสียทีนะ” เห็นอี๋เหนียงสามนั่งหน้าซีดไม่พูดจาอยู่ตรงนั้นก็ปลอบโยนว่า “พี่สาววางใจเถอะ วันนี้นางเจอศัตรูเสียแล้วล่ะ คราวนี้พี่สาวไม่ต้องขอร้องย่อมมีคนช่วยระบายความแค้นแทนท่านแน่” ก่อนนางจะเหลือบมองประตูแล้วกดเสียงให้เบาลง “เมื่อวานข้าได้ยินบ่าวเรือนเกล็ดน้ำค้างบอกว่านายหญิงใหญ่รู้แต่แรกแล้วว่าพี่สาวตั้งท้อง ถึงได้จงใจลงโทษท่าน”

ห้าวันก่อนหม่าอี๋เหนียงล่วงเกินนายหญิงใหญ่เข้าและถูกทำโทษให้ยืนหน้าเรือนเกล็ดน้ำค้างหนึ่งวัน พอนางกลับเรือนก็ปวดท้องอย่างรุนแรง ตามหมอมาดูพบว่าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว เสิ่นจงชิ่งมาเฝ้านางด้วยตนเองหนึ่งคืน แต่สุดท้ายก็รักษาเด็กไว้ไม่ได้

“พี่สาวก็ช่างโง่เหลือเกิน ร่างกายผิดปกติก็น่าจะขอให้นายท่านตามหมอมาตรวจดู” ฟู่อี๋เหนียงยังพูดไม่จบ เห็นหม่าอี๋เหนียงนิ่วหน้าจึงหุบปาก ในใจนึกมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ ท่านคิดว่าไม่พูดออกไปแล้วจะรักษาเด็กเอาไว้ได้หรือ ถุย! ฝันหวานไปเถอะ! หากนายหญิงใหญ่ผู้นั้นยังไม่ตั้งครรภ์ บ้านนี้ใครก็อย่าคิดจะมีลูกก่อนนางเลย!

เห็นแววสะใจในตาอีกฝ่าย หม่าอี๋เหนียงก็แค่นเสียงพูดขึ้น “ทุกคนอย่าด่วนดีใจไปเลย ระวังจะตายโดยไม่รู้ตัว!”

“น้องสาวพูดอะไรกัน อยู่ดีๆ จะตายได้อย่างไร” หลี่อี๋เหนียงโยนเมล็ดแตงในมือลงในจาน ถูมือพลางทำท่าจะลุกขึ้น

เสียงของหม่าอี๋เหนียงลอยมาว่า “นายหญิงใหญ่จะพยายามเรียกร้องความสนใจเท่าไร นายท่านก็ไม่มีทางชมชอบนาง แต่คนนี้…” นางชูนิ้วทั้งห้าขึ้น “ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์กับนายท่านตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว พวกท่านก็เห็นแล้วนี่ พวกเราพี่น้องคนไหนบ้างที่ได้แต่งเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกเหมือนนาง”

ในห้องพลันเงียบกริบ

ครู่ใหญ่หลี่อี๋เหนียงจึงผลักชิงเหมยสาวใช้ประจำตัว พลางกล่าว “ไปดูที่เรือนเกล็ดน้ำค้างหน่อยซิ นายท่านไปที่นั่นหรือไม่”

ในใจนางพลันนึกเกรงว่าเพราะก่อเรื่องเรียกร้องความสนใจบ่อยครั้ง สุดท้ายพอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ จึงไม่มีใครเชื่อ

 

ได้ยินเสียงสาวใช้ร้องโหวกเหวกอยู่ข้างนอก เสิ่นจงชิ่งในห้องหอที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงกลับแค่เพียงแค่นยิ้ม ไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ก่อนเขาจะหยิบไม้คันชั่งบนโต๊ะมาเปิดผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นดวงหน้างดงามชนิดที่จันทราบุปผายังต้องเอียงอาย

“นายท่าน…” ฉู่ซินอี๋ร้องเรียกเสียงหวาน

“อี๋เอ๋อร์…” เสิ่นจงชิ่งทอดสายตาอ่อนโยนมองคนงามตรงหน้า “เจินสือเหนียงเป็นภรรยาที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ ข้ามิอาจหย่านาง จึงต้องให้อี๋เอ๋อร์เป็นอนุ ลำบากเจ้าแล้ว”

ฉู่ซินอี๋สองแก้มแดงระเรื่อ “ต่อให้ไร้ฐานะไร้ตำแหน่ง แต่ขอเพียงได้อยู่กับนายท่าน อี๋เอ๋อร์ก็ดีใจแล้ว อี๋เอ๋อร์ไม่ลำบากใจเลย” น้ำเสียงหวานนุ่มเจือแววขลาดกลัวทำเอาหัวใจของเสิ่นจงชิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้พบความอ่อนโยนเยี่ยงนี้

เปรียบเทียบกับความหยาบกระด้างของเจินสือเหนียงแล้ว ยามเผชิญหน้ากับคนงามที่เข้าอกเข้าใจเขาเช่นนี้ เสิ่นจงชิ่งก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อนาง เขายื่นมือไปเกี่ยวปอยผมนุ่มที่ระอยู่บนหน้าผากของฉู่ซินอี๋อย่างแผ่วเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่หาได้ยาก “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ แม้มิอาจให้ฐานะและตำแหน่งกับเจ้า แต่ในใจข้าอี๋เอ๋อร์ก็คือภรรยาเอก ท่านแม่ร่างกายไม่แข็งแรง อยากจะพักผ่อนนานแล้ว แต่นี้ไปธุระทั้งหมดในจวนจ้วงหยวนยกให้อี๋เอ๋อร์เป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

แค่คำพูดเดียวของเขา นับแต่นี้ไปนางย่อมกลายเป็นประมุขหญิงที่แท้จริงของจวนจ้วงหยวน

ฉู่ซินอี๋หัวใจเต้นรัว ทว่าใบหน้ากลับดูอ่อนหวานบอบบางกว่าเดิม นางทำท่าตกใจเหมือนคาดคิดไม่ถึง “แบบนี้…แบบนี้จะได้อย่างไร ไม่พูดถึงเรื่องที่อี๋เอ๋อร์ยังมีพี่สาวอีกสี่คน แค่เรื่องที่นายท่านยังมีภรรยาเอกอยู่ อี๋เอ๋อร์ก็ไม่ควรคิดฟุ้งซ่านแล้ว” นางมองเขาอย่างซื่อๆ “อี๋เอ๋อร์ไม่อยากให้นายท่านวางตัวลำบากเพราะอี๋เอ๋อร์และถูกผู้คนชี้หน้าเยาะหยัน อี๋เอ๋อร์ไม่กลัวความลำบาก ความทุกข์แค่ไหนก็ทนได้ ขอเพียงนายท่านสบายใจ อี๋เอ๋อร์ก็มีความสุขแล้ว”

ไม่ต้องการตำแหน่ง ไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ขอเพียงเขาสบายใจ นางก็พอใจ

ฟังคำพูดนี้แล้ว หัวใจของเสิ่นจงชิ่งบังเกิดความรักใคร่ทะนุถนอมแก่นางมากขึ้นไปอีก เมื่อหวนคิดถึงอุบายร้ายกาจตลอดสองปีที่ผ่านมาของเจินสือเหนียงแล้ว เขาก็พลันทอดถอนใจและเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฝ่ายผิดต่ออี๋เอ๋อร์ อี๋เอ๋อร์อย่า…”

ขณะกำลังพูด เสียงโหวกเหวกก็ดังมาจากข้างนอก “นายหญิงไม่หายใจแล้วจริงๆ พี่ชุนหงได้โปรดให้บ่าวเข้าไปรายงานนายท่านด้วยเถิด” เป็นสี่เชวี่ยที่จากไปและกลับมาใหม่ นางออกแรงผลักชุนหงชุนหลันที่ขวางตนเองไว้ ตะเบ็งเสียงตะโกนเข้าไปบอกสองบ่าวสาวในห้องหอที่คลอเคลียกันอยู่ “นายท่านโปรดเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยา ไปดูนายหญิงสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ป้าหวังบอกว่าคราวนี้นายหญิงหมดทางรอดแล้วจริงๆ!” นางคุกเข่าลงกับพื้น “บ่าวโขกศีรษะให้ท่านแล้ว!” เสียงร้องโหยหวนเจือแววหวาดหวั่นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ก่อนเวลานายหญิงฆ่าตัวตายจะสั่งให้สี่เชวี่ยเฝ้าประตูไว้ พอนายท่านเข้ามาอีกฝ่ายถึงจะยื่นคอเข้าไปในเชือก แต่คราวนี้นายหญิงกลับกันนางออกไปก่อน เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ

นางมาไม้นี้อีกแล้ว!

ครั้นได้ยินคำว่า ‘นายหญิง’ ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งก็เขียวคล้ำ กำลังจะสั่งให้คนไล่สี่เชวี่ยออกไป แต่ฉู่ซินอี๋กลับกุมมือเขาเบาๆ “นายท่านไปดูสักหน่อยเถอะ”

เสิ่นจงชิ่งแค่นเสียงเย็นชา “นางแขวนคอตายหาใช่ครั้งแรก ก็แค่ใช้ลูกไม้เดิมมาข่มขู่ข้าเท่านั้นแหละ”

พวกเขาเป็นคู่สมรสพระราชทาน อดีตฮ่องเต้เป็นผู้จัดการการสมรสครั้งนั้น หากนางฆ่าตัวตายในจวนจ้วงหยวนของเขาจริงก็เท่ากับฉีกพระพักตร์ของอดีตฮ่องเต้ ต่อให้เป็นอัครเสนาบดีหรือท่านโหวที่มีอำนาจบารมียังไม่กล้าทำแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาซึ่งเป็นเพียงจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป

น่าเสียดายที่อดีตกับปัจจุบันแตกต่างกัน ตอนนี้เสนาบดีเจินมีความผิดฐานก่อกบฏ

นางช่างไม่รู้จักประมาณตน เสนาบดีเจินมีความผิด เขาไม่ขับไล่นางไปอยู่ในศาลบรรพบุรุษก็นับว่าเมตตาแล้ว นางยังจะกล้าเอาลูกไม้เดิมๆ มาข่มขู่เขา!

“นายท่านไปดูสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรนายหญิงใหญ่ก็ฆ่าตัวตายเพราะอี๋เอ๋อร์แต่งเข้ามา หากเป็นอะไรไปจริงๆ อี๋เอ๋อร์ย่อมไม่สบายใจ” เห็นสีหน้ารังเกียจของเสิ่นจงชิ่งแล้ว ฉู่ซินอี๋ลอบดีใจ ทว่าปากกลับพูดอย่างขลาดกลัว ท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยสีขาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ขณะที่เสิ่นจงชิ่งกำลังจะปฏิเสธก็ได้ยินสี่เชวี่ยร้องไห้อย่างโศกเศร้าแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ เขาตระหนกตกใจผุดลุกขึ้นทันที “ก็ได้ อี๋เอ๋อร์อาบน้ำและพักผ่อนก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา”

เดิมทีนางคิดจะใช้แผนถอยเพื่อรุกให้เขารักใคร่เอ็นดูตนมากกว่าเดิม แต่เสิ่นจงชิ่งกลับไปจริงๆ!

ฉู่ซินอี๋มองแผ่นหลังของเสิ่นจงชิ่งที่จากไปแล้ว แววตาของนางทอประกายชั่วร้ายอย่างที่เขาไม่มีวันเคยพบเห็นมาก่อน

 

“คารวะนายท่าน” ป้าหวังออกมาส่งท่านหมอจูพอดี เห็นเสิ่นจงชิ่งก้าวสวบๆ เข้ามาก็รีบถอยหลบไปด้านข้าง

“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของเขาเยียบเย็น

“เพิ่งฟื้นขึ้นมาเจ้าค่ะ…” ป้าหวังตอบอย่างอกสั่นขวัญแขวน แอบใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าของเสิ่นจงชิ่งเงียบๆ

นางยังไม่ตาย!

ชายหนุ่มหมุนตัวกลับทันที ดวงตาทอประกายเย็นเยือกคมกริบ

สี่เชวี่ยที่ตามมาข้างหลังตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงทันใด “เมื่อกี้ตอนบ่าวไปแจ้งนายท่าน นายหญิงไม่หายใจแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ร่างกายก็แข็งทื่อแล้วด้วย” นางมองป้าหวังกับท่านหมอจูอย่างขอความช่วยเหลือ

ป้าหวังจึงคุกเข่าตามด้วยอีกคน “สี่เชวี่ยไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ เมื่อกี้นายหญิงไม่มีลมหายใจแล้วจริงๆ หากมิใช่…” มิใช่เพราะรอคำสั่งจากนายท่าน ป่านนี้คงเอาเข้าโลงไปแล้ว คำพูดมาถึงปากแล้ว แต่ป้าหวังรู้สึกไม่เหมาะสมจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง แม้แต่ท่านหมอจูก็ยังบอกว่าประหลาดยิ่งนัก”

“ข้าอยู่มาจนปูนนี้ก็เพิ่งเคยเห็น ร่างกายแข็งทื่อไปแล้ว ตามหลักน่าจะหมดทางเยียวยา ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” ท่านหมอจูส่ายหน้าอย่างงุนงง “ยินดีกับใต้เท้าเสิ่นด้วย นายหญิงเสิ่นรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ครานี้มาได้จะต้องพบกับโชคลาภแน่นอน!” ไม่ว่าอย่างไรคนไม่ตายก็นับเป็นโชค ด้วยไม่รู้สถานการณ์ภายในจวนจ้วงหยวน ท่านหมอจูจึงพูดประจบอย่างไม่ถูกกาลเทศะออกไป

สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนแปลงไปมา เขาข่มความเกลียดชังในใจและเอ่ยเสียงทุ้ม “ขอบคุณท่านหมอจูมาก” ก่อนจะหยิบเงินในถุงที่เอวส่งให้ แล้วเดินเข้าไปในเรือนเกล็ดน้ำค้างโดยไม่เหลียวหลัง

ด้วยไม่อยากเข้าไปในห้องนาง เสิ่นจงชิ่งจึงยืนอยู่ตรงเฉลียงมืดสลัว มองเจินสือเหนียงที่นอนอยู่บนเตียงปักลายวิจิตรผ่านม่านลูกปัดท่ามกลางแสงเทียน ใบหน้านางยังคงงดงามถึงเพียงนั้น ราวกับเทพธิดาผู้สูงส่ง ปราศจากมลทินทางโลก

ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่าภายใต้โฉมหน้างดงามนี้ซุกซ่อนจิตใจที่ชั่วร้ายเพียงใดเอาไว้ คิดถึงชีวิตที่เหมือนตกนรกตลอดสองปีที่ผ่านมาของเขา คิดถึงลูกชายที่เขายังไม่ทันเห็นหน้าก็ตายจากไปเสียก่อนแล้ว เสิ่นจงชิ่งก็พลันกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวปูดออกมา

“ฆ่าตัวตายมาก็หลายครั้ง ไฉนเจ้าจึงยังไม่ตายเสียที!” น้ำเสียงเยียบเย็นเต็มไปด้วยแววเสียดสีและรังเกียจดังขึ้น ก่อนจะเห็นเจินสือเหนียงหันมองมาอย่างงุนงงด้วยท่าทางเหมือนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้เหตุใดเสิ่นจงชิ่งจึงบังเกิดความรู้สึกสะใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาอดใจไม่อยู่เปล่งเสียงหัวเราะบาดหูออกมา “ฮ่าๆ สวรรค์ช่างไร้ตาจริงๆ ทั้งที่หมดลมแล้ว ยังจะให้เจ้าฟื้นขึ้นมาอีก…คงเป็นเพราะแม้แต่พญายมยังไม่อยากรับสตรีที่ชั่วร้ายเยี่ยงเจ้าไว้!” นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งใช้วาจาที่ร้ายกาจที่สุดระบายความเกลียดชังในใจของตนออกมาอย่างเต็มที่

เขาด่านางอย่างเจ็บแสบอยู่นาน แต่กลับเห็นเจินสือเหนียงเงียบงันผิดจากปกติก็รู้สึกหมดสนุก เขาจึงหยุดวาจาแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าเห็นข้าได้ดีไม่ได้ พรุ่งนี้ย้ายไปอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษของข้าในเมืองอู๋ถงเถอะ อีกหน่อยหากข้าไม่อนุญาต ห้ามเจ้าก้าวเข้ามาในจวนจ้วงหยวนอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”

บ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นคือบ้านเดิมของเสิ่นจงชิ่งก่อนเขาจะได้เป็นขุนนาง อยู่ห่างจากจวนจ้วงหยวนเป็นระยะเดินทางหนึ่งวัน ที่นั่นมีเรือนมุงกระเบื้องอยู่เพียงไม่กี่หลังกับบ่อน้ำอีกครึ่งหมู่เท่านั้น

เขาขับไล่เจินสือเหนียงไปอยู่ที่นั่น จุดประสงค์ของเสิ่นจงชิ่งชัดเจนมาก คือให้นางใช้ชีวิตตามยถากรรม

ด้วยเกรงว่าเจินสือเหนียงจะไม่ยินยอมและอาละวาด พอพูดจบเขาจึงหมุนตัวจากไปโดยทันที แต่เดินไปสองก้าว ในใจพลันบังเกิดความสงสัยและคิดขึ้นว่า ไฉนวันนี้นางจึงเงียบยิ่งนัก หากเป็นเมื่อก่อนเห็นข้ามา นางต้องอาละวาดโวยวายแล้ว มีหรือจะปล่อยให้ข้าจากมาอย่างง่ายดายเช่นนี้

ระหว่างคิด ภาพดวงตาใสกระจ่างที่เห็นเมื่อครู่พลันผุดขึ้นตรงหน้า นิ่งสงบถึงเพียงนั้น ไม่มีความละโมบโลภมากเหมือนอย่างวันวานแม้แต่น้อย เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า หรือเขาจะตาฝาดไป นางจะมีแววตาแบบนั้นได้อย่างไร

เขาหันขวับกลับไปทันที เบื้องหลังม่านลูกปัดเจินสือเหนียงหลับตาทั้งสองข้างลงแล้ว เหมือนกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งกั้นขวางโลกของทั้งสองออกจากกัน

“ข้าตาฝาดไปจริงๆ” เสิ่นจงชิ่งส่ายหัวแรงๆ ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป

 

ฝนฤดูใบไม้ร่วงเพิ่งตกไป อากาศเจือกลิ่นอายสดชื่น น้ำค้างแวววาวหยดหนึ่งกลิ้งไปมาอยู่บนใบบัวสีเขียวสดตามแรงส่ายไหว แต่ไม่ตกลงไปเสียที นี่กระมังที่เรียกว่าน้ำค้างกลิ้งบนใบบัว

เจินสือเหนียงถอนสายตากลับมาและหยิบฝักบัวขึ้นมาอีกฝัก หักครึ่งตรงกลางและเก็บเม็ดบัวสีเขียวข้างในลงในตะกร้าไม้ไผ่ เห็นฝักบัวที่เก็บมาเมื่อเช้าถูกแกะเม็ดออกหมดแล้ว เจินสือเหนียงจึงหยิบเม็ดบัวเม็ดหนึ่งขึ้นมากดลงบนใบมีดอย่างชำนิชำนาญ หลังผ่าเปลือกออก เม็ดบัวสีขาวสะอาดก็ร่วงลงมาในมือ

เจินสือเหนียงดึงดีบัวสีเขียวสดออกวางลงในถาด จากนั้นหยิบเม็ดบัวส่งเข้าปากตนเอง ได้รสหวานนิดๆ เจือกลิ่นหอมสดชื่น

ที่แท้เม็ดบัวดิบกินได้จริงๆ ด้วย

นางเดิมทีเป็นคนทางเหนือ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนอยู่ทางตอนเหนือ ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นสระบัวที่มีใบบัวเขียวปรกผืนน้ำ ดอกบัวแดงงามสล้างแบบนี้มาก่อน จำได้ว่าสมัยเรียนเคยท่องกลอนบทหนึ่ง

 

หลังคากระท่อมเตี้ยเล็ก หญ้าเขียวโยกเยกอยู่ริมธาร เสียงคุยครึ้มสำเนียงอู๋ฟังนุ่มหวาน คนผมขาวผู้นั้นเป็นพ่อเฒ่าบ้านใด ลูกคนโตถางแปลงถั่วฝั่งบูรพา คนกลางหนากำลังสานสุ่มไก่ เจ้าคนเล็กแสนสุดรักขี้เกียจไซร้ นอนแกะเม็ดบัวสบายใจต้นลำธาร

 

ด้วยถูกกลอนท่อนที่กล่าวถึงลูกคนเล็กแกะเม็ดบัวกินดึงดูดใจ ตอนนั้นนางจึงสงสัยว่าฝักบัวสามารถแกะเม็ดให้เด็กกินแทนขนมได้ด้วยหรือ

นางนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ

เม็ดบัวในความทรงจำล้วนแข็งโป๊ก ต้องแช่น้ำก่อนถึงจะเอามาต้มโจ๊กเม็ดบัวหอมๆ ได้ ตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้เห็นทิวทัศน์ของเจียงหนาน ได้ลิ้มรสชาติสดใหม่จากเม็ดบัว ได้มีอะไรไปคุยโม้กับเพื่อนๆ แล้ว…คิดถึงตรงนี้ นางก็อดทอดถอนใจไม่ได้

ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า

นางมาที่นี่ห้าปีแล้ว พยายามทุกวิถีทางก็กลับไปยังโลกใบเดิมของนางไม่ได้ ต่อให้ได้เห็นทิวทัศน์ของเจียงหนาน ต่อให้ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่มีสายน้ำและสะพานห้อมล้อมแล้วมีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่มิติที่นางคุ้นเคย ไม่ใช่โลกที่นางคุ้นเคย

เจินสือเหนียงถอนใจเบาๆ อีกครั้ง

“ท่านแม่ ท่านแม่!” เด็กผู้ชายสองคนที่หน้าตาเหมือนกันและสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันวิ่งไล่ตามกันมา เด็กชายที่อยู่ข้างหน้าใช้นิ้วมือเล็กๆ สองนิ้วคีบหนอนตัวยาวสีแดงไว้ “ท่านดูสิ มังกรดิน ข้าขุดมังกรดินได้…พี่ชิวจวี๋บอกว่านี่คือมังกรดิน!”

ชิวจวี๋เป็นสาวใช้ประจำตัวของเจินสือเหนียง เดิมทีเป็นเด็กกำพร้า สองปีก่อนหิวจนเป็นลมอยู่หน้าบ้านและได้สี่เชวี่ยช่วยเอาไว้ ตอนนั้นนางเองยังเลี้ยงตนเองไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับสาวใช้ เดิมทีคิดว่ารอให้อีกฝ่ายฟื้นแล้วค่อยส่งกลับไป แต่ชิวจวี๋น่าสงสารเหลือเกิน พอคิดว่าไล่นางออกไปนางต้องตายเป็นแน่ ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีข้าวให้นางกิน ประจวบเหมาะกับสี่เชวี่ยเพิ่งจะแต่งงาน เจินสือเหนียงจึงเก็บนางไว้ข้างกาย เด็กคนนี้คล่องแคล่วและขยันขันแข็ง จึงถูกใจเจินสือเหนียงเป็นอย่างมาก

“เหวินเกอ เก่งจริงๆ” พอเห็นพวกเขาเจินสือเหนียงก็ยิ้มจากใจจริง นางวางมีดและยื่นมือไปรับลูกที่โผเข้ามาหา พอสายตามองไปที่ไส้เดือนในมือลูก ขนอ่อนก็พลันลุกชันไปทั้งตัว

บอกตามตรง นางกลัวของที่น่าขยะแขยงพวกนี้จริงๆ แต่ไม่อยากทำลายความสนุกของลูกชาย จึงเบี่ยงตัวกอดลูก แสร้งทำหลบเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘มังกรดิน’ ในมือเขาอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นปัดมันให้หล่นลงบนพื้น “เหวินเกอรู้หรือไม่ว่ามังกรดินมีประโยชน์อะไรบ้าง”

“ข้ารู้ๆ” ด้วยไม่พอใจที่ท่านแม่ถูกพี่ชายยึดไปครองคนเดียว เด็กชายที่วิ่งตามมาจึงโผเข้าสู่อ้อมกอดของเจินสือเหนียงบ้างแล้วชูมือซ้ายขึ้น “พี่ชิวจวี๋บอกว่าเอาไปเลี้ยงนกได้!”

“มังกรดินนี้เรียกอีกอย่างว่าไส้เดือนหรือชวีซั่น ไม่เพียงเป็นอาหารของนกได้ แต่ยังทำเป็นยาได้ด้วย” แม้จะไม่ชอบไส้เดือน แต่ในฐานะบัณฑิตคณะแพทยศาสตร์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและอาจารย์แพทย์ประจำโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอ เจินสือเหนียงคุ้นเคยกับของที่สามารถนำมาทำยาเหล่านี้และสามารถสอนลูกได้อย่างฉะฉาน

เด็กสองคนนี้เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้นาง

ห้าปีก่อน วันแรกที่นางเดินทางมายังโลกใบนี้ ระหว่างที่ยังงุนงงสงสัยก็ได้เห็นฝีปากร้ายกาจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับปากร้ายเทียบขั้นได้กับผู้หญิงหกหมอแม่ในตำนาน ระหว่างทอดถอนใจให้กับความซวยของตนเอง ทะลุมิติมาอย่างแปลกประหลาดก็เรื่องหนึ่งแล้ว ยังมาเจอสามีแบบนี้อีก อีกหน่อยชีวิตจะต้องอาภัพอย่างไม่ต้องสงสัย จู่ๆ ก็ได้ยินสามีปากร้ายคนนั้นไล่นางมาอยู่ที่นี่ด้วยน้ำเสียงห้าวหาญเหมือนต้องการตัดขาดไม่ไปมาหาสู่กับนางอีก สำหรับนางแล้วนั่นไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ นางพรั่งพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาแผ่วเบาเมื่อเขาหันหลังทำท่าว่าจะเดินจากไป…

ใครจะไปคิดว่าช่วงเวลาดีๆ คงอยู่ได้ไม่นาน ย้ายมาที่นี่ไม่กี่วัน นางก็พบว่าร่างที่ตนเองรับสืบทอดมาร่างนี้ตั้งท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว

เดิมทีตอนพบว่าตนเองตั้งท้อง นางคิดว่ารอให้เด็กคลอดแล้วจะส่งกลับไปให้พ่อปากร้ายของพวกเขาเลี้ยงดูเอง บอกตามตรงตอนนั้นนางไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเด็กในท้องเลย นางไม่รู้ว่าคนสองคนที่จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้จะร่วมกันทำเรื่องอย่างว่าได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าตอนที่ทั้งสองแก้ผ้าล่อนจ้อนและเจ้าของร่างปล่อยให้เขาหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในท้องจะมีความสุขหรือเจ็บปวด ยินยอมพร้อมใจหรือเพราะถูกบีบบังคับ

แต่หลังผ่านพ้นความยากลำบากจากการตั้งท้องสิบเดือนและคลอดลูกออกมาอย่างทรมาน พอเด็กสองคนนี้ลืมตาดูโลก นางก็ตัดใจจากพวกเขาไม่ลง โดยเฉพาะเวลาพวกเขาเบิกตาดำขลับคู่เล็กจ้องมองนาง นางก็สาบานว่าจะไม่ปล่อยให้เหวินเกอ อู่เกอไปอยู่กับพ่อปากจัดของพวกเขาแน่นอน!

“ทำไมคุณหนูลงไปนั่งบนพื้นเปียกๆ อีกแล้วล่ะเจ้าคะ” ชิวจวี๋ถือเสื้อผ้าของเหวินเกอ อู่เกอไล่ตามมา “ฝนเพิ่งตกไป พื้นดินชื้นมาก” นางพูดพลางดึงตัวเหวินเกอ อู่เกอออกมา ก่อนจะหันไปประคองเจินสือเหนียง “เหวินเกอ อู่เกอคนดี ท่านแม่ร่างกายไม่แข็งแรง อย่าเกาะแกะท่านแม่ คุณหนูรีบเข้าไปพักในบ้านเถอะเจ้าค่ะ งานพวกนี้รอให้ป้าสวีกลับมาแล้วบ่าวจะทำเอง”

ป้าสวีเป็นแม่นมของเหวินเกอ อู่เกอ ตอนเจินสือเหนียงตั้งท้องลูกสองคนนี้ นางอายุแค่สิบสามเท่านั้น ตามมาตรฐานของยุคปัจจุบัน ร่างกายยังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางตายมาแล้วหนึ่งหน แถมท้องนี้ยังเป็นลูกแฝด สุดท้ายจึงตกเลือดหลังคลอดจนเกือบลงไปอยู่ในปรโลก แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ร่างกายอ่อนแอมาตลอด แม้แต่ลูกก็เลี้ยงไม่ไหว จำต้องจ้างแม่นม

น้องชายของป้าสวีแต่งภรรยา สามวันก่อนนางจึงลาหยุดเข้าเมือง ชิวจวี๋จำต้องรับบทพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว ทิ้งงานมากมายในลานหลังบ้านไว้ก่อน

“แสงแดดออกจะอบอุ่น จะจับไข้ง่ายๆ ได้อย่างไร” เจินสือเหนียงส่ายหัวแย้มยิ้มเมื่อเห็นชิวจวี๋ทำท่าเหมือนกระต่ายตื่นตูม แต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายพยุงตนขึ้นมา

นั่งแค่ครู่เดียวก็รู้สึกขาชาไม่มีแรงแล้ว เจินสือเหนียงอดก่นด่าในใจไม่ได้ สังคมโบราณเฮงซวย! ปล่อยให้เด็กอายุสิบเอ็ดแต่งงานได้อย่างไรกันนะ

อายุสิบเอ็ดปี! หากเป็นยุคปัจจุบันยังเป็นเด็กนักเรียนที่ซุกอกแม่ออดอ้อนออเซาะอยู่เลย แต่เจ้าของร่างเดิมที่นางอาศัยอยู่นี้กลับแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว นางยังสงสัยด้วยซ้ำว่าที่สี่เชวี่ยพูดเป็นความจริงหรือเปล่า นางเป็นลูกสาวของเสนาบดีเจินที่ก่อความผิดฐานกบฏจริงๆ หรือ ทำไมถึงให้นางแต่งออกมาตั้งแต่อายุแค่สิบเอ็ด แม่ของนางตัดใจได้อย่างไร

อยู่ที่นี่มาห้าปีนางก็พอเข้าใจอยู่บ้างว่าคนยุคนี้แต่งงานเร็ว แต่ส่วนใหญ่เด็กผู้หญิงมักต้องรอให้อายุครบสิบสามปีก่อนถึงจะออกเรือน ยกเว้นสะใภ้ที่เลี้ยงไว้แต่เด็กเพื่อแต่งเป็นภรรยาในอนาคต แต่ว่ากันว่าตอนที่เจ้าของร่างเดิมของนางออกเรือน เสนาบดีเจินผู้นั้นมีอำนาจล้นฟ้า แดงจนเกือบเป็นม่วง

เจินสือเหนียงคิดพลางพาเหวินเกอ อู่เกอเดินเข้ามาในบ้าน

“คุณหนูไปไหนมาเจ้าคะ” สี่เชวี่ยที่เหงื่อไหลไคลย้อยกำลังจะออกไปตามหานาง เห็นพวกนางกลับมาพอดีก็ปรี่เข้าไปหา “บ่าวกำลังจะออกไปตามคุณหนูอยู่พอดี”

“วันนี้ทำไมถึงกลับเร็วนักล่ะ” พอเห็นสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงก็ตาเป็นประกาย “เออเจียวขายได้เท่าไร เก็บค่าของกลับมาหรือเปล่า”

สี่เชวี่ยยิ้มระรื่น “ขายหมดเจ้าค่ะ หลงจู๊หลี่พูดไม่หยุดว่าไม่พอขาย ถามคุณหนูว่าจะทำเพิ่มอีกได้หรือไม่” มือล้วงก้อนเงินเล็กๆ หนึ่งก้อนกับเหรียญทองแดงหลายพวงยื่นมาให้ “เออเจียวของคุณหนูขายได้ทั้งหมดยี่สิบตำลึงหกเฉียน บ่าวซื้อยามาให้คุณหนูอีกสามเทียบ ซื้อหนังลามาอีกห้าผืน เหล้าเหลืองสิบชั่ง น้ำตาลกรวดสิบชั่ง และน้ำมันหอมอีกห้าชั่ง หักนิ้วคิดคำนวณทีละอย่าง ใช้เงินไปทั้งหมดสิบหกตำลึงแปดเฉียน ยังเหลืออีกสามตำลึงแปดเฉียน อยู่ตรงนี้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

ยานั้นให้เจินสือเหนียงกิน ส่วนพวกหนังลากับเหล้าเหลืองไว้ใช้ทำเออเจียว

ตั้งแต่ถูกขับไล่มาอยู่ที่นี่ เจินสือเหนียงก็ไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากตระกูลเสิ่นอีกแม้แต่แดงเดียว สองปีก่อนนางเอาสินเจ้าสาวชิ้นสุดท้ายไปจำนำ ชีวิตเริ่มยากจนข้นแค้นจนถึงขีดสุด ไม่พูดถึงเรื่องที่นางต้องกินยาต่อเนื่องมานานปี แค่การหาเลี้ยงห้าหกชีวิตในบ้านหลังนี้ก็เป็นปัญหาแล้ว ครั้นเห็นว่าสระบัวสองสระในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นไม่เพียงพอจะเลี้ยงปากท้อง เจินสือเหนียงจึงคิดถึงอาชีพในชาติก่อนของตนเอง โชคดีที่นางเองก็ต้องกิน บางครั้งจึงต้มเออเจียวไว้ใช้เอง ดังนั้นจึงลองต้มเออเจียวไปขายในเมือง

แต่คิดดูก็รู้ นางเป็นผู้หญิง ทั้งยังไร้ชื่อไร้เสียง ใครจะไปเชื่อว่านางจะต้มเออเจียวเป็น

แรกเริ่มร้านยาใหญ่ๆ ต่างไม่ยอมรับเออเจียวของนางไปขาย ประจวบเหมาะวันหนึ่งนางกำลังขอร้องหลี่ฉี หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงให้ช่วยขายเออเจียวให้ พบเฝิงสี่หมอที่นั่งตรวจประจำร้านยาวินิจฉัยโรคไข้หวัดผิด คิดว่าเป็นโรคจากความร้อนจนคนไข้ตามมาเอาเรื่องที่ร้าน

ตอนนั้นเฝิงสี่ตรวจอาการคนไข้แล้วพบว่าตาแดง คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งล้วนเป็นอาการต้นแบบของโรคจากความร้อน เขาไม่ได้คิดมากและเขียนตำรับยาเฉิงชี่ทังให้ คิดไม่ถึงว่าคนไข้กินแล้วอาการจะทรุดหนัก ถูกครอบครัวหามพามาที่ร้านยาในสภาพปางตาย ชาวบ้านมามุงดูหน้าร้านยามากขึ้นเรื่อยๆ จนชื่อเสียงแทบป่นปี้ สุดท้ายเจินสือเหนียงเป็นคนตรวจหาสาเหตุของโรคได้

แม้ชีพจรเต้นเร็วจะเป็นอาการของโรคจากความร้อน ชีพจรเต้นช้าเป็นอาการของโรคจากความเย็น แต่ไม่เสมอไปทุกครั้ง บางครั้งก็ปรากฏชีพจรที่สวนทางกับโรค คนไข้รายนั้นเข้าลักษณะอาการหยินแกร่งจนกลบหยาง พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยคือ ธาตุหยินในร่างกายเขาแข็งแกร่งเกินไปจนดันธาตุหยางที่อ่อนแอกว่าให้แสดงออกมาภายนอก อาการที่พบจึงเป็นหน้าแดง ปากแห้งเหมือนเป็นโรคจากความร้อน แต่แท้จริงแล้วเป็นโรคจากความเย็น ตอนนั้นนางตัดสินใจอย่างเฉียบขาดให้รักษาด้วยขิงแก่แห้ง โหราเดือยไก่ ตลอดจนยาที่มีสรรพคุณร้อนอื่นๆ

ตามคาด คนไข้เหงื่อออกทั่วทั้งตัว ไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ

หลังจากช่วยร้านยารุ่ยเสียงแก้วิกฤตครั้งนั้น หลงจู๊หลี่ฉีซาบซึ้งใจจึงยอมให้นางวางเออเจียวไว้ในร้าน เขาจะลองช่วยขายให้

แรกเริ่มเออเจียวหนึ่งหม้อต้องขายอยู่หลายเดือน ยังดีที่หลี่ฉีเชื่อในวิชาแพทย์ของนาง หากเฝิงสี่ไม่ว่างหรือเจอโรคที่เขารักษาไม่หายก็จะตามนางไปช่วย หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้บ้าง

ใครจะคิดว่าไปๆ มาๆ นางกลับมีชื่อเสียง ตอนนี้เออเจียวหนึ่งหม้อไม่ถึงครึ่งเดือนก็ขายหมดเกลี้ยง เหมือนอย่างหม้อนี้ นางจำได้ว่าเพิ่งจะส่งไปได้ห้าหกวันเท่านั้น เนื่องจากต้องเก็บรากบัวแล้ว นางต้องใช้เงินจ้างคนงานจึงให้สี่เชวี่ยไปร้านยารุ่ยเสียงหาหลี่ฉีแต่เช้า ดูว่าจะขอเบิกเงินล่วงหน้าได้หรือไม่

คิดไม่ถึงว่าจะขายหมดแล้ว!

“ดูท่าชาวเมืองอู๋ถงจะยอมรับเออเจียวของข้าแล้ว” เจินสือเหนียงรับเงินมาด้วยความดีใจยิ่ง

หากก้าวแรกประสบความสำเร็จ สักวันนางจะต้องมีร้านยาเป็นของตนเองได้เป็นแน่

“ไม่ใช่แค่ยอมรับนะเจ้าคะ ได้ยินพี่หลี่บอกว่าเออเจียวของคุณหนูรอบนี้ถูกแย่งกันซื้อเลยล่ะ” สี่เชวี่ยยิ้มอย่างยินดีปรีดา “พี่หลี่ยังบอกว่าถ้าบ่าวไม่ไปหา เขาจะมาหาคุณหนูด้วยตนเองอยู่แล้ว อยากหารือกับคุณหนูว่าจะเคี่ยวเออเจียวให้มากหน่อยได้หรือไม่”

เจินสือเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็พลันทอดถอนใจ “มีเงินให้กอบโกยใครบ้างที่ไม่อยากได้ แต่ร่างกายข้าจะรับไหวเสียที่ไหน” เดือนหนึ่งเคี่ยวสองหม้อนางก็แทบแย่แล้ว จะโลภมากกว่านี้ได้อย่างไร

สีหน้าของสี่เชวี่ยหม่นลง นางเองก็คิดไม่ถึงว่าภายหลังร่างกายของคุณหนูจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้

“หาเงินได้สิบเจ็ดตำลึงแปดเฉียนแล้ว” เจินสือเหนียงอุ้มไหใบเล็กออกมาจากใต้ตู้สี่ลิ้นชักที่ถูกขัดจนเป็นสีขาว เทเศษเงินข้างในออกมานับดูและเก็บเข้าไปใหม่พร้อมกับเงินที่สี่เชวี่ยนำกลับมา “ปีนี้รากบัวออกเยอะ อย่างไรก็ต้องเก็บได้สามสี่พันชั่ง ในที่สุดก็ได้ฉลองปีใหม่อย่างเต็มที่เหมือนคนอื่นเสียที!” นางยิ้มมองสี่เชวี่ย “รอไว้ขายรากบัวได้เมื่อไร ปีนี้ข้าจะตัดเสื้อใหม่ให้คนละชุด”

พอย้อนคิดดู พวกนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าใหม่มาสองสามปีแล้ว

สี่เชวี่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ แต่เล็กจนโตคุณหนูของนางเคยต้องลำบากลำบนแบบนี้เสียที่ไหน แต่ก่อนแม้แต่นางที่เป็นสาวใช้ประจำตัวยังไม่เห็นเงินสิบเจ็ดตำลึงนี่อยู่ในสายตา บัดนี้กลับต้องใส่ใจทุกอีแปะ

“ดีจังเลย!” ไม่ทันสังเกตสีหน้าผิดปกติของสี่เชวี่ย พอได้ยินว่าจะได้สวมเสื้อใหม่ ชิวจวี๋ก็กระโดดเหยงเป็นคนแรก “บ่าวจะเอาสีแดงกุหลาบแบบที่เอ้อร์ยาใส่!”

เอ้อร์ยาเป็นลูกสาวคนที่สองของอวี๋เหลียงที่บ้านอยู่ตรอกข้างหน้า หมู่นี้ชอบสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอไขว้สีแดงกุหลาบตัวใหม่เอี่ยม นั่นเป็นชุดที่ตัดตอนพี่สาวคนโตของนางแต่งงาน ชิวจวี๋เห็นแล้วทำท่าทางคล้ายว่าน้ำลายจะหกอย่างไรอย่างนั้น

“ได้” เจินสือเหนียงยิ้มน้อยๆ “ถึงเวลาให้เจ้าไปเลือกเองเลย”

“คุณหนูช่างเป็นคนใจดีที่สุดในโลก!” ชิวจวี๋ขอบตาร้อนผ่าว พอนึกอะไรได้ก็หันขวับกลับไป “ใช่แล้ว อาสี่เชวี่ย ในเมืองตีฆ้องลั่นกลองกันดังสนั่น เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“อุ๊ย!” สี่เชวี่ยเหลือบตามองกาน้ำหยดและร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ “ตายจริง มัวแต่คุย เที่ยงแล้วหรือนี่” นางเงยหน้าสั่งชิวจวี๋ “เจ้าเอาหนังลาพวกนี้ไปแช่น้ำก่อน ข้าจะเตรียมทำอาหารกลางวัน”

“เจ้าค่ะ” ชิวจวี๋ที่ลืมคำถามเมื่อครู่นี้ไปอย่างสิ้นเชิง นางรับคำและเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียง “บ่าวซื้อเนื้อหมูมาครึ่งชั่ง มื้อเที่ยงวันนี้ทำหมูสับนึ่งแป้งแล้วกัน คราวก่อนคุณหนูทำอร่อยมาก เหวินเกอ อู่เกอยังกินไม่หนำใจเลย”

“พูดมาเถอะ เรื่องอะไรกัน” เจินสือเหนียงนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองสี่เชวี่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ

“เอ่อ…” สี่เชวี่ยบิดนิ้วแรงๆ “คือ…นายท่านชนะสงครามอีกแล้ว ระหว่างเดินทางกลับผ่านมาทางนี้ ได้ยินว่า…” นางแอบชำเลืองมองสีหน้าของผู้เป็นนาย “พรุ่งนี้เที่ยงจะทำพิธีส่งมอบเชลยศึกที่ประตูอู่เหมิน ฮ่องเต้จะเสด็จออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ”

ที่สี่เชวี่ยไม่ได้พูดคือ ใครๆ ต่างรู้ว่าพวกนางถูกทอดทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ตอนนี้เสิ่นจงชิ่งมีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ขุนนางเจ้านายและคนใหญ่คนโตในราชสำนักต่างแย่งกันยัดเยียดลูกสาวตนให้แต่งเป็นภรรยาเขา

เสิ่นจงชิ่งเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ เพียบพร้อมทั้งด้านบู๊และบุ๋น ห้าปีมานี้เขาปราบวอโค่ว ตีหนานอี๋ และเพิ่งจะเผด็จศึกหนานเยวี่ย ได้เลื่อนตำแหน่งจากเซี่ยวเว่ยขั้นหกไปเป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วขั้นสองแล้ว

แม้หลังจากฆ่าตัวตายครั้งนั้น เจินสือเหนียงจะเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนและลืมเรื่องต่างๆ ไปมากมาย แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่ถูกเสิ่นจงชิ่งทอดทิ้ง ไม่ว่าภายนอกนางจะสุขุมเยือกเย็นเพียงใด สี่เชวี่ยก็ไม่คิดว่านางจะตัดใจจากเขาได้แล้วจริงๆ ที่ผ่านมาจึงไม่กล้าเอ่ยถึงเสิ่นจงชิ่งต่อหน้านาง โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขากำลังประสบความสำเร็จ สี่เชวี่ยยิ่งไม่กล้าเอ่ยถึงเขาต่อหน้านางเข้าไปใหญ่ แม้แต่ชิวจวี๋ที่สนิทสนมกันมากก็ยังไม่รู้ว่าพ่อแท้ๆ ของเหวินเกอ อู่เกอเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว

ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจึงไม่รู้ว่าเหตุผลหลักที่นางถูกทอดทิ้งให้อยู่ในเมืองทุรกันดารที่กระต่ายยังไม่อยากขับถ่ายแห่งนี้เป็นเพราะเจ้าของเดิมของร่างนี้ทำตัวหยาบคายไร้เหตุผลเกินไป ทำให้เสิ่นจงชิ่งไม่พอใจไม่น้อยทีเดียว

แน่นอนว่าต่อให้นางในอดีตจะไร้เหตุผลมากเพียงใด ร้ายกาจมากเพียงใด สี่เชวี่ยก็ไม่กล้าพูดตรงๆ ดังนั้นในสายตาของเจินสือเหนียง ที่ชีวิตนางต้องเป็นเช่นวันนี้ล้วนเป็นเพราะเสิ่นจงชิ่งได้ใหม่ลืมเก่า วันนั้นแม้จะมีม่านลูกปัดบังอยู่ทำให้นางไม่เห็นโฉมหน้าเขา แต่ชุดแต่งงานสีแดงสดนั้นเจินสือเหนียงเห็นชัดเต็มสองตา

นางยังมีชีวิตอยู่ แต่เขากลับแต่งงานใหม่เสียแล้ว ไม่เรียกว่าได้ใหม่ลืมเก่าจะเรียกว่าอะไร

อย่าว่าแต่เป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ผู้ชายห่วยๆ แบบนี้ให้ฟรีนางยังไม่อยากได้ เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างขบขัน

สี่เชวี่ยผู้นี้กังวลเกินกว่าเหตุเสียแล้ว!

อยู่กับนางมาห้าปีกลับดูไม่ออกว่านางเป็นคนสมถะ ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ ชั่วชีวิตนี้ต่อให้ต้องสวมเสื้อผ้าเก่าขาด แต่ขอเพียงได้พบคนที่จริงใจกับนาง ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไปแค่สองคนนางก็พอใจแล้ว

พอได้มาอยู่ในสังคมสมัยโบราณ เจินสือเหนียงถึงรู้ว่าสังคมโบราณไม่ได้เป็นอย่างที่คนยุคปัจจุบันคิด ผู้ชายไม่ได้มีสามภรรยาสี่อนุกันทุกคน ดูอย่างชาวเมืองอู๋ถงสิ คนส่วนใหญ่ล้วนผัวเดียวเมียเดียว มีแต่ตระกูลใหญ่หรือบ้านเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีภรรยาและอนุห้อมล้อมเป็นฝูง นางเชื่อว่าขอเพียงไม่เลือกคนรวย นางต้องเจอคนที่ยอมครองคู่อยู่กับนางไปจนแก่เฒ่าแน่นอน

ทว่า… นางถอนใจเบาๆ เรื่องนี้ง่ายดายเสียที่ไหน!

สตรีที่ถูกสามีทิ้งและไม่มีหนังสือหย่า แถมยังมีลูกติดอีกสองคน ตระกูลสามีเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่อำนาจเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เขาหรือจะยอมปล่อยให้นางพาลูกของเขาไปแต่งงานใหม่

“คุณหนูบอกนายท่านเรื่องเหวินเกอ อู่เกอเถอะเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเอกของนายท่าน” ด้วยไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงกำลังเป็นห่วงอนาคตของตนเอง คิดว่านางไม่พอใจที่เห็นเสิ่นจงชิ่งกลับจากสงครามอย่างมีเกียรติ สี่เชวี่ยจึงเกลี้ยกล่อม “ได้ยินว่าหลายปีมานี้ในจวนแม่ทัพนอกจากอี๋เหนียงใหญ่ที่ให้กำเนิดลูกสาวกับอี๋เหนียงสามที่คลอดลูกชายได้สามวันเด็กก็ตายแล้ว นายท่านก็ไม่มีทายาทอีก เชื่อว่าหากได้เห็นเหวินเกอกับอู่เกอ นายท่านจะต้องรีบรับคุณหนูกลับไปแน่” แต่ไรมามารดาเป็นใหญ่ได้เพราะบุตร โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทายาท

สี่เชวี่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจินสือเหนียงถึงไม่ยอมบอกเรื่องลูกกับเสิ่นจงชิ่ง ด้วยนิสัยจิตใจกว้างขวางของเขา หากรู้ว่าเจินสือเหนียงเกือบเสียชีวิตเพราะลูกทั้งสอง ต่อให้เคยมีความแค้นใหญ่โตเพียงใด เขาก็ต้องดีกับเจินสือเหนียงและให้พวกนางแม่ลูกได้อยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต

“ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่พบเจอเขาอีก ทางที่ดีเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ!” เจินสือเหนียงน้ำเสียงเฉียบขาด “เหวินเกอ อู่เกอเป็นของข้าเพียงคนเดียว พวกเขาใช้แซ่เจี่ยนตามข้า! อีกหน่อยไม่ว่ากับใครก็ห้ามเอ่ยว่าพวกเขาเป็นเลือดเนื้อตระกูลเสิ่น รวมถึงต่อหน้าผู้ชายของเจ้าด้วย!”

ชื่อของเจินสือเหนียงเมื่อชาติก่อนคือเจี่ยนโยว หลังถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันปัญหา นางจึงตัดสินใจบอกคนนอกว่าพวกนางเช่าบ้านหลังนี้กับสกุลเสิ่น เป็นแม่ม่ายแซ่เจี่ยนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่เงียบๆ ลูกสองคนตั้งชื่อให้ว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่

ห้าปีมานี้สกุลเสิ่นไม่เคยมาที่นี่ กอปรกับเจินสือเหนียงร่างกายไม่แข็งแรง จึงอยู่แต่บ้านไม่ค่อยออกไปไหน คนในเมืองจึงไม่สงสัย

นานแล้วที่ไม่เห็นเจินสือเหนียงดุแบบนี้ สี่เชวี่ยรีบคุกเข่าลงทันที “บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” เจินสือเหนียงถอนใจ “เจ้าไม่รู้หรอก ข้ายอมหาสามีชาวชนบทที่รักและห่วงใยข้า ยังดีกว่าใช้ชีวิตอีกครึ่งที่เหลือกับเขา”

“คุณหนู…คุณหนูจะ…” สี่เชวี่ยปากอ้าตาค้าง

คุณหนูของนางคงไม่คิดจะแต่งงานใหม่จริงๆ หรอกนะ แบบนี้ขัดต่อขนบธรรมเนียมเกินไปแล้ว!

ด้วยรู้ว่าสี่เชวี่ยยึดคติสตรีต้องมีสามีเดียว จะให้นางยอมรับความคิดนี้ในชั่วเวลาสั้นๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจินสือเหนียงจึงลุกขึ้น “ไปเถอะ ได้เวลาทำอาหารกลางวันแล้ว”

สี่เชวี่ยขยับปากไปมาทำท่าจะถามให้ชัดเจน แต่เห็นเจินสือเหนียงเดินออกไปแล้ว จึงส่ายหน้าและรีบก้าวตามไป

นอกจากเหวินเกอ อู่เกอที่เป็นผู้ชาย ในบ้านมีแต่ผู้หญิงสามคน หลังบ้านมีสระบัวสองหมู่กับแปลงผักครึ่งหมู่ ปกติแล้วงานที่ต้องใช้แรงสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋จะเป็นผู้รับผิดชอบ ในบรรดาผู้หญิงสามคนเจินสือเหนียงร่างกายอ่อนแอ นางจึงรับหน้าที่ทำกับข้าว

โชคดีที่ชาติก่อนเจินสือเหนียงชอบกินของอร่อยและชอบดูรายการ ‘ประเทศจีนที่ปลายลิ้น’* เป็นที่สุด การทำอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับนาง แถมยังสร้างความสุขเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะทุกครั้งที่สามารถเปลี่ยนวัตถุดิบที่แสนจะธรรมดาให้เป็นอาหารรสเลิศได้ ทำเอาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กินจนพุงกาง เจินสือเหนียงจะรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ

นางให้สี่เชวี่ยไปจับปลาไนจากสระบัวมาตัวหนึ่งและนำไปนึ่ง จากนั้นทำหมูสับนึ่งแป้ง ต้มโจ๊กเม็ดบัวอีกหม้อ เอาผักก้อนนึ่งแป้งที่ทำไว้แล้วไปอุ่นสักหน่อยกับผักดองอีกสองจาน แค่ครึ่งชั่วยาม อาหารหอมฉุยก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ

อาศัยช่วงที่นางทำกับข้าว สี่เชวี่ยพาชิวจวี๋กับเด็กสองคนไปเก็บฝักบัวมาอีกหลายฝัก “ฝีมือของคุณหนูดีขึ้นทุกวัน” เห็นอาหารหอมฉุยบนโต๊ะแล้ว ชิวจวี๋ก็น้ำลายหกเป็นคนแรก

“เนื้อ! เนื้อ!” เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นเนื้อ พอได้กลิ่นหอมของเนื้อ เหวินเกอ อู่เกอก็รีบปีนขึ้นไปบนเตียงเตา** “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะกินเนื้อ! หมูสับนึ่งแป้งอร่อย!”

“ได้ พวกเราทุกคนได้กินเนื้อแน่” เจินสือเหนียงก้มตัวยั้งลูกทั้งสองไว้ก่อน “แต่เหวินเกอ อู่เกอต้องล้างมือให้สะอาดก่อน”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยื่นสองมือที่เปื้อนดินโคลนออกมาแล้วแลบลิ้นใส่กัน ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปโดยไม่ลืมบอกว่า “ท่านแม่รอข้าด้วย!” อู่เกอวิ่งชนชิวจวี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตู เด็กน้อยผงะและตะโกนว่า “ข้าจะไปล้างมือ พี่ชิวจวี๋ห้ามแอบกินเนื้อนะ!”

ชิวจวี๋หัวเราะคิก “เดี๋ยวพี่สาวพาเจ้าไปล้างมือ”

“ข้าพาพวกเขาไปดีกว่า เจ้าไปช่วยคุณหนูตักโจ๊ก” สี่เชวี่ยที่เพิ่งเก็บฝักบัวเรียบร้อยและเดินเข้ามาในบ้านเห็นเข้า จึงดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไป

ชิวจวี๋ขานรับและไปหยิบชามในห้องครัว

เหวินเกอ อู่เกออายุน้อยก็จริง แต่กลับโตกว่าวัย กินข้าวไม่ต้องให้คนป้อน เจินสือเหนียงคีบกับข้าวใส่ชามของทั้งสอง พวกเขาก้มหน้ากินอย่างเอร็ดอร่อย

คนเยอะแต่เนื้อมีน้อย เห็นสี่เชวี่ยตักเนื้อไปกินคำหนึ่งก็ไม่ยอมกินอีก เหลือไว้ให้เด็กๆ กิน ด้วยรู้ว่าพูดโน้มน้าวไปก็ไร้ประโยชน์ เจินสือเหนียงจึงเลื่อนปลาตรงหน้าเหวินเกอไปตรงหน้าสี่เชวี่ย “เอ้า ปลานึ่งของโปรดของเจ้า”

ที่บ้านมีสระบัว ฤดูใบไม้ผลิเจินสือเหนียงปล่อยลูกปลาลงไปในสระเยอะมาก พวกนางจึงได้กินเนื้อปลาบ่อยๆ

“คุณหนูร่างกายไม่แข็งแรง ควรกินเนื้อให้มากหน่อย” สี่เชวี่ยคีบเนื้อหมูสับใส่ลงในชามเจินสือเหนียง ส่วนตนเองคีบเนื้อปลาไปกิน พอตะเกียบถึงปาก นางก็รู้สึกคลื่นไส้

“เป็นอะไรไป” เห็นสีหน้าผิดปกติของนาง เจินสือเหนียงจึงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า ฝืนยัดเนื้อปลาใส่ปาก คิดไม่ถึงว่าไม่กินยังพอทน พอฝืนกลืนลงไป ท้องไส้ของนางก็ปั่นป่วนทรมาน สี่เชวี่ยอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ปิดปากวิ่งออกไปข้างนอก ทำเอาชิวจวี๋ตกใจกระโดดลงจากเตียงเตาและวิ่งตามออกไปเท้าเปล่า

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ตกใจจนวางตะเกียบ “อาสี่เชวี่ยเป็นอะไรหรือ” เจี่ยนอู่ลุกขึ้นทำท่าจะลงจากเตียงเตา

“กินข้าวต่อ” เจินสือเหนียงยื่นมือกดตัวเขาไว้และคีบผักก้อนนึ่งแป้งให้พวกเขาคนละก้อน “กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ” ทว่าสายตากลับมองไปที่หน้าประตูอย่างเป็นห่วง

ชิวจวี๋ประคองสี่เชวี่ยเดินเข้ามา

“เป็นอย่างไรบ้าง” เจินสือเหนียงถาม

“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยยิ้ม แต่ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย “อาจเพราะตอนเช้าไปโน่นมานี่ ตากแดดมากเกินไป บ่าวดื่มโจ๊กดีกว่า” นางยกชามโจ๊กเม็ดบัวขึ้นมาและก้มหน้าดื่มทันที

เจินสือเหนียงกลับนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด

“ข้ากินอิ่มแล้ว” เจี่ยนเหวินวางตะเกียบ “ข้าจะไปแกะฝักบัว!”

เห็นพี่ชายวางตะเกียบ เจี่ยนอู่ก็รีบยัดผักก้อนนึ่งแป้งที่เหลือในมือใส่ปากและลุกขึ้นบ้าง แต่ถูกเจินสือเหนียงกดตัวไว้ “กลืนข้าวในปากลงไปก่อน” นางเงยหน้าเรียกเจี่ยนเหวิน “รอน้องชายด้วย”

เจี่ยนอู่รีบกลืนข้าวในปาก รับน้ำที่ชิวจวี๋ยื่นให้ดื่มคำหนึ่ง หอบหายใจคำโตและชูมือขวา “ข้าก็จะไปแกะฝักบัวเหมือนกัน!”

“รออาหารย่อยแล้วกลับมานอนกลางวันล่ะ” เจินสือเหนียงกำชับ

“อื้ม…” เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังมาจากลานบ้าน

“ระดูครั้งล่าสุดของเจ้ามาเมื่อไร” เห็นชิวจวี๋และเด็กๆ เดินออกไปแล้ว เจินสือเหนียงถึงหันไปถามสี่เชวี่ย

“เดือนก่อนเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยชะงัก ดวงตาเป็นประกายพลางมองเจินสือเหนียงอย่างตื่นเต้นดีใจ “ดูเหมือนจะไม่มาสองเดือนแล้ว คุณหนู…บ่าว…”

แต่งงานมาเกือบสามปี แต่ท้องกลับนิ่งมาตลอด แม้สามีจะไม่พูด แต่สี่เชวี่ยเองก็ร้อนใจ

“เจ้านี่นะ” เจินสือเหนียงคว้าแขนนาง “ให้ข้าดูหน่อย”

“ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเจินสือเหนียงแล้ว สี่เชวี่ยแทบกลั้นหายใจ

“ไม่ใช่” เจินสือเหนียงส่ายหน้า

“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงหน้าเล็กของสี่เชวี่ยหม่นลง

“หลอกเจ้าต่างหาก” เจินสือเหนียงหัวเราะคิก “สองเดือนกว่าแล้ว”

“คุณหนูชอบแกล้งบ่าวอยู่เรื่อยเลย” สี่เชวี่ยน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่เพราะความตื่นเต้นยินดี

“เอาล่ะๆ” เจินสือเหนียงลูบหลังนาง “ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะเช่นนี้จะไม่ดีต่อครรภ์ได้”

สี่เชวี่ยไม่กล้าร้องไห้อีก “วิชาแพทย์ของคุณหนูเยี่ยมยอดจริงๆ คราวนี้บ่าวนี่แหละที่เป็นตัวอย่าง บ่าวจะออกไปป่าวประกาศให้ทั่ว”

เห็นนางแต่งงานมาสามปียังไม่ตั้งครรภ์ เจินสือเหนียงจึงเขียนสูตรยาให้ เพิ่งจะกินได้สามเดือนเท่านั้นก็เห็นผลถึงเพียงนี้

“ระวังผู้อื่นจะว่าเจ้าขี้โม้” เจินสือเหนียงหัวเราะ คิดอะไรบางอย่างได้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เพิ่งจะสองเดือน ครรภ์ยังไม่มั่นคง อีกหน่อยอย่าไปเก็บฝักบัวอีกเลย”

“แต่ว่า…”

“ปีนี้เก็บเกี่ยวดี ข้าว่างานในสระบัวจ้างคนมาทำดีกว่า เจ้ากับชิวจวี๋จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

สี่เชวี่ยส่ายหน้า “แบบนั้นก็ต้องเสียเงินอีก” ปีหน้าเหวินเกอ อู่เกอต้องเข้าศึกษาแล้ว มีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก “หรือว่า…” นางเงยหน้าทันใด “ให้ฉางเหอมาช่วยสักสองสามวันเถอะเจ้าค่ะ” จะได้เป็นการประหยัดเงินไปหน่อย

ฉางเหอนามว่าหลี่ฉางเหอ เป็นสามีของสี่เชวี่ย บ้านมีที่นาแปลงเล็กๆ ยามว่างจากงานในท้องนาจะรับจ้างทำงานให้คนอื่น เขากับสี่เชวี่ยรู้จักกันก็เพราะเจินสือเหนียงจ้างเขามาช่วยทำงานในสระบัวที่บ้าน หลี่ฉางเหอเป็นคนดีมีน้ำใจ หลายปีมานี้ช่วยเหลือเจินสือเหนียงไว้ไม่น้อย

“อย่าเลย” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “แม้แต่เงินเดือนของเจ้าข้ายังไม่มีปัญญาจ่าย ขืนให้เขามาทำงานเปล่าๆ อีก คลอดลูกมาแล้วพวกเจ้าจะกินลมต่างข้าวหรือไร” นางเห็นสี่เชวี่ยทำท่าจะพูดต่อก็ชิงเอ่ยว่า “เจ้าวางใจ ไว้เก็บเงินพอเปิดร้านยาได้เมื่อไร เขาไม่อยากมาก็คงไม่ได้!”

เปิดร้านยาอย่างน้อยต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง! นางเป็นแม่ม่ายสามีทิ้งจะมีปัญญาเปิดได้อย่างไร อีกอย่าง ร้านยาใช่สิ่งที่สตรีจะเปิดได้เสียที่ไหน ยังไม่พูดถึงฐานะของพวกนางที่ไม่ธรรมดา แอบขายยาแบบนี้ยังพอได้ แต่ถ้าเปิดร้านขายยาอย่างเอิกเกริก หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่าภรรยาเอกของเขาแอบทำอาชีพชั้นต่ำเยี่ยงนี้ เกรงว่าคงฆ่านางปิดปากทันทีแน่

ด้วยคิดว่าเจินสือเหนียงแค่พูดปลอบใจตน สี่เชวี่ยจึงไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง ถือโอกาสพูดต่อว่า “…ในเมื่อคุณหนูอยากเก็บเงินเปิดร้านยา ตอนนี้ย่อมต้องประหยัดให้มากที่สุด ฉางเหอไม่มีดีอย่างอื่น มีแต่แรงงาน เมื่อวานหลงจู๊สวี่ทางตะวันออกของเมืองเรียกเขาไปช่วยงาน เขายังบอกว่าจะมาทำงานที่นี่เลย”

เจินสือเหนียงครุ่นคิด “ก็ได้ หากเขาไม่มีงานก็มาเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องไปจ้างคนอื่น แต่ค่าแรงต้องคิดตามราคาตลาด คราวนี้ห้ามเขาไม่รับเงิน มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมา!”

“คุณหนู!” สี่เชวี่ยหน้าแดงซ่าน

“ตกลงตามนี้แหละ” เจินสือเหนียงโบกมือ มองนางและพูดต่อว่า “ปีหน้าเหวินเกอ อู่เกอถึงวัยเข้าศึกษาแล้ว ข้าว่าหน้าหนาวปีนี้จะเลิกจ้างแม่นม”

สี่เชวี่ยอึ้งไปก่อนตอบว่า “ก็ดีเจ้าค่ะ แบบนี้ปีหนึ่งจะประหยัดได้อีกหกตำลึงกว่า หาเพิ่มอีกนิดหน่อยก็พอเป็นค่าเล่าเรียนของพวกเขาแล้ว ถึงอย่างไรอีกหน่อยบ่าวก็ลงสระบัวไม่ได้ บ่าวจะเป็นคนดูแลพวกเขาเอง เพียงแต่…” นางถอนใจ “จะอย่างไรก็เป็นทายาทของท่านแม่ทัพ มีพรสวรรค์ออกขนาดนี้ ส่งไปเรียนที่สถานศึกษาทั่วไป พรสวรรค์จะถูกละเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางพูดต่อ “บ่าวเห็นพวกเขาสองคนล้วนอยู่ไม่สุข โดยเฉพาะอู่เกอที่ยิงธนูแม่นยิ่งนัก…” หากได้อยู่ในจวนแม่ทัพ เสิ่นจงชิ่งจะต้องควักเงินก้อนโตจ้างครูฝึกยุทธ์กับอาจารย์สอนวิชาที่ดีที่สุดมาถ่ายทอดความรู้ให้พวกเขาแน่ สิบปีให้หลังย่อมกลายเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกคน ในใจคิดเช่นนี้ แต่พอนึกถึงท่าทีของเจินสือเหนียง สี่เชวี่ยจึงหยุดพูดเพียงแค่นั้น เอาแต่มองผู้เป็นนายด้วยสายตาหม่นหมอง

เจินสือเหนียงจะไม่เข้าใจหลักการข้อนี้ได้อย่างไร จำได้ว่าคำพูดติดปากของพ่อแม่ที่หวังให้ลูกเจริญก้าวหน้าคือ ‘จะปล่อยให้เด็กแพ้ที่จุดสตาร์ตไม่ได้เด็ดขาด’

เด็กสองคนนี้เฉลียวฉลาดแต่กำเนิดทั้งยังอยู่ไม่สุข นางควรหาครูฝึกยุทธ์มาสอนวิชาให้พวกเขา

แต่นางมีเงินเสียที่ไหน

บิดาของพวกเขาน่ะมีเงิน แต่น่าเสียดาย… คิดถึงความเย็นชาและวาจาร้ายกาจของเสิ่นจงชิ่งแล้ว เจินสือเหนียงส่ายหน้าในใจ “ช่างเถอะ พ่อแบบนั้นถึงมีเงินมากแค่ไหนก็สอนลูกให้ดีไม่ได้หรอก หาไม่จะมีลูกที่รู้จักแต่ล้างผลาญสมบัติพ่อแม่ได้อย่างไร” การอบรมบ่มสอนเด็กไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว คำสอนและการทำตัวเป็นแบบอย่างของพ่อแม่มีความสำคัญยิ่งกว่า นางถอนใจและเอ่ยว่า “เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน ใครว่าลูกคนจนจะไม่ประสบความสำเร็จเล่า”

 

สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ ไม่สะดวกจะเทียวไปเทียวมา งานส่งยาทวงเงินจึงตกอยู่ที่เจินสือเหนียง เนื่องจากการเคี่ยวเออเจียวเปลืองเวลาและเปลืองแรง เพื่อเก็บค่าเล่าเรียนและเงินทุนในการเปิดร้านยาให้ได้โดยเร็วที่สุด เจินสือเหนียงตัดสินใจเอาเงินที่หาได้ทั้งหมดมาซื้อวัตถุดิบและปรุงยาลูกกลอนขึ้น

“ยานี้มีชื่อว่าลูกกลอนไก่ดำพญาหงส์ขาว” วันนี้เจินสือเหนียงนำยาลูกกลอนที่เพิ่งปรุงเสร็จมาที่ร้านขายยารุ่ยเสียง “ปรุงจากไก่ดำ กาวเขากวาง กระดองตะพาบ โสม แก่นหวงฉี และตัวยาอื่นๆ ช่วยบำรุงเลือดลม ปรับระดูให้เป็นปกติและรักษาตกขาว เหมาะกับคนที่เลือดลมไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ปวดเอวปวดหัวเข่า…” นางเปิดยาออกเม็ดหนึ่งพลางอธิบายสรรพคุณและวิธีใช้ให้เฝิงสี่หมอที่นั่งประจำร้านและหลงจู๊หลี่ฉีฟังอย่างใจเย็น สุดท้ายเอ่ยว่า “ยาลูกกลอนเหล่านี้พบเห็นน้อยในต้าโจว แต่ประสิทธิภาพไม่มีปัญหาแน่นอน พี่หลี่ลองขายให้ข้าที”

ปัจจุบันยาเม็ดไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ถึงขั้นถูกแทนที่ด้วยยาตะวันตกแล้วด้วยซ้ำ แต่ในต้าโจวที่การแพทย์ยังล้าหลัง การรักษาโรคส่วนใหญ่จะใช้ยาต้ม นอกจากสำนักแพทย์หลวงในวังแล้ว น้อยคนนักที่สามารถปรุงยาเม็ดได้ ร้านยาทั่วไปก็ไม่ขายยาพวกนี้ หนึ่งเพราะไม่มีแหล่งนำเข้าสินค้า สองเพราะชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อ แม้จะรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่เจินสือเหนียงก็จนปัญญา

ร่างกายนางอ่อนแอ ให้นางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาขายย่อมเป็นไปไม่ได้ แค่ให้มานั่งเป็นหมอประจำอยู่ที่นี่นางยังไม่ไหว ด้วยจนใจจึงคิดปรุงยาลูกกลอนมาลองเสี่ยงโชคดู

ยาลูกกลอน!

หลงจู๊หลี่ตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “แม่นางเจี่ยนปรุงยาลูกกลอนเป็นด้วยหรือ” แต่แล้วใบหน้าก็หม่นลง “ของนี้ดีก็จริง แต่ท่านก็รู้ว่าเมืองเล็กๆ ของเรามีคนรวยเสียที่ไหน” ต่อให้มีก็ไปให้หมอหลวงในเมืองซั่งจิงตรวจโรคให้และรับยาที่นั่น เขาส่ายหน้า “แม่นางเจี่ยน ใช่ว่าข้าไม่เชื่อฝีมือของแม่นาง…” เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่เกรงว่าจะขายไม่ออก”

“ไม่เป็นไร” เจินสือเหนียงยิ้ม “ยาลูกกลอนนี้มีอายุปีกว่า เม็ดละสามสิบอีแปะ พี่หลี่ช่วยวางไว้ในร้านลองดูหน่อยเถอะ หากขายไม่ออกจริงๆ ค่อยนำมาคืนข้าก็ได้” นางรับรองอีกครั้ง “ท่านวางใจได้ ข้าไม่ให้ท่านเสียเงินสักอีแปะแน่นอน”

“สามสิบอีแปะ?” หลงจู๊หลี่เบิกตากว้าง “ถูกขนาดนี้เชียวหรือ” ตอนฤดูใบไม้ผลิเขาไปสำนักแพทย์หลวง ยาลูกกลอนที่นั่นขั้นต่ำก็ต้องเม็ดละห้าสิบอีแปะ

“เป็นสูตรลับที่บิดาทิ้งไว้ให้น่ะ ข้าปรุงขึ้นเอง” เจินสือเหนียงพยักหน้า เห็นหลงจู๊หลี่ทำท่าสงสัยจึงเสริมว่า “หลงจู๊หลี่วางใจได้ เป็นของชั้นดีทั้งนั้น” นางถอนหายใจ “บอกตามตรง สามสิบอีแปะข้าได้แค่ต้นทุนเท่านั้น ปีหน้าเด็กๆ ต้องเข้าเรียนแล้ว มีเรื่องให้ต้องใช้เงินมากเหลือเกิน”

ได้ยินเสียงทอดถอนใจเบาๆ ของนาง หลงจู๊หลี่ใจอ่อนทันที “ลองวางขายในร้านดูแล้วกัน จะขายออกหรือไม่คงต้องอาศัยโชคของแม่นางเจี่ยนเองแล้ว” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “เออเจียวของแม่นางเจี่ยนขายดีมาก มิสู้ท่านต้มเออเจียวให้มากหน่อย…” ครั้นคิดถึงวิชาแพทย์สูงส่งของนางก็ชี้ที่ว่างข้างเฝิงสี่ “หากท่านยินดี ข้าจะจัดที่ไว้ตรงนั้น อีกหน่อยให้ท่านมานั่งตรวจคนไข้ที่นี่ทุกวัน” หากนางยอมมานั่งประจำที่ร้านจริง ที่นี่จะต้องคึกคักยิ่งกว่าตลาดสดแน่ “ค่าตรวจรักษาเป็นของท่านทั้งหมด ข้าขอกำไรแค่ค่ายาเท่านั้น” เขาหันไปมองเฝิงสี่ “เจ้าเองก็อย่าคิดเปรียบเทียบเลย นางไร้ที่พึ่งพิง ใช้ชีวิตยากลำบาก ล้วนเป็นชาวเมืองเดียวกัน พวกเราช่วยได้ก็ช่วยกันหน่อย”

ตามธรรมเนียมเมืองอู๋ถง ค่าตรวจรักษาของหมอที่นั่งประจำร้านยาจะแบ่งสามส่วนเจ็ดส่วน หมอได้รับเจ็ดส่วน ร้านยาได้รับสามส่วน

“ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” เฝิงสี่ส่ายหน้าไปมา “แม่นางเจี่ยนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกสองคนก็ลำบากมากแล้ว หากเจ้ายังเก็บค่านั่งร้านกับนาง ข้ายังจะดูถูกเจ้าด้วยซ้ำ” ตั้งแต่สองปีก่อนที่นางช่วยเขาไว้จากสถานการณ์คับขัน เฝิงสี่ก็เลื่อมใสนางจากใจจริง

ร้านยาแห่งนี้ไม่ใหญ่โต หากมีหมอนั่งประจำร้านสองคนจริง ด้วยฝีมือของนาง เกรงว่าไม่ถึงครึ่งเดือนเฝิงสี่คงต้องกินลมแทนข้าวแล้วล่ะ ฟังคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงยิ้ม “ขอบคุณพี่หลี่” แต่นางปฏิเสธ “ร่างกายข้าท่านเองก็รู้ เคี่ยวเออเจียวแต่ละครั้งยังต้องพักผ่อนอย่างน้อยครึ่งเดือนเรี่ยวแรงถึงจะกลับมา แล้วจะนั่งตรวจโรคที่ร้านยาไหวได้อย่างไร”

หลงจู๊หลี่กับเฝิงสี่มองร่างแบบบางของเจินสือเหนียงที่แค่ลมพัดก็ปลิวได้ ก่อนจะพากันส่ายหน้า

“อะแฮ่ม…” เฝิงสี่กระแอมสองครั้งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “แม่นางเจี่ยนนั่งตรวจโรคที่นี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไว้วันใดข้าเจอคนไข้รายใหญ่จะแนะนำท่านไปตรวจรักษาแน่นอน หากแม่นางเจี่ยนได้ไปตรวจโรคให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูตระกูลใหญ่ แค่เงินที่ได้จากการตกรางวัลก็มากกว่าเงินจากการนั่งตรวจโรคในร้านทั้งเดือนแล้ว!”

คำพูดนี้ของเฝิงสี่ไม่เกินจริงเลย บางครั้งเวลาบรรดาฮูหยินกับคุณหนูตระกูลใหญ่มีโรคสตรีที่ยากจะเอ่ยปาก เขาซึ่งเป็นบุรุษย่อมไม่เหมาะจะไปตรวจรักษา ที่สำคัญคือเฝิงสี่อยากแนะนำตระกูลดีๆ ให้เจินสือเหนียงจากใจจริง แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่า แต่หากพิจารณาให้ดี เจินสือเหนียงนับเป็นคนงามที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง หากนายท่านตระกูลใหญ่คนใดพึงใจนางเข้า แม้ต้องเป็นอนุก็ยังดีกว่าใช้ชีวิตลำบากลำบนอย่างทุกวันนี้

หากโชคดีได้แต่งเป็นภรรยาของบุรุษที่เป็นม่าย พวกนางแม่ลูกย่อมลืมตาอ้าปากได้ ปีก่อนเฝิงสี่ก็แนะนำนางไปตรวจโรคให้คุณหนูในจวนแห่งหนึ่ง ฮูหยินตระกูลนั้นตกรางวัลทีเป็นเงินตั้งสิบตำลึง

กระนั้นเจินสือเหนียงรู้ว่าเรื่องแบบนี้ล้วนขึ้นอยู่กับโชค ฟังคำพูดของเขาแล้ว นางไม่ตระหนักว่าเฝิงสี่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจึงพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาเฝิงมาก”

ระหว่างที่พูดได้ยินเสียงประตูร้านยาถูกเปิดออก เสียงกังวานใสเอ่ยถามว่า “หลงจู๊ ที่นี่มีเออเจียวสกุลเจี่ยนขายหรือไม่”

ได้ยินคนถามหายาที่นางทำเอง เจินสือเหนียงเงยหน้ามองด้วยความสงสัยและสูดหายใจโดยไม่รู้ตัว

ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด ไม่โดดเด่นอะไร ที่ทำให้เจินสือเหนียงตะลึงคือบุรุษข้างหลังที่แลดูสง่าน่าเกรงขามต่างหาก

ชาติก่อนนางเคยเห็นดาราและคนดัง แต่เพิ่งจะตอนนี้เองที่นางเข้าใจคำว่าเหนือชั้นอย่างไม่มีใครเทียบติดอย่างถ่องแท้ เส้นผมของเขาดำเหมือนหมึก เครื่องหน้าคมเข้มชัดเจน ริมฝีปากบางชุ่มชื้น ดวงตารียาว แววตากระจ่างใสเหมือนดวงดาวกลางท้องฟ้ายามราตรี ทำให้คนเห็นแล้วมิอาจละสายตาจริงๆ

ของสวยๆ งามๆ มองแล้วย่อมเจริญตาเจริญใจ แถมผู้ชายคนนี้ยังดูเย็นชาและเท่ชะมัด เป็นสไตล์ที่นางชอบพอดี เจินสือเหนียงมองตาค้างโดยไม่รู้ตัว

ด้วยรู้สึกว่าถูกจ้อง ชายหนุ่มจึงหันมามองนาง

ดวงตาสองคู่สบประสานกัน เจินสือเหนียงหัวใจเต้นแรง รีบก้มหน้าลงทันที ชายผู้นั้นแววตาไหวระริก นิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด

“ใช่แล้วขอรับ เออเจียวสกุลเจี่ยนมีร้านผู้น้อยจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว!” แม้ชายผู้นั้นจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่หลี่ฉีที่เห็นคนมามากมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาทิ้งเจินสือเหนียงและปรี่เข้าไปต้อนรับอย่างพินอบพิเทา

“เอามาสิบชั่ง” เด็กหนุ่มที่เป็นบ่าวร้องบอก

“เอ่อ…” หลงจู๊หลี่ลังเล เหลือบมองบุรุษด้านหลังเด็กหนุ่มอย่างเก้อๆ “ลูกค้ามาผิดจังหวะ เออเจียวสกุลเจี่ยนเพิ่งจะขายหมดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หากลูกค้าต้องการซื้อคงต้องรอถึงเดือนหน้า”

“เดือนหน้า?” คิดว่าหลงจู๊จงใจหาข้ออ้าง บ่าวผู้นั้นจึงเลิกคิ้ว “วันนี้เพิ่งจะวันที่ยี่สิบ ทำไมถึงบอกปัดไปถึงเดือนหน้าล่ะ” เห็นหลี่ฉีทำท่าจะเอ่ยปากเขาก็ชิงพูดต่อ “เจ้าอย่าหวังกำไรผิดทาง รู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าเป็นใคร” เขาหันไปชี้บุรุษด้านหลัง “นายท่านของข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่เพิ่งชนะสงครามกลับมา!”

เขาหยุดพูดและถลึงตาจ้องหลี่ฉี “หากใช้เออเจียวของเจ้าแล้วติดใจย่อมมีรางวัลให้แน่นอน!”

บุรุษผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเสิ่นจงชิ่งที่เพิ่งชนะศึกกลับมา ทั้งยังเป็นสามีที่ไม่ได้พบหน้ากันมาห้าปีของเจินสือเหนียง วันนี้ออกมาทำธุระข้างนอกและถือโอกาสแวะซื้อเออเจียวกลับไปให้อนุคนที่ห้าฉู่ซินอี๋

“หรงเซิง อย่าเสียมารยาท!” เห็นพูดได้ไม่กี่คำ หรงเซิงก็ยกเอาชื่อเสียงของเขาออกมาข่มผู้อื่น ทำท่าเหมือนจะใช้อำนาจรังแกผู้น้อย เสิ่นจงชิ่งจึงเอ่ยปากห้ามเขา แม้เสียงไม่ดัง แต่กลับเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม หรงเซิงไม่กล้าพูดมากอีก หลบไปยืนด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม

แม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว?!

หลี่ฉีตกตะลึง จากนั้นสองตาเป็นประกาย “ท่านคือแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่ส่งมอบเชลยศึกที่ประตูอู่เหมิน ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วต้าโจวหรือขอรับ” เขาค้อมกายคำนับเสิ่นจงชิ่งอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัยด้วย เชิญท่านแม่ทัพนั่งก่อนขอรับ” หลี่ฉีหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์ในร้านที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง “รีบยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ ชงชาต้าหงเผาที่ฟู่ไป่วั่นเพิ่งส่งมาให้!”

“เจ้าของร้านเกรงใจแล้ว” เสิ่นจงชิ่งยืนนิ่งไม่ขยับ พูดด้วยสีหน้าสุภาพว่า “ได้ยินมาว่าเออเจียวสกุลเจี่ยนของร้านท่านคุณภาพดีมาก เจ้าของร้านแบ่งออกมาหน่อยได้หรือไม่” เขาเองก็คิดว่าคำพูดหลี่ฉีที่บอกว่าไม่มีของนั้นเป็นคำโกหกเช่นกัน

ยาที่ขายดีขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปหรอก ต่อให้ของหมดจริง ไม่กี่วันก็น่าจะสั่งเข้ามาเพิ่มได้ จะผัดไปถึงเดือนหน้าได้อย่างไร

หน้าผากของหลี่ฉีมีเหงื่อซึม “ผู้น้อยไม่ได้โกหกท่านแม่ทัพจริงๆ ขอรับ” เขากลืนน้ำลาย “เออเจียวสกุลเจี่ยนนี้เป็นฝีมือของท่านหมอเจี่ยนผู้โด่งดังของเมืองอู๋ถง ใต้เท้าไม่ทราบว่าร่างกายของท่านหมอเจี่ยนอ่อนแอ ออกแรงมากไม่ได้ แต่ละเดือนอย่างมากก็ผลิตได้แค่เจ็ดแปดสิบชั่งเท่านั้น ส่งมาไม่กี่วันก็ขายหมดแล้ว หากจะซื้อก็ต้องรอ หรือหากใต้เท้าต้องการก็ทิ้งที่อยู่ไว้เถิดขอรับ รอไว้เดือนหน้าสินค้ามาเมื่อไร ผู้น้อยจะส่งไปให้ถึงจวนด้วยตนเองทันที” พูดจบหลี่ฉีก็มองเสิ่นจงชิ่งอย่างกระตือรือร้น

หากได้ติดต่อกับแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วผู้นี้และได้ขายยาให้ทางกองทัพ เงินทองย่อมไหลมาเทมา!

“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เห็นท่าทีเขาไม่เหมือนโกหก เสิ่นจงชิ่งจึงพยักหน้าอย่างผิดหวัง

ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินฉู่ซินอี๋พูดถึง เห็นว่าเป็นทางผ่านจึงแวะมาดู ใช่ว่าจำต้องซื้อให้ได้ ครั้นเห็นในร้านไม่มีของก็ไม่อาลัย หมุนตัวเดินออกไปทันที

เห็นเขาหันหลังจากไป หลี่ฉีผิดหวังอย่างหนัก จู่ๆ พลันคิดได้ว่าเจินสือเหนียงอยู่ในร้านยานี้เอง จึงร้องเรียกเสิ่นจงชิ่งไว้ “ใช่แล้ว แม่ทัพเสิ่น ท่านหมอเจี่ยน…” เขาตะโกนพลางหันไปมอง แต่ไหนเลยจะเห็นเงาของเจินสือเหนียง

หลี่ฉีตกใจ คำพูดท่อนหลังติดคาอยู่ในลำคอขณะตะลึงมองเสิ่นจงชิ่งที่ค่อยๆ หันกลับมา

“มีอะไรหรือ” เสิ่นจงชิ่งมองตามสายตาเขาไปยังเฝิงสี่ที่เป็นหมอประจำอยู่ที่นี่

“ผู้น้อย…ผู้น้อยอยากจะบอกว่าท่านหมอเจี่ยนอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมือง ท่านแม่ทัพอยากให้ผู้น้อยพาไปพบหรือไม่ เผื่อว่ายังมีเออเจียวเหลืออยู่ ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าหมอเจี่ยนท่านนี้วิชาแพทย์ล้ำเลิศ เชี่ยวชาญรักษาโรคที่หายยาก” หลี่ฉีต่อคำพูดที่ค้างไว้อย่างตกใจไม่หาย สายตากวาดมองไปทั่วพลางคิดในใจ ค่าเออเจียวเดือนนี้ยังไม่ได้คิดเลย แค่ครู่เดียวเท่านั้น นางหายไปไหนเสียแล้ว คิดถึงความงามของเจินสือเหนียงแล้ว เขาแอบหวังว่านางจะสามารถใช้โอกาสนี้เกี่ยวดองกับแม่ทัพใหญ่ซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ น้ำเสียงยามเอ่ยถึงนางจึงยกยอปอปั้นโดยไม่รู้ตัว

ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มีอนุถึงห้าคน แต่ละคนสวยไม่แพ้กัน เห็นได้ว่าเป็นคนนิยมชมชอบคนงาม ด้วยรูปโฉมของหมอเจี่ยน เขาไม่พึงใจสิแปลก!

เสิ่นจงชิ่งมองตำแหน่งที่เจินสือเหนียงนั่งอยู่เมื่อครู่นี้อย่างใช้ความคิดและส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า” เขาก้าวออกจากร้านยา จู่ๆ ก็ชะงัก อุทานว่า “ข้านึกออกแล้ว!”

“นายท่านนึกอะไรได้ขอรับ” หรงเซิงถามอย่างงุนงง

“คนป่วยเมื่อครู่นี้!” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางสืบเท้าออกไปข้างนอก

เขาไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงมาขายยา คิดว่านางเป็นคนป่วยที่มาหาหมอ ตอนนี้เขานึกออกแล้ว มิน่าพอเข้าไปในร้านเขาถึงรู้สึกคุ้นตา ดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาที่ถูกเขาทอดทิ้งให้อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษเมื่อห้าปีก่อน ดวงตาสงบนิ่งในคืนนั้นประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อครู่ตอนเขาสบตากับนางถึงได้ตะลึงงัน

ห้าปีแม้ไม่นับว่ายาวนาน แต่จากเด็กสาวไม่ประสีประสาอายุสิบสามกลายเป็นหญิงสาววัยสิบแปดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ใหญ่ อีกทั้งวิญญาณในร่างยังเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงของเจินสือเหนียงนับว่าไม่น้อยเลย อีกทั้งตอนนี้นางอยู่ในชุดเก่าๆ ไม่ได้สวมเสื้อผ้างดงามหรูหราเช่นเมื่อก่อน แวบแรกที่เห็น เสิ่นจงชิ่งจำนางไม่ได้ย่อมไม่แปลก

จำได้รางๆ ว่านางฉวยโอกาสตอนที่เขาคุยกับหลี่ฉีแอบหลบออกไปทางด้านข้างเงียบๆ เสิ่นจงชิ่งรีบวิ่งตามออกไปข้างนอกทันที

บนท้องถนนว่างเปล่า ไหนเลยจะเห็นเงาของนาง

นางเป็นอะไร ป่วยเป็นโรคอะไร เสิ่นจงชิ่งขมวดคิ้วมองท้องถนนอันว่างเปล่าพลางนึกสงสัย

จู่ๆ เขาก็หมุนตัวก้าวฉับๆ เข้าไปในร้านขายยาอีกครั้ง

“ท่านแม่ทัพจะไปไหนขอรับ” หรงเซิงเดินตามไปมาอย่างงุนงง

เจินสือเหนียงโผล่ออกมาจากหลังเสาไม่ห่างออกไป มองแผ่นหลังของเสิ่นจงชิ่งที่หายลับเข้าไปในร้านขายยาแล้วปล่อยลมหายใจยาวๆ

เมื่อกี้น่าขายหน้าชะมัด!

สองชาตินี้นางไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนมาก่อน วันนี้พอจะเรียกได้ว่าชอบตั้งแต่แรกเห็น คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นสามีปากร้ายที่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ห่วยจนไม่รู้จะห่วยอย่างไรของนาง!

คืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน เขายืนอยู่บนเฉลียงทางเดินมืดสลัว ทั้งยังมีม่านลูกปัดบังอยู่ นางจึงเห็นหน้าเขาไม่ชัด คิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ มิน่าเจ้าของร่างคนเดิมถึงได้จะเป็นจะตายเพราะเขา พอคิดว่าถ้าหรงเซิงแจ้งฐานะเขาช้ากว่านี้หน่อย นางเกือบจะเข้าไปทำความรู้จักและให้เขาตามไปเอาเออเจียวที่บ้านแล้ว เจินสือเหนียงก็อยากขุดหลุมฝังตนเองเหลือเกิน

เจินสือเหนียงมุ่งหน้าไปทางตะวันออกพลางขมวดคิ้วมุ่น คิดในใจว่า เมื่อกี้เขารีบร้อนตามออกมา คิดจะทำอะไรนะ จำนางได้อย่างนั้นหรือ

เขาไม่เหมือนกับนาง เขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำและไม่ได้เปลี่ยนวิญญาณ ต่อให้ไม่เจอกันห้าปี จำไม่ได้ในแวบแรกที่เห็น แต่หากย้อนคิดดูก็น่าจะนึกออก

พอบังเกิดความคิดนี้ เจินสือเหนียงร้องในใจว่าแย่แล้ว ลูบกระเป๋าเห็นว่ายังมีเงินอยู่หลายพวงก็รีบจ้างรถม้ากลับบ้านทันที

บทที่ 2

 เหวินเกอ อู่เกอเล่นหมากห้าเม็ดอยู่หน้าประตู อู่เกอเห็นตนเองกำลังจะแพ้ เงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงลงจากรถม้าก็ใช้เท้าขยี้กระดานหมาก “ท่านแม่กลับมาแล้ว ข้าไม่เล่นแล้ว!” จากนั้นวิ่งไปหาเจินสือเหนียงทันที “ท่านแม่ ท่านแม่!”

“เจ้าขี้โกง!” ไม่ง่ายเลยกว่าจะชนะได้สักตา คิดไม่ถึงว่ากระดานหมากจะถูกเจี่ยนอู่ทำลาย เหวินเกอไม่ยอม กระโจนเข้าไปลากตัวอู่เกอกลับมา “ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องแพ้ได้ เจ้ากลับมาเล่นหมากตานี้กับข้าให้จบ!”

“ใครว่าข้าขี้โกง!” อู่เกอหน้าแดง “ข้าไปรับท่านแม่ต่างหาก!”

“แพ้แล้วทำลายกระดานหมาก เจ้าขี้โกง!” เหวินเกอคว้าตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

อู่เกอเขินอายจนกลายเป็นโทสะ หันกลับไปสู้กับเหวินเกอ

“เหวินเกอ อู่เกอหยุดก่อน ระวังจะบาดเจ็บเข้า” แม่นมที่เฝ้าอยู่ด้านข้างรีบเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน

แม้อายุจะแค่สี่ขวบกว่า แต่พอเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ทะเลาะกันแล้วไม่ต่างจากลูกเสือสองตัว แม่นมหรือจะแยกพวกเขาออกจากกันได้

เด็กสองคนนี้ทะเลาะกันได้ทุกวัน

เห็นพริบตาเดียวลูกสองคนก็ทะเลาะกันอีกแล้ว เจินสือเหนียงถอนหายใจ หันกลับไปจ่ายค่ารถและก้าวเข้าบ้าน “เหวินเกอ อู่เกอปล่อยมือ!” แม้สุ้มเสียงของนางไม่ดัง แต่สีหน้าเคร่งขรึมมาก

เหวินเกอ อู่เกอปล่อยมือทั้งคู่ ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ จ้องหน้ากันเหมือนไก่ชน

แม่นมถือโอกาสนี้เข้าไปจัดเสื้อผ้าให้ทั้งสอง ปากบ่นพึมพำว่า “แค่ก้อนหินไม่กี่ก้อน ชนะหรือแพ้จะกินแทนข้าวได้หรือ” เงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงตีหน้าบึ้งจึงรีบหุบปาก

“เรื่องอะไรกัน” เจินสือเหนียงถาม

“เขาไม่มีเหตุผล!”

“เขาขี้โกง!”

เหวินเกอ อู่เกอพูดขึ้นพร้อมกัน

เจินสือเหนียงไม่พูดอะไร เอาแต่มองทั้งสองเงียบๆ จนกระทั่งทั้งสองหยุดและเงยหน้ามองนาง จึงเอ่ยปากว่า “เหวินเกอพูดก่อน”

“พวกเราเล่นหมากห้าเม็ด เขาแพ้แล้วทำลายกระดานหมาก!” เจี่ยนเหวินชี้เจี่ยนอู่อย่างดุดัน “ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องแพ้ได้ ไม่ใช่แพ้แล้วขี้โกง! เจ้านั่นแหละที่ผิด!”

เจินสือเหนียงมองเจี่ยนอู่

“ข้าแค่ไปรับท่านแม่!” เจี่ยนอู่เถียง

เจินสือเหนียงก้มหน้ามองกระดานหมากที่ถูกปัดทำลายไปกว่าครึ่งและพอเข้าใจ สายตาหยุดอยู่ที่เจี่ยนอู่ “เห็นแม่กลับมา อู่เอ๋อร์รู้จักไปรับ นี่คือความกตัญญู แม่ดีใจมาก” เจี่ยนอู่เชิดคางใส่เจี่ยนเหวินอย่างได้ใจ แต่แล้วเจินสือเหนียงกลับพูดต่อว่า “อู่เอ๋อร์อยากมารับแม่ แล้วทำไมต้องทำลายกระดานหมากด้วย”

“ข้า…” พอถูกจับได้ เจี่ยนอู่ก้มหน้าไม่พูดจา

“เจี่ยนอู่!” เจินสือเหนียงเรียกเขาด้วยชื่อและแซ่เต็มยศ

“ข้า…ข้าผิดไปแล้ว” เจี่ยนอู่อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะรีบกล่าวยอมรับผิดออกมา

“รู้หรือยังว่าตนเองผิดตรงไหน” เจินสือเหนียงยังคงตีหน้าบึ้ง

“ข้าไม่ควรกลัวแพ้และหาข้ออ้างไม่เล่นต่อ!” เจี่ยนอู่งึมงำเสียงค่อย

“อืม กล้ารับผิด อู่เกอเป็นเด็กดี” เจินสือเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่แล้วสีหน้ากลับขรึมลง “ผิดแล้วต้องถูกทำโทษ แม่ให้เจ้าคัดคำนี้สามสิบรอบแล้วกัน!”

“ท่านแม่…” ใบหน้าเล็กๆ ของเจี่ยนอู่งอง้ำทันที

เจินสือเหนียงไม่สนใจเขา หันไปหาเจี่ยนเหวิน “เจ้าเป็นพี่ชาย รู้ว่าน้องทำผิดก็ควรตักเตือนดีๆ ทำไมไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว”

“ท่านแม่บอกว่าข้าโตกว่าแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้ เจี่ยนอู่เอาจริงขึ้นมาแรงเยอะกว่าเขาอีก เรื่องอะไรเขาต้องยอมด้วย

“หืม?” เจินสือเหนียงขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย

“ข้ารู้แล้ว” เจี่ยนเหวินตอบเสียงเจื่อน

“ทำโทษให้เจ้าคัดหนังสือเป็นเพื่อนน้องสิบรอบแล้วกัน”

พอได้ยินว่าเจี่ยนเหวินถูกทำโทษด้วย เจี่ยนอู่ดีใจทันที ใช้มือดึงปากทำหน้าทะเล้นล้อเลียนเจี่ยนเหวิน

ชิวจวี๋ผ่าฟืนอยู่ในลานบ้าน ได้ยินเสียงเจินสือเหนียงก็ทิ้งงานในมือและวิ่งออกมา “ทำไมวันนี้คุณหนูกลับเร็วจัง” เห็นสองมือของนางว่างเปล่าก็อุทาน “ท่านไม่ได้ซื้อหนังลามาด้วยหรือ เออเจียวขายไม่ดี ไม่ได้เงินหรือเจ้าคะ”

หากได้รับค่าสินค้า คุณหนูของนางไม่มีทางลืมเรื่องพวกนี้แน่

พอชิวจวี๋เตือน เจินสือเหนียงจึงนึกเรื่องที่นางเจอเสิ่นจงชิ่งในร้านยาขึ้นมาได้ อุทานทันที “เกือบลืมเรื่องสำคัญไปแน่ะ” นางหันไปสั่งแม่นมกับชิวจวี๋ “พวกเจ้าพาเหวินเกอ อู่เกอไปบ้านสี่เชวี่ยก่อน” นางหันมากำชับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ว่า “ทำตัวเป็นเด็กดีคัดหนังสือที่แม่สั่งอยู่ที่บ้านของอาสี่เชวี่ยให้เสร็จ หากไม่มีคำสั่งของแม่ ห้ามกลับมา!” น้ำเสียงของนางเข้มงวดอย่างเห็นได้น้อยครั้ง

“แต่บ่าวยังผ่าฟืนไม่เสร็จเลย” ชิวจวี๋มองเจินสือเหนียงอย่างงุนงง

“ตอนบ่ายค่อยมาผ่าต่อ” กล่าวจบนางก็เดินเข้าเรือนไป

ไม่บ่อยที่จะเห็นเจินสือเหนียงขึงขังจริงจังเช่นนี้ แม่นมกับชิวจวี๋มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ดึงตัวเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปบ้านของสี่เชวี่ยทันที

หลังยุ่งง่วนอยู่พักหนึ่ง ข้าวของของเด็กในบ้านก็ถูกเจินสือเหนียงเก็บไปจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

นางนั่งหอบหายใจอยู่บนเก้าอี้ได้สักพักก็เงยหน้ามองดวงหน้างามผุดผาดของตนเองในกระจก พลันตกใจและคิดในใจว่า ข้าแต่งตัวแบบนี้ เขามองปราดเดียวต้องจำได้แน่ว่าข้าคือผู้หญิงที่เขาเจอในร้านยา! อีกทั้งหลี่ฉีกับเฝิงสี่ต่างรู้ว่าข้ามีลูกชายสองคน! ไม่รู้ว่าทั้งสองได้พูดคุยกับเขาหรือไม่!

คิดได้เช่นนี้ เจินสือเหนียงจึงลุกพรวดไปรื้อของในตู้ออกมาแต่งตัว นางต้องแปลงโฉมให้เขาคิดว่าเขาจำคนผิดในร้านยา!

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ขณะกำลังยุ่ง เสียงร้อนรนของสี่เชวี่ยดังมาจากด้านนอก พอได้ยินชิวจวี๋บอกว่าเจินสือเหนียงกลับมาถึงก็ไล่พวกนางไปที่บ้านของตนเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สี่เชวี่ยที่พักผ่อนอยู่ที่บ้านจึงรีบรุดมาหา เข้ามาในเรือนแล้วอดตกใจไม่ได้ “สวรรค์ คุณหนู ท่านทำอะไรของท่าน!”

“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงกำลังทาปาก พอได้ยินเสียงร้องของสี่เชวี่ยมือก็สั่น ชาดจึงเลยมุมปากออกมา นางรีบทำท่าบอกให้อีกฝ่ายเงียบ “เมื่อครู่ข้าเจอแม่ทัพเสิ่นที่ร้านยา”

“ใครเจ้าคะแม่ทัพเสิ่น” สี่เชวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตาโต “คุณหนูบอกว่าท่านแม่ทัพมาหรือเจ้าคะ” นางร้องเสียงแหลมทันใด “ท่านแม่ทัพจำท่านได้? รู้ว่าท่านไปขายยา? เขารู้ว่าท่านไปขายยาที่ร้านยาหรือเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยหน้าซีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ขืนเรื่องแพร่ออกไปว่าภรรยาเอกของแม่ทัพใหญ่แอบไปขายยา ฉีกหน้าของท่านแม่ทัพย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดีไม่ดีอาจตายได้! ตอนแรกหากไม่เพราะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ให้ตายนางก็ไม่ยอมให้คุณหนูของนางไปเป็นหมอและขายยาแน่นอน

ในต้าโจว ช่างหลอมเหล็กและหมอชาวบ้านล้วนเป็นอาชีพชั้นต่ำ อย่าว่าแต่ครองคู่กับแม่ทัพใหญ่เลย แม้แต่กับตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปยังแต่งงานกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

เจินสือเหนียงกลับไม่กลัวเรื่องนี้ ที่นางกังวลคือเสิ่นจงชิ่งจะรู้เรื่องเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และชิงตัวพวกเขากลับไป นางเห็นสี่เชวี่ยตื่นตกใจเช่นนี้จึงยิ้ม “ข้าถึงได้แปลงโฉมอยู่นี่ไง หากเขามาหาที่บ้านจริง พวกเราก็ยืนกรานไม่ยอมรับ!” น้ำเสียงนางเจือแววซุกซนเหมือนเด็กๆ

หัวใจของสี่เชวี่ยถึงค่อยสงบลง พอคิดอะไรได้นางก็ชี้เจินสือเหนียง “ต่อให้ต้องแปลงโฉม คุณหนู…คุณหนูก็ไม่จำเป็นต้องทำเยอะถึงเพียงนี้กระมัง”

เจินสือเหนียงลูบหน้า “ทำไมหรือ”

กำลังพูดเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังมาจากลานบ้าน “มีคนอยู่หรือไม่”

พวกเขามาแล้ว!

เจินสือเหนียงทำท่าให้อีกฝ่ายเงียบ จากนั้นโบกมือเป็นเชิงให้สี่เชวี่ยรีบออกไปรับหน้า

“ท่าน…แม่ทัพ…” สี่เชวี่ยผลักประตูออกไป เห็นเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงเดินตามกันมาถึงหน้าประตู แม้จะรู้ข่าวจากเจินสือเหนียงก่อนแล้ว แต่เห็นพวกเขากะทันหัน สี่เชวี่ยยังอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ นานทีเดียวจึงนึกขึ้นได้และคุกเข่าลง “บ่าวคารวะท่านแม่ทัพ!”

เขาไม่ใช่ผีสักหน่อย ไฉนนางต้องตกใจถึงเพียงนี้ด้วย เห็นใบหน้าซีดขาวของสี่เชวี่ยแล้ว เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ นายหญิงใหญ่ล่ะ”

“คุณหนู…นายหญิงใหญ่อยู่ในห้องเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ และหลบไปด้านข้าง

เสิ่นจงชิ่งก้าวเข้าไปในเรือน

“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ” เจินสือเหนียงนั่งทำงานเย็บปักอยู่บนเก้าอี้และรู้สึกตรงหน้าดำมืด เงาสูงใหญ่ขวางหน้านางอยู่ นางเงยหน้าและเห็นเสิ่นจงชิ่งเข้ามาจึงรีบวางงานเย็บปักและลุกขึ้น นางไม่คำนับเขา แต่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ข้าภรรยาคารวะท่านแม่ทัพ”

แค่มองปราดเดียว ส่วนลึกในตาของเสิ่นจงชิ่งก็ทอแววรังเกียจ สตรีผู้นี้นับวันยิ่งเสื่อมราศี!

สี่เชวี่ยที่ตามเสิ่นจงชิ่งเข้ามาในห้องและมองตามสายตาเขาไปยังเจินสือเหนียงพลันอยากจะหาหลุมมุดลงไปเหลือเกิน

ตรงจอนผมของคุณหนูมีดอกพุดตานขนาดเท่าฝ่ามือทัดอยู่ ใบหน้าผัดแป้งหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากาก แบบนี้เรียกว่าผัดแป้งที่ไหน เรียกว่าฉาบกำแพงต่างหาก แค่นี้ยังพอทน ถึงอย่างไรการแต่งตัวสมัยนี้ผู้คนก็นิยมผัดแป้งทาชาดหนาๆ เพียงแต่หลายปีมานี้นางเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไม่แต่งเติมของคุณหนูเสียจนชิน พอเปลี่ยนไปกะทันหันจึงไม่ชินเท่านั้น

แต่ว่า…แต่ว่าคุณหนูของนางไม่ควรทาปากเล็กของตนเองออกมาแบบนั้นเลยจริงๆ ทั้งที่เป็นริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มที่งดงามน่ารัก คุณหนูของนางกลับทาชาดเลยออกไปนอกริมฝีปาก โดยเฉพาะมุมซ้ายที่มีหางเล็กๆ ที่เกิดเพราะตกใจเสียงร้องของนางเมื่อครู่และยังไม่ทันลบออก ดูแล้วเหมือนปากเปื้อนเลือดของปีศาจสาวตอนกลางคืน

ที่ทำให้สี่เชวี่ยอับอายมากที่สุดคือเสื้อผ้าต่วนสีแดงสดปักลายที่คุณหนูสวมอยู่ หากนางจำไม่ผิด เสื้อตัวนี้เป็นของเมื่อห้าปีก่อน แม้รูปร่างของเจินสือเหนียงจะผอมบางกว่าห้าปีที่แล้ว แต่ส่วนที่ควรอวบอิ่มกลับสมบูรณ์ยิ่ง แถมนางยังสูงขึ้นไม่น้อย ลองคิดดูสิว่าเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวชุดนี้ใส่แล้วจะเป็นอย่างไร

ทรวงอกรัดติ้ว ใต้อกลงไปกลับหลวมโพรก ดูเหมือนถังน้ำใบเล็ก แถมเสื้อที่ควรปิดมาถึงสะโพกตอนนี้กลับปิดได้แค่หน้าท้องเท่านั้น

สี่เชวี่ยเกรงว่าหากคุณหนูของนางยกแขนขึ้น เอี๊ยมบังทรงที่มีรอยปะชุนจะโผล่ออกมาให้เห็น โชคดีที่คุณหนูของนางฉลาด ข้างในจึงสวมเสื้อเนื้อหยาบสีชมพูไว้อีกชั้น ทำให้บั้นเอวไม่ถึงกับเปิดเปลือยเป็นอาหารตาให้เสิ่นจงชิ่ง

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เสื้อเล็กทับเสื้อใหญ่ แลดูพะรุงพะรังก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่านางไร้ราศี

“ท่านแม่ทัพมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ” เห็นเสิ่นจงชิ่งมองนางพลางนิ่วหน้า เจินสือเหนียงหัวเราะในใจ ทว่าใบหน้ากลับฉายแววตื่นเต้นและนึกไม่ถึง หันไปสั่งสี่เชวี่ยที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ ว่า “รีบยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ”

ยกน้ำชา? สี่เชวี่ยผงะ

น้ำชาเป็นของคนรวย สองปีมาแล้วที่นางไม่ได้เห็นว่าใบชาหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้จะให้นางไปเอาชาที่ไหนมาชงเล่า

ขณะลังเลก็ได้ยินเสิ่นจงชิ่งปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ข้าแค่มีธุระผ่านมาแถวนี้ เลยแวะเข้ามาดูหน่อย” ให้เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่หมดราศีจนมิอาจจะหมดได้มากไปกว่านี้อีกแม้เพียงเค่อเดียว เขาก็รู้สึกยากจะทนไหว เห็นทีเมื่อครู่ตอนอยู่ในร้านยาเขาคงจำคนผิดจริงๆ ก็ว่าแล้วว่าผู้หญิงร้ายกาจอย่างนางไม่มีทางมีแววตาสงบนิ่งแบบนั้นหรอก พอได้ยินว่าหญิงผู้นั้นมีอาการเลือดพร่อง เขายังอุตส่าห์นึกเป็นห่วง!

เมื่อครู่พอไม่พบเจินสือเหนียงที่หน้าร้านยา เสิ่นจงชิ่งกลับไปหาเฝิงสี่หมอประจำร้านและถามว่า “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นโรคอะไร”

เฝิงสี่จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือในต้าโจว เขาไม่กล้าตอบส่งเดช คิดได้ว่าเจินสือเหนียงมีอาการเลือดพร่องอยู่จริง จึงตอบไปตามนั้น

เวลาห้าปีได้เปลี่ยนเขาจากเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่หุนหันพลันแล่นให้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่สุขุมนุ่มลึก ไม่เปิดเผยความรู้สึกง่ายๆ แม้จะเกลียดแค้นเจินสือเหนียง แต่ทอดทิ้งนางให้อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษห้าปีโดยไม่ถามไถ่ข่าวคราว เขาเองก็มีส่วนผิด โดยเฉพาะตอนอยู่ในร้านยา ยามสบกับดวงตากระจ่างบริสุทธิ์ที่เหมือนเห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่งและใบหน้าขาวซีดราวกระดาษของนาง เขาบังเกิดความรู้สึกสงสารอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นพอได้ยินว่านางเป็นโรคเลือดพร่อง เขาจึงรุดมาที่นี่ทันที

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงการเข้าใจผิด!

เขาจำคนผิดเสียแล้ว นางยังคงเป็นผู้หญิงหยาบคายร้ายกาจ ดูท่าเวลาห้าปีไม่ได้ทำให้นางเปลี่ยนไปเลย

ไม่ ไม่ใช่ไม่เปลี่ยน แต่เปลี่ยนเป็นแย่กว่าเดิม!

เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าเฝิงสี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่นางขายยา ที่เขามาหานางเป็นเพราะความห่วงใยจากส่วนลึกในใจ นางคิดแต่ว่าเขาจะมาคาดคั้นว่าทำไมนางถึงไปขายยา บัดนี้เมื่อเห็นเขาหันหลังจากไปจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก ใบหน้าฉายแววเสียดายและเอ่ยรั้งเขา “ท่านแม่ทัพอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว มิสู้กินอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยกลับ ข้าภรรยาจะเข้าครัวทำให้ท่านเอง” น้ำเสียงประจบแฝงแววเอาอกเอาใจ

ผู้ชายล้วนกลัวผู้หญิงที่โผเข้าใส่

ตามคาด เดิมทีเสิ่นจงชิ่งยังสงสัยและไม่แน่ใจ ฝีเท้าจึงลังเลเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำนี้เขาก็เร่งฝีเท้าทันทีราวกับมีผีไล่ตามอยู่ข้างหลัง

เจินสือเหนียงตามไปส่งที่หน้าประตูจนกระทั่งเงาร่างของสองนายบ่าวหายลับไปแล้ว นางถึงหัวเราะออกมา

“คุณหนู!” สี่เชวี่ยหน้าแดงก่ำ

นานทีเดียวกว่าเจินสือเหนียงจะหยุดหัวเราะได้ “ทำไมหรือ”

“ท่านไม่ควรแต่งกายแบบนั้นจนทำให้ท่านแม่ทัพตกใจหนีไป!” สี่เชวี่ยตำหนิ

แม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วที่เป็นถึงขุนนางขั้นสอง ทั้งยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้อุตส่าห์มาที่นี่ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเหยียบย่างมาเลย โอกาสที่หายากเช่นนี้คุณหนูของนางควรคว้าไว้ถึงจะถูก

“หรือเจ้าอยากให้เขารู้เรื่องที่พวกเราขายยา” เจินสือเหนียงยิ้มมองสี่เชวี่ย

“แต่ว่า…” แต่ว่านางก็ไม่จำเป็นต้องทำลายภาพลักษณ์ตนเองขนาดนี้ ทำเอาท่านแม่ทัพตกใจจนจากไปนี่นา

“เจ้าจำไว้ ข้ากับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!” เจินสือเหนียงทำหน้าขรึม “เจ้าเลิกคิดประจบสอพลอเขาตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้ว”

สี่เชวี่ยเม้มปากแน่น

 

“เงินค่าเออเจียวเก็บมาแล้วหรือยังเจ้าคะ” หลังปรนนิบัติเจินสือเหนียงล้างหน้าใหม่เรียบร้อย สี่เชวี่ยจึงเอ่ยถามขึ้น

“ตายจริง…” เจินสือเหนียงตบหน้าผาก “ถูกเขาก่อกวนเข้า ทำเอาข้าลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย”

“ตอนบ่ายให้บ่าวไปเก็บเถอะเจ้าค่ะ” เห็นใบหน้าซีดขาวของเจินสือเหนียงแล้ว สี่เชวี่ยก็พูดอย่างปวดใจ “ยาต้มของท่านแม่หมดพอดี บ่าวต้องไปร้านยาอยู่แล้ว”

แม่สามีของสี่เชวี่ยปวดหัวเข่าเรื้อรังมานาน เดือนก่อนเริ่มกินยาตามสูตรของเจินสือเหนียงและรู้สึกดีขึ้น จึงไม่กล้ารั้งรอแม้แต่วันเดียว เร่งให้หลี่ฉางเหอไปซื้อยาแต่เช้า บังเอิญวันนี้หลี่ฉางเหอไปเมืองข้างเคียง

“ตอนบ่ายเจ้านั่งรถม้าไปแล้วกัน ระหว่างทางระวังตัวหน่อย” ด้วยรู้สึกว่าเหนื่อยมาตลอดช่วงเช้า ร่างกายก็รู้สึกเพลีย จึงพยักหน้าเห็นด้วย “อย่าลืมถามหลงจู๊หลี่ว่าแม่ทัพเสิ่นถามอะไรบ้าง”

“คุณหนูไม่พูด บ่าวก็ตั้งใจไปถามอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกนางนายบ่าว ละเลยไม่ได้

“อีกอย่าง” เจินสือเหนียงขบคิด “เจ้าบอกหลงจู๊หลี่ด้วยว่าอีกหน่อยหากมีคนมาสืบเรื่องข้า ให้บอกว่าไม่รู้อยู่ที่ไหน”

แม้นางจะใช้แซ่เจี่ยนมาตลอด แต่หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่าคนเคี่ยวเออเจียวสกุลเจี่ยนอาศัยอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่น สืบเสาะมาตามเงื่อนงำ ช้าเร็วเขาย่อมสืบรู้เรื่องที่นางขายยา นี่เป็นเรื่องเล็ก ที่นางกังวลที่สุดคือเขาจะรู้เรื่องของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ ชาวเมืองนี้ส่วนใหญ่ต่างรู้ว่านางเป็นแม่ม่ายที่มีลูกติดสองคน

สี่เชวี่ยเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ประมาทไม่ได้ จึงผงกหัวอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูวางใจได้ บ่าวรู้ว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ” เรื่องขู่ผู้อื่นเช่นนี้ สมัยก่อนตอนอยู่จวนเสนาบดีนางทำให้คุณหนูเป็นประจำ

 

พอออกจากวังกวนจวี เงาดำสายหนึ่งพุ่งข้ามหัวเขาไปข้างหน้า ทำเอาเสิ่นจงชิ่งตกใจสะดุ้ง รีบหลบทันใด

ที่นี่เป็นตำหนักในที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ใครกล้าปองร้ายเขาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เพ่งสายตามองไปกลับเห็นลูกหนังแปดหน้าที่ผูกแพรสีเอาไว้ ลูกหนังเฉียดหน้าเขาไปก่อนจะพุ่งไปยังแจกันกระเบื้องลายครามลวดลายทิวทัศน์

แย่ล่ะ! น้องสาวกำลังตั้งครรภ์ จะให้ตกใจไม่ได้ คิดได้ดังนี้เสิ่นจงชิ่งจึงกระโดดไปข้างหลัง ตีลังกากลางอากาศและคว้าลูกหนังแปดหน้าเอาไว้ ทำเอานางกำนัลที่เดินมาส่งเขาร้องอย่างตกใจ

“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” ขันทีที่วิ่งมาเก็บลูกหนังด้วยอาการหอบแฮกรีบคำนับเมื่อเห็นเสิ่นจงชิ่ง

“ของเจ้าหรือ” สายตาของเสิ่นจงชิ่งเลื่อนจากลูกหนังไปยังขันทีน้อย สีหน้าเยียบเย็นลงหลายส่วน “ไฉนจึงมาเล่นกันที่นี่!” น้องสาวเพิ่งจะมีข่าวดี ครรภ์ยังไม่มั่นคงนัก ทนรับการตกใจไม่ได้มากที่สุด แต่คนผู้นี้กลับมาเตะลูกหนังหน้าประตูตำหนักของน้องสาว เห็นได้ชัดว่าจงใจ!

ครั้นรู้สึกว่าบรรยากาศเยียบเย็นกะทันหัน ขันทีน้อยหน้าซีดเผือด “นี่…นี่เป็น…” เสิ่นจงชิ่งพี่น้องต่างเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ หาใช่บุคคลที่ขันทีตัวเล็กๆ อย่างเขาจะล่วงเกินได้

“ชักช้าอยู่นั่นแหละ แค่เก็บลูกหนังยังเนิ่นนานถึงเพียงนี้!” ขณะอึกอัก ดรุณีน้อยในชุดผ้าปักลายสีเหลืองขนห่านป่า รูปโฉมงดงามปรากฏตัวขึ้นที่ประตูวงจันทร์ไม่ไกลออกไป พอเห็นเสิ่นจงชิ่ง ดวงตาคู่งามก็เปล่งประกายวาววับ “พี่เสิ่น!” นางวิ่งเข้ามาหา

องค์หญิงหก?

เสิ่นจงชิ่งตกใจ รีบค้อมกายถวายคำนับ

แม่นางน้อยผู้นี้เป็นธิดาหัวแก้วหัวแหวนขององค์ฮ่องเต้ องค์หญิงหกหลี่เยียนผู้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยแววตาวาวระยับ “ไฉนพี่เสิ่นจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” นางนึกขึ้นได้ “ท่านมาเยี่ยมพระนางเสิ่นเฟย!”

“หมอหลวงตรวจพบว่าพระนางเสิ่นเฟยทรงพระครรภ์ กระหม่อมจึงรับพระบัญชามาแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจงชิ่งตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตามองตรงไปข้างหน้า

น้องสาวของเขาเสิ่นจงหรูอายุสิบสาม เข้าวังเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว แรกเริ่มเป็นเพียงไฉเหริน ผ่านไปหนึ่งปีได้เลื่อนขั้นเป็นสนมชั้นกุ้ยเหริน** เมื่อวานสำนักแพทย์หลวงตรวจพบว่านางตั้งครรภ์ ฝ่าบาทจึงแต่งตั้งนางเป็นชายาชั้นเฟย และอนุญาตให้พวกเขาแม่ลูกเข้าวังมาแสดงความยินดีเป็นกรณีพิเศษ

“อืม” หลี่เยียนพยักหน้า “เสิ่นกุ้ยเหรินเลื่อนตำแหน่งทีเดียวถึงหกขั้นกลายเป็นชายาชั้นเฟย เสด็จแม่บอกว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งต้าโจวมา พี่เสิ่นต้องฉลองให้เต็มที่แล้วล่ะ!” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยินดีไปกับเขาด้วยอย่างชัดเจน ทั้งยังเจือแววประจบเอาใจ

ลำดับศักดิ์ของสตรีในตำหนักในของต้าโจวแบ่งเป็นฮองเฮา กุ้ยเฟย เฟย กุ้ยผิน หรงหวา ผิน หวั่นอี๋ เหลียงย่วน กุ้ยเหริน ไฉเหริน เหม่ยเหริน ฉางไจ้ และเสวี่ยนซื่อ โดยทั่วไปนางในล้วนต้องไต่เต้าขึ้นมาทีละขั้นๆ บางคราหากได้ปรนนิบัติฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงพระเกษมสำราญ ได้เลื่อนตำแหน่งทีเดียวสองขั้นก็พบเห็นอยู่บ้าง แต่สาวงามในตำหนักในส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งสักหนึ่งขั้น เสิ่นเฟยเลื่อนจากฝ่ายในขั้นหกตำแหน่งกุ้ยเหรินขึ้นมาเป็นฝ่ายในขั้นสองตำแหน่งชายาเช่นนี้ นับว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

พอราชโองการประกาศออกมา ไม่เพียงตำหนักใน แม้แต่ราชสำนักก็เกิดคลื่นลูกใหญ่

ความจริงเสิ่นจงหรูหาได้งดงามเป็นที่หนึ่ง เสิ่นจงชิ่งจึงอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกับลาภยศที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ได้ สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม “กระหม่อมรับพระบัญชามาแสดงความยินดีกับพระนางเสิ่นเฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เงยหน้าเห็นใบหน้าขึงขังจริงจังไม่วอกแวกของเสิ่นจงชิ่ง หลี่เยียนรู้สึกผิดหวังยิ่ง นางกลอกตาและวางท่าองค์หญิง “แม่ทัพเสิ่นมาเตะลูกหนังเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ!” คำว่าพี่เสิ่นถูกเปลี่ยนเป็นแม่ทัพ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดื้อดึงไม่ยอมให้ปฏิเสธ

ขันทีน้อยข้างกายนางตัวสั่นเทิ้ม เป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์จะคลุกคลีกับขุนนางได้อย่างไร เรื่องนี้หากแพร่ออกไป…เขาเหลือบมองเสิ่นจงชิ่งอย่างกระวนกระวาย

“รับสั่งขององค์หญิงกระหม่อมมิกล้าขัดขืน” เสิ่นจงชิ่งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แต่แล้วกลับเอ่ยต่อว่า “แต่ฝ่าบาททรงรอคำตอบจากกระหม่อมอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

นี่หรือไม่กล้าขัดขืน!

ใบหน้าของหลี่เยียนหม่นลงทันใด นางกำลังจะพูด ขันทีคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาทกำลังรอแม่ทัพเสิ่นอยู่ที่ตำหนักไท่เหอพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เยียนแค่นเสียงหึและสะบัดหน้าจากไปทันที

จวบจนแผ่นหลังขององค์หญิงหกหลี่เยียนหายไปแล้ว เสิ่นจงชิ่งถึงลอบถอนหายใจ หันไปสั่งนางกำนัลข้างกายเสียงค่อยว่า “องค์หญิงหกเตะลูกหนังอยู่ในลานข้างๆ สั่งขันทีในวังกวนจวีให้เฝ้าระวังให้ดี อย่าให้ลูกหนังลอยเข้าไปในตำหนักสร้างความตื่นตกใจให้พระชายากับฮูหยินผู้เฒ่า” เขากับมารดาเข้าวังมาด้วยกัน เนื่องจากฮ่องเต้ทรงอนุญาต มารดาจึงได้ค้างคืนในวังหนึ่งคืน

นางกำนัลรับคำและหมุนตัวจากไปโดยเร็ว

 

กว่าจะออกจากตำหนักไท่เหอก็ล่วงเข้าปลายยามเซิน*แล้ว เห็นราชมนตรีเซียว**ยิ้มประสานมือให้เขา “ขอแสดงความยินดีกับพระมาตุลา***ด้วย”

แต่ก่อนเสิ่นจงหรูเป็นเพียงกุ้ยเหริน ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง บัดนี้เลื่อนขั้นเป็นชายาชั้นเฟย ทั้งยังตั้งครรภ์ เสิ่นจงชิ่งจึงกลายเป็นพระมาตุลาอย่างสมบูรณ์

ราชมนตรีเซียวผู้นี้นามว่าเซียวอวี้ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท และหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ เป็นขุนนางที่ปรึกษาในสำนักการศึกษาที่อ่อนวัยที่สุดของต้าโจว เขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบุ๋นที่รับตำแหน่งปีเดียวกับเสิ่นจงชิ่ง เรียกได้ว่าทั้งสองสอบผ่านมาด้วยกัน เป็นสหายที่ทั้งรักและเคารพกัน

แต่ไรมาเสิ่นจงชิ่งเกลียดพวกบัณฑิตเพราะพวกเขายึดติดกับทฤษฎี โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าตนสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่พูดถึงเรื่องทำสงครามไม่เป็น แต่ยังจงใจขัดขวาง มักจะยกเอาข้อกำหนดของบรรพบุรุษ คำสอนของนักปราชญ์ออกมาโต้แย้งเสมอ อยู่กับพวกนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง มีแต่อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่มิอาจนำมาปฏิบัติจริง

แต่เซียวอวี้ผู้นี้แตกต่างออกไป เขาฉลาดปราดเปรื่อง วาจาและความคิดเห็นอยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้รับมือกับศัตรู เขาสามารถละทิ้งความสูงส่งของบัณฑิต ไม่สนว่าจะด้วยอุบายหรือเล่ห์กล ขอเพียงเป็นประโยชน์ ขับไล่ศัตรูได้ย่อมเป็นกลยุทธ์ที่ดี จุดนี้ตรงกับความคิดของเสิ่นจงชิ่งอย่างยิ่ง ทุกครั้งก่อนออกรบเสิ่นจงชิ่งจะต้องไปพบเซียวอวี้เพื่อขอคำชี้แนะเรื่องกลยุทธ์ ด้วยเหตุนี้เอง แม้เซียวอวี้จะไม่เคยติดตามกองทัพไปออกรบ แต่เสิ่นจงชิ่งกลับเห็นอีกฝ่ายเป็นเสมือนกุนซือของตนเอง

เห็นเขาล้อเลียนตนเช่นนี้ เสิ่นจงชิ่งอดยิ้มขื่นไม่ได้ “ผู้อื่นพูดก็แล้วไปเถอะ แม้แต่พี่เซียวยังมาหยอกเย้าข้าด้วยหรือ”

ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย เซียวอวี้เก็บรอยยิ้มและมองเสิ่นจงชิ่งอย่างลึกซึ้ง “ฝ่าบาททรงยอมละทิ้งประเพณีเก่าๆ และเลือกใช้คนรุ่นใหม่เช่นพวกเราก็นับว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่พบเห็นได้ยากแล้ว เจ้าตระหนักในพระประสงค์ก็ดี อย่าทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเป็นอันขาด”

เสิ่นจงชิ่งอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าเซียวอวี้หมายความว่าอะไร

เรื่องที่เลือกใช้เขาอย่างไม่เกรงคำครหาเขาเข้าใจ แต่การเลื่อนตำแหน่งให้น้องสาวเขารวดเดียวหกขั้น นอกจากเป็นการผลักนางเข้าสู่สถานการณ์อันตรายแล้ว เสิ่นจงชิ่งคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องนี้ยังมีนัยใดแฝงอยู่อีก หากไม่ระวังแม้เพียงนิด กระทั่งลูกในท้องของน้องสาวก็อาจรักษาไว้ไม่อยู่!

แม้ในใจสงสัย แต่เขารู้ว่าหน้าประตูวังหาใช่สถานที่เหมาะสมที่จะพูดคุย จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่เซียวเข้าวังมาด้วยหรือ” ตอนอยู่ตำหนักไท่เหอเขาไม่เห็นเซียวอวี้

“วันนี้เป็นวันที่องค์รัชทายาททรงศึกษาเล่าเรียน ข้าจึงไม่ได้ไปตำหนักไท่เหอ” เซียวอวี้อธิบายระหว่างที่ทั้งสองเดินเคียงไหล่ออกจากประตูวังไปที่รถม้า เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนถามว่า “น้องรัก เจ้าไปตำหนักไท่เหอ ฝ่าบาททรงเอ่ยถึงการสมรสขององค์หญิงหกหรือไม่ น้องรักมีความเห็นว่าอย่างไร”

“จะมีความเห็นอย่างไรได้เล่า” เสิ่นจงชิ่งแค่นเสียงหยัน “ในฐานะแม่ทัพ ทุกคนต่างคิดว่าข้าควรคัดค้านเป็นคนแรก!” ถ้อยคำและน้ำเสียงเจือแววหยอกเย้าไม่จริงจัง เขาส่ายหน้าไม่ได้พูดต่อ

หลังปราบปรามหนานอี๋และหนานเยวี่ย บัดนี้จึงเหลือโจว เยียน และฉีสามแคว้นคานอำนาจกัน โดยต้าโจวแข็งแกร่งมากที่สุด วันที่เขากลับมาพร้อมชัยชนะ ฝ่าบาททรงสนทนากับเขาทั้งคืน เผยพระประสงค์ที่จะรวมแคว้นทั้งสาม หากจะรวมแคว้น ก่อนอื่นต้องสร้างความแตกแยกระหว่างเยียนฉีก่อน ใช้การสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉีเพื่อปราบปรามแคว้นเยียนนับเป็นแผนการอันยอดเยี่ยม

จนใจที่องค์หญิงหกประสูติจากฮองเฮา ได้ยินว่าฝ่าบาทจะให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์ เหล่าขุนนางที่มีพระสัสสุระอันชิ่งโหวเป็นหัวหน้าต่างร่วมกันถวายฎีกาคัดค้าน

มีเพียงแคว้นอ่อนแอเท่านั้นที่จะให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์เพื่อขอความคุ้มครอง!

ทุกคนพร้อมใจกันขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการส่งกองทัพไปตีแคว้นฉี ลงโทษที่อีกฝ่ายบังอาจสู่ขอองค์หญิง

สุดท้ายทุกคนจึงพุ่งเป้ามาที่เขา ตำหนิเขาที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋ว ในช่วงเวลาสำคัญกลับไม่ยอมก้าวออกมาคัดค้านการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ปล่อยให้แคว้นเล็กที่ไม่รู้ความล่วงเกิน บังอาจพูดจาเหลวไหลสู่ขอองค์หญิงของต้าโจว นับเป็นความอดสูของราชวงศ์

เขายกทัพออกไปได้ เขาเองก็เชื่อว่าไม่ต้องยกทัพไปตีอีกฝ่าย แค่ให้ทหารประจำอยู่ที่ชายแดน แคว้นฉีก็ยอมแบ่งดินแดนและจ่ายค่าชดเชยให้แต่โดยดีแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเยียนย่อมถือโอกาสดึงแคว้นฉีไปเป็นพวก กลายเป็นเยียนฉีร่วมมือกันต่อต้านโจว สุดท้ายอย่าว่าแต่รวมแคว้นทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวเลย ต้าโจวของเขาจะถูกแคว้นเยียนกลืนไปก่อนหรือเปล่ายังพูดยาก!

หากมิใช่เพราะมีไม้ตายที่จะร่วมมือกับแคว้นเยียน แคว้นฉีที่อ่อนแอไหนเลยจะกล้าสู่ขอองค์หญิงของแคว้นที่แข็งแกร่งกว่า

ทหารสามารถพลีชีพเพื่อบ้านเมืองได้ ไยองค์หญิงจึงมิอาจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!

แต่ไรมาบัณฑิตล้วนเป็นตัวถ่วงของบ้านเมือง

คิดถึงตนเองที่ต่อให้มีกำลังมหาศาล แต่กลับมิอาจจัดการกับพวกขุนนางที่เก่งแต่ปากเหล่านี้ได้ เสิ่นจงชิ่งก็ลอบถอนหายใจ

นิ้วมือของเซียวอวี้หยุดอยู่ตรงม่านของรถม้า เนิ่นนานจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” น้ำเสียงทุ้มต่ำ หากไม่ตั้งใจฟังย่อมไม่ได้ยิน

เสิ่นจงชิ่งตาเป็นประกาย หันไปมองเซียวอวี้

“ที่บ้านยังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน” เซียวอวี้ประสานมืออำลาเขา ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดมาก

เสิ่นจงชิ่งลอบถอนหายใจ ตอบว่า “พี่เซียวเดินทางระวัง” เขาเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา “ท่านป้าสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง หมู่นี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

มารดาของเซียวอวี้เริ่มปวดศีรษะตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แรกเริ่มคิดว่าเป็นไข้หวัด แต่กินยาไปหลายเทียบก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งอาการยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หมอหลวงเวินที่มีชื่อเสียงในสำนักแพทย์หลวงยังหาสาเหตุไม่ได้

“ยังเป็นเหมือนเดิม” พอเอ่ยถึงอาการป่วยของมารดา สีหน้าของเซียวอวี้ก็หม่นลงทันที เขาทอดถอนใจ “ท่านแม่อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นทุกวัน หมู่นี้แม้แต่ความจำก็เริ่มถดถอยแล้ว บ่อยครั้งที่ลืมสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อเช้า”

สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งพลอยหม่นตามไปด้วย ปลอบโยนอีกฝ่ายว่า “โบราณว่ามีโรคย่อมต้องเที่ยวเสาะหาหมอรักษาไปทั่ว คนของสำนักแพทย์หลวงรักษาไม่ได้ ไยพี่เซียวจึงไม่ลองหาหมอชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมาลองรักษาดูเล่า” เขาเอ่ยต่อ “ท่านอย่าดูถูกคนเหล่านี้ บางทีตำรับยาท้องถิ่นก็สามารถรักษาโรคร้ายได้”

เสิ่นจงชิ่งถือกำเนิดจากครอบครัวชาวบ้าน ทั้งยังผ่านความยากลำบากในสนามรบมา ต้องพึ่งหมอชาวบ้านเหล่านี้เป็นคนรักษาโรคให้เหล่าทหาร ในสายตาเขาหมอชาวบ้านจึงพึ่งพาได้มากกว่าแพทย์หลวงที่ถือตัวว่าสูงส่งพวกนั้น แม้อาชีพหมอจะเป็นหนึ่งในเก้าฐานะชั้นกลาง แต่เนื่องจากเสิ่นจงชิ่งเห็นความเจ็บปวดของทหารบ่อยและเห็นหมอชาวบ้านยึดหลักรักษาโรคช่วยเหลือปวงประชาอยู่เนืองๆ จึงยกย่องพวกเขาเป็นพิเศษ ขณะพูดก็คิดถึงหมอเจี่ยนที่หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงในเมืองอู๋ถงแนะนำให้เขาอย่างกระตือรือร้นเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอเจี่ยนผู้นี้โด่งดังด้านการรักษาโรคประหลาดที่รักษายากโดยเฉพาะ สามารถผลิตเออเจียวคุณภาพดีออกมาได้ คิดว่าหมอเจี่ยนผู้นี้คงมิได้มีดีแต่ชื่อเป็นแน่

เขากำลังจะแนะนำก็ได้ยินเซียวอวี้เอ่ยว่า “อัครเสนาบดีเฉาเพิ่งแนะนำท่านหมอนามจงหลินที่บ้านอยู่ในเมืองหลิ่วหลินห่างออกไปหกสิบลี้ให้ บอกว่าคนผู้นี้รักษาคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ ผู้คนต่างบอกว่าเขาเป็นหวาถัวกลับชาติมาเกิด ข้าสั่งให้คนไปเชิญตัวมาแล้ว อีกวันสองวันน่าจะเดินทางมาถึง”

“หมอจงในเมืองหลิ่วหลิน?” เสิ่นจงชิ่งครุ่นคิด “อืม หมอจงหลินเป็นหมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้รับฉายาว่ามัจจุราชระทม เพราะความสามารถในการแย่งคนมาจากมือของยมทูตหัววัวหัวม้าของเขาทำให้พญามัจจุราชหนักใจ พี่เซียวไม่รู้ว่าหกปีก่อนท่านแม่ข้าเป็นโรคเจ็บหัวใจก็ได้เขานี่แหละรักษาจนหายดี”

“จริงหรือ” เซียวอวี้ตาเป็นประกาย

“ใช่” เสิ่นจงชิ่งพยักหน้า “ได้ยินว่าหมอจงหลินเป็นหมอมาสามสิบปี น้อยครั้งที่จะผิดพลาด พี่เซียวลองให้เขามารักษาดูก็ดีเหมือนกัน” พูดพลางคิดว่าถึงอย่างไรหมอเจี่ยนในเมืองอู๋ถงก็เป็นหมอที่เพิ่งจะโด่งดัง อีกทั้งข่าวลือพวกนั้นยังไม่มีหลักฐาน เขาเองก็ไม่เคยพบหมอเจี่ยนมาก่อน เสิ่นจงชิ่งจึงล้มเลิกความคิดที่จะแนะนำหมอเจี่ยน ตอบเพียงว่า “พี่เซียวอย่าเพิ่งใจร้อน มีโรคย่อมต้องค่อยๆ รักษา ไม่มีเรื่องใดที่สำเร็จลงได้อย่างง่ายดาย”

“ได้ยินน้องรักพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ” น้ำเสียงของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความสบายใจ หันมายิ้มขื่นกับเสิ่นจงชิ่งและเอ่ยว่า “น้องรักไม่รู้ว่าครึ่งปีมานี้มีคนแนะนำ ‘หมอเทวดา’ ให้ข้าไม่ต่ำกว่าสิบคน สุดท้ายกลับไม่ได้เรื่องสักคน ทำเอาอารมณ์ของท่านแม่ฉุนเฉียวขึ้นทุกทีและไม่ยอมให้ข้าหาหมอเถื่อนมารักษานางอีก” เซียวอวี้ไหวไหล่อย่างจนใจ “ข้ากลัวว่าหากหมอจงหลินผู้นี้รักษาไม่หาย เกรงว่าท่านแม่คงไม่ยอมให้ใครรักษาโรคให้อีกแล้ว”

เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มิอาจรับรอง เสิ่นจงชิ่งปลอบใจเซียวอวี้อีกสักพัก จากนั้นต่างฝ่ายต่างอำลากันและแยกย้ายขึ้นรถม้าของตน

 

เนื่องจากเพิ่งกลับจากชายแดน เสิ่นจงชิ่งจึงยุ่งมาก วันนี้เขายุ่งกับงานจนถึงยามหนึ่งกว่าจะเงยหน้าจากโต๊ะทำงานได้ ครั้นได้ยินคนส่งเสียงอยู่นอกประตูจึงถามขึ้น “นั่นใคร”

หรงเซิงยกถาดไม้แดงสลักลวดลายเข้ามา ข้างบนเป็นชามกระเบื้องลายครามใบครึ่ง “ได้ยินว่าท่านแม่ทัพทำงานตอนกลางคืนอีกแล้ว อี๋เหนียงห้าจึงต้มโจ๊กไตแกะใส่โสมชงหรงมาให้และกำชับท่านว่าอย่าหักโหมเกินไป รักษาสุขภาพด้วยขอรับ”

พอเอ่ยถึงฉู่ซินอี๋ แววตาของเสิ่นจงชิ่งก็อ่อนโยนลง “วางไว้เถอะ” เห็นหรงเซิงยังยืนอยู่ที่เดิมจึงถามว่า “มีอะไรอีกหรือ”

“คืนนี้นายท่าน…ไปเรือนไผ่หยกหน่อยเถิดขอรับ” หรงเซิงอึกอัก

เสิ่นจงชิ่งอึ้งไป “ทำไมหรือ”

ด้วยปวดหัวกับการแก่งแย่งหึงหวงของบรรดาอี๋เหนียง เสิ่นจงชิ่งจึงตัดสินใจนำเอาระบบเข้าเวรในกองทัพมาใช้ในครอบครัว ยามไม่ได้ออกรบ แต่ละเดือนเขาจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนผลัดไปค้างที่เรือนของอี๋เหนียงแต่ละคน เวลาที่เหลือพักผ่อนในเรือนหลักหรือไปค้างกับอี๋เหนียงคนใดก็ได้ตามที่พอใจ

แม้ไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ที่ผ่านมาต่างยึดถือกฎเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตามหลักวันนี้จึงเป็นคราวของอี๋เหนียงใหญ่

“ชุนหงบอกว่าวันนี้บรรดาอี๋เหนียงเล่นไพ่ใบไม้กับฮูหยินผู้เฒ่า ไม่รู้ไฉนพออี๋เหนียงห้ากลับมาจึงร้องไห้ตลอดทั้งบ่าย”

“ท่านแม่สร้างความลำบากใจให้นางอีกแล้วหรือ” เสิ่นจงชิ่งพูดออกมา พลางส่ายหน้า “แม้ท่านแม่จะไม่ชอบนาง แต่ไม่มีทางฉีกหน้านางต่อหน้าคนอื่นแน่” เสิ่นจงชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่การรับฉู่ซินอี๋เป็นอนุเป็นความคิดของมารดา แต่ภายหลังไฉนมารดาจึงรังเกียจนางเช่นนี้

ถึงอย่างไรเขาก็ผิดต่อนางไปแล้ว เจินสือเหนียงทำให้เขาผิดคำสัญญาจนไม่เป็นผู้เป็นคน เขาไม่มีหน้าพบฉู่ซินอี๋ตั้งนานแล้ว และยิ่งไม่คิดจะรับนางเข้ามาเป็นอนุในจวน แต่เป็นเพราะท่านแม่ตั้งอกตั้งใจหาแม่สื่อและตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่หารือกับเขาก่อน ทั้งยังจัดการให้แต่งนางเข้ามาด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยาเอก

ฉู่ซินอี๋นิสัยอ่อนโยนจิตใจดีงาม ตามหลักแล้วท่านแม่น่าจะชอบนางมากที่สุดนี่นา

หรงเซิงส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”

“เจ้าไปถามคนข้างกายท่านแม่” เสิ่นจงชิ่งหยิบจดหมายฉบับหนึ่งเปิดอ่านพลางกำชับ

หลังรับคำเดินออกไปได้ไม่นาน หรงเซิงก็กลับมาอีกครั้ง “ปี้เยวี่ยบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าชนะเล่นไพ่วันนี้ อารมณ์ดียิ่ง ทั้งยังตกรางวัลให้บรรดาอี๋เหนียง แต่พอหลี่อี๋เหนียงพูดถึงงานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือน ฮูหยินผู้เฒ่าก็มองฉู่อี๋เหนียงด้วยท่าทางไม่พอใจนักขอรับ”

งานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือน? เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าครุ่นคิด

พระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสิบคือเจิ้งกุ้ยเฟยคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ หลายปีมานี้นางได้รับความรักใคร่ไม่เสื่อมคลาย แต่เจ็ดปีก่อนหลังให้กำเนิดองค์ชายห้าแล้วก็ไม่มีบุตรอีก คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ปีที่แล้วจะมีข่าวดี สองเดือนก่อนให้กำเนิดองค์ชายสิบออกมา ตอนนั้นตำหนักในไม่มีพระโอรสถือกำเนิดมาสองสามปีแล้ว ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยเป็นพิเศษ พอพระโอรสอายุครบเดือนก็จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เทียบได้กับงานเลี้ยงฉลองพระโอรสองค์โตอายุครบเดือน

ตามหลักแล้วมีเพียงขุนนางขั้นหนึ่งและชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์พาครอบครัวมาร่วมงานเลี้ยงในวังได้ แต่เขาเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ อีกทั้งตอนนั้นยังเพิ่งกลับจากชายแดน ยามราชสำนักออกเทียบเชิญจึงเชิญฮูหยินแม่ทัพเป็นกรณีพิเศษด้วย เจิ้งกุ้ยเฟยเองก็ปรารถนาดี หากเป็นคนทั่วไปคงดีอกดีใจจนยิ้มปรี่

น่าเสียดาย แม้ในสายตาผู้อื่นจะเห็นเป็นเรื่องน่ายินดีที่ปรารถนาเพียงใดก็ไม่อาจได้มา แต่สำหรับเสิ่นจงชิ่งแล้วกลับไม่ต่างจากเอ็นข้อไก่ที่ไม่อาจหักหรือตัดทิ้งชิ้นหนึ่ง ภรรยาที่ร้ายกาจของเขาคนนั้นจะพาออกไปไหนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้พบนางมาห้าปีแล้ว

แต่หากพาอนุไปแทนและถูกผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสโจมตี หาว่าเขาดูหมิ่นพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยที่ต่อให้เป็นที่โปรดปรานเพียงใดก็ยังคงเป็นเพียงอนุ ด้วยความรักใคร่ที่ฮ่องเต้มีต่อพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยและฐานะของนางในพระทัยของพระองค์ เกรงว่าตระกูลเขาคงถูกยึดทรัพย์ในทันทีแน่

เขาเป็นขุนศึกก็จริง แต่หาใช่คนวู่วามและตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

ดังนั้นเขาจึงจงใจตอบปฏิเสธโดยอ้างว่าฮูหยินเป็นไข้หวัด เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยและองค์ชายสิบ จึงขอไม่ไปร่วมงาน

โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงทราบว่าครอบครัวเขาไม่ปรองดองนัก จึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง ทว่าฉู่ซินอี๋กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่ได้รับเทียบเชิญก็คอยตื๊อเขาให้พานางไป

ห้าปีมานี้ตำแหน่งประมุขหญิงที่คอยดูแลจัดการธุระภายในจวนและการเข้าออกตระกูลใหญ่โดยมีข้ารับใช้รายล้อมมิอาจเติมเต็มความปรารถนาในใจนางได้อีกแล้ว หากสามารถก้าวเข้าไปในตำหนักในอย่างเปิดเผยและคบหาสมาคมกับบรรดาชายาขององค์ฮ่องเต้เหมือนเหล่านายหญิงตราตั้ง*ของขุนนางขั้นหนึ่งพวกนั้นได้ นั่นย่อมเป็นเกียรติยศสูงสุด

ฉู่ซินอี๋จะไปร่วมงานเลี้ยงฉลององค์ชายสิบอายุครบเดือนให้ได้และพยายามอ้อนวอนเขาทุกวิถีทาง บีบให้สุดท้ายเขาจำต้องหลบออกจากจวน คิดถึงตรงนี้เสิ่นจงชิ่งก็ไม่พอใจ หัวคิ้วขมวดมุ่น ตั้งแต่เมื่อไรที่นางผู้ไม่เคยคิดแก่งแย่งชิงดีกับใคร หันมาลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญเช่นนี้

ครั้นเห็นว่าดึกมากแล้ว เขาผลักชามน้ำแกงตรงหน้าออกและลุกขึ้น

“ท่านแม่ทัพ…” เห็นเสิ่นจงชิ่งจะมุ่งหน้าไปเรือนแพรพร่างของหยางอี๋เหนียง หรงเซิงจึงร้องเรียก

เสิ่นจงชิ่งชะงักเท้า

“ท่านแม่ทัพทำศึกอยู่ข้างนอกตลอด เรื่องต่างๆ ทั้งในและนอกจวนแม่ทัพล้วนได้ฉู่อี๋เหนียงเป็นผู้ดูแลจัดการ นาง…ก็ลำบากไม่น้อยนะขอรับ” คิดถึงคำอ้อนวอนของชุนหงแล้ว หรงเซิงก็ฝืนใจพูดออกไป

เสิ่นจงชิ่งจึงก้มหน้าครุ่นคิดและหันหลังมุ่งหน้าไปเรือนไผ่หยก

 

“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือเจ้าคะ!” ฉู่ซินอี๋กำลังปักพื้นรองเท้า ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกร้องทักก็รีบออกมาต้อนรับ “วันนี้ไฉนจึงไม่ได้ไปหาพี่สาวเล่า” นางหันไปสั่งชุนหง “ยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ!”

พอก้าวเข้ามาในเรือนและเห็นดวงตาของฉู่ซินอี๋บวมแดงเล็กน้อย เสิ่นจงชิ่งก็แอบถอนใจ “คืนนี้ดึกแล้ว เห็นว่าเรือนไผ่หยกอยู่ใกล้ห้องหนังสือจึงเดินมาที่นี่ ทำไมเจ้ายังไม่นอน”

“ผู้น้อยอนุภรรยากำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่ท่านแม่ทัพมาพอดี” ฉู่ซินอี๋คลี่ยิ้ม “เลยดูเหมือนว่าจงใจรอท่านแม่ทัพอย่างนั้นแหละ” นางช่วยเขาถอดเสื้อนอกพลางพูด “ท่านแม่ทัพจะล้างหน้าบ้วนปากเลยหรือจะรออีกประเดี๋ยวเจ้าคะ”

“ล้างหน้าบ้วนปากก่อนแล้วกัน” เขาตอบพลางก้าวเข้าไปในห้องน้ำ

หลังทำความสะอาดร่างกายเสร็จ ชุนหงชงชาต้าหงเผาอย่างดีไว้กาหนึ่ง ฉู่ซินอี๋ถือถ้วยหยกขาว คิ้วหงส์ขมวดมุ่นขณะจมอยู่ในภวังค์ความคิด ขนาดเสิ่นจงชิ่งเดินเข้ามานางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“คิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้เหม่อลอยขนาดนี้” เสิ่นจงชิ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เสร็จแล้วให้ชุนหงและนั่งลงตรงข้ามฉู่ซินอี๋

“อ๊ะ!” ฉู่ซินอี๋สะดุ้งโหยงและเงยหน้าพรวด มองเสิ่นจงชิ่งด้วยดวงตาแดงเรื่อ “ไฉนท่านแม่ทัพจึงล้างหน้าเร็วถึงเพียงนี้”

คิดจะละเลยดวงตาที่บวมแดงของนางคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าถาม “เป็นอะไรอีก ถึงกับร้องไห้จนตาแดง”

“ร้องไห้ที่ไหนกัน ตอนบ่ายทรายเข้าตาต่างหาก” ฉู่ซินอี๋รีบก้มหน้าปิดบัง

ชุนหงกลับเอ่ยอย่างโมโห “เป็นเพราะอี๋เหนียง…”

“ชุนหง!” ฉู่ซินอี๋ร้องห้าม

“บ่าวจะพูด อี๋เหนียงในใจเป็นทุกข์ ไยต้องอดทนอดกลั้นยอมให้ผู้อื่นรังแกด้วย!” ชุนหงคุกเข่า “ท่านแม่ทัพโปรดให้ความเป็นธรรมกับอี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ!”

เสิ่นจงชิ่งเลิกคิ้ว “เจ้าว่ามา”

“หน็อย เจ้าบ่าวกำแหง เห็นข้าอารมณ์ดีชักเอาใหญ่ ท่านแม่ทัพเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พักผ่อน ไยเจ้าต้องขุดเอาเรื่องพวกนี้มากวนใจด้วย” ฉู่ซินอี๋ปากตำหนิสาวใช้ แต่กลับไม่ได้ห้ามนาง

ชุนหงจึงพูดต่อ “ท่านแม่ทัพทำศึกอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ทิ้งคฤหาสน์หลังโตกับผู้คนในจวนมากมายไว้เบื้องหลัง เรื่องต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งในและนอก มีเรื่องใดบ้างที่อี๋เหนียงไม่ได้ดูแลจัดการ ห่วงก็แต่หากเกิดข้อผิดพลาดใดและแพร่ไปถึงหูท่านแม่ทัพที่อยู่ชายแดน ท่านแม่ทัพจะมิอาจทำศึกอย่างสบายใจได้ อี๋เหนียงต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ แต่ใครบางคนกลับไม่สำนึก หาว่าเป็นอี๋เหนียงเหมือนกัน อี๋เหนียงของบ่าวแต่งเข้ามาช้าที่สุด ไฉนจึงได้เป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวน”

ชุนหงจ้องเสิ่นจงชิ่งอย่างใจกล้า “ท่านแม่ทัพไม่รู้หรอกว่าช่วงที่ท่านไม่อยู่ อี๋เหนียงแอบเสียน้ำตาไปมากเท่าไร อันที่จริงก็หวังเพียงว่าหากท่านแม่ทัพกลับมา ทุกคนจะสำรวมบ้าง จึงฝืนอดทนไว้ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะยิ่งได้ใจ วันนี้ถึงกับตีวัวกระทบคราดตำหนิอี๋เหนียงต่อหน้าผู้คนมากมายว่า…” ชุนหงเลียนแบบน้ำเสียงเหน็บแนมของสตรีเหล่านั้น “เป็นคนไม่ว่าเวลาใดก็ไม่ควรลืมฐานะของตนเอง ตนเองอยู่ในฐานะใด ตำแหน่งใดต้องแยกแยะให้ชัด อี๋เหนียงก็คืออี๋เหนียงอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเมื่อใดก็สู้หน้าผู้คนไม่ได้อยู่ดี!”

“ใครเป็นคนพูด!” เสิ่นจงชิ่งตบโต๊ะ คำพูดนี้สะกิดแผลเก่าของเขา

เขาเป็นคนยึดมั่นในคำสัญญา ชั่วชีวิตนี้ครั้งเดียวที่ผิดสัญญาคือการรับปากฉู่ซินอี๋ว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา สุดท้ายกลับให้นางเป็นอนุ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกติดค้างฉู่ซินอี๋มาโดยตลอด เพราะเหตุนี้เอง หลายปีมานี้เขาจึงให้นางเป็นคนดูแลจัดการเรื่องในจวน ตามใจนางทุกอย่าง ยอมให้นางเรียกร้องได้ตามใจชอบ

ชุนหงตัวสั่น น้ำตาร่วงลงมาทันที

“ยังไม่ออกไปอีก จะรอให้ฝ่ามือฟาดใส่หน้าก่อนหรือไร!” เห็นเสิ่นจงชิ่งโมโห ฉู่ซินอี๋จึงรีบตำหนิชุนหงและหันไปปลอบเขาว่า “ชุนหงปากไม่มีหูรูด ท่านแม่ทัพอย่าฟังนางพูดเหลวไหลเลย พี่สาวทั้งหลายรักใคร่ข้าถึงเพียงนั้น แล้วจะเอ่ยวาจาสร้างความลำบากใจให้ข้าได้อย่างไร” นางยื่นข้อมือออกไปให้เขาดู “นายท่านดูลูกประคำไม้จันทน์เส้นนี้สิ พี่ใหญ่ไปไหว้พระที่วัดและขอมาให้ข้าเอง” นางพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน

เรื่องทุกอย่างต้องรู้จักหยุดในจังหวะที่พอดี หลักการข้อนี้ฉู่ซินอี๋ตระหนักดีเป็นที่สุด

เสิ่นจงชิ่งเป็นคนเถรตรง แต่ไรมาชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ข้อนี้นางตระหนักดีตั้งแต่เขาไล่เจินสือเหนียงออกไปอยู่บ้านบรรพบุรุษแล้ว

ผู้หญิงเข้าใจผู้หญิงด้วยกันดีที่สุด ฉู่ซินอี๋รู้ว่าเจินสือเหนียงรักเสิ่นจงชิ่ง รักอย่างลุ่มหลง รักอย่างบ้าคลั่ง รักจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น น่าเสียดายที่นางใช้วิธีผิด

อาศัยที่ครอบครัวตนเองมีอำนาจและคิดจะทำให้เขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง กลายเป็นของเล่นที่นางหยิบมาเล่นได้ตามใจชอบ ดังนั้นจึงสรรหาวิธีต่างๆ มาทรมานเขาโดยหารู้ไม่ว่าเสิ่นจงชิ่งเป็นเหล็กกล้าที่ยอมหักไม่ยอมงอ เขาเป็นอินทรีที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องผงาดขึ้นสู่ท้องนภา แล้วจะยอมอยู่ใต้ชายกระโปรงของสตรี ยอมให้ผู้อื่นบงการชีวิตได้อย่างไร

ดังนั้นเขาในอดีตจึงไม่สนใจว่าบ้านพ่อตาเป็นเสนาบดีกรมอากรที่มีอำนาจมหาศาล ท้าทายอำนาจของสกุลเจินด้วยการเป็นปรปักษ์กับเจินสือเหนียงทั้งที่ตนเองเป็นเพียงขุนนางขั้นหกที่ไร้ที่พึ่งพิง

ได้ยินเซียวฮูหยินบอกว่าตอนเสิ่นจงชิ่งแต่งอนุคนแรก เสนาบดีเจินซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้โมโหมาก วันถัดมาจึงรับเจินสือเหนียงกลับไปทันทีและเตรียมจัดการกับเสิ่นจงชิ่ง ตอนนั้นสกุลเจินคิดกำจัดเสิ่นจงชิ่งเป็นเรื่องง่ายไม่ต่างจากการบี้มดตัวหนึ่ง

แต่เจินสือเหนียงคุกเข่าอยู่หน้าห้องหนังสือของบิดาทั้งคืน ถึงได้ล้มเลิกความคิดของเสนาบดีเจินที่จะสังหารเขา น่าเสียดายที่เบื้องหลังเจินสือเหนียงทำเพื่อเขาตั้งมากมาย แต่นางกลับไม่เคยบอกให้เขารู้ เพราะนางเองก็มีศักดิ์ศรี นางไม่อยากให้เขารู้ว่านางใส่ใจเขามากเพียงใด นางต้องการใช้อำนาจกำราบเขาเท่านั้น จวบจนสุดท้ายนางจึงถูกเขาทอดทิ้ง

ตอนที่เสิ่นจงชิ่งถูกบังคับให้ผิดสัญญาต่อนางและแต่งงานกับเจินสือเหนียง ฉู่ซินอี๋เคยร้องไห้ถามเขาว่า เขารักเจินสือเหนียงหรือไม่ เขาตอบว่าไม่รัก แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษ ในเมื่อแต่งกับอีกฝ่ายแล้วก็ต้องดีต่อนาง เสิ่นจงชิ่งบอกให้นางลืมเขาเสีย คำตอบนั้นสร้างความร้าวรานใจให้นางเหลือเกิน ฉู่ซินอี๋เชื่อว่าตอนนั้นหากเจินสือเหนียงเปลี่ยนวิธี ไม่แน่ตอนนี้ทั้งคู่อาจเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกันแล้ว นางคงไม่มีโอกาสได้กุมอำนาจในจวนแม่ทัพอย่างเช่นทุกวันนี้เป็นแน่

ในใจของฉู่ซินอี๋ เจินสือเหนียงเป็นสตรีที่โง่งมที่สุด

หากเป็นนางฉู่ซินอี๋จะไม่มีทางใช้ไม้แข็งกับเสิ่นจงชิ่งแน่ เหมือนเช่นวันนี้ ภายนอกดูเหมือนนางเป็นฝ่ายถอย แต่เรื่องนี้ย่อมติดค้างอยู่ในใจเขา จากนั้นเขาจะต้องไปหาภรรยาเอกที่เขาทอดทิ้งมาห้าปีที่บ้านบรรพบุรุษและบีบให้นางตกลงหย่าขาดหรือปลิดชีพตนเอง หลังจากนั้นค่อยแต่งตั้งนางเป็นภรรยาเอก

ที่เมื่อครู่เล่นละครกับชุนหงใช่ว่านางต้องการให้เสิ่นจงชิ่งไปช่วยนางจัดการอี๋เหนียงคนใด หากนางได้เป็นภรรยาเอกเมื่อไร อี๋เหนียงพวกนี้นางสามารถจัดการได้ไม่ยาก จุดประสงค์เดียวของนางคือต้องการให้เสิ่นจงชิ่งตระหนักว่าตอนนี้นางดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนแม่ทัพด้วยฐานะของอนุอย่างลำบากใจ ให้เขารู้สึกสงสารและเห็นใจนาง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ตามคาด เห็นนางทำท่าจะร้องไห้ สีหน้าของเสิ่นจงชิ่งจึงอ่อนลง เขาถอนหายใจ “เจ้าก็อย่าเอาแต่ฟังคำพูดเหลวไหลของคนพวกนั้นเลย ให้เจ้าดูแลจัดการธุระในจวน อีกทั้งหลายปีมานี้ข้าไม่อยู่ที่จวนนับว่าลำบากเจ้าแล้วจริงๆ การเสียสละของเจ้าข้ารู้ดีแก่ใจ” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนพบเจินสือเหนียงในวันนั้น รำพึงในใจว่า ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับนางแล้ว

“ได้ช่วยท่านแม่ทัพแบ่งเบาภาระ ผู้น้อยอนุภรรยาไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย” ฉู่ซินอี๋เอ่ยคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขลาดกลัวและรินน้ำชาให้เสิ่นจงชิ่งด้วยตนเองจนเต็มถ้วย จากนั้นจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ท่านแม่ทัพดื่มน้ำชา”

ความอ่อนหวานของนางดับโทสะของเสิ่นจงชิ่งไปสิ้น เขาจิบน้ำชาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ฉู่ซินอี๋มองเสิ่นจงชิ่งดื่มชาอย่างเหม่อลอยและพึมพำ “ท่านแม่ทัพหล่อเหลาโดยแท้ ออกไปทำศึกตั้งหลายปี ทั้งตากแดดตากฝนและตากลม ผู้น้อยอนุภรรยาคิดว่าท่านจะหยาบกร้านและดูแก่ลง คิดไม่ถึงว่ากลับไม่มีรอยเหี่ยวย่นแม้แต่น้อย” นิ้วมือลูบคิ้วตาของเขาอย่างแผ่วเบา “กลับดูคมคายกว่าเมื่อห้าปีก่อน ได้ยินสาวใช้บอกว่าวันที่ท่านเข้าเมือง ชาวบ้านต่างแห่แหนออกมาต้อนรับ สาวๆ ที่ยังไม่ออกเรือนเห็นท่านแล้วจ้องตาไม่กะพริบ สบถสาบานว่าหากจะแต่งงานต้องได้สามีอย่างท่านแม่ทัพ ว่ากันว่าแม้แต่องค์หญิงหกยังพึงใจท่าน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

เสิ่นจงชิ่งปั้นหน้าดุต่อไปไม่ไหว พลันคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ดึงนิ้วนางมากำไว้ในมือ “พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าปีแล้ว ข้าจะไม่แก่ได้อย่างไร ขอเพียงอี๋เอ๋อร์ไม่รังเกียจที่ข้าแก่ก็พอ”

“ท่านแม่ทัพแก่เสียที่ไหน ยังจะล้อเลียนผู้น้อยอนุภรรยาอีก” ฉู่ซินอี๋ทุบเขาทีหนึ่งอย่างมีจริต “ผู้น้อยอนุภรรยาเสียอีก…” นางลูบร่องรอยจางๆ ตรงหางตาที่แทบจะมองไม่เห็นอย่างหงุดหงิด “วันนี้ส่องกระจกเห็นที่หางตามีร่องรอยเสียแล้ว” นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างจริงจัง “ท่านแม่ทัพตำแหน่งสูงขึ้นทุกวัน อีกหน่อยจะรังเกียจผู้น้อยอนุภรรยาหรือไม่” แม้นางจะงดงามเฉิดฉัน แต่ก็อ่อนกว่าเสิ่นจงชิ่งแค่ปีเดียวเท่านั้น

บุรุษล้วนแก่ยาก หลายปีให้หลังใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่เขากลับยังสง่าผ่าเผย แล้วจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร

“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” เสิ่นจงชิ่งแกล้งโมโห

ฉู่ซินอี๋ขบริมฝีปากด้วยท่าทางเหมือนศรีภรรยาที่ต้องอดทนกับความลำบากใจอย่างยิ่งยวด

เสิ่นจงชิ่งถอนหายใจอีกครั้ง ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ในเมื่อข้าแต่งเจ้าแล้วก็ต้องรับผิดชอบดูแลเจ้าจนถึงที่สุด ขอเพียงไม่ได้กระทำผิดร้ายแรงขัดต่อหลักคุณธรรม ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าไม่ไยดีแน่” เขาพูดต่อ “เจ้าน่าจะรู้ว่าที่ข้าไม่ค่อยมาหาเจ้าเพราะกลัวเจ้าจะเป็นที่ชิงชังของอี๋เหนียงคนอื่นๆ ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า ยามข้าไปทำศึกข้างนอกพวกนางจะได้ไม่รังเกียจเจ้าและสร้างความลำบากให้เจ้า”

ฉู่ซินอี๋โอดครวญในใจ นางไม่ห่วงเรื่องนี้หรอก หากจะพูดถึงเล่ห์กลอุบาย จวนแห่งนี้มีใครบ้างที่สู้นางได้ นางอยากให้เขามาหานางที่นี่ทุกวัน ให้คนพวกนั้นอิจฉาริษยาจนตายไปเลย

“ผู้น้อยอนุภรรยาทราบ” แม้ในใจจะปั่นป่วน แต่ภายนอกฉู่ซินอี๋กลับทำท่าซาบซึ้งใจ มือลูบหน้าท้องที่แบนราบ “ท่านแม่ทัพคิดเผื่อผู้น้อยอนุภรรยาในทุกๆ ทาง แต่ท้องของผู้น้อยอนุภรรยากลับไม่เอาไหน มิสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ท่านแม่ทัพได้เสียที ท่านแม่ทัพ…จะรังเกียจผู้น้อยอนุภรรยาหรือไม่”

เสิ่นจงชิ่งหัวเราะฮ่าๆ “อี๋เอ๋อร์กังวลเกินไปแล้ว ข้ายังไม่แก่สักหน่อย อีกสองสามปีค่อยมีลูกก็ยังได้”

ฉู่ซินอี๋ผลักเขาออกเบาๆ และนั่งตัวตรง “ท่านแม่ทัพอายุมากแล้วยังไม่มีบุตรชายเสียที ต่อให้ท่านไม่ร้อนใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องร้อนใจ!” คิดถึงนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อตอนกลางวันแล้ว น้ำเสียงของนางอ่อนลง “บรรดาสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายข้า ชุนหงเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ใจร้อนวู่วามไปหน่อย เกรงว่าจะปรนนิบัติท่านแม่ทัพได้ไม่ดี แต่ชุนหลันสุขุมเยือกเย็น ความคิดละเอียดอ่อนและช่างเอาใจใส่ มิสู้…” นางมองเสิ่นจงชิ่ง “ท่านแม่ทัพรับนางเป็นอนุเถอะ หากสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ท่านแม่ทัพได้ ผู้น้อยอนุภรรยาก็สบายใจ” สีหน้านางหม่นหมองเหมือนมีหมอกปกคลุมใบหน้าอยู่ชั้นหนึ่ง เสิ่นจงชิ่งหรี่ตามองอยู่นานก็มองทะลุใจนางไม่ได้เสียที

เขาส่ายหน้า “อี๋เอ๋อร์คิดมากเกินไปแล้ว ชีวิตนี้ของข้ามีพวกเจ้าก็เพียงพอแล้ว” นี่หาใช่คำพูดโกหก

เขาถือกำเนิดในครอบครัวชาวบ้าน แม้ฐานะทางบ้านจะร่ำรวย แต่ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี ตอนมีชีวิตอยู่บิดามีมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยเห็นถึงความรักระหว่างบิดามารดา เสิ่นจงชิ่งจึงจินตนาการเอาไว้นานแล้วว่าหากเขาแต่งภรรยา เขากับภรรยาจะเป็นเหมือนบิดามารดา ครองคู่อยู่ด้วยกันโดยไม่ทอดทิ้งไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นตอนพบฉู่ซินอี๋และเห็นความอ่อนโยนเรียบร้อยของนาง เขาถึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา น่าเสียดายที่…เขาถอนหายใจเบาๆ “ตอนนั้นหากไม่เพราะต้องการยั่วโมโหนาง ข้าคงไม่แต่งอนุเข้ามามากมายถึงเพียงนี้ ทำให้ครอบครัวไร้ความสงบสุข มารดาต้องพลอยกลุ้มใจไปด้วย บัดนี้ย้อนนึกดูแล้วข้ายังเสียใจไม่หาย”

เขาในอดีตช่างทำตัวเหลวไหลเกินไปจริงๆ

ในอดีตแม้เจินสือเหนียงจะทำไม่ถูก แต่เขาเคยใช้ความอดทนกับนางด้วยหรือ บัดนี้คิดดูแล้ว แต่ก่อนหากพวกเขายอมถอยคนละก้าว ไม่แน่เขากับเจินสือเหนียงอาจไม่ต้องเดินมาถึงจุดนี้

“ผู้น้อยอนุภรรยากลัวเหลือเกินว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวัง” น้ำเสียงของฉู่ซินอี๋เจือความขมขื่น

นี่เป็นคำพูดจากใจจริง แม้จะยึดหลักฝนตกทั่วฟ้า แต่ทุกครั้งที่กลับจากศึกสงคราม เสิ่นจงชิ่งจะใช้เวลาอยู่ที่เรือนไผ่หยกมากกว่าเรือนอื่นๆ นางเองก็แอบใช้ยาบำรุงช่วยอยู่ลับๆ แต่ท้องนางกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

นับแต่โบราณมารดาเป็นใหญ่ได้เพราะบุตร โดยเฉพาะเสิ่นจงชิ่งที่มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ฐานะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ หากนางไม่อาจมีบุตรให้เขาได้จริงๆ หรือถูกผู้หญิงคนอื่นชิงตัดหน้าไป…

ฉู่ซินอี๋ไม่กล้าคิดต่อ

เห็นเสิ่นจงชิ่งหรี่ตามองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางก็ร้องขึ้นอย่างโมโห “ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยอนุภรรยาจริงจังนะ!”

ยังพูดไม่จบ เสิ่นจงชิ่งก็ช้อนอุ้มนางขึ้น “อี๋เอ๋อร์ร้อนใจอยากมีลูก เช่นนั้นข้าคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”

ฉู่ซินอี๋ทั้งอายทั้งโกรธ “ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยอนุภรรยาหาได้ล้อเล่น!” นางออกแรงดิ้นจะลงพื้น

“ข้าก็ไม่ได้ล้อเล่น!” เสิ่นจงชิ่งหัวเราะฮ่าๆ และก้าวยาวๆ ไปที่เตียง

เสียงโต้เถียงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบคราง สร้างบรรยากาศอ่อนโยนงดงามภายในห้อง…

 

หลังความหฤหรรษ์ผ่านพ้นไป ฉู่ซินอี๋สั่งให้ชุนหงยกน้ำเข้ามาเช็ดตัวให้เสิ่นจงชิ่ง ส่วนตนเองไปชำระล้างร่างกายแล้วค่อยขึ้นมาบนเตียง

การที่เขาไม่เห็นด้วยกับการรับสาวใช้เป็นอนุทำให้ฉู่ซินอี๋อารมณ์ดีมาก ลำแขนขาวผ่องโอบเอวเขาเบาๆ พลางร้องเรียกเสียงค่อย “ท่านแม่ทัพ…”

“หืม…” เสิ่นจงชิ่งขานรับอย่างงัวเงีย

“หรือว่าผู้น้อยอนุภรรยาควรไปหาหมอดี”

“อะไรนะ”

“ได้ยินว่าเมืองอู๋ถงมีหมอเทวดาคนหนึ่งแซ่เจี่ยน คนที่ผู้น้อยอนุภรรยาบอกท่านวันก่อนว่าเป็นคนทำเออเจียวสกุลเจี่ยนขายอย่างไรล่ะ หมอเจี่ยนเชี่ยวชาญการรักษาโรคที่หายยากโดยเฉพาะ ได้ยินว่าสาวใช้รุ่นใหญ่ที่บ้านแต่งงานมาสามปีและไม่ตั้งครรภ์เสียที ภายหลังกินยาของหมอเจี่ยนเข้าไป ไม่ถึงสามเดือนก็ตั้งครรภ์แล้ว” นางซุกหน้ากับแผ่นหลังเขาพลางทอดเสียงอ่อน “ผู้น้อยอนุภรรยาไปหาหมอเจี่ยนผู้นี้บ้างดีกว่า บางทีอาจจะได้ผล”

ถามอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ฉู่ซินอี๋จึงเงยหน้าและเห็นเสิ่นจงชิ่งเปล่งเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอ…

เสิ่นจงชิ่ง!

สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที นางผุดลุกขึ้น

เสิ่นจงชิ่งขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหลับต่ออย่างเป็นสุข

“หมู!”

ฉู่ซินอี๋บ่นว่าคำหนึ่งและนอนหันหลังให้เขาอย่างแง่งอน เบิกตามองแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่าง

 

ไม่เพียงเพราะต้องการยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก แต่พอตำแหน่งของเขาสูงขึ้น การสังสรรค์กับราชสำนักย่อมมากขึ้นด้วย เขาจึงต้องการกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและเชิดหน้าชูตาได้มาช่วยเหลือเขาในการเข้าสังคม

กระนั้นการแต่งงานครั้งนั้นของเขาเป็นสมรสพระราชทาน เขาไม่อาจหย่าภรรยา จึงมีสองวิธีในการจัดการกับเจินสือเหนียง หนึ่งคือฆ่านางเสีย ไม่ก็ตกลงหย่าขาด แม้ในสมรภูมิเขาจะฆ่าศัตรูมามากมายโดยไม่รู้สึกรู้สา แต่จะให้เขาฆ่าสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้คนหนึ่ง อีกทั้งสตรีผู้นั้นยังเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา เสิ่นจงชิ่งทำไม่ลงจริงๆ

ครุ่นคิดอยู่หลายวัน เขาตัดสินใจหาเวลาเดินทางไปบ้านบรรพบุรุษพบเจินสือเหนียงและตกลงกันดีๆ ทางที่ดีที่สุดคือสามารถตกลงหย่าขาดแต่โดยดีได้ แม้จะรู้สึกว่าด้วยนิสัยร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของนาง การที่นางจะยอมตกลงหย่าขาดไม่ต่างจากการที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากสังหารนาง

คิดเช่นนี้ก็จริง แต่งานยุ่งเหลือเกิน กว่าเสิ่นจงชิ่งจะได้รับวันหยุดสามวันและเดินทางมาเมืองอู๋ถงอีกครั้งก็ล่วงเลยมาอีกหนึ่งเดือน

ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว หน้าบ้านและหลังบ้านตากถั่วเจินจื่อ เห็ด ผักป่า และของป่าสดๆ ที่เพิ่งเก็บได้เต็มไปหมด สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋นั่งอยู่ในลานบ้านเด็ดเห็ดพลางคุยเรื่อยเปื่อย

“น้อยเกินไปแล้ว” สี่เชวี่ยมองของป่าในลานบ้านที่น้อยกว่าปีก่อนกว่าครึ่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เกรงว่าฤดูหนาวปีนี้คงต้องทนหิวอีกแล้ว” พวกเขาผู้ใหญ่ไม่เป็นไรหรอก กลัวก็แต่เหวินเกอ อู่เกอจะทนไม่ไหว ปีก่อนนางกับชิวจวี๋ไปเก็บผักและผลไม้ป่าด้วยกัน ปีนี้ร่างกายนางหนักอึ้ง จึงเหลือชิวจวี๋เพียงคนเดียว

“คุณหนูบอกว่าไม่เป็นไร รอให้ยาลูกกลอนขายได้เมื่อไร ดีไม่ดีอาจซื้อหมูสักครึ่งตัวมาฉลองปีใหม่ได้ด้วย” พอคิดว่าจะได้กินเนื้อหมูหอมฉุยติดกันหลายมื้อ น้ำลายของชิวจวี๋ก็แทบไหลย้อย อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่จริงๆ

“เจ้านี่นะ” สี่เชวี่ยถลึงตาใส่นาง “รู้จักแต่กิน ไม่รู้จักใช้ความคิดเสียบ้าง คุณหนูแค่ปลอบพวกเราเท่านั้นแหละ”

“อะไรนะ” ชิวจวี๋เงยหน้าด้วยความฉงน ก้านเห็ดสีเทาในมือถูกหักทิ้งไปกว่าครึ่ง

“เจ้าระวังหน่อย อย่าเสียของ” สี่เชวี่ยเก็บเห็ดก้านนั้นขึ้นมา เด็ดส่วนรากที่เปื้อนดินทิ้ง ส่วนที่เหลือโยนกลับไปบนกระจาดสาน “เมื่อวานอาเขยของเจ้าไปทำธุระและผ่านร้านยารุ่ยเสียง ยาลูกกลอนของคุณหนูยังขายไม่ออกเลยสักเม็ด ราคาแพงเกินไปและคนไม่เคยใช้ ทุกคนต่างกลัวว่าจะใช้ไม่ได้ผล จึงไม่มีใครกล้าซื้อ” สี่เชวี่ยถอนใจ “ข้ากลัวว่าฤดูหนาวปีนี้คุณหนูจะแอบหยุดกินยาอีกแล้ว”

เจินสือเหนียงเลือดลมพร่อง ต้องกินยาบำรุงอย่างต่อเนื่อง แต่พอถึงฤดูหนาว โดยเฉพาะช่วงที่เสบียงอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาไม่มีอะไรกิน ช่วงนี้เจินสือเหนียงจะแอบหยุดยา ประหยัดเงินไว้ซื้อเสบียงอาหารให้ทุกคน นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมห้าปีมานี้ ทั้งที่เจินสือเหนียงรู้วิชาแพทย์ แต่ร่างกายกลับทรุดโทรมลงทุกวัน

ด้วยเหตุนี้เอง พอถึงฤดูใบไม้ร่วง สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋จึงพยายามเก็บพืชผลและตากแห้งไว้มากๆ เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียง

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ชิวจวี๋ร้องเสียงแหลม

“ชู่ว์…” สี่เชวี่ยรีบโบกมือ “ระวังคุณหนูจะได้ยินเข้า” นี่เป็นช่วงพักกลางวัน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เพิ่งหลับไป สี่เชวี่ยเดาว่าแปดส่วนเจินสือเหนียงคงนอนไม่หลับและหนีไปเดินหมากอยู่หลังบ้าน

ชิวจวี๋กดเสียงให้เบาลง “คุณหนูไม่ค่อยได้ตรวจรักษาใครก็จริง แต่โรคที่นางรักษาล้วนเป็นโรคประหลาดที่หมอเฝิงรักษาไม่หาย เรื่องนี้ลือกันไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ใครๆ ก็ว่าคุณหนูของพวกเราเป็นหมอเทวดา แล้วยาของนางใครบ้างจะไม่เชื่อ”

สี่เชวี่ยถอนหายใจ “ถ้าคุณหนูนั่งตรวจโรคอยู่ที่นั่นเลยย่อมมีคนเชื่อแน่ แต่ร่างกายของคุณหนูไม่แข็งแรง นั่งตรวจโรคที่ร้านยาไม่ได้” สี่เชวี่ยถอนใจอีกครั้ง “ข้าว่าแปดส่วนทุกคนคงคิดว่าร้านยารุ่ยเสียงแอบอ้างชื่อคุณหนูขายยาปลอมเป็นแน่”

ฐานะไม่อำนวย ทั้งยังเป็นสตรี เวลาตรวจโรคเจินสือเหนียงมักใช้ผ้าโปร่งปิดหน้า ต่อให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังเพียงไร แต่ถึงอย่างไรคนในเมืองก็ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง หากไม่ได้นางเป็นคนแนะนำด้วยตนเอง จู่ๆ มาพูดส่งเดชว่ายานี้เป็นของหมอเจี่ยน ใครเล่าจะเชื่อ

“แล้วจะทำอย่างไรดี” ดวงหน้าเล็กของชิวจวี๋งอง้ำ

“เมื่อวานสะใภ้หลี่ให้เสื้อผ้าเก่ามาสองสามชุด สองวันนี้ข้าจะเอามาแก้เป็นเสื้อผ้าให้เหวินเกอ อู่เกอ แล้วค่อยแก้ให้เจ้าอีกชุด พอถูไถใส่ในช่วงปีใหม่ได้” น้ำเสียงของสี่เชวี่ยลังเล “แล้ว…ชุดใหม่ก็อย่าซื้อเลย”

“อืม” ชิวจวี๋พยักหน้า “แค่ไม่ต้องอดก็พอแล้ว ข้า…”

ขณะพูดเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆๆ

“ตอนนี้ทุกคนล้วนยุ่งกับการเก็บเกี่ยวพืชผล ใครจะมีเวลามาเยี่ยมอีกนะ” ชิวจวี๋งึมงำพลางวิ่งไปเปิดประตู

ชิวจวี๋มองเสิ่นจงชิ่งที่หล่อเหลาไม่ธรรมดายืนอยู่นอกประตู นางจ้องตาค้างจนลืมกะพริบตา อ้าปากกว้างพูดอะไรไม่ออก

คนผู้นี้หล่อเหลาเหลือเกิน เหมือนเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน

“นายหญิงใหญ่อยู่หรือไม่” เสิ่นจงชิ่งเดินอ้อมนางเข้าไปในบ้าน

“ใครมาน่ะ” เห็นชิวจวี๋ลุกไปนานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยร้องถาม พอเงยหน้าเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงก็ก้าวยาวๆ เข้ามาแล้ว นางตกใจจนมือปัดถูกดอกเห็ดที่ตากอยู่บนกระจาดสานร่วงลงมาครึ่งหนึ่ง “ท่าน…แม่ทัพ” นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก

“ที่นี่ไม่มีนายหญิงใหญ่ คุณชายท่านนี้มาผิดบ้านแล้ว!” พอได้สติชิวจวี๋ก็หันหลังวิ่งตามเข้ามา คนผู้นี้ไม่มีมารยาทเลย ต่อให้หล่อเหลาแค่ไหนก็ไม่ควรบุกรุกบ้านผู้อื่นตามอำเภอใจ

“อะไรนะ” เสิ่นจงชิ่งแววตาเยียบเย็น บรรยากาศรอบด้านเย็นลงหลายส่วน

กลิ่นอายคุกคามเข้มข้นยิ่งนัก! ชิวจวี๋ตกใจกลัวจนตัวสั่น คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น

“ท่านแม่ทัพมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ” ฟันของสี่เชวี่ยกระทบกันเล็กน้อย

“นายหญิงใหญ่ล่ะ”

“อยู่ที่…” หลังถูกไอสังหารของเสิ่นจงชิ่งจู่โจม สี่เชวี่ยลังเลว่าควรจะคิดหาวิธีซ่อนตัวเจินสือเหนียงไว้หรือเปล่า

“ท่านแม่ทัพ…” เห็นเสิ่นจงชิ่งก้าวไปที่หน้าประตูเรือน สี่เชวี่ยพลันคิดได้ว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังหลับอยู่ในห้อง จึงรีบร้องห้าม “นายหญิงใหญ่อยู่ริมสระบัวหลังบ้านเจ้าค่ะ บ่าวจะพาท่านแม่ทัพไปเอง” เห็นเขาหันหลังจากไป สี่เชวี่ยถึงได้ลอบปล่อยลมหายใจออกมา

เสิ่นจงชิ่งกำลังจะพยักหน้ารับ คิดได้ว่าเขาจะเจรจากับเจินสือเหนียงเรื่องตกลงหย่าขาด ไม่สะดวกนักหากมีบ่าวอยู่ด้วยจึงส่ายหน้า “ข้าไปเองดีกว่า” ก่อนได้รับตำแหน่งเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปี จึงคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี

ด้วยเป็นห่วงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่อยู่ในห้อง สี่เชวี่ยจึงไม่ยืนกรานและหลบไปด้านข้างทันที

“หรงเซิง เจ้าไปจองห้องพักในเมืองไว้สองห้อง” เห็นหรงเซิงตามมา เสิ่นจงชิ่งก็ออกคำสั่ง

เจินสือเหนียงทั้งร้ายกาจและทิฐิ การตกลงหย่าขาดกับนางใช่ว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆ วันนี้เขาคงไม่ได้กลับไปแล้ว แม้จะเป็นบ้านเดิมของตนเอง แต่เขาไม่อยากพักอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเจินสือเหนียง

ด้วยรู้ว่าแม่ทัพของตนรังเกียจเจินสือเหนียงเพียงใด หรงเซิงจึงขานรับและจากไป

เขาก้าวเข้าไปในลานหลังบ้านผ่านประตูด้านข้าง ทิวทัศน์ยังคงเดิม แต่แออัดมากยิ่งขึ้น เห็นลานบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเยาว์แล้ว เสิ่นจงชิ่งรู้สึกสะท้อนใจยิ่ง

จำได้ว่าพอผ่านประตูนี้มาก็จะพบแปลงดอกไม้เล็กๆ มารดาชอบดอกเบญจมาศที่สุด ทุกปีพอถึงฤดูกาลนี้ ที่นี่จะมีดอกเบญจมาศสีเหลืองทองบานสะพรั่ง กลางคืนเขานั่งอ่านตำราใต้แสงเทียนจะได้กลิ่นหอมโชยมาเป็นระลอก “น่าเสียดายที่พื้นที่แปลงนี้ถูกนำไปปลูกผักจนหมด!” มองแปลงดอกไม้กับลานกว้างในอดีตถูกล้อมด้วยรั้วที่สูงครึ่งจั้ง ข้างในเต็มไปด้วยถั่วฝักยาวที่ปลูกเอาไว้แน่นขนัด ในใจของเสิ่นจงชิ่งอดนึกเสียดายไม่ได้

เดินอ้อมรั้วมาเห็นลานที่เขาใช้ออกกำลังกายในอดีตถูกรั้วสูงครึ่งตัวคนล้อมไว้เช่นกัน ข้างในเลี้ยงไก่ยี่สิบตัว เสิ่นจงชิ่งก็นิ่วหน้า “ผู้หญิงโง่คนนี้!” นางช่างวุ่นวายจริงๆ อยู่กันแค่สามคนจำต้องย่ำยีลานบ้านของเขาจนเละเทะขนาดนี้ด้วยหรือ ยังไม่พูดถึงว่านางนำสินเจ้าสาวก้อนใหญ่ติดตัวมาด้วยตอนย้ายมาที่นี่ แค่สระบัวครึ่งหมู่นั่นก็เลี้ยงปากท้องคนสามถึงห้าคนได้สบายแล้ว!

เห็นสวนที่ตนรักในอดีตถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ เสิ่นจงชิ่งรู้สึกปวดใจยิ่งนัก พอได้กลิ่นฉุนบาดจมูกโชยมาจากเล้าไก่ เขาก็เร่งฝีเท้าจนพ้นเส้นทางแคบๆ ถึงค่อยปล่อยลมหายใจออกมา เงยหน้าเห็นสระบัวที่เต็มไปด้วยใบบัวยังไม่ถูกกระทำย่ำยี โต๊ะและม้านั่งหินริมสระยังอยู่ ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นคอกหมูเล้าไก่ เสิ่นจงชิ่งจึงรู้สึกสบายใจขึ้น

สระบัวขาวแห่งนี้นางบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี เขาคิดพลางทอดสายตามองไปยังเงาร่างในชุดขาวเทาที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินไม่ห่างออกไป ก่อนจะตะลึงงันโดยไม่รู้ตัว

นั่นคือนางหรือ

เจินสือเหนียงสวมเสื้อคอไขว้ลายดอกเล็กๆ ที่ตัดจากผ้าหยาบสีขาวซีด เรือนผมดำขลับเกล้าเป็นมวยง่ายๆ และเสียบด้วยปิ่นไม้อันหนึ่ง บนโต๊ะหินตรงหน้าเป็นกระดานหมาก นางกำลังถือหมากสีดำก้มหน้าครุ่นคิดด้วยสีหน้าอ่อนโยน ดูแล้วเหมือนภาพทิวทัศน์อันสงบเงียบ เสิ่นจงชิ่งอดเผลอมองอย่างหลงใหลไม่ได้

ตั้งแต่เป็นโรคเลือดพร่อง เจินสือเหนียงนอนน้อยมาตลอด ด้วยเกรงว่าหากนอนกลางวันแล้วกลางคืนจะนอนไม่หลับ นางจึงถือโอกาสตอนเหวินเกอ อู่เกอนอนกลางวันหนีมาอยู่ริมสระบัว มือหนึ่งถือหมากสีขาว มือหนึ่งถือหมากสีดำและเดินหมากหาความสุขให้ตนเอง นี่เป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุดในแต่ละวัน

ความบันเทิงในยุคโบราณมีน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะสำหรับคนยากคนจนเช่นนาง แม้แต่หนังสือดีๆ สักเล่มยังตัดใจซื้อไม่ลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไปสังสรรค์หาความสนุกข้างนอก โชคดีที่ชาติก่อนนางเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเล่นหมากล้อม หากจะพูดอย่างจริงจัง สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนางเคยคว้ารางวัลที่สามในการแข่งขันหมากล้อมมือสมัครเล่นด้วยซ้ำไป

หมากที่นางวางกระดานนี้มาจากการแข่งขันหมากล้อมระดับชาติครั้งที่สามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เนี่ยเว่ยผิงกับมาซาโอะ คะโตะประลองฝีมือกัน ดูเหมือนจะเป็นกระดานที่สิบเจ็ด ความทรงจำเลือนรางเล็กน้อย นางถือหมากพลางครุ่นคิด ด้วยรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมา จึงเงยหน้าโดยสัญชาตญาณและตื่นตระหนกขึ้นทันใด

เขามาได้อย่างไรกัน!

วันนั้นถูกนางทำให้ตกใจจนหนีไปแล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงมาอีกแล้วล่ะ

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่ยามเผชิญหน้ากับเสิ่นจงชิ่งอีกครั้ง เจินสือเหนียงไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองว่าเขาจะรู้จักแยกแยะดีชั่วเมื่อประสบความสำเร็จ คิดอยากจะทำดีกับภรรยาที่เคยร่วมทุกข์มาด้วยกัน แค่ชั่ววูบเดียว นางก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เขามา

ถูกต้อง เขามาเพื่อหย่านาง!

ตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ฮ่องเต้โปรดปราน มีคนจับตาดูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการภรรยาที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งและสามารถเข้าออกงานสังคมระดับสูงกับเขาได้ ไม่ว่าจะเข้าออกวังหลวงหรือตำหนักใน ภรรยาที่จะเป็นทั้งผู้ช่วยและหูตาในการรวบรวมอำนาจของเขา

พึงรู้ว่าในสนามการเมือง บางครั้งการคบหาสมาคมระหว่างฮูหยินทั้งหลายสำคัญยิ่งกว่าการคบหากันของขุนนางอย่างพวกเขาเสียอีก!

จวบจนตอนนี้ เจินสือเหนียงยังคงไม่รู้ว่าการแต่งงานของตนเป็นสมรสพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ เขาไม่อาจเป็นฝ่ายหย่านางได้ พวกเขาต้องตกลงหย่าขาดด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น เรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากนางครึ่งหนึ่งด้วย

พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา หัวใจของเจินสือเหนียงก็เต้นแรง

ไม่ว่าจะวิตกอย่างไร สุดท้ายวันนี้ก็มาถึงอยู่ดี!

แม้ว่าอิสรภาพนี้จะเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันถึงมานาน พอคิดว่านับแต่นี้ไปนางจะสามารถเปิดใจรับคนที่จะครองคู่อยู่กับนางไปชั่วชีวิตได้แล้ว นางเองก็ดีใจ เพียงแต่ผู้หญิงสมัยโบราณไม่มีสินส่วนตัว ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่ฝ่ายหญิงสามารถแบ่งทรัพย์สมบัติไปได้ครึ่งหนึ่ง

ในยุคโบราณเช่นนี้ หากเขาหย่านางเมื่อใด นางย่อมถูกขับไล่ออกจากบ้านหลังนี้ทันที

ไม่มีที่อยู่อาศัย เงินสิบกว่าตำลึงที่หามาอย่างยากลำบากก็ทุ่มไปกับยาลูกกลอนจนตอนนี้ไม่เหลือสักแดง แล้วนางกับลูกจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร คิดถึงตรงนี้ ส่วนลึกของดวงตาพลันฉายแววหม่นหมอง แต่เพียงครู่เดียวก็หายวับไป

นางนั่งนิ่งไม่ขยับ ‘แปะ’ จนกระทั่งวางหมากสีดำในมือลงไปอย่างสุขุมมั่นคงถึงค่อยพยุงโต๊ะหินและลุกขึ้น “ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ” น้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าสุขุมเยือกเย็น

แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่า แต่ท่วงทีและกิริยานั้นกลับดูเหมือนองค์หญิงผู้สูงส่งในชุดหรูหรา

ไม่สิ องค์หญิงยังไม่เยือกเย็นเท่านางด้วยซ้ำ!

ท่าทีของนางทำเอาหัวใจของเสิ่นจงชิ่งหดรัดอย่างแรง เขายืนนิ่งมองนางอยู่อย่างนั้น ลืมแม้กระทั่งการเอ่ยวาจา

“ท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” เห็นเขาเงียบ เจินสือเหนียงจึงเข้าประเด็นทันที ในเมื่อเดาจุดประสงค์ของเขาได้ นางเองก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมกับเขาอีก ฟ้าจะมีฝน สตรีจะออกเรือน นางเองก็จนปัญญา แทนที่จะตื๊อเขาและขอร้องอ้อนวอน มิสู้ต่างฝ่ายต่างตัดปัญหาให้เฉียบขาดรวดเร็ว ต่อให้ไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน ไม่มีเงินทองไม่มีที่พึ่งจะน่ากลัว แต่อย่างน้อยนางยังเหลือศักดิ์ศรี นางยังมีเหวินเกอกับอู่เกอ

คิดถึงความลำบากที่ต้องพบเจอในอนาคตแล้ว เจินสือเหนียงก็จิตใจหมองหม่นลง ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยอ่อนโยนขณะมองเสิ่นจงชิ่งอย่างใจเย็น

เสิ่นจงชิ่งได้สติและจ้องมองใบหน้านิ่งเฉยไร้คลื่นอารมณ์ของนาง ส่วนลึกของแววตานิ่งสงบคู่นั้นฉายรอยยิ้มและความเหนื่อยล้าจางๆ บางเบาดุจสายหมอก ทว่ากลับปิดบังความคิดจิตใจทั้งหมดของนางไว้ หัวใจเขากระตุก นี่คือสตรีที่เขาพบในร้านยาเมื่อวันก่อนมิใช่หรือ

วันนั้นนางจงใจ!

คิดได้ดังนี้เสิ่นจงชิ่งก็โกรธโดยไร้สาเหตุ ลืมสนิทว่าที่มาครั้งนี้ก็เพื่อตกลงหย่าขาดกับนางอย่างใจเย็น เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “วันนั้นเจ้าไปร้านยาใช่หรือไม่!”

เจินสือเหนียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามนางเรื่องนี้จึงผงะไป นางพยายามทรงตัวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายมาต่อต้านความรู้สึกคุกคามที่มองไม่เห็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “ใช่”

วันนั้นสี่เชวี่ยถามหลี่ฉี หลงจู๊ร้านยารุ่ยเสียงดูแล้ว เสิ่นจงชิ่งไม่รู้ว่าวันนั้นนางไปส่งยา แต่คิดว่านางเป็นคนป่วยที่ไปหาหมอ เจินสือเหนียงจึงตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เสิ่นจงชิ่งเห็นนางโกหกตนเองแล้วยังทำท่าสุขุมเช่นนี้ได้ก็ยิ่งโมโหหนัก “วันนี้ไฉนจึงไม่แต่งกายเฉิดฉันเหมือนวันก่อนเล่า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววประชดเสียดสี ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าก้าวใหญ่และจ้องเจินสือเหนียงอย่างคาดคั้น

หากไม่ใช่เพราะเจ้าโผล่มากะทันหัน ข้าต้องแต่งตัวเฉิดฉันต้อนรับเจ้าแน่!

แม้ใจคิดเช่นนี้ แต่เจินสือเหนียงกลับไม่กล้าพูดออกไปตามตรง “ริมสระบัวลมพัดแรง ข้าภรรยาเกรงว่าจะทำให้เสื้อผ้าสกปรก” ถ้อยคำนางราวกับว่าเสื้อปักลายสีแดงที่แสนจะอัปลักษณ์ตัวนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า หากมิใช่โอกาสสำคัญนางยังเสียดายไม่อยากจะใส่อย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงทันใด มือกำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังกร๊อบๆ ถึงจะควบคุมตนเองไม่ให้สะบัดฝ่ามือออกไปได้ นานทีเดียวเขาจึงพรั่งพรูลมหายใจออกมาแรงๆ

ครั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข้มข้นของบุรุษที่เป่ารดใบหน้า สร้างความรู้สึกชาวาบ เจินสือเหนียงก็ทนนิ่งต่อไปไม่ไหวอีก นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ คิดไม่ถึงว่าจะสะดุดม้านั่งหินข้างหลัง ร่างกายเอียงวูบจนนางเกือบล้มหน้าคะมำ นางหวีดร้องตกใจ มือคว้าม้านั่งหินเปะปะหมายจะลุกขึ้น แต่ม้านั่งหินลื่นเกินไป นางพยายามอยู่นานก็ไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้ นิ้วมือค่อยๆ เลื่อนหลุดจากขอบม้านั่งหิน ร่างกายกำลังดิ่งลงไปในสระบัวอย่างควบคุมไม่อยู่

หมดกัน ที่แท้ชาตินี้ข้าตายอย่างนี้เอง

เจินสือเหนียงทอดถอนใจพลางหลับตาลง แม้ตรงหน้าจะมีบุคคลคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตนางได้ แต่นางดิ้นรนอยู่ตั้งนาน เขากลับไม่ก้าวเข้ามาประคอง เจินสือเหนียงจึงไม่ตั้งความหวังไว้กับเขา แอบคิดในใจด้วยซ้ำไปว่าเมื่อครู่เขาจงใจ หมายจะบีบนางให้ตกน้ำ หากนางตายไปเขาย่อมไม่ต้องเขียนแม้กระทั่งหนังสือหย่า ทั้งยังไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าพอได้ดิบได้ดีก็ทอดทิ้งภรรยาคนเก่าและแต่งภรรยาใหม่ ถูกผู้คนชี้จมูกด่าว่าเป็นเฉินซื่อเหม่ย*ที่ได้ใหม่ลืมเก่า ดีแต่ประจบผู้มีอำนาจ!

นางควรคิดได้แต่แรกว่าเขาชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ควรป้องกันเขาตั้งแต่แรก

ผู้หญิงโง่คนนี้! ไฉนจึงโง่งมจนแม้แต่ม้านั่งก็จับไม่อยู่

เดิมทีคิดว่าเจินสือเหนียงใช้อุบายอีกแล้ว จงใจยืนไม่มั่นคงเพื่อให้เขายื่นมือไปประคอง นางจะได้ถือโอกาสโผเข้ามากอดเขา จากนั้นก็ร้องไห้อ้อนวอนตื๊อให้เขาพานางกลับจวนแม่ทัพ

แต่ก่อนเขาเป็นเพียงขุนนางขั้นหกตำแหน่งเล็กๆ นางยังตามตื๊อไม่เลิก นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คนโปรดขององค์ฮ่องเต้ที่ใครๆ ก็อยากใกล้ชิดกันเล่า

ในเมื่อตั้งใจจะตกลงหย่าขาด เขาก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับนางอีก ดังนั้นเขาจึงยืนมองเจินสือเหนียงดิ้นรนอย่างเย็นชา เฝ้ามองนางเล่นละครจนกระทั่งเห็นนิ้วมือนางค่อยๆ ลื่นหลุดจากม้านั่งหิน ร่างกายค่อยๆ ร่วงลงไปจนแทบจะแตะผิวน้ำอยู่แล้ว เขาถึงร้องอย่างตกใจและกระโจนเข้าไปทันที “สือเหนียง!”

นางไม่ได้ใช้อุบายกับเขา!

แม้จะโอบนางขึ้นมาแล้ว หัวใจเขายังคงเต้นตึกตัก ผู้หญิงสมควรตายผู้นี้ ทั้งที่จะจมน้ำอยู่แล้ว ไฉนนางจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ยังจะนิ่งเฉยใจเย็นเหมือนกำลังจะออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ! คิดจะทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าสังหารภรรยาตนเองอย่างนั้นหรือไร

เมื่อครู่ตอนเห็นนางกำลังร่วงลงไปจริงๆ เขาก็รู้แล้วว่านางไม่ได้เล่นละคร แต่เขายังคงไม่อยากยื่นมือออกไปช่วย คงเป็นเพราะปรารถนาจะได้ยินนางร้องเรียกชื่อเขาอย่างตระหนกลนกระมัง

พอตั้งสติได้ เสิ่นจงชิ่งจึงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกอดปุยฝ้าย ร่างในอ้อมกอดเบาหวิวจนแทบไร้น้ำหนัก เขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ ไฉนร่างกายนางจึงเบาถึงเพียงนี้ จากนั้นคิดถึงคำพูดของหมอในร้านยารุ่ยเสียงที่บอกว่านางเป็นโรคเลือดพร่อง โทสะที่กดเก็บอยู่ในใจเขาจึงหายไปสิ้น

ครอบครัวนางถูกประหารทั้งตระกูล หากเขาตกลงหย่าขาดกับนางจริง นางจะใช้ชีวิตตามลำพังต่อไปอย่างไร

แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ยิ่งไม่ใช่ผู้ชายที่จะหวั่นไหวและสงสารผู้หญิงโดยง่าย แต่ไม่ว่านางจะเคยร้ายกาจเพียงใด ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงของเขา พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ทางกายต่อกัน เห็นร่างกายนางอ่อนแอถึงเพียงนี้ ความคิดแน่วแน่ที่จะตกลงหย่าขาดจึงสั่นคลอน

เจินสือเหนียงเห็นเขายังกอดนางไม่ปล่อยก็หน้าแดงขึ้น รีบออกแรงผลักเขาออกและพูดว่า “ข้าภรรยาขอบคุณท่านแม่ทัพที่ช่วยชีวิต”

เสิ่นจงชิ่งรีบคลายมือออกเมื่อเห็นนางดึงดันจะลุกขึ้นเอง ครั้นเห็นพวงแก้มนางย้อมสีแดงเหมือนเมฆยามเย็น หัวใจเขาก็กระตุกโดยไร้สาเหตุ “เจ้า…” เขาอยากถามว่าเจ้าเป็นโรคเลือดพร่องจริงหรือไม่ แต่ได้ยินเสียงร้องเอะอะของเด็กดังขึ้นข้างหลังเสียก่อน

“ข้าจะไปหาท่านแม่ ข้าจะไปหาท่านแม่!”

เหวินเกอ อู่เกอตื่นแล้ว!

ได้ยินเสียงร้องของลูกชาย เจินสือเหนียงพลันหน้าซีดเผือด

เสิ่นจงชิ่งหันกลับไปทำท่าเหมือนจะมองให้ชัด เจินสือเหนียงหัวสมองขาวโพลน “ท่านแม่ทัพ!” เขาได้ยินนางร้องเรียกเสียงสั่น “…เดินหมากเป็นหรือไม่” นางจำได้เลือนรางว่าดูเหมือนสี่เชวี่ยจะเคยบอกว่าเขาหลงใหลในการเดินหมากอย่างยิ่ง

“เด็กบ้านไหนกัน” เสิ่นจงชิ่งไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของเจินสือเหนียงผิดปกติ สายตายังคงมองตรงไปที่ลานด้านหน้า ลังเลว่าจะเดินไปดูดีหรือไม่

“…ลูกของคนงานที่จ้างมาทำงานระยะสั้น” เจินสือเหนียงตอบอย่างมีไหวพริบ “ถึงเวลาเก็บฝักบัวแล้ว ข้าภรรยาจึงจ้างคนงานมาสองคน”

เสิ่นจงชิ่งส่งเสียงอ้อ ก่อนจะหันกลับมา

เจินสือเหนียงนั่งลงบนม้าหิน “ไหนๆ ก็มาแล้ว ท่านแม่ทัพเดินหมากกระดานนี้เป็นเพื่อนข้าภรรยาดีหรือไม่” เพียงครู่เดียวนางก็คืนสู่ความสุขุมดังเดิม

สตรีคนหนึ่งจะรู้จักเดินหมากด้วยหรือ

ในใจไม่เห็นด้วย แต่สายตายังคงเลื่อนไปบนกระดานหมากตรงหน้า พอเห็นกระดานหมากร่างกายก็พลันสั่นสะท้าน! นี่เป็นกระดานหมากที่นางวางขึ้นเองหรือ เขาไม่เคยเห็นนางเดินหมาก คิดไม่ถึงว่าแนวทางการเดินหมากของนางจะลึกล้ำถึงเพียงนี้!

แนวทางการเดินหมากมีลักษณะคล้ายการบริหารปกครอง ผันแปรได้หลายรูปแบบ มีทั้งความเสี่ยงและอันตราย คล้ายคลึงกับการเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบของเขา เขาจึงลุ่มหลงการเดินหมากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลาวางแผนการวางกระบวนทัพ เขาจะชอบใช้เวลาใคร่ครวญอยู่หน้ากระดานหมากที่มีแต่หมากสีดำและหมากสีขาว

“แต่ก่อนไม่เคยเห็นเจ้าเดินหมากเลย” เสิ่นจงชิ่งนั่งลงตรงข้ามเจินสือเหนียงพลางมองนางอย่างประหลาดใจ

เจินสือเหนียงชี้กระดานหมาก “กระดานหมากสี่เหลี่ยมอันนี้มีทั้งความจริงและความเท็จ มีทั้งสีขาวและสีดำ ข้าชอบเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุดของมัน ชอบการขบคิดไม่สิ้นสุดเช่นนี้”

“เจ้า…” น้ำเสียงเขาชะงักไป “เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเมื่อห้าปีก่อน” ตรงหน้าปรากฏภาพที่เขาอุ้มนางไว้เมื่อครู่นี้อย่างอาวรณ์ แต่นางกลับร้อนใจอยากผลักเขาออก เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะตรงข้ามกับนิสัยเดิมของนางเมื่อห้าปีก่อนอย่างสิ้นเชิง

“เวลาห้าปีเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง” เจินสือเหนียงหนังตาไม่กระตุกด้วยซ้ำ นางยื่นมือไปหยิบหมากสีขาววางลงบนกระดานอย่างมั่นคง

หลังจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง เสิ่นจงชิ่งก็หยิบหมากสีดำขึ้นมาอย่างครุ่นคิด หมากกระดานนี้ลึกล้ำยิ่งนัก ต่อให้ตั้งใจเล่นอย่างเต็มที่ยังไม่แน่ว่าจะชนะ เสิ่นจงชิ่งไม่ตระหนักเลยว่านางได้ยกหมากดำที่มีเค้าว่าจะชนะให้เขาแล้ว

ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องไห้งอแงไม่ยอมอยู่ที่ลานหน้าบ้าน เจินสือเหนียงเงยหน้ามองเสิ่นจงชิ่งที่ถือหมากไว้ไม่ยอมวางลงเสียที “ข้าภรรยาไปชงชาให้ท่านแม่ทัพดีหรือไม่”

“ไปเถอะ” เสิ่นจงชิ่งโบกมือโดยไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ

เจินสือเหนียงจึงลุกขึ้น เดินไปที่ลานหน้าบ้านทันที

 

“ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องโวยวายจะไปลานหลังบ้าน เมื่อเห็นเจินสือเหนียงเดินมาจึงรีบโผเข้าไปหา

“เหวินเกอ อู่เกอตื่นแล้วหรือ” เจินสือเหนียงยิ้มร่าพลางดึงทั้งสองเข้าไปในบ้าน

“ท่านแม่แอบไปเดินหมากคนเดียวอีกแล้ว!” พอเข้าไปในบ้าน เจี่ยนอู่ก็ถามขึ้น “ทำไมไม่ปลุกข้าล่ะ ข้าอยากเดินหมากกับท่านแม่ด้วย!” เด็กสองคนต่างชื่นชอบการเดินหมาก ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจะเก็บกระดานหมากก่อนพวกเขาตื่น วันนี้พอมีเสิ่นจงชิ่งเข้ามากวน นางจึงกลับมาไม่ทัน พอรู้ว่านางเดินหมากอยู่หลังบ้าน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ย่อมงอแงจะเข้ามาเล่นด้วย

“แม่เดินหมากกับสหายเก่าอยู่” ด้วยมีความคิดของคนยุคปัจจุบัน เจินสือเหนียงจึงไม่อยากโกหกลูก

“ใคร พวกเราขอไปดูหน่อย!” เจี่ยนเหวินดึงเจี่ยนอู่จะวิ่งออกไปดู

“ไม่ได้!” เจินสือเหนียงคว้าตัวทั้งสองไว้

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน

“อืม…” เจินสือเหนียงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “แม่กลัวว่าเขาจะพาพวกลูกไป…และไม่ให้แม่พบลูกทั้งสองอีก” นี่ก็เป็นความจริงเหมือนกัน

เขามาเพื่อหย่านาง หากรู้ว่าตนเองมีลูกชายอยู่สองคน เขาต้องพาลูกไปด้วยแน่

เจินสือเหนียงให้เกียรติลูกมาตลอด ไม่เคยโกหกพวกเขา สีหน้านางจริงจังเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องจริงแน่นอน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระโดดเหยง “ข้าไม่อยากจากท่านแม่! ท่านแม่…” เจี่ยนอู่กอดเอวเจินสือเหนียงไม่ปล่อย น้ำเสียงเจือแววสะอื้น “ท่านแม่อย่าทิ้งอู่เอ๋อร์นะ อู่เอ๋อร์จะเป็นเด็กดี”

“เช่นนั้นพวกเจ้าไปซ่อนตัวเถอะ อย่าให้เขาพบ” เจินสือเหนียงถือโอกาสบอกให้ทั้งสองซ่อนตัว

“อืม” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย ตากวาดมองไปรอบด้าน “ข้าจะซ่อนในตู้เสื้อผ้า!” เจี่ยนเหวินเหลือบเห็นตู้เสื้อผ้าบนเตียงเตาก่อน

“ข้าจะหลบใต้โต๊ะ!” เจี่ยนอู่เห็นตู้เสื้อผ้าถูกเจี่ยนเหวินยึดไปแล้ว สายตาจึงเล็งไปที่โต๊ะบนพื้นแทน

ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก พอพูดถึงซ่อนตัว พวกเขาจึงนึกถึงการเล่นซ่อนหาและหาชัยภูมิที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับตนเอง เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางคว้าตัวลูกสองคนที่ทำท่าจะวิ่งไปทั่ว “ไม่ได้ หากเขาเข้ามานั่งในบ้านสองชั่วยาม พวกเจ้ามิอึดอัดแย่หรือ”

“จริงด้วย!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หน้างอง้ำ “แล้วพวกเราจะซ่อนตัวที่ไหนเล่า” สายตามองหาไปรอบๆ

“พวกเจ้าไปอยู่ที่บ้านของอาสี่เชวี่ยก่อน อีกประเดี๋ยวพอเขาไปแล้ว แม่ค่อยไปรับพวกเจ้า” เจินสือเหนียงขยี้หัวเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่ “ดีหรือไม่” คิดว่าจากนี้ไปพวกนางแม่ลูกจะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว น้ำเสียงของเจินสือเหนียงจึงเจือความหมองเศร้าโดยไม่รู้ตัว

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คิดว่านางกลัวพวกเขาจะถูกคนแย่งตัวไป พยักหน้าอย่างเศร้าสลด “ก็คงมีแต่วิธีนี้แล้วล่ะ” น้ำเสียงลำบากใจเจือการยอมรับเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง

แบบนี้ก็ได้ด้วย? บอกไปตามตรงโดยไม่ต้องโกหกเช่นนี้…

สี่เชวี่ยที่อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่รับปากอย่างรวดเร็วก็กะพริบตาปริบๆ แววตาที่มองเจินสือเหนียงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส เมื่อครู่นางก็คิดแบบนี้ แต่ไม่ว่านางกับชิวจวี๋จะเกลี้ยกล่อมหรือบังคับอย่างไรก็หลอกล่อพวกเขาไม่สำเร็จ คิดไม่ถึงว่าแค่ถ้อยคำง่ายๆ ไม่กี่คำของเจินสือเหนียงจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ความสามารถในการหลอกล่อเด็กของคุณหนูเยี่ยมยอดจริงๆ” สี่เชวี่ยใช้มือกดหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยเบาๆ “อีกหน่อยไว้เด็กคลอดออกมาเมื่อไร บ่าวจะต้องมาเรียนรู้กับคุณหนู”

ที่บ้านไม่มีชา เจินสือเหนียงจึงเอาดีบัวตากแห้งมาชงน้ำ ชิมดูแล้วรสขมเล็กน้อย จึงเติมน้ำตาลกรวดลงไป

พอนางยกดีบัวตากแห้งที่นำมาชงแทนชามาที่ลานหลังบ้าน หมากสีดำในมือของเสิ่นจงชิ่งเพิ่งวางลงไปพอดี เขากำลังรอนางพลางนิ่วหน้ามองกระดานหมากอย่างครุ่นคิด เห็นนางเดินมาจึงเอ่ยว่า “ข้าพบว่าหมากบนกระดานเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนสีดำกำลังจะชนะ”

เจ้าเพิ่งจะรู้หรือว่าข้าอ่อนข้อให้!

เจินสือเหนียงบ่นในใจและวางถาดลงอย่างแผ่วเบา หยิบกาขึ้นมารินชาให้เสิ่นจงชิ่งถ้วยหนึ่ง “เชิญท่านแม่ทัพดื่มชา” จากนั้นรินให้ตนเองหนึ่งถ้วยและนั่งลงฝั่งตรงข้าม หยิบหมากสีขาววางลงบนกระดานก่อนตอบว่า “ก่อนท่านแม่ทัพมา ข้าภรรยาเพิ่งจะวางหมากสีดำลงไป จึงถึงตาสีขาวพอดี…”

ความหมายคือนางไม่ได้มีเจตนายอมให้เขา เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

เสิ่นจงชิ่งมองนางอย่างครุ่นคิด ยกถ้วยชาขึ้นมาโดยไม่เอ่ยอะไร

ต่อให้นางเจตนายอมให้เขา แต่หมากตานี้เพิ่งเดินไปยี่สิบกว่าครั้งเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เสิ่นจงชิ่งรู้สึกจนด้วยถ้อยคำ ยื่นมือไปหยิบหมากสีดำกำลังจะวางลง จู่ๆ พลันนิ่วหน้า “นี่คือชาอะไร” รสชาติขม แต่กลับเจือความหวาน

“ชาดีบัว เกรงว่ารสขมไปท่านแม่ทัพจะดื่มไม่ได้ ข้าภรรยาจึงเติมน้ำตาลกรวดลงไป” ชาดีบัวแบบนี้ชาติก่อนมีขายทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต

“ชาดีบัว?” เสิ่นจงชิ่งก้มหน้ามองดีบัวสีเขียวในถ้วยที่จมบ้างลอยบ้าง

เจินสือเหนียงนึกขึ้นได้ทันทีว่าชาวต้าโจวไม่เอาดีบัวมาชงชาดื่มกัน นางตอบหน้านิ่งว่า “ดีบัวทำให้จิตใจปลอดโปร่งและระบายไฟในร่างกาย ทำให้หลับสบาย ข้าภรรยามักจะนอนไม่หลับบ่อยๆ จึงดื่มชานี้เป็นประจำ”

นางไม่มีเงินซื้อใบชากระมัง เห็นเสื้อผ้าของเจินสือเหนียงที่ซักจนขาวซีดแล้ว เสิ่นจงชิ่งก็ทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “รสชาติพอใช้ได้ แต่หวานไปหน่อย” แต่ไรมาเขาไม่ชอบกินของหวาน เขาเอ่ยคำพูดนี้พลางวางหมากในมือลงบนกระดาน

ช่างปรนนิบัติยากเสียจริง!

เจินสือเหนียงเบ้ปากในใจ คว้าหมากสีขาวขึ้นมาวางลงดังแปะ ฆ่ามังกรของเขาอย่างไม่ไว้หน้า!

เสิ่นจงชิ่งกำลังจะหยิบหมากสีดำ มือพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เขาเงยหน้ามองเจินสือเหนียงอย่างตะลึงงัน

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพ่ายแพ้ให้กับสตรี!

บทที่ 3

 เนื่องจากแพ้ให้กับสตรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกไม่ยอมแพ้ในใจของเสิ่นจงชิ่งจึงถูกกระตุ้นขึ้น จนลืมจุดประสงค์เดิมของการมาที่นี่ไปเสียสนิท

“เล่นต่ออีกกระดาน!” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้มหน้าเก็บหมากบนกระดานทันที

ยังจะเล่นต่ออีก? ที่นางทำให้เขาแพ้อย่างรวดเร็วก็เพื่อจะรีบไล่เขากลับไป! เขาเป็นแม่ทัพ มีเงินและมีเวลาว่าง แต่นางยังต้องหาเลี้ยงปากท้อง ไหนเลยจะมีเวลาเดินหมากเป็นเพื่อนเขา เมื่อครู่หากไม่เพราะกลัวเขาจะเห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เข้า นางไม่มีทางเป็นฝ่ายชวนเขาเดินหมากแน่

นางเห็นเสิ่นจงชิ่งยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บหมากก็ได้เพียงโอดครวญในใจ แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบดุจสายน้ำ นางช่วยเขาเก็บหมากอย่างเชื่องช้า ปากถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านแม่ทัพมาที่นี่กะทันหัน ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ”

นี่เป็นการเตือนเขาอย่างแนบเนียนว่าเขามีธุระสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ

“เอ่อ…” มือที่เก็บหมากชะงักค้างอยู่อย่างนั้น เสิ่นจงชิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร เห็นร่างแบบบางที่พร้อมจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อของนางแล้ว เขาใจดำเอ่ยเรื่องตกลงหย่าขาดกับนางไม่ได้จริงๆ

ระหว่างลังเล สี่เชวี่ยถือเสื้อตัวหนาเดินเข้ามา นางย่อกายคำนับเสิ่นจงชิ่งก่อน “คารวะท่านแม่ทัพ” ก่อนจะหันไปหาเจินสือเหนียง “ช่วงหัวค่ำลมเย็น คุณหนูสวมเสื้อเพิ่มอีกตัวเถอะเจ้าค่ะ” พูดพลางห่มเสื้อให้เจินสือเหนียง สายตาหยุดอยู่บนกระดานหมากที่เก็บไปได้ครึ่งหนึ่ง “ในเมื่อเดินหมากเสร็จแล้ว เชิญท่านแม่ทัพเข้าไปนั่งในบ้านดีกว่า”

เสิ่นจงชิ่งเหลือบมองใบหน้าขาวซีดของเจินสือเหนียงและลุกขึ้นเดินนำไปยังลานหน้าบ้าน

เจินสือเหนียงขึงตาใส่สี่เชวี่ยแรงๆ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะดึงหัวข้อสนทนากลับมาได้ ที่เหลือแค่รอให้เขาเอ่ยว่าจะหย่านาง นางพยักหน้าตกลง จากนั้นต่างฝ่ายต่างเลิกรากันไป ง่ายดายยิ่งนัก ไยต้องเชิญเขาเข้าไปในบ้าน ชงชาแล้วเสียเวลาเจรจากันอีกด้วย

แม้ดีบัวจะเป็นผลิตผลที่ได้จากสระบัวในบ้าน แต่นั่นก็เป็นเงินเหมือนกัน เอามาเลี้ยงผู้ชายปากร้ายนิสัยเสียที่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ห่วยจนไม่รู้จะห่วยอย่างไร แถมยังคิดจะหย่าภรรยาเพื่อแต่งงานใหม่แบบเขา นางรู้สึกเสียดายดีบัวจริงๆ

“ร่างกายของคุณหนูทนลมเย็นไม่ได้” สี่เชวี่ยรู้ว่าเจินสือเหนียงไม่อยากให้เสิ่นจงชิ่งเข้าไปในบ้านจึงยอมตากลมอยู่ข้างนอก จึงอธิบายเสียงค่อยพลางเก็บหมากบนโต๊ะหินที่ยังเก็บไม่หมด

เจินสือเหนียงถอนหายใจ “อันนั้นยังไม่ต้องเก็บ เจ้ายกกาน้ำชาเข้าไปก่อน แล้วชงชามาอีกกา” นางไม่อยากยกกระดานหมากล้อมเข้าไปเดินหมากกับเขาต่อในบ้าน

เห็นเจินสือเหนียงไม่ได้ตำหนิอะไร สี่เชวี่ยจึงขานรับและถามว่า “คุณหนูจะให้บ่าวไปเก็บผักมาเตรียมอาหารเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ” ที่นางอยากถามคือเสิ่นจงชิ่งจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่

ในเวลาหนึ่งเดือน เสิ่นจงชิ่งมาที่นี่ถึงสองหน สี่เชวี่ยดีใจเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากให้คุณหนูของนางคืนดีกับท่านแม่ทัพ ถึงอย่างไรลูกของทั้งสองก็โตป่านนี้แล้ว

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงสะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้าน ทิ้งให้สี่เชวี่ยค่อยๆ เก็บข้าวของต่อ

เสิ่นจงชิ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ริมเตียงเตา เห็นนางเข้ามาก็เอ่ยถาม “นี่เป็นหนังสือที่เจ้าอ่านหรือ”

เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปที่มือเขา นั่นเป็นหนังสือภาพจุดชีพจรในร่างกายมนุษย์ที่นางอ่านเป็นประจำ จึงพยักหน้ารับ “ขายหน้าท่านแม่ทัพแล้ว ข้าภรรยาเพียงแต่อ่านฆ่าเวลาเท่านั้น” นางดึงม้านั่งมานั่งลงไม่ห่างจากเสิ่นจงชิ่งนัก ก่อนจะเบนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่ทัพมาวันนี้มีธุระอะไรหรือ”

ในเมื่อเรื่องราวมิอาจแก้ไข นางก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาต่อไปอีก เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังหลบอยู่ที่บ้านของสี่เชวี่ย เด็กๆ อยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุดและมีความอดทนน้อยที่สุด มิอาจมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไม่วิ่งกลับมาที่บ้านกะทันหัน นางควรรีบไล่เสิ่นจงชิ่งกลับไปจะดีที่สุด

เสิ่นจงชิ่งมีสีหน้าแปลกประหลาด เป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้วที่นางถามเขา ไฉนนางจึงซักไม่เลิก ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เขามาที่นี่ถึงสองหน นางคงไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าเขามาวันนี้เพื่อรับนางกลับจวนแม่ทัพกระมัง ถึงได้อดใจรอไม่ไหวเช่นนี้ ร่างกายนางอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากเขาพูดออกไปว่ามาเจรจาตกลงหย่าขาด นางจะเศร้าโศกเสียใจจนสุขภาพทรุดลงหรือไม่ จากนั้น…เขาไม่อยากคิดต่อ

คำตอบที่ได้อย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกข่วนตะกุย หน้าอกพลันแน่นขึ้นมาทันใด

เขามองร่างแบบบางที่ไม่ทนแดดทนลมของนางอีกครั้งพลางคิดในใจว่า ช่างเถอะ รอไปอีกหน่อยแล้วกัน รอให้นางหายดีเสียก่อน ข้าค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้ คิดได้เช่นนี้จึงตอบว่า “ข้าไปจัดการธุระที่ค่ายทหารและบังเอิญผ่านมา” กองทหารของเขาประจำการอยู่ที่เขาเฟิงกู่ที่ห่างไปสามสิบลี้ ควบม้าหนึ่งชั่วยามก็ถึง

นางเดาผิด เขาไม่ได้มาหย่านางหรือ!

แววตาของเจินสือเหนียงฉายความประหลาดใจ หัวใจเต้นตึกตัก หากเขาให้เวลาข้าครึ่งปี ข้าย่อมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้แน่นอน! พอบังเกิดความคิดนี้ เจินสือเหนียงก็แอบวางแผนการในใจ

เมื่อล้มเลิกความคิดที่จะเจรจาตกลงหย่าขาด เสิ่นจงชิ่งก็ไม่รู้จะพูดคุยอะไร

ในห้องเงียบงัน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก

เสียงฝีเท้าของสี่เชวี่ยทำลายความเงียบภายในห้อง “เชิญท่านแม่ทัพดื่มชาเจ้าค่ะ” นางวางถาดลงบนโต๊ะตัวเดียวในห้อง ยกกาขึ้นรินน้ำชาและวางลงริมเตียงเตา

เสิ่นจงชิ่งยกชาขึ้นจิบคำหนึ่งและเงยหน้าถาม “ไฉนเจ้าจึงชอบอ่านหนังสือแบบนี้” นางไม่มีความรู้พื้นฐานด้านวิชาแพทย์อ่านพวกนี้ไปมีประโยชน์อะไร มีแต่พวกที่ศึกษาการจี้จุดชีพจรเท่านั้นที่จะอ่านหนังสือประเภทนี้ นี่หาใช่การจงใจหาเรื่องชวนคุย แต่ยามเผชิญหน้ากับนางที่สุภาพอ่อนโยน จู่ๆ เขาก็อยากเข้าใจนางมากยิ่งขึ้น

“ข้า…” กำลังจะตอบ เสียงของหรงเซิงดังเข้ามาก่อน “ท่านแม่ทัพยังรออยู่ที่นี่หรือไม่”

“หรงเซิงกลับมาแล้ว” สี่เชวี่ยรีบเข้าไปต้อนรับ

“จองโรงเตี๊ยมไว้เรียบร้อยหรือยัง” เห็นหรงเซิงเดินเข้ามาในสภาพเหงื่อท่วมตัว เสิ่นจงชิ่งจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมถึงไปนานนัก”

“เรียนท่านแม่ทัพ…” หรงเซิงรับผ้าจากสี่เชวี่ยไปเช็ดเหงื่อและตอบว่า “บ่าวเดินตั้งแต่ทิศตะวันออกของเมืองไปจนสุดทิศตะวันตก แต่เจอโรงเตี๊ยมเพียงสองแห่งเท่านั้น ทั้งยังเต็มหมดแล้ว” เห็นเสิ่นจงชิ่งทำหน้าสงสัยก็เอ่ยต่อว่า “ท่านแม่ทัพไม่ทราบ นี่เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว พ่อค้าจากที่ต่างๆ แห่มาซื้อเม็ดบัวกับของป่าที่นี่ขอรับ”

เม็ดบัวของเมืองอู๋ถงโด่งดังไปทั่วต้าโจว ฤดูใบไม้ร่วงทุกปีจะมีพ่อค้าหลั่งไหลมารับซื้อสินค้าไม่ขาดสาย อีกทั้งยังให้ราคาสูงกว่าที่อื่น เดิมทีหรงเซิงสามารถยกเอาชื่อเสียงของท่านแม่ทัพมาขู่ให้ผู้อื่นหาห้องพักให้สักห้องได้ แต่หากทำเช่นนั้น ใช้เวลาไม่นานทั้งเมืองอู๋ถงย่อมรู้ว่าท่านแม่ทัพของเขาค้างคืนอยู่ในโรงเตี๊ยม เกรงว่าคงแห่กันมาเยือนเป็นแน่

เรื่องนี้ไม่น่ากลัว ที่หรงเซิงเป็นห่วงคือหากเรื่องที่ท่านแม่ทัพของเขาตื่นแต่เช้าเพื่อมาเยี่ยมเจินสือเหนียงแพร่ออกไป เชื่อว่าสตรีในจวนแม่ทัพเหล่านั้นคงจะอาละวาดเป็นการใหญ่แน่ เรื่องที่เสิ่นจงชิ่งจะตกลงหย่าขาดกับเจินสือเหนียงมีเพียงมารดาเขาเท่านั้นที่รู้ นอกจากนี้แล้วเขาไม่ได้บอกใคร แน่นอนว่าหรงเซิงเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน

“ท่านแม่ทัพจะลองไปดูที่ว่าการอำเภอหรือไม่” เจินสือเหนียงหลุบตาครุ่นคิด “บางทีอาจมีที่พักชั่วคราวสามารถพักอาศัยได้” ต่อให้ไม่มีที่พักชั่วคราว คฤหาสน์ของนายอำเภอใหญ่โตขนาดนั้นย่อมให้พวกเขาค้างคืนได้สบาย นางไม่อยากให้เขาพักอยู่ที่นี่

“ขืนแจ้งทางการ คืนนี้ข้าคงไม่ได้นอน” เสิ่นจงชิ่งวางหนังสือในมือ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองแสงสนธยาสีแดงเข้มข้างนอกเงียบๆ อยู่นานก่อนจะหันกลับมา “วันนี้มืดแล้ว พักที่นี่แล้วกัน หรงเซิง เจ้าไปจัดการเก็บรถม้าให้ดี” วาจาเอ่ยกับหรงเซิง แต่สายตากลับจ้องเจินสือเหนียงไม่กะพริบ

พักที่นี่?

หากเขาพักที่นี่ แล้วเหวินเกอ อู่เกอจะทำอย่างไร

กลัวอะไรมักได้อย่างนั้นจริงๆ เจินสือเหนียงเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้าอย่างสุขุม “เช่นนั้นข้าภรรยาไปเตรียมอาหารเย็นให้ท่านแม่ทัพก่อนแล้วกัน”

ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านเขา มีแต่เขาที่มีสิทธิ์ไล่นางออกไป เขามีสิทธิ์ในที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์ อย่าว่าแต่พักค้างคืนที่นี่เลย ต่อให้เขาต้องการให้นางทำหน้าที่ของภรรยา นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ข้อนี้เจินสือเหนียงตระหนักดี

เสิ่นจงชิ่งเพ่งพิศนางอยู่นานก็มิอาจจับอารมณ์ใดๆ จากสีหน้าของนางได้ เขารู้สึกผิดหวังเมื่อมองผู้หญิงตรงหน้าไม่ออกเลย นางดูสุภาพอ่อนโยน สงบนิ่งเหมือนทะเลสาบอันราบเรียบ ได้อยู่ใกล้นางแล้วชวนให้สบายใจ แต่กลับไม่มีทางรู้ได้ว่าทะเลสาบนี้ลึกแค่ไหน ยิ่งไม่มีทางมองเห็นคลื่นที่ปั่นป่วนอยู่เบื้องล่าง

การตัดสินใจพักที่นี่ เขาเองก็ขัดแย้งกับตนเองไม่น้อย ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นเหมือนฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในใจเขา ยากที่จะลืมเลือน จวบจนตอนนี้แม้จะเห็นกับตาว่านางสุภาพอ่อนโยน เห็นท่าทีสงบสำรวมของนาง เห็นว่าทั่วร่างนางแผ่กลิ่นอายสันโดษไม่ลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ เขาก็ยังคงรู้สึกไม่เหมือนจริง ถึงขั้นสงสัยว่านางใช้เวลาห้าปีเรียนรู้ทักษะการเดินหมากจนฝีมือล้ำลึกเพราะรู้ว่าเขาชื่นชอบการเดินหมาก คิดจะใช้เรื่องนี้มาทำให้เขาลุ่มหลงหรืออย่างไรกัน

เขากลัวว่าหากค้างคืนที่นี่ นางจะเข้ามาเกาะแกะเขาไม่ยอมปล่อยเหมือนเมื่อห้าปีก่อน เกลี้ยกล่อมให้เขารับนางกลับจวนแม่ทัพ จากนั้นคิดหาวิธีทรมานเขาสารพัด แม้ส่วนลึกในใจเขาจะรู้สึกว่านางในตอนนี้ไม่ทำอย่างนั้น แต่ใครจะรับรองได้ว่าการกระทำของนางในวันนี้ไม่ใช่อุบายหรือแผนการ

ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้ว คืนนี้เขาจะพักที่นี่ แต่หากคืนนี้นางเข้ามาเกาะแกะ เขาจะไม่ใจอ่อนอีกและขับไล่นางออกจากบ้านบรรพบุรุษทันที! หากนางไม่ยอมตกลงหย่าขาดแต่โดยดี เขาจะฆ่านางซะ!

พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เคยมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันแล้ว การที่เขาบอกจะค้างคืนที่นี่ย่อมเป็นการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่ง ต่อให้นางโผเข้าใส่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขาอายุน้อยๆ แต่กลับมีฐานะสูงส่ง อีกทั้งรูปโฉมยังหล่อเหลาน่าหลงใหล อย่าว่าแต่ภรรยาที่แต่งงานกับเขาและเคยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเขาแล้วเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนเห็นเขาแล้วยังจ้องตาค้าง คิดหาหนทางกระโจนเข้าใส่ด้วยกันทั้งนั้น

เสิ่นจงชิ่งใช้วิธีนี้ทดสอบดูว่านิสัยนางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่ จำต้องยอมรับว่าร้ายกาจนัก!

แต่เขาเองก็จนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมฝันร้ายเหมือนเมื่อห้าปีก่อนอีกครั้งแน่ ที่สำคัญกว่านั้นคือแค่อยู่กับนางในช่วงบ่าย ผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาแล้ว ความรู้สึกนี้น่ากลัวยิ่ง เหมือนเวลานำทัพออกรบ เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นข้างกายเด็ดขาด

“ไปเตรียมเถอะ” พอตัดสินใจได้และเห็นเจินสือเหนียงยังมองตนอยู่ เสิ่นจงชิ่งพยักหน้า “ไม่ต้องยุ่งยาก เอากับข้าวง่ายๆ ก็พอ”

เจ้าอยากยุ่งยาก ที่นี่ก็ไม่มีให้หรอก! เจินสือเหนียงยิ้มเยาะในใจ ทว่าปากกลับตอบว่า “ข้าภรรยาจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้ แต่ท่านแม่ทัพกินอาหารรสเลิศจนชิน อย่าได้รังเกียจว่าอาหารที่นี่ต่ำต้อยก็พอ”

เสิ่นจงชิ่งเพียงยิ้ม ไม่ได้กล่าวอันใด

 

ในครัว สี่เชวี่ยก่อไฟไว้แล้ว ชิวจวี๋จับปลาไนตัวใหญ่สองตัวเข้ามา ส่วนเจินสือเหนียงเอาแต่หั่นเห็ดหอมโดยไม่พูดไม่จา สี่เชวี่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ให้บ่าวไปจับไก่มาอีกสักตัวเถอะเจ้าค่ะ ไก่ตุ๋นเห็ดหอมฝีมือคุณหนูอร่อยเป็นพิเศษ” เสิ่นจงชิ่งฐานะสูงส่ง อาหารที่กินในแต่ละวันหรูหราเลิศรส สี่เชวี่ยกลัวว่าอาหารที่ตระเตรียมกันอยู่นี้จะดูกระจอกเกินไป

เจินสือเหนียงเอาแต่ก้มหน้าหั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นบางๆ อย่างไม่รีบร้อน

เห็นนางไม่ตอบ สี่เชวี่ยจึงเติมฟืนลงในเตาและจับแท่นเตาลุกขึ้น จากนั้นเช็ดมือกับผ้าและก้มหน้าร้องบอกชิวจวี๋ที่กำลังขอดเกล็ดปลาว่า “ชิวจวี๋ เจ้าไปช่วยข้าจับไก่ที่หลังบ้านก่อน” นางท้องอยู่ ไม่กล้าเล่นซ่อนหากับแม่ไก่แก่ที่บินร่อนไปมาพวกนั้น

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงกล่าวโดยไม่เงยหน้า ยังคงหั่นเห็ดหอมต่อไป

“คุณหนู!”

“ไก่ยังต้องเก็บไว้ออกไข่”

“ขาดไปตัวเดียวก็ไม่เป็นไรนี่เจ้าคะ”

เจินสือเหนียงปรายตามองหน้าท้องของสี่เชวี่ยที่นูนขึ้นนิดๆ “อีกไม่กี่เดือนเจ้าจะคลอดแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องสะสมไข่ไก่ให้เจ้าพอกินได้หนึ่งเดือน” ด้วยที่บ้านยากจน สี่เชวี่ยต้องอยู่เดือน ที่นางเตรียมให้อีกฝ่ายได้ก็มีแต่ข้าวฟ่าง ไข่ไก่ และแม่ไก่แก่ไม่กี่ตัวเท่านั้น

“บ่าวบอกแล้วว่าแม่ไก่แก่ตัวนั้นเราได้กำไรแล้ว คุณหนูไม่ต้องกังวล” สี่เชวี่ยชี้กับข้าว “มีผู้ชายตัวโตเพิ่มมาอีกสองคน รวมแล้วก็ตั้งเจ็ดแปดคน กับข้าวแค่นี้จะพอได้อย่างไร”

โบราณว่าคิดจะมัดใจชาย ก่อนอื่นต้องปรนเปรออาหารการกินให้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งกินข้าวที่นี่ จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด

“กับข้าวน้อยไปหน่อยจริงๆ” เจินสือเหนียงมองเห็ดหอมในจานที่หั่นเสร็จเรียบร้อย พยักหน้ารับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย “เจ้าไปเด็ดถั่วฝักยาวมาอีกหนึ่งกระจาด แล้วล้างหัวมันมาอีกหลายๆ หัว ของพวกนี้ทั้งอิ่มท้องและมีประโยชน์” ดูจากรูปร่างแล้ว ผู้ชายสองคนนั้นต้องกินจุมากแน่ๆ

“ของพวกนั้นเอาไว้เลี้ยงหมู” สี่เชวี่ยบ่นเสียงค่อย จะให้แม่ทัพใหญ่มากินของแบบเดียวกับที่พวกนางกินได้อย่างไร

“ในยุคข้าวยากหมากแพงก็อาศัยหัวมันนี่แหละเลี้ยงชีพ!” เจินสือเหนียงหันไปหยิบหัวหอมออกมาสองสามหัว

เห็นผู้เป็นนายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สี่เชวี่ยได้เพียงถอนใจและหยิบกระจาดเดินออกไป

ลูกปลาสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลือง ที่ผ่านมาเจินสือเหนียงจึงยึดหลักเลี้ยงปลาให้โตก่อนค่อยกิน ชิวจวี๋ยึดคำสอนของนางอย่างเต็มที่ ตั้งใจจับปลาขนาดใหญ่พิเศษมาให้ ครั้นเห็นว่าแค่ปลาสองตัวก็เต็มกะละมังแล้ว นางจึงตัดสินใจแล่เนื้อปลาออกมาม้วนเป็นคำและใช้ส่วนที่เหลือต้มน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา หั่นรากบัวและยัดไส้ด้วยข้าวเหนียว เอาหัวมันไปตุ๋นกับถั่วฝักยาว ทำไข่ม้วนเห็ดอีกจาน และต้มข้าวเหนียวกับพุทราแดงอีกหม้อ ผักดองทำสำเร็จไว้อยู่แล้ว แค่หนึ่งชั่วยาม อาหารเย็นที่อุดมสมบูรณ์ก็พร้อมกินได้ นางเก็บกับข้าวส่วนของเหวินเกอ อู่เกอไว้ก่อนและให้ชิวจวี๋ส่งไปที่บ้านของสี่เชวี่ย อาหารที่เหลือค่อยยกขึ้นโต๊ะ

เมื่อเห็นอาหารหยาบๆ บนโต๊ะที่ประกอบด้วยกับข้าวสี่น้ำแกงหนึ่งกับผักดองอีกสองอย่าง เสิ่นจงชิ่งลอบเสียใจ หากรู้แต่แรกว่านางทำอาหารดีๆ ออกมาไม่ได้ เขาควรให้หรงเซิงไปสั่งอาหารที่หอสุรามาสักโต๊ะ

“ท่านแม่ทัพดื่มโจ๊กหรือไม่” เจินสือเหนียงชูถ้วยขึ้นมาหนึ่งใบ

มีเสิ่นจงชิ่งอยู่ ชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะกับนาง แต่ตักกับข้าวไปกินที่เรือนตะวันตกกับหรงเซิงสามคน ในเรือนตะวันออกเหลือเพียงเจินสือเหนียงคอยปรนนิบัติเสิ่นจงชิ่ง

“ข้าไม่ชอบของหวาน” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า

เจินสือเหนียงแลบลิ้นในใจ ตอนเดินหมากดูเหมือนเขาจะบอกนางแล้ว แต่นางลืมสนิท ยังจะต้มโจ๊กพุทราแดงอีก ดูแล้วเหมือนจงใจเป็นปรปักษ์กับเขา ในใจลอบถอนหายใจ แต่ภายนอกกลับนิ่งเฉย ถามต่อว่า “เช่นนั้นท่านแม่ทัพดื่มน้ำแกงปลาสักชามเถอะ ปลานี้เพิ่งเชือด เป็นปลาที่เลี้ยงในสระบัวของบ้านเราเอง ทั้งสดและนุ่ม”

“อืม” เสิ่นจงชิ่งผงกศีรษะ มองแผ่นม้วนบางๆ ที่มีสีเหลืองสลับขาวและถามว่า “นี่คืออะไร” เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ไข่ม้วนเห็ด” เจินสือเหนียงตักโจ๊กให้ตนเองหนึ่งชามและนั่งลงตรงข้ามเขา “ทอดไข่ให้เป็นแผ่น จากนั้นวางเห็ดหอมกับหัวหอมที่หั่นแล้วลงไป รอให้ไข่เริ่มแข็งแล้วพับทบเป็นขนมเปี๊ยะ” นี่เป็นอาหารที่นางดัดแปลงมาจากพิซซ่า เป็นของโปรดของเจี่ยนเหวินและเจี่ยนอู่ หากมิใช่เพราะรับปากกับเด็กทั้งสองไว้ก่อนแล้วว่าคืนนี้จะทำไข่ม้วนเห็ด นางไม่ยอมฟุ่มเฟือยทำอาหารจานนี้ให้เขาหรอก

หลังแนะนำเสร็จ เจินสือเหนียงเงยหน้า เห็นชายหนุ่มกำลังมุ่นคิ้วมองผักก้อนนึ่งแป้งข้าวโพดที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมบิดเบี้ยว หน้าตาอัปลักษณ์ในจานตรงหน้า จากนั้นนั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบ

เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจอีกครั้ง เขากินดีอยู่ดีจนเคยตัว อาหารพื้นๆ เช่นนี้แค่เห็นเขาคงหมดความอยากอาหารไปแล้ว ราวกับไม่เห็นอาการผิดปกติของเสิ่นจงชิ่ง เจินสือเหนียงคีบไข่ม้วนวางลงในชามเขา “ท่านแม่ทัพลองชิมฝีมือของข้าภรรยาดูสิ” ส่วนตนเองแบ่งผักก้อนนึ่งแป้งออกมากินครึ่งหนึ่ง ปากไม่ลืมแนะนำว่า “นี่เป็นของที่เพิ่งนึ่งเมื่อตอนเที่ยง ใช้หัวไช้เท้ากับกุ้งป่นหมักทำเป็นไส้”

เนื่องจากไม่มีปัญญาซื้อแป้งข้าวเจ้ามากิน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ไม่ชอบที่แป้งข้าวโพดหยาบ กลืนยาก เจินสือเหนียงจึงเอาแป้งข้าวโพดมาผสมกับแป้งข้าวเจ้าทำเป็นผักก้อนนึ่งแป้งและเปลี่ยนไส้ให้ต่างออกไปทุกวัน

เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย เสิ่นจงชิ่งจึงหยิบผักก้อนนึ่งแป้งไปลองกัดกินคำหนึ่ง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป จากนั้นจึงกัดกินคำใหญ่

โจ๊กร้อนมาก เจินสือเหนียงใช้ช้อนค่อยๆ ตักกิน นานทีเดียวกว่าจะหมดชาม พอเงยหน้าถึงเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งกวาดผักก้อนนึ่งแป้งทั้งจานลงท้องรวดเดียวหมด กับข้าวทั้งสี่อย่างก็พร่องไปกว่าครึ่ง เห็นนางเงยหน้า เขาพูดด้วยท่าทางเหมือนอยากจะกินอีก “ผักก้อนพวกนี้รูปร่างอัปลักษณ์ คิดไม่ถึงว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้ สมัยเป็นเด็กข้าเคยกินแป้งข้าวโพด แต่ไม่เห็นจำได้ว่าอร่อยเช่นนี้”

“ผักก้อนพวกนี้ผสมแป้งข้าวเจ้าเข้าไปด้วย” เจินสือเหนียงยิ้มตอบ

“ข้าก็ว่าแล้ว” เขามองเจินสือเหนียง “ยังมีอีกหรือไม่” เห็นนางทำท่าตะลึง เขาจึงอธิบายเก้อๆ ว่า “ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน พอนั่งลงกินข้าวถึงได้รู้สึกว่าหิวเป็นพิเศษ”

แล้วใครกันที่นั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบอยู่ตั้งนาน เจินสือเหนียงค่อนขอดในใจ แต่ไม่พูดออกมา “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะมา ตอนเที่ยงจึงนึ่งไว้หม้อเดียวเท่านั้น พวกสี่เชวี่ยแบ่งไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีแล้ว” นางคีบผักก้อนนึ่งแป้งในจานตนเองที่ถูกแบ่งกินไปครึ่งหนึ่งให้เขา “ข้าดื่มโจ๊กได้ อันนี้ท่านแม่ทัพกินเถิด”

มองรูปร่างผ่ายผอมของนางแล้ว เสิ่นจงชิ่งส่งผักก้อนนึ่งแป้งคืนไปให้ “เจ้ากินเถอะ ตักโจ๊กให้ข้าก็ได้” น้ำเสียงราบเรียบเป็นธรรมชาติ แม้แต่เขาเองยังไม่ตระหนักว่าบทสนทนาโต้ตอบง่ายๆ นี้เจือความห่วงใยเอาไว้ด้วย

เขาไม่กินของหวานมิใช่หรือ เจินสือเหนียงประหลาดใจ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ตักโจ๊กให้เขาตามคำสั่ง

 

หลังกินข้าวเสร็จ เจินสือเหนียงนำสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เก็บชามตะเกียบ ส่วนเสิ่นจงชิ่งกับหรงเซิงไปเดินเล่นริมสระบัวหลังบ้าน “เจ้าว่านายหญิงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” เสิ่นจงชิ่งก้าวเดินช้าๆ ดวงตาฉายความสงสัย

“นายหญิงใหญ่เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อห้าปีก่อนขอรับ” หรงเซิงกะพริบตาท่ามกลางความมืด “แม้แต่บ่าวเองยังไม่กล้าเชื่อว่านายหญิงใหญ่จะยอมรับสภาพในปัจจุบันได้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จู่ๆ เสิ่นจงชิ่งก็หันมา “เจ้าว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้”

“มนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้…” หรงเซิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก ไม่ว่าศักดิ์ศรีหรือทิฐิล้วนหายไปหมด” นิสัยเดิมของนายหญิงใหญ่มิใช่เพราะถูกครอบครัวบ่มเพาะมาหรอกหรือ เขานึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้ามองเสิ่นจงชิ่ง “บ่าวเห็นพวกนางดูเหมือนจะใช้ชีวิตลำบากมาก ในบ้านของนายหญิงใหญ่ ตู้เก็บของใบเดียวที่อยู่บนเตียงเตาขาวซีดหมดแล้ว บ่าวชั้นต่ำสุดในจวนพวกเรายังมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่านี้ หากไม่ได้เห็นกับตาว่านายหญิงใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น บ่าวคงคิดว่าตนเองเดินเข้ามาในห้องเก็บของของผู้ใดเป็นแน่” เขาลอบสังเกตสีหน้าของเสิ่นจงชิ่งอย่างระมัดระวังผ่านแสงจันทร์จางๆ ได้เห็นกับตาว่าเจินสือเหนียงมีความเป็นอยู่เช่นนี้ หรงเซิงเองก็สงสารและอยากจะพูดแทนนาง แต่เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะตรงกันข้าม

ในฐานะแม่ทัพใหญ่ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในกองทัพและฟาดฟันศัตรูในสมรภูมิอย่างไม่รู้สึกรู้สา เสิ่นจงชิ่งหาใช่คนช่างสงสารเห็นใจผู้อื่นไม่

หรงเซิงเห็นเสิ่นจงชิ่งหมุนตัวกลับไปและเดินต่อ เขาจึงวิ่งเหยาะๆ ตาม “ตอนอยู่จวนจ้วงหยวนไม่เคยเห็นนายหญิงใหญ่เข้าครัวทำอาหาร คิดไม่ถึงว่าฝีมือการทำครัวของนายหญิงใหญ่จะยอดเยี่ยมขนาดนี้ กับข้าวดูแล้วไม่มีเนื้อสักเท่าไร แต่กินแล้วกลับอร่อยมาก โดยเฉพาะไข่ม้วนเห็ด อร่อยยิ่งนัก ยังมี…” เขาเกาหัวเขินๆ “ผักก้อนนึ่งแป้งถูกบ่าวเหมาไปเกือบหมดจาน ดูเหมือนชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยจะกินไม่อิ่มด้วย” คิดถึงท่าทางยามชิวจวี๋เบิกตากว้างมองเขากินผักก้อนนึ่งแป้งชิ้นสุดท้ายลงไปเหมือนมองสัตว์ประหลาด ใบหน้าของหรงเซิงก็ร้อนผ่าว

เขาเป็นบ่าวที่คอยติดตามเสิ่นจงชิ่ง อาหารหรูเลิศประเภทใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเห็น แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาแย่งของกินกับผู้หญิง บัดนี้ย้อนคิดดูแล้ว เมื่อครู่ไฉนเขาต้องไปแย่งผักก้อนนึ่งแป้งชิ้นนั้นกับนางด้วยนะ เหมือนมีภูตผีดลใจอย่างนั้นแหละ ราวกับว่าเขาไม่เคยกินไม่เคยเห็นมาก่อน ช่างน่าอับอายเหลือเกิน

ครั้นคิดได้ว่าสุดท้ายบนโต๊ะก็เหลือเพียงหัวมันตุ๋นถั่วฝักยาวครึ่งชาม แม้แต่ผักดองสองจานนั้นยังถูกเขาเอาไปกินกับโจ๊กจนหมด เสิ่นจงชิ่งจึงลูบหน้าท้องที่ตึงเพราะความอิ่ม ใบหน้าฉายแววพอใจอย่างหาได้ยาก

ฝีมือทำอาหารของนางยอดเยี่ยมมากจริงๆ อีกหน่อยหากกินอาหารในจวนจนเบื่อ สามารถมาเปลี่ยนรสชาติที่นี่ได้ เขาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่กลับลืมไปสนิทว่าถ้าพวกเขาตกลงหย่าขาดกัน เจินสือเหนียงจะยังยอมปรนนิบัติเขาอย่างว่าง่ายแบบนี้อีกหรือ

“อาหารมื้อนี้ของพวกเราคงทำให้เสบียงหลายวันของพวกนางหมดไป พรุ่งนี้ก่อนเดินทางกลับเจ้าไปหาซื้อข้าวสารกับเนื้อหมูมาชดเชยให้พวกนาง”

“ขอรับ!” พูดมาตั้งมากมาย หรงเซิงรอคอยประโยคนี้อยู่นี่แหละ เขาไม่อยากเป็นคนที่กินของผู้อื่นเปล่าๆ ในสายตาของชิวจวี๋

หลังกลับจากเดินเล่น เห็นสี่เชวี่ยสั่งให้ชิวจวี๋หอบผ้านวมกึ่งใหม่ผืนหนึ่งเข้ามา พอเห็นพวกเขากลับมา สี่เชวี่ยคว้าตัวชิวจวี๋หลบไปอีกทาง

หรงเซิงถาม “หอบสิ่งนี้มาทำไม”

“ผ้านวมที่บ้านมีไม่พอ บ่าวจึงกลับไปเอามาจากที่บ้านอีกผืนเจ้าค่ะ”

หรงเซิงมองเสิ่นจงชิ่งอย่างตกตะลึง นัยน์ตาของเสิ่นจงชิ่งฉายความประหลาดใจเช่นกัน เขาก้าวเข้าไปในเรือนโดยไม่เอ่ยอะไร

หลังวางผ้านวมลง สี่เชวี่ยหันไปบอกหรงเซิงว่า “คืนนี้ต้องรบกวนหรงเซิงไปพักที่บ้านของบ่าวชั่วคราว บ้านของบ่าวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก หลังสระบัวไปนี่เอง”

ให้หรงเซิงไปที่บ้าน? แล้วเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่ไหนล่ะ

ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งจะค้างที่นี่ นางอุตส่าห์ไปบ้านสี่เชวี่ยเกลี้ยกล่อมเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ให้รับปากค้างคืนที่นั่น ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงจึงนิ่วหน้า เห็นสี่เชวี่ยพูดอย่างขึงขังจริงจัง นางได้แต่ข่มความสงสัยในใจและยืนดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ

“ไปบ้านเจ้า?” เขายังต้องรับใช้ท่านแม่ทัพนี่นา หรงเซิงชี้ไปที่หลังบ้าน “ด้านหลังยังมีห้องอยู่อีกมิใช่หรือ” เมื่อกี้ตอนเดินเล่นกับท่านแม่ทัพ เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลังบ้านยังมีเรือนมุงกระเบื้องอยู่อีกสี่ห้าห้อง

“เรือนด้านหลังยังไม่ได้เก็บกวาด อีกทั้ง…” สี่เชวี่ยเหลือบมองเจินสือเหนียง “ที่บ้าน…ก็ไม่มีผ้านวมแล้วด้วย” ให้เสิ่นจงชิ่งนายบ่าวพบว่าพวกนางใช้ชีวิตลำเค็ญถึงขั้นนี้ สี่เชวี่ยรู้สึกอาย น้ำเสียงที่ตอบจึงขาดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว

“ไฉนจึงอัตคัดถึงขั้นนี้ได้” หรงเซิงพึมพำพลางหันไปมองเสิ่นจงชิ่ง

“เจ้าไปเถอะ” เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้า

ขนาดเรือนหลักยังอัตคัดขนาดนี้ หรงเซิงจินตนาการได้ว่าเรือนด้านหลังจะอเนจอนาถขนาดไหน เขาพยักหน้า “เช่นนั้นพรุ่งนี้บ่าวจะมารับใช้ท่านแม่ทัพแต่เช้านะขอรับ”

เสิ่นจงชิ่งไม่ตอบ

สี่เชวี่ยหันไปสั่งชิวจวี๋ “เจ้าพาหรงเซิงไปก่อน ที่นี่มีข้ากับคุณหนูก็พอแล้ว”

ชิวจวี๋รับคำ “เชิญพี่หรงตามข้ามา”

หรงเซิงเดินตามชิวจวี๋ไป

สี่เชวี่ยกำลังจะถอดรองเท้าปีนขึ้นไปบนเตียงเตาปูผ้านวม พลันนึกได้ว่าครึ่งเดือนก่อนเลิกจ้างแม่นม เจินสือเหนียงกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พักอยู่ในเรือนตะวันออก ผ้าห่มของพวกเขาอยู่ในตู้!

คิดไม่ถึงว่าเรื่องยืมผ้านวมจะถูกเสิ่นจงชิ่งพบเห็นเข้า เมื่อกี้ตอนไล่หรงเซิงไปนอนที่อื่น นางยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าที่บ้านไม่มีผ้านวมแล้ว บัดนี้ขืนให้เขาเห็นว่าในตู้ยังมีเครื่องนอนอยู่อีก เสิ่นจงชิ่งจะคิดอย่างไร

หรือจะบอกไปตามตรงว่าของพวกนั้นเป็นของลูกชายเขา ผืนเล็กเกินไป เขาใช้ไม่ได้แน่นอน สี่เชวี่ยเหลือบมองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจ ลึกๆ ในใจนางยังหวังว่าเจินสือเหนียงจะบอกความจริงเรื่องที่ตนเองมีลูกให้เสิ่นจงชิ่งรู้ พวกนางจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้

เห็นในห้องเหลือเพียงพวกเขาแล้ว เสิ่นจงชิ่งหันไปมองเจินสือเหนียง

เจินสือเหนียงรินน้ำชาให้เขาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านแม่ทัพนั่งสักครู่ก่อน” นางหันไปสั่งสี่เชวี่ย “เตียงเตาเช็ดทำความสะอาดแล้ว เจ้าปีนขึ้นไปเอาเครื่องนอนของข้ากับชิวจวี๋ลงมาและย้ายไปไว้เรือนหลังตรงข้าม ส่วนเครื่องนอนชุดนี้ปูให้ท่านแม่ทัพ” เจินสือเหนียงลอบดีใจ โชคดีที่ชิวจวี๋ตัวเล็ก หาไม่หากเขาพบว่าผ้านวมสั้นกว่าขนาดตัวกว่าครึ่งจะต้องแย่แน่

ที่ผ่านมาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ห่มผ้าผืนเดียวกันตลอด ขนาดผ้านวมจึงใกล้เคียงกับของผู้ใหญ่ แต่ฟูกจะสั้นกว่ามาก

เห็นเจินสือเหนียงไม่มีทีท่าจะค้างที่นี่ ใจของเสิ่นจงชิ่งผ่อนคลายขึ้นมาก ไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของสี่เชวี่ยเมื่อครู่แม้แต่น้อย

สี่เชวี่ยขยิบตาอย่างซุกซน คุณหนูของนางช่างฉลาดจริงๆ

นางถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงเตา ปูเครื่องนอนที่ยืมมาให้เรียบร้อยและหยิบฟูกกับผ้านวมของเจินสือเหนียงแม่ลูกออกมาจากตู้ กำลังจะลงพื้นก็เห็นเจินสือเหนียงมารับผ้านวมไป จึงรีบร้องห้าม “คุณหนูวางลงเถอะเจ้าค่ะ ให้บ่าวจัดการเอง”

“ข้าถือดีกว่า ร่างกายเจ้าหนัก ระวังจะสะเทือนถึงครรภ์”

“ข้าเอง” เห็นทั้งสองแย่งกัน เสิ่นจงชิ่งลุกขึ้นรับเครื่องนอนสองชุดไปถือไว้เอง “จะวางที่ไหน” เขาไม่ได้อยากทะนุถนอมสตรี แค่ไม่อยากรังแกคนป่วย

ผู้หญิงสองคนนี้ คนหนึ่งตั้งครรภ์ คนหนึ่งอ่อนแอบอบบาง ไม่เหมาะจะปรนนิบัติผู้อื่นสักคน

“ไม่ได้เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”

เจินสือเหนียงมองสี่เชวี่ยอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตระหนัก ใช่ ในชาติก่อนของนางนี่ถือเป็นงานของผู้ชาย แต่ที่นี่งานของบ่าวจะรบกวนท่านแม่ทัพผู้สูงส่งอย่างเขาได้อย่างไร นางนึกเสียใจที่ตนเองปากหนักเกินไป อยากจะห้ามเขา แต่เห็นเขาหอบเครื่องนอนไปแล้ว จึงหลบไปด้านข้างช่วยเปิดประตูให้

ไฉนจึงหนักเช่นนี้? เสิ่นจงชิ่งนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเหมือนตนเองกำลังอุ้มเหล็ก เขาคิดถึงตอนกลางวันที่ช่วยนางไว้ คิดถึงร่างกายเบาหวิวปานปุยนุ่นของนาง ร่างกายแบบบางเช่นนั้นจะทนรับการกดทับของผ้านวมที่หนาหนักเหมือนเหล็กได้อย่างไร คิดเช่นนี้จึงหอบเครื่องนอนเดินย้อนกลับมา

“ท่านแม่ทัพจะทำอะไร” เจินสือเหนียงใจเต้นตึกตัก เขาคงไม่คิดจะให้นางค้างคืนที่ห้องนี้กระมัง

“เจ้าห่มผืนนั้นดีกว่า” เสิ่นจงชิ่งพูดพลางม้วนผ้านวมที่สี่เชวี่ยเพิ่งปู แค่มองด้วยตาเขาก็รู้ว่าผืนนี้ใหม่กว่า

“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยรีบเข้าไปกดผ้านวม

ด้วยสัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากตัวเขา สี่เชวี่ยหดมือกลับไปทันใดและถอยห่างไปไกล ปากอธิบายตะกุกตะกักว่า “ผืนนี้เพิ่งเย็บตอนบ่าวแต่งงาน จะอย่างไรก็ใหม่กว่า”

เสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนผ้านวมโดยไม่พูดไม่จา

สี่เชวี่ยมองสบตากับเจินสือเหนียงอย่างไม่เข้าใจ

แค่คืนเดียวเท่านั้น เขาอยากทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ที่นี่เป็นบ้านเขา ต่อให้เขาอยากจะรื้อบ้าน นางยังห้ามไม่ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้นางทำหน้าที่ของภรรยาให้สมบูรณ์ก็พอ คิดได้ดังนี้เจินสือเหนียงจึงไม่แย้ง ใช้สายตาบอกสี่เชวี่ยให้ปูเครื่องนอนให้เสิ่นจงชิ่งใหม่ ส่วนตนเองเดินตามเขาไปยังเรือนฝั่งตรงข้าม

“เหตุใดชีวิตจึงกลายเป็นเช่นนี้” หลังวางเครื่องนอนลง เสิ่นจงชิ่งก็อดไม่อยู่เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดช่วงบ่ายออกไป เสียงเขาเบามาก เจินสือเหนียงได้ยินไม่ชัดจึงมองเขาเป็นเชิงถาม

“จำได้ว่าตอนออกจากจวนแม่ทัพ สินเจ้าสาวของเจ้ามีหลายพันตำลึง” ด้านหลังยังมีสระบัวอีกครึ่งหมู่ ทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้ ทำไมนางจึงตกต่ำได้ถึงขั้นนี้ในช่วงเวลาเพียงห้าปี

สี่เชวี่ยที่ปูผ้านวมเสร็จแล้วตามมาได้ยินเข้าพอดี เอ่ยแทรกขึ้นว่า “เป็นเพราะคุณหนู…” พอเอ่ยปากก็ถูกเจินสือเหนียงถลึงตาใส่ สี่เชวี่ยทำปากอูดถอยหลบไปด้านข้างอย่างขัดใจ

สายตาเลื่อนจากใบหน้าของสี่เชวี่ยไปยังใบหน้าของเจินสือเหนียง เสิ่นจงชิ่งเข้าใจทันที รู้สึกว่าตนเองเอ่ยถามคำถามอันโง่งมออกไป

ร่างกายที่ป่วยเป็นโรคของนางเหมือนหลุมไร้ก้น มีทรัพย์สินมากแค่ไหนก็ไม่พอใช้! คิดถึงตรงนี้ หัวใจเขาก็พลันหดเกร็งโดยไร้สาเหตุ

เห็นส่วนลึกในตาเขาฉายอารมณ์แปลกๆ เจินสือเหนียงกะพริบตามองดูอีกครั้ง ที่แท้นางตาฝาดไป นางมองสบดวงตาที่เย็นชาเหมือนยามแรกพบ เนื่องจากเขายังมองมา นางจึงตอบเสียงเรียบ “เงินพวกนั้นไม่ถึงปีข้าก็ผลาญหมดแล้ว” นี่ไม่นับเป็นคำโกหก ย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงปี นางก็คลอดเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และตกเลือด เงินพวกนั้นถูกใช้ไปจนเหลือไม่มาก

เสิ่นจงชิ่งหน้าขรึมลงทันใด ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างบึ้งตึง

ด้วยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนไป สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียงอย่างตะลึงงัน บอกตามตรง นางกลัวไอสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเสิ่นจงชิ่งเวลาเขาโมโหเป็นที่สุด

เจินสือเหนียงเดินตามไปที่ประตู “น้ำร้อนต้มเสร็จแล้ว ห้องอาบน้ำเดินเลี้ยวไปตรงห้องครัว”

ที่นี่เป็นบ้านเขา ห้องน้ำอยู่ที่ใดเขาตระหนักดีกว่าใคร เสิ่นจงชิ่งก้าวสวบๆ จากไปโดยไม่หันกลับมา

“คุณหนูไม่ตามไปปรนนิบัติหรือเจ้าคะ” สี่เชวี่ยกระซิบเตือนคุณหนูเสียงค่อย จำได้ว่าตอนอยู่จวนจ้วงหยวน ใครๆ ต่างแย่งกันเข้าไปปรนนิบัตินายท่าน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่จะได้ใกล้ชิดเสิ่นจงชิ่ง

เจินสือเหนียงไม่รู้ถึงความคิดของสี่เชวี่ย นางส่ายหน้า ตอบอย่างไม่แน่ใจ “เขาไม่ได้สั่ง คงไม่ต้องกระมัง” แม้จะพอเข้าใจ แต่ความจริงแล้วเจินสือเหนียงไม่ได้รู้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลใหญ่ในสมัยโบราณทั้งหมด นางมองเขาเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยท่าทางเหมือนไม่ต้องการให้ใครปรนนิบัติแล้วถึงวางใจ

หันไปปิดประตูให้แน่นสนิทและดึงสี่เชวี่ยไปที่ริมเตียงเตา ถามเสียงค่อยว่า “เหวินเกอ อู่เกออยู่บ้านเจ้ามิใช่หรือ ทำไมถึงให้หรงเซิงไปที่นั่นเล่า”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หน้าตาเหมือนเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกับเสิ่นจงชิ่ง หากหรงเซิงเห็นเข้าต้องไม่คิดเป็นอื่นแน่

“เหวินเกอ อู่เกอไม่ยอมเจ้าค่ะ ร้องจะตามบ่าวกลับมาด้วย บอกว่าไม่ได้ฟังนิทานแล้วนอนไม่หลับ บ่าวรับปากว่าจะมาดูแลแขกแล้วค่อยกลับไปรับพวกเขา พวกเขาถึงได้ยอม” สี่เชวี่ยชี้ไปที่หลังบ้าน “ป่านนี้ชิวจวี๋คงพาพวกเขาไปที่หลังบ้านแล้ว” หลังสระบัวมีประตูเล็กที่เชื่อมกับบ้านของสี่เชวี่ย

“ข้าว่าแล้วเชียว” เจินสือเหนียงเข้าใจโดยพลัน “อยู่ดีๆ เจ้าจะให้หรงเซิงไปที่บ้านทำไม โชคดีที่ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจว่าจะให้หรงเซิงพักที่เรือนด้านหลัง เลยสั่งให้ชิวจวี๋ไปก่อไฟเอาไว้ก่อน”

เรือนด้านหลังมีห้องสี่ห้อง สองห้องใช้ทำเออเจียว หนึ่งห้องเป็นห้องครัว อีกหนึ่งห้องเดิมทีเป็นห้องของชิวจวี๋ พอแม่นมจากไป ชิวจวี๋ย้ายมาที่เรือนด้านหน้า ห้องนั้นจึงว่างมาตลอด

สี่เชวี่ยคิดอะไรได้ บอกเสียงค่อยว่า “เมื่อกี้ตอนท่านแม่ทัพเดินเล่นอยู่ริมสระบัว เหวินเกอ อู่เกอแอบไปดูเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงตกใจ “พวกเขาพูดอะไรหรือเปล่า” เด็กสองคนนี้หัวไว หากเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งหน้าตาเหมือนพวกเขาเปี๊ยบ ไม่แน่อาจคิดเชื่อมโยงอะไรได้

“อิจฉาแทบตายเจ้าค่ะ!” สี่เชวี่ยยิ้มส่ายหน้า “ขนาดบ่าวขู่ว่าเขาเป็นแม่ทัพที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น พวกเขาก็ไม่กลัว เอาแต่บอกว่าโตขึ้นจะเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบนี้!” เสิ่นจงชิ่งหน้าตาหล่อเหลาคมคาย แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นไม่น่าเข้าใกล้ออกมา อาจเพราะเป็นผู้นำของกองทัพ ยามเขาไม่ยิ้มจึงดูน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ เหมือนเมื่อครู่นี้พอเขาหน้าบึ้งสี่เชวี่ยก็ตัวสั่นเทิ้มแล้ว

“เย็นชาขนาดนั้นยังมีคนอยากจะเอาอย่างอีก มีพ่อแบบไหนย่อมมีลูกแบบนั้นจริงๆ” ได้ยินเด็กสองคนไม่มีท่าทีรังเกียจเสิ่นจงชิ่งแม้แต่น้อย เจินสือเหนียงอดรู้สึกหวงเด็กทั้งสองไม่ได้

สี่เชวี่ยขำพรืด “เหวินเกอ อู่เกอชอบท่านแม่ทัพย่อมเป็นเรื่องที่ดี”

“ดีอะไรกัน” เจินสือเหนียงค้อนควัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เจ้ากับชิวจวี๋นอนที่นี่แล้วกัน ชิวจวี๋ไม่เคยปรนนิบัติใคร ถ้าเขาตื่นมากลางดึกแล้วเรียกหาคน มีเจ้าอยู่จะดีกว่า”

“บ่าวบอกฉางเหอแล้วเจ้าค่ะว่าคืนนี้จะค้างที่นี่”

คุยกันอีกสักพัก ได้ยินเสิ่นจงชิ่งเสร็จธุระเดินเข้าเรือนตะวันออกแล้ว เจินสือเหนียงจึงเดินออกมาเงียบๆ

ชิวจวี๋ใช้ก้อนหินเล่นลากเส้นขีดช่องอยู่กับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เห็นเจินสือเหนียงหอบผ้านวมเข้ามาก็รีบลุกขึ้นมารับ “มิน่าวันนี้บ่าวเห็นท่านแม่ทัพแล้วถึงรู้สึกคุ้นตา ที่แท้เขาเป็น…” ยังพูดไม่จบก็ถูกเจินสือเหนียงขัด

นางคลี่ยิ้มมองเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ “เหวินเกอ อู่เกอเล่นอะไรอยู่หรือ”

“ท่านแม่ ท่านแม่!” เด็กทั้งสองไม่ตระหนักถึงคำพูดที่ชิวจวี๋เกือบจะหลุดปากออกมาเมื่อครู่ พอเห็นเจินสือเหนียงก็กระโจนเข้าใส่ทันที “พวกเราเล่นฆ่าวัวกันอยู่! ข้าเพิ่งฆ่าพี่ชายตายไป!” เจี่ยนอู่แย่งตอบ

เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดเหลวไหลของเด็ก ก่อนจะแก้ไขให้ว่า “เจ้าฆ่า ‘วัว’ ของพี่ชายตายต่างหาก”

เล่นฆ่าวัวคือการวาดตัวอักษร ‘ชวี (区)’ เพื่อใช้แทนกระดานหมาก จากนั้นวาดวงกลมเป็นบ่อน้ำไว้ตรงกลางระหว่างมุมทั้งสองทางด้านขวาของตัว ‘ชวี’ ตอนเดินหมากจะข้าม ‘บ่อน้ำ’ นี้ไม่ได้เด็ดขาด สองฝ่ายถือหินสองก้อนใช้แทน ‘วัว’

กระดานหมากมีทั้งหมดห้าตำแหน่ง เฉพาะตัวหมากก็กินพื้นที่ไปสี่ตำแหน่งแล้ว ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึงขยับตัวหมากได้ตาละหนึ่งตำแหน่งเท่านั้นโดยต้องให้อยู่บนจุดตัด ฟังดูเหมือนง่าย แต่เล่นเข้าจริงๆ ต้องใช้สมองมาก เล่นฆ่าวัวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อกินหมากของอีกฝ่าย แต่จะชนะด้วยการ ‘ปิดเส้นทาง’ ของอีกฝ่าย สองฝ่ายผลัดกันเดิน เมื่อใดที่ฝ่ายหนึ่งถูกหมากของอีกฝ่ายปิดทางจนเดินต่อไม่ได้ ฝ่ายที่หมดหนทางย่อมเป็นผู้แพ้

นี่เป็นการละเล่นที่เจินสือเหนียงเคยเล่นเมื่อชาติก่อน รวมถึงหมากห้าเม็ดด้วย แม้จะง่าย แต่มีส่วนช่วยพัฒนาเชาวน์ปัญญาของเด็ก ดังนั้นเวลาว่างนางมักจะเล่นกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่เสมอ

ได้ยินเจินสือเหนียงถาม เจี่ยนอู่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เจี่ยนเหวินพลางตะโกนเสียงดัง “ข้าชนะหกตา!”

“ข้าชนะสี่ตา!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้

เล่นกันไปตั้งสิบตา ดูท่าเด็กสองคนจะรอนางนานมากแล้ว แต่กลับไม่ได้ร้องจะไปเรือนด้านหน้า ลำบากพวกเขาแล้วจริงๆ เจินสือเหนียงขยี้หัวลูกทั้งสองคนด้วยความรักใคร่เอ็นดู “พวกเจ้าเก่งจริงๆ!” นางเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมไม่เชื่อฟังแม่ รออยู่ที่บ้านอาสี่เชวี่ยล่ะ”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หัวเราะเสียงใส “พวกเราอยากฟังท่านแม่เล่านิทานเรื่องซุนหงอคงปราบปีศาจกระดูกขาว! ไม่รู้พระถังซำจั๋งจะถูกต้มกินหรือเปล่า”

ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่มีทั้งคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ภาพยนตร์ และเกมต่างๆ สมัยโบราณแทบไม่มีสิ่งบันเทิงเลย ค่ำคืนยาวนาน เวลานอนไม่หลับเจินสือเหนียงมักจะเล่านิทานให้พวกเขาฟัง นิทานกล่อมเด็กเรื่องสั้นๆ ในความทรงจำเล่าไปหลายหนแล้ว หมู่นี้จึงเริ่มเล่าเรื่องไซอิ๋วที่ยาวขึ้น เล่าวันละนิด ส่วนที่จำไม่ได้ก็แต่งขึ้นใหม่ เด็กสองคนฟังแล้วติดงอมแงม

“อยากรู้จริงๆ หรือว่าพระถังซำจั๋งถูกต้มกินหรือเปล่า” เจินสือเหนียงยิ้มถาม

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พยักหน้าแรงๆ

“เช่นนั้นมาตกลงกันก่อนว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าต้องไปซ่อนตัวที่บ้านอาสี่เชวี่ยแต่เช้า” เจินสือเหนียงถือโอกาสกำชับทั้งสอง

“ท่านแม่วางใจ พวกเราตกลงกับอาเขยไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเขาจะมารับพวกเราที่ประตูหลัง” เจินสือเหนียงไม่เคยขู่ใคร วันนี้นางพูดอย่างขึงขังจริงจังขนาดนี้ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงกลัวว่าจะต้องแยกจากท่านแม่

“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้าและหันไปบอกชิวจวี๋ที่ปูฟูกเรียบร้อยแล้ว “เจ้ากลับไปเถอะ”

“เดี๋ยวบ่าวคอยดูแลเหวินเกอ อู่เกอล้างหน้าแปรงฟันก่อนเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “สี่เชวี่ยเปิดประตูรอเจ้าอยู่”

ชิวจวี๋รับคำ นางบอกลาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และหันหลังเดินไปเรือนด้านหน้า

พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เด็กทั้งสองถอดเสื้อผ้าและมุดเข้าไปในผ้านวมแล้ว เจินสือเหนียงกำลังจะเล่านิทานต่อจากเมื่อวาน เจี่ยนเหวินนึกอะไรได้จึงถามว่า “ท่านแม่ คนคนนั้นเป็นใคร ทำไมต้องพาพวกเราไปด้วย”

“อาสี่เชวี่ยบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา” เจี่ยนอู่กะพริบตาปริบๆ “เป็นเรื่องจริงหรือ” เขายืดอก “เขาหน้าตาเหมือนข้า อีกหน่อยข้าต้องน่าเกรงขามแบบนี้แน่!” สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋กลัวกลิ่นอายคุกคามที่แผ่ออกมาจากตัวเขา แต่เจี่ยนอู่กลับเลื่อมใสเป็นพิเศษ

แค่ก เจ้าต่างหากที่หน้าตาเหมือนเขา เจินสือเหนียงสำลักอย่างแรง

“ท่านแม่!” เจี่ยนอู่หน้าแดงทันใด

“ใช่ อีกหน่อยอู่เกอต้องสง่าผ่าเผยกว่าเขาแน่” เจินสือเหนียงยิ้มพูดเมื่อสงบอารมณ์ได้แล้ว “อืม…เมื่อวานเล่าถึงไหนแล้วนะ”

“เล่าถึง…” เจี่ยนอู่กำลังจะพูด แต่ถูกเจี่ยนเหวินขัดขึ้นก่อน

“ท่านแม่ เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาบ้านเรา”

“เอ่อ…” เดิมทีคิดจะกลบเกลื่อนไม่พูดถึง นึกไม่ถึงว่าเจี่ยนเหวินจะยังไม่ลืม เจินสือเหนียงชะงักเล็กน้อย “เขาเป็น…เอ่อ…” นางขบคิดและตอบว่า “ลูกชายของท่านย่าของพวกเจ้า” นางตอบอ้อมๆ แบบนี้ไม่นับเป็นการโกหกเด็ก “เป็นญาติของเราเอง ย่อมต้องมาพักที่บ้านเรา” เจินสือเหนียงกระหยิ่มใจในไหวพริบของตนเอง

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อึ้งไป

“ลูกชายของท่านย่า?” สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา

“ข้ารู้แล้ว เป็นท่านลุง!” เจี่ยนเหวินคิดได้ก่อน รีบกระโดดผลุงขึ้นมาจากผ้านวม

“เป็นท่านอาต่างหาก!” เจี่ยนอู่ไม่ยอมแพ้ ดึงเขาและแย้งว่า “เขาหนุ่มกว่าพ่อของโก่วจืออีก แถมยังหน้าตาดีขนาดนั้น จะเป็นท่านลุงได้อย่างไร” ท่านแม่เคยบอกว่าลุงคือพี่ชายของพ่อ ย่อมต้องแก่และอัปลักษณ์สิ

“เป็นท่านลุง!” เจี่ยนเหวินไม่ยอมแพ้ “เขาเป็นถึงแม่ทัพ จะเป็นท่านอาได้อย่างไร” อาคือน้องชายของพ่อ เด็กแบบนั้นจะเป็นแม่ทัพใหญ่ได้หรือ

“เป็นท่านอา!”

“เป็นท่านลุง!”

ชั่วพริบตาเด็กสองคนก็ตีกันในผ้านวม

เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างจนใจ ปั้นหน้าดุถามว่า “พวกเจ้ายังอยากฟังเรื่องซุนหงอคงปราบปีศาจกระดูกขาวอยู่หรือไม่”

“อยาก!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อหันมาเห็นท่านแม่หน้าบึ้งไม่พูดจา ทั้งสองก็รีบนอนลงแต่โดยดีและจ้องนางตาปริบๆ

“ว่ากันว่าซุนหงอคงแปลงกายเป็นเทพคางคกทองไปร่วมงานเลี้ยงที่ถ้ำคลื่นจันทร์…” เห็นพวกเขาหยุดทะเลาะกันแล้ว เจินสือเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ปรับตะเกียงให้มืดลงพลางเล่านิทานต่อจากเมื่อวาน

 

เสิ่นจงชิ่งหลับสนิทตลอดคืน พอลืมตาฟ้าก็สว่างแล้ว มองกาน้ำหยดยามเหม่าสี่เค่อแล้ว เขาผุดลุกขึ้นทันที ส่ายหน้ายิ้มพูดกับตนเอง “ไม่ได้นอนเตียงเตาร้อนๆ มานาน วันนี้ตื่นสายเสียได้” นำทัพอยู่หลายปี เขาติดนิสัยตื่นนอนยามเหม่า

“ท่านแม่ทัพตื่นแล้วหรือขอรับ” หรงเซิงยกน้ำอ่างหนึ่งเข้ามา

“พวกนางล่ะ” เห็นข้างนอกเงียบสนิท เสิ่นจงชิ่งจึงถามขึ้น

“ชิวจวี๋ขึ้นเขาแต่เช้า สี่เชวี่ยกับนายหญิงใหญ่เก็บผักอยู่หลังบ้านขอรับ” หรงเซิงวางอ่างน้ำลง ถอดรองเท้าและปีนขึ้นไปบนเตียงเตา รูดผ้าม่านและเปิดหน้าต่าง ก้มหน้าร้องอุทาน “ท่านแม่ทัพห่มผ้านวมผืนนี้ตลอดทั้งคืนเลยหรือขอรับ” เขาใช้มือลูบดู แข็งมาก หรงเซิงเงยหน้ามองผู้เป็นนายอย่างเหลือเชื่อ

เสิ่นจงชิ่งไม่ตอบอะไร หันมองไปที่หลังบ้าน

นอกหน้าต่างเป็นต้นอิงเถาเตี้ยๆ ทั้งแถบ ตอนนี้ปลายฤดูใบไม้ร่วง อิงเถาร่วงโรยหมดแล้ว เหลือเพียงลำต้นเหี่ยวแห้งส่ายไหวไปมาท่ามกลางแสงยามเช้า ในความทรงจำของเขา หน้าต่างด้านหลังกว้างโล่ง มองผ่านหน้าต่างนี้ไปตอนเช้าจะเห็นห้องหับในเรือนด้านหลังเรียงเป็นแถบ ทั้งยังเห็นสระบัวที่อยู่ข้างหลังได้เลือนราง บัดนี้สายตากลับแย่ลง ทัศนวิสัยไม่กว้างไกลเหมือนก่อน

เสิ่นจงชิ่งทอดถอนใจและนึกเสียดาย สวมรองเท้าและลงพื้น หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ได้ยินเสียงพูดคุยจากหน้าบ้านจึงเปิดหน้าต่างมองออกไป ใบหน้าบึ้งตึงทันใด

เขาเห็นเจินสือเหนียงยืนอยู่หน้าประตูพูดคุยกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง น้ำเสียงที่เจือความเบิกบานนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!

“กวางตัวใหญ่ตั้งครึ่งตัวคงมีราคาหลายร้อยอีแปะ จะเอามาให้ข้าเปล่าๆ ได้อย่างไร” นางช่วยจางจื้อนำกวางครึ่งตัวที่แบกอยู่วางลงบนชั้นไม้ ปากปฏิเสธไม่หยุด “ข้าเก็บขาหลังไว้ข้างเดียวก็พอ ที่เหลือพี่จางเอาไปขายที่ตลาดเถอะ ช่วงนี้มีพ่อค้ามารับซื้อของป่าพอดี หากโชคดีพี่จางอาจขายได้ราคาสูง” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงหันหลังจะเข้าไปหยิบมีดในบ้าน

“ต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน แม่นางเจี่ยนอย่าได้เกรงใจเลย!” นางถูกจางจื้อขวางไว้ “ข้าไม่ได้ล่าสัตว์เป็นอาชีพ ตัวนี้ก็บังเอิญเจอตอนไปเก็บของป่า ท่านแม่บอกว่าเนื้อกวางช่วยให้ม้ามกับกระเพาะอบอุ่น ดีต่อร่างกายของแม่นางเจี่ยนที่สุด” เขาถูมือเก้อๆ “แม่นางเจี่ยนเก็บไว้กินเถอะ ที่บ้านข้ายังมีอีกครึ่งตัว”

จางจื้อเป็นเพื่อนบ้านของเจินสือเหนียง ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาแค่สองคน ป้าจางอายุสี่สิบกว่า เนื่องจากเป็นโรคหอบหืดมานาน ทุกปีพอถึงหน้าหนาวจะหายใจไม่ออก ไม่มีแรงแม้แต่จะทำกับข้าว ดูแล้วจึงเหมือนยายแก่อายุห้าหกสิบ

เจินสือเหนียงเห็นแล้วมิอาจนิ่งดูดาย จึงคั่วไส้เดือนดินให้เหลืองและบดเป็นผง ให้นางชงดื่มกับน้ำเชื่อม แรกเริ่มป้าจางไม่เชื่อ โรคนี้ของนางหาหมอมาแล้วไม่รู้เท่าไร กินยาไปมากมาย แต่กลับไม่หายเสียที แล้วยาผงที่จะเรียกว่ายาก็ไม่ใช่ห่อนี้จะใช้ได้ผลได้อย่างไร

ทว่าเห็นเจินสือเหนียงท่าทางจริงใจ คิดดูแล้วกินลงไปถึงอย่างไรก็ไม่ตาย จึงลองกินดูสองสามห่อ คิดไม่ถึงว่าจะหายสนิท

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป้าจางจะซาบซึ้งแค่ไหน ประกอบกับเจินสือเหนียงเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีน้ำใจ ปกติอยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร เห็นบ้านนางมีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ใช้ชีวิตยากลำบาก ป้าจางจึงมักจะส่งจางจื้อมาช่วยทำงานหนักๆ ดูแลนางเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง มีของดีอะไรก็ไม่ลืมให้จางจื้อเอามาให้ ปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

“ข้ารู้ว่าที่บ้านพี่จางมี ข้าให้ท่านเอาไปขายที่ตลาดต่างหาก ไม่ได้ให้ท่านเอากลับไปกิน” เจินสือเหนียงระบายยิ้ม “อากาศร้อนเกินไป เก็บเนื้อไม่ได้ ข้ากินไม่ได้ก็เสียของเปล่าๆ”

ตระกูลจางเองก็เลี้ยงชีพโดยมีที่นาเพียงน้อยนิด ชีวิตของทุกคนล้วนลำบากไม่ต่างกัน

“ท่านแม่บอกว่าหากเจ้ากินไม่หมดก็เอาไปทำเนื้อตากแห้งหรือจะหมักเก็บไว้ก็ได้” จางจื้อเป็นคนซื่อ พูดจาไม่เก่งนัก เห็นเจินสือเหนียงไม่ยอมรับก็ร้อนใจจนหน้าแดง ยื่นแขนออกไปขวางนางไม่ให้เข้าไปหยิบมีดในบ้าน “ท่านแม่บอกว่ากินเนื้อกวางบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด”

ครั้นเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้ เจินสือเหนียงถอนหายใจ คิดในใจว่า ท่านป้าก็หวังดี หากข้าดึงดันไม่รับจะเสียน้ำใจนาง ช่างเถอะ ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเก็บสะสมเสบียง พรุ่งนี้เอาเออเจียวไปให้นางเป็นการแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน คิดดังนี้จึงยิ้มพยักหน้า “ได้ ข้ารับไว้แล้วกัน พี่จางเข้าไปดื่ม…” พอเอ่ยปากก็นึกได้ว่าเสิ่นจงชิ่งยังนอนอยู่ในห้อง น้ำเสียงพลันชะงัก

แม่ม่ายมักตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน หากให้เขาเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งนอนอยู่ในห้องนางคงไม่ดี!

แล้วจะทำอย่างไร

นางร้อนใจจนเหงื่อซึมทั่วตัว ลืมสนิทว่านางไม่ใช่แม่ม่าย คนที่อยู่ในห้องเป็นพ่อแท้ๆ ของลูกนาง เป็นสามีอย่างถูกต้องของนางเอง ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด

ระหว่างที่ลำบากใจ ชิวจวี๋ลากฟืนมัดหนึ่งเดินเข้ามา จางจื้อเห็นก็รีบเข้าไปรับและช่วยนำไปเก็บบนแท่นเก็บฟืนทางทิศตะวันตก

“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!” ชิวจวี๋เหงื่อแตกเต็มตัว ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าพลางฉีกยิ้มให้จางจื้อ “ขอบคุณท่านลุงจาง!”

ด้วยไม่อยากเสียเงินซื้อ ฟืนในบ้านจึงอาศัยสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ขึ้นเขาไปตัด ตอนนี้สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ เกรงว่าฤดูหนาวฟืนจะไม่พอใช้ ชิวจวี๋จึงตัดฟืนในส่วนของนางมาด้วย ตอนลงจากเขายังแบกไหว ภายหลังแบกไม่ไหวจึงต้องลากมา คนเดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังกลับมีฝุ่นฟุ้งตลบเหมือนลากสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาด้วย

เห็นหัวหูนางเต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งใบหน้ายังถูกแขนเสื้อเช็ดจนเป็นคราบ ดูเหมือนแมวลายตัวหนึ่ง เจินสือเหนียงหัวเราะออกมาและลูบหลังนาง “อีกหน่อยอย่าขนเยอะขนาดนี้ ระวังจะเสียสุขภาพ รีบเข้าไปล้างตัวในบ้านเถอะ นั่งพักประเดี๋ยวก็กินข้าวได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋ขานรับอย่างร่าเริงและก้าวเข้าไปในบ้าน

“อย่าให้นางไปแบกฟืนอีกเลย ร่างกายของเด็กจะเสียหมด” มองเงาร่างแบบบางของชิวจวี๋แล้ว จางจื้อรู้สึกสงสาร “รอไว้ข้าจัดการที่นาเสร็จเมื่อไร ข้าช่วยขนไม่กี่วันก็พอให้พวกเจ้าใช้ได้ตลอดหน้าหนาวแล้ว”

เจินสือเหนียงถอนหายใจ “ปีนี้รบกวนพี่จางมากเหลือเกิน พี่จางจะเก็บเกี่ยวเมื่อไรบอกข้านะ ข้าจะให้ชิวจวี๋ไปช่วย” ติดค้างผู้อื่นมากมาย แรงงานที่จะหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้กลับมีเพียงชิวจวี๋เท่านั้น

นางกับสี่เชวี่ย คนหนึ่งร่างกายอ่อนแอ คนหนึ่งตั้งครรภ์ ล้วนทำงานหนักไม่ได้

“ถึงเวลาให้นางช่วยเฝ้าที่นาให้ข้าสองวันก็พอ” จางจื้อกำลังหนักใจที่ไม่มีคนเฝ้านา งานเก็บแปลงฟื้นฟูดินทำคนเดียวไม่ได้ ฟังแล้วจึงพยักหน้า เห็นว่าสายมากแล้วจึงเอ่ยลา “แม่นางเจี่ยนทำงานเถอะ ข้าขอตัวก่อน ท่านแม่รอกินข้าวเช้ากับข้าอยู่”

“วันนี้ข้าทำขนมเปี๊ยะไส้ผักชีล้อม พี่จางเอาไปให้ท่านป้าลองชิมดูสิ ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องทำอาหาร” พูดถึงกินข้าว เจินสือเหนียงคิดถึงขนมเปี๊ยะที่เพิ่งทำเสร็จและหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน

เจินสือเหนียงทำอาหารอร่อย ได้กินของที่นางทำเหมือนได้ฉลองปีใหม่ เห็นนางหยิบขนมเปี๊ยะออกมาหลายชิ้น จางจื้อฉีกยิ้มดีอกดีใจ

หลังส่งจางจื้อกลับไป นางก็คิดว่าเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต้องกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจเมื่อได้กินเนื้อเป็นแน่ เจินสือเหนียงจึงอารมณ์ดียิ่ง นางคลอเพลงเบาๆ หันกลับไปแล้วอดตกใจไม่ได้ที่เห็นเสิ่นจงชิ่งยืนหน้าถมึงทึงอยู่ข้างหลัง

ทำไมคนผู้นี้ถึงเดินไม่มีเสียงเลย ไม่รู้หรือว่าอาจทำให้คนตกใจตายได้

ในใจบ่นว่า แต่เจินสือเหนียงไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า นางทำทีปิดประตูใหญ่และย่อกายคารวะเขา “ท่านแม่ทัพตื่นแล้วหรือ” จะให้เพื่อนบ้านเห็นไม่ได้เด็ดขาดว่ามีผู้ชายตัวโตยืนอยู่ในลานบ้านนางตั้งแต่เช้าตรู่

เห็นรอยยิ้มนางหายวับไปทันทีที่เห็นหน้าเขา ใบหน้าของเสิ่นจงชิ่งยิ่งบึ้งตึงกว่าเดิม

ด้วยชินกับนิสัยเงียบขรึมไม่พูดจาของเขา เห็นเขาไม่พูด เจินสือเหนียงจึงไม่ได้คิดมาก นางเดินอ้อมเขาเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพล้างหน้าหรือยัง อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เองก็คงหิวนานแล้ว ในเมื่อเสิ่นจงชิ่งตื่นแล้ว นางรีบผัดผักดีกว่า

เดินไปไม่กี่ก้าว คิดถึงเนื้อกวางที่จางจื้อเอามาให้ เจินสือเหนียงจึงเดินย้อนกลับไปที่ชั้นไม้ ใช้นิ้วจิ้มกวางครึ่งตัวนั้นพลางครุ่นคิดว่าจะเพิ่มกับข้าวมื้อเช้าดีหรือไม่

เวลาที่เสิ่นจงชิ่งโกรธจัดน้อยคนนักที่จะสุขุมได้เช่นนี้ เขาค่อยๆ หันไปมองนาง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

คนที่รู้นิสัยเขาย่อมรู้ว่า…ตอนนี้เขากำลังโมโห

น่าเสียดายที่ตั้งแต่เจอเขา เจินสือเหนียงก็ไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวหรือสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ชายที่ใบหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งคนนี้ นางพลิกเนื้อกวางกลับมาพลางคิดว่าจะหั่นเนื้อส่วนไหนออกมาดี จะตุ๋นน้ำแดงหรือจะผัดด้วยไฟแรงดี

เนื้อกวางเป็นเนื้อล้วน ไม่มีมัน เหมาะเอาไปทำขนมเปี๊ยะทอดใส่ไส้ที่สุด แต่เช้านี้ทำไม่ทันแล้ว ตอนบ่ายรอให้ผู้ชายปากร้ายคนนั้นกลับไปก่อน นางจะทำขนมเปี๊ยะทอดให้ทุกคนกินให้หายอยาก กำลังคิดเพลินจึงไม่ทันระวังเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ที่เข้ามาบดบังทัศนวิสัยของนาง

“เจ้าเปลี่ยนแซ่ตั้งแต่เมื่อไร”

เสียงไม่ดังนัก แต่กลับเย็นเยียบประดุจน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง ทำเอาเจินสือเหนียงสั่นสะท้าน

เปลี่ยนแซ่? นางเปลี่ยนแซ่ตั้งแต่เมื่อไร เจินสือเหนียงงุนงง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“เมื่อครู่เขาเรียกเจ้าว่าแม่นางเจี่ยน!” น้ำเสียงเจือแววฉุนเฉียวที่เก็บกลั้นไว้ไม่อยู่

เจินสือเหนียงฟังแล้วอุทานในใจ สวรรค์ เขาได้ยินได้อย่างไร!

แม้ในเมืองอู๋ถงจะไม่ใช่นางคนเดียวที่แซ่เจี่ยน อีกทั้งทุกครั้งที่ออกไปตรวจโรคนางจะปิดบังใบหน้า แต่ด้วยความที่เป็นวัวสันหลังหวะ เห็นเสิ่นจงชิ่งรู้เรื่องที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยแซ่เจี่ยน หัวใจของนางก็อดเต้นตึกตักอย่างประหม่าไม่ได้

กระนั้นใบหน้ากลับฉายแววตระหนักได้ “อ้อ ท่านแม่ทัพหมายถึงเรื่องนี้หรือ” นางร้องอ๋ออย่างไม่ใส่ใจและเปลี่ยนเรื่อง “หลายปีนี้ท่านแม่ทัพสร้างคุณความชอบใหญ่หลวง ชื่อเสียงเลื่องระบือไปไกลขึ้นทุกที ข้าภรรยาเกรงว่าหากผู้อื่นรู้ว่าภรรยาของท่านแม่ทัพใช้ชีวิตแร้นแค้นเช่นนี้จะเสียเกียรติท่านแม่ทัพ ดังนั้น…” นางมองเขาอย่างเปิดเผย “ข้าภรรยาจึงบอกกับคนนอกว่าข้ามาเช่าบ้านหลังนี้และแซ่เจี่ยน” ช้าเร็วก็ต้องตกลงหย่าขาด นางทำแบบนี้ก็เพื่อส่งเสริมเขา

ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่รู้ว่านางพูดถูกและเรียกได้ว่าเป็นห่วงชื่อเสียงของเขา เสิ่นจงชิ่งกลับหงุดหงิด จู่ๆ ก็จับคางนางไว้ “ทั้งที่มีสามีแล้ว เป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว กลับให้บ่าวเรียกเจ้าว่าคุณหนู ให้คนอื่นเรียกเจ้าว่าแม่นาง” นัยน์ตาคมทอประกายเสียดสีเหน็บแนม “ทำไม เจ้าคิดจะแต่งงานใหม่หรือ”

ไม่รู้เหตุใด พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ใจเขาพลันว้าวุ่น มือที่บีบคางนางออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หากไม่เพราะไม่มีหนังสือหย่า ข้าแต่งงานใหม่ไปนานแล้ว!

ในใจบ่นว่า แต่เจินสือเหนียงกลับไม่กล้าเถียง นางอดทนกับความเจ็บ มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว เป็นเพราะข้าภรรยาฐานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรจะเป็นภรรยาแม่ทัพ ถึงสั่งให้สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เปลี่ยนคำเรียกขาน” นางหยุดครู่หนึ่ง “ส่วนคนนอกจะเรียกอย่างไร ข้าภรรยามิอาจบงการได้”

ไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ ฟังน้ำเสียงนางแล้ว นางรู้สึกไม่คู่ควรเสียที่ไหน! น้ำเสียงและท่าทีเฉยชาของนางทำให้เขาหน้าบึ้งกว่าเดิม พูดออกไปโดยไม่คิดว่า “พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชายแต่เช้า เจ้ายังมีความละอายแก่ใจอยู่บ้างหรือไม่ แม่เจ้าไม่ได้สอนหรือไรว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน!”

ผู้หญิงของเขาจะไปสนิทสนมกับผู้ชายอื่นแบบนั้นได้อย่างไร! หากไม่เคยข้องเกี่ยวกับเขาก็แล้วไปเถอะ ตกลงหย่าขาดแล้วเขาปล่อยนางไปได้ ให้นางไปแต่งกับคนอื่นและสร้างหายนะให้คนอื่นต่อไป แต่ในเมื่อเคยมีความสัมพันธ์ทางกายด้วยกันแล้ว นางมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นคนของเขาเสิ่นจงชิ่ง ตายก็เป็นผีของเขาเสิ่นจงชิ่งเช่นกัน แม้จะตกลงหย่าขาด นางก็ไม่มีสิทธิ์ข้องแวะกับชายอื่น มิอาจแต่งงานใหม่!

เจินสือเหนียงไม่รู้ความคิดเผด็จการในใจเขา นางรู้สึกเพียงคางถูกเขาบีบจนเจ็บ ในใจอดโมโหไม่ได้ “ท่านแม่ทัพโปรดปล่อยมือด้วย ท่านทำแบบนี้ข้าภรรยาพูดไม่ได้!”

เสิ่นจงชิ่งรู้สึกว่านางเอ่ยวาจาอย่างยากลำบากจึงคลายมือออก เห็นคางของนางถูกบีบจนเขียวช้ำแล้วอดตกใจไม่ได้ แววตาเย็นชาฉายความสับสน นางไม่รู้จักเจ็บหรือ ไฉนจึงไม่อ้อนวอนเขาตั้งนานแล้ว

เจินสือเหนียงข่มใจไม่ยกมือขึ้นลูบคางที่เหมือนจะหลุดออกมาได้นั้น นางถอยไปก้าวหนึ่ง อยู่ให้ห่างจากเขา “เมื่อครู่พี่จางเอาเนื้อกวางมาให้ ข้าภรรยาให้ความสนิทสนมกับเขาตามมารยาทเท่านั้น ท่านแม่ทัพถือกำเนิดในตระกูลจ้วงหยวน น่าจะรู้ว่าการได้รับมาและตอบแทนไปเป็นธรรมเนียมมารยาท ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทนคือเสียมารยาท” ครั้นตระหนักว่าน้ำเสียงของตนเจืออารมณ์โกรธ นางจึงหยุดพูดและพยายามปรับเสียงให้ราบเรียบ “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้อง ข้าภรรยาเป็นสตรี ย่อมสมควรอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสม ไม่ทำตัวน่าละอาย วางตัวสงบสำรวมและรักษาความบริสุทธิ์สูงส่งไว้ ใช่ว่าข้าภรรยาไม่อยากทำเช่นนี้! ข้าภรรยาอยากจะสูงส่ง อยากใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ไม่ใส่ใจเรื่องต่างๆ แต่ข้าภรรยาเป็นปุถุชนคนหนึ่ง วันใดไม่กินข้าวย่อมรู้สึกหิว ไม่ดื่มน้ำย่อมรู้สึกกระหาย ไม่สวมเสื้อผ้าย่อมรู้สึกหนาว ถูกรังแกย่อมรู้สึกเจ็บ…” นางมองเขาด้วยสายตาตำหนิและย้อนถาม “ท่านแม่ทัพคิดว่าหากข้าภรรยาไม่คบค้าสมาคมผู้ใด ฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือพวกนั้นจะร่วงลงมาจากท้องฟ้าได้เองหรือ”

น้ำเสียงและท่วงทำนองน่าประทับใจของนางทำเอาเสิ่นจงชิ่งพูดอะไรไม่ออก

นางพูดถูก ห้าปีมานี้เขาไม่เคยถามไถ่ไยดีนาง บ้านหลังนี้มีแต่ผู้หญิงสามคน จะให้พวกนางไม่คบหาสมาคมกับผู้ชายได้อย่างไร ย่อมมิอาจห้ามนางไม่ให้ขอร้องใคร ใช้ชีวิตอย่างอดอยากได้

เขาเองก็รู้ว่าตนเองเข้มงวดและวู่วามเกินไป แต่เสิ่นจงชิ่งก็หงุดหงิดใจเหมือนกัน ตอนออกจากจวนจ้วงหยวน นางเอาทรัพย์สินไปมากมาย ใครจะรู้ว่าภายหลังชีวิตนางจะลำบากยากแค้นเช่นนี้ หาไม่ผู้หญิงของท่านแม่ทัพอย่างเขาจะต้องไปพึ่งผู้ชายคนอื่นด้วยหรือ! อีกทั้งยังเป็นผู้ชายดิบเถื่อนเช่นนั้น

“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าปากเก่งถึงเพียงนี้!” ความน่าเกรงขามของเสิ่นจงชิ่งลดลงไปหลายส่วน แต่น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกร้าวเยียบเย็น “ถึงอย่างไรในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว อยู่ย่อมเป็นคนตระกูลเสิ่น ตายไปก็เป็นผีตระกูลเสิ่น” น้ำเสียงเข้มงวดเฉียบขาด “อีกหน่อยห้ามเจ้าพูดคุยกับผู้ชายอื่นแบบนี้อีก!” ยิ้มหน้าระรื่นราวกับไม่เคยเห็นผู้ชายอย่างนั้นแหละ เห็นแล้วน่าหงุดหงิดนัก

คำพูดนี้เผด็จการยิ่ง! เจินสือเหนียงแค่นเสียงในใจ ทว่าใบหน้ากลับระบายยิ้ม “แล้วหากท่านแม่ทัพเป็นฝ่ายหย่าข้าเล่า” คำถามนี้อ้อมค้อม แต่นางเชื่อว่าเขาเข้าใจ

นี่คือสมัยโบราณ หากเขาไม่คิดหย่านางและเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิต คำตำหนินี้ย่อมไม่เกินกว่าเหตุ แต่เขาคิดจะหย่านางแต่แรกอยู่แล้ว! เขากับนางกำลังจะแยกทางกัน ถึงเวลาที่เขาควรปล่อยนางแล้ว เขาควรหลับตาข้างลืมตาข้าง นางก็จะรู้กาลเทศะไม่สวมเขาให้เขาระหว่างที่เขายังอยู่ในตำแหน่ง เขามีอนุตั้งห้าคน แต่นางยังไม่ทันจะให้ท่าใครด้วยซ้ำ จะว่าไปนางต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เป็นฝ่ายหย่านาง? คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะถามเช่นนี้ เขาผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งว่า “เจ้ารู้อยู่ว่าการแต่งงานของเราเป็นสมรสพระราชทานของอดีตฮ่องเต้ ข้าเป็นฝ่ายหย่าเจ้าไม่ได้!” เขาเปลี่ยนคำพูด “ต่อให้เจ้าถูกหย่า ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้ามองผู้ชายคนอื่น!” น้ำเสียงเฉียบขาดไม่เปิดช่องให้นางปฏิเสธ

นี่มันอะไรกัน?! นางรู้แต่ว่าสามีตนเองปากจัด ไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้ ตนเองไม่เอาแล้วยังไม่ยอมให้คนอื่นได้ไป คำพูดเขาทำให้นางตะลึงงันยิ่งนัก

เสิ่นจงชิ่งก้าวยาวๆ จากไป

นานทีเดียวเจินสือเหนียงจึงได้สติ นางวิ่งตามไปที่หน้าประตูบ้าน ไหนเลยจะเห็นเงาของเสิ่นจงชิ่งอีก

“สังคมโบราณเฮงซวย!” เจินสือเหนียงถีบบานประตูแรงๆ หนึ่งที

หลังสงบสติอารมณ์และฉุกคิดได้ว่าเขามีอำนาจมหาศาล ความหม่นหมองพลันปกคลุมจิตใจนาง ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว เชื่อว่าหากนางแต่งงานใหม่ นางต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่ เว้นเสียแต่สามีในอนาคตของนางจะมีอำนาจมากกว่าเขา

แต่ผู้หญิงที่ถูกสามีทิ้งและมีลูกติดสองคนอย่างนางจะหาสามีใหม่ที่มีอำนาจมากกว่าเขาได้อย่างไร

ต่อให้หาได้ นางจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนคนนั้นจะเป็นคนดี จะแข็งแกร่งกว่าเขา ดีต่อนางและดีต่อเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ อีกทั้งเบื้องหลังไม่มีผู้หญิงคนอื่น

เงื่อนไขการหาสามีของนางไม่สูง นางตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ถ้าเพื่อนๆ รู้ว่าเกณฑ์การหาสามีของนางต่ำขนาดนี้จะต้องหัวเราะเยาะนางว่าอยากได้สามีจนตัวสั่น วางแผนลดล้างสต็อกตนเองแน่

แต่เงื่อนไขนี้พอมาอยู่ในสมัยโบราณกลับเป็นการเรียกร้องมากเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายุคสมัยใดก็เหมือนกัน ผู้ชายดีๆ ล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว

คิดถึงข้อนี้ หัวใจก็บังเกิดความสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามา ก่อนเจินสือเหนียงจะส่ายหน้าและหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านไป

บทที่ 4

 “คุณหนูไปโดนอะไรมาเจ้าคะ” พอเจินสือเหนียงเดินเข้ามา สี่เชวี่ยก็เห็นรอยเขียวช้ำที่คางนาง “ฝีมือท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บแม้แต่น้อย” เจินสือเหนียงปัดมือนางออก ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ

พอรู้ว่าเป็นฝีมือของเสิ่นจงชิ่งจริง สี่เชวี่ยก็โมโหขึ้นมา “คนดีมักถูกรังแกจริงๆ ด้วย แต่ก่อนเขาไม่เคยกล้าลงมือกับคุณหนูเลย!”

สมัยก่อนตอนอยู่จวนจ้วงหยวน เวลาคุณหนูของนางอาละวาด เสิ่นจงชิ่งมักจะหลบหน้าพวกนางนายบ่าว มีแต่คุณหนูของนางที่ไปตามตื๊อและรังแกเขาทุกวัน บัดนี้คุณหนูของนางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขากลับเป็นฝ่ายมาหาเรื่องถึงที่

เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าสี่เชวี่ยคิดเช่นนี้ นางคิดว่าแต่ก่อนตอนที่เสิ่นจงชิ่งยังรักชอบเจ้าของร่างนี้อยู่ ย่อมเอาอกเอาใจนางสารพัด ไม่กล้าจะตีสักครั้งด้วยซ้ำ คิดแล้วถอนใจเบาๆ “ความรักหมดไปแล้ว ต่อให้เจ้าสะสวยเพียงใดก็ย่อมกลายเป็นเพียงหญ้าต้นหนึ่ง”

แต่พอนางคิดถึงเนื้อกวางในลานกลับยิ้มผ่อนคลาย “พี่จางข้างบ้านส่งเนื้อกวางตัวใหญ่มาให้ครึ่งตัว ไม่รู้เหวินเกอ อู่เกอจะดีใจขนาดไหน” นางพูดพลางถือมีดเดินออกไปข้างนอก “ข้าจะไปตัดเนื้อขาส่วนหนึ่งมาผัด คืนนี้พวกเราค่อยทำขนมเปี๊ยะทอดไส้เนื้อกวางกิน เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้กลิ่นเนื้อ ทุกคนจะได้กินให้หนำใจ”

นางหันไปกำชับชิวจวี๋ที่ทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ไปหลังบ้านหากะละมังใบใหญ่มาแช่เนื้อกวาง” เนื้อกวางต้องแช่ด้วยน้ำสะอาดหนึ่งถึงสองชั่วยาม รอให้น้ำเลือดถูกชะจนสะอาดแล้วค่อยหมักด้วยเกลือ เนื้อแห้งที่เอาไปตากถึงจะอร่อย

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยคว้ามือนางไว้

เจินสือเหนียงหันไป

สี่เชวี่ยขยับปากไปมา สุดท้ายพูดว่า “บ่าวไปตัดเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

เห็นนางไม่ต่อความยาวเรื่องที่ตนถูกเสิ่นจงชิ่งรังแก เจินสือเหนียงพยักหน้า “ดีเลย เหลือไส้ผักชีล้อมอยู่เล็กน้อย ข้าจะผสมแป้งทำขนมเปี๊ยะทอดอีกสองชิ้น” หลังเอาขนมเปี๊ยะทอดให้จางจื้อไป เจินสือเหนียงกลัวอาหารเช้าจะไม่พอกิน

ในเมื่อเขาได้ยินบทสนทนาของนางกับจางจื้อ เชื่อว่าคงเห็นนางให้ขนมเปี๊ยะทอดจางจื้อไปแน่นอน หากอาหารเช้าไม่พอกินจริงๆ ไม่แน่เขาอาจหาเรื่องนางเพราะเหตุนี้และตำหนินางอีก แม้จะผ่านมาห้าปีแล้ว แต่นางยังจดจำความปากร้ายของเขาได้แม่นยำ

แม้นางจะอยากทำให้เขาหิวตายไปเสีย แต่มีชีวิตอยู่มาสองชาติ เจินสือเหนียงเข้าใจหลักการไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุงได้ ผู้อื่นแข็งแกร่งกว่า หากหลบเลี่ยงได้ก็ควรหลบเลี่ยง เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าอาย นางกับเขาแตกต่างกันปานนั้น หากปะทะกับเขาตรงๆ ก็มีแต่จะทำให้ตนเองลำบากโดยแท้

ปกติอาหารเช้าของที่นี่จะเป็นผักดอง ข้าวต้มเปล่าและธัญพืชแห้ง วันนี้มีเสิ่นจงชิ่งนายบ่าวอยู่ด้วย เจินสือเหนียงจึงเพิ่มเมนูยำรากบัวฝานและผัดเนื้อกวางเข้ามา อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว ก่อนอื่นตักขึ้นมาให้ชิวจวี๋เอาไปให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่เรือนด้านหลัง จากนั้นเจินสือเหนียงเข้าไปบอกหรงเซิงให้เรียกนายของตนเองมากินข้าว

หรงเซิงออกไปเดินวนรอบใหญ่ กลับมาถามนางว่า “ท่านแม่ทัพออกไปแต่เช้า ไม่ได้บอกนายหญิงใหญ่หรือขอรับว่าจะไปไหน”

“ไม่ได้บอก” เจินสือเหนียงอารมณ์ดีทันใด คิดในใจว่า เขากลับไปได้ยิ่งดี

“ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ท่านแม่ทัพหายไปไหนนะ” หรงเซิงบ่นกับเจินสือเหนียง ฝีมือการทำอาหารของนายหญิงยอดเยี่ยมขนาดนี้ ไม่มีทางที่ท่านแม่ทัพของเขาจะกลับไปโดยไม่กินข้าวก่อน

เวลาเดียวกันนั้น เอ้อร์ยาบ้านอวี๋เหลียงมาชวนชิวจวี๋ไปเก็บเห็ด ตอนนี้เป็นฤดูเก็บของป่า ปกติชิวจวี๋จะตื่นแต่เช้าขึ้นมาตัดฟืนรอบหนึ่ง กินข้าวเช้าเสร็จค่อยไปเก็บเห็ดและผักในป่า เห็นเอ้อร์ยามาหาจึงหันไปมองเจินสือเหนียง

“พวกเจ้ากินก่อนเถอะ เดี๋ยวข้ารอท่านแม่ทัพเอง” เจินสือเหนียงครุ่นคิด

ทุกคนทำงานกันตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะชิวจวี๋ ตัดฟืนกลับมาก็ไม่ได้อยู่ว่าง ป่านนี้คงหิวจนไส้กิ่วแล้ว อีกทั้งกินข้าวเสร็จยังมีงานรออยู่มากมาย สุดท้ายทุกคนกลับต้องมารอคนที่ว่างที่สุดกลับมากินข้าว

สังคมโบราณเฮงซวยจริงๆ! ในใจนางก่นด่าเช่นเดิมอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเข้าครัวไปจัดอาหารขึ้นโต๊ะให้ทุกคน

“ให้ชิวจวี๋พักสักวันเถอะเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยคว้าตัวผู้เป็นนายไว้ “คุณหนูรออีกประเดี๋ยว” หรงเซิงยังอยู่ที่นี่ ในเมื่อเสิ่นจงชิ่งยังไม่บอกว่าจะกลับ เขาต้องกลับมากินแน่

สี่เชวี่ยเคยอยู่ในจวนเสนาบดี ตระหนักดีถึงความเข้มงวดของระบบนายบ่าว นายยังไม่กินข้าว ต่อให้บ่าวหิวตายก็กินก่อนไม่ได้ นางเกรงว่าเสิ่นจงชิ่งกลับมาแล้วจะอารมณ์ไม่ดี คนที่เดือดร้อนย่อมเป็นเจินสือเหนียง

“ปีนี้เก็บผักป่าได้น้อยอยู่แล้ว” ชิวจวี๋มองอากาศดีข้างนอกอย่างเสียดาย ยังพูดไม่จบ เหลือบเห็นสายตาที่สี่เชวี่ยมองมา จึงเปลี่ยนคำพูด “บ่าวไปเก็บอีกรอบตอนบ่ายก็ได้”

นางตะโกนผ่านหน้าต่างบอกเอ้อร์ยาที่รออยู่หน้าประตูบ้าน “ข้ายังไม่ได้กินข้าว เจ้าไปเถอะ วันนี้ข้าไม่ไปแล้ว!” เห็นเอ้อร์ยาจากไป ชิวจวี๋หันกลับมาและรู้สึกว่าคนในบ้านมีสีหน้าแปลกประหลาด นางจึงพูดว่า “แดดส่องแล้ว บ่าวจะเอาผักไปตาก” พูดพลางวิ่งออกไปปานโบยบิน

ตอนกลางคืนน้ำค้างแรงและกลัวฝนจะตก ผักที่ตากแห้งไปครึ่งหนึ่งจึงต้องเก็บเข้ามาในบ้าน วันต่อมาแดดออกแล้วค่อยขนออกไปตากใหม่

“บ่าวจะไปแกะฝักบัวที่ฉางเหอเก็บขึ้นมา” ภายใต้การยืนกรานของสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงจึงไม่ได้จ้างแรงงานมากมาย ฝักบัวหลี่ฉางเหอเป็นคนเก็บ ทุกคนช่วยกันแกะ แม้แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ไม่ได้อยู่ว่าง เด็กสองคนเล่นไปด้วยแกะไปด้วย วันหนึ่งก็แกะได้เท่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ผู้ใหญ่ทำได้

เห็นทั้งสองออกไปทำงานทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าว เจินสือเหนียงถอนหายใจ เงยหน้ามองหรงเซิง “หรงเซิงนั่งพักก่อนเถอะ ข้าจะไปหั่นหัวไช้เท้า” หากสายกว่านี้ พระอาทิตย์ตกดินย่อมตากไม่ได้แล้ว

เพียงพริบตาเดียว ทุกคนก็ออกไปทำงานกันหมด หรงเซิงรู้สึกอึดอัด เขาเดินตามออกมาเก้อๆ เห็นชิวจวี๋ถือกระจาดสานที่เต็มไปด้วยเห็ดปีนขึ้นบันไดแล้วตกใจ “เจ้ารีบลงมา เป็นเด็กผู้หญิงปีนขึ้นไปสูงขนาดนี้ได้อย่างไร”

“ข้าปีนทุกวัน” ชิวจวี๋ตอบโดยไม่หันกลับมา นางหยิบเห็ดในกระจาดสานที่แห้งครึ่งหนึ่งแล้วออกมาเรียงบนกระเบื้องหลังคา จากนั้นหันหลังกระโดดลงจากบันไดอย่างคล่องแคล่ว

“พวกเจ้าตากผักแบบนี้ทุกวันเลยหรือ” หรงเซิงถามอย่างประหลาดใจ

“ฝนไม่ตกก็ตาก” ชิวจวี๋หันไปขนผักแห้งอย่างอื่นต่อ

“ข้าช่วย!” การใช้แรงงานน่าภาคภูมิใจที่สุด อยู่ในบ้านที่มีแต่ผู้หญิงสามคนแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่หรงเซิงรู้สึกว่าการกินข้าวโดยไม่ทำงานเป็นเรื่องน่าละอาย เขาแย่งไต่ขึ้นไปบนบันไดและหันไปหาชิวจวี๋ให้ส่งผักให้พลางถามต่อ “พวกเจ้าตากผักตั้งมากมายไปทำไม”

“เก็บไว้กินหน้าหนาวไงล่ะ” ชิวจวี๋มองหรงเซิงอย่างแปลกใจ “หน้าหนาวพวกท่านไม่กินของพวกนี้หรือ” นางตระหนักโดยพลัน “นั่นสินะ จวนแม่ทัพจะกินของแบบนี้ได้อย่างไร” นางพูดเสียงขื่น

เห็นหรงเซิงเทผักรวมเป็นกองเดียวก็รีบร้องเตือน “ทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องเรียงผักให้สม่ำเสมอกัน ไม่งั้นจะตากไม่แห้ง!” ไม่รีบตากตอนแดดดี หากฝนตกยังต้องเปลืองฟืนก่อไฟอบให้แห้ง หากอบไม่ดีอาจขึ้นราด้วย

ยืนอยู่ที่สูงย่อมเห็นได้กว้างไกล หรงเซิงเกลี่ยผักออกให้สม่ำเสมอกัน หันไปด้านตะวันออกของลานเห็นชั้นตากของว่างอยู่ จึงถามว่า “มีชั้นตั้งมากมาย ทำไมเจ้าต้องเอาขึ้นมาตากบนหลังคาด้วย” เปลืองแรงเปล่า งานนี้ดูเหมือนง่าย แต่บันไดที่เขาเหยียบอยู่โยกเยกไม่มั่นคง หรงเซิงเกรงว่ามันจะรับน้ำหนักเขาไม่ไหว หากเขาตกลงไปข้างล่างไม่รู้ว่าจะเจ็บมากเพียงใด ดังนั้นเพียงครู่เดียวเขาก็เหงื่อแตกเต็มตัว เหนื่อยยิ่งกว่าฝึกหมัดมวยมากนัก

“ชั้นพวกนั้นประเดี๋ยวต้องใช้ตากผักเหมือนกัน คุณหนูกำลังหั่นอยู่ แค่ช่วงเช้าก็หั่นได้เต็มชั้นนั่นแล้ว” พอคิดได้ว่ายังมีเนื้อกวางอีก ชิวจวี๋พูดต่อ “วันนี้ไม่ได้ตากแค่หัวไช้เท้าหั่น ยังต้องตากเนื้อด้วย”

พอคิดว่าจะได้กินเนื้อ ชิวจวี๋ก็ทำหน้าดีอกดีใจ

“นายหญิงใหญ่ก็ทำงานด้วยหรือ” หรงเซิงกะพริบตา คิดว่าตนเองฟังผิดไป “พวกเจ้าตากหัวไช้เท้ามากมายไปทำไม” ชั้นนั้นใหญ่เป็นพิเศษ จะตากให้เต็มต้องหั่นหัวไช้เท้ามากเท่าไร หรงเซิงแค่เห็นก็รู้สึกนับถือแล้ว

“คุณหนูร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราไม่อยากให้นางทำงานหรอก” ชิวจวี๋รับกระจาดเปล่าที่หรงเซิงส่งคืนมาพลางถอนหายใจอย่างที่ไม่ค่อยทำ “แต่ทุกคนยุ่งกันหมดและคุณหนูใช้มีดเก่งที่สุด หากเป็นข้ากับอาสี่เชวี่ย สองวันยังไม่แน่เลยว่าจะทำให้ชั้นนั้นเต็มได้ หน้าหนาวไม่มีผักกิน พวกเราต้องเอาหัวไช้เท้าพวกนั้นมาทำผักดอง ผักตากแห้งฝีมือคุณหนูอร่อยที่สุด!”

ชิวจวี๋เคาะกระจาดให้เศษผักหลุดออกมา พอเงยหน้าเห็นหรงเซิงมองไปข้างหลังอย่างตะลึง จึงหันไปมองบ้าง “ท่าน…ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วหรือ” เสิ่นจงชิ่งยืนอยู่หลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้

แม้รูปโฉมจะหล่อเหลาคมคาย แต่ชิวจวี๋กลับนึกกลัวท่านแม่ทัพผู้มีสีหน้าเยียบเย็น ทั่วร่างแผ่ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นออกมา

“ท่านแม่ทัพไปไหนแต่เช้าขอรับ” พอได้สติ หรงเซิงก็กระโดดลงจากบันได พลางเอ่ยถามขึ้น

“ที่นี่หรือ” ระหว่างพูด คนผ่าฟืนในชุดสีเทาแบกฟืนมัดใหญ่ก้าวเข้ามา “จะให้วางฟืนไว้ตรงไหน”

เสิ่นจงชิ่งหันไปมองชิวจวี๋

“ท่าน…ท่านแม่ทัพไปซื้อฟืนมาหรือขอรับ” หรงเซิงตะลึงงัน

“บ่าวจะไปตามคุณหนู” ครั้นได้สติและเห็นหน้าประตูยังมีคนขนฟืนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงของชิวจวี๋เจือแววยินดี มีฟืนมากมายเช่นนี้ อีกหน่อยนางก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปขนฟืนบนภูเขาแล้ว! มีเวลาเหลือพอไปเก็บเห็ดเพิ่มได้อีกรอบ

พอหันหลังก็ถูกเสิ่นจงชิ่งเรียกไว้ “ไม่ต้อง!” เขาไม่อยากให้เจินสือเหนียงเผชิญหน้ากับคนผ่าฟืนหยาบกระด้างพวกนี้ “เจ้าบอกพวกเขาว่าให้วางฟืนตรงไหนก็พอ แล้วให้หรงเซิงเป็นคนจัดการ” หันไปสั่งหรงเซิงว่า “คอยดูพวกเขาเก็บฟืนให้เรียบร้อยและจ่ายเงินซะ” พูดจบเสิ่นจงชิ่งก็เดินเข้าบ้านไป

เจินสือเหนียงนั่งหั่นหัวไช้เท้าอยู่บนพื้นครัว เพียงครู่เดียวก็หั่นได้กะละมังใหญ่

“ฤดูหนาวเจ้ากินหัวไช้เท้าพวกนี้หรือ” นางก้มหน้าหั่นอย่างตั้งใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงเยียบเย็นดังขึ้นข้างหลัง นางสะดุ้งจนเกือบหั่นถูกนิ้วตนเอง ก่อนจะเงยหน้าอย่างตกตะลึง เห็นเสิ่นจงชิ่งกำลังนิ่วหน้ามองนาง

ไฉนคนผู้นี้จึงเหมือนแมว เวลาเดินไม่มีเสียงสักนิด ช้าเร็วเขาต้องทำให้นางหัวใจวายแน่ๆ!

พอคิดว่าเช้านี้ตกใจเพราะเขาไปสองรอบแล้ว เจินสือเหนียงก็ก่นด่าเขาในใจ ก่อนจะวางมีดและลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว ข้าภรรยาจะไปตั้งโต๊ะ”

ร่างกายมีเลือดไม่เพียงพอ ทำให้ความดันโลหิตต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ปกติเวลาเจินสือเหนียงนั่งนานๆ จะต้องค่อยๆ ลุกขึ้น แต่วันนี้เสิ่นจงชิ่งทำนางตกใจ นางจึงลุกขึ้นกะทันหัน ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ

เห็นนางตัวเซ เสิ่นจงชิ่งจึงเข้าไปประคอง

เจินสือเหนียงศีรษะหนักอึ้ง คว้าหลักยึดสะเปะสะปะโดยไม่ทันคิดว่าเป็นอะไร วันนี้ทำงานตั้งแต่เช้าโดยไม่ได้กินข้าว เพียงครู่เดียวเหงื่อเย็นก็ซึมออกมาทั่วร่าง

“ร่างกายไม่ไหว งานพวกนี้ก็อย่าทำเลย” เสียงของเขานุ่มนวลอย่างหาได้ยากยิ่ง

“คุณหนู คุณหนู…” เจินสือเหนียงเพิ่งรู้สึกดีขึ้น เสียงตื่นเต้นยินดีของชิวจวี๋ก็ดังมาจากข้างนอก “ท่านแม่ทัพเหมาฟืนจากตลาดมาจนหมด!” แท่นวางฟืนตรงมุมด้านตะวันตกมีฟืนวางเต็ม แถมหลังบ้านยังมีฟืนอีกกอง พอให้พวกนางใช้ได้หนึ่งปี

ชิวจวี๋พูดพลางเงยหน้า เห็นเจินสือเหนียงซบอยู่บนอกของเสิ่นจงชิ่ง เสิ่นจงชิ่งกำลังลูบคางเขียวช้ำของนางเบาๆ ชิวจวี๋หน้าแดงทันใด “บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ!” นางหันหลังทันที

เด็กโง่เอ๊ย! ชิวจวี๋ทำเอาเจินสือเหนียงอยากหัวเราะ ระหว่างนั้นนางพลันได้สติและพบว่าตนเองอิงซบเสิ่นจงชิ่งอยู่อย่างสนิทสนม นางจึงรีบผละออกมา “ขออภัย ข้าภรรยามิได้ตั้งใจ”

เดิมเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว นางยืนไม่มั่นคง เขาประคองนางย่อมเป็นเรื่องปกติ ไฉนต้องตกใจถึงเพียงนี้

เห็นนางหลบเลี่ยงเขาเหมือนกระต่ายตื่นกลัว ดวงตาของเขาฉายความขุ่นขึ้ง ใบหน้าขรึมลงและหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ

เจินสือเหนียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พยายามปรับจังหวะหัวใจให้เป็นปกติและร้องบอกชิวจวี๋ “ยกกาน้ำบนเตาเข้าไปให้ท่านแม่ทัพ”

ชิวจวี๋ยิ้มร่าวิ่งเข้ามาขานรับ “เจ้าค่ะ!” แววตาที่มองเจินสือเหนียงทอประกายลิงโลด

เห็นสีหน้าทะเล้นของนางแล้ว เจินสือเหนียงค้อนปะหลับปะเหลือก ก่อนจะหันไปจัดเตรียมอาหาร

 

ชิวจวี๋เป็นเด็กเร่ร่อน ไม่เข้าใจระดับความเข้มงวดในตระกูลใหญ่เหมือนเช่นสี่เชวี่ย ที่นางกลัวเสิ่นจงชิ่งเป็นเพราะกลิ่นอายดุดันที่แผ่ออกมาจากตัวเขาล้วนๆ เช้านี้เห็นเขาซื้อฟืนกลับมามากมาย ชิวจวี๋จึงไม่รู้สึกกลัวเขาถึงเพียงนั้นอีก เขาก็เหมือนคุณหนูของนาง ภายนอกดูเย็นชาแต่แท้จริงแล้วมีน้ำใจ หลังเทน้ำร้อนให้เขาแล้ว นางจึงยืนอยู่ตรงกลางแอบมองแผ่นหลังสง่างามของเขา รู้สึกยิ่งมองยิ่งน่าดู คุณหนูของนางมีวาสนาโดยแท้ คิดแล้วจึงโพล่งออกไปว่า “คิดไม่ถึงว่าที่แท้ท่านเป็นถึงแม่ทัพที่โด่งดัง คุณหนูไม่เคยพูดถึงเลย บ่าวยังคิดว่า…”

แต่ไรมาเจินสือเหนียงกับสี่เชวี่ยไม่เคยพูดถึงพ่อของเหวินเกอ อู่เกอ สองปีมานี้ชิวจวี๋คิดมาตลอดว่าสามีของคุณหนูตายไปแล้ว พอคำพูดมาถึงปากจึงตระหนักว่าพูดอย่างนี้ไม่เป็นมงคล จึงรีบกลืนคำพูดกลับลงไป

เสิ่นจงชิ่งรู้สึกแต่แรกแล้วว่าข้างหลังมีคนจ้องอยู่ เขาเกลียดที่สุดคือสาวใช้ไม่ทำตามระเบียบ กำลังจะตะเพิดนางออกไป ได้ยินเช่นนี้จึงถามว่า “นายหญิงไม่เคยบอกหรือว่านางมีสามีแล้ว เจ้าคิดว่าอะไร”

คิดว่านางเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนหรือ

ไม่รู้เหตุใด คิดเช่นนี้แล้วภาพที่เจินสือเหนียงพูดคุยหัวเราะกับชายหนุ่มเมื่อเช้าจึงผุดขึ้นตรงหน้า โทสะที่เพิ่งคลายลงพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

จะเป็นไปได้อย่างไร ลูกโตขนาดนี้ บอกว่าไม่มีสามีใครจะเชื่อ ชิวจวี๋กำลังจะแย้ง คิดได้ว่าเจินสือเหนียงกำชับเป็นพิเศษไม่ให้พูดถึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ นางแลบลิ้นอย่างตกใจ ร้องในใจว่าอันตรายยิ่งนัก เกือบจะพลั้งปากไปแล้ว ถ้าพูดออกไปคุณหนูต้องถลกหนังนางออกมาแน่

“ว่าอย่างไร” เห็นนางไม่ตอบ เสิ่นจงชิ่งจึงหยุดวักน้ำและหันกลับมา

“บ่าวรู้แค่ว่าคุณหนูมีสามี แต่ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ยังคิดว่า…คิดว่า…” เสียงของชิวจวี๋เบาลงเรื่อยๆ นางแอบเหลือบมองสีหน้าของเสิ่นจงชิ่ง “สามีของคุณหนู…ตายไปแล้ว”

ครั้นรู้สึกว่าอุณหภูมิรอบด้านต่ำลง กลิ่นอายคุกคามที่ทำให้นางหวาดกลัวปะทะใบหน้า ชิวจวี๋จึงถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว กำลังจะวิ่งหนีกลับได้ยินเสิ่นจงชิ่งถามขึ้นว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร นายหญิงเป็นโรคเลือดพร่องตั้งแต่เมื่อไร และเป็นได้อย่างไร” เขาแปลกใจมาก ทั้งที่นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เหตุใดยังจะรับสาวใช้อีก

ที่บ้านมีคนกินข้าวน้อยลงหนึ่งคนย่อมใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น หลักการข้อนี้นางไม่เข้าใจหรือไร

“บ่าวเป็นเด็กเร่ร่อน สองปีก่อนหิวจนเป็นลมและได้คุณหนูช่วยชีวิตไว้ ด้วยทนการอ้อนวอนของบ่าวไม่ไหว คุณหนูจึงให้บ่าวอยู่ที่นี่” ระหว่างพูดได้ยินสี่เชวี่ยร้องเรียกอยู่ข้างนอก ชิวจวี๋ขานรับและหันหลังวิ่งออกไป

เสิ่นจงชิ่งค่อยๆ ยืดตัวขึ้น มองผ่านประตูไปยังเงาร่างเล็กบางที่ยุ่งง่วนอยู่ในห้องครัว นัยน์ตาฉายแววสงสัย

รับเลี้ยงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเพียงเพราะความสงสาร ทำให้ชีวิตที่ลำบากอยู่แล้วลำบากยิ่งขึ้น ที่แท้นางก็มีด้านที่ดีแบบนี้เหมือนกัน ไฉนที่ผ่านมาเขาไม่เคยตระหนักเลย

 

“ท่านแม่ทัพซื้อฟืนมามากมาย ข้าภรรยาใช้ปีหนึ่งก็ไม่หมด” เจินสือเหนียงตักโจ๊กเปล่าให้เสิ่นจงชิ่งและยื่นตะเกียบให้ ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามและยิ้มขอบคุณ

นางรู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนเลย ทั้งที่ผู้ชายคนนี้เพิ่งจะรังแกนาง สุดท้ายเห็นเขาซื้อฟืนกลับมา นางกลับเป็นฝ่ายเพิ่มไข่ผัดใบเซียงชุนให้เขาอีกจาน

ใช้ไม่หมดก็ดีกว่าให้พวกผู้ชายสกปรกมาช่วยนางขนฟืน!

พอคิดว่าเมื่อเช้าชายผู้นั้นบอกว่าจะมาช่วยนางขนฟืนสองสามวัน เสิ่นจงชิ่งก็หน้าบึ้งไม่พูดไม่จา หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบขนมเปี๊ยะทอดขึ้นกินคำใหญ่

ด้วยชินกับความเย็นชาเงียบงันของเขา เจินสือเหนียงจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าดื่มโจ๊ก

บรรยากาศในห้องเงียบกริบอย่างแปลกประหลาด

เสิ่นจงชิ่งเหลือบมองนาง เห็นรอยเขียวช้ำบนคางนางแล้วอดตำหนิตนเองไม่ได้ เมื่อเช้าเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่รู้สึกด้วยว่าตนเองออกแรง ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เอาไหนถึงเพียงนี้ บอบบางจนแตะต้องไม่ได้

เขาก้มหน้ากินข้าวอีกหลายคำและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เจินสือเหนียงยังคงดื่มโจ๊กคำเล็กๆ อย่างสุภาพอ่อนโยน แลดูเหมือนภาพวาดโบราณอันเงียบสงบ แต่รอยเขียวช้ำอันเด่นชัดนั้นทำลายความงามของภาพวาด เขารู้สึกร้อนตัว ปากขยับไปมา อยากถามนางว่าเจ็บหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปาก เห็นนางเงยหน้าขึ้นมาจึงยื่นชามเปล่าให้ “ขออีกชาม”

เจินสือเหนียงกุลีกุจอตักโจ๊กเปล่าให้เขา

เสิ่นจงชิ่งกวาดอาหารบนโต๊ะเหมือนพายุพัดผ่าน เจินสือเหนียงมองเนื้อกวางผัดที่เหลืออยู่เพียงจานเดียว คิดในใจว่า มิน่า แม้จะไม่มีเนื้อและน้ำมันเขาก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย ที่แท้เขาไม่กินเนื้อนี่เอง

ตั้งแต่ยกอาหารจานนี้ขึ้นมาบนโต๊ะ เขาไม่แตะต้องเนื้อกวางผัดสักคำ

หลังกินข้าวเสร็จ เสิ่นจงชิ่งสั่งให้หรงเซิงเตรียมรถม้า เห็นเขาไม่คิดจะอยู่ต่อ เจินสือเหนียงปล่อยลมหายใจยาวๆ และไปส่งเขาด้วยตนเองถึงข้างนอก

เสิ่นจงชิ่งมองร่างแบบบางของนางแล้วเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ อยากให้เงินนางไว้ซื้อของบำรุง แต่คิดดูแล้ว หากให้เงิน นางได้รับผลประโยชน์จากเขา พอโรคหายแล้วไม่ยอมตกลงหย่าขาดจะยุ่งยาก คิดได้ดังนั้นเขาจึงหดมือกลับ

เจินสือเหนียงมองส่งรถม้าของเสิ่นจงชิ่งจากไป จากนั้นนางก็หันหลัง สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ยิ้มร่ามองนาง ไม่ต้องถามเจินสือเหนียงก็รู้ว่าพวกนางคิดอะไรอยู่

นางปิดประตูและตรงเข้าบ้าน “พวกเจ้าไม่ต้องดีใจ เขามาครั้งนี้เดิมทีตั้งใจจะจัดการข้า” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงขมวดคิ้ว นางนึกถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่ง นางกับเขาได้รับสมรสพระราชทาน เขาหย่านางไม่ได้

เช่นนั้นหากเขาอยากแต่งภรรยาเอกคนใหม่จะจัดการกับนางอย่างไร

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” ชิวจวี๋ร้องขึ้นเป็นคนแรก “ท่านแม่ทัพดีกับคุณหนูขนาดนี้!” ก่อนหน้านี้นางทะเล่อทะล่าเข้าไปในบ้าน เห็นเต็มตาว่าตอนเขากอดคุณหนู ดวงตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ร่างกายปราศจากกลิ่นอายคุกคาม

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยร้องเรียกอย่างไม่สบายใจขณะยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

เจินสือเหนียงเดินเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง

นานทีเดียวทั้งสองจึงได้สติและก้าวตามเข้าไปในบ้าน “เมื่อเช้าท่านแม่ทัพพูดอะไรกับท่านเจ้าคะ” พอเข้าบ้านสี่เชวี่ยก็ถามอย่างร้อนใจทันที

ถึงอย่างไรก็อายุมากกว่าหลายปี ทั้งยังรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งเกลียดแค้นเจินสือเหนียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สี่เชวี่ยจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนชิวจวี๋และถูกซื้อใจเพียงเพราะฟืนไม่กี่มัดจนคิดว่าเขาเป็นคนที่ดูเย็นชาแต่ภายนอก

“เขาไม่ได้พูดอะไร” เจินสือเหนียงมองสี่เชวี่ย “เจ้าลองคิดดูเถอะ คราวก่อนพอเข้ามาในบ้านก็ตกใจหนีไปเพราะข้า หากไม่มีธุระอะไร เขายังจะกลับมาอีกหรือ” นางส่ายหน้า “เป็นเพราะข้าขวางทางเขาอยู่น่ะสิ” น้ำเสียงนางเจือแววทอดถอนใจจางๆ

“เขาคิดจะแต่งงานใหม่?!” สี่เชวี่ยคิดถึงข่าวลือที่ได้ยินข้างนอกทันที แม้แต่องค์หญิงหกในวังยังพึงใจเสิ่นจงชิ่ง ขุนนางและชนชั้นสูงมากมายอยากยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเขา สี่เชวี่ยเสียงสั่นเล็กน้อย “คุณหนูพูดถูก เจ็ดปีก่อนเขายังไม่คู่ควรจะแต่งกับท่านด้วยซ้ำ บัดนี้ฐานะเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว ย่อมไม่ห่วงอะไรอีก ก็ต้อง…” ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีเหตุผล สี่เชวี่ยหน้าซีดเล็กน้อย นางหยุดชะงัก ไม่กล้าพูดต่อ

เจินสือเหนียงไม่ตอบอะไร นานทีเดียวจึงเงยหน้าถามสี่เชวี่ย “เขาบอกว่าการแต่งงานระหว่างข้ากับเขาเป็นสมรสพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ เขาเป็นฝ่ายหย่าข้าไม่ได้ เป็นความจริงหรือ”

“จริงเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยพยักหน้า “การแต่งงานระหว่างคุณหนูกับเขาเกิดขึ้นเพราะนายท่านทูลขออดีตฮ่องเต้ให้พระราชทานสมรส พิธีแต่งงานยังได้เจิ้นกั๋วกง*ซึ่งเป็นที่โปรดปราดอย่างสูงในยามนั้นให้เกียรติเป็นผู้จัดการ เรื่องนี้โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง” ดวงตาสี่เชวี่ยฉายความหม่นหมอง แม้แต่เรื่องพวกนี้คุณหนูของนางก็จำไม่ได้

เจินสือเหนียงใบหน้าหมองลง พึมพำกับตนเองว่า “หย่าข้าไม่ได้ เขาจะจัดการข้าอย่างไร” ฉับพลันในใจบังเกิดความหวาดหวั่นไม่สิ้นสุด เขาจะฆ่าข้า! เขาเป็นแม่ทัพที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ

“ตกลงหย่าขาด!” เวลาเดียวกัน สี่เชวี่ยอุทานอย่างตกใจ “หรือว่าเขามาเจรจาเรื่องตกลงหย่าขาดกับคุณหนู” นางสงสัย “ทำไมท่านแม่ทัพจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ล่ะ”

“ตกลงหย่าขาด?” เจินสือเหนียงทวนคำซ้ำและเงยหน้าทันใด “สมัยนี้…เจ้าบอกว่าพวกเราตกลงหย่าขาดกันได้หรือ” น้ำเสียงเจือแววยินดีอย่างที่น้อยครั้งจะพบเห็น

วิชาประวัติศาสตร์ของนางไม่ได้เรื่อง ในความทรงจำของนาง ภรรยาในสมัยโบราณไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง โชคชะตาล้วนขึ้นอยู่กับสามี หากสามีเบื่อและทอดทิ้ง ได้รับหนังสือหย่าแล้วต้องออกจากบ้านตัวเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคำว่า ‘ตกลงหย่าขาด’ คงจะเหมือนการหย่าร้างในชาติก่อนกระมัง นางคิดอย่างลิงโลดใจ ไม่ว่าอย่างไร ไม่ต้องตายย่อมดีที่สุด!

“เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียงอย่างตกตะลึง “แม้แต่เรื่องนี้คุณหนูก็ไม่ทราบหรือ”

“เช่นนั้นข้าเรียกร้องค่าชดเชยจากเขาได้หรือไม่” เจินสือเหนียงขอคำชี้แนะอย่างร้อนตัว

“ไม่ได้เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “ต่อให้ตกลงหย่าขาดด้วยความยินยอมของสองฝ่าย คุณหนูก็แค่รักษาหน้าเอาไว้ได้ยามกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมเท่านั้น นอกจากสินเจ้าสาวแล้ว ท่านไม่อาจเอาอะไรไปได้เลย”

เพียงแต่ครอบครัวคุณหนูตายหมดแล้ว คุณหนูของนางยังจะเอาหน้าตาไปทำไมอีก

ครั้นคิดว่าหากตกลงหย่าขาด พวกนางแม่ลูกก็จะไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้อยู่อาศัย สี่เชวี่ยก็พลันหน้าซีดเหมือนกระดาษ พยายามเม้มปากไม่ให้ความเศร้าโศกฉายบนใบหน้า

“หากข้าไม่ยอมลงชื่อในหนังสือตกลงหย่าล่ะ” เจินสือเหนียงคิดถึงการฟ้องหย่าในชาติก่อน หากยืนกรานไม่ยอมลงชื่อ บางครั้งอาจเรียกร้องทรัพย์สินได้มากยิ่งขึ้น

พูดไปแบบนี้ก็จริง แต่กระทั่งตัวนางเองก็ไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะได้ผล ทว่าสี่เชวี่ยกลับตาเป็นประกาย “ท่านแม่ทัพคิดจะแต่งกับคนที่มีฐานะสูงส่ง จะต้องร้อนใจมากเป็นแน่ คุณหนูอาศัยโอกาสนี้ขอบ้านบรรพบุรุษกับเขาได้!” อย่างน้อยก็ยังได้ที่พักพิง

“อืม ข้าก็คิดแบบนี้” เจินสือเหนียงพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ในใจกลับรู้สึกขมขื่น นี่ไม่ใช่ชาติก่อนที่รณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของบุคคล เขาเป็นแม่ทัพผู้สูงส่ง ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ไหนเลยจะมีสิทธิ์ยื่นเงื่อนไขกับเขา เกรงว่าเขาจะฆ่าข้าโดยไม่กะพริบตาสักครั้งด้วยซ้ำ

เจินสือเหนียงยิ้มขื่นในใจ เห็นสี่เชวี่ยหน้าซีดเผือดก็ดึงมือนางเข้ามาใกล้ “เจ้าเห็นแล้วนี่ หลายปีมานี้ไม่มีเขา พวกเราก็อยู่ได้ อีกหน่อยไม่มีเขา พวกเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างดีเช่นกัน” นางยิ้มบางๆ “ความจริงข้ารอที่จะได้ไปจากเขานานแล้ว” หากโยนความหวาดกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนออกไป นี่นับเป็นความจริงจากใจของเจินสือเหนียง

นางไม่กลัวชีวิตพเนจร สามารถเร่ร่อนไปตามท้องถนนได้ แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยังเด็กเกินไป

ถูกสามีหย่าและไล่ออกจากบ้านจะเทียบกับการถูกทอดทิ้งให้อยู่ในบ้านบรรพบุรุษได้อย่างไร!

สี่เชวี่ยเห็นเจินสือเหนียงยังยิ้มอย่างสบายใจนางรู้สึกเสียใจยิ่ง เพียงแต่นางเองก็รู้ว่าเรื่องนี้พวกนางไม่มีทางเลือก สี่เชวี่ยกัดฟันแน่น ฝืนยิ้มออกมา “จริงอย่างที่คุณหนูว่า อย่างน้อยอีกหน่อยพวกเราก็ไม่ต้องแอบขายยาแบบลับๆ” นางกะพริบตาแรงๆ บังคับให้น้ำอุ่นๆ ที่ผุดขึ้นในดวงตาหายกลับเข้าไป “พรุ่งนี้บ่าวจะให้ฉางเหอออกไปหาดูว่าแถวนี้มีบ้านเช่าราคาถูกหรือไม่”

“ไม่ต้องดีมากนัก คนอยู่ได้ก็พอ” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ทางที่ดีสามารถ…”

กำลังพูด นอกบ้านพลันเกิดเสียงโหวกเหวก ตามด้วยเสียงเคาะประตูปึงปัง

ทั้งสามหน้าถอดสี เงียบเสียงลงทันใด

“มีคนอยู่บ้านหรือเปล่า” หลังเสียงเคาะประตู เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างนอก “ผู้น้อยรับคำสั่งจากคุณชายหรงเซิงเอาของมาส่งขอรับ”

เอาของมาส่ง? สามคนในบ้านมองหน้ากันไปมา

ชิวจวี๋กระโดดผลุงขึ้นทันที “บ่าวไปดูเองเจ้าค่ะ!”

“เจ้าระวังหน่อย ดูให้แน่ชัดแล้วค่อยเปิดประตู” เจินสือเหนียงจับขอบเตียงเตาพลางลุกขึ้นยืน

เอ้อร์จู้คนงานร้านอาหารแห้งเข็นข้าวสารสามสี่กระสอบ รวมถึงน้ำมันถังใหญ่รออยู่หน้าประตู เนื่องจากไปซื้อของบ่อย ชิวจวี๋จึงรู้จักเขาและรีบเปิดประตูให้ “พี่เอ้อร์จู้มาทำอะไร”

“คุณชายหรงท่านหนึ่งซื้อข้าวสารกับน้ำมันและให้ผู้น้อยส่งมาที่นี่” เอ้อร์จู้ระบายยิ้มเต็มหน้า “บอกว่าหากพูดถึงหรงเซิง ท่านย่อมรู้จัก”

“เป็นท่านแม่ทัพ” ชิวจวี๋หันไปมองเจินสือเหนียงที่เดินตามออกมา

“เข็นเข้ามาเถอะ” นางออกคำสั่ง

 

เพิ่งจะส่งเอ้อร์จู้กลับไปได้ไม่นานก็มีคนงานร้านขายเนื้อเอาเนื้อหมูยี่สิบชั่งมาส่ง จากนั้นคนงานร้านแพรพรรณส่งฟูกและเครื่องนอนใหม่เอี่ยมมาอีกหลายชุด ที่ทำให้เจินสือเหนียงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีคือภรรยาหลี่ฉีจากร้านยารุ่ยเสียงนำเออเจียวสองชั่งมาส่งให้ด้วยตนเอง “คุณชายหรงเป็นคนสั่งและให้นำมาส่งให้เจ้า”

เห็นแววสงสัยในดวงตาของภรรยาหลี่ฉีแล้ว เจินสือเหนียงอธิบายกลบเกลื่อนไปว่า “ปีก่อนข้าบังเอิญช่วยชีวิตอนุสุดที่รักของท่านแม่ทัพไว้ เขาคงอยากตอบแทนกระมัง” นางพูดต่อ “ท่านแม่ทัพได้ยินว่าข้าแซ่เจี่ยน ยังถามว่าใช่หมอเจี่ยนที่ผลิตเออเจียวหรือเปล่า เขาจะช่วยติดต่อสำนักแพทย์หลวงเพื่อส่งเออเจียวไปขาย”

ภรรยาหลี่ฉีหน้าเครียดขึ้นทันที “อาโยวรับปากหรือไม่”

เจินสือเหนียงหัวเราะ “หากรับปากเขายังจะให้เจ้าส่งเออเจียวมาที่นี่อีกหรือ” นางทำหน้าจริงจัง “ข้าร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าหากสำนักแพทย์หลวงต้องการของแล้วจะผลิตไม่ทัน จึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวและโกหกไปว่าเออเจียวนั่นไม่ใช่ฝีมือข้า” นางมองภรรยาหลี่ฉีเงียบๆ

ภรรยาหลี่ฉีปาดเหงื่อ “อาโยววางใจได้ ข้าไม่มีทางเปิดเผยฐานะของเจ้าแน่”

น่าขัน ขืนให้นางส่งสินค้าไปที่สำนักแพทย์หลวง กิจการร้านยารุ่ยเสียงต้องซบเซาแน่ เพราะชื่อเสียงโด่งดังของเออเจียวสกุลเจี่ยน ร้านยาของนางถึงได้รุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้

ต้นไม้เงินต้นไม้ทองต้นนี้ นางต้องกอดไว้ให้แน่น คิดได้เช่นนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงยิ่งปั้นหน้าเอาอกเอาใจ

เจินสือเหนียงเห็นแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลังส่งภรรยาหลี่ฉีกลับไป นายบ่าวสามคนมองข้าวของเต็มบ้านและมองหน้ากัน

สี่เชวี่ยทำหน้าฉงน “จะตกลงหย่าอยู่แล้ว เหตุใดท่านแม่ทัพต้องส่งของพวกนี้มาให้ด้วย” ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเปล่าๆ

“ไม่รู้สิ” เจินสือเหนียงเยาะหยันตนเอง “คงอยากติดสินบนข้าเพื่อให้ข้ายอมตกลงหย่ากับเขาง่ายๆ กระมัง” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เขาทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ข้าออกไปปรากฏตัวข้างนอกอีก ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและเผด็จการขั้นสูงสุด!

เมื่อเช้านางเพิ่งบอกว่าหากนางไม่คบค้าสมาคมกับผู้อื่น ฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือเหล่านั้นย่อมมิอาจร่วงลงมาจากท้องฟ้าได้เอง เขาก็รีบส่งเสบียงอาหารมาให้ จุดประสงค์ของเขาช่างชัดเจนอย่างยิ่ง

“คุณหนูไม่เคยพูดอะไรจริงจังสักที” สี่เชวี่ยส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ

“เขาส่งมาให้พวกเราก็กิน!” เจินสือเหนียงเอ่ยอย่างสุขุมมั่นคง ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นภรรยาในนามของเขา เขามาพักที่นี่หนึ่งคืน นางปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น

สี่เชวี่ยถอนหายใจอีกครั้ง หากเจินสือเหนียงไม่เตือนนางก่อน เห็นของพวกนี้นางย่อมดีใจ แต่นางในตอนนี้ย่อมไม่คิดเข้าข้างตนเองว่าเสิ่นจงชิ่งเปลี่ยนใจ อยากจะทำดีกับคุณหนูของนาง ความคิดของคนเข้าใจยากมากขึ้นทุกที นางส่ายหน้าแรงๆ ในใจคล้ายมีเมฆหมอกปกคลุม

 

ฉู่ซินอี๋เอนกายอยู่บนตั่งคนงามด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ข้างตั่งเป็นโถหยกขาวมันแพะใบเล็กที่เปล่งประกายแวววาว ภายในบรรจุแป้งไข่มุกที่ฝนจากไข่มุกตะวันออกอย่างดี ชุนหงกำลังใช้ด้ามหยกสีเขียวรูปร่างคล้ายลูกกลิ้งคุกเข่าอยู่ข้างตั่งคนงามพลางนวดพวงแก้มทั้งสองของนาง เอ่ยเสียงค่อยว่า “คุณชายสามเพิ่งส่งข่าวมาว่าเมื่อวานท่านแม่ทัพไปเมืองอู๋ถง”

คุณชายสามเป็นญาติผู้น้องลำดับที่สามของฉู่ซินอี๋ มีนามว่าหยางเทา เดิมทีเป็นคนไม่มีการงานเป็นหลักแหล่ง ภายหลังฉู่ซินอี๋ได้ดิบได้ดีจึงเข้ามาพึ่งบารมี รับหน้าที่สืบเรื่องต่างๆ นอกจวนแม่ทัพโดยเฉพาะ

“ไปเมืองอู๋ถง?” ฉู่ซินอี๋เบิกตาโดยพลัน จากนั้นดวงตาเปล่งประกายระยับ

ในที่สุดเขาก็ไปจัดการเจินสือเหนียงแล้ว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกทอดทิ้งมาห้าปี เจินสือเหนียงจะยอมปล่อยมือโดยง่ายหรือไม่

คิดถึงตรงนี้นางก็ผลักชุนหงหนึ่งที “เจ้าไปดูซิว่าท่านแม่ทัพกลับมาหรือยัง แล้วไปที่เรือนหลังใด”

“เจ้าค่ะ” ชุนหงรับคำ พอลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงใสกังวานของสาวใช้ข้างนอก “คารวะท่านแม่ทัพ!”

เขากลับมาแล้ว! ฉู่ซินอี๋สะดุ้ง “เร็วเข้า รีบเก็บของพวกนี้”

นางสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว พอชุนหงเก็บของบนตั่งคนงามเรียบร้อย ฉู่ซินอี๋ก็นั่งอยู่ริมเตียงทำงานเย็บปัก

ด้วยถือกำเนิดจากตระกูลชาวบ้าน แต่ไรมาเสิ่นจงชิ่งจึงไม่ชอบความหรูหราฟุ้งเฟ้อ กับรายละเอียดเหล่านี้ฉู่ซินอี๋ไม่กล้าละเลย อย่างน้อยก่อนที่นางจะได้เป็นภรรยาเอกของเขา นางจะทำให้เขาไม่สบายใจไม่ได้เด็ดขาด หาไม่ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของนาง อี๋เหนียงสี่ผู้นั้นไม่มีทางได้อยู่มาจนถึงวันนี้หรอก

“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วหรือ” เห็นเสิ่นจงชิ่งผลักประตูเข้ามา ฉู่ซินอี๋วางงานเย็บปักในมือและเข้าไปต้อนรับ สายตาหยุดอยู่บนห่อกระดาษในมือเขา ถามว่า “นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ”

“เออเจียวสกุลเจี่ยน” เสิ่นจงชิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ “แบ่งส่วนหนึ่งออกมาแล้วให้คนนำไปส่งที่จวนราชมนตรี” ระหว่างทางกลับได้ยินว่าหมอจงมิอาจรักษาโรคให้มารดาของเซียวอวี้ได้ เสิ่นจงชิ่งเป็นห่วงเขามาก จึงคิดแบ่งเออเจียวนี้ให้มารดาเขา

“ผู้น้อยอนุภรรยาจะส่งคนไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ฉู่ซินอี๋รับคำ “ผู้น้อยอนุภรรยาได้ยินว่าหมอเจี่ยนผู้นี้รักษาโรคที่หมอทั่วไปรักษาไม่หายโดยเฉพาะ น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น แต่กลับรักษาโรคได้หายขาด เป็นบุคคลสูงส่งที่เร้นกายอยู่อย่างสันโดษโดยแท้ ไยท่านแม่ทัพจึงไม่ลองแนะนำให้ราชมนตรีเซียวดู” หากเซียวอวี้สามารถเชิญท่านหมอเจี่ยนผู้นั้นมาที่เมืองหลวงได้ นางจะได้ถือโอกาสไปรักษาด้วย

ได้ยินว่าหมอเจี่ยนเป็นยอดฝีมือด้านการรักษาโรคไม่มีบุตร

เสิ่นจงชิ่งบังเกิดความคิด โบราณว่าเป็นโรคย่อมต้องเสาะหาหมอรักษาไปทั่ว วิธีนี้น่าทดลองดู แต่แล้วก็ฉุกคิดถึงคำพูดของเซียวอวี้ ครึ่งปีมานี้มีคนแนะนำ ‘หมอเทวดา’ ให้ข้าไม่ต่ำกว่าสิบคน สุดท้ายกลับไม่ได้เรื่องสักคน ทำเอาอารมณ์ของท่านแม่ฉุนเฉียวขึ้นทุกทีและไม่ยอมให้ข้าหาหมอเถื่อนมารักษานางอีก เขาถอนหายใจ เรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ไว้วันใดข้าไปพบท่านหมอเจี่ยนผู้นี้ด้วยตนเองแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกที

เห็นเสิ่นจงชิ่งไม่ตอบอะไร ฉู่ซินอี๋กลอกตาไปมา กำลังจะพูด ชุนหลันก็ชงชาเถี่ยกวนอินกาหนึ่งเดินเข้ามา

ฉู่ซินอี๋รับมาและรินชาให้เขาด้วยตนเอง แต่ไม่ได้นั่งลง เปิดห่อกระดาษและหยิบเออเจียวออกมาหนึ่งชิ้นส่องดูกับแสงแดดพักใหญ่ “นี่แหละสีอำพันที่ได้มาตรฐาน” นางใช้นิ้วเคาะดู “ประกายแบบนี้ ความแข็งระดับนี้ เนื้อแบบนี้จัดว่าดีกว่าของสำนักแพทย์หลวงเป็นสิบเท่า เออเจียวเมืองอู๋ถงช่างดีสมคำเล่าลือจริงๆ” นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยความยินดี “ผู้น้อยอนุภรรยาขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”

เสิ่นจงชิ่งยิ้มและรับน้ำชามาดื่ม

“ท่านแม่ทัพไปเมืองอู๋ถง ได้ไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ที่บ้านบรรพบุรุษหรือไม่” นางวางเออเจียวให้ชุนหงเอาไปเก็บและนั่งลงตรงข้ามเสิ่นจงชิ่ง “นายหญิงใหญ่…สบายดีหรือไม่” นางใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าเขา

“อืม” เสิ่นจงชิ่งเพียงแต่ตอบรับโดยไม่พูดอะไรและก้มหน้าจิบน้ำชาต่อ

ฉู่ซินอี๋หัวใจเต้นตึกตัก รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเขาพูดต่อ นางฝืนข่มความยินดีในใจและเผยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “วันนี้พี่ใหญ่ยังบ่นถึงอยู่เลย ถูกท่านทอดทิ้งมาห้าปี ไม่รู้นายหญิงใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คิดว่าคงสำรวมขึ้นบ้างแล้วกระมัง” นางถอนใจเบาๆ ราวกับเจินสือเหนียงเป็นคนใกล้ชิดที่นางคิดถึงและเสาะหามาสิบกว่าปี

คิดถึงความสงบเยือกเย็นและสีหน้าสุภาพอ่อนโยนของเจินสือเหนียงแล้วแววตาของเสิ่นจงชิ่งก็นุ่มนวลขึ้นหลายส่วน นางนิ่งถึงเพียงนั้น นิ่งราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน เขาแค่นั่งข้างๆ นางโดยไม่ต้องพูดอะไรก็รู้สึกสงบ ความสงบนั้นแผ่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนหลังจากต้องเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบมานานปี

“ท่านแม่ทัพ!” เห็นแววอ่อนโยนในตาเขาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ฉู่ซินอี๋ก็สั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ เสียงที่เปล่งออกมาสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางตกใจเมื่อได้ยินเสียงตนเอง รีบหุบปากทันใด

ครั้นได้สติและพบว่าตนเองอาลัยความสงบอันเป็นธรรมชาติที่แผ่ออกมาจากตัวนาง เสิ่นจงชิ่งตระหนก ปลอบใจตนเองว่า ความสำเร็จของแม่ทัพตั้งอยู่บนกองกระดูก อาจเพราะหลายปีมานี้เข่นฆ่าสังหารมากเกินไป ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอาวุธและคาวเลือดจนชิน จิตใจจึงยากจะสงบ เขาเหลือบตาขึ้นมองฉู่ซินอี๋ “อี๋เอ๋อร์เป็นอะไรไป”

“นายหญิงใหญ่สบายดีหรือไม่” ฉู่ซินอี๋ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลดังเดิม

“เป็นโรคเลือดพร่อง ชีวิตลำบากมาก” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ คิดอะไรได้จึงถามว่า “ห้าปีมานี้นางเคยมาขอเบี้ยเลี้ยงที่จวนบ้างหรือไม่” ตอนนั้นที่ไล่นางออกไป เขาจำไม่ได้ว่างดเบี้ยเลี้ยงนาง

ดวงตาฉู่ซินอี๋ฉายแววลนลานก่อนจะส่ายหน้า “ตั้งแต่นายหญิงใหญ่ย้ายไปอยู่บ้านบรรพบุรุษก็ไม่เคยกลับมาอีก” นางอธิบาย “ผู้น้อยอนุภรรยาคิดว่านางมีสินเจ้าสาวอยู่หลายพันตำลึง ไม่ขาดแคลนเงินทอง ประกอบกับบ้านบรรพบุรุษอยู่ไกลจากที่นี่มาก ท่านแม่ทัพเองก็กำชับผู้น้อยอนุภรรยาว่าไม่ให้ไปพบนาง ผู้น้อยอนุภรรยาจึงลืมเรื่องนี้ไป”

นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เป็นเพราะผู้น้อยอนุภรรยาสะเพร่าเอง นายหญิงใหญ่ตำหนิผู้น้อยอนุภรรยาว่างดเบี้ยเลี้ยงนางหรือไม่” ฉู่ซินอี๋ลุกขึ้น “ผู้น้อยอนุภรรยาจะให้คนไปคิดเบี้ยเลี้ยงหลายปีมานี้ของนางและส่งไปให้ครบจำนวนเจ้าค่ะ”

“ช่างเถอะ” เสิ่นจงชิ่งโบกมือ “นางไม่ได้พูดอะไร ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดชีวิตนางจึงเป็นเช่นนั้น” ทั้งที่ยังเป็นภรรยาของเขา ชีวิตยากลำบากเช่นนั้นกลับไม่เอ่ยปากขอเงินกับเขา นี่ไม่เหมือนนิสัยนางเลย “เรื่องนี้จะโทษอี๋เอ๋อร์ไม่ได้ หลายปีมานี้ข้าเองก็คิดว่านางมีสินเจ้าสาวอยู่ในมือหลายพันตำลึง น่าจะไม่ขาดแคลน”

จวนจ้วงหยวนในอดีตไม่มีทรัพย์สินมากมายเช่นวันนี้ พอนางขนสินเจ้าสาวไป จวนจ้วงหยวนก็แทบถูกขุดทรัพย์สินออกไปหมด เขาเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์

แต่นั่นเป็นสินเจ้าสาวของนาง ยากจนแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางแตะต้องเด็ดขาด

ฟังออกว่าวาจาของเสิ่นจงชิ่งกล่าวมาจากใจจริง หัวใจที่เต้นรัวของฉู่ซินอี๋จึงสงบลง “นายหญิงใหญ่สุขสบายดีหรือไม่” ใบหน้านางเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ในใจกลับแอบยินดี นางหิวตายยิ่งดี!

“ที่บ้านไม่มีแม้กระทั่งผ้านวมดีๆ สักผืน” เสิ่นจงชิ่งถอนใจอีกครั้ง

…แสดงว่าเขาเกิดความสงสาร ไปครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องตกลงหย่าเลย?! ฉู่ซินอี๋แอบกัดฟัน

ว่ากันว่าบุรุษต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดย่อมมีด้านที่อ่อนโยน อย่าเห็นว่าเสิ่นจงชิ่งภายนอกดูแข็งแกร่ง ความจริงแล้วในใจกลับอ่อนโยนยิ่ง นางจับจุดข้อนี้ได้ถึงสามารถเรียกลมเรียกฝนในจวนแม่ทัพ แผนบีบน้ำตาทำท่าน่าสงสารของเจินสือเหนียงหลอกเสิ่นจงชิ่งได้ แต่จะตบตานางฉู่ซินอี๋ได้อย่างไร!

คิดถึงตรงนี้ฉู่ซินอี๋นึกเสียใจที่ตนเองวู่วาม บีบให้เสิ่นจงชิ่งไปพบเจินสือเหนียงเพื่อเจรจาเรื่องการตกลงหย่า หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ข้าออกหน้าเองก็คงดี

แม้ในใจนึกเสียใจ แต่นางกลับแสร้งทอดถอนใจออกมา “หรือว่านายท่านจะรับนางกลับมา เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว คิดว่านางคงสำนึกผิดนานแล้วล่ะ” หลังกล่าวจบเห็นเสิ่นจงชิ่งไม่พูดอะไร หัวใจนางพลันกระตุก เขาคงไม่คิดจะรับนางกลับมาจริงๆ หรอกกระมัง ท่ามกลางความว้าวุ่น นางจึงพูดหยั่งเชิงโดยไม่ทันคิด “ในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ผู้น้อยอนุภรรยาแต่งเข้ามาช้าที่สุด การจัดการธุระในจวนถึงอย่างไรก็ไม่สมควร หากนายหญิงใหญ่กลับมาย่อมสามารถรับหน้าที่นี้ไปได้”

กำลังจะตกลงหย่า เขาจะรับเจินสือเหนียงกลับมาจัดการธุระในจวนแม่ทัพได้อย่างไร! แม้เขาจะไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ข้อนี้ฉู่ซินอี๋รู้ดีกว่าใคร นางไม่ได้รู้สึกเห็นใจ คำพูดนี้ของนางแฝงจุดประสงค์อื่น

เสิ่นจงชิ่งทำศึกอยู่ข้างนอกนานปี ความคิดจิตใจจึงไม่เคยอยู่กับผู้หญิง น้อยครั้งที่เขาจะยุ่งเรื่องภายในบ้าน ยิ่งไม่มีความอดทนที่จะใส่ใจเรื่องการแก่งแย่งชิงดีของบรรดาผู้หญิงในบ้าน แต่เขาหาใช่คนโง่ หาไม่จะได้เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรตั้งแต่อายุน้อยๆ ได้อย่างไร

เขาเงยหน้าจากถ้วยน้ำชามองฉู่ซินอี๋นิ่งๆ

“ท่านแม่ทัพ…” เป็นครั้งแรกที่เสิ่นจงชิ่งมองนางด้วยสายตาแบบนี้ ฉู่ซินอี๋รู้สึกขนลุก นางเรียกเขาเสียงหวาน

พอได้สติ เสิ่นจงชิ่งยกกาน้ำชารินน้ำชาให้ตนเองและจิบหลายคำ “คำพูดนี้อีกหน่อยอี๋เอ๋อร์อย่าพูดอีกเลย ข้าไม่มีทางให้นางดูแลจัดการธุระในจวนแน่” พอสีหน้าของฉู่ซินอี๋ผ่อนคลายลง เสิ่นจงชิ่งก็เปลี่ยนเรื่อง “หลายปีมานี้ข้าทำศึกอยู่ข้างนอก อี๋เอ๋อร์เองก็ลำบากแล้ว ตอนแรกที่ยกให้เจ้าเป็นคนจัดการธุระในจวน ข้าไม่ได้คิดในมุมของเจ้าเลย หากรู้สึกเหนื่อยจริงๆ…” น้ำเสียงเขาลังเลเล็กน้อย “ให้เฟิงเอ๋อร์เข้ามาช่วยแล้วกัน ในบรรดาพวกเจ้าห้าคนนางมีศักดิ์สูงสุด ทั้งยังเป็นแม่แท้ๆ ของเสียนเจี่ย มีนางคอยช่วยย่อมไม่มีใครว่าร้ายเจ้าอีก เจ้าเองก็จะได้มีเวลาอยู่กับข้ามากขึ้น”

เสียนเจี่ยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเสิ่นจงชิ่ง กำเนิดจากอี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิง นามว่าเสิ่นจงเสียน

อะไรนะ ให้อี๋เหนียงใหญ่คอยช่วย?

ฉู่ซินอี๋คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ นิ้วมือที่กำแน่นจิกเข้าไปในเนื้อ แต่นี่กลับเป็นข้อเสนอของนางเอง

“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้อง ผู้น้อยอนุภรรยาอยากให้พี่ใหญ่มาช่วยนานแล้ว แต่ท่านแม่ทัพอาจลืมไปว่าปีก่อนตอนผู้น้อยอนุภรรยาป่วย พี่ใหญ่เข้ามาดูแลจัดการธุระในจวนอยู่ครึ่งปีก็อ้างว่าต้องซื้อของและยักยอกเงินไปห้าร้อยกว่าตำลึง…”

สองปีก่อนเนื่องจากถูกอนุคนอื่นๆ รังเกียจกีดกัน ฉู่ซินอี๋จึงตัดสินใจอ้างว่าป่วยและทิ้งหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนเอง เดิมทีคิดจะขู่ทุกคน คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะถือโอกาสนี้ให้อี๋เหนียงใหญ่หยางเฟิงรับหน้าที่จัดการธุระภายในบ้าน เดิมทีหยางเฟิงเป็นคนฉลาด จนใจที่ฉู่ซินอี๋จัดการธุระในจวนมานานปี คนในจวนทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง คอยขัดขวางทุกทางไม่พอ ฉู่ซินอี๋ยังให้คนไปยุยงหยางเฟิงให้ทุจริต

ปกติได้ยินข่าวลือว่าฉู่ซินอี๋แอบกินเงินส่วนกลาง ทั้งยังโยกย้ายเงินส่วนกลางแอบนำไปปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยสูงข้างนอก ฟังความคิดนี้แล้ว อี๋เหนียงใหญ่เกิดความสนใจ แรกเริ่มทุจริตแค่ไม่กี่สิบตำลึง ทั้งหมดล้วนเอาไปใช้กับฮูหยินผู้เฒ่า นานวันเข้าเห็นไม่มีผู้ใดตรวจสอบจึงกล้ามากขึ้น สุดท้ายจึงตกลงไปในหลุมพรางของฉู่ซินอี๋

เรื่องนี้เสิ่นจงชิ่งเองก็รู้ ตอนนั้นเห็นว่านางเอาเงินที่ทุจริตได้ไปใช้กับท่านแม่ทั้งหมด ทั้งนางยังเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของลูกสาวคนเดียวของเขา จึงไม่ถือสาหาความ เพียงแต่ยึดอำนาจการจัดการดูแลกลับคืนมาและมอบหมายให้ฉู่ซินอี๋เป็นผู้ดูแลต่อ

วันนี้ฉู่ซินอี๋เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกครั้ง นั่นย่อมเท่ากับปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างนุ่มนวล

มองสีหน้าอ่อนโยนอยู่เป็นนิตย์ของนางแล้ว เสิ่นจงชิ่งกลับรู้สึกเบื่อขึ้นมา

เห็นฉู่ซินอี๋โผเข้ามาอย่างออดอ้อน เขาจึงถือโอกาสกอดนางไว้และหยอกเย้านาง ชี้จมูกนางพลางว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ให้คนอื่นช่วยเอง อีกหน่อยอย่ามาบ่นกับข้าล่ะ”

เห็นเขาไม่ระแวงแม้แต่น้อย ข้อเสนอเมื่อครู่เป็นการพูดลอยๆ เท่านั้น ฉู่ซินอี๋จึงคลายความกังวล ปากแกล้งพูดอย่างแง่งอนว่า “ดูท่านแม่ทัพพูดเข้าสิ ผู้น้อยอนุภรรยาก็แค่บ่นคำเดียว ท่านก็มาไม้นี้ อีกหน่อยผู้น้อยอนุภรรยาคงได้แต่เป็นใบ้แล้วล่ะ” เห็นเสิ่นจงชิ่งเหลือบมองนาง นางจึงถอนใจ “ช่างเถอะๆ ชั่วชีวิตนี้ของผู้น้อยอนุภรรยาถูกท่านวางแผนบงการหมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านไปตลอด…”

ระหว่างนั้นชุนหงเคาะประตูเดินเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว เชิญท่านแม่ทัพไปพบเจ้าค่ะ”

ทันทีที่เสิ่นจงชิ่งกลับมาก็มุ่งหน้าไปที่เรือนหลัก ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปจวนอันชิ่งโหว เขาถึงได้มาเรือนไผ่หยก

พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว เขาปล่อยฉู่ซินอี๋และลุกขึ้น “อี๋เอ๋อร์พักผ่อนก่อนเถิด” พูดพลางจัดแจงเสื้อผ้าและก้าวออกไป

“ผู้น้อยอนุภรรยาจะรอท่านแม่ทัพกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันนะเจ้าคะ” นางไปส่งเขาด้วยตนเองถึงประตูพลางเชื้อเชิญทางอ้อม ตามตารางเวร คืนนี้เสิ่นจงชิ่งเป็นอิสระ

“อืม…” ชายหนุ่มครุ่นคิด “อี๋เอ๋อร์กินเถอะ คืนนี้ข้าจะกินข้าวกับท่านแม่”

ฉู่ซินอี๋มองเงาร่างเขาจากไปแล้ว ใบหน้าของนางค่อยๆ บึ้งตึงขึ้น

“เมื่อครู่หยางอี๋เหนียงส่งคนมาถามว่าเสื้อผ้าฤดูหนาวปีนี้จะตัดเมื่อไรเจ้าค่ะ” ระหว่างประคองฉู่ซินอี๋เข้าเรือน ชุนหงถือโอกาสรายงาน

“อีกตั้งนานกว่าจะเข้าหน้าหนาว นางร้อนใจอะไรกัน” พอได้ยินคำว่าหยางอี๋เหนียง ฉู่ซินอี๋ก็บังเกิดโทสะ “จะขาดส่วนของนางไปหรือไรกัน เจ้าไปบอกนางว่าหากกลัวจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ให้นางไปทวงเอากับท่านแม่ทัพ!”

“ดูอี๋เหนียงพูดเข้าสิ ใครกลัวท่านจะไม่ให้เสื้อผ้าฤดูหนาวกับนางกันเล่า” ชุนหงหัวเราะ “นางแอบส่งตู้เจวียนมาถามบ่าวต่างหาก ดูเหมือนพี่ชายนางจะเปิดโรงเย็บผ้า แปดส่วนคงคิดจะเรียกลูกค้าให้พี่ชายตนเอง”

“เจ้าไปบอกนางว่าหากเสื้อผ้าฤดูหนาวทุกตัวให้ค่านายหน้าข้าหนึ่งตำลึง ข้าจะให้พี่ชายนางเป็นคนตัดเย็บ!” คิดถึงเรื่องที่เสิ่นจงชิ่งจะให้หยางเฟิงช่วยนางจัดการธุระภายในจวน ฉู่ซินอี๋แค่นยิ้ม “ไม่ตระหนักเสียบ้างว่าตนเองเป็นใคร ไม่ว่าเรื่องใดก็คิดจะสอดมือเข้ายุ่ง!”

เสื้อผ้าฤดูหนาวของสาวใช้ทั้งชุดราคายังไม่ถึงหนึ่งตำลึง หากต้องจ่ายค่านายหน้าให้นาง โรงเย็บผ้ายังจะได้กำไรอะไรเล่า ด้วยรู้ว่าฉู่ซินอี๋พูดเช่นนี้เพราะความโมโห ชุนหงจึงก้มหน้าไม่พูดจา

หลังคิดดูอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ฉู่ซินอี๋พลันเงยหน้าขึ้น “เจ้าไปหาคุณชายสาม บอกให้เขาเดินทางไปเมืองอู๋ถงด้วยตนเองและตรวจสอบว่าสองวันนี้ท่านแม่ทัพทำอะไรบ้าง”

ระหว่างพูดฉู่ซินอี๋หรี่ตาน้อยๆ เห็นทีนางคงต้องไปเมืองอู๋ถงด้วยตนเองสักครั้งแล้วล่ะ

 

“ท่านแม่ทัพ” หรงเซิงรออยู่นอกเรือนไผ่หยก เห็นเสิ่นจงชิ่งออกมาก็รีบเดินเข้าไปหา

เสิ่นจงชิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นว่าเป็นเขา “เหตุใดจึงมารออยู่ที่นี่”

หรงเซิงยิ้ม “บ่าวกำลังจะเข้าไปหาท่าน เห็นพี่ปี้เยวี่ยมาเชิญ คิดว่าประเดี๋ยวท่านคงออกมา จึงไม่ได้เข้าไปขอรับ”

“มีเรื่องอะไร” เสิ่นจงชิ่งเดินไปข้างหน้าพลางถาม

หรงเซิงเหลียวซ้ายแลขวาและกดเสียงให้เบาลง “บ่าวสืบทราบมาว่าสี่ปีก่อนสี่เชวี่ยเคยมาขอเบี้ยเลี้ยงแทนนายหญิงใหญ่จริงๆ ขอรับ นางคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนตลอดช่วงเช้า ปากพูดว่าจะพบท่าน ขอร้องให้ท่านช่วยชีวิตนายหญิงใหญ่ด้วย”

“อะไรนะ!” เสิ่นจงชิ่งหยุดเดินทันที

“ช่วงนั้นท่านแม่ทัพออกไปทำศึกข้างนอกพอดี อี๋เหนียงห้าเป็นคนจัดการธุระในจวน นางทุบตีสี่เชวี่ยอย่างรุนแรงและไล่กลับไป ทั้งยังประกาศว่าหากกล้ามาขอเงินอีกจะตีให้ขาหัก” ด้วยรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งรักใคร่ฉู่ซินอี๋ หรงเซิงจึงลอบสังเกตสีหน้าผู้เป็นนายไปด้วยระหว่างพูด “เรื่องนี้หลายคนในจวนต่างก็รู้ แต่เนื่องจากท่านแม่ทัพไม่ชอบนายหญิงใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าบอกเรื่องนี้กับท่าน”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เสิ่นจงชิ่งยังคงไม่เชื่อ อี๋เอ๋อร์จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เขาซักต่อ “เจ้าแน่ใจหรือว่าอี๋เหนียงห้าเป็นคนสั่ง ไม่ใช่ผู้อื่นแอบอ้างชื่อนาง”

ฉู่ซินอี๋ในวันนี้อาจจะปรารถนาลาภยศสรรเสริญ แต่นางเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีทางเป็นเช่นนี้

“บ่าวจะกล้าโกหกท่านแม่ทัพได้อย่างไร” หรงเซิงแย้ง “ตอนนั้นชุนหงเป็นคนนำบ่าวออกมาทุบตี หัวของสี่เชวี่ยถูกตีจนบวมเหมือนหัวหมู เสี่ยวลิ่วจื่อมองดูอยู่ด้านข้างยังนึกสงสาร ภายหลังเห็นไม่มีคนถึงได้แอบจ้างรถม้าส่งนางกลับไป” เขาแอบเหลือบมองสีหน้าผู้เป็นนายอีกครั้ง “หรือว่าจะให้บ่าวตามเสี่ยวลิ่วจื่อมา คืนนี้ท่านแม่ทัพลองถามเขาดูเอง” เสี่ยวลิ่วจื่อเป็นบ่าวที่เฝ้าประตูด้านในตอนนั้น

ส่วนลึกของนัยน์ตาเสิ่นจงชิ่งฉายแววผิดหวัง เขาเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร

“นายหญิงใหญ่น่าจะล้มป่วยตอนนั้น สี่เชวี่ยถึงได้มาขอร้องท่าน” หรงเซิงวิ่งเหยาะๆ ตามไป

เสิ่นจงชิ่งก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าด้วยสีหน้าถมึงทึง

 

“เรื่องอะไรทำให้มารดาดีใจถึงเพียงนี้” พอถึงเรือนบำรุงใจของฮูหยินผู้เฒ่า เสิ่นจงชิ่งได้ยินเสียงสาวใช้หัวเราะคิกดังมาแต่ไกล เขารีบก้าวเข้าไปในเรือน

เสิ่นฮูหยินกำลังพิจารณาภาพเหมือนหลายม้วนอยู่กับสาวใช้ เห็นเขาเข้ามาก็ยิ้มทัก “ชิ่งเอ๋อร์รีบมานั่งเร็วเข้า” นางหันไปสั่งสาวใช้รุ่นใหญ่จื่อเยวี่ยว่า “ยกน้ำชาให้ท่านแม่ทัพ”

จื่อเยวี่ยขานรับและก้าวฉับๆ ออกไป

“ได้ยินว่ามารดาไปจวนอันชิ่งโหวมาหรือขอรับ” อันชิ่งโหวเซวียอี้เป็นพระบิดาของฮองเฮา อาศัยว่าบุตรสาวตนเป็นฮองเฮาและมีฮ่องเต้ตามใจ หลายปีมานี้จึงจับกลุ่มเป็นฝั่งเป็นฝ่าย กุมอำนาจในราชสำนักจนฮ่องเต้หวาดระแวง พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปจวนเขา เสิ่นจงชิ่งรู้สึกไม่พอใจยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมารดา เขาจึงไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงแต่นั่งลงข้างมารดา “นี่อะไรหรือ” เขายื่นมือไปหยิบภาพม้วนหนึ่งคลี่ออกแล้วอดตกใจไม่ได้

ในภาพเป็นหญิงสาวรูปร่างแบบบาง ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน

“มารดา นี่…นี่คือ…” เสียงของเสิ่นจงชิ่งเจือแววประหลาดใจ

“สวยหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มร่าพลางหยิบภาพวาดอีกม้วนมาคลี่ตรงหน้าเขา “ชิ่งเอ๋อร์ลองดูภาพนี้สิ”

“มารดา…” เสิ่นจงชิ่งไม่ได้รับภาพมา แต่ร้องเรียกเสียงค่อย

“นางคือคุณหนูสิบของอันชิ่งโหว อายุสิบสาม ชิ่งเอ๋อร์อย่าเห็นว่านางอายุน้อย นางสุขุมรู้กาลเทศะยิ่ง” เสิ่นฮูหยินชี้เด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามเฉิดฉัน “วันนี้เสี่ยนเกอ เหลนของอันชิ่งโหวทำพิธีอาบน้ำหลังอายุครบสามวัน ที่จวนเชิญคณะละครมา เด็กคนนี้นั่งดูละครกับพวกเราคนแก่ เด็กคนอื่นเข้าๆ ออกๆ ทั้งหัวเราะและดื้อซน นั่งไม่ติดที่สักขณะ มีเพียงนางที่นั่งคุยกับข้าอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย วาจาสุภาพนุ่มนวล ให้ดูอย่างไรก็ถูกใจข้ายิ่ง”

นางยิ้มมองบุตรชาย “ข้าหาคนมาดูแล้ว ล้วนบอกว่านางมีดวงเกื้อหนุนสามี” นางลดเสียงให้เบาลง “เอวบางสะโพกผาย อีกหน่อยต้องให้กำเนิดลูกชายได้แน่” แม้ที่บ้านจะมีอนุห้าคนแล้ว แต่ที่ผ่านมาเสิ่นจงชิ่งมีบุตรสาวคนเดียวเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนใจกับเรื่องนี้มาก

ปี้เยวี่ยกับจื่อเยวี่ยปิดปากหัวเราะคิก

เสิ่นจงชิ่งหน้าแดงทันใด “มารดา…” น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจเข้มข้น

ในที่สุดเสิ่นฮูหยินก็วางภาพวาดลง สีหน้าจริงจังขึงขัง “ชิ่งเอ๋อร์ในวันนี้ไม่เหมือนวันวานอีกแล้ว อีกหน่อยย่อมต้องสมาคมกับเหล่าพระญาติและเชื้อพระวงศ์ไม่น้อย หากมีศรีภรรยาคอยช่วยสนับสนุน แม่เองก็วางใจ จะได้ไม่ต้องฝืนสังขารไปช่วยเจ้าผูกสัมพันธ์กับคนอื่น…” น้ำเสียงเอื้ออารีแฝงแววยืนกราน “อยู่ในจวนชิ่งเอ๋อร์ให้อี๋เหนียงดูแลจัดการเรื่องในบ้านได้ไม่เป็นไร แต่อยู่ข้างนอก การเข้าสังคมย่อมไม่อาจให้อี๋เหนียงออกหน้าได้” นางมองเสิ่นจงชิ่งอย่างมีนัย “นั่นย่อมเป็นการหักหน้าผู้อื่น” นางพูดพลางถอนหายใจ

ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ความคิดของบุตรชาย แต่ฉู่ซินอี๋เจ้าเล่ห์เกินไป ฐานะและชาติตระกูลก็ไม่คู่ควรกับเสิ่นจงชิ่ง จะยกเป็นภรรยาเอกไม่ได้เด็ดขาด

ที่สำคัญที่สุดคือเสิ่นจงชิ่งเป็นคนเถรตรง แม้จะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่กลับไม่ยอมใช้อำนาจขอตำแหน่งให้ญาติพี่น้องของตนเอง ลูกชายคนเล็กของนางเสิ่นจงซิ่นสอบขุนนางไม่ติดสามปีติดต่อกัน ฮูหยินขุนนางหลายคนล้วนบอกนางเป็นนัยว่าขอเพียงเสิ่นจงชิ่งไปพูดให้ คนของสำนักราชบัณฑิตย่อมหาตำแหน่งชั่วคราวให้ลูกชายคนเล็กของนางได้ แต่นางเอ่ยปากหลายครั้งแล้ว เสิ่นจงชิ่งไม่เพียงไม่ตกลง ยังอ้างโทษที่ใช้ความมั่งคั่งมากบารมีไปเอาเปรียบผู้อื่นถีบส่งน้องชายไปศึกษาเล่าเรียนไกลถึงเมืองไป่เฉวียนที่อยู่ห่างออกไปสามร้อยลี้

เมื่อหวังพึ่งลูกชายไม่ได้ นางจึงได้แต่หวังพึ่งลูกสะใภ้

หากเสิ่นจงชิ่งสามารถแต่งบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจเป็นภรรยาคนใหม่ได้ เรื่องเล็กแค่นี้ญาติฝ่ายภรรยาย่อมจัดการได้อยู่แล้ว

ดังนั้นเพื่อขัดขวางไม่ให้เสิ่นจงชิ่งยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก นางจึงตกลงกับฮูหยินอันชิ่งโหวอย่างลับๆ แล้วว่ารอให้เสิ่นจงชิ่งตกลงหย่าขาดเสียก่อน นางจะเอาสินสอดไปสู่ขอคุณหนูสิบของจวนโหวทันที!

“ข้าทราบขอรับ” เสิ่นจงชิ่งรู้สึกปวดหัว ที่บ้านมีผู้หญิงตั้งห้าหกคนแล้ว เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายทุกวันยังไม่พอ มารดายังจะจัดการเรื่องนี้ให้เขา!

เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานอีก ที่อยากตกลงหย่าก็เพื่อยกฉู่ซินอี๋เป็นภรรยาเอก และนับเป็นการทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับนางว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา หากจะพูดถึงการสังสรรค์เข้าสังคมกับพระญาติฝ่ายหญิง ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของฉู่ซินอี๋ย่อมรับมือกับเรื่องนี้ได้สบาย เอ่ยปากคิดจะบอกความตั้งใจของตนเอง เสียงของหรงเซิงกลับดังขึ้นข้างหู ในใจอดลังเลไม่ได้ เรื่องนี้ใช่ควรรอไปอีกสักพักหรือไม่

เห็นใบหน้าเขาบึ้งตึง ไม่มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงโบกมือให้คนในเรือนถอยออกไปและเอ่ยถามตรงๆ “เรื่องตกลงหย่าเรียบร้อยหรือยัง”

“ยังขอรับ” เสิ่นจงชิ่งส่ายหน้า

“ทำไมล่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่านั่งตัวตรง “นางไม่ยินยอมหรือ!” คิดถึงความร้ายกาจของเจินสือเหนียงเมื่อห้าปีก่อน ใบหน้าของเสิ่นฮูหยินพลันบึ้งตึง

หากเจินสือเหนียงกัดไม่ปล่อย เรื่องนี้ย่อมจัดการได้ยาก เจินสือเหนียงยอมเสียหน้าได้ แต่จวนแม่ทัพจะเสียหน้าได้อย่างไรกัน

“หรือว่า…” เห็นเสิ่นจงชิ่งเงียบ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งมั่นใจว่าเจินสือเหนียงต้องไม่ตกลงแน่นอน นางก้มหน้าคิดและเสนอว่า “ชิ่งเอ๋อร์จะทูลขอพระอนุญาตจากองค์ฮ่องเต้ เป็นฝ่ายหย่านางเสีย”

วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บัดนี้บุตรสาวเป็นถึงพระชายา บุตรชายเป็นแม่ทัพผู้มีคุณความชอบใหญ่หลวง ได้รับความโปรดปรานอย่างสูงเช่นนี้ เชื่อว่าขอเพียงเสิ่นจงชิ่งเอ่ยปาก ฮ่องเต้อาจจะไม่ยึดติดกับราชโองการของอดีตฮ่องเต้

ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีเหตุผล น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเจือแววตำหนิ “นางไม่มีทายาทเป็นเวลาห้าปี ตามกฎหมายของต้าโจว ลำพังข้อนี้ชิ่งเอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายหย่านางได้อย่างถูกต้องแล้ว!” ความดีใดก็ไม่เทียบเท่าความกตัญญู ไร้ทายาทสืบสกุลเป็นเรื่องใหญ่และเป็นหนึ่งในกฎเจ็ดออก*

“ท่านแม่เข้าใจผิดแล้ว” เขาตกใจกับท่าทีของมารดา พอได้สติก็รีบส่ายหน้าติดๆ กัน “ข้าเห็นนางเป็นโรคเลือดพร่อง ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูกจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้” การเรียกมารดาว่าแม่เป็นธรรมเนียมของเมืองอู๋ถง เขาเรียกมาแต่เด็กจนชิน เวลาไม่มีคนอื่นจึงชอบเรียกแบบนี้

“นางเป็นโรคเลือดพร่อง?” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจ “เป็นได้อย่างไร”

“ข้าไม่ได้ถาม” เสิ่นจงชิ่งเล่าสิ่งที่พบเห็นมาสองวันนี้ให้มารดาฟัง “เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ชีวิตลำบากยิ่งกว่าแม่ม่ายหลี่ที่อาศัยอยู่หน้าบ้านเราในอดีตเสียอีก” แม่ม่ายหลี่เป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็กของเสิ่นจงชิ่ง สามีนางร่างกายอ่อนแอและถูกโรครุมเร้า แต่งงานไม่ถึงปีก็ตายจากไป ญาติสามีหาว่านางมีดวงพิฆาตสามี แม่ม่ายหลี่จึงถูกขับไล่ออกมา พี่น้องของนางกลัวนางจะนำความอัปมงคลมาให้ ไม่ยอมรับนางกลับไปอยู่ด้วย นางได้แต่อาศัยการปะชุนเสื้อผ้าหาเลี้ยงชีพ ชีวิตลำบากยิ่ง

ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งยังเด็ก พอเข้าฤดูใบไม้ผลิมักจะเห็นนางซักเสื้อผ้าให้ผู้อื่นอยู่ริมแม่น้ำอันเยียบเย็น หลังมือหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยแดงจากความเย็น ทำให้เขาจดจำได้แม่นยำแม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี

ภายหลังเขาสอบได้จ้วงหยวน กลับเมืองอู๋ถงเห็นหน้าบ้านเปลี่ยนผู้อยู่อาศัย ถึงได้รู้ว่าแม่ม่ายหลี่ผู้นั้นตายไปสามสี่ปีแล้ว ว่ากันว่าเป็นเพราะขึ้นไปตัดฟืนบนภูเขาหน้าหนาวและหิวจนเป็นลม หนาวตายอยู่ข้างทาง

เจินสือเหนียงไม่มีบ้านของพ่อแม่ให้กลับ หากพวกเขาตกลงหย่าขาดกัน นางจะกลายเป็นแม่ม่ายหลี่คนที่สองหรือไม่ ไม่รู้เหตุใดพอคิดว่าเจินสือเหนียงอาจหนาวตายอยู่บนพื้นหิมะเพราะความยากจน หัวใจของเขาจึงหดเกร็งอย่างไร้สาเหตุ

นี่เขากำลังใจอ่อนอีกแล้ว ลูกชายตนเองนิสัยอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีที่สุด นางฟังแล้วถอนหายใจ “แล้วชิ่งเอ๋อร์คิดจะคุยเรื่องนี้กับนางเมื่อไรล่ะ”

“ข้า…” ดวงตาของเสิ่นจงชิ่งฉายความลังเล เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดเมื่อไรถึงจะเหมาะสม

หากเจินสือเหนียงหยาบคายสักหน่อย ร้ายกาจสักหน่อย เมื่อวานเขาย่อมสามารถพูดเรื่องตกลงหย่าออกไปโดยไม่ลังเล แต่ยามเผชิญหน้ากับเจินสือเหนียงที่เป็นแบบนั้น เขาพูดไม่ออกจริงๆ

“ข้ารู้ ชิ่งเอ๋อร์ไม่ชอบซ้ำเติมผู้อื่นตั้งแต่เล็กแล้ว” เห็นท่าทีของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าถอนใจอีกครั้ง “แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น ชิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว ข้าหวังจากใจอยากให้เจ้ามีหลานให้ข้าในเร็ววัน ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้อนุเป็นใหญ่จนผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้” นางมองเสิ่นจงชิ่ง “ชิ่งเอ๋อร์อย่าได้ตัดสินใจผิดเป็นอันขาด!” น้ำเสียงของนางเมตตาอารี ทว่ายืนกรานหนักแน่น

“ท่านแม่กล่าวถูกต้อง อีกสองวันข้าจะไปพบนางและคุยเรื่องนี้” ไม่รู้เพราะเหตุใด พอตัดสินใจอย่างนี้แล้ว หัวใจเขาถึงหดเกร็งอย่างแรงอีกครา

เขาส่ายศีรษะ สะบัดความรู้สึกแปลกประหลาดออกจากใจ เสิ่นจงชิ่งยิ้มให้มารดาและเอ่ยถามหยั่งเชิงด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ “ท่านแม่ หลังตกลงหย่าข้าไม่คิดจะหาผู้หญิงใหม่แล้วล่ะ เลือกสักคนจากบรรดาอนุเถอะ” เห็นมารดาหน้าบึ้ง จึงอธิบายว่า “ท่านแม่ก็เห็นแล้ว แค่ผู้หญิงห้าคนยังทำให้บ้านวุ่นวายถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จะต่อว่าหรือทำโทษ หากเพิ่มเข้ามาอีกคนเกรงว่า…”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าจัดการไม่ยุติธรรม!” เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าสูงขึ้นโดยพลัน “ทั้งที่เป็นอี๋เหนียงเหมือนกัน ไฉนจึงรักใคร่นางเพียงคนเดียวแบบนั้น!”

เสิ่นจงชิ่งเป็นลูกกตัญญู แม้ในใจจะไม่เห็นด้วยเรื่องแต่งงานใหม่ แต่เห็นมารดาโมโหก็ไม่กล้าพูดต่อ เงียบไปทันที

นานทีเดียวฮูหยินผู้เฒ่าจึงโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า “ที่บรรดาอี๋เหนียงทะเลาะกันเพราะพวกนางต่างไม่ยอมกัน อีกหน่อยหากชิ่งเอ๋อร์แต่งภรรยา มีภรรยาเอกคอยข่มพวกนางอยู่ ขอเพียงเจ้าไม่เอาใจอนุจนเกินหน้าเกินตา พวกนางย่อมไม่กล้าทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่อีก”

“ท่านแม่…”

เสิ่นจงชิ่งเพิ่งจะร้องเรียกคำเดียวก็ถูกขัด “ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะยกอนุขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่น แต่เป็นเพราะพวกนางฐานะต่ำต้อยเกินไป ไม่คู่ควรกับเจ้า เป็นอนุก็แล้วไปเถอะ แต่จะเป็นภรรยาเอกไม่ได้เด็ดขาด” นางมองเสิ่นจงชิ่งด้วยแววตาแฝงความหมาย “แม้จะเป็นแม่ทัพ แต่นี่เป็นสิ่งที่ชิ่งเอ๋อร์แลกมาด้วยชีวิต ถึงอย่างไรชิ่งเอ๋อร์ก็ไม่มีพื้นฐาน หากได้แต่งงานกับคนดีๆ นับแต่นี้ไปตระกูลเสิ่นของเราย่อมมีฐานะมั่นคงในเมืองหลวง”

ด้วยความที่เป็นสตรีจากชนบท เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้เรื่องการถ่วงดุลอำนาจเหล่านี้ เรื่องนี้นางเพิ่งเรียนรู้มาจากจวนอันชิ่งโหววันนี้เอง

เสิ่นจงชิ่งหน้าแดง “อี๋เอ๋อร์ก็ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง”

ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงเยาะ “แค่ขุนนางกองอุทธรณ์ฎีกาขั้นห้าจะเทียบกับชิ่งเอ๋อร์ได้อย่างไร!” บิดาของฉู่ซินอี๋ดำรงตำแหน่งผู้รวมฎีกาสังกัดกองอุทธรณ์ฎีกา “ขนาดตอนนี้เป็นแค่อนุ น้องชายนางยังอ้างชื่อพี่เขยที่เป็นแม่ทัพใหญ่เที่ยวก่อเรื่องข้างนอกไปทั่ว หากยกนางเป็นภรรยาเอกไม่รู้นางจะโอ้อวดสักเพียงใด”

เรื่องพวกนี้เสิ่นจงชิ่งเคยได้ยินมาเหมือนกัน เขานิ่วหน้า “ข้าจะบอกให้อี๋เอ๋อร์ตักเตือนเขา” เขาฝืนฉีกยิ้ม “ตอนอี๋เอ๋อร์แต่งให้ข้า ข้าเองก็เป็นเพียงขุนนางขั้นหก ตอนนั้นนับว่าข้าอาจเอื้อมเสียด้วยซ้ำ”

นี่เป็นความจริง ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าจึงอ่อนลงทันใด

ในอดีตฉู่ซินอี๋ลดตัวมาแต่งงานกับเขา ไม่ว่าจะชิงชังนางเพียงใด ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ เนื่องจากบิดาของเจินสือเหนียงต้องโทษ ด้วยเกรงว่าเสิ่นจงชิ่งจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยและได้รับคำชี้แนะจากผู้รอบรู้ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้ร้อนใจแต่งฉู่ซินอี๋เข้ามาด้วยพิธีการเหมือนแต่งภรรยาเอก ใช้อีกวิธีในการประกาศจุดยืนของเสิ่นจงชิ่ง ภายหลังเพื่อเอาใจตระกูลฉู่ นางเองเป็นคนเสนอให้ฉู่ซินอี๋เป็นผู้จัดการธุระในจวนนี้เสียด้วยซ้ำไป

คิดไม่ถึงว่าเชิญพระมาง่ายกว่าส่งพระจากไป เรื่องต่างๆ ในจวนจ้วงหยวนตกอยู่ในมือของฉู่ซินอี๋นานเข้า นางจึงมีอำนาจมหาศาลจนมิอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก

ในห้องเงียบผิดปกติ

เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของบุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหมดหวัง แต่คำพูดของฮูหยินอันชิ่งโหวยังดังขึ้นข้างหู ฝากจงซิ่นไปเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงสักสองปี จากนั้นหาตำแหน่งในสำนักราชบัณฑิตให้เขา มีชื่อเสียงของแม่ทัพเสิ่นสนับสนุนอยู่ ไม่กี่ปีย่อมเจริญก้าวหน้า… คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกัดฟัน ไม่ว่าอย่างไร เพื่ออนาคตของลูกชายคนเล็ก นางต้องผลักดันให้การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จลงให้จงได้!

“ชิ่งเอ๋อร์…” ลังเลอยู่นานกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยปากทำลายความเงียบ

ที่เสิ่นจงชิ่งไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ เหตุผลหลักเพราะต้องการยกฉู่ซินอี๋ขึ้นมาเป็นภรรยาเอก เห็นทีนางจำเป็นต้องบอกเรื่องที่ฉู่ซินอี๋กระทำลับหลังเขาในช่วงหลายปีมานี้ให้เขารู้บ้างเสียแล้ว

“ใช่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดว่าจะพูดอย่างไร เสิ่นจงชิ่งกลับเปลี่ยนเรื่อง “ข้าซื้อเออเจียวมาให้ท่านแม่ ท่านแม่เห็นหรือยัง” เขาพูดต่อ “เออเจียวสกุลเจี่ยนในเมืองอู๋ถงเป็นของหายาก ข้างนอกต่างลือกันว่าดีกว่าของสำนักแพทย์หลวง ข้าเดินทางไปตั้งสองครั้งกว่าจะซื้อได้”

เห็นบุตรชายเปลี่ยนเรื่องคุย ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ ยิ้มบ่นว่า “เปลืองเงินอีกแล้ว ร่างกายข้ายังแข็งแรงอยู่ จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เสียที่ไหน” ดวงตาหรี่ลง “สมัยสาวๆ ตอนไปทำนากับพ่อเจ้า ผู้หญิงสาวๆ ในรัศมีหลายลี้ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก” พูดถึงวัยสาว ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเปล่งประกายสดใสขึ้นมาหลายส่วน

เห็นฮูหยินผู้เฒ่าไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก เสิ่นจงชิ่งสบายใจขึ้นไม่น้อย ยกชาขึ้นจิบคำแล้วคำเล่าพลางคลี่ยิ้มฟังนิทานที่เขาฟังมาแล้วเป็นร้อยรอบ

 

พอกลับจากร้านขายอาหารแห้ง ชิวจวี๋ดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ “คุณหนู…” นางผลักประตูเข้าไป กลับพบว่าเรือนตะวันออกเงียบสนิท

“หายไปไหนล่ะ” ชิวจวี๋กวาดตามองไปรอบด้าน ย้อนกลับไปที่ลานบ้านแล้วเก็บแป้งข้าวโพดที่เพิ่งซื้อมาให้เรียบร้อย จากนั้นหมุนตัวเดินไปหลังบ้าน

เจินสือเหนียงนั่งคนน้ำเออเจียวกึ่งโปร่งแสงอยู่หน้าเตาในสภาพเหงื่อแตกพลั่ก สี่เชวี่ยนั่งดึงกล่องสูบลมอยู่ข้างเตาพลางดูแลเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่นั่งแกะเมล็ดทานตะวันอย่างร่าเริงอยู่หน้าประตู

ฤดูหนาวไม่มีของกินเล่น เพื่อแก้ความอยากกินขนมให้เด็กๆ เจินสือเหนียงตั้งใจปลูกดอกทานตะวันไว้รอบบ้านมากมาย สิบวันก่อนตัดออกมาและโยนขึ้นไปตากบนหลังคาจนแห้งดี จากนั้นก็ให้เจี่ยนอู่ไปดอกหนึ่ง

เจี่ยนอู่ถือดอกทานตะวันขนาดเท่าจาน มือเล็กเพียงจับก็พาให้กลีบดอกสีเหลืองที่ตากแดดจนแห้งร่วงลงบนพื้น จากนั้นจึงแกะเมล็ดทานตะวันออกมาทีละเมล็ดจากด้านขอบของเกสร พอแกะจนโล่งไปแถบหนึ่ง มือเล็กก็ถูกันให้ของในมือหล่นลงข้างล่าง ทำให้กระจาดบนพื้นมีเมล็ดทานตะวันกองสูงเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทันที บางครั้งยังเก็บเมล็ดทานตะวันขึ้นมากะเทาะเปลือกและโยนเนื้อใส่ปาก ขบเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยพลางเดาะลิ้น “เมล็ดแตงอร่อยจริงๆ!”

“อืม” เจินสือเหนียงยิ้มพยักหน้า “คั่วให้สุกแล้วยิ่งหอม วันนี้เหวินเกอ อู่เกอแกะดอกทานตะวันพวกนี้ให้หมด กลางคืนเทเมล็ดลงในเตา ข้าจะให้ชิวจวี๋คั่วให้พวกเจ้ากิน”

“เย้…เย้…มีเมล็ดแตงคั่วกินแล้ว! มีเมล็ดแตงคั่วกินแล้ว!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่โห่ร้องอย่างดีใจ “ท่านแม่วางใจได้ ก่อนฟ้ามืดจะต้องแกะออกมาจนหมดแน่!” เด็กสองคนร้องโหวกเหวกพักหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าออกแรงถู

สี่เชวี่ยมองเจินสือเหนียง ปากบ่นว่า “เด็กยังเล็กถึงเพียงนี้ คุณหนูก็ตัดใจให้พวกเขาทำงานได้” เห็นเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ทำงานโน่นนี่ทุกวันเหมือนผู้ใหญ่ ฉางเหอที่บ้านนางยังนึกสงสาร แอบบอกให้นางเตือนเจินสือเหนียงว่าอย่าทิฐิมากนัก ก้มหัวให้เสิ่นจงชิ่งสักหน่อย ให้เขารับลูกกลับไปอยู่จวนแม่ทัพ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ย่อมสุขสบายมากกว่าอยู่ที่นี่ อีกทั้งหากไม่มีเด็กเป็นตัวถ่วง เจินสือเหนียงย่อมสบายขึ้นมาก จะได้ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง

เจินสือเหนียงยิ้มบางๆ “พวกเขาก็มีความสุขมากมิใช่หรือ” บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งในชาติก่อนเอ่ยไว้ว่า ‘การใช้แรงงานน่าภาคภูมิใจที่สุด’

ถึงอย่างไรนางกับเสิ่นจงชิ่งก็ต้องหย่าร้างกัน เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแม่เพียงคนเดียว นางอยากให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดีตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยความเข้มแข็ง อย่าคิดว่าตนเองไม่มีพ่อแล้วมัวแต่สงสารเห็นใจตนเองจนสูญเสียความสุขที่ควรมีไป กลายเป็นคนแปลกแยกเงียบขรึม

“พี่ชิวจวี๋!” ระหว่างนั้นชิวจวี๋ผลักประตูเดินเข้ามา เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ร้องเรียกเสียงหวานพร้อมกัน

“จ้า” ชิวจวี๋ก้มตัวลูบหัวเด็กทั้งสอง “แกะเมล็ดแตงหรือ” นางพูดต่อ “ถ้าเหนื่อยก็พักนะ ที่เหลือไว้กินข้าวเสร็จข้าแกะให้เอง”

“ไม่เหนื่อยเลย!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านแม่บอกว่าถ้าแกะเสร็จ คืนนี้จะให้ท่านคั่วเมล็ดแตงให้กิน”

“ได้ กินข้าวเสร็จข้าจะคั่วให้พวกเจ้า” ได้ยินว่าเป็นคำสั่งของเจินสือเหนียง ชิวจวี๋จึงยิ้มรับคำ พอเงยหน้าเห็นเจินสือเหนียงนั่งเคี่ยวเออเจียวอยู่หน้าเตาในสภาพเหงื่อชุ่มก็สะดุ้งตกใจ “วันก่อนคุณหนูเพิ่งเคี่ยวไปหม้อหนึ่งมิใช่หรือ ทำไมทำอีกแล้วล่ะเจ้าคะ” นางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดจากกระเป๋าออกมาซับเหงื่อให้เจินสือเหนียงด้วยความรักใคร่สงสาร

การเคี่ยวเออเจียวต้องใช้แรงกายแรงใจมาก นางกับสี่เชวี่ยช่วยอะไรไม่ได้ ทุกครั้งหลังเคี่ยวเออเจียวเจินสือเหนียงจะเหน็ดเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นหลายวัน แล้วจะทนความตรากตรำแบบนี้ไหวได้อย่างไร

“คุณหนูเห็นท่านแม่ทัพซื้อฟืนกลับมามากมาย เกรงว่าหากย้ายบ้านไปจะใช้ไม่หมด!” สี่เชวี่ยบ่นอย่างไม่พอใจ

นางตักเตือนอยู่นาน คุณหนูกลับไม่ยอมฟัง ดึงดันจะฝืนร่างกายที่อ่อนแอเคี่ยวเออเจียวให้ได้โดยไม่ฟังคำทัดทาน แต่ก่อนนางยังช่วยคนหม้อ กรองน้ำยางได้ แต่ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ท้องโตขึ้นทุกวัน จึงได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงกล่องสูบลม เห็นเจินสือเหนียงเหนื่อยจนเหงื่อแตกพลั่กแล้วร้อนใจนัก

ชิวจวี๋แรงเยอะก็จริง แต่ยังเด็กเกินไป ทำงานแบบนี้ไม่ได้

เจินสือเหนียงถอนหายใจเมื่อจับความไม่พอใจจากน้ำเสียงของสี่เชวี่ยได้

หากมีทางเลือกอื่น นางก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่หากไม่ฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่ถูกไล่ออกจากบ้านนี้เก็บเงินให้มากหน่อย เกรงว่าพวกนางแม่ลูกคงได้ขอทานอยู่ตามท้องถนนในอีกไม่ช้าแน่

แต่ก่อนมักคิดว่าตนเองมีบ้าน มีสระบัว ต่อให้ฤดูหนาวต้องทนหิว แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ย่อมมีของกิน ต่อให้อัตคัดแค่ไหนก็ยังมีที่ซุกหัวนอน ทั้งที่รู้ว่าการถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ทั้งที่วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะหาเงินเปิดร้านขายยา แต่หากยังไม่ถูกบีบบังคับ นางก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย

จวบจนวันที่เสิ่นจงชิ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้ง นางจึงตระหนกเมื่อพบว่าพอถึงคราวคับขัน นางกลับไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ตำลึงเดียว

อย่าว่าแต่เปิดร้านขายยาเลย แค่บ้านฟางสามหลังนางยังไม่มีปัญญาเช่า

คิดถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่งที่ว่าต่อให้หย่านางแล้วก็ไม่อนุญาตให้นางแต่งงานใหม่ เจินสือเหนียงหัวใจจมดิ่ง รู้สึกหนักใจเหลือเกิน แต่นางไม่อยากให้เด็กๆ รับรู้ถึงความลำบากบนโลกใบนี้เร็วเกินไป มือคนเออเจียวโดยไม่ตอบอะไร ปากถามชิวจวี๋ว่า “ซื้อแป้งข้าวโพดกลับมาหรือเปล่า”

“ซื้อกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋ตอบรวดเร็ว “เปลือกข้าวร้อยชั่ง แป้งข้าวโพดสี่สิบชั่ง ใช้เงินไปทั้งหมดร้อยห้าอีแปะ” นางยื่นมือไปแย่งทัพพีไม้จากเจินสือเหนียง “คุณหนูพักสักประเดี๋ยวเถอะเจ้าค่ะ ให้บ่าวลองดู” นางยิ้มร่า “ไว้เรียนรู้วิชาจากคุณหนูได้เมื่อไร อีกหน่อยบ่าวจะเป็นหมอเทวดาบ้าง”

เห็นในหม้อมีฟองผุดขึ้นมาแล้ว เจินสือเหนียงส่ายหน้า “ใกล้เสร็จแล้วล่ะ เจ้ากะความร้อนของเตาไม่ถูก” นางสั่งสี่เชวี่ย “แป้งข้าวโพดซื้อกลับมาแล้ว เดี๋ยวให้ชิวจวี๋คอยดูไฟ เจ้าไปหมักแป้ง คืนนี้ทำขนมปุยฝ้ายสองกระจาด” ที่นี่ควันคลุ้งไฟแรง ไม่ดีต่อเด็กในครรภ์ของสี่เชวี่ย

“พี่เอ้อร์จู้เพิ่งส่งแป้งขาวมาให้สองกระสอบ ทำไมท่านแม่ไม่ทำหมั่นโถวล่ะ” ได้ยินเจินสือเหนียงบอกว่าจะทำขนมปุยฝ้ายสองกระจาด เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็ทำปากอูดทันที “หมั่นโถวอร่อยกว่า!”

เสิ่นจงชิ่งจากไปเดือนกว่าแล้ว แม้จะไม่ได้มาที่นี่อีก แต่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งสั่งให้คนมาส่งแป้งขาวและเนื้อสัตว์ ตามหลักแล้วกินแต่แป้งขาวก็ได้ แต่พอคิดว่าชีวิตยากลำบากยังรออยู่ข้างหน้า เจินสือเหนียงจึงเสียดายไม่อยากใช้แป้งขาวล้วนทำอาหาร ยืนกรานจะผสมแป้งข้าวโพดเข้าไปด้วย

“แป้งขาวต้องเก็บไว้กินตอนขึ้นปีใหม่” เจินสือเหนียงอธิบายเสียงนุ่ม มองใบหน้าไร้เดียงสาของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่แล้วทำใจแข็ง “ปีนี้มีแป้งขาวมากกว่าปีก่อนๆ พวกเราจะกินแป้งขาวจนถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ถึงเวลานั้นเหวินเกอ อู่เกอจะได้กินจนหนำใจ” ที่ผ่านมาวันที่สามพวกนางก็ต้องกลับไปกินแป้งข้าวโพดแล้ว

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฟังแล้วน้ำลายแทบหก โยนดอกทานตะวันทิ้งแล้วเริ่มหักนิ้วนับว่าเหลืออีกกี่วันถึงจะเป็นวันปีใหม่

ในห้องเก็บของยังมีแป้งขาวอยู่อีกสามกระสอบ พอให้เด็กสองคนนี้กินแน่นอน

สี่เชวี่ยขยับปากทำท่าจะพูด อยากเกลี้ยกล่อมเจินสือเหนียงให้นึ่งแป้งขาวหม้อหนึ่งให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กินโดยเฉพาะ แต่พอคิดว่าหากพวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้เมื่อใด เกรงว่าอีกหน่อยแม้แต่โจ๊กแป้งข้าวโพดอาจยังไม่มีจะดื่มก็ได้แต่ถอนหายใจ จับชิวจวี๋พยุงตัวลุกขึ้นยืน คว้ากระจาดใส่เมล็ดทานตะวันขึ้นมาตอนเดินผ่านประตู “ไปเถอะ เราไปแกะต่อที่หน้าบ้านกัน”

ด้วยรู้สึกว่าตรงนี้ร้อนเกินไป เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงบอกลาเจินสือเหนียงและวิ่งไปแย่งกระจาดใส่เมล็ดทานตะวัน ช่วยกันถือซ้ายขวาคนละข้างและตามสี่เชวี่ยไปลานหน้าบ้าน

“เอาน้ำมันหอมให้ข้า” เจินสือเหนียงใช้ทัพพีไม้ตักเออเจียวขึ้นมาและเทลงช้าๆ เห็นน้ำเออเจียวจับตัวเป็นแผ่นแล้วจึงออกคำสั่ง

เติมน้ำมันหอมลงไป คนอีกสักพัก นางก็สั่งให้ชิวจวี๋ดับไฟ

ใช้ทัพพีเหล็กขนาดใหญ่พิเศษตักเออเจียวที่เคี่ยวเสร็จลงในถาดเหล็กที่ทาน้ำมันหอมไว้ก่อนแล้ว เทเป็นชั้นหนาประมาณหนึ่งนิ้ว จากนั้นให้ชิวจวี๋ใช้โครงไม้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษยกถาดไปวางบนชั้นเหล็กข้างหน้าต่าง รอให้เออเจียวค่อยๆ แข็งตัว

ขณะยุ่งง่วน จู่ๆ เจินสือเหนียงก็รู้สึกตัวเบาหวิวหน้ามืด ทัพพีเหล็กในมือหล่นลงในหม้อ

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ!” ชิวจวี๋ที่เพิ่งวางถาดเออเจียวได้ยินเสียงและหันกลับมา เห็นเจินสือเหนียงหัวทิ่มลงไปในหม้อเออเจียว!

ชิวจวี๋ตกใจร้องว่า “แย่แล้ว!” ก่อนจะพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว

บทที่ 5

 โชคดีที่ชิวจวี๋เห็นก่อนและประคองเจินสือเหนียงไว้ได้ทัน นางจึงไม่หล่นลงไปในหม้อร้อนๆ แต่ถาดเออเจียวที่เทไปได้ครึ่งหนึ่งบนแท่นหินข้างเตาถูกชิวจวี๋เตะกระเด็น เออเจียวกว่าครึ่งถาดสาดกระจายเต็มพื้น

พอรู้สึกว่าถูกประคอง เจินสือเหนียงก็เบาใจ ร่างกายอ่อนยวบลงบนตัวของชิวจวี๋ทันที

“คุณหนู! คุณหนู!” ชิวจวี๋เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เสียที่ไหน นางตกใจร้องไห้โฮ “อาสี่เชวี่ย เหวินเกอ! อู่เกอ! ใครก็ได้รีบมาช่วยที!” หัวใจว้าวุ่น ชิวจวี๋ร้องตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง

เจินสือเหนียงฝืนลืมตาขึ้นและสะกิดชิวจวี๋แรงๆ “อย่าร้องอีกเลย จะทำให้เด็กตกใจ”

“คุณหนู…” เห็นเจินสือเหนียงฟื้น ชิวจวี๋สบายใจขึ้นไม่น้อย

“เป็นเพราะในห้องร้อนเกินไป อากาศไม่ถ่ายเท เจ้าพยุงข้าไปนั่งที่หน้าประตูสักพัก” เจินสือเหนียงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเป็นปกติ

“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋พยักหน้าอย่างว่าง่าย

ปากบอกว่าพยุง แท้จริงแล้วชิวจวี๋แทบจะต้องอุ้ม โชคดีที่เจินสือเหนียงตัวเบามาก ชิวจวี๋ตัวเล็กก็จริง แต่ก็อุ้มไหว ไม่นานก็พานางมานั่งบนม้านั่งหน้าประตูโดยให้พิงกับกำแพง จากนั้นหันไปหยิบน้ำต้มที่เหลืออยู่ครึ่งกาบนเตารินให้เจินสือเหนียงดื่มหนึ่งถ้วย “คุณหนูนั่งพักตรงนี้ก่อน บ่าวจะไปตามอาสี่เชวี่ยมา” ชิวจวี๋วางถ้วยลงทำท่าจะวิ่งออกไป

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้ “นางตั้งครรภ์อยู่ เจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมให้นางตกใจเปล่าๆ เมื่อกี้ข้าแค่หน้ามืดเท่านั้น ดื่มน้ำสักถ้วยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” เพียงครู่เดียวเจินสือเหนียงก็เหงื่อออกเต็มตัว นางพิงกำแพงหอบหายใจครู่หนึ่ง “ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เจ้าไปตักเออเจียวในหม้อออกมา…ประเดี๋ยวจะแข็งหมด” น้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับแฝงแววยืนกรานไม่ยอมให้ปฏิเสธ

น้ำตากลิ้งไปมาอยู่ในดวงตา ชิวจวี๋เม้มปากพยักหน้า หันไปหยิบผ้าผืนใหญ่มาให้เจินสือเหนียงซับเหงื่อบนหน้าผาก “คุณหนูนั่งพักก่อน บ่าวจะรีบทำให้เสร็จเจ้าค่ะ”

ชิวจวี๋เก็บถาดเหล็กบนพื้นขึ้นมาล้างใหม่และเช็ดให้แห้ง ทาด้วยน้ำมันหอม หยิบทัพพีขึ้นมาอย่างระมัดระวังและตักเออเจียวขึ้นจากหม้อ เป็นครั้งแรกที่ทำงานแบบนี้ สองมือของนางสั่นไม่หยุด

“น้ำเออเจียวข้นเกินไป เจ้าต้องไว ต้องออกแรงเทถึงจะสม่ำเสมอ” เห็นชิวจวี๋เทช้าเกินไป น้ำเออเจียวจับตัวอยู่บนถาดเหล็กอย่างไม่สม่ำเสมอกัน เจินสือเหนียงจึงร้องเตือน

“บ่าวโง่เหลือเกิน เทอย่างไรก็ไม่ดี…” ชิวจวี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น

อย่างอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่ของพวกนี้ล้วนซื้อหามาด้วยเงิน! หากทำเสียและขายไม่ออกย่อมขาดทุน มองเออเจียวแผ่นใหญ่ที่หกอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้ น้ำตาของชิวจวี๋ก็ร่วงพรูเหมือนไข่มุกที่ขาดจากเส้น ถาดเหล็กตรงหน้าพร่ามัว มือสั่นรุนแรงกว่าเดิม

เจินสือเหนียงถอนหายใจ ยื่นมือไปยันกำแพงและออกแรงจะลุกขึ้น สุดท้ายเกือบหน้าคะมำ นางจึงไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก นั่งพิงกำแพงให้มั่นคงและหอบหายใจแรงๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เออเจียวเคี่ยวเสร็จแล้ว รอให้แข็งตัวค่อยกดให้เรียบและเอาไปตากแห้ง เทไม่สม่ำเสมอก็ไม่เป็นไร แค่หน้าตาไม่น่าดูเท่านั้น แต่มีประสิทธิภาพเหมือนกัน ดีเลย ข้าจะได้เก็บไว้ใช้เองด้วย” นางยิ้มบางๆ “แต่ก่อนเห็นร้านยาขายดี ข้าจึงไม่กล้าเอามาใช้”

น้ำเสียงเมตตาและสงบเยือกเย็นทำให้หัวใจของชิวจวี๋สงบลงไม่น้อย นางหันหลังให้เจินสือเหนียงพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “บ่าวไม่ได้เรื่อง เทอย่างไรก็ไม่สม่ำเสมอ คุณหนูพูดแล้วนะเจ้าคะ เออเจียวที่เหลือครึ่งหม้อนี้เก็บไว้ให้ท่านดื่มเอง รีบบำรุงร่างกายให้แข็งแรง” นางพยายามข่มความตระหนกและเสียใจของตนเอง อยากจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ทำอย่างไรก็มิอาจขจัดน้ำเสียงสะอื้นออกไปได้

เจินสือเหนียงฟังแล้วรู้สึกปวดใจ รับปากอย่างรวดเร็วว่า “ได้!”

เมื่อใจไร้กังวล ชิวจวี๋ก็คล่องแคล่วขึ้นมาก ไม่นานก็เทเออเจียวอีกครึ่งหม้อออกมาจนหมดและวางบนโครงเหล็กเรียบร้อย นางตักน้ำสองกระบวยมาแช่หม้อและหันกลับมา “คุณหนู…” นางหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว เห็นเจินสือเหนียงใช้หัวพิงกำแพง สองตาปิดแน่น ใบหน้าซีดขาวฉายแววเหนื่อยล้าที่ไม่ค่อยได้เห็น หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนมีความทุกข์ที่มองไม่เห็นวนเวียนอยู่

ชิวจวี๋เบะปาก น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้พรั่งพรูลงมา

ด้วยรู้สึกว่ารอบด้านเงียบผิดปกติ เจินสือเหนียงลืมตาขึ้น เห็นชิวจวี๋มองนางน้ำตาไหลพราก ดวงหน้าเล็กเปื้อนคราบเหงื่อและน้ำตา มอมแมมเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง จึงหัวเราะออกมา

“คุณหนู…” เห็นเจินสือเหนียงหัวเราะ ชิวจวี๋เบาใจขึ้นมาก นางก้มตัวลง “บ่าวประคองท่านไปพักผ่อนที่เรือนด้านหน้าก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาขัดหม้อ”

“ไป…” เจินสือเหนียงดันนาง “ไปล้างหน้าซะ”

ชิวจวี๋วิ่งไปล้างหน้า

พอมาถึงเรือนด้านหน้า เจินสือเหนียงปล่อยมือจากชิวจวี๋และสูดหายใจลึกๆ ยืดตัวเดินไปข้างหน้า

“คุณหนู!” ครั้นรู้สึกหัวไหล่เบาโล่ง ชิวจวี๋ร้องอย่างตกใจ ยื่นมือทำท่าจะประคองนาง

“ชู่ว์!” เจินสือเหนียงโบกมือให้นาง “ข้าไม่เป็นไรแล้ว” พูดพลางผลักประตูเรือนด้านหน้า

สี่เชวี่ยนั่งแกะเมล็ดทานตะวันอยู่ในโถงกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เห็นพวกนางเดินเข้ามาก็วางดอกทานตะวันและยันเข่าลุกขึ้น “เออเจียวเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”

“อืม” เห็นชิวจวี๋ทำท่าจะตอบ เจินสือเหนียงจึงชิงถามขึ้นก่อน “หมักแป้งหรือยัง”

“หมักแล้วเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยพยักหน้า “แต่สายไปหน่อย น่าจะยามโหย่วถึงจะใช้ได้”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้รีบไปทำงาน เสร็จช้าก็กินช้าหน่อย” เจินสือเหนียงยิ้มพูดติดตลก

“ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่โผเข้ามาดึงเจินสือเหนียงอย่างดีอกดีใจพลางชี้ตะกร้าไม้ไผ่ “ท่านแม่ดูสิ เหลืออีกแค่สามดอกเอง!”

“เหวินเกอ อู่เกอเก่งจริงๆ” เจินสือเหนียงลูบหัวพวกเขาอย่างรักใคร่ “กินข้าวเย็นเสร็จแล้วจะให้ชิวจวี๋คั่วเมล็ดแตงให้พวกเจ้ากิน”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฉีกยิ้มกว้าง

“เหวินเกอ อู่เกอมานี่ดีกว่า” เห็นเจินสือเหนียงใช้มือยันกำแพงด้านหลัง ชิวจวี๋รีบดึงตัวเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไป “อย่ามัวเกาะแกะท่านแม่ พวกเรารีบแกะเมล็ดทานตะวันให้เสร็จ จะได้กินข้าวเย็นกัน” นางก้มหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ทุกคนเห็นไอน้ำที่ผุดขึ้นในดวงตา

“น้ำต้มเดือดแล้ว บ่าวไปเตรียมน้ำให้ท่านนะเจ้าคะ” สี่เชวี่ยไม่ทันสังเกตอาการผิดปกติของชิวจวี๋ เห็นอีกฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งของตนเอง นางจึงก้าวเข้าไปในห้องครัว

ทุกครั้งที่เคี่ยวเออเจียว เจินสือเหนียงจะเหงื่อออกทั้งตัว ต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อนถึงจะยอมพักผ่อน

“ข้าขอนอนสักพักก่อน” เจินสือเหนียงตอบเสียงเรียบ

สี่เชวี่ยอึ้งอยู่นาน กว่าจะหันกลับมาอย่างเชื่องช้า เจินสือเหนียงก็เข้าไปในห้องแล้ว สี่เชวี่ยรีบก้าวตามไป

“ไฉนคุณหนูจึงนอนลงไปทั้งอย่างนี้เล่าเจ้าคะ!” เห็นเจินสือเหนียงเอนกายลงบนเตียงเตาเปล่าโดยไม่หยิบหมอน สี่เชวี่ยตกใจ รีบกระโดดไปหยิบหมอนในตู้มาหนุนศีรษะให้นางและลูบเตียงเตา “เย็นไปหน่อย บ่าวปูฟูกให้คุณหนูดีกว่า จะได้หลับสบาย”

“อืม” เจินสือเหนียงหลับตาขานรับ “วันนี้เคี่ยวเออเจียวมากไปหน่อย รู้สึกเพลีย ข้าขอหลับสักครู่ ไว้หมักแป้งเสร็จแล้วปลุกข้าขึ้นมานึ่งขนมปุยฝ้ายด้วย”

“บอกไม่ให้ท่านทำ ท่านก็ไม่เชื่อ ทีนี้รู้จักเหนื่อยหรือยังเจ้าคะ!” สี่เชวี่ยเอาผ้ามาเช็ดเตียงเตาให้สะอาดพลางบ่นด้วยความห่วงใย

เจินสือเหนียงรักความสะอาดที่สุด หากไม่ใช่เพราะเหนื่อยอย่างมาก นางไม่มีทางไม่อาบน้ำแน่!

“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าช่วยถอดเสื้อผ้าให้ข้าด้วยเลยแล้วกัน” น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อ แต่ดวงตากลับปิดสนิทนอนนิ่งไม่ไหวติง

สี่เชวี่ยที่ปูฟูกอยู่หยุดชะงักและมองผู้เป็นนายเนิ่นนาน เห็นท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กของนางแล้วถอนหายใจ ก้มหน้าจัดฟูกให้เรียบร้อย ก่อนจะคุกเข่าอย่างเงอะงะถอดเสื้อผ้าให้เจินสือเหนียง

“ร่างกายของคุณหนูไม่ไหวก็ฟังคำเตือนของบ่าวบ้างเถอะ อย่าฝืนตนเองอีกเลย บ่าวหารือกับแม่สามีแล้ว หากท่านแม่ทัพยึดบ้านหลังนี้คืนไปจริง ท่านไปอยู่บ้านแม่สามีของบ่าวได้ แม้จะแออัดไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีที่พักพิง อีกหน่อยค่อยหาหนทางเช่าบ้าน…” บ่นอยู่นานกลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับ สี่เชวี่ยสะกิดเจินสือเหนียง “คุณหนู?”

เจินสือเหนียงหลับไปเสียแล้ว

 

ลืมตาขึ้นมา เหนือศีรษะมีแสงอาทิตย์สีแดงเพลิงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ครู่ใหญ่เจินสือเหนียงจึงนึกได้ว่าพอเคี่ยวเออเจียวเสร็จกลับมานางก็หลับไป “ยังดี เพิ่งผ่านยามโหย่วไป” ตอนนี้ลุกขึ้นมานึ่งขนมปุยฝ้ายยังทัน นางบิดขี้เกียจและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

“ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ที่ฟุบหลับอยู่ด้านข้างรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวก็ผุดลุกทันทีและกระโจนเข้าสู่อ้อมอกของเจินสือเหนียง กอดเอวนางไว้แน่น ดวงหน้าเล็กเงยขึ้นมองนางทั้งน้ำตาเหมือนถูกใครรังแกมา

เจินสือเหนียงตกใจ “เหวินเกอ อู่เกอเป็นอะไรไป” นางมองซ้ายทีขวาที “ใครรังแกพวกเจ้า”

“คุณหนูฟื้นแล้วหรือ” สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ทำงานอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ก็พากันวิ่งเข้ามา ชิวจวี๋พุ่งเข้าไปริมเตียงเตามองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทันที

คนพวกนี้เป็นอะไรกัน เจินสือเหนียงฉงนสงสัย

กำลังจะถามก็ได้ยินเจี่ยนอู่ร้องไห้โฮออกมา “ข้าไม่อยากกินหมั่นโถวสีขาวอีกแล้ว อีกหน่อยพวกเรากินแป้งข้าวโพดทุกวัน เก็บเงินไว้รักษาโรคให้ท่านแม่!”

“อีกหน่อยข้าจะไม่ห่วงเล่นอีก ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ โตขึ้นไปสอบจ้วงหยวน หาเงินกลับมาเยอะๆ ให้ท่านแม่รักษาโรค!” เจี่ยนเหวินกอดเอวมารดาแน่น กลัวว่าหากคลายมือออกท่านแม่ของเขาจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

ใครพูดเรื่องพวกนี้กับเด็กๆ เจินสือเหนียงกวาดตามองสี่เชวี่ย ก่อนจะก้มหน้าลูบหลังเจี่ยนเหวิน “เหวินเกอของพวกเราอยากสอบจ้วงหยวนหรือ” น้ำเสียงผ่อนคลายรื่นรมย์

เจี่ยนเหวินพยักหน้าแรงๆ “เป็นขุนนางถึงจะหาเงินได้เยอะ!”

“ข้าก็จะสอบจ้วงหยวน!” เจี่ยนอู่พยักหน้าตาม “อีกหน่อยข้าจะเป็นเหมือนท่านแม่ทัพเสิ่น เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร หาเงินมารักษาท่านแม่!”

เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อหาเงินมารักษาโรคให้นางหรือ ค้าขายก็หาเงินได้เหมือนกัน ทั้งยังเร็วกว่าด้วย ลูกไม่เอาอย่างเรื่องอื่น กลับเอาอย่างพ่อจะไปสอบจ้วงหยวน หากชั่วชีวิตนี้สอบไม่ได้แม้แต่บัณฑิตซิ่วไฉ*ยังหวังจะหาเงินได้อีกหรือ เจินสือเหนียงอยากเอาหัวโขกกำแพง นี่คงเป็นเพราะความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เป็นกรรมพันธุ์กระมัง

นางลอบถอนหายใจ แต่ไม่อยากแก้ไขความคิดของลูก เพียงแต่ยิ้มอย่างเมตตาอารี “เหวินเกอ อู่เกอมีปณิธานยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเจ้าต้องรับความลำบากได้ด้วย”

“ข้าไม่กลัวความลำบาก!”

“ข้าก็ไม่กลัว!” เจี่ยนอู่พูดตามบ้าง

“ดี” เจินสือเหนียงพยักหน้า “พูดอย่างเดียวมิสู้ทำ เหวินเกอ อู่เกอไปเรือนตะวันตก คัด ‘ตำราชังเจี๋ย บทที่สองมาสิบจบ” เด็กสมัยโบราณเริ่มเรียนเร็ว อายุสี่ห้าขวบก็เริ่มใช้ ‘ตำราชังเจี๋ย’ ‘ตำราหยวนซั่ง’ และ ‘ตำราเหมิงฉิว’ สอนหนังสือแล้ว ต่อมาค่อยเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์

กับภาษาโบราณที่เข้าใจยากเช่นนี้ เจินสือเหนียงจำได้ว่าชาติก่อนสมัยมัธยมปลายเรียนแล้วปวดหัว ในกลุ่มนักเรียนนิยมพูดกันว่า ‘หนึ่งกลัวโจวซู่เหริน สองกลัวจีนโบราณ’ ปัจจุบันถ้าให้เด็กสี่ขวบมาอ่านภาษาโบราณพวกนี้เท่ากับทำลายเยาวชนชัดๆ

แต่เด็กสมัยนี้ต่างเรียนรู้จากตำราพวกนี้ หากไม่เรียนเกรงว่าอีกหน่อยแม้แต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ยังอ่านไม่รู้เรื่อง พอคิดได้ว่าคนในยุคนี้อายุขัยค่อนข้างสั้น นางจึงหา ‘ตำราชังเจี๋ย’ มาสอนเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เพิ่มด้วย

กฎเกณฑ์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงเพราะวิญญาณในร่างนี้ที่เปลี่ยนไป ในเมื่อเข้ามาในยุคนี้แล้ว นางกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต่างก็ต้องค่อยๆ เดินหน้าต่อไป

ฟังคำพูดนี้แล้ว ดวงหน้าเล็กของเด็กทั้งสองกระตุกทันใด แต่เพียงครู่เดียวเจี่ยนเหวินก็พยักหน้าแรงๆ “ท่านแม่รอข้านะ ข้าคัดเสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่!”

หลังหลอกเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จากไปแล้ว เจินสือเหนียงมองชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยเงียบๆ

ชิวจวี๋ถูกจ้องจนขนลุก รู้สึกทำอะไรไม่ถูก “คุณหนู…”

“ข้าก็แค่เหนื่อยมาก อยากหลับสักงีบ พวกเจ้าขู่เด็กจนกลัวขนาดนี้ได้อย่างไร!” เสียงของนางเข้มงวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“คุณหนูหลับไปสองวันสองคืนเต็มๆ” ชิวจวี๋แย้งขึ้นเสียงค่อย

สองวันสองคืน?!

เจินสือเหนียงตะลึงไปเล็กน้อย

“คุณหนูหลับลึกมาก ขนาดบ่าวเช็ดตัวให้ยังไม่ตื่น” ดวงตาของสี่เชวี่ยฉายความกังวล “ป้อนข้าวกับน้ำแกงให้ท่าน ท่านได้แต่กลืน ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น”

แต่ไรมานางไม่ใช่คนหลับลึก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เจินสือเหนียงก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางเปลี่ยนชุดแล้วจริงๆ แม้แต่ร่างกายก็แห้งสบาย นางยังจำความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะตอนก่อนหลับไปได้ แต่ตอนนั้นร่างกายหนักอึ้งเหมือนภูเขา นางไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้วด้วยซ้ำ

“…ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทำให้เด็กกลัว” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงอ่อนลง “เหวินเกอ อู่เกอมีนิสัยคิดมากตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่พูดอะไรพวกเขาจะจดจำไว้ในใจ” เนื่องจากไม่มีพ่อตั้งแต่เด็ก ความคิดจิตใจของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงละเอียดอ่อนกว่าเด็กทั่วไป

ด้วยเหตุนี้เอง แม้จะยังเป็นเด็ก แต่ยามพูดอะไรกับพวกเขาเจินสือเหนียงจะระมัดระวังเป็นพิเศษ

“พวกเขาแอบฟังเองต่างหาก” ชิวจวี๋แย้งเสียงค่อย

“แอบฟัง?” เจินสือเหนียงนิ่วหน้า “เกิดอะไรขึ้น”

ชิวจวี๋กำลังจะพูด แต่สี่เชวี่ยกระแอมขึ้นก่อน ชิวจวี๋เงียบทันทีและหันหลังเดินออกไป “คุณหนูเพิ่งตื่นจะต้องหิวน้ำมากแน่ๆ บ่าวจะไปรินน้ำมาให้ท่าน”

“ข้าไม่หิว เจ้าพูด!” เจินสือเหนียงไม่มองสี่เชวี่ย เอาแต่จ้องชิวจวี๋ “เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อคืนก่อน…สะใภ้หลัวตายไป…” ชิวจวี๋ค่อยๆ หันกลับมาและฝืนใจตอบ

สะใภ้หลัวเป็นเพื่อนบ้านของพวกนาง อยู่บ้านติดกับอวี๋เหลียงในตรอกข้างหน้า สามีตายไปเมื่อปีที่แล้ว นางจึงต้องเลี้ยงดูหลิงเจี่ยบุตรสาววัยหกขวบเพียงลำพัง นางตกเลือดหลังคลอดและไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายให้ดี จึงป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เนื่องจากหัวอกเดียวกันคือต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง สองปีนี้สะใภ้หลัวจึงสนิทสนมกับเจินสือเหนียงมากที่สุด เจินสือเหนียงเองก็มอบเออเจียวให้นางอยู่บ่อยๆ แต่จนใจที่ตนเองก็ยากจนไม่ต่างกัน การช่วยเหลือจึงมีจำกัด

โบราณว่าไม่มีอะไรก็ได้ อย่าได้ไม่มีเงิน มีอะไรก็ได้ อย่ามีโรค เนื่องจากต้องกินยาต่อเนื่องหลายปี ทรัพย์สมบัติถูกใช้ไปจนหมด หลังสามีตายสะใภ้หลัวจึงรับจ้างซักเสื้อผ้า ปะชุนเสื้อผ้าหาเลี้ยงลูกสาว อย่าว่าแต่บำรุงร่างกายเลย สองแม่ลูกหาเลี้ยงปากท้องยังลำบาก ประกอบกับคิดถึงสามี ไปๆ มาๆ ร่างกายจึงทรุดโทรมกว่าเดิม พริบตาเดียวนางก็ตามสามีไปแล้ว

ชิวจวี๋ยิ่งพูดตายิ่งแดง “สงสารก็แต่หลิงเจี่ย อายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบก็ถูกน้าชายรับไปแล้ว บอกว่าจะเอาไปขายใช้หนี้ให้ตระกูลใหญ่ในเมือง” สมัยยังมีชีวิตอยู่สะใภ้หลัวยืมเงินผู้อื่นมาซื้อยา รวมกับค่าใช้จ่ายทำศพครั้งนี้ทำให้ติดหนี้พี่น้องไว้ไม่น้อย “เห็นว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางแต่เช้า”

“หลิงเจี่ยถูกน้าชายขายไปแล้วหรือ” คิดถึงดวงตากลมโตดำขลับของหลิงเจี่ยที่กะพริบไปมาเวลาเล่นสนุกกับเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่ข้างๆ นาง เจินสือเหนียงหัวใจหดรัด “ไฉนจึงไม่มีใครจัดการ”

“เขาเป็นถึงน้าชายแท้ๆ ใครจะกล้าจัดการ” สี่เชวี่ยถอนใจ “อีกอย่าง ข้างนอกต่างลือกันว่าเป็นเพราะหลิงเจี่ยดวงแข็ง ตอนแรกทำให้ปู่ย่าตาย ต่อมาทำให้พ่อตาย บัดนี้ยังทำให้แม่ตายอีก ชาวบ้านล้วนอยากไล่นางออกจากเมืองอู๋ถงโดยเร็ว มีหรือจะช่วยพูดแทนนาง”

“นางเป็นแค่เด็กอายุหกเจ็ดขวบ คนพวกนี้…” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงเจือโทสะอย่างไม่ค่อยได้เห็น “ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ”

“นี่หาใช่เรื่องที่พวกเราจะยุ่งได้ คุณหนูอย่ากลุ้มใจไปเลยเจ้าค่ะ” เจินสือเหนียงสุขุมเยือกเย็นเสมอมา นี่เป็นครั้งแรกที่สี่เชวี่ยเห็นนางโมโหมากแบบนี้ “โรคของท่านกลัวความกลัดกลุ้มเป็นที่สุด”

คิดๆ ดูแล้วพรุ่งนี้นางเองยังไม่รู้จะต้องเร่ร่อนไปอยู่ที่ใด นางไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ นั่นแหละ ที่นี่ไม่ใช่โลกปัจจุบัน แต่เป็นสมัยโบราณ การซื้อขายมนุษย์เป็นการค้าที่ถูกกฎหมาย!

เจินสือเหนียงถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าเองก็ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าสาวใช้ตระกูลใหญ่บางบ้านมีหน้ามีตายิ่งกว่าบุตรสาวชาวบ้านทั่วไป หวังว่านางจะได้ไปอยู่กับครอบครัวที่ดี” ด้วยไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก นางจึงเปลี่ยนเรื่อง “เหวินเกอ อู่เกอได้ยินว่าหลิงเจี่ยถูกขายถึงได้กลัวใช่หรือไม่”

“อืม…” สี่เชวี่ยกลบเกลื่อน

“ไม่ใช่” ชิวจวี๋กลับส่ายหน้า

ทั้งสองตอบไม่เหมือนกัน เจินสือเหนียงไม่พูดอะไร เอาแต่มองสี่เชวี่ยเงียบๆ

สี่เชวี่ยค่อยๆ ก้มหน้า “ที่ผ่านมาคุณหนูหลับไม่ลึก วันนั้นบ่าวทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว แต่เรียกอย่างไรท่านก็ไม่ตื่น บ่าวกลัวจึงให้ชิวจวี๋ไปตามหมอมา พอดีท่านหมอเฝิงอยู่ที่บ้านสะใภ้หลัวกับคนอื่นอีกกลุ่มใหญ่ ได้ยินว่าท่านหลับไม่ตื่น ทุกคนจึงแห่มาที่นี่…”

เพิ่งจะเกริ่นนำ ชิวจวี๋ก็เล่าต่อด้วยความโมโห “เป็นเพราะป้าอวี๋ที่ชอบทำตัวเหมือนฆ้องปากแตก!” ป้าอวี๋คือภรรยาของอวี๋เหลียง นิสัยไม่ได้ชั่วร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนปากไว “บอกว่าท่านกับสะใภ้หลัวป่วยเป็นโรคเดียวกัน ตอนคลอดเหวินเกอ อู่เกอ หมอก็บอกแล้วว่าท่านอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี อยู่มาได้ถึงตอนนี้นับว่าอายุยืนแล้ว นางเร่งให้อาสี่เชวี่ยรีบจัดการเสีย อย่าให้เป็นเหมือนสะใภ้หลัวที่คนนอนแข็งอยู่บนเตียงเตาแล้ว เสื้อผ้ากลับยังไม่ได้สวม!”

พูดถึงตรงนี้ สี่เชวี่ยเอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “หากมิใช่เพราะตอนนั้นคนอยู่เยอะ บ่าวอยากจะฉีกปากนางออกมาจริงๆ ทุกคนพูดกันคนละคำสองคำโดยไม่มีใครสังเกตว่าเหวินเกอ อู่เกอแอบฟังอยู่นอกประตูเรือนตะวันตก พอได้ยินว่าให้จัดเตรียมงานศพ พวกเขาก็ร้องไห้โฮ คนพวกนั้นถึงได้จากไป”

คนตั้งมากมายมาที่บ้าน สถานการณ์ตอนนั้นต้องครึกครื้นมากเป็นแน่ แต่นางกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย!

เจินสือเหนียงตระหนกแล้ว นี่หมายความว่านางไม่ได้เหนื่อยมากจนหลับเป็นตาย แต่หมดสติไปต่างหาก นี่หาใช่เรื่องที่ดี ในฐานะหมอเจินสือเหนียงตระหนักดีกว่าใครว่านี่หมายความว่าอะไร

“คุณหนูหลับไปสองวัน เหวินเกอ อู่เกอก็ฟุบอยู่บนเตียงเตากับท่านสองวัน ขนาดโก่วจือบ้านอวี๋เหลียงมาหา พวกเขายังไม่สนใจ” เห็นสีหน้าเจินสือเหนียงดูเคร่งเครียดอย่างไม่ค่อยได้เห็น สี่เชวี่ยจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ท่านรักพวกเขาไม่เสียเปล่าจริงๆ”

“ข้าเป็นหมอ ร่างกายตนเองข้ารู้ดี ป้าอวี๋เป็นคนตรง นางพูดอะไรเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” พอดึงสติกลับมาได้ เจินสือเหนียงยิ้มพลางเปลี่ยนเรื่อง “หมอเฝิงมาตรวจดูข้าแล้วว่าอย่างไรบ้าง”

“เขาแค่บอกว่าท่านคิดมากและเหน็ดเหนื่อยเกินไป ท่านควรพักผ่อนให้มาก…” คิดถึงคำพูดของเฝิงสี่แล้ว สี่เชวี่ยชะงัก หากยังเหนื่อยแบบนี้ต่อไป เจินสือเหนียงจะเป็นเหมือนสะใภ้หลัว อย่างมากก็เหลือเวลาอีกเพียงปีสองปีเท่านั้น

เห็นใบหน้าซีดขาวของสี่เชวี่ย ไม่ต้องเดาเจินสือเหนียงก็รู้ว่าเฝิงสี่ยังพูดอะไรอีก นางทอดถอนใจ ไม่ว่านางจะพยายามเข้มแข็งอย่างไร ร่างนี้กลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย ทว่าปากกลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ใครๆ ล้วนบอกว่าถูกแช่งหนึ่งหน โชคดีไปสิบปี ถูกทุกคนสาปแช่งเช่นนี้ ไม่แน่โชคชะตาของข้าอาจเปลี่ยนไปก็ได้ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมแบบนี้อีก เหวินเกอ อู่เกอจะตกใจเปล่าๆ”

“นั่นสิเจ้าคะ” สี่เชวี่ยฝืนยิ้มตาม “สะใภ้หลี่ร้านยารุ่ยเสียงก็บอกเช่นนี้ ยังบอกว่าท่านรู้หนังสือ เป็นดาวเหวินฉวี่*จุติลงมาเกิด อายุขัยยืนยาว…”

เจินสือเหนียงหัวเราะเสียงขื่น

ชิวจวี๋ยกน้ำเข้ามาพอดี สี่เชวี่ยจึงปรนนิบัตินางล้างหน้าและเตรียมกินข้าวเย็น

หลังชำระล้างร่างกายเรียบร้อย ทุกคนกินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นชิวจวี๋พาเหวินเกอ อู่เกอไปหลังบ้านเพื่อเก็บผักที่ตากไว้ ส่วนสี่เชวี่ยเดินเล่นในลานบ้านเป็นเพื่อนเจินสือเหนียง ก่อนจะประคองกันเดินเข้าบ้าน

“เจ้ารีบกลับไปเถอะ ป่านนี้ฉางเหอคงคิดถึงแย่แล้ว” เจินสือเหนียงถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงเตาและเก็บของเล่นไม้ที่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เล่นทิ้งไว้ ปากเอ่ยเร่งสี่เชวี่ยให้กลับบ้าน

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยยืนนิ่ง น้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

“มีอะไรหรือ” เจินสือเหนียงที่กำลังเก็บกระบี่ไม้ของเล่นหยุดมือโดยไม่รู้ตัว

เห็นสี่เชวี่ยคุกเข่าลงกับพื้น เจินสือเหนียงสะดุ้ง “เจ้ารีบลุกขึ้น บนพื้นเย็น ระวังจะกระทบกระเทือนครรภ์” นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่เคยชินกับธรรมเนียมที่เหยียบย่ำสิทธิมนุษยชนแบบนี้

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยยืนกรานไม่ยอมลุก

เจินสือเหนียงยื่นมือไปฉุดนาง แต่มีหรือจะฉุดนางขึ้นมาได้ นางถอนหายใจ “มีเรื่องอะไร”

“คุณหนูส่งเหวินเกอ อู่เกอกลับจวนแม่ทัพเถอะเจ้าค่ะ!” เห็นเจินสือเหนียงหน้าบึ้ง นางจึงรีบอธิบายต่อ “ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นทายาทของท่านแม่ทัพ ต่อให้ไม่ชอบเพียงใด ท่านแม่ทัพย่อมต้องหาครูฝึกยุทธ์และอาจารย์สอนวิชาที่ดีที่สุดมาให้ความรู้แก่พวกเขา ถึงอย่างไรย่อมดีกว่าให้พวกเขาเสียเวลาในการเล่าเรียน” สี่เชวี่ยรู้ว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับอนาคตของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ เจินสือเหนียงต้องยอมตกลงแน่

บุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่ไม่มีครอบครัวคอยคุ้มครอง หากตกลงหย่าขาดกับเสิ่นจงชิ่งเมื่อไร ต่อให้สามารถรักษาโรคและหาเงินได้ ช้าเร็วเจินสือเหนียงก็ต้องเหนื่อยตายเพราะเลี้ยงดูลูกสองคนนี้!

กระบี่ไม้ในมือร่วงลงบนเตียงเตา เจินสือเหนียงหันหลังกลับไปทันที

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ชินที่ต้องคุยกับเจ้าในสภาพนี้” ครู่ใหญ่กว่านางจะเอ่ยคำพูดออกมา น้ำเสียงราบเรียบจับกระแสอารมณ์ไม่ถูก เงาร่างแบบบางถูกห่อหุ้มด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สลัวราง พร่ามัวและอ้างว้าง

สี่เชวี่ยลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมากแล้วของตนเองโดยไม่รู้ตัว หากให้นางทิ้งเด็กในท้อง มิสู้ฆ่านางให้ตายเสียดีกว่า! พอเกิดความคิดนี้ หัวใจสี่เชวี่ยก็เจ็บปวดทรมานเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

นางคุกเข่าอยู่นาน เห็นเจินสือเหนียงไม่ยอมหันกลับมา จึงพยุงเตียงเตาค่อยๆ ลุกขึ้น “บ่าวรู้ว่าคุณหนูอาลัยพวกเขา แต่…” ถ้าไม่ส่งพวกเขาไป คุณหนูย่อมมีแต่ตายเท่านั้น!

ยามเผชิญหน้ากับทางตัน ไม่ว่าใครล้วนต้องสัมผัสความเจ็บปวดของการเลือก ดูว่าจะเลือกทางเดินอย่างไรเท่านั้นเอง คำพูดนี้วนเวียนอยู่ที่ปาก สี่เชวี่ยกลับพูดไม่ออก

“เจ้านั่งลงดีๆ ก่อน” เจินสือเหนียงหันกลับมา สีหน้าเอื้ออารีและสงบนิ่งดุจเดิม

สี่เชวี่ยประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางสุขุมของเจินสือเหนียง หัวใจที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที นางถอดรองเท้าอย่างงุ่มง่ามและค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามเจินสือเหนียง

เจินสือเหนียงเก็บกระบี่ไม้ของเจี่ยนอู่ขึ้นมาลูบไล้โดยไม่พูดจา เมฆยามเย็นก้อนสุดท้ายถูกกลืนหายไปช้าๆ ท่ามกลางความมืด ในห้องเงียบกริบเหมือนสุสาน

สี่เชวี่ยเริ่มรู้สึกประหม่าอีกครั้ง “คุณหนู…” นางร้องเรียกอย่างไม่สบายใจ

“หลังจากตกลงหย่า ส่งเหวินเกอ อู่เกอให้เขา…” เหมือนกำลังใคร่ครวญข้อเสนอของสี่เชวี่ย เจินสือเหนียงเอ่ยเนิบช้าและเงยหน้าโดยพลัน “เจ้ารับรองได้หรือไม่ว่าเขาจะให้ข้าพบลูก”

ไม่มีทาง! สี่เชวี่ยส่ายหน้าแรงๆ หากเป็นตระกูลทั่วไป บางทีเจินสือเหนียงอาจแอบมองพวกเขาในลานบ้านได้ แต่หากส่งเข้าไปในจวนแม่ทัพที่ลึกดุจท้องทะเลแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่ได้เห็นพวกเขาอีก เว้นเสียแต่รอให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เติบโตจนมีจวนของตนเอง ถึงเวลานั้นหากพวกเขายังจดจำแม่บังเกิดเกล้าคนนี้ได้ ไม่แน่พวกเขาอาจจะแอบมาเยี่ยมนางบ้าง

แต่เด็กอายุสี่ห้าขวบ ทั้งยังถูกคนในจวนแม่ทัพจงใจปิดบังและเสี้ยมสอน พวกเขาหรือจะจำแม่แท้ๆ ที่เคยลำบากตรากตรำเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความทุ่มเททั้งชีวิตคนนี้ได้

“แต่ว่า…คุณหนู…” สี่เชวี่ยหน้าซีด

เจินสือเหนียงโบกมือไม่ให้นางพูดต่อ “หลังตกลงหย่า เขาย่อมแต่งภรรยาใหม่อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตระกูลของนายหญิงคนใหม่จะต้องมีอำนาจแข็งแกร่งแน่นอน อีกทั้งใช้เวลาไม่นาน นางก็จะมีลูกของตนเอง” เจินสือเหนียงจ้องสี่เชวี่ยตาไม่กะพริบ “เจ้าว่าหากมีลูกของตนเองแล้ว นางจะปฏิบัติกับเหวินเกอ อู่เกออย่างไร”

สี่เชวี่ยหน้าซีดกว่าเดิม

ไม่ว่าอย่างไรหากกลับจวนแม่ทัพ เจี่ยนเหวินก็จะเป็นลูกคนโต หากไม่เกิดข้อผิดพลาด ตามหลักแล้วเขาย่อมเป็นผู้สืบทอดจวนแม่ทัพ สืบทอดตำแหน่งหน้าที่ต่อจากเสิ่นจงชิ่ง ลูกชายคนอื่นๆ ของเสิ่นจงชิ่งย่อมต้องหาทางออกให้กับตนเอง เพื่อให้ลูกชายของตนเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ประมุขหญิงคนใหม่จะต้องเห็นเขาเป็นเสี้ยนหนามตำใจ คิดกำจัดให้พ้นทางแน่นอน!

“ไม่มีครอบครัวฝ่ายมารดาคอยปกป้อง แถมแม่บังเกิดเกล้ายังถูกหย่าและเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ หากท่านแม่ทัพชอบข้าก็แล้วไปเถอะ แต่เขากลับเกลียดข้าเหมือนอสรพิษ” เห็นสี่เชวี่ยเงียบ เจินสือเหนียงพูดเสียงดังกว่าเดิม “ส่งพวกเขาเข้าจวนแม่ทัพ เกรงว่าเหวินเกอ อู่เกอจะตายเร็วกว่าข้าเสียอีก!”

เนื่องจากมีวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน นางจึงหวังให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสว่างไสวตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมานางไม่เคยสอนแผนการชั่วร้ายใดๆ ให้พวกเขาเลยสักเพียงนิด

สี่เชวี่ยไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน! นางหัวใจกระตุกวาบ ริมฝีปากขยับไปมา แต่พูดอะไรไม่ออก

เจินสือเหนียงถอนหายใจ ดึงสายตากลับมาและเอ่ยช้าๆ “สี่ปีก่อนตอนข้าใกล้ตายและยอมฝืนใจรับปากให้เจ้าไปขอร้องเขา นั่นเพราะคิดว่าตนเองไปไม่รอดแล้ว จึงอยากส่งเหวินเกอ อู่เกอกลับไปอยู่กับเขา ถึงไม่มีแม่ แต่ดีชั่วอย่างไรก็มีพ่ออยู่ ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก แม้ข้าจะอาลัย แต่หากส่งไปแล้วย่อมทำอะไรไม่ได้อีก หลายปีมานี้ข้าคงลืมได้แล้ว น่าเสียดายที่…” เจินสือเหนียงหยุดชะงักเมื่อคิดถึงตอนที่สี่เชวี่ยกลับมาจากจวนจ้วงหยวนครั้งนั้น ศีรษะถูกตีจนบวมเหมือนหัวหมู หน้าบวมช้ำจนออกไปพบใครไม่ได้อยู่ครึ่งเดือน

ประสบการณ์ที่เคยพานพบมาเหมือนฉายซ้ำอยู่ตรงหน้า สี่เชวี่ยต้องเม้มปากแน่นถึงจะห้ามไม่ให้ตนเองร้องไห้ออกมาได้

มองไหล่สี่เชวี่ยที่สั่นไหวอยู่ท่ามกลางความมืด เจินสือเหนียงถอนใจเบาๆ อีกครั้ง “ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าเห็นเหวินเกอ อู่เกอเติบโตขึ้นมาทีละน้อย เห็นพวกเขาเข้ามาซุกอกข้าอย่างออดอ้อน เวลาข้าโกรธก็คิดหาวิธีเอาอกเอาใจ เมื่อครู่นี้พวกเขายังกอดข้าไว้แน่น สาบานว่าโตขึ้นจะหาเงินมาเลี้ยงดูข้า จะสอบจ้วงหยวนหาเงินมารักษาโรคให้ข้า…” แววตาของนางผุดไอน้ำบางๆ หนึ่งชั้น “บัดนี้เจ้าจะให้ข้าส่งพวกเขาเข้าไปในจวนแม่ทัพที่กินคนได้โดยไม่คายกระดูก ข้าจะตัดใจได้อย่างไร”

นางมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดสนิทด้วยแววตาล้ำลึก “ไม่มีพวกเขา ข้าอาจจะสบายขึ้น แต่ว่าสี่เชวี่ย…” จู่ๆ นางก็หันกลับมามองสี่เชวี่ยอย่างจริงจัง “หากไม่มีพวกเขา ข้าก็ต้องตายเพราะความโศกเศร้าไม่ต่างกัน ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้แต่วันเดียว!”

“คุณหนูอย่าพูดอีกเลย!” สี่เชวี่ยน้ำตาไหลดุจสายฝน ส่ายหน้าแรงๆ “ท่านให้พวกเขาอยู่กับท่านต่อไปเถอะ”

เห็นสี่เชวี่ยคิดได้ในที่สุด เจินสือเหนียงก็พรั่งพรูลมหายใจยาว ยื่นมือไปกุมมือนาง “สี่เชวี่ย ไหนๆ วันนี้ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า”

ท่ามกลางความมืด สี่เชวี่ยหน้าแดงทันใด “บ่าวเป็นคนของคุณหนู คุณหนูมีอะไรโปรดสั่งมาเถอะเจ้าค่ะ ไยต้องขอร้องบ่าวด้วย”

“ร่างกายข้าไม่รู้จะทนไปได้ถึงเมื่อไร เจ้ารับปากข้านะ หากข้าตายไป เจ้าต้องรอให้เหวินเกอ อู่เกออายุครบสิบสามก่อนค่อยบอกพวกเขาว่าพ่อบังเกิดเกล้าของพวกเขาเป็นใคร จากนั้นส่งพวกเขากลับจวนแม่ทัพไปรู้จักกับบรรพบุรุษของตนเอง”

สิบสามขวบในยุคปัจจุบันยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นที่ซุกอกแม่ออดอ้อนออเซาะ แต่ในสมัยโบราณผู้ชายวัยเท่านี้ย้ายออกไปอยู่เองข้างนอกแล้ว โดยเฉพาะตระกูลใหญ่ที่มีฐานะก็เริ่มมีสาวใช้ห้องข้าง*มาปรนนิบัติแล้ว นางเลือกอายุเท่านี้เพราะไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว

หากนางโชคไม่ดีตายเร็วและจำต้องส่งเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กลับจวนแม่ทัพ อายุน้อยเกินไปพวกเขาย่อมถูกปองร้าย แต่หากอายุมากไปก็เกรงว่าภาระของสี่เชวี่ยจะหนักเกินไป ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูพวกเขา

อายุสิบสามไม่มากและไม่น้อยเกินไป พอเข้าจวนไปก็จะถูกส่งออกมาอยู่เรือนข้างนอก โอกาสรอดชีวิตย่อมสูงกว่า เชื่อว่าขอเพียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฉลาดพอ รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่หวังจะยึดตำแหน่งผู้สืบทอด นายหญิงในอนาคตของจวนแม่ทัพอาจจะละเว้นพวกเขา ให้พวกเขาได้มีชีวิตรอดต่อไป

นางกำลังสั่งเสีย!

สี่เชวี่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว “คุณหนู!” เสียงแหลมแหวกผ่านความมืดสะท้อนออกไปไกล แม้แต่สี่เชวี่ยยังตกใจกับเสียงของตนเอง

“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงปิดปากนางและหันไปมองประตู เห็นในลานบ้านเงียบสงบถึงวางใจ “เจ้าร้องทำไม ข้าก็แค่พูดไว้เท่านั้น ใช่ว่าข้าจะตายพรุ่งนี้เสียเมื่อไร”

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยพยายามข่มเสียงสะอื้นและร้องเรียกเสียงเครือ

“เจ้าวางใจ ข้าแค่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เจินสือเหนียงกุมมือนางแน่นท่ามกลางความมืด “ข้าเองก็รับปากเจ้าว่าอีกหน่อยจะพยายามเอาใจท่านแม่ทัพ” นางหยุดชะงักเหมือนลังเล ก่อนพูดอย่างเข้มแข็งว่า “ข้าเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ไม่มีประโยชน์กับอนาคตของเขา อยากขอร้องให้เขาไม่ทอดทิ้งข้าคงเป็นไปไม่ได้ ข้าได้แต่พยายามยื้อเวลาในการตกลงหย่าออกไปอีกสักครึ่งปีหนึ่งปี จะได้มีเวลาเก็บเงินให้มากหน่อย อีกหน่อยเจ้ากับเหวินเกอ อู่เกอจะได้ไม่ต้องลำบากมาก”

ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ในเมื่อนางไม่มีเวลาจะเริ่มต้นใหม่แล้ว การไม่หย่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนางตอนนี้ อยากสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ วิธีที่เร็วที่สุดคือผูกสัมพันธ์กับเสิ่นจงชิ่งและตักตวงเอาจากเขา

“คุณหนู…คุณหนูรับปากว่าจะดีกับท่านแม่ทัพจริงๆ หรือเจ้าคะ” เสียงของสี่เชวี่ยสั่นเล็กน้อย ห้าปีมานี้เจินสือเหนียงรังเกียจเขามากแค่ไหน นางรู้ดีที่สุด เสิ่นจงชิ่งหาใช่คนไม่มีหัวจิตหัวใจ หากเมื่อห้าปีก่อนนางยอมก้มหัวให้เขา วันนี้พวกนางย่อมมีชีวิตอีกแบบ

“ศักดิ์ศรีกินแทนข้าวไม่ได้” เจินสือเหนียงหัวเราะ “เจ้าวางใจเถอะ เพื่อเหวินเกอ อู่เกอ อย่าว่าแต่ก้มหัวให้เขาเลย ต่อให้ค้อมเอวข้าก็ทำได้” ใบหน้าดูทะเล้นซุกซน แต่ในใจกลับเจ็บปวดเหมือนถูกมดกัดแทะ รวดร้าวไปถึงในกระดูก นี่คงเป็นความเศร้าของแม่ผู้อ่อนแอกระมัง

ชีวิตรันทดถึงเพียงนี้ ใช่ว่านางเป็นคนที่ทะลุมิติมาแล้วจะมีอภิสิทธิ์ ได้อยู่เหนือสรรพสิ่งอื่นๆ

นางจะเข้มแข็งก็ได้ จะรักศักดิ์ศรีก็ได้ จะไม่ค้อมเอวเพื่อข้าวสารห้าโต่ว*ก็ได้ แต่นางไม่อาจช่วงชิงชีวิตวัยเด็กอันสดใสไปจากเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อย่างเห็นแก่ตัวเพียงเพราะต้องการอิสระ ต้องการรักษาเกียรติและยึดมั่นในทิฐิของตนเอง ทำให้พวกเขาต้องแบกรับภาระหนักอึ้งก่อนวัยอันควร ลิ้มรสความลำบากก่อนที่ควรจะเป็น

จะว่าไปแล้ว คุณหนูของนางยอมกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ก็เพื่อเหวินเกอ อู่เกอทั้งนั้น เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน บัดนี้คุณหนูของนางขัดขวางอนาคตอันสดใสของเขาอยู่ ต่อให้นางยอมละทิ้งศักดิ์ศรีอ้อนวอนขอร้อง เขาจะยอมเลื่อนการตกลงหย่าออกไปอีกสองปีหรือ

ไม่รู้เพราะอะไร ได้ยินเจินสือเหนียงยอมเป็นฝ่ายอ่อนข้อขอร้องเสิ่นจงชิ่ง นางควรจะดีใจ แต่โพรงอกกลับเหมือนมีปุยฝ้ายอัดอยู่ก้อนหนึ่ง รู้สึกยุ่งเหยิงสับสนจนสี่เชวี่ยหายใจไม่ออก “มืดเกินไปแล้ว บ่าวไปจุดตะเกียงดีกว่า!” สี่เชวี่ยลุกขึ้นกะทันหันหมายจะหลบออกไปจากบรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้

“สี่เชวี่ย!” เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้

ในห้องมืดทึบ สี่เชวี่ยไม่เห็นสีหน้าของเจินสือเหนียงและเดาไม่ถูกว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ความเย็นเยียบที่ส่งมาจากมือเย็นเฉียบที่กุมมือนางอยู่ทำให้ฟันของนางกระทบกันกึกๆ นานทีเดียวสี่เชวี่ยจึงเอ่ยเสียงสั่น “ได้ บ่าวรับปากท่านว่าหากมี…มีวันนั้นจริง…บ่าวจะปรนนิบัตินายน้อยให้ดี หากบ่าวมีข้าวกินจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาอด รอจนพวกเขาอายุครบสิบสามแล้วค่อยส่งพวกเขาให้ท่านแม่ทัพ!”

“ดี!” เจินสือเหนียงพรูลมหายใจออกมาช้าๆ

 

หลังจากนั้นเจินสือเหนียงไม่กล้าฝืนตนเองอีก ตั้งใจพักผ่อนร่างกายอยู่หลายวัน

วันนี้ตอนเช้าตรู่ ระหว่างเลือกเด็ดรากบัวกับชิวจวี๋อยู่ในลานบ้าน ภรรยาหลี่ฉีจากร้านยารุ่ยเสียงมาหาอย่างร้อนใจ

“รู้ว่าเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เดิมทีไม่อยากจะรบกวน แต่ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องช่วย” ภรรยาหลี่ฉีประสานมือคารวะเจินสือเหนียงติดๆ กัน

“เกิดอะไรขึ้น” เจินสือเหนียงถอดถุงมือลุกขึ้นยืน

“หลายวันก่อนเอ้อร์กุ้ยลูกชายคนที่สองของหลิ่วหมาจื่อที่เป็นนายพรานในอำเภอซีโกวไม่สบาย หมอเฝิงเป็นคนรักษา บอกว่าเป็นไข้หวัดและจัดยาให้กินสองเทียบ เริ่มแรกอาการดีขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะทรุดหนัก หัวบวมเหมือนหัววัว คนถูกวางบนบานประตูหามมา พี่หลี่ของเจ้าเชิญหมอหม่าจากร้านยาต๋าเหรินมาดูก็บอกว่าเป็นไข้หวัด หมอเฝิงจ่ายยาถูกต้องแล้ว แต่เอ้อร์กุ้ยไม่ฟื้นเสียที” พอคิดว่าเอ้อร์กุ้ยกำลังจะตาย ครอบครัวยืนอออยู่หน้าประตูร้านร้องไห้โวยวาย ภรรยาหลี่ฉีก็มองเจินสือเหนียงด้วยแววตาน่าสงสาร “อาโยวช่วยไปดูหน่อยเถิด…”

“เจ้าไปเอาหมวกสานของข้ามา” เจินสือเหนียงโยนถุงมือให้ชิวจวี๋ทันทีและเดินเข้าไปในบ้าน ปากกำชับไปด้วย

“คุณหนู!” ชิวจวี๋คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และเบิกตามองนางโดยไม่พูดอะไร สองวันนี้แค่เดินเจินสือเหนียงยังไม่มีเรี่ยวแรง แล้วจะออกไปตรวจโรคได้อย่างไร

“ข้าแค่ไปจับชีพจร ไม่เหนื่อยหรอก” เจินสือเหนียงกล่อมนางเสียงค่อย

ชิวจวี๋ยังคงเม้มปากยืนกรานปฏิเสธ คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ไม่ปล่อย

ภรรยาหลี่ฉียิ้มเก้อ “แม่นางชิวจวี๋วางใจได้ ข้ารู้ว่าอาโยวร่างกายไม่ดีจึงเตรียมรถม้าไว้แล้ว จอดรออยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามนอกตรอก อาโยวไปก็แค่ช่วยจับชีพจรเท่านั้น ในร้านยามีผู้ช่วยอยู่ ไม่เหนื่อยแน่นอน”

สองปีมานี้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีแต่บ้านนางที่เชิญหมอเจี่ยนมาตรวจโรคได้ ทำให้มีคนอุดหนุนร้านยามากขึ้นทุกที กิจการดีวันดีคืน เจินสือเหนียงเป็นตัวนำโชคของร้านนาง ภรรยาหลี่ฉีแทบอยากจะบูชานางไว้บนแท่น ดังนั้นจึงเกรงอกเกรงใจชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยมากตามไปด้วย

เห็นชิวจวี๋ยังยืนนิ่ง ภรรยาหลี่ฉีร้อนใจจนหน้าแดง “อาโยว…เอ่อ…” นางมองเจินสือเหนียงอย่างร้อนรน

หลิ่วเอ้อร์กุ้ยใกล้จะสิ้นลมแล้ว หน้าร้านยาถูกล้อมไว้แน่นหนา มิอาจทำการค้าได้ ยิ่งปล่อยไว้นาน ชื่อเสียงของร้านยายิ่งเสียหาย

เจินสือเหนียงตบตัวชิวจวี๋เบาๆ “รีบไปเถอะ” น้ำเสียงเมตตาอารีแฝงแววยืนกรานไม่ให้ปฏิเสธ

ชิวจวี๋ทำปากอูด เข้าบ้านไปหยิบหมวกสานอย่างไม่เต็มใจและสวมให้เจินสือเหนียง ปากเสนอว่า “หรือจะให้บ่าวไปกับท่านด้วย”

จะได้อย่างไร! ชิวจวี๋อายุน้อยก็จริง แต่นางขึ้นเขาตัดฟืน ทำงานในนา ออกไปซื้อเสบียงอาหารทุกวัน ประกอบกับนิสัยน่ารักร่าเริง ชาวเมืองอู๋ถงจึงไม่มีใครไม่รู้จักนาง หากนางตามไปด้วย ไม่ถึงครึ่งวันชาวเมืองทั้งหมดย่อมรู้ว่าหมอเจี่ยนผู้ลึกลับก็คือนางเจินสือเหนียง คนไข้ที่มารักษาโรคจะไม่แห่กันมาที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้หรือ

ที่สำคัญกว่านั้นคือหากเสิ่นจงชิ่งรู้เข้า เกรงว่าแม้แต่เรื่องตกลงหย่าคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาคงส่งแพรขาวสามศอก*กับสุราพิษหนึ่งจอกมาให้นางทันที

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงชี้รากบัวในลานบ้านและกำชับ “เจ้าอยู่บ้านจัดการรากบัวต่อเถอะ หักส่วนที่เล็กเกินไปกับส่วนที่เสียออกมาล้างทำแป้งรากบัว อีกประเดี๋ยวพี่จางจะพาคนมาซื้อ ราคาเมื่อวานข้าตกลงไว้แล้ว ชั่งละครึ่งอีแปะ เจ้าคอยเก็บเงินด้วย”

“แม่นางชิวจวี๋วางใจได้ ตรวจโรคเสร็จ ข้าจะเอารถม้ากลับมาส่งอาโยวแน่นอน!” เห็นชิวจวี๋ยังคงไม่วางใจ ภรรยาหลี่ฉีจึงคลี่ยิ้มรับรองเป็นมั่นเหมาะ

 

หน้าประตูร้านยารุ่ยเสียงเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด

“ทุกคนดูสิ หมอเถื่อนเฮงซวยชัดๆ เด็กดีๆ คนหนึ่งพอกินยาเข้าไปกลับกลายเป็นแบบนี้!” หลิ่วหมาจื่อยืนขวางทางเข้าพลางร้องด่าเสียงดัง “วันนี้ถ้าเจ้าไม่ชี้แจงให้ชัดเจน อย่าคิดจะได้ขายยาแม้แต่เทียบเดียว!”

ใบหน้าเขาดุดันอยู่แล้ว ทั้งยังล่าสัตว์เป็นเวลานานจนทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหี้ยมโหด เมื่อยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นจึงดูเหมือนปีศาจดุร้าย ใครยังจะกล้าเข้าไปซื้อยาเล่า ทุกคนยืนอออยู่หน้าร้านยารุ่ยเสียงพลางชี้ไม้ชี้มือไปที่หลิ่วเอ้อร์กุ้ยที่นอนอยู่บนบานประตูโดยมีผ้าห่มพันตัว

แม่ของเอ้อร์กุ้ยนั่งร้องไห้โฮอยู่ข้างๆ “ลูกข้า หากเจ้าเป็นอะไรไป แม่ก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”

“ภรรยาข้าไปตามท่านหมอเจี่ยนหมอเทวดามาแล้ว พี่หลิ่วเข้ามาในบ้านค่อยพูดค่อยจากันก่อน” หลี่ฉีเหงื่อแตกพลั่ก เขาขอร้องจนคอแหบคอแห้ง แทบจะลงไปโขกศีรษะให้หลิ่วหมาจื่ออยู่แล้ว

“หมอเทวดา…หมอเทวดาอะไรกัน!” ด้วยหวาดเกรงในชื่อเสียงของหมอเจี่ยน หลิ่วหมาจื่อจึงไม่ได้เอ่ยคำว่าหมอเทวดาบัดซบออกมา เขาชี้หลิ่วเอ้อร์กุ้ยที่นอนไม่ได้สติอยู่บนบานประตู “ลูกชายข้าอยู่ตรงนี้ วันนี้หากพวกเจ้ารักษาหายก็แล้วไป แต่หากรักษาไม่หาย ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งครอบครัวชดใช้ด้วยชีวิต!” เขาชักดาบโค้งที่ใช้ล่าสัตว์ออกจากเอวและสะบัดไปมาตรงหน้าหลี่ฉี

ขนอ่อนของหลี่ฉีลุกชันทั้งตัวเมื่อเห็นแสงเยียบเย็นวูบผ่านหน้าไป แข้งขาอ่อนยวบจนเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น เขาฝืนจับเสาประตูทรงตัวไว้ พอเงยหน้าเห็นรถม้าของเจินสือเหนียงมาถึงพอดีก็รีบตะเบ็งเสียงดังลั่น “หมอเจี่ยนมาแล้ว!” น้ำเสียงผิดเพี้ยนไปจากเดิมเพราะความตื่นเต้นยินดี

เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบลง ทุกคนหันไปมองรถม้าอย่างพร้อมเพรียง

“หยุด…” รถม้าหยุดอยู่ด้านหลังกลุ่มคน

“ทุกคนหลีกทางหน่อย หลีกหน่อย หมอเจี่ยนมาแล้ว!” ภรรยาหลี่ฉีประคองเจินสือเหนียงลงจากรถม้า ใช้ร่างกายตนเองบังนางไว้พลางร้องขอทางกับผู้คน

เจินสือเหนียงกลัวคนอื่นจะจำได้ ภรรยาหลี่ฉีกลับกลัวยิ่งกว่านาง

หากมีคนจำเจินสือเหนียงได้ เกรงว่าอีกหน่อยคงไม่มีใครมาตรวจโรคซื้อยาที่นี่อีก บ้านของเจินสือเหนียงย่อมกลายเป็นร้านยาแทน แม้จะไม่เห็นหน้า แต่พอเห็นการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเจินสือเหนียง ทุกคนต่างหลีกทางให้ทันที

แม่ของเอ้อร์กุ้ยหยุดร้องไห้ เบี่ยงตัวเปิดทางให้ “ท่านหมอเจี่ยนโปรดช่วยชีวิตเอ้อร์กุ้ยของข้าด้วย”

ที่เอะอะโวยวายก็เพราะส่วนลึกในใจหวาดกลัวว่าจะต้องเสียลูกชายไป บัดนี้เห็นหมอเทวดาลึกลับผู้มีวิชาสูงส่งเดินทางมาแล้ว หลิ่วหมาจื่อสามีภรรยาไหนเลยจะกล้าอาละวาดอีก เกรงว่าลูกชายจะไม่ได้รับการรักษา ต่างนอบน้อมกับเจินสือเหนียงอย่างมาก

“มาหาหมอเมื่อสี่วันก่อน” เห็นเจินสือเหนียงย่อตัวลงจับชีพจรให้เอ้อร์กุ้ย เฝิงสี่ถึงกล้ามุดออกมาจากร้านยาในสภาพมอมแมม “ตอนแรกที่มาตาแดงหน้าแดง กลัวความหนาวและตัวร้อน ตรวจพบว่าชีพจรเต้นถี่เร็ว เป็นอาการของไข้หวัดอย่างแท้จริง ใช้เปลือกต้นจำปา โกฐน้ำเต้า ส้มตากแห้ง และดีเกลือผสมเป็นยากินแล้วอาการดีขึ้น แต่วันต่อมาศีรษะและใบหน้ากลับบวมขึ้น ข้าจึงเพิ่มชะเอม รากห้อม และขิงแก่เข้าไป…” เฝิงสี่เล่าด้วยน้ำเสียงอึกอักพลางมองเอ้อร์กุ้ยที่หายใจรวยริน ใบหน้าเขียวคล้ำ “ตามความเห็นของท่านหมอเจี่ยน หรือว่าเขาจะไม่ได้เป็นไข้หวัด” เขาส่ายหน้าพึมพำกับตนเอง “ไม่สิ ทั้งชีพจรและอาการล้วนบ่งชี้ว่าเป็นไข้หวัด”

นี่เป็นไข้หวัดจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา เป็นไข้หัวบวม! หลังจับชีพจร เปิดเปลือกตาและตรวจดูลิ้น เจินสือเหนียงก็มั่นใจว่าเขาเป็นไข้หัวบวม แม้ไม่เคยเห็นผู้ป่วยโรคนี้กับตามาก่อน แต่อาจารย์เมื่อชาติก่อนกล่าวถึงโรคชนิดนี้เป็นพิเศษตอนสอน ‘ตำราไข้หวัด’

ไข้หัวบวม เกิดจากไวรัสคางทูม อาการที่เห็นเด่นชัดคือศีรษะบวม ตัวร้อน มักเป็นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือโรคชนิดนี้ติดต่อง่ายมาก ทั้งยังถูกจัดเป็นโรคระบาดในสมัยโบราณ จำได้ว่าตอนอาจารย์สอนโรคชนิดนี้ นางเองก็ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าในสมัยโบราณเคยเกิดโรคระบาดที่ใกล้เคียงกับไข้หัวบวมและไข้อึ่งอ่าง เมื่อเป็นแล้วส่วนใหญ่จะรักษาไม่ได้ คิดถึงตรงนี้หัวคิ้วของเจินสือเหนียงพลันขมวดมุ่น

นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน อีกทั้งเงื่อนไขทางการแพทย์ยังแย่ขนาดนี้ ผู้คนก็งมงาย…โรคนี้จะลุกลามเป็นโรคระบาดหรือเปล่า

“…ลูกชายข้าเป็นโรคอะไรหรือ” เห็นเจินสือเหนียงไม่พูดจา แม่ของเอ้อร์กุ้ยพลันรู้สึกกังวล

“เป็นไข้หวัดจริงๆ หรือไม่” หลิ่วหมาจื่อถามบ้าง “รักษาได้หรือไม่”

“ได้!” พอได้สติ เจินสือเหนียงตอบอย่างไม่ลังเล

“เจ้ารักษาได้จริงหรือ” บุรุษอายุราวสามสิบในชุดแพรปักลายก้าวออกมาจากกลุ่มคน เขามองเจินสือเหนียงอย่างไม่เชื่อ “นี่เป็นโรคระบาด ข้าเคยเห็นที่เมืองอูซีเมื่อหลายปีก่อน พอเป็นแล้วไม่มีทางรักษา ตอนนั้นชาวเมืองตายทั้งเมือง!” เมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าสลดใจครั้งนั้น ชายหนุ่มสั่นสะท้านเมื่อเอ่ยคำพูดนี้

“อะไรนะ เอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด?!” แม่ของเอ้อร์กุ้ยร้องโหยหวนก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง

“เจ้าน่ะสิเป็นโรคระบาด!” หลิ่วหมาจื่อตาแดงทันใด เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากนูนขึ้น เขาคว้าคอเสื้อชายผู้นั้น

“ข้าเคยเห็นคนป่วยเป็นโรคนี้จริงๆ” หลิ่วหมาจื่อรูปร่างกำยำสูงใหญ่ก็จริง แต่กลับขยับตัวชายผู้นั้นไม่ได้ ทั้งยังถูกเขาปัดมือออก ชายผู้นั้นชี้ศีรษะของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยและเอ่ยอย่างสุภาพนุ่มนวล “ศีรษะบวมใหญ่ขนาดนั้น ไม่ว่าใครเห็นแล้วย่อมไม่ลืม!”

เขาชี้เจินสือเหนียง “หากไม่เพราะนางบอกว่ารักษาได้ ให้ตายข้าก็ไม่พูดออกมาหรอก พี่ชายท่านนี้อย่าโกรธเลย ข้าไม่ใช่หมอ เพียงแต่เห็นเด็กคนนี้ศีรษะบวมเหมือนโรคระบาดชนิดนั้น จึงคิดถึงเหตุการณ์โรคระบาดในเมืองอูซี ถือว่าข้าพูดเหลวไหลก็แล้วกัน”

ไม่อธิบายยังพอทน พอเขาอธิบายออกมา กลุ่มคนก็แตกฮือ บางคนแอบถอยไปข้างหลังเงียบๆ ออกห่างจากครอบครัวของหลิ่วหมาจื่อเหมือนพวกเขาเป็นตัวเชื้อโรค กระทั่งหลี่ฉีเองยังตกใจจนหน้าซีด

สมัยโบราณการแพทย์ล้าหลัง หากเป็นโรคระบาด แปดเก้าคนในสิบคนย่อมต้องตาย พอเอ่ยถึงโรคระบาดจึงไม่มีใครที่ไม่กลัว เห็นสถานการณ์บานปลาย เจินสือเหนียงจึงปรบมือหลายๆ ครั้ง “ทุกคนเงียบก่อน!” เห็นหลิ่วหมาจื่อยังจ้องชายผู้นั้นอย่างไม่ลดละ จึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ข้าบอกแล้วว่าโรคนี้รักษาได้ หากเจ้ายังอาละวาดต่อไป ลูกชายเจ้าคงหมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ!” เสียงไม่ดัง แต่เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม

หลิ่วหมาจื่อถอยไปข้างบานประตูทันที ก่อนจะประสานมือคารวะเจินสือเหนียง “ท่านหมอเจี่ยนโปรดช่วยชีวิตลูกชายข้าด้วย!”

แม่ของเอ้อร์กุ้ยหยุดร้องไห้ คุกเข่าโขกศีรษะให้เจินสือเหนียงไม่หยุดราวกับเจินสือเหนียงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพได้

ปากบอกไม่เชื่อ แต่โรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยประหลาดขนาดนี้ คิดถึงอาการหนาวสั่นของตนเองในช่วงสองวันนี้ที่เหมือนอาการตอนเอ้อร์กุ้ยไม่สบายใหม่ๆ แล้ว ในใจแม่ของเอ้อร์กุ้ยเชื่อคำพูดชายผู้นั้นไปแล้ว เป็นไปได้ที่ครอบครัวนางจะติดโรคระบาด!

“หมอเจี่ยนเป็นหมอเทวดาที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ท่านให้คำตอบที่แน่นอนกับพวกเราหน่อยเถอะ ตกลงเขาเป็นโรคระบาดหรือไม่” บางคนตะโกนออกมาจากกลุ่มคน

ก็เป็นโรคระบาดน่ะสิ! แต่เจินสือเหนียงรู้ว่าหากพูดความจริงออกไป ที่นี่จะต้องโกลาหลเหมือนเกิดแผ่นดินไหวระดับแปดแน่

“ร่างกายเขาถูกลมเย็นเท่านั้น กินยาไม่กี่เทียบก็หาย ยังเรียกว่าโรคระบาดไม่ได้” เห็นกลุ่มคนผ่อนคลายลง นางถึงพูดต่อ “แม้มิใช่โรคระบาด แต่โรคนี้ก็เหมือนไข้หวัดที่ติดต่อได้ ทุกคนอย่ามุงอยู่ที่นี่อีกเลย แยกย้ายกันไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเขียนสูตรยาไว้ หากใครกังวลว่าจะติดโรค ตอนบ่ายมาซื้อยาไปกินก็ไม่เป็นไรแล้ว” คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำของนางทำให้สถานการณ์อันตึงเครียดผ่อนคลายลง พอได้ยินว่าโรคนี้ติดต่อได้ยังมีคนวิตกก็จริง แต่กลับไม่หวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้

หมอเทวดาเจี่ยนผู้นี้ตั้งแต่ตรวจโรคมายังไม่เคยผิดพลาด เมื่อนางบอกว่าไม่ใช่โรคระบาดย่อมไม่ใช่โรคระบาด คำพูดนางไม่มีชาวเมืองคนใดไม่เชื่อ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นหมอเทวดาเจี่ยนผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้ กลุ่มคนที่ล้อมอยู่จึงมีไม่กี่คนที่ยอมจากไป ต่างอยากเห็นว่านางจะรักษาโรคอย่างไร

เจินสือเหนียงไม่สนใจกลุ่มคนที่ห้อมล้อมอยู่ สั่งให้คนหามหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเข้าไปในห้องคนป่วย

เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยหนักที่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เจินสือเหนียงจึงเสนอให้หลี่ฉีสร้างห้องผู้ป่วยสิบกว่าห้องไว้ที่ด้านหลังร้านยา หากเจอคนไข้ที่ต้องพักรักษาตัวที่นี่ นอกจากเก็บค่ารักษาแล้ว ยังสามารถเก็บค่าเช่าห้องต่างหากได้ด้วย ไม่เพียงได้คนไข้มากขึ้น รายรับก็เพิ่มขึ้นตาม หลี่ฉีรู้สึกเลื่อมใสเจินสือเหนียงจากใจจริง เจอใครก็ยกย่องความสามารถของนางให้ฟัง

ด้วยเหตุนี้เอง ชื่อเสียงของเจินสือเหนียงจึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

“เขาไม่ได้เป็นโรคระบาดจริงหรือ” หลังกำชับลูกจ้างในร้านให้ไปจัดห้องผู้ป่วยในเรือนด้านหลังแล้ว หลี่ฉีเอ่ยถามเจินสือเหนียงเสียงค่อย

“จัดห้องเดี่ยวให้เขา ไม่อนุญาตให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเข้าเยี่ยม” นางไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กำชับข้อควรระวังในการป้องกันโรคติดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงสุขุม

หลี่ฉีเปิดร้านขายยา มีหรือจะไม่เข้าใจที่นางพูด เขาตกใจจนหน้าซีด หมุนตัวจากไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

เห็นเจินสือเหนียงชั่งรากหวงฉิน รากเสวียนเซินและแยกวางลงบนกระดาษเหลืองหกแผ่นที่คลี่อยู่บนตู้แล้ว เฝิงสี่กะพริบตาปริบๆ “ในเมื่อแม่นางเจี่ยนเองก็บอกว่าเป็นไข้หวัด ไฉนจึงไม่ใช้ตำรับยาเฉิงชี่ทัง แต่กลับใช้รากหวงฉินและรากเสวียนเซิน” ตอนเข้ามาในห้องเขาถามเจินสือเหนียงแล้ว นางบอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นไข้หวัดเพราะความเย็น

ไข้หวัดเพราะความเย็นย่อมต้องระบายออกด้วยยาเฉิงชี่ทังเพื่อให้เหงื่อออก ตำรับยาของเขาหากตัดรากปั่นหลานกับชะเอมออกไปก็คือตำรับยาเฉิงชี่ทังที่มีชื่อเสียงของสำนักแพทย์หลวงนี่เอง

“แม้จะเป็นไข้หวัดเหมือนกัน แต่คนไข้หน้าบวมหัวบวม เห็นชัดว่าถูกพิษจู่โจม พิษนี้อยู่ในหัวใจและปอด หากใช้ยาเฉิงชี่ทังระบายออกจะขับได้เฉพาะความร้อนในกระเพาะลำไส้เท่านั้น ไม่อาจขับพิษในหัวใจและปอดได้ ดังนั้นข้าจึงใช้รากหวงฉินขับพิษในปอดและเส้นลมปราณ…” เจินสือเหนียงแบ่งยาอย่างชำนาญพลางอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ

ยาที่นางคลุกคลีด้วยเมื่อชาติก่อนส่วนใหญ่ล้วนเป็นยาแผนตะวันตก ส่วนยาจีน เจินสือเหนียงเข้าใจหลักการใช้ยา รู้จักตำรับยามากมายและรู้วิธีปรุงยาก็จริง แต่โอกาสที่จะได้เห็นของจริงมีไม่มาก ที่เคยเห็นโดยมากจะเป็นยาจีนที่โรงงานผลิตออกมาตามตำรับยาเรียบร้อยแล้ว สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที ดังนั้นทุกครั้งที่มาร้านยารุ่ยเสียง นางจึงคว้าโอกาส ‘เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง’ หัดลิ้มรสและแยกแยะสมุนไพรจากรูปร่างและรสชาติ อีกหน่อยนางจะเปิดร้านขายยา นี่เป็นความรู้พื้นฐานที่ขาดไม่ได้

ผ่านมาหลายปี ฝึกฝนไปมาจึงมีฝีมือยอดเยี่ยม

ทุกครั้งที่นางรักษาโรคจะต้องเป็นคนปรุงยาเอง เฝิงสี่เห็นบ่อยจนชินแล้ว คิดว่านางต้องการเก็บเป็นความลับ เขาจึงไม่พูดมาก ไตร่ตรองคำพูดนางด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น

“เขาไม่ได้เป็นโรคระบาดจริงๆ หรือ” เจินสือเหนียงกำลังแบ่งชะเอมสดที่ชั่งไว้แล้ว เสียงใสกังวานพลันดังขึ้นข้างๆ นางเงยหน้าพบว่าเป็นบุรุษวัยกลางคนในชุดแพรปักลายคนนั้น เขายังไม่ไปไหน แต่ยืนมองนางอยู่หน้าตู้ยา “เจ้ารักษาโรคชนิดนี้ได้จริงๆ หรือ”

เจินสือเหนียงกวาดตามองเขาด้วยแววตาราบเรียบโดยไม่ตอบอะไร ก้มหน้าเทชะเอมที่เหลืออยู่ในถาดชั่งลงบนกองยากองสุดท้าย ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักที่บรรจุหนอนขาวแห้งออกมาอย่างคล่องแคล่ว

“…น้องสาวข้าอาศัยอยู่ในเมืองอูซี เจ็ดปีก่อนทั้งครอบครัวเจ็ดชีวิตตายด้วยโรคนี้” เสียงของชายผู้นั้นเจือความเศร้าและไม่สบายใจรางๆ

แม่นางน้อยผู้นี้ไม่มีความรู้หรือมั่นใจจริงๆ ว่านี่ไม่ใช่โรคระบาด ถึงได้กล้าอวดเก่ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่แจ้งทางการเพื่อประกาศใช้มาตรการโดดเดี่ยวโดยเร็วที่สุด พึงรู้ว่าหากนางไม่ระวัง เมืองเล็กๆ แห่งนี้ย่อมเกิดหายนะครั้งใหญ่ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่ห่างไกลทุรกันดารก็จริง แต่กลับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองซั่งจิงกับค่ายเฟิงกู่ของแม่ทัพเสิ่น อยู่ห่างจากสถานที่ทั้งสองเป็นระยะทางไม่กี่สิบลี้ หากเกิดโรคระบาดจริง ลมวูบเดียวก็หอบเอาโรคระบาดไปได้แล้ว ค่ายเฟิงกู่มีกำลังทหารประจำอยู่หลายแสน!

ยิ่งคิดยิ่งตระหนก ใบหน้าของชายหนุ่มพลันซีดขาว

เฝิงสี่เงยหน้าอย่างตะลึง ชายผู้นั้นมองแผ่นหลังของเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ แววตาจริงใจแฝงความหวาดหวั่นอย่างปิดไม่มิด เฝิงสี่อดหันไปมองเจินสือเหนียงไม่ได้ ดวงตาฉายความตื่นลน มือที่ประคองตู้ยาสั่นระริก

เจินสือเหนียงหยุดชั่งยาและค่อยๆ หันกลับมา

“โรคระบาดครั้งนั้นเรียกว่าไข้อึ่งอ่าง คนที่เป็นโรคจะมีอาการเหมือนคนไข้เมื่อครู่นี้ทุกประการ หัวบวมตาแดง สองตาหรี่ลงเป็นเส้น สองแก้มพองเหมือนคางคก” เห็นเจินสือเหนียงหันหน้ามาในที่สุด บุรุษผู้นั้นจึงเอ่ยอย่างจริงใจ “แรกเริ่มหมอในเมืองอูซีก็พูดเหมือนท่านหมอท่านนี้ คิดว่าเป็นไข้หวัดจากความเย็นจึงใช้ยาเฉิงชี่ทัง ภายหลังอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีคนตายมากขึ้นทุกทีถึงได้หวาดกลัว เรื่องรู้ไปถึงราชสำนัก ทางการปิดล้อมเมืองนั้น อนุญาตให้เข้าได้เท่านั้น ออกไม่ได้…หากหมอเจี่ยนไม่เชื่อสามารถไปตรวจสอบดูได้ ทางการมีบันทึกเรื่องนี้อยู่”

“นี่…นี่…” เหงื่อเย็นบนหน้าผากของเฝิงสี่หยดลงมา

เจินสือเหนียงก้มหน้าแบ่งยาในมืออย่างสุขุม ห่ออย่างคล่องแคล่วและยื่นให้ฝูเป่าลูกจ้างในร้านที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดอยู่ข้างๆ “สี่ห่อนี้นำไปแบ่งต้มเป็นครั้งๆ อีกสองห่อบดเป็นผงแล้วนำมาให้ข้า”

ความสุขุมมั่นคงของเจินสือเหนียงทำให้ฝูเป่าสบายใจขึ้นไม่น้อย เขารับห่อยาและวิ่งไปที่เรือนด้านหลังทันที

“โรคระบาดคือโรคที่ติดต่อเฉียบพลัน” เจินสือเหนียงเงยหน้ามองบุรุษผู้นั้น “เนื่องจากติดต่อได้ง่าย รวดเร็วและไม่มีแนวทางการรักษา คนเป็นโรคจึงตายและกลายเป็นโรคระบาด” เจินสือเหนียงอธิบายพลางหยิบพู่กันกับหมึกมาก้มหน้าเขียน

เช่นนี้หมายความว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยผู้นั้นเป็นโรคระบาด! นางกำลังเล่นลิ้น! ชายผู้นั้นจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เจินสือเหนียงพูดที่หน้าประตูว่าโรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยติดต่อได้ ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไป เขามองนางอย่างประหม่า รู้สึกวิตกกับการอวดอ้างอย่างเจ้าเล่ห์และความใจกล้าบ้าบิ่นของนาง

ด้วยเกรงว่าจะเกิดความหวาดวิตกและโกลาหล เรื่องนี้หากเป็นทางการก็ย่อมจัดการแบบเดียวกัน แต่ภายหลังทางการจะแอบพาครอบครัวหลิ่วเอ้อร์กุ้ยไปที่อื่นให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือสังหารและฝังกลบเสีย แต่แม่นางน้อยคนนี้กลับมั่นอกมั่นใจว่าตนสามารถรักษาโรคของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยได้ นางสามารถควบคุมโรคนี้ไม่ให้ลุกลามออกไปได้!

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของทหารร่วมสิบหมื่นในค่ายเฟิงกู่ นางจะรับผิดชอบไหวหรือ!

“แม่นางเจี่ยน…” ด้วยจับนัยในคำพูดของเจินสือเหนียงได้ เฝิงสี่จึงร้องเรียกอย่างไม่สบายใจ

“วางใจเถอะ” เจินสือเหนียงยังคงก้มหน้าเขียน “โรคชนิดนี้เกิดจากพิษของลมร้อน ส่วนใหญ่มักเป็นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นลมเยอะ ฤดูหนาวอากาศควรจะหนาวเย็นแต่กลับอุ่น สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดพิษจากลมร้อนได้ง่าย แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างแข็งเพิ่งลง ขอเพียงพวกเรารับมือให้ดีย่อมไม่เกิดโรคระบาดในวงกว้าง” นางวางพู่กันและเงยหน้ามองบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “เจ้าต่างหาก ยังไม่แน่ใจก็ป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนเช่นนั้น หากเกิดความหวาดวิตกและความโกลาหลขึ้นมาจะน่ากลัวยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก” น้ำเสียงเนิบช้าสุขุมเหมือนผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก

คิดถึงโรคระบาดในเมืองอูซีที่เกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ชายผู้นั้นก็หน้าแดง “หมอเจี่ยนกล่าวถูกต้องแล้ว” น้ำเสียงเจือแววเลื่อมใสโดยไม่รู้ตัว เอ่ยออกไปแล้วเขาจึงผงะ ไม่ถูกต้องสิ นางเป็นแค่เด็กสาวอายุเท่าไรเอง ไฉนจึงสั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่เปี่ยมประสบการณ์เช่นนี้ เขาเป็นถึง…แต่เขากลับยอมรับผิดเสียอย่างนั้น คิดได้เช่นนี้ใบหน้าพลันเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว

เจินสือเหนียงไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว เขียวเป็นแดงสลับไปมา นางยื่นสูตรยาที่เขียนเสร็จให้หลี่ฉีที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ให้คนจัดยาตามสูตรนี้ อีกประเดี๋ยวน่าจะมีคนมาซื้อยาแล้วล่ะ” หันไปมองตู้ยาข้างหลังที่บรรจุยาไว้เต็มลิ้นชักเล็กๆ พลางหยอกเย้ากึ่งเล่นกึ่งจริงว่า “ชาวเมืองต่างกลัวจะเกิดโรคระบาด เห็นทีพี่หลี่คงต้องคว้าโอกาสนี้สั่งสมุนไพรเข้ามาเพิ่มแล้วล่ะ”

ชาติก่อนการแพทย์และสาธารณสุขล้วนพัฒนาแล้ว ทารกได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด โรคที่มักจะลุกลามเป็นโรคระบาดในสมัยโบราณเช่นกาฬโรคหรือคางทูมจึงถูกป้องกันไว้แล้ว โรคระบาดครั้งเดียวที่นางจำได้คือโรคซาร์สในปี 2003 ว่ากันว่ารากปั่นหลานป้องกันโรคซาร์สได้ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีการระบาดของโรค รากปั่นหลาน หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก็ถูกแย่งซื้อจนขาดตลาด

ตอนนั้นนางเรียนอยู่ปีสาม ประกาศของทางมหาวิทยาลัยรายงานเรื่องโรคระบาดทุกวัน บ้างก็ว่าวันนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกี่ราย พรุ่งนี้พบผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อกี่ราย จำได้ว่าวันหนึ่งโรงเรียนใกล้ๆ มีนักเรียนเสียชีวิตหนึ่งคน วันต่อมาโรงเรียนแห่งนั้นก็หยุดการเรียนการสอน ทำให้นางรู้สึกเหมือนความตายอยู่ใกล้แค่นิดเดียว กอดคอกับรูมเมทร้องไห้ไม่หยุด กังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือเปล่า จะตายหรือเปล่า…

ตอนนั้นนางรู้สึกหวาดหวั่นเหมือนโลกกำลังจะอวสาน

นางจึงเชื่อว่าหากชาวบ้านเหล่านี้มั่นใจว่ามีคนเป็นโรคระบาด ความหวาดวิตกที่จะเกิดขึ้นในเมืองอู๋ถงย่อมไม่น้อยไปกว่านางในตอนนั้นแน่

ใบหน้าของชายผู้นั้นฉายความประหลาดใจ “ยานี้…ใช้ได้ผลจริงๆ หรือ”

เจินสือเหนียงไม่ตอบ ด้วยเป็นคนนิสัยเฉยชา แต่ไรมานางจึงไม่เคยให้คำรับรองกับเรื่องแบบนี้

“จัดให้ข้าห้าเทียบ!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเหมือนต้องการเอาชนะ มือล้วงเศษเงินหนึ่งตำลึงโยนลงบนตู้ยา

หลี่ฉีตาเป็นประกาย พอได้ยินว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด ในใจเขาก็พลันมีแต่ความหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่!

เนิ่นนานกว่าจะได้สติ เขากำสูตรยาในมือแน่นๆ เหมือนได้รับสมบัติอันประเมินค่ามิได้ ปากร้องเรียกลูกจ้างที่ยืนอึ้งอยู่หน้าประตู “เร็ว เร็วเข้า รีบจัดยาให้นายท่านท่านนี้!”

ฝูเป่าเอายาผงที่บดเสร็จแล้วเข้ามาให้อย่างรวดเร็ว เจินสือเหนียงขอใช้ห้องยาของหลี่ฉีเคี่ยวผงยากับน้ำผึ้งทำเป็นยาลูกกลอน จากนั้นให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ยอมไว้ในปาก กว่าจะยุ่งเสร็จก็เกือบเที่ยง เนื่องจากเอ้อร์กุ้ยยังไม่ฟื้น ภรรยาหลี่ฉีจึงให้คนไปส่งข่าวกับสี่เชวี่ยว่าเจินสือเหนียงจะอยู่กินข้าวกลางวันที่ร้านยา หลังกินข้าวเสร็จนางงีบหลับในห้องของลูกสาวหลี่ฉีสักพัก ตื่นมาก็ยามเซินแล้ว ภรรยาหลี่ฉีเดินเข้ามาอย่างยินดีปรีดา “หลิ่วเอ้อร์กุ้ยฟื้นแล้ว กินข้าวได้แล้ว!”

“เช่นนั้นก็ดี” เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “พาข้าไปดูหน่อย”

โรคชนิดนี้นางแค่เคยได้ยินเท่านั้น ยังไม่เคยรักษามาก่อน ตอนเช้ายามเผชิญหน้ากับความกังขาของทุกคน ภายนอกนางดูสุขุม แต่ในใจก็ว้าวุ่นเช่นกัน

นางตามภรรยาหลี่ฉีมาที่ห้องผู้ป่วย พอเห็นเจินสือเหนียง แม่ของเอ้อร์กุ้ยก็คุกเข่าทันทีและโขกศีรษะไม่หยุด “ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาช่วยเหลือมนุษย์โดยแท้!”

เจินสือเหนียงไม่ชอบธรรมเนียมแย่ๆ ในสมัยโบราณที่เอะอะอะไรก็คุกเข่าแบบนี้จริงๆ จึงรีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา “รีบลุกขึ้นเถอะ หมอรักษาโรคเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น”

เห็นเจินสือเหนียงฉุดอีกฝ่ายไม่ขึ้น ภรรยาหลี่ฉีจึงช่วยดึงนางขึ้นมาเสียเอง “เจ้ารีบลุกขึ้น ท่านหมอเจี่ยนร่างกายไม่แข็งแรง เจ้าอย่าเกาะแกะนาง ให้นางรีบตรวจดูเอ้อร์กุ้ย จะได้รีบกลับไปพักผ่อน” น้ำเสียงเจือความเข้มงวดอย่างชัดเจน ได้ยินว่าโรคนี้ติดต่อได้ ภรรยาหลี่ฉีจึงไม่อยากอยู่ในห้องนี้แม้แต่เค่อเดียวด้วยซ้ำ

เนื่องจากอยู่ใกล้ แม้จะมีผ้าโปร่งสีดำขวางอยู่ แม่ของเอ้อร์กุ้ยก็ยังเห็นใบหน้าขาวซีดผิดปกติของเจินสือเหนียงได้รางๆ โดยเฉพาะนิ้วมือทั้งห้าของนางที่กำข้อมือตน เยียบเย็นเหมือนมือคนตายอย่างนั้นแหละ ฉับพลันแม่ของเอ้อร์กุ้ยหน้าซีดเผือด เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างอย่างตื่นตระหนก

“ดื่มยาอีกสองเทียบ หากลุกจากเตียงได้ก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว” หลังจับชีพจรให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงเงยหน้ามองแม่ของเอ้อร์กุ้ย “ประเดี๋ยวข้าจะเขียนยาให้ เจ้าเองก็ดื่มสักสองวัน โรคนี้ติดต่อได้ เจ้าต้องคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ป้องกันไว้ย่อมดีกว่า”

ทันทีที่เข้ามาในห้องนางก็เห็นว่าใบหน้าของแม่เอ้อร์กุ้ยแดง เมื่อครู่ถือโอกาสจับชีพจรนางตอนประคองนางขึ้นมา พบว่านางติดไข้หัวบวมแล้ว แต่อยู่ในระยะเริ่มแรก อาการยังไม่เด่นชัด ทว่าเจินสือเหนียงเชื่อว่าแม่ของเอ้อร์กุ้ยจะต้องรู้สึกทรมานมากแน่ ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าลูกตนเป็นโรคระบาด ครอบครัวจะถูกขับไล่ออกจากเมือง นางจึงฝืนอดทนไว้

หลังจากตระหนักภายหลังว่าเจินสือเหนียงทำท่าพยุงนางขึ้นมาเพราะต้องการจับชีพจร แม่ของเอ้อร์กุ้ยตกใจหน้าถอดสี กำลังคิดอย่างร้อนรนว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงกลับไม่ได้เปิดโปงนาง นางอึ้งไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติ ริมฝีปากสั่นอยู่นานก่อนตอบว่า “ท่านหมอเจี่ยนโปรดวางใจ อีกประเดี๋ยวรอพ่อเขามาพวกเราจะไปทันที ค่าเตียงกับค่ารักษาพวกเราจะจ่ายให้ทั้งหมด”

ก่อนหน้านี้ครอบครัวเอ้อร์กุ้ยอาละวาดกับหลี่ฉีสามีภรรยา ประกาศแล้วว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่จนกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยจะหายดีโดยไม่จ่ายเงินสักแดง หากตระกูลหลี่รักษาไม่ได้ก็จะทำพิธีศพที่บ้านเขานี่ล่ะ หาไม่หากรู้ว่านี่เป็นโรคระบาด หลี่ฉีจะยอมให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

บัดนี้เห็นเจินสือเหนียงไล่ตัวเชื้อโรคออกไปด้วยคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำ ภรรยาหลี่ฉีมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาซาบซึ้งจากใจจริง

เจินสือเหนียงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ

 

ตอนเจินสือเหนียงกลับถึงบ้าน ชิวจวี๋กับสี่เชวี่ยกำลังยืนชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง พอเห็นนาง ชิวจวี๋ก็พุ่งเข้ามาปานโบยบิน ปากถามคำถามกับนางรัวๆ “ว่ากันว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด จริงหรือเจ้าคะ แล้วคุณหนูจะติดโรคหรือเปล่า ที่นี่จะเกิดโรคระบาดหรือเปล่า พวกเราต้องย้ายบ้านหรือเปล่าเจ้าคะ”

เพียงครึ่งวัน เรื่องที่หลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาดก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองอู๋ถง ทำเอาสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋ตกใจอย่างยิ่ง หากไม่ติดที่ต้องปิดบังฐานะของเจินสือเหนียง ป่านนี้ชิวจวี๋ไปรับนางตั้งนานแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สี่เชวี่ยก็ส่งชิวจวี๋ไปแอบดูที่ร้านยาถึงสองครั้ง

“เกิดเรื่องแล้ว…” เจินสือเหนียงทำหน้าจริงจัง “คืนนี้เก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเราจะย้ายบ้านกันแต่เช้า”

“จริงหรือเจ้าคะ!” ชิวจวี๋นิ่งขึงทันที

“เจ้านี่นะ!” เจินสือเหนียงตบหัวนางเบาๆ “ตีตนไปก่อนไข้ เจ้าไม่เชื่อในวิชาแพทย์ของข้าหรือ” น้ำเสียงเจือแววหยอกเย้า

ชิวจวี๋ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานกว่าจะได้สติ นางลูบหัวอย่างไม่พอใจ “คุณหนูชอบแกล้งบ่าวอยู่เรื่อย บ่าวถูกท่านตบหัวจนโง่งมแล้ว” ประเดี๋ยวตกใจประเดี๋ยวดีใจ ชิวจวี๋จึงลืมซักไซ้ต่อ

เห็นเจินสือเหนียงมีสีหน้าสุขุม คิ้วตาเจือรอยยิ้มอย่างที่พบเห็นได้น้อย สี่เชวี่ยที่หนักใจมาทั้งวันจึงเบาใจลง ด้วยรู้ว่าแต่ไรมาเจินสือเหนียงไม่ชอบคุยเรื่องออกไปตรวจโรค จึงไม่ถามอีก

แม้มิใช่งานที่ต้องใช้แรง แต่ออกไปข้างนอกทั้งวัน เจินสือเหนียงรู้สึกเพลียเป็นพิเศษ กินข้าวเย็นเสร็จ เล่านิทานให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ฟังได้ครึ่งเดียวนางก็หลับไป

เช้าวันต่อมาพอตื่นนอน ด้วยเป็นห่วงอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงจึงสั่งให้ชิวจวี๋ไปสืบข่าวที่ร้านยารุ่ยเสียง

ชิวจวี๋กลับมาอย่างรวดเร็ว “ป้าหลี่บอกว่าเมื่อวานท่านกลับไปไม่นาน ครอบครัวหลิ่วหมาจื่อก็จากไป ท่านสบายใจได้ ค่ารักษาและค่าห้องพวกเขาจ่ายครบแล้ว” นางหัวเราะคิกเมื่อนึกอะไรได้ “ได้ยินว่าสูตรยาที่คุณหนูเขียนไว้ เมื่อวานมีคนมาซื้ออย่างต่อเนื่อง วันนี้พอร้านยารุ่ยเสียงเปิด ข้างนอกก็มีคนเข้าแถวยาวเหยียด ล้วนเป็นพวกที่กลัวติดโรคระบาดและอยากซื้อยามากินป้องกันทั้งนั้น หลงจู๊หลี่ออกไปซื้อยามาเพิ่มแต่เช้า บ่าวยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ได้ยินคนมาสืบหาที่อยู่ของท่านโดยเฉพาะ หมายจะเสนอเงินก้อนโตเชิญท่านไปรักษาโรค” นางมองเจินสือเหนียงด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “คราวนี้ชื่อเสียงของคุณหนูโด่งดังไปไกลแล้ว!” พอคิดว่าร่างกายของเจินสือเหนียงทนความเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว เห็นเงินแต่กลับคว้าไว้ไม่ได้ เสียงของชิวจวี๋ก็สะดุดลง

เจินสือเหนียงไม่ได้สังเกตสีหน้าของชิวจวี๋ นางใจลอยเล็กน้อย

แม้หลี่ฉีกับภรรยาจะรู้เรื่องยาและหวังว่าคนป่วยที่มารักษาโรคที่ร้านยารุ่ยเสียงจะหายจากโรค แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงพ่อค้า สำหรับพวกเขาขอเพียงหาเงินได้ก็พอ ส่วนโรคจะหายหรือไม่ ภายหลังจะเป็นอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เว้นเสียแต่คนป่วยจะมาเอาเรื่อง

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน หลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด แม้ต่อหน้าคนอื่นนางจะพูดอย่างมั่นใจว่าปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้โรคนี้ไม่มีทางระบาดในวงกว้าง แต่นี่เป็นสมัยโบราณ การแพทย์และสาธารณสุขมีข้อจำกัด ปัจจัยหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้ นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาด

ไม่กลัวอะไร กลัวก็แต่สิ่งที่คาดไม่ถึง หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เมืองอู๋ถงย่อมเผชิญหน้ากับหายนะร้ายแรง ถึงเวลานั้นนางย่อมกลายเป็นคนบาปที่ทุกคนจดจำไปตลอดกาล!

ลังเลครู่ใหญ่ เจินสือเหนียงคิดจะให้ชิวจวี๋ไปส่งข่าว ขอให้หลี่ฉีไปบ้านหลิ่วหมาจื่อดูอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ยสักหน่อย แต่พอคิดถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองครอบครัวเมื่อวานจึงหยุดคำพูดไว้ นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่โรงพยาบาลมีระบบติดตามผลการรักษาและเยี่ยมคนไข้ ในสมัยโบราณหากคนป่วยไม่มาหา ร้านยาไม่มีทางเป็นฝ่ายไปถามไถ่ถึงที่บ้าน หากนางบอกให้หลี่ฉีไปเยี่ยมหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เขาต้องเห็นนางเป็นตัวประหลาดแน่ ดีไม่ดีอาจคิดว่านางมีใจให้หลิ่วเอ้อร์กุ้ย! แม่ม่ายมักตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน เอ้อร์กุ้ยเป็นผู้ชายอายุใกล้เคียงกับนาง หากนางแสดงความห่วงใยมากเกินไป คนอื่นอาจเข้าใจผิดและกระจายข่าวลือเสียๆ หายๆ ได้

สังคมโบราณเฮงซวยจริงๆ!

แม้จะมาที่นี่ห้าปีแล้ว เรียกได้ว่าเจินสือเหนียงหลอมรวมกับยุคสมัยได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่พบเห็นเรื่องที่ตนเองอยากช่วย แต่กลับช่วยไม่ได้เช่นนี้ นางก็ยังสบถในใจอยู่ดี

เจินสือเหนียงสั่งให้ชิวจวี๋คอยสืบข่าวสารข้างนอกและคอยสังเกตว่ามีคนป่วยเป็นโรคแบบเดียวกันหรือไม่

บทที่ 6

 พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน

ย่างเข้าฤดูหนาว ไม่มีงานต้องทำมากนัก เจินสือเหนียงรู้สึกเกียจคร้านจึงหาตำราแพทย์เล่มหนึ่งมานอนอ่านบนเตียงเตา ขณะกำลังลังเลว่าจะให้ชิวจวี๋ไปร้านยารุ่ยเสียงอีกดีหรือไม่ ภรรยาหลี่ฉีก็ถือเขากวางอ่อนสองคู่เดินยิ้มร่าเข้ามา

กำลังจะงีบหลับก็มีคนส่งหมอนมาให้* ครั้นเห็นว่าเป็นนาง เจินสือเหนียงดีใจเป็นพิเศษ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “สะใภ้หลี่มาแล้วหรือ” นางวางหนังสือและหันไปสั่งชิวจวี๋ “รินน้ำให้สะใภ้หลี่เร็ว”

“อาโยววาสนาดีจริงๆ” เห็นเจินสือเหนียงนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาอย่างสบายใจ ภรรยาหลี่ฉีเหลือบมองหนังสือที่นางเพิ่งวางลงด้วยความอิจฉา คนรู้หนังสือย่อมต่างจากคนทั่วไป มองท่าทีสงบสุขุมของเจินสือเหนียง ประกอบกับคิดได้ว่าสองวันนี้ชาวเมืองต่างอยากจะควานหาตัวหมอเทวดาผู้ลึกลับคนนี้ออกมา สีหน้าของภรรยาหลี่ฉีก็สะท้อนความอิจฉาออกมาหลายส่วน

“มีวาสนาที่ไหนกัน เป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ทำอะไรไม่ไหวแล้วต่างหาก…” เจินสือเหนียงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “ที่บ้านมีงานรออยู่เต็มไปหมด ก่อนหน้านี้ชิวจวี๋เพิ่งซื้อผักกาดกลับมา ข้าเห็นแล้วไม่อยากขยับตัว เลยกองอยู่ในลานบ้านไม่ได้หมักเสียที!”

ชาติก่อนเจินสือเหนียงเป็นคนทางเหนือ ชอบกินผักดอง ฤดูหนาวทุกปีนางจะทำผักดองไว้สองไหใหญ่ แต่ก่อนมีสี่เชวี่ยคอยช่วย ปีนี้สี่เชวี่ยตั้งครรภ์ เจินสือเหนียงร่างกายอ่อนแอจนไม่มีแม้แต่แรงจะหยิบเข็มสักเล่ม จึงได้แต่มองกองผักกาดในลานบ้านอย่างกลุ้มใจ

“เจ้าควรบำรุงรักษาร่างกายได้แล้ว ใบหน้าซีดเซียวอย่างกับผี!” ภรรยาหลี่ฉีเป็นคนโผงผางปากเร็ว พูดอะไรไม่คิด “ข้ารู้ว่าเจ้าคนเดียวเลี้ยงดูลูกสองคนหาใช่เรื่องง่าย อยากเก็บสมบัติเอาไว้ให้ลูกมากหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีชีวิตเพื่ออยู่เสพสุข ดังนั้นสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!” นางชี้ผักกาดในลานบ้าน “ผักพวกนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะหาเวลามาช่วยเจ้าหมัก” นางเดาะลิ้น “จะว่าไปผักดองของเจ้าอร่อยจริงๆ บ้านข้ากินอย่างไรก็ไม่พอ พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงพวกเขาชอบซื้อผักกาดมาให้ข้าหมัก ข้าทำเป็นที่ไหนกัน” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ “พอดีเลย พรุ่งนี้จะได้มาหัดกับเจ้า”

ทุกปีพอผักดองเสร็จ เจินสือเหนียงจะส่งไปให้ทุกบ้าน ภรรยาหลี่ฉีกินหมดเป็นต้องถือชามใบใหญ่มาขอเพิ่มทุกครั้ง

“ข้ากำลังหนักใจที่สี่เชวี่ยท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน ทำงานแบบนี้ไม่ไหว” เห็นนางพูดอย่างจริงจัง เจินสือเหนียงจึงยิ้มพยักหน้า “แต่บอกก่อนนะว่าข้าไม่มีค่าแรงให้”

“จะได้อย่างไรเล่า” ภรรยาหลี่ฉีพูดติดตลก “หากเจ้าไม่จ่ายค่าแรงให้ข้า ปีใหม่ข้าจะขนกะละมังใบใหญ่มาทวงผักดองจากเจ้า”

ชิวจวี๋ปิดปากหัวเราะคิก ทุกคนสนทนากันอย่างสนุกสนาน ด้วยเป็นห่วงอาการของหลิ่วเอ้อร์กุ้ย เจินสือเหนียงจึงถามว่า “เช้าตรู่แบบนี้ร้านยาไม่มีงานแล้วหรือ เจ้าถึงได้มาทวงของที่นี่” สายตาเลื่อนไปยังเขากวางอ่อนที่ภรรยาหลี่ฉีเพิ่งจะวางลง “นั่นอะไร”

“เพราะได้เจ้านี่แหละ งานถึงได้ล้นมือ” คิ้วตาของภรรยาหลี่ฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สองวันนี้ร้านยายุ่งมาก” นางยื่นเขากวางอ่อนอันหนึ่งออกมา “แต่เป็นเพราะได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ข้าจึงตั้งใจเอายาบำรุงมาให้เจ้า”

“ยาบำรุง?” เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว ยื่นมือไปรับเขากวางอ่อน “ข้าไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่มีอำนาจและบารมี ใครจะติดสินบนข้า”

“เป็นภรรยาของหลิ่วหมาจื่อ วันนี้นางพาหลิ่วเอ้อร์กุ้ยมาหาเจ้าที่ร้านยาแต่เช้า!”

เจินสือเหนียงนั่งตัวตรง “เกิดอะไร…”

“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาไม่ได้มาหาเรื่อง แต่มาขอบคุณ” ด้วยมักจะถูกญาติผู้ป่วยตามมาอาละวาดถึงบ้านจนหวาดกลัว เห็นอาการของเจินสือเหนียง ภรรยาหลี่ฉีจึงคิดว่านางกลัว รีบอธิบายว่า “บอกว่ามาขอบคุณเจ้า มิสู้บอกว่าเขาเห็นหน้าร้านมีผู้คนมากมาย อยากถือโอกาสนี้ป่าวประกาศว่าลูกชายตนเองไม่ได้เป็นโรคระบาดและหายดีแล้วมากกว่า” ภรรยาหลี่ฉีพูดพลางเบ้ปาก

“หายดีแล้ว?” เจินสือเหนียงตะลึง “เร็วถึงเพียงนี้เชียว” นี่เท่ากับโรคหายเมื่อได้ยา ดูเหมือนวิชาแพทย์ของนางจะยังไม่สูงส่งขนาดนั้น

“ยังไม่หายดีทั้งหมด แต่ศีรษะที่บวมยุบลงไปกว่าครึ่งแล้ว คนก็มีสติขึ้นไม่น้อย เจอใครก็ยิ้มแย้ม มีแต่สองแก้มที่ยังบวมอยู่ เหมือนอึ่งอ่างพองลมอย่างไรอย่างนั้น”

เจินสือเหนียงร้อนใจเล็กน้อย “เขาไม่กลัวถูกลมแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำหรือ” ไข้หวัดกลัวที่สุดคือการเป็นซ้ำนี่แหละ

“นั่นน่ะสิ” ภรรยาหลี่ฉีหน้าแดงเล็กน้อย หลิ่วเอ้อร์กุ้ยสามารถปรากฏตัวที่หน้าร้านยาและป่าวประกาศวิชาแพทย์อันสูงส่งของเจินสือเหนียงให้ทุกคนรับรู้ ในใจนางยินดียิ่ง แต่เห็นเจินสือเหนียงทำหน้ากังวลจึงไม่กล้าแสดงความรู้สึกนั้นออกมา เออออตามไปว่า “หมอเฝิงเองก็พูดขู่จนเขากลัว บอกว่าฤดูใบไม้ร่วงลมแรง หากได้รับความเย็นและกลับไปเป็นอีกครั้งย่อมหมดทางเยียวยา แม่ของเอ้อร์กุ้ยถึงได้กลัวและห่อตัวเขาอย่างมิดชิดพากลับไป” นางชี้เขากวางอ่อนในมือเจินสือเหนียง “นี่เป็นของที่นางตั้งใจขอร้องข้าให้นำมาให้เจ้า บอกว่าเขากวางอ่อนช่วยบำรุงเลือดลมได้ดีที่สุด ทำให้ร่างกายแข็งแรง เป็นเพราะวันนั้นนางเห็นเจ้าร่างกายอ่อนแอขนาดลมพัดก็ปลิวได้ ดังนั้นจึงส่งของสิ่งนี้มาให้”

เจินสือเหนียงพิจารณาเขากวางอ่อนในมืออีกครั้ง เขากวางสามหน่อยาวประมาณครึ่งเชียะ ทั้งอ่อนและสมบูรณ์มาก มีขนสีเหลืองเทาปกคลุมหนาแน่น เรียบลื่นดุจผ้าต่วน ตรงรอยหักเป็นสีน้ำตาลแดง ดูรู้ว่าเป็นเขากวางสามหน่อชั้นดี คิดถึงการแต่งกายของครอบครัวหลิ่วหมาจื่อ ดูแล้วคงมิใช่คนร่ำรวย นางจึงส่งเขากวางอ่อนคืนให้ภรรยาหลี่ฉี “ข้าแค่ตรวจชีพจรให้เขาเท่านั้น จะรับของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้จากผู้อื่นได้อย่างไร” นางพูดต่อ “ล้วนเป็นชาวบ้านทั่วไปเหมือนกัน ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เจ้าเอาไปคืนนางเถอะ”

เขากวางอ่อนนี้เป็นของบำรุงเลือดลมก็จริง แต่บำรุงธาตุหยาง คนธาตุหยินพร่องอย่างนางห้ามใช้เขากวางอ่อนบำรุงร่างกายเด็ดขาด ในเมื่อไม่มีประโยชน์กับตนเอง ไยต้องรับไมตรีครั้งใหญ่จากผู้อื่นไว้ด้วย

“แค่จับชีพจรเสียที่ไหน เจ้าช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ต่างหาก!” ภรรยาหลี่ฉีไม่รู้ว่าเขากวางอ่อนนี้ไม่มีประโยชน์ต่อโรคของเจินสือเหนียง เห็นนางปฏิเสธก็ร้อนใจ “เจ้าเพิ่งมาอยู่เมืองนี้ทั้งยังไม่ค่อยออกไปไหน ไม่รู้อะไรหรอก เดิมทีหลิ่วหมาจื่อมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตหลิ่วต้ากุ้ยออกไปล่าสัตว์กับเขาตอนอายุสิบห้าและถูกงูพิษกัด เป็นงูหางกระดิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็น ยาพื้นบ้านที่พกติดไปใช้ไม่ได้ผล ยังไม่ทันลงจากเขาคนก็ตายเสียก่อน สองสามีภรรยาร้องไห้จะเป็นจะตาย เหลือลูกชายคนเล็กคนเดียว จู่ๆ ก็มาป่วยหนักแบบนี้ มีหรือจะไม่ร้อนใจ”

คิดถึงวันก่อนที่ครอบครัวหลิ่วหมาจื่อมาอาละวาดหน้าบ้านตนเอง ภรรยาหลี่ฉีไม่อยากยกประโยชน์ให้เขา นางยัดเขากวางอ่อนให้เจินสือเหนียง “เขาให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ เจ้าอย่าเห็นว่าเขากวางอ่อนนี้ราคาแพง หาซื้อยาก สำหรับครอบครัวนายพรานอย่างพวกเขาแล้วล้วนเป็นของที่ได้จากบนภูเขา ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร” นางเห็นท่าทียืนกรานของเจินสือเหนียงจึงพูดต่อว่า “เขาเอาของที่ดีที่สุดในบ้านมาให้เพราะอยากขอบคุณเจ้าจากใจจริง เจ้าปฏิเสธเขาเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง กลับจะคิดว่าเจ้าดูถูกเขา หากเจ้ารู้สึกเกรงใจ อีกหน่อยหากเขามาให้เจ้ารักษาโรค เจ้าเก็บค่ารักษาน้อยหน่อยก็ได้”

เจินสือเหนียงคิดดูแล้วเห็นด้วย ผู้คนที่นี่ซื่อตรงและเรียบง่าย ผู้อื่นส่งของมาให้แล้ว หากนางคืนกลับไปย่อมเป็นการทำลายน้ำใจ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สะใภ้หลี่ช่วยข้าขอบคุณนางด้วยแล้วกัน” คิดอะไรได้ก็ลุกขึ้นหยิบกล่องใบเล็กออกจากตู้ หยิบยาเม็ดเคลือบไขสีขาวบริสุทธิ์ออกมาสองเม็ดใส่ลงในถุงผ้าและยื่นให้ภรรยาหลี่ฉี “นี่เป็นยาแก้พิษงูชั้นดี พี่หลิ่วล่าสัตว์เป็นอาชีพ อาจพบเจอแมลงพิษหรืองูพิษได้ พกสิ่งนี้ติดตัวไว้ย่อมเป็นประโยชน์”

“ยาแก้พิษงู?” ภรรยาหลี่ฉีหยิบออกมาดูเม็ดหนึ่งอย่างตื่นเต้น

“ชิวจวี๋ต้องขึ้นเขาทุกวัน ข้ากลัวนางจะเจองูพิษจึงตั้งใจปรุงขึ้นมาให้นางพกติดตัว” เจินสือเหนียงอธิบาย

ไม่เพียงยาแก้พิษงู ชิวจวี๋เป็นเด็กผู้หญิง ด้วยกลัวนางจะเจอคนร้าย เจินสือเหนียงจึงตั้งใจปรุงยาสลบสำหรับใช้ป้องกันตนเองให้นางอีกมากมาย แต่ที่นี่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายจริงใจ มีคนขึ้นภูเขาเยอะเป็นพิเศษ อีกทั้งส่วนใหญ่ชิวจวี๋ยังมีเพื่อนไปด้วย ของพวกนี้จึงไม่เคยได้นำออกมาใช้

“ข้าว่าแล้วเชียว คนพวกนี้ให้ของเจ้าไม่มีทางขาดทุนหรอก” ภรรยาหลี่ฉีบ่นแกมอิจฉา “พรุ่งนี้ข้าจะเอาของมาให้เจ้าบ้าง เจ้าเอายาให้ข้าหลายๆ เม็ดหน่อย!” ชาวเมืองนี้ล้วนต้องขึ้นภูเขา ยาแก้พิษงูเป็นของหายากที่สุด

เจินสือเหนียงรู้ดีว่ายาเม็ดขายยาก แต่ยังคงยืนกรานให้นางช่วยขายให้ ทว่านางกลับไม่ทำยาแก้พิษงูมาขาย เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาชนิดนี้หายาก นางไม่อาจปรุงยาในปริมาณมากได้ ดังนั้นยานี้จึงล้ำค่าอย่างยิ่ง

“เจ้ารอไปก่อนเถอะ!” เจินสือเหนียงปรายตามองนาง “วันใดเจ้าย้ายร้านยามาที่นี่ ข้าถึงจะพิจารณามอบให้เจ้าสักเม็ด”

“ฝันไปเถอะ!” ภรรยาหลี่ฉีแค่นเสียง “ให้ข้าเอาของขวัญตอบแทนไปส่งให้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ควรจ่ายค่าแรงให้ข้าบ้างสิ!”

เห็นนางยื่นมือออกมาอย่างหน้าไม่อาย เจินสือเหนียงจนใจ ได้แต่หยิบยาอีกเม็ดในกล่องส่งให้นาง “เจ้าอย่าหาว่าข้าใจแคบเลย น้ำใสจากตัวงูหายาก ข้าใช้เวลาอยู่หนึ่งปียังปรุงยาได้แค่แปดเม็ด ยานี้เป็นยาชั้นดี หากเป็นงูพิษทั่วไปใช้ยาพื้นบ้านในร้านยาของเจ้าก็พอ อย่าสิ้นเปลืองเด็ดขาด”

ว่าแล้วเชียว หากเป็นฝีมือนาง ของนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่! ได้ยินอย่างนี้แล้วภรรยาหลี่ฉีเกรงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนใจ รีบกอดยาเม็ดนั้นไว้กับอกและกดแน่นๆ ให้ตนเองสบายใจ จากนั้นเงยหน้ามองเจินสือเหนียงเอ่ยว่า “มัวแต่คุย ข้าลืมเรื่องสำคัญไปเลย”

เจินสือเหนียงใบหน้าขรึมลง “เรื่องอะไร”

“เจ้าก็รู้ว่าที่สองวันนี้ร้านยากิจการดีเพราะได้สูตรยานั้นของเจ้า…” ภรรยาหลี่ฉีตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงภาพคนเข้าแถวซื้อยาหน้าร้านพวกเขาจนร้านอื่นเห็นแล้วอิจฉาตาร้อน “วันนี้ก่อนมา พี่หลี่ของเจ้าบอกว่าค่ารักษาและค่ายาที่ได้จากครอบครัวหลิ่วหมาจื่อยกให้เจ้าทั้งหมด ส่วนยาที่ขายตามสูตรของเจ้า หักต้นทุนแล้วกำไรแบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร” ใบหน้าระบายยิ้ม แต่มือที่กำชายเสื้อแน่นบ่งบอกความร้อนรนในใจ

ร้านยาทั่วไปไม่ได้มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ แต่สถานการณ์ครั้งนี้มีความพิเศษ ตามท้องถนนและตรอกซอยข้างนอกล้วนปิดประกาศเชิญหมอเจี่ยนไปตรวจรักษาโรคด้วยค่าตัวสูงลิ่ว ทำเอาหลี่ฉีสามีภรรยาอกสั่นขวัญแขวน เมืองอู๋ถงไม่ใหญ่ พวกเขาเปิดร้านยามานาน สถานการณ์ของแต่ละครอบครัวเป็นอย่างไรย่อมตระหนักดี เป็นไปไม่ได้ที่ภายในค่ำคืนเดียวจะมีคนไข้โรคประหลาดที่จำต้องให้เจินสือเหนียงรักษาโผล่ขึ้นมามากมายเช่นนี้ นี่ต้องเป็นแผนของร้านยาร้านอื่นๆ แน่ ต้องการใช้เงินซื้อตัวเจินสือเหนียง

บอกว่าตั้งราคาสูงเพื่อเชิญหมอมารักษาโรค แท้จริงแล้วเพราะอยากได้สูตรลับในการป้องกันโรคระบาดต่างหาก! หากเจินสือเหนียงถูกประกาศนั้นดึงดูดและไปติดต่อพวกเขาตามที่อยู่ ทำข้อตกลงกับร้านยาร้านอื่น บรรยากาศหน้าร้านยารุ่ยเสียงย่อมกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง

เจินสือเหนียงเงียบไม่พูดจา เอาแต่มองมือนางเงียบๆ

ภรรยาหลี่ฉีคลายมือออกโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็ไม่รู้จะวางมือไว้ที่ใด ลอบคิดในใจว่า รู้อยู่แล้วว่านางหาใช่คนที่จะตบตาได้ง่ายๆ นางเสริมเสียงเก้อ “เจ้าวางใจ บัญชีส่วนนี้พวกเราจะแยกจด ให้เฝิงสี่เป็นผู้ดูแล เจ้าไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”

หมอมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อาจลุกลามกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรง เจินสือเหนียงที่มีวิญญาณของคนยุคปัจจุบันไม่อาจทำผิดต่อคุณธรรมในใจหาเงินจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตอนเขียนสูตรยานั้นนางไม่ได้คิดหากำไร การที่ภรรยาหลี่ฉีเป็นฝ่ายเสนอว่าจะแบ่งกำไรให้ครึ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายและน่ายินดี ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเงินทุนและกำลังขาดแคลนเงิน สูตรยานางมี แต่หากมอบให้คนที่ไม่รู้จักคุณค่าย่อมไม่ต่างจากเศษขยะ

ทว่าไม่อยากหาเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้ผู้อื่นวางแผนหลอกลวง เห็นภรรยาหลี่ฉีเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เจินสือเหนียงจึงพยักหน้า “ทำให้สะใภ้หลี่คิดมากแล้ว”

เห็นนางพยักหน้าในที่สุด ภรรยาหลี่ฉีถึงได้โล่งอก

“ท่านแม่ ท่านแม่…” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่วิ่งเข้ามาพร้อมกัน “แม่ไก่ออกไข่อีกแล้ว!” เจี่ยนเหวินชูไข่ไก่ในมือให้เจินสือเหนียงดู

เจี่ยนอู่ไม่ยอมแพ้ ชูมืออ้วนป้อมเช่นกัน “ข้าเป็นคนสับอาหารไก่” เมื่อวานชิวจวี๋เด็ดก้านผักกาดเน่าออกมา หากจะโยนทิ้งก็น่าเสียดาย เจินสือเหนียงจึงให้เอาไปสับและผสมกับเปลือกข้าวไว้เลี้ยงไก่ เห็นว่าน่าสนุก เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จึงแย่งกันทำ

ทั้งสองพูดจบ เห็นภรรยาหลี่ฉีนั่งอยู่ข้างๆ จึงร้องเรียกเสียงใส “ท่านป้าหลี่!”

ภรรยาหลี่ฉียิ้มพยักหน้า “เหวินเกอ อู่เกอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”

เจี่ยนอู่วิ่งไปข้างกายมารดา “แม่ไก่กินอิ่มแล้วออกไข่!”

เจินสือเหนียงมองใบหน้าแดงเรื่อของลูกชายแล้วชวนให้หัวใจละลาย ก้มตัวหอมแก้มเจี่ยนอู่ “อู่เกอเก่งขึ้นทุกวัน รู้จักสับอาหารไก่ให้แม่ด้วย”

“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าเก็บไข่ไก่ได้!” เห็นท่านแม่ชมแต่น้องชาย เจี่ยนเหวินร้อนใจจนหน้าแดง

“เหวินเกอของแม่ก็เก่งเหมือนกัน…” เจินสือเหนียงหอมแก้มเขาด้วย “เอาไข่ไก่ไปเก็บแล้วนับว่าได้เท่าไรแล้ว” แม้ให้เด็กถือไข่ไก่จะแตกง่าย แต่เจินสือเหนียงยืนกรานให้พวกเขานับไข่ไก่ทุกวัน ฝึกทักษะการนับเลขของพวกเขา

“เมื่อวานห้าสิบแปด บวกฟองนี้เข้าไปเป็นห้าสิบเก้า ยังขาดอีก…” เจี่ยนเหวินหักนิ้วนับ

“ท่านแม่จะเก็บไข่ไก่ให้อาสี่เชวี่ยร้อยฟอง ยังขาดอีกห้าสิบเอ็ดฟอง” เจี่ยนอู่แย่งตอบ

“ไม่ใช่ ขาดสี่สิบเอ็ดฟอง!” เจี่ยนเหวินแก้

“ห้าสิบเอ็ด!”

“สี่สิบเอ็ด!”

ภรรยาหลี่ฉีนับเลขไม่เป็น ไม่รู้ใครถูกใครผิด ได้แต่มองทั้งสองแล้วหัวเราะ

เห็นเจี่ยนอู่ผิดแล้วไม่ยอมแก้ เจี่ยนเหวินยกมือขึ้นทำท่าจะตี หางตาเหลือบเห็นป้าหลี่พลันนึกได้ว่า ท่านแม่เคยบอกว่าหากครอบครัวไม่ปรองดองจะถูกคนนอกรังแก ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นพี่น้องต้องรักใคร่กัน มือจึงค้างอยู่กลางอากาศขณะหันไปมองท่านแม่

เจี่ยนอู่หันไปมองท่านแม่เช่นกัน

เจินสือเหนียงดันตัวเจี่ยนเหวิน “ไปเอาถั่วเหลืองมาหนึ่งกำแล้วลองนับดูว่าขาดอีกเท่าไรกันแน่”

เจี่ยนเหวินรับคำ ดึงเจี่ยนอู่วิ่งออกไปข้างนอก

“ลูกสองคนของเจ้าว่านอนสอนง่ายจริงๆ” เห็นเหวินเกอ อู่เกอเชื่อฟังอย่างนี้แล้ว ภรรยาหลี่ฉีนึกอิจฉาจากใจจริง “ไม่เหมือนชุนเกอที่บ้านข้า วันๆ เรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ พอพูดถึงเรื่องเรียนก็เซื่องซึม” ชุนเกอลูกชายคนเล็กของหลี่ฉีปีนี้อายุแปดขวบ เข้าเรียนในสถานศึกษาวัยเยาว์สองปีแล้วยังนับเลขไม่เป็น

“ชุนเกอโตแล้ว เหวินเกอ อู่เกอยังเล็ก โตแล้วก็ย่อมเรียกร้องเช่นกัน” เจินสือเหนียงยิ้ม

“เหวินเกอ อู่เกอผิวพรรณขาวเนียนเช่นนี้ พ่อของพวกเขาคงจะหล่อเหลามากกระมัง” เจินสือเหนียงไม่เคยเอ่ยถึง ภรรยาหลี่ฉีนึกสงสัยมาตลอดว่าสามีของนางตายไปแล้วหรืออย่างไรกันแน่

หากตายแล้ว ไฉนไม่เคยเห็นนางสวมชุดไว้ทุกข์

หากยังอยู่ ไฉนหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมาหานางเลย

หากหย่ากัน เขาจะตัดใจทอดทิ้งลูกชายสองคนที่น่ารักขนาดนี้โดยไม่ไยดีได้อย่างไร อีกทั้งมีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ ภรรยาหลี่ฉียังไม่เคยเห็นสตรีบ้านไหนหย่ากับสามีแล้วยังพาลูกออกมาด้วยได้

ย่อมต้องหล่อเหลาแน่นอน!

คิดถึงครั้งแรกที่เจอเสิ่นจงชิ่งในร้านยาและนางหัวใจเต้นแรง เจินสือเหนียงยิ้มขื่นในใจ เงยหน้ามองภรรยาหลี่ฉีและเอ่ยว่า “สะใภ้หลี่อยู่เมืองนี้มานาน มีหมอตำแยดีๆ แนะนำให้ข้าบ้างหรือไม่ อีกสามสี่เดือนสี่เชวี่ยก็จะคลอดแล้ว”

เห็นนางไม่อยากคุยเรื่องนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงไม่ถามมากและก้มหน้าครุ่นคิด “หากจะพูดถึงฝีมือต้องยกให้ยายหลี่ที่รับใช้อยู่ในอารามชีทางใต้ของเมือง นางทำคลอดมาสามสิบกว่าปี เด็กที่ผ่านมือนางน้อยรายที่จะตาย” จู่ๆ นางก็เงยหน้าพรวด “วิชาแพทย์ของแม่นางเจี่ยน…”

เจินสือเหนียงส่ายหน้า “ข้าทำคลอดได้ แต่กลัวร่างกายจะไม่เอาไหน ถึงเวลาหากข้าเป็นอะไรจะทำให้นางพลอยเดือดร้อนไปด้วย หาคนคอยเฝ้าดูอยู่ด้านข้างอีกคนย่อมปลอดภัยกว่า”

“ก็ใช่…” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะ “เรื่องคลอดลูกหาใช่เรื่องเล็ก เป็นประตูผีของผู้หญิงเราก็ว่าได้ หากเจอที่คลอดยาก หนึ่งวันก็มี สามวันก็มี ร่างกายเจ้าคงทนไม่ไหวจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ” เจินสือเหนียงถอนหายใจ “ตอนข้าคลอดเหวินเกอ อู่เกอทรมานอยู่สามวันสี่คืน ข้าคิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว”

“ตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักเจ้า ได้ยินคนบอกว่าตอนนั้นคิดว่าเจ้าคงไม่รอดแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีถอนใจตาม “นี่เรียกว่าสวรรค์มีตา คนทำดีย่อมได้ดี เจ้าผ่านเคราะห์หนักมาได้ย่อมพบกับความสุข”

ไม่รู้เหตุใดฟังคำพูดนี้แล้ว เจินสือเหนียงพลันคิดถึงคำพูดของเสิ่นจงชิ่งที่ด่านางในคืนนั้น สวรรค์ช่างไร้ตาจริงๆ ทั้งที่หมดลมแล้ว ยังจะให้เจ้าฟื้นขึ้นมาอีก…คงเป็นเพราะแม้แต่พญายมยังไม่อยากรับสตรีที่ชั่วร้ายเยี่ยงเจ้าไว้!

นางผงะโดยไม่รู้ตัว

ภรรยาหลี่ฉีเห็นเจินสือเหนียงสีหน้าเคร่งขรึม นางพลันนึกขึ้นได้ว่าครึ่งเดือนก่อนเจินสือเหนียงสลบไสลไม่ตื่น เฝิงสี่ตรวจดูแล้วกลับมากระซิบบอกนางว่า เจินสือเหนียงอยู่ได้อีกไม่เกินหนึ่งปี คิดแล้วรู้สึกประดักประเดิด นางตบเสื้อผ้าพลางลุกขึ้น “ข้าออกมาได้สักพักแล้ว ที่บ้านยุ่งมาก” นางถามต่อ “สี่เชวี่ยจะคลอดเดือนไหนเจ้าบอกข้าด้วย ข้าจะหาเวลาไปบอกยายหลี่ไว้”

เจินสือเหนียงลุกตาม “ประมาณวันที่ยี่สิบเดือนสาม”

“ท่านแม่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ผลักประตูเข้ามา “พวกเรานับเสร็จแล้ว หนึ่งร้อยลบห้าสิบเก้าได้สี่สิบเอ็ด ท่านแม่ต้องหาไข่ไก่ให้อาสี่เชวี่ยเพิ่มอีกสี่สิบเอ็ดฟอง” เจี่ยนเหวินหันไปมองเจี่ยนอู่ “น้องชายนับผิด!”

เจี่ยนอู่หน้าแดงไม่พูดจา

เจินสือเหนียงดึงตัวเขา “รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าผิด”

“อืม…” เจี่ยนอู่ส่งเสียงเบาเหมือนยุง

“พูดดังๆ หน่อย”

“เมื่อกี้ข้าใจร้อน นับผิดไป” เจี่ยนอู่หน้าแดงก่ำ เชิดหน้าขึ้นไม่มองเจี่ยนเหวิน

“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว!” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ยอมรับความผิดพลาด อู่เกอของแม่กล้าหาญมาก แต่ต่อไปต้องจำไว้ว่า…” นางทำหน้าจริงจัง “เวลาผลลัพธ์ของตนเองไม่เหมือนคนอื่น ต้องคิดไว้ก่อนว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดหรือไม่”

“ข้ารู้แล้ว”

“ข้าก็รู้แล้ว!” เจี่ยนเหวินขานรับด้วย ตาเหลือบเห็นเขากวางอ่อนบนโต๊ะจึงวิ่งไปดูอย่างประหลาดใจ “นี่อะไรหรือ” เขาคว้ามาวางบนศีรษะ “โอ…โอ…หัวข้ามีเขางอกออกมาแล้ว ข้าเป็นราชาปีศาจกระทิง!” เขากระโดดโลดเต้นไปมาอย่างดีอกดีใจ

เห็นพี่ชายเล่นสนุก เจี่ยนอู่จึงวิ่งไปหยิบอีกอันกดลงบนศีรษะบ้าง “ข้าเป็นปีศาจเขาทอง!” เขาเลียนแบบเสียงปีศาจในเรื่องไซอิ๋ว ชี้พี่ชายพูดว่า “เจ้า รีบไปถ้ำยาหลงเชิญท่านแม่มากินเนื้อพระถังซำจั๋งด้วยกัน!”

“คุณชายน้อยของข้า ของนี้ซี้ซั้วเล่นไม่ได้นะ” ภรรยาหลี่ฉีเห็นแล้วรีบเข้าไปห้าม “อันนี้ไว้รักษาโรคให้แม่เจ้า มีราคาค่างวดสูง หาใช่ของเล่น” เขากวางอ่อนเช่นนี้ใช่ว่ามีเงินจะหาซื้อได้

“รักษาโรคให้ท่านแม่?” เจี่ยนเหวินเบิกตากว้าง “ท่านแม่กินสิ่งนี้แล้วจะหายดีหรือ”

เดิมทีไม่อยากหลอกเด็ก แต่พอคิดว่าตนเองหมดสติไปสองวัน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ต้องคิดมากแน่นอน เจินสือเหนียงจึงพยักหน้าอย่างคลุมเครือ

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขาไปหาเขากวางอ่อนมาให้ท่านแม่” เจี่ยนอู่พูดด้วยท่าทีจริงจัง

“จะได้อย่างไรกัน” ภรรยาหลี่ฉีฟังแล้วสะดุ้งโหยง “พวกเจ้ายังสูงไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำ จะไปล่าสัตว์ได้อย่างไร จะมิถูกกวางชนกระเด็นออกไปสามจั้งหรือ” นางพูดขู่ “ทั้งบนภูเขามีเสือที่จับเด็กกินโดยเฉพาะด้วย”

เจินสือเหนียงนิ่วหน้า

“ข้ามีง่ามไม้สำหรับยิง แม่นยำไม่เคยพลาด ใช้ยิงตาเสือโดยเฉพาะ!” เจี่ยนอู่หน้าซีดเล็กน้อย แต่ยังปากเก่ง “ข้าจะให้ลุงจางพาข้าไป!” เขาโม้ “ลุงจางไม่กลัวเสือ เขาเคยล่ากวางด้วย เนื้อกวางอร่อย!” จากนั้นหันไปถามเจินสือเหนียง “ท่านแม่ ข้าไปล่าเขากวางกับลุงจางได้หรือไม่”

“ได้สิ” เจินสือเหนียงยิ้มขยี้หัวเขา “แต่ต้องรอให้เจ้าง้างธนูที่บ้านของลุงจางได้เสียก่อน”

ลุงจางก็คือจางจื้อที่อยู่บ้านข้างๆ ที่บ้านมีธนูของบรรพบุรุษอยู่หนึ่งคัน แค่น้ำหนักก็ห้าสิบกว่าชั่งแล้ว หากง้างออกจนสุดต้องใช้กำลังแขนอย่างน้อยสองสามร้อยชั่ง เจินสือเหนียงยังไม่เคยได้ยินว่าใครในเมืองสามารถง้างธนูนั้นได้

เจี่ยนอู่แลบลิ้น “เมื่อวานลุงจางเช็ดธนูอยู่บ้าน ข้ากับพี่ชายช่วยกันสองคนยังยกไม่ขึ้นเลย!”

“เช่นนั้นเจ้าต้องรีบโต” เจินสือเหนียงยิ้มพลางจูงเขาเดินไปส่งภรรยาหลี่ฉีที่ประตู

 

เช้าวันต่อมา เจินสือเหนียงกับชิวจวี๋ยุ่งง่วนอยู่ในลานหน้าบ้าน

วิธีดองผักแบบท้องถิ่นทางตอนเหนือต้องใช้น้ำเดือดราดผักกาดทั้งต้นที่เด็ดเสร็จ จากนั้นเรียงไว้ในไหให้เป็นระเบียบทีละชั้นๆ โรยเกลือเม็ดใหญ่ลงไปและใช้หินก้อนใหญ่ทับ ปิดให้สนิท สองสามเดือนก็เอามากินได้ เนื่องจากต้มน้ำต้องใช้หม้อใบใหญ่ ด้วยเกรงว่าเตียงเตาจะร้อนเกินไปจนนอนไม่ได้ เจินสือเหนียงจึงก่อเตาชั่วคราวไว้ในลานบ้าน เพิ่งก่อเสร็จภรรยาหลี่ฉีก็รีบร้อนเข้ามา

เจินสือเหนียงยิ้มพลางยืดตัวขึ้น “เจ้าช่างกระตือรือร้นจริงๆ ข้าเพิ่งจะก่อเตาเสร็จ ยังไม่ได้ขัดหม้อเลย” นางสั่งชิวจวี๋ “ล้างหม้อเสร็จเติมน้ำแล้วก่อไฟได้เลย” จากนั้นเรียกภรรยาหลี่ฉีเข้าบ้าน “ผักจัดการเรียบร้อยแล้ว รอน้ำเดือดเท่านั้น สะใภ้หลี่เข้ามานั่งดื่มน้ำในบ้านสักพักก่อน”

ภรรยาหลี่ฉีหน้าแดง ยิ้มเก้อๆ “วันนี้ข้าต้องผิดคำพูดแล้วล่ะ เจ้ารอข้าหนึ่งวัน พรุ่งนี้ข้าจะมาช่วยเจ้าดองผักแน่” หันไปบอกชิวจวี๋ “เจ้าเองก็ไม่ต้องก่อไฟแล้ว รอไว้พรุ่งนี้เถอะ”

ชิวจวี๋หันมองเจินสือเหนียง

เจินสือเหนียงอึ้งไป ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ มีงานก็ไปทำเถอะ ลงมือทำไปแล้ว ผักแค่นี้ข้ากับชิวจวี๋ค่อยๆ ทำวันหนึ่งก็เสร็จ”

“ไม่ได้เกรงใจเจ้า วันนี้เจ้าเองก็ไม่ว่างแล้วล่ะ”

“มีอะไรหรือ” เห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เจินสือเหนียงหัวใจสะดุด

ภรรยาหลี่ฉีเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะดึงเจินสือเหนียงเข้าไปในบ้าน “พวกเราเข้าไปคุยข้างใน” นางหันไปบอกชิวจวี๋ที่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมว่า “เจ้าเชื่อข้าเถอะ วันนี้อย่าทำเลย ไปพักผ่อนเถอะ”

“สะใภ้หลี่บอกแล้ว เจ้าก็อย่าก่อไฟเลย เก็บลานบ้านให้เรียบร้อย ให้อาหารไก่แล้วเข้าบ้านไปพักเสีย” เจินสือเหนียงสั่งชิวจวี๋

ชิวจวี๋รับคำและก้มหน้าเก็บข้าวของ

“มีเรื่องอะไรกันแน่” หลังให้ภรรยาหลี่ฉีนั่งลงแล้ว เจินสือเหนียงหันไปรินน้ำให้นาง

“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา!” ภรรยาหลี่ฉีมีสีหน้าเคร่งเครียด

คนจากสำนักแพทย์หลวงมาที่นี่?

มือของเจินสือเหนียงที่กำลังรินน้ำสั่นเล็กน้อย

ในหกกรมไม่มีกรมใดที่ดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะ งานด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนใหญ่จึงให้สำนักแพทย์หลวงเป็นผู้ดูแล หากมองจากมุมนี้ สำนักแพทย์หลวงย่อมเหมือนกระทรวงสาธารณสุขในยุคปัจจุบัน เป็นตัวแทนของทางการ หมอหลวงในสำนักล้วนมีตำแหน่งขุนนาง ชาวบ้านทั่วไปต่อให้มีเงินก็เชิญมารักษาโรคไม่ได้ บัดนี้จู่ๆ พวกเขากลับมาร้านยารุ่ยเสียง เพราะอะไรกัน

หรือเป็นเพราะเหตุการณ์โรคระบาดแพร่ไปถึงราชสำนักแล้ว นางส่ายหน้าด้วยความฉงนสงสัย แม้ที่นี่จะใกล้เมืองซั่งจิง ควบม้าเร็วไม่กี่ชั่วยามก็ถึง แต่ที่ว่าการอำเภอในเมืองไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย คำสั่งในสมัยก่อนมิได้ถ่ายทอดขึ้นไปทีละขั้นหรือ จะข้ามขั้นได้อย่างไร

เจินสือเหนียงว้าวุ่นใจ แต่สีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยน นางหันกลับมายื่นน้ำให้ภรรยาหลี่ฉีและถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “มีใครมาบ้าง บอกหรือไม่ว่ามาทำอะไร”

“ผู้นำคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง แซ่เวิน มาถึงตั้งแต่เมื่อคืนและตรงไปบ้านหลิ่วหมาจื่อทันที” ภรรยาหลี่ฉีรับน้ำและวางไว้ข้างๆ “วันนี้คนของที่ว่าการอำเภอพาเขามาที่ร้านของข้า เขาบอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นไข้อึ่งอ่างจริง แต่หายดีแล้ว ทั้งยังขอสูตรยานั้นของเจ้าไปพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้ข้ามาเชิญเจ้าไปพบ” นางมองเจินสือเหนียง “พวกเขาพูดจาเกรงอกเกรงใจ ข้าเดาว่าคงไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแต่สูตรยา…ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นขุนนาง พวกเราเป็นแค่ร้านขายยาเล็กๆ ปฏิเสธเขาไม่ได้” สูตรยานี้หากถูกสำนักแพทย์หลวงเผยแพร่ออกไป นางย่อมหากำไรไม่ได้อีก ด้วยเหตุนี้เองภรรยาหลี่ฉีจึงกระวนกระวายใจแต่เช้า

เจินสือเหนียงกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้ หมอหลวงไปดูหลิ่วเอ้อร์กุ้ยก่อน แสดงว่าพวกเขามาด้วยเรื่องนี้ แม้นางเองจะมั่นใจว่าโรคนี้จะไม่ลุกลามเป็นโรคระบาด แต่มีคนของสำนักแพทย์หลวงคอยเฝ้าระวังย่อมเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่เมื่อรู้ถึงทางการ การที่นางรู้เรื่องแต่ไม่รายงานเช่นนี้จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เป็นเรื่องเล็ก!

คนอาชีพเดียวกันมักเป็นศัตรูกัน พวกเขาจะใช้เหตุผลข้อนี้มาจับนางขังคุกหรือไม่

คิดได้ดังนี้ เจินสือเหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่พอคำพูดมาถึงปากกลับกลืนลงไป นางเป็นเพียงหมอชาวบ้านตัวเล็กๆ รองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขมาเชิญนางไปพบ นางจะกล้าไม่ไปหรือ ในชั่วเวลาสั้นๆ ความคิดต่อสู้กันอยู่ในใจหลายหน

“อาโยวรีบเตรียมตัวแล้วไปกับข้าเถอะ” ภรรยาหลี่ฉีเห็นเจินสือเหนียงเงียบไป จึงกล่าวเร่งนาง “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางใหญ่ พวกเราล่วงเกินได้ที่ไหน อย่าให้ผู้อื่นรอนานเลย”

เจินสือเหนียงฉุกคิดได้ “สะใภ้หลี่รอสักครู่”

สะใภ้หลี่พูดถูก นางไม่มีสิทธิ์เลือก แม้ว่าไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา แต่นี่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน ขอเพียงนางรับมืออย่างเหมาะสม ไม่แน่อาจใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับพวกหมอหลวงได้! หากสามารถส่งยาลูกกลอนในร้านยารุ่ยเสียงที่ขายไม่ออกเข้าไปในสำนักแพทย์หลวง บางทีนางอาจเปิดโรงผลิตยาได้

จะว่าเตรียมตัวก็ไม่มีอะไรให้เตรียมมากนัก เจินสือเหนียงเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าป่านสีเขียวอ่อนลายดอกขนาดเล็กที่ไม่มีรอยปะชุน รวบผมใหม่สักหน่อยและเกล้ามวยง่ายๆ ใช้ปิ่นไม้เสียบไว้ จากนั้นสวมหมวกสานติดผ้าโปร่งและเรียกภรรยาหลี่ฉีที่นั่งเหม่อดื่มน้ำอยู่ “ไปกันเถอะ”

ภรรยาหลี่ฉีลุกขึ้นมองหมวกสานที่นางสวมอยู่และเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวตอนพบหมอหลวงเวิน แม่นางเจี่ยนอย่าลืมถอดหมวกสานออกมาด้วย”

เจินสือเหนียงชะงัก คำพูดนี้กล่าวถูกต้อง ปิดหน้ารักษาคนไข้ก็แล้วไปเถอะ แต่เข้าพบรองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเช่นนี้ออกจะไม่ให้ความเคารพ กระนั้นดูเหมือนตำแหน่งไม่สูงก็จริง แต่โดยทั่วไปหมอหลวงมักจะเข้าออกคฤหาสน์ของขุนนางใหญ่ในเมืองซั่งจิงอยู่บ่อยๆ พวกเขาจะจำนางได้หรือไม่

“คุณหนู…” ขณะที่นางกำลังลังเล สี่เชวี่ยที่ได้ข่าวก็ผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน

เจินสือเหนียงเห็นสี่เชวี่ยแล้วพลันเกิดความคิด หันไปบอกภรรยาหลี่ฉีว่า “สะใภ้หลี่รอสักครู่” นางดึงสี่เชวี่ยเข้าไปในเรือนตะวันตก

“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” สี่เชวี่ยถามทันทีที่เข้ามาในห้อง

“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา”

“คนจากสำนักแพทย์หลวงมา?” สี่เชวี่ยตระหนก “เพราะข่าวลือข้างนอกหรือเจ้าคะ” ข่าวลือเรื่องเมืองอู๋ถงเกิดโรคระบาดแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วในชั่วเวลาสองวัน

“น่าจะใช่กระมัง” เจินสือเหนียงไม่ปฏิเสธ “คนของที่ว่าการอำเภอก็อยู่ด้วย บอกว่าต้องการเชิญข้าไป”

ทางการมาตรวจสอบโรคระบาดจริงๆ ด้วย เช่นนั้นคุณหนูย่อมเป็นคนเดียวที่รู้สถานการณ์ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แม้แต่ครอบครัวหลี่ฉีเองยังสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ขอเพียงยืนกรานว่าเจินสือเหนียงไม่ได้บอกว่านี่เป็นโรคระบาด เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น สุดท้ายความผิดทั้งหมดย่อมตกอยู่กับเจินสือเหนียง ดีไม่ดีนางอาจตกเป็นแพะรับบาปของทางการ

สี่เชวี่ยเติบโตในจวนเสนาบดีแต่เด็ก คุ้นเคยกับแผนการชั่วร้ายในแวดวงขุนนางเป็นอย่างดี ยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ “คุณหนูจะไปไม่ได้เด็ดขาด!” นิ้วมือทั้งห้าของนางสั่นระริก

เจินสือเหนียงเองก็ไม่อยากไป แต่นี่หาใช่เรื่องที่นางกำหนดได้ นางเพียงทอดถอนใจ ไม่อยากเสียเวลาถกเถียงเรื่องนี้ มองสี่เชวี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องในอดีตข้าลืมเกือบหมดแล้ว เจ้าลองคิดให้ดี สมัยก่อนตอนอยู่จวนเสนาบดี เวลาไม่สบายล้วนให้หมอหลวงรักษาใช่หรือไม่”

“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นนายท่านเป็นเสนาบดีกรมอากรที่ได้รับความโปรดปรานอย่างสูง อย่าว่าแต่คุณหนูเลย แม้แต่บ่าวไม่สบายยังให้หมอหลวงเป็นคนตรวจ” แม้จะเป็นสาวใช้ แต่ตอนอยู่จวนเสนาบดี นางสูงส่งยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลทั่วๆ ไปเสียอีก สี่เชวี่ยถอนใจเบาๆ เมื่อคิดถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต

ระบบขุนนางของต้าโจวแบ่งเป็นสามฝ่ายหกกรม จากองค์ฮ่องเต้แบ่งเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายราชเลขา ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตรวจสอบ ฝ่ายราชเลขารับผิดชอบร่างคำสั่งบริหาร ฝ่ายตรวจสอบทำหน้าที่ตรวจสอบคำสั่ง ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยมีหกกรมที่อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายบริหารอีกที ได้แก่ กรมปกครอง กรมอากร กรมพิธี กรมทหาร กรมอาญา และกรมโยธา

หน้าที่รับผิดชอบของทั้งหกกรมไม่เหมือนกัน กรมปกครองทำหน้าที่คัดเลือก แต่งตั้ง และถอดถอนขุนนาง ว่ากันว่าเป็นหัวหน้าของกรมทั้งหก กรมอากรรับผิดชอบสำมะโนประชากรและภาษี คล้ายกระทรวงกิจการพลเรือนในยุคปัจจุบัน เป็นผู้กุมอำนาจทางการเงินของชาติและเป็นกรมที่ได้รับค่าสินบนเยอะที่สุดในหกกรม ในความเป็นจริงแล้วอยู่เหนือกรมปกครองด้วยซ้ำ คิดดูแล้วบิดาของเจินสือเหนียงเป็นถึงเสนาบดีกรมอากร หมอหลวงพวกนั้นมีใครบ้างที่ไม่อยากประจบ

“แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าหมอหลวงที่มาตรวจโรคให้ข้าบ่อยๆ แซ่อะไร”

สี่เชวี่ยครุ่นคิด “แซ่เวินเจ้าค่ะ…”

“เขาก็คือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง!” เจินสือเหนียงสั่นสะท้าน เมื่อครู่ภรรยาหลี่ฉีบอกแล้วว่าคนที่มาจากสำนักแพทย์หลวงแซ่เวิน

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “เขาเพิ่งอายุยี่สิบกว่า แค่วิชาแพทย์ล้ำเลิศก็เท่านั้น ได้รับ…” น้ำเสียงพลันหยุดชะงัก “ผ่านมาหลายปีแล้ว วิชาแพทย์ของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้น ไม่แน่อาจได้เลื่อนขั้น…หรือว่าคนที่มาจะเป็นเขา” นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้ “คุณหนู เขารู้จักท่าน!”

ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ปกติเวลาหมอหลวงไปตรวจโรคให้พระญาติฝ่ายหญิงหรือสตรีที่เป็นชนชั้นสูงล้วนต้องมีม่านกั้น น่าเสียดายที่คุณหนูของนางซุกซนเกินไป เห็นหมอหลวงเวินอายุน้อยๆ แต่กลับปั้นหน้าเคร่งขรึม จึงจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย เชื่อว่าชาตินี้ต่อให้คุณหนูของนางกลายเป็นเถ้าถ่าน หมอหลวงเวินผู้นั้นก็ยังจำได้! หากอีกฝ่ายจำคุณหนูได้ เรื่องนี้ย่อมปิดเสิ่นจงชิ่งไม่ได้อีก ครั้นคิดว่าตอนนี้เสิ่นจงชิ่งกำลังคิดทุกวิถีทางในการสลัดคุณหนูออก สี่เชวี่ยยิ่งไม่กล้าคิดต่อ

“เมื่อกี้ตอนสะใภ้หลี่บอกให้ถอดผ้าคลุมหน้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ ข้าห่วงเรื่องนี้นี่แหละ!” เจินสือเหนียงสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” สี่เชวี่ยหน้าซีด

“อย่างมากก็แค่ย้ายบ้านเท่านั้น” เพียงครู่เดียวเจินสือเหนียงก็สุขุม นางยิ้มหยันตนเอง “ท่านแม่ทัพต้องการไล่พวกเราออกไปอยู่แล้ว” นางก้าวเดินออกไปข้างนอก

ภรรยาหลี่ฉีที่ยืนคุยกับชิวจวี๋ในลานบ้านเห็นเจินสือเหนียงออกมาก็รีบปราดเข้ามา “รีบไปเถอะ สายมากแล้ว”

“ก่อนหน้านี้พี่สาวแม่สามีของสี่เชวี่ยเดินทางจากฮุ่ยอันมาเยี่ยมเยียน เมื่อคืนเป็นไข้หวัด” เจินสือเหนียงกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เกรงว่าจะติดโรคระบาด นางรบเร้าให้สี่เชวี่ยมาขอร้องข้า สะใภ้หลี่ช่วยบอกหมอหลวงเวินทีว่าข้าออกไปตรวจโรคกะทันหัน”

“เจ้า…” ภรรยาหลี่ฉีอึกอัก “เจ้าไม่ไปหรือ”

จะได้อย่างไรกัน บอกให้นางมาเชิญก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดแบบสุภาพเท่านั้น อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนางใหญ่เชียวนะ! ใหญ่กว่านายอำเภอในเมืองอู๋ถงเสียอีก

“สี่เชวี่ยติดตามข้ามาหลายปี ถึงอย่างไรข้าก็ต้องให้หน้านาง” เจินสือเหนียงถอนหายใจอย่างลำบากใจเล็กน้อย

“ถึงอย่างไรก็ใช้เวลาไม่มากหรอก” ด้วยไม่กล้าล่วงเกินสำนักแพทย์หลวง ภรรยาหลี่ฉีจึงเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง “พี่หลี่ของเจ้าบอกว่าหมอหลวงเวินผู้นั้นชื่นชมเจ้ามาก คงอยากหารือกับเจ้าเรื่องตำรับยา ที่นี่ไม่ได้เกิดโรคระบาด ถึงทางการจะอยากเอาเรื่องก็ลงโทษเจ้าไม่ได้” ดวงตาเปล่งประกาย “มีโอกาสผูกสัมพันธ์กับสำนักแพทย์หลวง นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่ง อาโยวอย่าได้พลาดเป็นอันขาด”

เจินสือเหนียงถอนหายใจอีกครั้ง “สะใภ้หลี่หวังดีต่อข้า ข้ารู้ แต่โรคชนิดนี้ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้จริงๆ”

ด้วยรู้ว่าเจินสือเหนียงเป็นคนพูดหนึ่งไม่เป็นสอง เห็นนางตัดสินใจแล้ว ภรรยาหลี่ฉีจึงถอนหายใจ “เช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อน” เดินไปสองก้าวก็หันกลับมา “หากหมอหลวงเวินดึงดันให้ข้าพาเขาไปพบเจ้าที่บ้านสี่เชวี่ยจะทำอย่างไรล่ะ”

“เอ่อ…” เจินสือเหนียงตระหนก รีบตอบว่า “สะใภ้หลี่บอกเขาไปว่าข้าถูกคนจากเมืองข้างเคียงเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าดีกว่า อีกสามถึงห้าวันจึงจะกลับมา”

ข้างนอกกำลังลือกันอย่างครึกโครม หากบอกว่าพี่สาวของแม่สามีสี่เชวี่ยเป็นไข้หวัด เกรงจะติดโรคระบาด หมอหลวงเวินต้องยืนกรานไปดูแน่ ทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นอีก คิดดูแล้วก็ได้แต่จัดการแบบนี้ ภรรยาหลี่ฉีจึงพยักหน้า

เห็นภรรยาหลี่ฉีจากไปแล้ว เจินสือเหนียงครุ่นคิด ที่ว่าการอำเภอในเมืองอู๋ถงไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย รองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงกลับเดินทางมาที่นี่กะทันหัน เห็นได้ชัดว่ามีคนรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบนโดยข้ามหน่วยงานท้องถิ่นไป

ใครกัน ใครที่มีความสามารถและร้ายกาจขนาดนี้ ตระกูลใหญ่ในเมืองไม่กี่ตระกูลผุดขึ้นในหัว เจินสือเหนียงส่ายหน้า ถึงอย่างไรถิ่นฐานของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ แม้จะหวาดกลัวกับข่าวลือ แต่ไม่มีทางข้ามที่ว่าการอำเภอในเมืองอู๋ถงและเอาเรื่องไปรายงานใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์ เช่นนั้นคนผู้นี้จะเป็นใครไปได้ นางค่อยๆ หันกลับมา ร่างกายชะงักทันใด

เป็นเขา! คนที่โพล่งออกมาเมื่อวันก่อนว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด

คิดถึงอาภรณ์หรูหรา การแต่งกายไม่ธรรมดาของเขา เจินสือเหนียงยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง นางเงยหน้าสั่งชิวจวี๋ “เจ้าไปสืบดูที่ร้านยารุ่ยเสียงหน่อยว่าผู้ชายที่บอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาดในวันนั้นคือใคร จากไปเมื่อไรและมาที่นี่อีกหรือไม่”

ชิวจวี๋กลับมาอย่างรวดเร็ว “เขาจากไปเช้าวันที่สอง วันนี้กลับมาพร้อมหมอหลวงอีกครั้ง ฝูเป่าบอกว่าใต้เท้าหม่ากับหมอหลวงเวินต่างเกรงใจเขามาก” ใต้เท้าหม่าเป็นนายอำเภอในเมืองอู๋ถง ชิวจวี๋เล่าพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เมื่อกี้ป้าหลี่กลับไปบอกว่าท่านไปตรวจโรคที่เมืองอื่น อีกสามถึงห้าวันจึงจะกลับมา ใต้เท้าหม่าหน้าบึ้งทันที บอกว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ของทางการไปจับตัวท่านกลับมา แต่ได้เขาร้องห้ามไว้”

เป็นเขาจริงๆ ด้วย! แล้วเขาเป็นใคร

วันนั้นนางบอกแล้วว่าจะไม่เกิดโรคระบาด ไฉนเขายังกัดไม่ปล่อย ถึงกับพาหมอหลวงมาตรวจสอบ เจินสือเหนียงส่ายหน้าเหมือนต้องการสลัดความกลัดกลุ้มในใจออกไป สั่งให้ชิวจวี๋ลงกลอนประตูและพาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปเล่นที่หลังบ้าน

 

เวลาพลบค่ำ ชิวจวี๋ไปสืบข่าวกลับมาอีกครั้ง “ทางการปิดป้ายประกาศสีแดงเพื่อปฏิเสธข่าวลือเรื่องโรคระบาด และบอกให้ทุกคนกินยาตามสูตรของท่านเพื่อป้องกันโรคได้”

ในเมื่อทางการปิดประกาศแล้ว อีกหน่อยหากเกิดโรคระบาดจริงก็ไม่เกี่ยวกับนาง เจินสือเหนียงเงยหน้ามองหิมะที่โปรยปรายลงมาพลางยิ้มน้อยๆ “หิมะตกแล้ว วันนี้พวกเราเชือดห่านกินดีกว่า”

“เย้ ได้กินเนื้อห่านแล้ว ได้กินเนื้อห่านแล้ว!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กระโดดโลดเต้นรอบตัวเจินสือเหนียงอย่างดีอกดีใจ “ข้าจะเอาขนห่านมาทำปีกนก!”

เช้าตรู่วันต่อมา ภรรยาหลี่ฉีมาดองผักตามสัญญา

“หมอหลวงเวินผู้นั้นสุภาพเรียบร้อย นิสัยดี ก่อนหน้านี้เคยไปดูตัว แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธ ประจวบเหมาะต้องมาไว้ทุกข์ให้ปู่อีกสามปี เรื่องแต่งงานจึงเลื่อนออกไป ตอนนี้จะสามสิบแล้ว ได้ยินว่าที่บ้านมีอนุอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น…” นางนั่งลวกผักกาดอยู่หน้าเตาชั่วคราวที่ก่อขึ้นพลางพูดเจื้อยแจ้ว

แม้รูปโฉมจะงดงาม แต่ถึงอย่างไรเจินสือเหนียงก็เป็นแม่ม่าย ทั้งยังมีลูกสองคนแล้ว ตามหลักย่อมไม่เหมาะสมคู่ควรกับขุนนางลำดับรองขั้นห้าอย่างรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง หากเป็นคนทั่วไป ภรรยาหลี่ฉีไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ แต่เห็นหมอหลวงเวินฟังเฝิงสี่เล่าถึงการรักษาโรคในอดีตของเจินสือเหนียงแล้วดวงตาฉายแววเลื่อมใส นางถึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อ เจินสือเหนียงมีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ แม้หมอหลวงเวินจะอายุมากไปหน่อย แต่หากได้แต่งกับเขาก็นับว่าเจินสือเหนียงได้ครองคู่กับคนสูงส่ง ย่อมดีกว่าลำบากตรากตรำอยู่คนเดียวเป็นร้อยเท่า

ด้วยจับนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของภรรยาหลี่ฉีได้ สี่เชวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงมองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจ

เจินสือเหนียงเรียงผักกาดที่ลวกน้ำร้อนแล้วลงในไห ยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานผู้ชายคนนั้นก็มาด้วย สะใภ้หลี่ได้ถามหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”

ภรรยาหลี่ฉีกำลังพูดอย่างออกรส คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ครู่ใหญ่จึงได้สติ “ผู้ชายคนไหน”

“คนที่บอกว่าหลิ่วเอ้อร์กุ้ยเป็นโรคระบาด”

“เขาน่ะหรือ…” ภรรยาหลี่ฉีนึกออกทันที “ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านกู้” นางขบคิด “ดูท่าทางคงมีฐานะไม่ธรรมดา แม้แต่หมอหลวงเวินยังเกรงอกเกรงใจเขา”

ท่านกู้? เจินสือเหนียงนิ่วหน้า นางไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน

นางจะถามต่อ แต่เห็นภรรยาหลี่ฉีพูดถึงหมอหลวงเวินอีกแล้ว จึงรีบสั่งให้ชิวจวี๋ไปหยิบเกลือและพูดว่า “เกลือต้องใช้เม็ดใหญ่ เรียงผักหนึ่งชั้นโรยเกลือหนึ่งชั้น” นางยิ้มพลางชวนคุยเรื่องอื่น

ภรรยาหลี่ฉีเห็นนางไม่สนใจสักนิดก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นดูว่าเจินสือเหนียงโรยเกลือลงในไหอย่างไร

 

หลายวันต่อจากนั้นในเมืองสงบสุข คนจากสำนักแพทย์หลวงไม่ได้มาหาอีก เจินสือเหนียงค่อยๆ ลืมเรื่องฐานะของท่านกู้ วันนี้เจินสือเหนียงกำลังสอนเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คัดลายมืออยู่ในเรือนฝั่งตรงข้าม ภรรยาหลี่ฉีแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามา “การค้าใหญ่มาหาเจ้าแล้ว”

“ท่านป้าหลี่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่นั่งคัดลายมือมาเกือบหนึ่งชั่วยามจนทนแทบไม่ไหวแล้ว เห็นนางเดินเข้ามาจึงรีบวางพู่กันและเดินเข้าไปหา

“เหวินเกอ อู่เกอน่ารักจริงๆ” ภรรยาหลี่ฉียิ้มพลางหยิบลูกอมหลากสีออกมาให้ “เอ้า กินขนม”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ตาเป็นประกายเมื่อเห็นลูกอม เจี่ยนอู่ยื่นมือไปจะรับ แต่ถูกเจี่ยนเหวินขวางไว้ เขาพยายามกลืนน้ำลายและหันไปมองเจินสือเหนียง

“ท่านแม่…” เจี่ยนอู่ออดอ้อน

“เจ้าตามใจพวกเขาอยู่เรื่อย” เจินสือเหนียงยิ้มและเข้าไปดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ออกมา “เริ่มต้นทำอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จ คัดห้าตัวสุดท้ายเสร็จก่อนค่อยกิน”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่มองลูกอมในมือภรรยาหลี่ฉีอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะกลับไปนั่งคัดลายมือที่โต๊ะอย่างว่าง่าย

“เด็กยังเล็ก เจ้าเข้มงวดเกินไปแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีวางลูกอมไว้ในถาดบนโต๊ะ ก้มตัวมองเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่คัดลายมือ “จุ๊ๆ คัดได้สวยจริงๆ ยังไม่ทันเข้าเรียนก็คัดลายมือเก่งกว่าชุนเกอของข้าเสียแล้ว” คิดถึงลายมือน่าเกลียดของชุนเกอแล้ว ภรรยาหลี่ฉีถึงกับถอนใจติดๆ กัน

ด้วยร้อนใจอยากกินลูกอม เดิมทีเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จิตใจไม่อยู่กับตัว พอได้ยินคำพูดนี้แล้วพลันยืดอกตั้งใจคัด

เจินสือเหนียงดึงตัวภรรยาหลี่ฉีไปที่เรือนตะวันออก “มีเรื่องอะไรหรือ”

สี่เชวี่ยนั่งชุนเสื้อให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่อยู่บนเตียงเตา เห็นพวกนางเข้ามาก็กุลีกุจอรินน้ำให้ แต่ถูกเจินสือเหนียงห้ามไว้ “เจ้าอย่าลำบากเลย นั่งอยู่บนเตียงเตานั่นแหละ”

ภรรยาหลี่ฉีนั่งลงข้างสี่เชวี่ย “วันนี้ท่านกู้ผู้นั้นมาอีกแล้ว” เห็นสี่เชวี่ยชุนรูโหว่บนเสื้อผ้าเป็นรูปดอกไม้ นางอดเดาะลิ้นอย่างอิจฉามิได้ “แค่ชุนเสื้อยังใส่ใจขนาดนี้ ฝีมือเจ้านับเป็นที่หนึ่งในเมืองจริงๆ” จากนั้นเงยหน้าพูดต่อ “เขาบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเขาป่วยเป็นโรคประหลาดได้เกือบปีแล้ว หาหมอชื่อดังมากมายมารักษาก็ไม่หาย อยากเชิญเจ้าไปตรวจดูให้หน่อย ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ ค่ารักษามีให้เจ้าไม่น้อยแน่”

เจินสือเหนียงที่กำลังรินน้ำพลันชะงัก “ไปตรวจโรคที่บ้าน เขาเป็นใคร อาศัยอยู่ที่ไหน”

“บ้านเขาอยู่เมืองซั่งจิง บอกว่าเป็นหัวหน้าพ่อบ้านฝ่ายซื้อหาของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง”

เจินสือเหนียงตกใจเล็กน้อย “เขาเป็นบ่าวหรอกหรือ” นางส่งน้ำให้ภรรยาหลี่ฉีและนั่งลงตรงข้าม

“นั่นน่ะสิ พี่หลี่ฟังแล้วยังตกใจ” ภรรยาหลี่ฉีทอดถอนใจ “หลายวันก่อนเห็นท่าทีของหมอหลวงเวินกับใต้เท้าหม่าแล้ว ข้ายังคิดว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ไหน ใครจะคิดว่าเป็นเพียงบ่าว แค่บ่าวยังมีคนเกรงใจขนาดนี้ เจ้านายจะต้องเป็นขุนนางใหญ่แน่!” นางจ้องเจินสือเหนียงตาเป็นประกาย “ตระกูลใหญ่แบบนี้ไม่พูดถึงค่ารักษา หากเจ้ารักษาโรคจนหายได้ แค่เงินรางวัลก็พอกินพอใช้ไปครึ่งปีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว”

เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว “ไม่ได้บอกหรือว่าเจ้านายของเขาเป็นใคร”

โบราณว่าคนเฝ้าประตูจวนอัครเสนาบดีมีตำแหน่งเท่าขุนนางขั้นเจ็ด แค่บ่าวในบ้าน หมอหลวงเวินที่เป็นขุนนางลำดับรองขั้นห้าและใต้เท้าหม่านายอำเภอยังนอบน้อมถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าเจ้านายของเขาต้องเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมหาศาลแน่นอน เป็นขุนนางใหญ่ย่อมมีโอกาสที่จะไปมาหาสู่กับเสิ่นจงชิ่ง

“ไม่ได้บอก” ภรรยาหลี่ฉียิ้มอธิบาย “คนใหญ่คนโตพวกนี้เวลาไม่สบายมักเชิญหมอหลวงมารักษา พวกบ่าวแอบออกมาเสาะหาหมอชาวบ้าน ไหนเลยจะกล้าบอกชื่อจวนของตนเอง” นางปลอบใจ “เจ้าวางใจเถอะ ครั้งนี้ไม่ผิดพลาดแน่นอน”

เจินสือเหนียงยิ้ม “สะใภ้หลี่กล่าวถูกต้อง ตระกูลใหญ่เหล่านี้ล้วนไม่ขาดแคลนเงินทอง เพียงแต่…” นางเปลี่ยนเรื่อง “ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองซั่งจิงเป็นระยะทางนั่งรถม้าหนึ่งวัน แถมตอนนี้อากาศยังหนาวเหน็บ ด้วยสภาพร่างกายของข้า ต่อให้ไปถึงก็หมดแรงแล้ว อย่าว่าแต่ตรวจโรคให้ใครเลย ดีไม่ดีอาจไปล้มป่วยในบ้านผู้อื่น” นางถอนหายใจ “อีกอย่างมีเหวินเกอ อู่เกออยู่ ข้าหรือจะปลีกตัวไปไหนได้”

คิดดูแล้วก็จริง ร่างกายของเจินสือเหนียงทนรับความโขยกเขยกยาวนานเช่นนั้นไม่ไหว ภรรยาหลี่ฉีจับหัวเข่าทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอคิดถึงก้อนเงินแวววาวที่พ่อบ้านกู้มอบให้นางก่อนจะเดินทางมาที่นี่ นางจึงเกลี้ยกล่อมอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ “เหวินเกอ อู่เกอพูดง่าย มีสี่เชวี่ยกับชิวจวี๋อยู่ ข้ามาช่วยเจ้าดูแลลูกสองสามวันก็ได้” นางมองเจินสือเหนียง “ส่วนเรื่องสภาพร่างกายของเจ้า ข้าจะบอกกับเขาดีๆ ให้เขาจ้างรถม้านั่งสบายให้เจ้า ระหว่างทางก็ให้คอยดูแลเจ้า”

เจินสือเหนียงหัวเราะ “หากเจ้าไปพูดเช่นนี้ ผู้อื่นคงคิดว่าจะอัญเชิญบรรพบุรุษกลับไป” นางส่ายหน้า “ช่างเถอะ ร่างกายข้าไม่มีชะตาจะหาเงินแต่กำเนิดแล้ว เจ้าก็เห็น ก่อนหน้านี้เห็นว่าเออเจียวหาเงินได้ ข้าอยากจะเคี่ยวให้มากหน่อย สุดท้ายหมดสติไปถึงสองวัน แม้แต่เออเจียวหม้อนั้นยังเสียหายไปด้วย”

ฟังคำพูดนี้และมองใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของเจินสือเหนียง ภรรยาหลี่ฉีถอนหายใจ

หลังส่งภรรยาหลี่ฉีกลับไปแล้ว สี่เชวี่ยหยิบเสื้อที่ยังชุนไม่เสร็จขึ้นมาอย่างเสียดาย “เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเอง ดันมาตั้งครรภ์ตอนนี้ หากบ่าวแข็งแรงดีจะต้องเดินทางไปเมืองซั่งจิงกับคุณหนูแน่” นางเติบโตในเมืองซั่งจิงตั้งแต่เด็ก หากนางไปด้วยต้องไม่เกิดเรื่องอะไรแน่ “ฟังจากที่สะใภ้หลี่พูดอย่างน้อยคงหาเงินได้ถึงสิบตำลึง หากโชคดีฤดูหนาวนี้ท่านจะได้ไม่ต้องหยุดยา”

“หากอยากไปจริง ข้าฝืนสังขารอย่างไรก็ต้องไปให้ได้” เจินสือเหนียงยื่นมือไปหยิบหนังสือที่อ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง “ข้าเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนาง”

เป็นขุนนาง? สี่เชวี่ยผงะ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและโน้มตัวมาข้างหน้า “ท่านว่าจะเป็นคนจากจวนแม่ทัพมาหาหมอรักษาโรคหรือเปล่า”

เจินสือเหนียงอ่านหนังสือพลางถามอย่างไม่ใส่ใจ “บ้านท่านแม่ทัพมีฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”

“คุณหนู!” สี่เชวี่ยแย่งหนังสือไปจากมือนาง

เจินสือเหนียงถึงพบว่าตนเอ่ยถามคำถามโง่งมออกไป นางยิ้มนั่งตัวตรง “ข้าลืมไปแล้วนี่นา เจ้าลองเล่ามาสิว่าบ้านเขามีใครอยู่บ้าง” คิดถึงละครแนวย้อนยุคที่เคยดูเมื่อชาติก่อนจึงถามว่า “มีเหล่าไท่จวิน* แม่สามีผู้ถือยศถืออย่างหรือไม่” คำถามนี้ทำเอาสี่เชวี่ยขำพรืด

ทุกคนกินอาหารกลางวันอย่างคึกคัก สี่เชวี่ยทำงานเย็บปักต่อ ชิวจวี๋พาเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไปดักนกกระจอกหลังบ้านด้วยอ่างดิน เจินสือเหนียงขนหมากล้อมออกมาเล่นพลางหยอกล้อสี่เชวี่ยแบบไม่จริงจัง ภรรยาหลี่ฉีรีบร้อนเดินเข้ามาอีกครั้ง

“ไม่ว่าข้าพูดอย่างไร พ่อบ้านกู้ก็ไม่ยอมไป บอกว่าจะเชิญเจ้าไปให้ได้ ทั้งยังบอกให้เจ้าไม่ต้องห่วง เขาจะจ้างรถม้าสี่ล้อที่เอนนอนได้ให้เจ้านอนไป” ภรรยาหลี่ฉีหยิบเงินก้อนหนึ่งวางบนโต๊ะ “นี่เป็นค่ามัดจำ ขอเพียงเจ้ารับปาก ค่าเดินทางไปกลับเขาเหมาเอง ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ เงินสิบตำลึงนี้จะเป็นของเจ้า หากรักษาหายยังจะได้ค่ารักษาอีกยี่สิบตำลึงด้วย” นางมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาเว้าวอน “ท่านหญิงคนดีของข้า ข้าว่าเขาอยากเชิญเจ้าไปรักษาด้วยความจริงใจ เจ้าเดินทางไปสักครั้งเถอะ เรื่องที่บ้านเจ้าวางใจได้ ข้าจะมาช่วยดูให้ทุกวัน”

สามสิบตำลึง! ท้องฟ้ามีฝนแดงตกลงมาจริงๆ

สี่เชวี่ยตาเป็นประกายทันใด แต่แล้วแววตาก็หม่นลง ถามภรรยาหลี่ฉีว่า “สะใภ้หลี่ได้ถามหรือไม่ว่าเจ้านายบ้านเขาเป็นใคร” หากเป็นเสิ่นจงชิ่ง ต่อให้ภูเขาทองทั้งลูกก็ไปไม่ได้

“ท่านหญิงคนดี พวกเราเป็นใคร แล้วเขาเป็นใคร เรื่องนี้จะถามส่งเดชได้อย่างไรเล่า”

เจินสือเหนียงหยิบเงินบนโต๊ะและส่งกลับไป “สะใภ้หลี่กลับไปเถอะ ต่อให้ไปจริงก็ใช่ว่าข้าจะสามารถรักษาโรคให้เจ้านายของเขาได้ ในเมืองหลิ่วหลินที่ห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีท่านหมอจงอยู่ ได้รับฉายาว่ามัจจุราชระทม เจ้าบอกให้เขาไปเชิญหมอท่านนั้นดู” น้ำเสียงราบเรียบเจือความยืนกรานหนักแน่น

ภรรยาหลี่ฉีลุกขึ้นอย่างเก้อๆ “มีอย่างที่ไหนปฏิเสธเงินที่ถูกส่งมาไปให้คนอื่น”

สี่เชวี่ยได้แต่มองภรรยาหลี่ฉีเอาเงินมัดจำกลับไป หัวใจกระตุก เงยหน้าอยากพูดอะไร เห็นเจินสือเหนียงก้มหน้าเรียงหมากเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจึงถอนหายใจและก้มหน้าเย็บเสื้อผ้าต่อ

 

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน พ่อบ้านกู้ไม่ได้มาอีก แม้แต่สี่เชวี่ยเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่นึกเสียดายเงินก้อนนั้นอีกและตั้งอกตั้งใจเตรียมโจ๊กล่าปา

“ตั้งแต่ทางการปิดประกาศ มีคนไปซื้อยาที่ร้านยารุ่ยเสียงไม่ขาดสาย ไม่รู้พวกเราจะได้ส่วนแบ่งสักเท่าไร” สี่เชวี่ยยกถั่วแขกแห้งหนึ่งกระจาดออกมานั่งแกะกับเจินสือเหนียงบนพื้น

“อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้สิบกว่าตำลึงนั่นแหละ” เจินสือเหนียงโยนเปลือกถั่วลงในกระบุง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบถั่วขึ้นมาอีกฝักและใช้ท้องนิ้วขยี้ “ชิวจวี๋บอกว่าเมื่อวานขายได้อีกยี่สิบเทียบ” นางเปลี่ยนเรื่อง “เทศกาลล่าปามีตลาดนัด ข้าอยากพาชิวจวี๋กับเหวินเกอ อู่เกอไปเดินเที่ยวสักหน่อย ถือโอกาสซื้อผ้าด้วย พวกเจ้าตัดเสื้อผ้าใหม่สักชุดเถอะ ปีนี้ลงมือตัดเร็วหน่อย ถึงสิ้นปีเจ้าจะได้ไม่ต้องร้อนใจหากทำไม่ทัน” เนื่องจากเป็นคนยุคปัจจุบัน ชาติก่อนนางซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปใส่ตลอด เจินสือเหนียงจึงไม่มีฝีมือด้านการเย็บปักเลย งานเย็บปักในบ้านเป็นหน้าที่ของสี่เชวี่ยทั้งหมด

“ช่างเถอะเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยที่แกะฝักถั่วอยู่หยุดชะงัก “บ่าวแก้เสื้อผ้าเก่าที่สะใภ้หลี่เอามาให้แล้ว ไม่มีรอยปะชุนสักที่ ใส่ฉลองปีใหม่ได้” นางพูดต่อ “สองปีที่ผ่านมาไม่ได้ตัดเสื้อใหม่ก็ยังฉลองปีใหม่ได้” แม้ปีนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เยอะ แต่ใครจะรู้ว่าเสิ่นจงชิ่งจะไล่พวกนางออกจากบ้านบรรพบุรุษเมื่อไร อีกหน่อยยังมีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก

“เด็กๆ เฝ้ารอปีใหม่ก็เพราะอยากสนุกสนาน ข้ารับปากพวกเขาไว้แล้ว”

“คุณหนู…”

“เด็กโตแล้ว ไม่ใช่ทารกที่ยังแบเบาะ เจ้าให้กินอะไรก็กิน ให้สวมอะไรก็สวม ไม่รู้จักแยกแยะ” เจินสือเหนียงพูดพลางถอนหายใจ “ปีที่แล้วไม่ได้ตัดเสื้อใหม่ ข้ายังนึกเสียใจ เหวินเกอ อู่เกอออกไปเยี่ยมคารวะเพื่อนบ้านแค่วันที่หนึ่งวันเดียว วันที่สองก็ไม่ยอมออกไปเล่นอีก จะต้องเป็นเพราะเห็นบ้านอื่นสวมเสื้อผ้าใหม่แต่พวกเขาไม่มีและเสียใจแน่ แต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวข้าลำบากใจ เด็กยังเล็กถึงเพียงนี้ รอไว้พวกเขาโตขึ้นและย้อนคิดถึงอดีต จะได้มีความทรงจำที่ดี” พอคิดว่าไม่รู้อีกหน่อยจะมีโอกาสฉลองปีใหม่กับพวกเขาอีกหรือไม่ เจินสือเหนียงก็ขอบตาเปียกชื้น หากเป็นไปได้นางอยากทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ลูกๆ มีความสุขอย่างถึงที่สุด

“คุณหนู…” สี่เชวี่ยร้องเรียกอีกครั้ง รู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดอยู่ในคอ จึงก้มหน้าออกแรงแกะฝักถั่วในมือ นานทีเดียวจึงเอ่ยอย่างหดหู่ว่า “เช่นนั้นตัดให้เหวินเกอ อู่เกอก็พอ ของบ่าวกับชิวจวี๋ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ”

“เด็กผู้หญิงยิ่งรักสวยรักงาม” เจินสือเหนียงโยนถั่วในมือลงในกระจาดและลุกขึ้นยืน “พอแล้วล่ะ ที่เหลือไว้ค่อยแกะ”

“ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ บ่าวจะแกะให้หมด” สี่เชวี่ยก้มหน้าบิดฝักถั่วในมือแรงๆ ราวกับว่าหากนางออกแรงให้มากพอ จะสามารถขจัดความยากจนในชีวิตออกไปได้

เจินสือเหนียงได้เพียงแต่ส่ายหน้าถอนหายใจ

ระหว่างนั้นเสียงแหลมสูงของภรรยาหลี่ฉีดังเข้ามา “รีบเปิดประตูเร็วเข้า มีคนเอาสินบนมาให้แล้ว”

พอเปิดประตู ลมหนาวเจือละอองหิมะก็พัดปะทะใบหน้า เจินสือเหนียงหนาวจนตัวสั่นทันที นางเห็นภรรยาหลี่ฉีถือกะละมังที่ปิดมาอย่างแน่นหนาก็ยื่นมือออกไปรับ “หิมะตกหนัก เจ้าไม่หลบหนาวอยู่ในบ้าน ยังจะยกอะไรมาอีก”

“นี่เป็นทางลม เจ้ารีบเข้าบ้านไป เดี๋ยวข้าถือเอง” ด้วยรู้ว่าเจินสือเหนียงกลัวหนาวเป็นที่สุด ภรรยาหลี่ฉีจึงเบี่ยงตัวหลบนางและยกกะละมังเข้าไปในบ้านเอง “ลูกเดือยกับถั่วลิสง เอามาเพิ่มในโจ๊กล่าปาของเจ้า ข้าเดาว่าสองอย่างนี้เจ้าต้องไม่มีแน่”

ลูกเดือยกับถั่วลิสงราคาแพงมาก ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อมากิน เจินสือเหนียงหัวเราะ “ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่ว่ายังได้ไม่ครบแปดอย่าง”

“สะใภ้หลี่มาหรือ” สี่เชวี่ยเก็บความเศร้าโศกและเดินยิ้มออกมา มือยื่นออกไปปัดหิมะบนตัวนาง

พอวางกะละมังลง ภรรยาหลี่ฉีกวาดตามองไปเห็นกะละมังธัญพืชบนเตียงเตา จึงถอดถุงมือและหยิบขึ้นมาดู “เตรียมอะไรเอาไว้บ้างล่ะ”

“ข้าวสาร ข้าวฟ่าง พุทราแดง ถั่วเขียว เม็ดบัว…” สี่เชวี่ยหันไปชี้ถั่วแขกบนพื้นที่เพิ่งแกะจากฝัก “บวกถั่วแขกที่เพิ่งแกะก็ได้หกอย่างพอดี ชิวจวี๋เอาเม็ดบัวออกไปข้างนอกแลกกับธัญพืชอย่างอื่น” เปิดกะละมังที่ภรรยาหลี่ฉียกมา ข้างในเป็นลูกเดือยครึ่งกะละมังกับถั่วลิสงที่ใส่อยู่ในกะละมังใบเล็กอีกที เห็นถั่วลิสงสีชมพูพวกนั้นแล้ว สี่เชวี่ยตาเป็นประกาย “เหวินเกอ อู่เกอมีของดีกินอีกแล้ว!” คราวก่อนเหวินเกอ อู่เกอกินถั่วลิสงที่บ้านหลี่ฉีไปครั้งหนึ่ง กลับมาพูดถึงอยู่ครึ่งเดือน บอกว่าถั่วลิสงอร่อยกว่าเมล็ดแตงเสียอีก “หากรู้แต่แรกว่าท่านจะเอาของพวกนี้มาให้คงไม่สั่งให้ชิวจวี๋ออกไปข้างนอก”

“คราวนี้ครบแล้ว” ภรรยาหลี่ฉียิ้ม “รีบไปเรียกเด็กๆ กลับมาเถอะ หิมะตกหนักเช่นนี้ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

สี่เชวี่ยหันไปหยิบผ้าพันคอในตู้ เตรียมตัวจะออกไป

“เจ้าอยู่ในบ้านเถอะ” เจินสือเหนียงเหลือบมองหน้าท้องที่นูนเด่นขึ้นมาของสี่เชวี่ย “พวกเขาออกไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ใกล้จะกลับแล้วล่ะ” นางชี้ถั่วแขกที่เพิ่งแกะจากฝักและหันมาพูดกับภรรยาหลี่ฉี “ถั่วแขกที่ข้าปลูกปีนี้งามเป็นพิเศษ แต่ละเม็ดอวบอิ่มสมบูรณ์ สะใภ้หลี่จะเอากลับไปทำโจ๊กล่าปาบ้างหรือไม่”

“ข้าก็ขาดอยู่พอดี” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะ “เจ้าเอาเม็ดบัวให้ข้าหน่อยหนึ่งด้วย”

สี่เชวี่ยเทลูกเดือยกับถั่วลิสงที่ภรรยาหลี่ฉีเอามาใส่ลงกะละมังใบอื่นและหันไปเอาถั่วแขกกับเม็ดบัวให้นาง

“สะใภ้หลี่นั่งสิ” เจินสือเหนียงเลื่อนกะละมังใส่ธัญพืชเข้าไปด้านใน หันไปทำท่าจะรินน้ำ

“เจ้าอย่ายุ่งยากเลย ข้ามีเรื่องพูดอีกนิดหน่อยก็ไปแล้ว” ภรรยาหลี่ฉีกดมือนางไว้

เห็นอีกฝ่ายสีหน้าจริงจัง เจินสือเหนียงจึงหดมือกลับมา “เรื่องอะไรหรือ”

“เรื่องเมื่อคราวก่อนนั่นแหละ” ภรรยาหลี่ฉีถอนหายใจ “พ่อบ้านกู้มาอีกแล้ว คราวนี้ยืนกรานมาก บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเขาป่วยเป็นโรคประหลาดเมื่อปีที่แล้ว แรกเริ่มแค่ปวดหัวเท่านั้น คิดว่าเป็นไข้หวัด แต่หมอในสำนักแพทย์หลวงรักษาไม่หาย หาหมอชาวบ้านอีกหลายคนมารักษาอย่างต่อเนื่องก็ไม่หาย ตอนนี้ความจำของฮูหยินผู้เฒ่าถดถอยลงเรื่อยๆ อาการปวดหัวก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าเขียวคล้ำ แม้แต่ยาแก้ปวดที่หมอหลวงจ่ายให้ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว วันๆ ร้องอยากจะให้คนเอาขวานมาผ่าหัวออกดูว่ามีอะไร เห็นท่าว่าคงอยู่ได้ไม่พ้นปีใหม่เสียแล้ว”

ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ใบหน้าเขียวคล้ำ?

โรคอะไรนะ เจินสือเหนียงขมวดคิ้ว “ไม่ได้ให้หมอจงในเมืองหลิ่วหลินรักษาหรือ”

“เห็นบอกว่าเชิญมาตรวจตอนฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่หาสาเหตุไม่ได้ หมอจงตรวจเสร็จยังบอกว่าอวัยวะภายในของฮูหยินผู้เฒ่าปกติดีทุกอย่าง” ภรรยาหลี่ฉีส่ายหน้า “วันนั้นพ่อบ้านกู้เห็นฝีมือการรักษาของเจ้าแล้วกลับไปแนะนำกับเจ้านายของเขา พอเจ้านายเขาได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีก็ส่ายหน้า เกรงว่าอายุน้อยๆ อย่างเจ้าจะรู้จักแต่เอาหน้า ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา ปล่อยให้เมืองสำคัญที่อยู่ใกล้เมืองหลวงเกิดโรคระบาดยังไม่รู้ตัว ถึงได้ตั้งใจส่งหมอหลวงมาตรวจสอบ” นางเข้ามากระซิบข้างหูเจินสือเหนียงอย่างลึกลับ “พวกเราไม่รู้อะไร ได้ยินพ่อบ้านกู้บอกว่าห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีค่ายเฟิงกู่อยู่ ข้างในมีทหารประจำการอยู่หลายแสนนาย หากเกิดโรคระบาดจริงย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะเหตุนี้ราชสำนักถึงได้หวาดกลัว”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เจินสือเหนียงตระหนัก “เช่นนี้เจ้านายของเขาจะต้องเป็นขุนนางตำแหน่งสูงทีเดียวสิ”

“พ่อบ้านกู้ยอมรับแล้วว่าเจ้านายเขาเป็นขุนนางใหญ่” ภรรยาหลี่ฉีผงกศีรษะและพูดต่อเรื่องที่พูดค้างไว้ “หมอหลวงเวินได้ยินว่าเจ้าเคยรักษาโรคอะไรไปบ้างก่อนหน้านี้แล้วกลับไปแนะนำเจ้าอย่างกระตือรือร้น เจ้านายของเขาถึงส่งเขามาเชิญเจ้า พอกลับไปได้ยินว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง เดิมทีเจ้านายเขาไม่คิดฝืนใจ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าปวดหัวแทบเป็นแทบตายจนอยากเอาหัวโขกกำแพง เขาจึงไปหาหมอหลวงเวินคิดหาวิธี หมอหลวงเวินแนะนำเจ้าอีกครั้ง” ภรรยาหลี่ฉีมองเจินสือเหนียงอย่างจริงจัง “ข้าว่าเขามาขอร้องเจ้าอย่างจริงใจ เจ้าช่วยไปดูหน่อยเถอะ” นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “มนุษย์เราต่อให้มีอำนาจบารมีแค่ไหน แต่หากถูกโรครุมเร้าก็จำต้องค้อมเอวให้ผู้อื่น!”

เจินสือเหนียงถอนหายใจ “หิมะตกหนักเช่นนี้…”

“ท่านแม่ ท่านแม่!” ระหว่างพูด เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังมาจากข้างนอก “กินถังหูลู่!”

ได้ยินเสียงลูก เจินสือเหนียงกำลังจะลุกไปเปิดประตู ประตูข้างนอกก็พลันเปิดออกเสียก่อน เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่วิ่งตึงๆ เข้ามาพร้อมไอเย็นเฉียบ ในมือถือถังหูลู่สองสามไม้ “ท่านแม่ ท่านแม่ กินถังหูลู่!” มือเล็กเต็มไปด้วยคราบน้ำตาล

“เหวินเกอ อู่เกอวิ่งช้าๆ หน่อย ระวังจะหกล้ม” ชิวจวี๋ยกกะละมังที่ปิดด้วยผ้าน้ำมันเดินตามเข้ามา ปิดประตูพลางร้องบอกเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่

“ท่านป้าหลี่!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ไหนเลยจะฟัง พอเข้ามาในบ้านได้ก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเจินสือเหนียง เห็นภรรยาหลี่ฉีแล้วหยุดชะงัก ทักทายคำหนึ่ง เจี่ยนเหวินมองถังหูลู่ในมือและยื่นออกไปด้วยความเสียดาย “ท่านป้าหลี่กินถังหูลู่หรือไม่” ภรรยาหลี่ฉีกินของพวกนี้ได้ที่ไหน ยิ้มตบแก้มที่แดงเรื่อเพราะความหนาวของเจี่ยนเหวินและบอกว่า “อู่เกอเป็นเด็กดี เจ้ากินเองเถอะ”

“ข้าคือเหวินเกอ!” เจี่ยนเหวินไม่พอใจที่ถูกทักผิดอีกแล้ว

พี่น้องสองคนหน้าตาคล้ายกัน อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่สี่เชวี่ยกับชิวจวี๋เองบางครั้งยังเข้าใจผิด

“ความดีถูกผู้อื่นแย่งเอาไป เหวินเกอของพวกเราไม่พอใจแล้วสิ” เห็นภรรยาหลี่ฉีหน้าแดง เจินสือเหนียงจึงยิ้มไกล่เกลี่ย ทำเอาคนในบ้านหัวเราะ

มีแต่เด็กสองคนที่งุนงงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ กลอกตากลมโตไปมามองทุกคน ก่อนจะโผเข้าไปหาเจินสือเหนียงและแย่งกันส่งถังหูลู่ให้ “ท่านแม่กินถังหูลู่!”

เจินสือเหนียงยิ้มรับถังหูลู่ที่ทั้งสองส่งให้และให้สี่เชวี่ยถือไว้ จากนั้นช่วยพวกเขาถอดหมวก ถุงมือ และปัดหิมะบนตัวออก “ทำไมถึงซื้อมากมายขนาดนี้ล่ะ” ปากถามเหวินเกอ อู่เกอ แต่สายตากลับมองชิวจวี๋ที่เพิ่งเข้ามาในบ้าน ชิวจวี๋ตระหนี่กว่านางเสียอีก ต่อให้เหวินเกอ อู่เกอร้องจะกิน นางยอมซื้อหนึ่งไม้แบ่งให้พวกเขาก็นับว่ามากที่สุดสำหรับนางแล้ว

“ซื้อที่ไหนล่ะเจ้าคะ” ชิวจวี๋วางกะละมัง “สะใภ้บ้านสกุลหม่ากำลังทำถังหูลู่ เห็นพวกเราจึงให้มาคนละไม้ อู่เกอกำไว้ไม่ยอมกิน สะใภ้หม่าเลยถามว่าไม่อร่อยหรือ อู่เกอบอกว่าจะเก็บไว้ให้ท่านแม่ สะใภ้หม่าชมเปาะว่าเขาเป็นเด็กกตัญญู เลยยัดเยียดให้เอามาฝากท่านกับอาสี่เชวี่ยด้วย” ชิวจวี๋หน้าแดงเมื่อคิดว่าพอผู้อื่นให้ เจี่ยนอู่ก็ยื่นมือออกไปรับทันทีเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน “คุณหนูทำกุนเชียงอร่อยเป็นพิเศษ พรุ่งนี้บ่าวจะเอาส่วนหนึ่งไปให้สะใภ้หม่า” เสิ่นจงชิ่งเอาเนื้อหมูมาให้เยอะมาก ด้วยกินไม่หมดเจินสือเหนียงจึงเอามาสับทำเป็นกุนเชียงที่เก็บรักษาง่าย

เห็นชิวจวี๋หน้าแดง ไม่ต้องเดาสี่เชวี่ยก็รู้ถึงสถานการณ์กระอักกระอ่วนในตอนนั้น ด้วยเกรงว่าเจินสือเหนียงจะตำหนิอู่เกอ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “แลกได้อะไรกลับมาบ้าง”

“ได้แต่ถั่วแดง” ชิวจวี๋เปิดผ้าน้ำมันบนกะละมังให้เจินสือเหนียงดู “ทุกบ้านต่างเหมือนพวกเรา มีธัญพืชอยู่ไม่กี่อย่าง โชคดีที่ได้ถั่วแดงมาจากบ้านป้าอวี๋ ยังขาดอีกหนึ่งอย่าง สะใภ้หม่าบอกว่าใช้ผลเหอเถาแทนได้ คืนนี้บ่าวทุบเหอเถาดีกว่า เหวินเกอ อู่เกอชอบกินที่สุด”

“ไม่ต้องแล้ว สะใภ้หลี่เอาลูกเดือยกับถั่วลิสงมาให้” เจินสือเหนียงช่วยเหวินเกอ อู่เกอถอดรองเท้าและอุ้มทั้งสองขึ้นมาบนเตียงเตา ก่อนจะหันไปส่งรองเท้าที่เปียกชุ่มให้ชิวจวี๋ “เอาไปผึ่งไว้ข้างเตา” จากนั้นเอ่ยว่า “เลือกกุนเชียงไปให้นางส่วนหนึ่ง เอาให้สะใภ้หลี่สักสองสามเส้นด้วย”

ชิวจวี๋ขานรับและถือรองเท้าหมุนตัวจากไป

ภรรยาหลี่ฉีฟังแล้วหัวเราะคิก “ว่าแล้วเชียวเมื่อคืนข้าฝันดี” นางตะโกนไล่หลังชิวจวี๋ “คุณหนูของเจ้าฝีมือดี กินหมดไว้ทำใหม่ก็ได้ เจ้าอย่าเก็บไว้จนขึ้นราล่ะ หยิบให้ข้าหลายๆ เส้นหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะเอาเนื้อหมูมาให้ยี่สิบชั่ง”

เจินสือเหนียงยิ้มต่อว่า “มีแต่เจ้านี่แหละที่ไม่ขาดทุน เอาข้าวมาให้แค่หนึ่งกะละมัง เอาของกลับไปไม่พอ ยังคิดจะส่งเนื้อหมูมาให้ข้าทำอีก”

ภรรยาหลี่ฉีไม่อายเมื่อถูกจับได้ “ใครให้เจ้าทำอาหารอร่อยขนาดนี้เล่า” นางถอนหายใจ “เจ้าเสียที่ร่างกายไม่แข็งแรงนี่แหละ หาไม่ข้าอยากลงทุนเปิดร้านขายซาลาเปากับเจ้าจริงๆ ฝีมือยอดเยี่ยมอย่างเจ้า กิจการต้องรุ่งเรืองแน่!”

เปิดร้านขายซาลาเปา? เจินสือเหนียงนึกภาพตนเองยืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าแผงขายซาลาเปาแล้วอดขำไม่ได้ เสิ่นจงชิ่งเห็นภาพนี้เข้าจะกระอักเลือดหรือไม่

“ถังหูลู่!” เจินสือเหนียงกำลังจะหยอกเย้ากลับ เจี่ยนอู่ที่อยู่บนเตียงเตาเห็นถังหูลู่ในมือสี่เชวี่ยแล้วยื่นมือเล็กออกไปอย่างร้อนใจ

สี่เชวี่ยยิ้มยื่นถังหูลู่ให้เขา

“ท่านแม่กินถังหูลู่” มือรับมาหนึ่งไม้ เจี่ยนอู่รีบยื่นไปที่ปากเจินสือเหนียงทันที

เจินสือเหนียงกัดกินคำเล็ก เห็นเจี่ยนเหวินร้อนใจป้อนนางบ้างจึงส่ายหน้า “เย็นเกินไป ประเดี๋ยวแม่ค่อยกิน”

“อาสี่เชวี่ยกิน!” เจี่ยนอู่ยื่นถังหูลู่ให้สี่เชวี่ย

สี่เชวี่ยโมโหอาการเปรี้ยวปากของตนเองเหลือเกิน ตั้งแต่ตั้งครรภ์นางชอบกินเปรี้ยวเป็นพิเศษ พอเห็นถังหูลู่ก็น้ำลายหกแต่แรกแล้ว นางพยายามห้ามความอยากของตนเองและส่ายหน้า “ข้าไม่กิน อู่เกอกินเถอะ”

“อุตส่าห์เอากลับมาแล้ว เจ้ากินเถอะ!” ด้วยรู้ว่าสี่เชวี่ยชอบกินเปรี้ยว เจินสือเหนียงจึงรับมาส่งให้นาง “อย่าบ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวให้เด็ก” เห็นสี่เชวี่ยไม่รับจึงยิ้มว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมาก คนท้องมักเปรี้ยวปากเป็นพิเศษ ตอนข้าท้องเหวินเกอ อู่เกอยังตะกละเหมือนแมว เห็นใครกินอะไรก็ว่าอร่อยไปหมด อยากจะเข้าไปแย่งด้วยซ้ำ”

“ใครตะกละเหมือนแมว” คิดว่าพวกเขาว่าตนเอง เจี่ยนเหวินเบิกตาถาม เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

เจินสือเหนียงหันไปมอง เห็นเจี่ยนอู่เลียน้ำตาลบนถังหูลู่อย่างระมัดระวัง ใบหน้าเล็กแดงเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ มือเล็กอีกข้างกำถังหูลู่อีกไม้ไว้แน่น “ข้าถือไว้ให้ท่านแม่ก่อน ประเดี๋ยวท่านแม่มานั่งกินบนเตียงเตานะ จะได้ไม่หนาว”

เด็กออกไปขอสิ่งของจากคนอื่น นี่เท่ากับตบหน้านาง แต่นางตำหนิเจี่ยนอู่ไม่ลงจริงๆ เจี่ยนอู่ตะกละตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ตั้งแต่คราวก่อนที่นางหมดสติไปสองวัน เวลาเจี่ยนอู่ออกไปไหน มีคนให้ของเขาจะแอบเอากลับมาให้นางกิน ราวกับนางได้กินของพวกนั้นแล้วร่างกายจะแข็งแรงขึ้น

คนเมื่อยากจน ศักดิ์ศรีย่อมหดเล็กลงไปด้วย จะว่าไปแล้วเป็นเพราะที่บ้านไม่มีนั่นเอง! เจินสือเหนียงทอดถอนใจและหันไปหาภรรยาหลี่ฉี “พ่อบ้านกู้บอกหรือไม่ว่าเจ้านายเขาเป็นใคร”

พูดมาตั้งนาน พ่อบ้านกู้ยังรออยู่ที่บ้าน ภรรยาหลี่ฉีกำลังคิดว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้อย่างไรดี เห็นเจินสือเหนียงเป็นฝ่ายถาม ดวงตาพลันเปล่งประกาย นางเป็นฝ่ายถามก่อน แสดงว่ายอมใจอ่อนแล้ว!

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้” ภรรยาหลี่ฉีระบายยิ้มทั่วหน้า “ครั้งก่อนที่เจ้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ข้าเดาว่าเพราะเจ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายจึงไม่กล้าไป ข้าบอกเขาแล้ว เขาบอกว่าอยากพบเจ้าด้วยตนเอง” นั่นหมายความว่าต้องการบอกนางโดยตรง

เจินสือเหนียงก้มหน้าคิด “ก็ได้ ข้าไปพบเขาก่อนค่อยว่ากัน”

“คุณหนู…” ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่เสิ่นจงชิ่ง แต่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ออกไปนั่งรถม้า นางจะต้องหนาวจนตัวแข็ง! อีกทั้งเจินสือเหนียงยังกลัวหนาวเป็นพิเศษ เห็นนางรับปาก สี่เชวี่ยจึงร้องเรียกอย่างร้อนใจ พอเอ่ยปากก็ตระหนักถึงจุดประสงค์ของเจินสือเหนียง จึงเปลี่ยนคำพูดเป็น “หากคุณหนูตั้งใจจะไปต้องกลับมาบอกบ่าวก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะได้เตรียมของให้”

ภรรยาหลี่ฉีขำพรืด “สี่เชวี่ยวางใจเถอะ ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว ถึงจะไปก็ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้า”

ด้วยรู้สึกว่าตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนเพราะดวงตามีน้ำรื้นอยู่ที่ขอบ สี่เชวี่ยไม่ตอบอะไร รีบหันหลังไปหยิบกะละมังที่ใส่ถั่วแขกกับเม็ดบัวเรียบร้อยแล้วส่งให้ภรรยาหลี่ฉี

 

หิมะโปรยปรายลงมาตลอดทั้งวัน ดูเหมือนปุยฝ้ายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าสร้างความเจ็บปวดเหมือนมีดกรีด ยังไม่ถึงยามโหย่ว ถนนในเมืองซั่งจิงก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว คนเฝ้าประตูเมืองถูมือหลบหนาวอยู่ในซอกพลางย่ำเท้าไปมา ดวงตาจับจ้องกาน้ำหยดบนประตูเมือง “นาฬิกาเสียหรือเปล่านะ เมื่อกี้ขาดเพียงเค่อเดียวก็ยามโหย่วแล้ว ไฉนตอนนี้ยังขาดหนึ่งเค่อเท่าเดิม”

ยามโหย่วย่อมปิดประตูเมืองได้ คนเฝ้าประตูจึงรอคอยเวลานั้นอยู่

“เพิ่งผ่านไปครู่เดียว เจ้าก็เงยหน้าถึงสามหน!” จ้าวอวี่แค่นเสียง หันไปยิ้มปรึกษากับหัวหน้ากองที่หลบหนาวอยู่ในห้องเล็กว่า “หิมะตกหนักขนาดนี้จะมีใครออกจากเมืองอีก ปิดประตูเถอะขอรับ” ขอเพียงไม่มีคนใหญ่คนโตเข้าออกเมือง หากอากาศไม่ดีจะปิดประตูเมืองเร็วขึ้นหนึ่งเค่อครึ่งเค่อก็คงไม่เป็นไร

“ปิดเถอะ…” หัวหน้ากองลุกขึ้นมองออกไปข้างนอก แต่แล้วน้ำเสียงพลันชะงัก “ช้าก่อนๆ ดูเหมือนข้างหน้าจะมีรถม้าสองคัน”

จ้าวอวี่ที่กำลังจะไปปล่อยแม่แรงวิ่งออกไปดู จริงๆ ด้วย ท่ามกลางหิมะหนามีจุดสีดำปรากฏขึ้นสองจุด เขาอดร้องด่าไม่ได้ “ให้ตาย ใครช่างไม่มีตาเอาเสียเลย หิมะตกหนักขนาดนี้ยังจะเดินทางอีก!” ก่อนจะหันไปร้องบอกหัวหน้ากองเสียงดังว่า “หัวหน้า ดูจากระยะทางต่อให้มาถึงก็เลยยามโหย่วไปแล้ว มิสู้ปิดประตูเสียเถอะ!”

“รออีกประเดี๋ยว…” หัวหน้ากองส่ายหน้า หิมะตกหนักขนาดนี้ หากทิ้งคนไว้นอกเมืองจะต้องหนาวตายแน่ เบื้องบนตรวจสอบลงมาเมื่อไรพบว่าเขาปิดประตูเมืองก่อนเวลา พรุ่งนี้เขาคงได้ย้ายเข้าไปในคุกของกรมอาญาฉลองปีใหม่

“ยามโหย่วแล้ว!” เจ้าหน้าที่ร้องตะโกนพลางกระโดดขึ้นปล่อยแม่แรงอย่างรีบร้อน

คนเฝ้าประตูเมืองเกลียดคนจำพวกนี้ที่สุด มาตอนไหนไม่มา จำต้องมาตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด อากาศดีก็แล้วไปเถอะ อากาศแย่เช่นนี้ ใครบ้างไม่อยากรีบกลับบ้านไปอยู่กับลูกเมียบนเตียงเตาอุ่นๆ

ปิดประตูเมืองยามโหย่วตรง ต่อให้คนผู้นั้นหนาวตายอยู่ข้างนอกก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา! หัวหน้ากองบิดขี้เกียจและหยิบหมวกเตรียมตัวกลับบ้าน

“หัวหน้า…” แม่แรงถูกปล่อยลงมาครึ่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่พลันชะงัก “ท่านรีบดูเร็วเข้า ข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นรถม้าของจวนราชมนตรี!”

 

ในที่สุดก็ถึงเสียที

เลิกม่านออกดูเห็นเมืองซั่งจิงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีเงินบริสุทธิ์ แลดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เจินสือเหนียงพรูลมหายใจยาวๆ ตอนเช้าออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเหม่า หากยังไม่ถึง นางคงได้ตายก่อนจริงๆ

นางคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านกู้ กู้เผิงเฉิงจะเป็นถึงหัวหน้าพ่อบ้านฝ่ายซื้อหาในจวนของเซียวอวี้ เสนาบดีกรมทหารและพระอาจารย์ผู้ช่วยที่อ่อนเยาว์ที่สุดในต้าโจวซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง

สี่เชวี่ยบอกว่าแม้เซียวอวี้จะเป็นสหายรักของเสิ่นจงชิ่งและเป็นแขกที่มาเยือนจวนจ้วงหยวนเป็นประจำ แต่เนื่องจากในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสิ่นจงชิ่งย่ำแย่ เขาจึงไม่เคยให้นางพบสหายรักของเขา เซียวอวี้ไม่รู้จักนาง

ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดสินใจมาเสี่ยงดู หากสามารถผูกมิตรกับบุคคลใหญ่โตอย่างเสนาบดีกรมทหารและได้เขาเป็นที่พึ่งของนาง ดีไม่ดีอาจปูทางในอนาคตให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ได้ ชาติก่อนตอนเห็นพ่อแม่ทุ่มเทบังคับลูกให้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วยหางานดีๆ ให้พวกเขา เจินสือเหนียงเคยรู้สึกไม่เห็นด้วย

เมื่อชาติก่อนนางยังจงใจขัดแย้งกับแม่ ให้ตายก็ไม่ยอมไปเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซึ่งแม่ทุ่มเทหาตำแหน่งให้ ยังจำได้ว่าแม่พูดปากเปียกปากแฉะกับนางว่า ‘เป็นแพทย์ฝึกหัดที่นั่น ขอเพียงลูกสร้างผลงานดีๆ ผูกสัมพันธ์กับคนในแผนกเอาไว้ เรียนจบเมื่อไหร่แม่จะได้ฝากคนในนั้นให้รับลูกเข้าทำงาน…’ ทั้งที่รู้ว่าโรงพยาบาลแห่งนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนาง และเป็นที่หมายที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนหมายปอง แต่นางเกลียดการที่พ่อแม่ช่วยปูทางให้ ทำให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์นางลับหลัง บอกว่านางเป็นเด็กเส้น เป็นพวกที่ดูดีแค่ภายนอกแต่ไร้ความสามารถที่แท้จริง

ครั้นแล้วจึงดึงดันหาโรงพยาบาลระดับสองเกรดเอที่ขึ้นชื่อด้านการรักษาโรคเรื้อรังเพื่อเข้าไปเป็นแพทย์ฝึกหัด ต่อมานางถึงรู้ว่าแม้ผลการเรียนของนางจะดีเลิศ แต่อาศัยแค่ความมุทะลุของนางในตอนนั้นก็ไม่สามารถเข้าไปเป็นหมอในโรงพยาบาลนั้นได้ สุดท้ายแม่ก็เป็นผู้แอบไหว้วานคนฝากให้นางได้ฝึกหัดในโรงพยาบาลระดับสามเกรดเอและเป็นหมอที่โรงพยาบาลนั้นต่อไปอย่างราบรื่น กลายเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียง

ความรู้ความสามารถเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน แต่หากจะเหนือกว่าคนอื่นยังต้องมีโอกาส มีคนแนะนำและส่งเสริม

คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาผูกมิตรกับคนใหญ่คนโตเพื่อเหวินเกอ อู่เกอ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในชาติก่อนแล้ว เจินสือเหนียงทอดถอนใจ ไม่เป็นแม่คนย่อมไม่ตระหนักในบุญคุณของพ่อแม่จริงๆ นางอยากให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่มุมานะบากบั่นด้วยตนเอง แต่คนที่แข็งเกินไปมักหักง่าย คนที่อ่อนกลับไม่เคยพ่ายแพ้ นางกลัวก็แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จะทิฐิเกินไปเหมือนนางในอดีต ไม่รู้จักพลิกแพลง สุดท้ายหากไม่ตายก่อนวัยอันควรก็ต้องลำบากไปชั่วชีวิต

นางกำมือแน่น ในเมื่อมาแล้วนางจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ สร้างอนาคตที่ดีให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่!

ระหว่างที่คิดไปเรื่อยเปื่อย รถม้าแล่นเข้ามาในเมืองอย่างราบรื่น กว่าจะถึงจวนราชมนตรีก็เข้ายามซวีแล้ว พ่อบ้านกู้จัดการให้นางนอนในห้องรับรองแขก ก่อนจะมอบหมายให้ผู้ดูแลหญิงรับช่วงต่อ

หลังกินข้าวเย็น เจินสือเหนียงเข้านอนแต่หัวค่ำ

ด้วยชินกับการตื่นเช้า วันถัดมาเจินสือเหนียงจึงตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเหม่า นางหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงหงเอ๋อร์ที่นั่งมากับรถม้ายกน้ำเข้ามาจึงลุกขึ้นนั่ง

หลังล้างหน้าเรียบร้อย หงเอ๋อร์เห็นเจินสือเหนียงยังสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหนาตัวเดิมของเมื่อวานที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน นางลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงค่อย “ห้องของฮูหยินผู้เฒ่ามีกระถางไฟถึงสามสี่ใบ เสื้อผ้าของท่านหมอเจี่ยนหนาเกินไป มิสู้เปลี่ยนเป็นชุดที่บางหน่อยดีกว่า” ในจวนแห่งนี้แม้แต่สาวใช้ชั้นต่ำยังสวมแพรพรรณอย่างดี นางแต่งตัวเช่นนี้ต้องถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่

แม้รู้จักกันเพียงหนึ่งวัน แต่หงเอ๋อร์ชอบหญิงชนบทผู้มีรูปโฉมงดงาม น้ำเสียงนุ่มนวลผู้นี้มาก แม้เสื้อผ้าที่สวมจะเก่าหยาบ แต่ท่วงทีกลับไม่ธรรมดา อากัปกิริยาสุภาพอ่อนโยน เวลาพูดกับนางใบหน้าจะประดับรอยยิ้มบางๆ เสมอ เห็นแล้วชวนให้สบายใจ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น หงเอ๋อร์รู้สึกว่ามองมาทีไรเป็นต้องรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ วาจาของนางทำให้คนฟังสบายใจอย่างแท้จริง

นางคงเห็นว่าเสื้อผ้าข้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน ไม่น่าดูกระมัง

เจินสือเหนียงก้มมองตนเอง เสื้อผ้าชุดนี้เต็มไปด้วยรอยปะชุนก็จริง แต่หนาเป็นพิเศษ นางรู้ว่าตระกูลใหญ่ล้วนพิถีพิถัน เดิมทีนางมีอีกชุดที่ไม่มีรอยปะชุน แต่บางเกินไป อย่างไรสี่เชวี่ยก็ไม่ยอมให้ใส่มา ได้ยินหงเอ๋อร์พูดเช่นนี้ เจินสือเหนียงจึงไม่พูดมาก ยอมเปลี่ยนชุดตามคำแนะนำของอีกฝ่าย

มองเสื้อผ้าป่านสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้ที่เจินสือเหนียงเปลี่ยนใหม่แล้ว แม้จะไม่มีรอยปะชุนแต่ก็ถูกซักจนสีซีด หงเอ๋อร์ขยับริมฝีปาก ลังเลว่าจะเอาชุดตนเองให้นางเปลี่ยนดีหรือไม่

“ปกติฮูหยินผู้เฒ่าตื่นกี่โมง” เจินสือเหนียงเดาความคิดของนางได้ จึงเสคุยเรื่องอื่นอย่างแนบเนียน

“แต่ไรมาฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเช้าเจ้าค่ะ เวลานี้น่าจะตื่นแล้ว” พอเอ่ยถึงฮูหยินผู้เฒ่า หงเอ๋อร์ก็นึกถึงหน้าที่ของตนเอง “บ่าวจะสั่งสำรับอาหารมาให้ท่าน อีกประเดี๋ยวนายหญิงรองน่าจะส่งคนมาแล้ว” นางพูดพลางผลักประตูก้าวออกไป

ไม่นานก็เดินนำสาวใช้สองคนยกกับข้าวสี่อย่างกับขนมดอกกุ้ยหนึ่งจานเข้ามา “บ่าวไม่ทราบว่าท่านหมอเจี่ยนชอบกินอะไร จึงถือวิสาสะเลือกของพวกนี้มาให้ หากท่านไม่ชอบ บ่าวจะนำไปเปลี่ยนให้ใหม่” หงเอ๋อร์โบกมือไล่สาวใช้สองคนออกไปและตักโจ๊กให้เจินสือเหนียงด้วยตนเอง จากนั้นยืนคีบกับข้าวให้นางด้านข้าง

เจินสือเหนียงมองกับข้าวสี่น้ำแกงหนึ่งบนโต๊ะ หรูหรายิ่งกว่าตอนฉลองปีใหม่ของนางเสียอีก จึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”

หงเอ๋อร์แอบโล่งอก เป็นคนอ่อนน้อมจริงๆ ด้วย พึงรู้ว่าแขกที่มาที่จวน อาหารเช้าถูกกำหนดแล้วว่าต้องมีแปดอย่าง แต่โรงครัวเห็นเจินสือเหนียงสวมเสื้อผ้าเก่าขาดจึงดูถูก นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ มิอาจเถียงได้ ได้แต่ฝืนใจยกเข้ามา หากเป็นญาติผู้น้องคนนั้นคงจะเขวี้ยงจานชามลงพื้นและไปร้องไห้ฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว

เมื่อกินข้าวเสร็จ เจินสือเหนียงก็นึกถึงนายหญิงรองที่หงเอ๋อร์พูดถึงก่อนหน้านี้

“นายหญิงรองคือใครหรือ” พักที่นี่มาหนึ่งคืน คนที่นางได้พบมีแต่ผู้ดูแลหญิงสูงวัยที่หงเอ๋อร์หวาดกลัวอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าจวนแห่งนี้เข้มงวดเรื่องระดับชั้นมาก นางต้องฉวยโอกาสนี้ทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์ของคนในจวนก่อน จะได้ไม่เป็นที่หัวเราะขบขันของคนอื่น

“นายหญิงรองคือภรรยาของนายท่านรอง เป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนราชมนตรีเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์รินน้ำชาให้เจินสือเหนียง ก่อนจะกล่าวต่อไป “อีกสักครู่น่าจะส่งคนมาแล้ว”

เจินสือเหนียงอึ้งไป ก่อนมาที่นี่สี่เชวี่ยบอกว่าเซียวอวี้เหมือนเสิ่นจงชิ่ง เป็นพี่คนโตของครอบครัว แล้วเหตุใดจึงให้ภรรยาของน้องชายเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในจวนล่ะ คิดดังนี้จึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าราชมนตรีเซียวเป็นพี่คนโตในจวน…” เนื่องจากเซียวอวี้เป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการที่ได้รับเลือกจากเหล่าเสนาแห่งสภาขุนนาง คนภายนอกจึงเรียกเขาว่าราชมนตรี

“เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ผงกศีรษะ “ในจวนมีนายท่านทั้งหมดสามคน ราชมนตรีเซียวเป็นพี่คนโต นายท่านรองสองปีก่อนสอบขุนนางไม่ได้และไม่ได้สอบอีก ช่วยทำงานทั่วไปภายในจวน นายท่านสามปีนี้อายุสิบห้า สอบผ่านระดับอำเภอแล้ว กำลังเตรียมสอบระดับมณฑลในปีหน้า” หงเอ๋อร์อธิบายสถานการณ์ในจวนราชมนตรีให้นางฟังอย่างละเอียด “นายหญิงใหญ่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้วตอนคลอดเฟิงเกอ เดิมทีธุระในจวนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลจัดการ ภายหลังป่วยจึงให้นายหญิงรองเป็นผู้ดูแลแทน” นางเหลือบมองประตูและเอ่ยเสียงค่อย “นายหญิงรองคนนี้…”

ระหว่างพูดได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก หงเอ๋อร์หน้าตื่น “สวรรค์ นายหญิงรองมาด้วยตนเอง!” นางรีบก้าวออกไปต้อนรับ

บทที่ 7

 เจินสือเหนียงเห็นหงเอ๋อร์ได้ยินเสียงฝีเท้าของนายหญิงรองและผู้ติดตามก็ตัวสั่นเทิ้ม นางจึงเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

“หมอเจี่ยนตื่นหรือยัง” นายหญิงรองยังไม่เข้ามา แต่ส่งเสียงใสกังวานนำมาก่อน

เจินสือเหนียงรีบลุกขึ้น เห็นสาวใช้แต่งตัวฉูดฉาดกับบ่าวหญิงสูงวัยห้อมล้อมสตรีวัยกลางคนในชุดหรูหราเดินเข้ามา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านี่คือนายหญิงรองที่หงเอ๋อร์พูดถึง

เจินสือเหนียงย่อกายเล็กน้อย “เจี่ยนโยวคารวะนายหญิงรอง”

หงเอ๋อร์เองก็ย่อกายคารวะเช่นกัน “เรียนนายหญิงรอง ท่านหมอเจี่ยนกินข้าวเช้าแล้ว กำลังรอไปตรวจโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

นายหญิงรองกวาดตามองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายรอบ เห็นชุดผ้าป่านที่ซักจนขาวซีดของนางแล้ว ดวงตาฉายแววเหยียดหยัน นางไม่นั่ง แต่ยืนพูดเนิบช้าอยู่ตรงนั้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรออยู่ ในเมื่อหมอเจี่ยนกินข้าวแล้วก็ไปเร็วหน่อยเถิด” ก่อนจะหันหลังเดินนำไป ได้ยินหมอหลวงเวินพูดถึงเจินสือเหนียงเหมือนเป็นผู้วิเศษ นางถึงอยากมาดูด้วยตนเอง พอเห็นแล้วพบว่าเป็นแค่หญิงชนบทต่ำต้อยเท่านั้น นายหญิงรองอดนึกเสียใจไม่ได้ที่นางลดเกียรติตนเองมารับเจินสือเหนียง เพียงครู่เดียวก็พานหมดอารมณ์ไม่อยากชวนคุยอะไรอีก

ด้วยไม่ยึดถือในลาภยศ เจินสือเหนียงจึงไม่ถือสา นางหันไปหยิบกล่องยาและเตรียมออกเดิน

หงเอ๋อร์ใช้สองมืออุ้มกล่องยาขึ้นมาแล้ว “กล่องยาของท่านหมอเจี่ยนใส่อะไรไว้เจ้าคะ หนักเหลือเกิน”

เจินสือเหนียงยิ้มไม่ตอบ

“…ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด ออกไปให้หมด หมอเทวดาบ้าอะไร เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงทั้งนั้น!” พอถึงห้องนอนของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว นายหญิงรองก้าวเข้าไป เจินสือเหนียงกำลังจะก้าวตาม ถ้วยชาที่ทำจากกระเบื้องลายครามใบหนึ่งหล่นเพล้งที่ปลายเท้า พร้อมเสียงร้องด่าของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวลอยออกมา

เจินสือเหนียงสะดุ้งโหยง ร่างกายชะงักเล็กน้อย หางตาเหลือบเห็นหงเอ๋อร์หน้าแดง ถึงจำได้ว่าเมื่อวานตอนอยู่บนรถม้านางพูดเป็นนัยแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าเซียวอารมณ์ร้าย ให้ระมัดระวังตนให้มาก

เจินสือเหนียงถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว นางเจอคนที่รับมือยากอีกแล้ว

ในฐานะหมอ นางไม่กลัวโรคที่รักษายาก แต่กลัวคนไข้ที่ไม่เชื่อหมอ หาเรื่องชวนทะเลาะและไม่ให้ความร่วมมือ คนไข้ประเภทนี้สร้างปัญหาในการรักษามากที่สุด

โรคมีหกอย่างที่มิอาจรักษา คนป่วยหยิ่งยโสไร้เหตุผลมิอาจรักษา ตามคำสอนของคนรุ่นก่อนและประสบการณ์เมื่อชาติก่อน หากเจอคนไข้ที่เอาแต่ใจและไม่ฟังเหตุผลเช่นนี้ สิ่งที่ควรทำคือหันหลังเดินจากไป แต่นางมาคราวนี้ไม่เพียงเพื่อรักษาโรค ยังเพื่ออนาคตของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ด้วย

เท้าชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปอย่างสุขุม

เจินสือเหนียงเข้ามาในโลกนี้ห้าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในตระกูลใหญ่ที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบเช่นนี้ นางบอกตนเองให้ระวังแล้ว แต่ตอนเข้าไปนายหญิงรองไม่ได้บอกให้นางรออยู่ข้างนอก เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าหมอชาวบ้านที่ต้อยต่ำอย่างนาง แม้ผู้อื่นจะเป็นฝ่ายเชิญนางมารักษาโรค แต่ก็ต้องรอให้นายหญิงรองเข้าไปรายงานเสียก่อน ถึงจะมีสาวใช้ออกมารับนางเข้าไป

นายหญิงรองไม่อยากลดตัวสนทนากับนาง เมื่อกี้ก่อนเข้าไปจึงลืมกำชับ มีนายหญิงรองอยู่ คนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดมาก ยามนี้เห็นนางเดินเข้าไปหน้าตาเฉย ทุกคนได้แต่มองตาค้าง หงเอ๋อร์อ้าปากอยากร้องเรียกก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่เบิกตากว้างปิดปากตนเอง

ด้วยไม่นึกว่าเจินสือเหนียงจะทะเล่อทะล่าเข้ามา นายหญิงรองจึงตกใจ ช่างเป็นหญิงบ้านนอกที่ไม่รู้ธรรมเนียม! แม้ก่นด่าในใจก็จริง แต่พอคิดว่านางได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด ทั้งยังเดินเข้ามาเหมือนไม่เกรงกลัว จึงอดรู้สึกเก้อกระดากไม่ได้

แม้ฐานะของหมอเจี่ยนจะต้อยต่ำเพียงใด แต่ตอนนี้พวกนางเป็นฝ่ายขอร้องให้ผู้อื่นมาตรวจโรคที่จวน น้ำเสียงจึงเจือความเกรงใจอยู่หลายส่วน “ฮูหยินผู้เฒ่าถูกโรครุมเร้า อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก หมอเจี่ยนโปรดเข้าใจด้วย” นางหันไปยิ้มแนะนำกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวว่า “นี่คือหมอเจี่ยนที่หมอหลวงเวินแนะนำว่าเชี่ยวชาญการรักษาโรคที่หายยากเจ้าค่ะ”

คิดไม่ถึงว่าหมอเจี่ยนจะเป็นผู้หญิง ยามเผชิญหน้ากับรอยยิ้มสุขุมและความเงียบสงบไม่แปดเปื้อนมลทินทางโลกของเจินสือเหนียง อารมณ์ฉุนเฉียวของฮูหยินผู้เฒ่าพลันหายไปสิ้น นางอึ้งงัน พอนายหญิงรองแนะนำเสร็จ นางก็ลืมแม้กระทั่งเอ่ยคำพูด เอาแต่ใช้สายตากวาดมองเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า

เจินสือเหนียงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู นางเพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “ข้าคิดว่ามีแต่เด็กที่กลัวการฉีด…” พอคิดได้ว่าสมัยโบราณไม่มีคำว่า ‘ฉีดยา’ เจินสือเหนียงชะงัก “การกินยาขม ที่แท้ผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน” คนแก่ก็เหมือนเด็ก ต้องอาศัยการหลอกล่อ วิธีที่ดีที่สุดในการเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวให้ความร่วมมือในการรักษาคือใช้แผนยั่วยุ

ถูกจับได้ว่าต่อว่าผู้อื่นลับหลัง อีกฝ่ายเป็นผู้ชายก็แล้วไปเถอะ กลับเป็นผู้หญิง เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกละอายใจ แต่พอได้ยินคำพูดนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไป นางไม่บอกให้อีกฝ่ายนั่ง แต่ชี้เจินสือเหนียงและถามเสียงเฉียบ “เจ้าบอกมาก่อนว่าจะรักษาโรคของข้าอย่างไร”

คำพูดนี้เป็นการหาเรื่องชวนทะเลาะ ยังไม่ทันได้ตรวจร่างกาย ต่อให้เป็นเทพเซียนก็บอกไม่ถูกว่าต้องใช้ยาขนานใด จะรักษาอย่างไร เห็นชัดว่านางต้องการหาเรื่องเจินสือเหนียง แม้แต่นายหญิงรองยังหน้าผิดสี

เจินสือเหนียงเป็นชาวบ้านทั่วไป หากแพร่ออกไปว่าจวนราชมนตรีใช้อำนาจรังแกผู้น้อย ชื่อเสียงเกียรติยศที่ราชมนตรีเซียวสั่งสมมาคงถูกทำลายป่นปี้ แต่ในฐานะลูกสะใภ้ นางไม่กล้าขัดแม่สามี ได้แต่มองเจินสือเหนียงอย่างไม่สบายใจและอดตระหนกไม่ได้ ดูไม่ออกว่านางจะเป็นคนลุ่มลึกเช่นนี้

เจินสือเหนียงมีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนริมฝีปากตลอดเวลา ใบหน้าสุขุมขณะย่อกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่า “ข้ายังไม่คิดจะรักษาโรคให้ท่าน”

บรรยากาศคล้ายจับตัวแข็ง เจินสือเหนียงถึงขั้นได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของฮูหยินผู้เฒ่า

แต่ไรมานางเป็นคนพูดหนึ่งไม่มีสอง แม้แต่เซียวอวี้ที่เป็นถึงเสนาบดียังเคารพนบนอบนาง ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวไหนเลยจะเคยเจอคนแบบนี้ นางโกรธจัดจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “จวนราชมนตรีใช่สถานที่ที่เจ้าจะมากำแหงหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าก่อนหน้านี้ แต่กลับแฝงด้วยความเข้มงวดอย่างถึงที่สุด ดวงตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยทอประกายเจิดจ้า

นายหญิงรองตัวสั่น ทางหนึ่งพยายามส่งสายตาให้เจินสือเหนียง บอกเป็นนัยให้นางรีบคุกเข่าโขกศีรษะขออภัย อีกทางหนึ่งครุ่นคิดว่าจะขอร้องแทนนางให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ตึงเครียดนี้อย่างไรดี

“ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดแล้ว” เหนือความคาดหมายของนายหญิงรอง เจินสือเหนียงไม่ได้คุกเข่า เพียงแต่ค้อมตัวเล็กน้อย “ข้าเป็นเพียงคนบ้านนอกคอกนา มีความสามารถอยู่นิดหน่อยเท่านั้น จะกล้าเข้ามาในจวนอันสูงส่งรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร จนใจที่ราชมนตรีเซียวเชื้อเชิญครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นแก่ความจริงใจที่เขามีต่อฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจึงมาด้วยความฝืนใจ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว นางเสพูดเรื่องอื่น “เมื่อครู่ตอนอยู่หน้าประตูได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าด่าว่าข้าเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง ถูกตำหนิโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้ายิ่งหวั่นใจ ไหนเลยจะมีแก่ใจรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีก แต่เกรงว่าหากหันหลังจากไปจะทำให้ราชมนตรีเซียวกลายเป็นคนอกตัญญู ถึงได้ฝืนใจเข้ามาลองดู บัดนี้ได้พบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ข้าความรู้ตื้นเขิน หากยังไม่จับชีพจรย่อมบอกไม่ได้ว่าจะรักษาโรคให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไร ทำให้ราชมนตรีเซียวต้องผิดหวัง ขอฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอนุญาตให้ข้าจากไปด้วย”

พูดจบนางก็ค้อมกายให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวและหันหลังจากไป

หญิงสาวในตระกูลใหญ่ล้วนมีนิสัยอ้อมค้อม เวลาพูดจามักเอ่ยออกมาเพียงสามส่วน แม้ลับหลังอยากแทงอีกฝ่ายสักสามที แต่พบหน้ากันแล้วกลับสนิทชิดเชื้อเหมือนพี่น้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงที่พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีถูกจับได้ว่าด่าผู้อื่นลับหลังก็น่าอึดอัดอยู่แล้ว ที่ยังฝืนใจนั่งอยู่ตรงนี้เพราะนางคิดว่าเจินสือเหนียงคงเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ถึงได้ยินก็ทำเป็นหูหนวก ทุกคนรู้ดีแก่ใจและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป อย่าได้หาเรื่องขายหน้าให้ตนเอง คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้!

ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หน้าแดงสลับซีดขาว ลอบด่านางในใจว่า เป็นหญิงบ้านนอกจริงๆ ด้วย แม้แต่พูดจายังไม่รู้จักอ้อมค้อม!

แต่พอขบคิดให้ละเอียด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวผงะโดยไม่รู้ตัว คำพูดนี้ตรงก็จริง แต่กลับรอบคอบไร้ช่องโหว่!

นางไม่รักษาโรคให้ตน แต่ไม่บอกว่าเป็นเพราะหยิ่งยโสถือตัว กลับบอกว่าเป็นเพราะไม่กล้าคาดหวัง บุ่มบ่ามบุกเข้ามาในห้องไม่บอกว่าเป็นเพราะตนเองหยาบกระด้างไม่รู้ธรรมเนียม กลับบอกว่าเป็นเพราะกลัวจะทำให้ราชมนตรีเซียวเป็นลูกอกตัญญู คำว่าความรู้ตื้นเขิน นางใช้เมื่อพบตนแล้ว หาได้ใช้เมื่อตรวจโรคให้ตนแล้ว ความหมายที่สื่อย่อมต่างออกไปมาก!

แต่หากคิดจะเอาเรื่อง คำพูดพวกนี้กลับเป็นความจริงทั้งหมด ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจโต้แย้งได้ ลูกเล่นในการพลิกแพลงของนางเทียบชั้นได้กับขุนนางที่เปี่ยมประสบการณ์ วันนี้หากปล่อยให้นางกลับไปเช่นนี้ ด้วยฝีปากของนาง ชื่อเสียงของจวนราชมนตรีในหมู่ชาวบ้านคงป่นปี้ไม่เหลือ!

“ได้!” ยิ่งสูงส่งยิ่งใส่ใจเรื่องหน้าตา เห็นเจินสือเหนียงเดินไปถึงประตูแล้ว จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้องเรียกเสียงดัง “ข้าจะให้เจ้าจับชีพจร”

ในที่สุดนางก็รับปาก!

เจินสือเหนียงหัวใจเต้นตึกตัก แต่ไม่ได้หันกลับไป ร่างกายชะงักเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปผลักประตู

“ท่านหมอเจี่ยนอย่าเพิ่งไป!” นายหญิงรองร้องเรียกอย่างร้อนใจบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่านายหญิงรองคงคิดแบบเดียวกัน แต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้คือเหตุการณ์โรคระบาดทำให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้าน หากปล่อยนางให้กลับไปเช่นนี้ ประกอบกับวาทศิลป์อันร้ายกาจของนาง เกรงว่าแต่นี้ไปคงไม่มีหมอชาวบ้านที่ไหนกล้าย่างเท้าเข้ามาในจวนราชมนตรีอีกแล้ว

เจินสือเหนียงหันกลับมาอย่างเชื่องช้า

“แต่เจ้าฟังให้ดี” เห็นนางหันกลับมาในที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวลอบพรูลมหายใจโล่งอก ขึงหน้าพูดเสียงแข็งว่า “หากรักษาข้าไม่ได้ก็อย่าได้คิดจะเอาเงินไปแม้แต่แดงเดียว!”

เจินสือเหนียงยิ้มน้อยๆ เรื่องนี้นางตกลงกับพ่อบ้านกู้แต่แรกแล้ว จวนราชมนตรีรับผิดชอบมารับและส่งนางกลับ หากรักษาฮูหยินผู้เฒ่าไม่หาย นางจะไม่รับเงินแม้แต่แดงเดียว

เจินสือเหนียงตรวจชีพจรและสังเกตเปลือกตา ลิ้น โพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น

ในห้องกว้างขวางเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก

“ท่านแม่เป็นโรคอะไร” เห็นเจินสือเหนียงเงียบอยู่นาน นายหญิงรองจึงเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ

เจินสือเหนียงส่ายหน้าและส่ายหน้าอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดกันแน่น

ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงดูถูก กำลังจะเอ่ยวาจาเหน็บแนมกลับเห็นเจินสือเหนียงลุกขึ้นกะทันหันและถามซีเยวี่ยสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายว่า “เวลานอนฮูหยินผู้เฒ่ากรนเสียงดังหรือไม่”

กรน?

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเปลี่ยนเป็นสีม่วง ไม่รอให้ซีเยวี่ยตอบก็ชิงพูดขึ้นทันที “แต่ไรมาข้าไม่เคยนอนกรน!” น้ำเสียงนางเด็ดขาดเผด็จการยิ่ง

น่าขัน นางถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่น่ายกย่อง เวลานอนจะกรนได้อย่างไร

ซีเยวี่ยขยับปากไปมา สุดท้ายพยักหน้าให้เจินสือเหนียงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“เรื่องนี้สำคัญต่อการวินิจฉัยมาก” สายตาของเจินสือเหนียงมองไปยังสองมือของซีเยวี่ยที่บิดผ้าเช็ดหน้าแน่น “หากโกหกจนส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัยของข้า ฮูหยินผู้เฒ่าจะมีอันตรายถึงชีวิต” น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนเคย แต่กลับเจือความกดดันที่มองไม่เห็น

ซีเยวี่ยบิดผ้าอย่างประหม่ากว่าเดิมและแอบเหลือบมองนาง ครั้นปะทะกับแววตากระจ่างใสเหมือนรู้ดีทุกอย่างของเจินสือเหนียง นางก็ลนลาน สายตาหลบวูบไปอีกทาง

เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปยังซีฮวา ซีชุน ซีชิวทีละคน แต่ละคนยืนนิ่ง ดวงตาจ้องเขม็งที่พื้นราวกับบนพื้นมีก้อนทองแวววาวผุดขึ้นมา อยู่ต่อหน้าหมอไม่ต้องปิดบังเรื่องส่วนตัว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว นี่ไม่ใช่เวลาจะมารักษาหน้า เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจและหันไปหานายหญิงรอง

นายหญิงรองถูกจ้องจนอึดอัด หันไปโบกมือใส่สาวใช้รุ่นเล็กในห้อง “พวกเจ้าออกไปก่อน” เหลือไว้เพียงชุนฮวา ชิวเยวี่ยที่เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่เท่านั้น “ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว ปกติเวลานอนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไร พวกเจ้าตอบมาตามตรง”

มองออกว่าสาวใช้ทั้งสี่มีสีหน้าผิดปกติ ฮูหยินผู้เฒ่าลอบตระหนกในใจ

“เสียงกรนของฮูหยินผู้เฒ่าดังมาก เหมือน…เหมือนผู้ชายเจ้าค่ะ…” ซีเยวี่ยอึกๆ อักๆ ไม่กล้าสบตาฮูหยินผู้เฒ่า

“ข้านอนกรนจริงๆ หรือ” น้ำเสียงอ่อนลงไปหลายส่วน ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่ก็จริง แต่ตากลับมองเจินสือเหนียง

สาวใช้ทั้งสี่พยักหน้าเงียบๆ

“เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ราวกับไม่เห็นความกระอักกระอ่วนของฮูหยินผู้เฒ่า เจินสือเหนียงทำท่าบอกให้นางเงยหน้าขึ้น อาศัยแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างตรวจดูโพรงจมูกของนางอย่างจริงจัง “เสียงกรนดังบ้างหยุดบ้างใช่หรือไม่”

เห็นสีหน้านางเป็นธรรมชาติ ใบหน้าไม่ปรากฏแววเยาะหยัน ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวจึงวางใจและเงยหน้าขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ

เชิญหมอชื่อดังมามากมาย แต่ยังไม่เคยมีใครถามถึงอาการเช่นนี้ ชั่วพริบตาเดียวทุกคนในห้องมองเจินสือเหนียงด้วยแววตาเลื่อมใส ซีเยวี่ยไม่กล้าปิดบังอีก ตอบอย่างขึงขังจริงจัง “น่าจะประมาณสองสามเดือนก่อน วันหนึ่งบ่าวอยู่เวรตอนกลางคืน ได้ยินเสียงกรนดังสนั่นในห้อง คิดว่าเป็นหัวขโมยจึงเรียกซีฮวาให้ถือกระบองเข้าไปดู…” ช่วงท้ายของประโยคเสียงของซีเยวี่ยแผ่วเบาลง

หากเรื่องสตรีนอนกรนเสียงดังแพร่ออกไปย่อมไม่เหมาะสม ทุกคนจึงปิดปากเงียบมาตลอด เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหน้าแดง ซีชุนจึงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “เกี่ยวกับโรคนี้หรือไม่เจ้าคะ”

เจินสือเหนียงถามฮูหยินผู้เฒ่าเซียวว่ามักรู้สึกคัดจมูกใช่หรือไม่ ได้กลิ่นต่างๆ หรือไม่ และรายละเอียดในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้า “ซีชุนพูดถูก การนอนกรนของฮูหยินผู้เฒ่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยในชาติก่อน…ริดสีดวงจมูก เพียงแต่ติ่งเนื้อค่อนไปทางด้านหลัง อยู่ใกล้ด้านหลังโพรงจมูก มองจากรูจมูกเข้าไปจึงไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่มีคนรู้

พอเข้ามาในห้องเจินสือเหนียงก็เห็นใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหมองคล้ำ จึงตัดสินว่านางน่าจะหายใจติดขัด เพราะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานทำให้ปวดศีรษะ หูอื้อ ความจำถดถอย อารมณ์ฉุนเฉียว ระบบทางเดินหายใจมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องกันอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่จมูก คอหอย ลำคอ หลอดลม หลอดลมขั้วปอด และปอด ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวหายใจลำบากแต่ไม่ไอ เสียงปอดเป็นปกติ ย่อมไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับปอดหรือหลอดลมขั้วปอด เช่นนั้นก็เหลือแต่จมูก คอหอย และลำคอ

เจินสือเหนียงสงสัยว่าเป็นโพรงจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือริดสีดวงจมูก ตอนแรกนางตั้งใจตรวจดูโพรงจมูกและตัดโรคพวกนี้ไป โดยเฉพาะโรคริดสีดวงจมูก เพราะลักษณะเด่นที่เห็นชัดที่สุดคือจมูกบวมเพราะถูกติ่งเนื้อดันออกมาจนจมูกเปลี่ยนรูป แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีอาการเหล่านี้เลย เมื่อกี้นางถึงได้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

หากเป็นเมื่อชาติก่อน มีอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย นางแค่ใช้กล้องส่องตรวจในโพรงจมูกก็เรียบร้อยแล้ว แต่นี่เป็นยุคโบราณ นางไม่มีอะไรทั้งสิ้น พึ่งได้แต่ประสบการณ์ที่สะสมไว้ไม่น้อยกับความรู้พื้นฐานอันเยี่ยมยอด

ท่ามกลางความสับสนงุนงง จู่ๆ นางก็นึกถึงเคสพิเศษเคสหนึ่งที่เคยตรวจเมื่อชาติก่อน

เด็กผู้หญิงคนนั้นอายุเก้าขวบ เวลานอนกรนเสียงดังยิ่งกว่าผู้ใหญ่ การบ้านมักจะทำไม่เสร็จ เวลาไปโรงเรียนมักฉี่รดกระโปรง ไอคิวต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกัน…ภายหลังตรวจพบว่าด้านหลังโพรงจมูกมีติ่งเนื้องอกออกมาทำให้หายใจไม่คล่อง สมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ทำให้สติปัญญาถดถอย

 

“อะไรนะ” นายหญิงรองกระโดดผลุงทันใด “เจ้าบอกว่าจะเปิดช่องตรงปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า เปิดจมูกออกและตัดเนื้อออกมาหรือ” นายหญิงรองลืมความสุขุม แผดเสียงถลึงตาใส่เจินสือเหนียงเหมือนนางยักษ์ คำพูดนี้น่าตื่นตกใจเกินไป จะเป็นไปได้อย่างไร!

“ด้านหลังโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าถูกติ่งเนื้อปิดกั้น ใช้ยาไม่มีประโยชน์แล้ว มีเพียงตัดติ่งเนื้อออกไปเท่านั้น” เนื่องจากไม่มีกล้องส่อง เจินสือเหนียงจึงใช้วิธีง่ายๆ ทำการทดสอบโดยสอดท่อลงไปในจมูก ท่อนิ่มนั้นสอดลงไปไม่ถึงคอหอย นั่นหมายความว่าข้อสันนิษฐานของนางถูกต้อง เจินสือเหนียงพยายามใช้คำพูดที่ทุกคนเข้าใจอธิบายให้ฟัง

แม้ใบหน้าจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจก็ประหม่าไม่น้อย

การตัดติ่งเนื้อในโพรงจมูกเป็นการผ่าตัดเล็กเท่านั้น ชาติก่อนนางเคยทำมาหลายสิบเคสแล้ว ใช้กล้องส่องตัดชิ้นเนื้อออกมา ไม่ต้องเปิดแผล ไม่เจ็บ ผ่าตัดด้วยวิธีส่องกล้อง ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ คนไข้ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งอัตราการกลับมาเป็นซ้ำยังต่ำมาก แต่นี่เป็นสมัยโบราณ ไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์ไฮเทคพวกนั้น แม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างการฆ่าเชื้อ ห้ามเลือด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็เป็นปัญหา ที่สำคัญกว่านั้นคือติ่งเนื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวงอกอยู่ด้านหลังโพรงจมูก หากจะตัดออกด้วยวิธีการดั้งเดิม การผ่าตัดคงต้องกินเวลาสองสามชั่วโมง ไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ไม่มียาสลบอย่างดี ไม่มีผู้ช่วยฝีมือยอดเยี่ยมที่ทำงานร่วมกับนางได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างกายอ่อนแอของนางร่างนี้จะทนไหวหรือ

“ขอเพียงรักษาให้หายได้ หมอเจี่ยนรักษาไปเถอะ!” หลังถูกอาการปวดหัวอย่างรุนแรงทรมาน ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวอยากจะตัดหัวออกมาเสียด้วยซ้ำ เห็นเจินสือเหนียงบอกอาการของนางอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด ใจจึงเชื่อนางไปนานแล้วและรับปากโดยไม่ลังเล ท่าทีเด็ดเดี่ยวยืนกราน

แต่นายหญิงรองกลับไม่กล้าตัดสินใจ “รอนายท่านทั้งหลายกลับมาค่อยตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ”

นายท่านรองเซียวหย่งกลับมาเป็นคนแรก พอได้ยินว่าจะเปิดจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวออกก็กระโดดเหยงทันที “จะได้อย่างไร!” จากนั้นยกตัวอย่างว่า “จักรพรรดิอู่เลี่ยแห่งซีซย่าถูกโอรสลอบสังหารและหลบไม่ทัน กระบี่พลาดไปตัดถูกจมูก ยังไม่ทันรักษาก็ตายเสียก่อน”

จมูกถูกเปิดกับถูกตัดทิ้งไปจะเหมือนกันที่ไหน ยังรอดชีวิตได้สิแปลก!

เจินสือเหนียงรู้สึกสิ้นหวัง นางรู้ว่าข้อเสนอของตนเองออกจะน่าตกใจ หากไม่เคยเห็นกับตา คนโบราณที่ความคิดล้าหลังพวกนี้ย่อมมิอาจยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอีกฝ่ายเป็นถึงมารดาของราชมนตรีเซียวผู้มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่ง จะยอมให้นางจับมาทดลองได้อย่างไร นางเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่พอเซียวหย่งได้ยินว่าต้องใช้มีดก็ส่ายหน้ายิก ไม่เปิดโอกาสให้นางอธิบายแม้แต่น้อย เจินสือเหนียงลอบถอนหายใจและลุกขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้ว ค่ารักษาฮูหยินผู้เฒ่าข้าไม่ขอรับสักแดงเดียว”

เดิมทีนางกังวลอยู่แล้วว่าร่างกายตนเองจะรับไม่ไหว เป็นแบบนี้เสียก็ดี เจินสือเหนียงปลอบใจตนเอง เดินเข้าไปในขุมสมบัติแล้วกลับออกมามือเปล่า ความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับเซียวอวี้ต้องล้มเลิกไปทำให้นางผิดหวังก็จริง แต่เจินสือเหนียงเป็นคนเด็ดเดี่ยวมาแต่ไหนแต่ไร ฝีเท้าที่ก้าวจากมาจึงมั่นคงเฉียบขาด

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยอม นางปวดหัวจนอยากเอาหัวโขกกำแพงด้วยซ้ำ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหมอที่ชี้แจงอาการของนางได้อย่างครบถ้วนถ่องแท้ แต่ลูกชายกลับไม่ยอมให้รักษา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดสินใจโอดครวญ ร้องจะให้คนเอาเชือกหรือมีดมาสังหารนางเสียเพื่อหาความสงบให้ตนเอง

นายหญิงรองเห็นดังนั้นก็คว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และยิ้มพูด “ในเมื่อมาแล้ว ท่านหมอเจี่ยนอย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไปเลย ท่านราชมนตรีใกล้จะประชุมเสร็จแล้ว เรื่องนี้รอให้ราชมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่า” ไม่รอให้เจินสือเหนียงปฏิเสธ นางหันไปสั่งหงเอ๋อร์ “ส่งท่านหมอเจี่ยนกลับไปพักที่ห้อง”

น่าขัน ขืนปล่อยนางไปอย่างนี้ หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไป แพร่ออกไปว่าเป็นเพราะนายท่านรองไม่ยอมให้รักษา มิเท่ากับความผิดตกอยู่กับพวกนางสองสามีภรรยาหรือ! ราชมนตรีเซียวเป็นประมุขของบ้าน เรื่องนี้ให้เขาเป็นคนตัดสินใจดีกว่า จะรักษาก็ดี ไม่รักษาก็ช่าง ขอเพียงเป็นคำสั่งเขา ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตายหรือจะอยู่ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา!

หลังประชุมเช้าเซียวอวี้ถูกฮ่องเต้เรียกตัวไว้ในห้องทรงอักษร กว่าจะกลับถึงจวนก็เข้ายามโหย่วแล้ว

“นางจะผ่าจมูกของมารดา?” ฟังเซียวหย่งสามีภรรยาเล่าจบ ดวงตาของเซียวอวี้ฉายแววตระหนก หัวคิ้วขมวดมุ่น

“อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่เจ็บก็ทำให้ตายได้แล้ว” เซียวหย่งทำหน้าขุ่นแค้น “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลมาก แต่มารดากลับยืนกรานจะรักษา!”

เงียบอยู่นานเซียวอวี้จึงเอ่ยว่า “ใช้มีดผ่าตัดเคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ตำราหวาถัวบันทึกไว้ว่าหากโรคเกิดอยู่ภายใน มิอาจใช้เข็มหรือยาได้ย่อมต้องผ่าตัดและใช้ยาชา…” เซียวอวี้ครุ่นคิด “ ‘คัมภีร์หวงตี้ บรรพหลิงซู’ ก็มีบันทึกวิธีการยับยั้งรักษาโรคเช่นนี้” ด้วยเป็นคนอ่านหนังสือหลากหลาย เซียวอวี้จึงพอรู้เรื่องการรักษาโรคอยู่บ้าง “การผ่าตัดของหมอเจี่ยนฟังดูน่าตกใจ แต่หาใช่มีขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ความเจ็บปวดจากการตัดจมูก…” เขาส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ เห็นชัดว่ามีท่าทีต่อต้าน

“แต่หากไม่ผ่าตัด อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงในทุกวันของมารดาก็สร้างความเจ็บปวดเช่นกัน” เซียวอวี้ถอนหายใจอีกครั้ง “สุราฤทธิ์แรงใช้แทนยาชาได้ ได้ยินแม่ทัพเสิ่นบอกว่าเวลาทหารแนวหน้าแขนขาขาดและต้องทำความสะอาดบาดแผลที่เน่า ส่วนใหญ่มักดื่มสุราฤทธิ์แรงลงไปก่อน” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าเพียงแต่กังวลว่าวิชาแพทย์ของหมอเจี่ยนจะล้ำเลิศเหมือนที่เล่าลือหรือไม่” เขาเงยหน้าทันใด “ตอนนางเสนอวิธีนี้ บอกหรือไม่ว่ามีความมั่นใจกี่ส่วน”

“เรื่องนี้…” น้ำเสียงของเซียวหย่งชะงัก พอได้ยินว่าจะเปิดจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว เขาก็ร้อนใจ ไม่ยินยอมให้รักษา ไหนเลยจะถามเรื่องพวกนี้เล่า

“เนื่องจากต้องรอพี่ใหญ่กลับมาตัดสินใจ เรื่องนี้จึงยังไม่ได้ถาม” เห็นเซียวหย่งกระอักกระอ่วน นายหญิงรองจึงกล่าวแทรกขึ้น “แต่หมอเจี่ยนผู้นี้มีความสามารถจริง ตอนบ่ายฮูหยินผู้เฒ่าปวดศีรษะรุนแรงและเชิญนางเข้าไป นางฝังเข็มทีเดียวฮูหยินผู้เฒ่าก็ดีขึ้น จนป่านนี้ยังไม่ร้องปวดศีรษะอีกเลย”

ฝังเข็ม? เซียวอวี้ตาเป็นประกาย “หากการฝังเข็มใช้ได้ผล พวกเราจ่ายเงินให้นางมากหน่อย ให้นางอยู่ในจวนคอยฝังเข็มให้มารดาทุกวัน”

“เรื่องนี้ไม่ต้องให้พี่ใหญ่พูด” นายหญิงรองส่ายหน้าจนใจ “เห็นนางฝังเข็มได้ผล ข้ากับนายท่านรองถามนางตอนนั้นแล้ว นางบอกว่าฝังเข็มเป็นเพียงการทำให้เส้นเลือดในสมองปลอดโปร่งชั่วคราว หาใช่การรักษาที่ต้นเหตุ หากจะรักษาโรคของฮูหยินผู้เฒ่าต้องจัดการที่ต้นตอ”

ก็ใช่ เซียวอวี้ใบหน้าหม่นลงเมื่อคิดว่าแรกเริ่มตอนฮูหยินผู้เฒ่าปวดศีรษะ ยาระบายลมในศีรษะและยาแก้ปวดศีรษะยังบรรเทาได้ ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้ผลเลย เขาเงียบอยู่นานก่อนจะเงยหน้า “ท่านหมอเจี่ยนอยู่ที่ใด”

“ในห้องรับรองแขก”

“ไปเชิญนางมา”

 

ไม่นานสาวใช้ก็พาเจินสือเหนียงเข้ามา

นายหญิงรองเข้าไปดึงมือนางอย่างสนิทสนม “ท่านนี้คือท่านราชมนตรี เพิ่งกลับจากวังหลวง อยากถามอาการของฮูหยินผู้เฒ่ากับท่าน” นางหันไปสั่งสาวใช้ “เตรียมที่นั่งให้ท่านหมอเจี่ยนแล้วยกน้ำชา” ท่าทีแตกต่างจากตอนกลางวันเหมือนเป็นคนละคน ทำเอาเจินสือเหนียงหัวใจเต้นรัว

“คารวะใต้เท้าเซียว” เจินสือเหนียงย่อกายให้เซียวอวี้เล็กน้อย ถือโอกาสนี้มองประเมินเขาไปด้วย

เขาสวมชุดแพรยาวสีเขียวใบไผ่ปักลวดลาย ใบหน้าขาวกระจ่างดุจหยก ดวงตารียาวเหมือนสุนัขจิ้งจอก แลดูลึกล้ำกระจ่างใส แตกต่างกับความเย็นชาน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเสิ่นจงชิ่งอย่างสิ้นเชิง หว่างคิ้วของเซียวอวี้ผู้นี้สะท้อนความสูงส่งของบัณฑิต ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและคลายความระแวดระวัง

“อาการป่วยของมารดาต้องผ่าตัดเท่านั้นหรือ” เซียวอวี้ถามเมื่อเห็นนางเข้ามา น้ำเสียงเป็นมิตรและเนิบช้า จิตใจที่ตึงเครียดของเจินสือเหนียงผ่อนคลายลง นางพยักหน้า “นี่เป็นหนทางเดียวที่ข้าคิดได้”

“มารดาอายุมากแล้ว ข้าเกรงว่านางจะทนรับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดไม่ไหว อืม…” เซียวอวี้ก้มหน้าใคร่ครวญ “หากต้องใช้มีด หมอเจี่ยนมีความมั่นใจเท่าไร”

“ห้าส่วน” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงหนักแน่นมั่นคง หากเป็นยุคปัจจุบันนางมีความมั่นใจถึงเก้าส่วน แต่สมัยโบราณไม่มียาปฏิชีวนะ อัตราการติดเชื้อหลังการผ่าตัดสูงกว่ายุคปัจจุบันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า แม้นางจะอยากช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเซียวมากเพื่อจะได้ผูกไมตรีกับต้นไม้ใหญ่อย่างเซียวอวี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาคุยโม้เรียกความเชื่อใจจากผู้อื่น นางต้องพูดไปตามความจริง

ดวงตาของเซียวหย่งสาดประกายเยียบเย็น “มีความมั่นใจแค่ห้าส่วนเจ้ายังกล้าเสนอ!”

“นี่เป็นหนทางเดียวในการรักษาฮูหยินผู้เฒ่าที่ข้าคิดได้” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปของนางยังคงราบเรียบ ปราศจากความร้อนใจ

เซียวอวี้อดเหลือบมองนางไม่ได้และโบกมือให้เซียวหย่งเงียบ จากนั้นถามเจินสือเหนียง “หากไม่ผ่าตัด อาการป่วยของมารดาจะเป็นอย่างไร” น้ำเสียงยังคงสุขุมดุจเดิม จับกระแสอารมณ์ไม่ออก

เจินสือเหนียงลอบพิจารณาเขาอยู่นาน แต่กลับดูไม่ออกว่าในใจเขากำลังโมโหเหมือนเซียวหย่งหรือไม่ จึงตอบช้าๆ ว่า “หากไม่ตัดทิ้งโดยเร็ว ติ่งเนื้อจะขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ อาการปวดศีรษะและหายใจติดขัดของฮูหยินผู้เฒ่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ” นางส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ

“จะ…” เสียงของเซียวอวี้ชะงัก “มีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่”

เซียวหย่งกับนายหญิงรองนั่งตัวตรง จับจ้องเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ

ปกติแล้วโรคริดสีดวงจมูกไม่ทำให้คนตาย แต่ว่า… เจินสือเหนียงลังเลเล็กน้อย “หากปล่อยให้ติ่งเนื้อขยายใหญ่ ข้ามิอาจรับรองได้” ติ่งเนื้อของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ใกล้คอหอย หากปล่อยให้โตต่อไป เจินสือเหนียงไม่กล้ารับประกันจริงๆ ว่ามันจะอุดลำคอ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหายใจไม่ออกหรือเปล่า

“นี่ก็ไม่กล้ารับรอง นั่นก็ไม่มีความมั่นใจ!” เซียวหย่งตบโต๊ะอย่างเหลืออด “หมออย่างพวกเจ้ามีไว้ทำอะไร!”

นายหญิงรองรีบดึงเซียวหย่งไว้และคลี่ยิ้มให้เจินสือเหนียง “นายท่านรองอารมณ์ร้อน ท่านหมอเจี่ยนอย่าได้ถือสา” ก่อนจะพูดแทนนางว่า “โรคของฮูหยินผู้เฒ่ารักษายาก หาหมอตั้งเท่าไรก็รักษาไม่หาย วิธีผ่าตัดของท่านหมอเจี่ยนแม้จะมีความมั่นใจอยู่เพียงห้าส่วน แต่นี่เป็นหนทางเดียวในการรักษา” นางยิ้มมองเจินสือเหนียง “…ใช่หรือไม่”

เจินสือเหนียงตกใจ นางคัดค้านการผ่าตัดของข้ามากที่สุด เมื่อกี้ยังให้มู่สี่สาวใช้รุ่นใหญ่มาเตือนข้า ไฉนตอนนี้จึงช่วยพูดแทนข้าเสียเล่า ในใจเต็มไปด้วยความงุนงง แต่เจินสือเหนียงไม่กล้ารีรอ ยิ้มอย่างขออภัยทันที “อภัยที่ข้าความรู้ตื้นเขิน”

เซียวหย่งแค่นเสียงหึสะบัดหน้าไปอีกทาง

เซียวอวี้ตรึกตรองครู่ใหญ่ “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมารดา ข้าขอปรึกษากับหมอหลวงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” เขาหันไปสั่งสาวใช้ “พาท่านหมอเจี่ยนไปพักผ่อน”

ภายหลังเซียวอวี้เชิญหมอหลวงเวินและหมอหลวงคนอื่นๆ มาในคืนนั้นเลย ภายใต้การยืนกรานที่จะไม่เปิดเผยโฉมหน้าของเจินสือเหนียง สุดท้ายจึงหารืออาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าผ่านม่าน หมอหลวงเวินใช้ท่อนิ่มสอดเข้าไปในโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อทำการทดสอบตามคำชี้แนะของเจินสือเหนียง ไม่นานต่างพร้อมใจกันเห็นด้วยกับการวินิจฉัยของนาง

ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวมีเนื้องอกอยู่ด้านหลังโพรงจมูกจริงๆ

แต่ที่สมาชิกตระกูลเซียวคิดไม่ถึงคือ พอรู้ถึงสาเหตุของโรค วาจาของหมอหลวงเวินและคนอื่นๆ กลับน่าตกใจยิ่งกว่าเจินสือเหนียงเสียอีก “เนื้องอกชนิดนี้เติบโตเร็ว ช้าเร็วลำคอของฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องถูกปิดกั้นทั้งหมด” หมอหลวงเวินยกตัวอย่าง “ชาวบ้านมีโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้คอใหญ่ เรียกว่าเนื้องอกเช่นกัน เพียงแต่เกิดบริเวณลำคอ แรกเริ่มคอจะหนาใหญ่ ภายหลังเนื้องอกขยายขนาดขึ้น ถึงขั้นย้อยลงมาบนหน้าอกจนผู้ป่วยทนรับน้ำหนักไม่ไหว เนื้องอกเกิดขึ้นภายนอกยังสร้างปัญหาถึงเพียงนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในโพรงจมูก…” หมอหลวงเวินส่ายหน้า

คำพูดต่อจากนั้น แม้ไม่เอ่ยออกมาทุกคนก็เข้าใจ

โรคคอใหญ่คือโรคคอพอก เกิดจากการขาดสารไอโอดีน ปัจจุบันด้วยความแพร่หลายของไอโอดีนทำให้พบเห็นโรคนี้ได้น้อย แต่สมัยโบราณกลับมีคนเป็นโรคนี้มาก โรคนี้กับโรคริดสีดวงจมูกเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าการแพทย์ในสมัยโบราณมีข้อจำกัด เห็นว่าเป็นเนื้อที่งอกเกินออกมาเหมือนกัน หมอหลวงเวินจึงจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกัน เนื่องจากไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม เจินสือเหนียงจึงไม่พูด ได้แต่ฟังเงียบๆ อยู่ข้างหลังม่าน

โรคคอใหญ่นี้เซียวอวี้ก็เคยพบเห็น คิดถึงขนาดของเนื้องอกใต้คอและการขยายตัวอย่างรวดเร็วแล้ว เขาสั่นสะท้านขึ้นทันที “เช่นนี้หมายความว่าต้องตัดออกเท่านั้นใช่หรือไม่” เขาเหลือบมองเข้าไปในม่านอย่างละอายใจ ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าเจินสือเหนียงบอกว่าโรคนี้ต้องผ่าตัด แต่กลับไม่รับรองผลนั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่ง อยากได้เงินแต่ก็จะปัดความรับผิดชอบออกไปตั้งแต่ต้น

“ใต้เท้าราชมนตรีจะผ่าตัดไม่ได้เด็ดขาด!”

เหนือความคาดหมาย พอหมอหลวงเวินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ของเซียวอวี้ต่างพากันส่ายหน้า

เซียวอวี้สะดุ้งโหยง “ทำไมล่ะ” เขาหันไปมองเจินสือเหนียงที่อยู่ในม่านโดยไม่รู้ตัว ใจคิดว่า นางบอกว่าผ่าตัดได้มิใช่หรือ

“บริเวณมุมปากไปถึงสันจมูกถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมอันตราย ใช้มีดไม่ได้ หากไม่ระวังเกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”

บรรดาหมอหลวงมองหน้ากัน สุดท้ายหมอหลวงเวินอธิบายว่า “อย่าว่าแต่จมูกเลย แม้แต่สะโพกยังไม่อาจผ่าตัดส่งเดช คราก่อนใต้เท้าเฉียนเป็นฝีที่เท้า ตัดทิ้งไปไม่ถึงครึ่งเดือน บาดแผลก็เน่าจนเสียชีวิต” ครั้นคิดได้ว่าสามวันก่อนเพิ่งไปร่วมพิธีศพของใต้เท้าเฉียน ทุกคนในห้องพลันเงียบกริบ

นั่นเป็นเพราะไม่ได้ฆ่าเชื้อให้ดี บาดแผลติดเชื้อต่างหาก! ฟังคำพูดของหมอหลวงเวินแล้ว เจินสือเหนียงเดาว่าใต้เท้าเฉียนน่าจะติดเชื้อบาดทะยัก นางถอนหายใจเบาๆ “เหตุที่มุมปากไปจนถึงสันจมูกถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมอันตรายเพราะเชื่อมต่อกับตา หัวสมอง และลำคอ ภายในมีหลอดเลือดอยู่มาก หากได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อ…” คิดได้ว่าสมัยโบราณยังไม่มีคำว่าแบคทีเรียและสารพิษ เจินสือเหนียงชะงัก “จะทำให้โรคลามไปถึงสมองและเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ว่า…” นางแย้ง “นั่นหมายถึงกับคนที่ไม่รู้วิชาแพทย์ สำหรับหมอที่คุ้นเคยกับโครงสร้างของจมูกย่อมทำการผ่าตัดได้”

“หมอเจี่ยนหมายความว่าสามารถตัดทิ้งได้หรือ” หมอหลวงเวินผุดลุกขึ้นทันใด มองเงาเลือนรางแบบบางในม่านอย่างเหลือเชื่อ

เจินสือเหนียงน้ำเสียงมั่นคง ไม่ปรากฏแววร้อนรน “ข้ามีความมั่นใจห้าส่วนว่าจะสามารถตัดเนื้องอกนั้นออกมาได้”

ห้าส่วน? นี่หมายความว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีโอกาสตายครึ่งหนึ่ง!

มองจากมุมของญาติแล้วอัตราส่วนนี้ต่ำมาก หากเป็นกรณีทั่วไปใครก็ไม่กล้าเสี่ยง ฟังเป็นเรื่องขำขันเท่านั้น แต่เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งบอกว่าเนื้อชิ้นนี้ตัดไม่ได้ บัดนี้เจินสือเหนียงบอกว่ามีความมั่นใจห้าส่วนมิเท่ากับตบหน้าพวกเขาหรอกหรือ

บรรดาหมอหลวงหน้าแดงสลับขาว หมอหลวงหลี่ที่เงียบมาตลอดซักถามขึ้น “ต่อให้เข้าใจโครงสร้างจมูก แต่ก็ต้องให้ผู้ป่วยนอนนิ่งให้เจ้าใช้มีด หมอเจี่ยนเคยคิดหรือไม่ว่าความเจ็บปวดจากมีดกรีดสร้างความทรมานมาก ฮูหยินผู้เฒ่าจะอดทนกับความเจ็บปวดนอนนิ่งอยู่ได้อย่างไร” เขามองเงาเลือนรางในม่านด้วยสายตาคาดคั้น “หมอเจี่ยนจะแก้ปัญหาเรื่องความเจ็บนี้อย่างไร”

นี่เป็นเรื่องที่เซียวอวี้กังวลเช่นกัน

พอหมอหลวงหลี่พูดจบ สายตาทุกคู่ก็พุ่งไปยังเงาเลือนรางหลังม่านทันที

“เรื่องนี้…” เจินสือเหนียงลังเลเล็กน้อย “ข้ามียาสูตรลับของบรรพบุรุษที่สามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะได้”

“ยาชา!” ทุกคนตระหนก หมอหลวงเวินโพล่งออกมา “หมอเจี่ยนบอกว่าท่านมียาชาของหมอเทวดาหวาถัวหรือ”

เจินสือเหนียงส่ายหน้า “เป็นตำรับท้องถิ่นของบรรพบุรุษ” ยาชาในกล่องยาของนางดีกว่าของหวาถัวเยอะ นั่นเป็นผลผลิตในอีกพันปีให้หลัง

“ข้าขอพิสูจน์ตำรับยาของหมอเจี่ยนหน่อยได้หรือไม่” หมอหลวงเวินตื่นเต้นจนเสียงสั่นเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องเงาแบบบางหลังม่านโดยไม่กะพริบ

เจินสือเหนียงส่ายหน้า “บรรพบุรุษสั่งไว้ว่าตำรับยานี้มิอาจให้ผู้อื่นเห็น” ส่วนผสมที่ใช้ในการทำยาชาของนางไม่ได้มาจากยาจีนทั้งหมด หากเอาออกมาให้ผู้อื่นดูย่อมก่อให้เกิดปัญหา

หมอหลวงเวินหน้าแดง ในห้องพลันเงียบสนิท นอกม่านห่างไปหลายจั้ง เจินสือเหนียงได้ยินเสียงหอบหายใจฟืดฟาด

หมอหลวงหลี่ผุดลุกขึ้นทันใดและประสานมือให้เซียวอวี้ “ในเมื่อมีบุคคลสูงส่งอยู่ในจวนราชมนตรี ผู้น้อยขอลา” น้ำเสียงนอบน้อม แต่กลับแฝงแววประชดเสียดสี

ขอดูสูตรลับเรียกว่าให้หน้าเจ้า! ก็แค่เด็กสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าปฏิเสธคำขอของรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงต่อหน้าทุกคน สำนักแพทย์หลวงไม่เคยต้องขายหน้าแบบนี้มาก่อน เขาไม่เชื่อว่าหมอหลวงที่มีวิชาแพทย์สูงส่งตั้งหลายคนจะสู้เด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งไม่ได้ นางบอกว่าทำได้ก็ปล่อยให้นางทำไป รอไว้คนตายเมื่อไรย่อมมีผู้เอาความ!

เซียวอวี้กำลังจะพูด แต่หมอหลวงคนอื่นๆ พากันลุกขึ้น หมอหลวงเวินขยับปากอยากพูดอะไร เห็นทุกคนลุกกันหมด เขาจึงลุกตาม

คนพวกนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในสำนักแพทย์หลวง ไม่ว่าใครนางก็มิอาจล่วงเกินได้ เห็นบรรดาหมอหลวงไม่เกรงใจนางเช่นนี้ มือที่กำแน่นของนางสั่นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนข้อได้เปรียบหายไป ไม่ยอมให้นางผ่าตัดไม่เป็นไร กลัวแต่ว่ากลับไปเมืองอู๋ถงครั้งนี้ แม้แต่ยานางก็ขายไม่ได้แล้ว สมัยก่อนเป็นหมอไม่ต้องใช้ใบอนุญาตและไม่มีข้อกำหนดด้านคุณสมบัติใดๆ ก็จริง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงหมอหลวงผู้สูงส่ง จะกำจัดหมอชาวบ้านที่ไร้ที่พึ่งพิงอย่างนางใช้แค่ปากก็เพียงพอ

นางไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาที่เหลืออย่างจำกัดของตนเองไปกับการต่อสู้กับบรรดาหมอหลวงพวกนี้ เจินสือเหนียงคิดไปต่างๆ นานา กำลังขบคิดว่าจะกอบกู้สถานการณ์อย่างไรก็เห็นเซียวอวี้ประสานมือให้นางอยู่นอกม่าน “โรคของท่านแม่ต้องรบกวนท่านหมอเจี่ยนแล้ว หากต้องการสิ่งใด ท่านหมอเจี่ยนเขียนรายการมาได้เลย ข้าจะให้คนไปจัดเตรียม”

เขาตกลงแล้ว?!

เจินสือเหนียงผงะ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า หากสามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าได้ หมอหลวงพวกนั้นย่อมไม่น่ากลัวอีกต่อไป

เซียวหย่งได้ยินเซียวอวี้กล่าวดังนั้นก็พลันหน้าแดงขึ้นทันใด “พี่ใหญ่!”

“นายท่านรอง…” นายหญิงรองกดตัวเขาไว้ “หลงจู๊ชิวจากร้านขายของมารอท่านนานแล้ว” ก่อนจะลากตัวเซียวหย่งออกไปอย่างแนบเนียน

“ทำไมต้องห้ามข้า!” พอพ้นประตูเซียวหย่งก็ถามนายหญิงรองอย่างดุดัน “นางมีความมั่นใจแค่ห้าส่วนเท่านั้น!” แบบนี้ต่างจากการถือมีดฆ่าคนตรงไหน

“พี่ใหญ่ทำไปด้วยความหวังดี” นายหญิงรองถอนหายใจ “หมอหลวงบอกแล้วว่าหากไม่ตัดเนื้องอกทิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตายแน่นอน บัดนี้มีโอกาสรอดชีวิตถึงห้าส่วน ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเสี่ยงดูสักตั้ง”

เซียวหย่งยังไม่ยินยอม “บุ่มบ่ามตัดสินใจเช่นนี้ หากมารดาเป็นอะไรไป พี่ใหญ่ยังจะมีหน้าไปพบบิดาอีกหรือ”

นี่แหละสิ่งที่นางต้องการ! หมอหลวงบอกแล้วว่าหากผ่าตัดจะต้องตาย แต่ราชมนตรียังยืนกรานให้หญิงบ้านนอกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้รักษา หากสวรรค์เข้าข้างนาง รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าตายเมื่อไร ราชมนตรีรู้สึกผิดและไว้ทุกข์ ย่อมมิอาจแต่งภรรยาในสามปีห้าปีนี้ เช่นนั้นอำนาจในการจัดการธุระภายในจวนย่อมอยู่ในมือนางอย่างมั่นคง!

ในใจลิงโลดแต่ใบหน้าของนายหญิงรองกลับฉายแววกังวล กล่าวโน้มน้าวว่า “แต่หากไม่กำจัดทิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมทรมานเหมือนตายทั้งเป็น สุดท้ายก็ยากจะหนีพ้นความตายอยู่ดี”

คิดดูแล้วก็ใช่ สุดท้ายเซียวหย่งจึงล้มเลิกความคิดที่จะเขียนจดหมายถึงบิดา

 

วันที่สองหลังเลิกประชุมเช้า เซียวอวี้รีบร้อนกลับจวน นายหญิงรองกำลังจัดเตรียมยาและเครื่องใช้ตามรายการที่เจินสือเหนียงให้มา เห็นเขามาจึงยื่นรายการให้เขาดู “เครื่องมือบางอย่างหาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ ข้าติดต่อโรงหล่อเงินให้เร่งผลิตออกมาแล้ว”

ผ้าขาว ผ้าฝ้ายโปร่ง มีด คีมคีบ ไหมทองแบบนิ่ม…

บนใบรายการมีภาพประกอบของเครื่องมือหน้าตาประหลาดสิบกว่าอย่างที่เซียวอวี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าเอามาทำอะไร แต่เขาเป็นขุนนางในราชสำนักมานานปี จึงมีนิสัยลุ่มลึกไม่แสดงความรู้สึกออกมา แม้ใจสงสัย แต่ปากไม่ได้เอ่ยถาม เพียงแต่ส่งเสียงอืม สายตาเลื่อนไปที่รายการยา ล้วนเป็นยาจีนที่พบเห็นบ่อยๆ ทั้งผลรวงหญ้าซย่าคูเฉ่า พลูคาว ผงโสมซานชี โสมตังกุย หนามเจ้าเจี่ยว และพิมเสน เขาไม่ใช่หมอ แม้จะดูอยู่นานก็ไม่รู้เรื่อง จึงส่งคืนให้นายหญิงรอง “ไปเตรียมการเถอะ”

นายหญิงรองรับมาและกำลังจะมอบให้สาวใช้ แต่ถูกเซียวอวี้เรียกไว้ “ไฉนจึงมีโสมด้วย” เขาขอรายการกลับมาก้มหน้าดูอย่างจริงจังอีกครั้ง บนใบรายการมีตำรับยาทั้งหมดสี่ตำรับ ตำรับสุดท้ายเป็นโสมอย่างเดียว

นายหญิงรองอ่านดูหลายครั้งแล้ว “เป็นโสมล้วนอย่างเดียว ให้ต้มเป็นน้ำแกงสำหรับดื่ม ท่านราชมนตรีคิดว่าไม่เหมาะสมหรือ”

“โสมเป็นของบำรุงที่มีฤทธิ์แรง มารดาอายุมาก ร่างกายอ่อนแอจนมิอาจรับการบำรุงได้ แล้วจะดื่มน้ำแกงโสมได้อย่างไร” ยาชนิดอื่นเขาไม่รู้ แต่โสมเขารู้จัก

นายหญิงรองตกใจ “นายท่านใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าถึงนึกได้ว่าคนแก่มักบอกว่าโสมบำรุงคนแข็งแรง ไม่เหมาะกับคนอ่อนแอ หรือว่า…” หัวใจนางกระตุก น้ำเสียงหยุดชะงัก แม้แต่ความรู้พื้นฐานยังไม่รู้ หมอเจี่ยนผู้นี้เป็นหมอเถื่อนชัดๆ!

“ไปเชิญนางมา” เซียวอวี้ไม่เงยหน้า แต่เพ่งพิศตำรับยาในมืออย่างจริงจัง

นายหญิงรองสงบจิตสงบใจและหันไปส่งสายตาข้างหลัง สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกไปทันที

เจินสือเหนียงกำลังสอนหงเอ๋อร์ตัดผ้าฝ้ายอย่างดีออกเป็นแถบยาวประมาณหนึ่งนิ้ว สมัยโบราณไม่มีคีมห้ามเลือด แม้จะวาดรูปสั่งทำไปแล้ว แต่นางกลัวโรงหล่อเงินจะทำไม่ได้หรือทำได้แต่ใช้งานไม่ได้ ถึงเวลาคงได้แต่ใช้ผ้าห้ามเลือด เห็นว่าตัดได้พอประมาณแล้ว จึงสั่งหงเอ๋อร์ว่า “เอาไปต้มในน้ำเดือด”

ต้ม? ไม่กระมัง ไม่ใช่ของกินได้สักหน่อย

หงเอ๋อร์กะพริบตา คิดว่าตนเองฟังผิดไป

เจินสือเหนียงไม่เงยหน้า “จำไว้ว่าเวลาจะสั้นเกินไปไม่ได้ ตั้งเตาแล้วต้องต้มอย่างน้อยสองเค่อ”

ระหว่างพูดสาวใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านราชมนตรีเชิญท่านหมอเจี่ยนไปห้องหลักเจ้าค่ะ”

หงเอ๋อร์อยากถามต่อ แต่เห็นเป็นคนของนายหญิงรองนางจึงรีบยกผ้าฝ้ายที่ตัดเสร็จแล้วออกไป

เจินสือเหนียงตามสาวใช้มาที่ห้องหลักของฮูหยินผู้เฒ่า เซียวอวี้ เซียวหย่ง และนายหญิงรองอยู่กันพร้อมหน้า เจินสือเหนียงนั่งลงบนที่นั่งแขก เซียวหย่งกำลังจะเอ่ยปาก แต่ถูกเซียวอวี้ยกมือห้ามไว้และเป็นคนเอ่ยขึ้นแทน “ท่านหมอเจี่ยนเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง คิดจะทำการรักษาเมื่อไหร่”

“ขาดเครื่องมือบางอย่างที่พรุ่งนี้ถึงจะส่งมา โพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องระบายเสมหะ…” เจินสือเหนียงครุ่นคิด “เช้าวันมะรืนแล้วกัน ช่วงเช้าแสงดี” แม้จะส่งจดหมายไปบอกสี่เชวี่ยแล้ว แต่เจินสือเหนียงไม่เคยห่างเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ นางคิดถึงและเป็นห่วงพวกเขาทุกวัน อยากจะรีบผ่าตัดให้เสร็จและกลับบ้านไวๆ

“อืม เช่นนั้นข้าจะลาหยุดวันมะรืน” เซียวอวี้พูดพลางยื่นตำรับยาให้เจินสือเหนียง เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดจึงมีตำรับยามากมายเช่นนี้ ใช้อย่างไรบ้าง”

เจินสือเหนียงรับรายการแผ่นนั้นมา “ตำรับที่หนึ่งใช้กิน ตำรับที่สองใช้ภายนอก ตำรับที่สามใช้ล้างมือและล้างเครื่องใช้ระหว่างการผ่าตัด” สมัยโบราณไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ เจินสือเหนียงจึงใช้โสมขม พริกหอม เปลือกหวงป๋อ และสารส้มเผาซึ่งเป็นยาจีนที่มีสรรพคุณลดการอักเสบและฆ่าแบคทีเรียแทนน้ำยาฆ่าเชื้อ พอพูดถึงตำรับที่สี่ นางหยุดชะงัก

“ตำรับที่สี่เป็นโสมล้วน หมอเจี่ยนจะ…” เห็นนางหยุด นายหญิงรองจึงพูดต่อ

เจินสือเหนียงยิ้ม “โสมนั้นข้าใช้เอง”

“ท่านใช้!” นายหญิงรองร้องเสียงแหลม โสมมีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือ ตอนใต้ไม่มี โสมธรรมดาอายุสามปีอย่างน้อยก็มีราคาสิบกว่าตำลึง นี่เป็นการทุจริตชัดๆ! มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่นางเจอหมอที่ฉ้อโกงอย่างเปิดเผย ยังไม่ทันไรก็ขโมยโสมไปหนึ่งต้นเสียแล้ว หากมิใช่เพราะท่านราชมนตรีตาแหลมย่อมถูกนางตบตาไปแล้ว!

“ใช่” เจินสือเหนียงตอบเสียงเรียบราวกับไม่เห็นสายตาดุดันของนายหญิงรอง

ดวงตาเซียวอวี้ฉายประกายเหยียดหยัน แต่ถูกกลบไปอย่างรวดเร็ว เห็นเซียวหย่งทำหน้าถมึงทึงเหมือนจะเอาเรื่อง จึงโบกมือยิ้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้โสมก็ไม่ต้องต้ม หากท่านหมอเจี่ยนรักษามารดาจนหายดี ข้าจะให้คนส่งโสมไปให้ที่บ้าน” โรคของมารดายังต้องอาศัยบุคคลผู้นี้รักษา โบราณว่าล่วงเกินวิญญูชนดีกว่าล่วงเกินคนต่ำช้า* เขาเป็นถึงราชมนตรี แค่โสมต้นเดียวเขาให้ได้ เพียงแต่ของขวัญชิ้นนี้ต้องให้อย่างเปิดเผย!

“ไม่ต้อง” เจินสือเหนียงส่ายหน้า “วันมะรืนต้มไปพร้อมกันเลย”

นางถูกเปิดโปงซึ่งหน้า ใบหน้าจึงรักษาไว้ไม่อยู่แล้วกระมัง! เซียวอวี้นิ่วหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น สั่งนายหญิงรองว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้น้องสะใภ้ทำตามความต้องการของหมอเจี่ยนเถิด” เขาโบกมือให้เจินสือเหนียง “ท่านหมอเจี่ยนไปพักผ่อนเถอะ”

เดิมทีอยากถามอาการป่วยของมารดา แต่เซียวอวี้พลันรู้สึกรังเกียจ คร้านจะพูดกับนางอีกแม้แต่คำเดียว

 

แสงในห้องนอนมืดเกินไป ด้วยการเรียกร้องของเจินสือเหนียง เช้าวันที่สามฮูหยินผู้เฒ่าจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังโถงรับแขก ม่านหน้าต่างถูกถอดออกหมด แสงแดดเจิดจ้าส่องผ่านกระจกใสเข้ามา สว่างเป็นพิเศษ ใกล้เคียงกับไฟผ่าตัดในชาติก่อน เจินสือเหนียงพอใจมาก หยิบยาชาที่ทำสำเร็จรูปไว้แล้วออกมาจากกล่องยา ฮูหยินผู้เฒ่ากินแล้วหมดสติไปตั้งแต่ยังไม่พ้นหนึ่งเค่อ เจินสือเหนียงใช้ผ้าขาวที่ตัดไว้แล้วคลุมร่างฮูหยินผู้เฒ่า เหลือไว้เพียงบริเวณที่จะผ่าตัด ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ทำขึ้นเองล้างมือ หยิบมีดผ่าตัดที่ฆ่าเชื้อแล้วขึ้นมาและวาดตำแหน่งไว้ตรงมุมจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นกรีดมีดลงไปอย่างมั่นคง

ครั้งแรกที่ทำการผ่าตัดในสมัยโบราณอาจเกิดเหตุขัดข้องต่างๆ เจินสือเหนียงคิดไว้หมดแล้วและหาแผนการรับมือไว้เรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าพอกรีดมีดลงไปก็ยังเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่ดี

การผ่าตัดต้องมีผู้ช่วย เจินสือเหนียงอบรมสาวใช้รุ่นใหญ่ทั้งสี่ของฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว แนะนำเครื่องไม้เครื่องมือที่โรงหล่อเงินผลิตออกมาให้พวกนางรู้จักทีละชิ้น เพื่อจะได้ง่ายเวลาส่งให้นางตอนผ่าตัด คิดไม่ถึงว่าเตรียมพร้อมไว้อย่างดี พอถึงเวลาจริง เห็นปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าถูกกรีด เลือดแดงฉานซึมออกมา ซีฮวาซีเยวี่ยจะร้องว่า “มารดาข้า!” ก่อนจะเป็นลมไป

เซียวอวี้กับนายหญิงรองที่เฝ้าอยู่นอกประตูพุ่งเข้ามา “มารดา!” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าถูกคลุมด้วยผ้าขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนคนตายในโลงก็ไม่ปาน ส่วนเจินสือเหนียงถือมีดผ่าตัดสีเงินวาววับที่มีเลือดหยดติ๋งๆ นายหญิงรองร้องโหยหวน ก่อนจะเอนหงายไปข้างหลัง บ่าวหญิงสูงวัยข้างหลังรีบเข้ามาประคอง “นายหญิงรอง!”

คนที่เบียดอยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด เห็นนายหญิงรองเป็นลมก็คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ไหวแล้ว พากันร้องไห้คร่ำครวญ ห้องผ่าตัดตกอยู่ในความโกลาหล

“ออกไป ออกไปให้หมด!” เจินสือเหนียงหันมาไล่ น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างเห็นได้น้อยครั้ง ที่นี่เพิ่งจะฆ่าเชื้อไป

เสียงร้องโวยวายเงียบลงทันใด ทุกคนทำอะไรไม่ถูก ต่างยืนอึ้งอยู่ที่เดิมมองหน้ากันไปมา สุดท้ายหันไปมองเซียวอวี้อย่างพร้อมเพรียง

“หากไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไร ทุกคนออกไปให้หมด!” เจินสือเหนียงมองเซียวอวี้ น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

เซียวอวี้ได้สติ หันไปมองซีฮวา ซีเยวี่ยที่ลุกขึ้นจากพื้นในสภาพแข้งขาอ่อนและสั่งทุกคนว่า “ทุกคนออกไปรอข้างนอก”

“ซีฮวา ซีเยวี่ยกลัวเลือด ให้ซีชิว ซีชุนอยู่แทน!” เจินสือเหนียงสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ก่อนจะหันกลับไปยุ่งต่อ ไม่สามารถให้เลือดและไม่มีถังออกซิเจนในการช่วยชีวิตยามคับขัน อีกทั้งเปิดแผลออกมาแล้ว เสียเวลาหนึ่งเค่อก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งส่วน!

“บะ…บ่าวก็กลัวเลือดเหมือนกัน” เดิมทียังอกสั่นขวัญแขวน พอได้ยินเจินสือเหนียงจะให้พวกนางอยู่ต่อ ซีชิวตกใจขาสั่น ซีชุนเป็นลมไปทันที

เจินสือเหนียงปวดหัว จำต้องหยุดมืออีกครั้ง “เลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” น้ำเสียงจริงใจเจือความร้อนใจ “ปีกจมูกของฮูหยินผู้เฒ่ากรีดออกมาแล้ว จะหยุดไม่ได้ ข้าต้องการผู้ช่วยหนึ่งคน” เห็นซีชิวส่ายหัว นางจึงหลอกล่อ “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ามองเวลาข้าทำ มองแค่เครื่องมือในถาดเงินก็พอ คอยฟังคำสั่งข้าและส่งของให้โดยไม่ต้องเงยหน้าย่อมไม่น่ากลัว”

เห็นทุกคนจ้องตนเอง ซีชิวตัวสั่นระริก หางตาเหลือบเห็นซีชุนยังเป็นลมอยู่ข้างๆ จึงตัดสินใจเหลือกตาขึ้น แกล้งตายแบบนางด้วยอีกคน

“ให้ข้าลองดู” ขณะกำลังปวดหัว เซียวอวี้ก้าวออกมา

“ท่าน?” เจินสือเหนียงผงะ “เป็นผู้ช่วยต้องรู้จักเครื่องมือพวกนี้” หากผู้ช่วยเป็นใครก็ได้ นางคงไม่ต้องปวดหัวแบบนี้ เรียกบ่าวหญิงสูงวัยใจกล้าหน่อยเข้ามาก็สิ้นเรื่อง

“ข้าเคยเห็นใบรายการ” เซียวอวี้ม้วนแขนเสื้อทำท่าจะหยิบเครื่องมือในถาดเงิน “ท่านหมอเจี่ยนต้องการอะไรบอกมาได้เลย” ในใบรายการมีภาพประกอบ แต่ไรมาเขาความจำเป็นเลิศ สิ่งที่ผ่านตาแล้วไม่เคยลืม

“อย่าแตะ!” เจินสือเหนียงสะดุ้งโหยง รีบร้องห้ามเขาและชี้น้ำยาฆ่าเชื้อในอ่างไม่ไกลออกไปนัก “ท่านล้างมือให้สะอาดก่อน อย่าลืมว่าต้องใช้แปรงขัดซอกเล็บทั้งสิบให้สะอาด” พูดจบก็หันไปยุ่งง่วนต่อ

นางรังเกียจที่มือเขาสกปรก! ในฐานะขุนนางใหญ่และพระอาจารย์ผู้ช่วยที่อ่อนเยาว์ที่สุดของต้าโจว แม้แต่ราชเลขาเห็นเขาแล้วยังต้องเกรงใจ ไม่เคยมีใครออกคำสั่งกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง!

เซียวอวี้ก้มหน้ามองสองมือขาวกระจ่างสะอาดสะอ้านของตนเอง นิ้วมือทั้งสิบตัดเล็บเรียบร้อย สกปรกตรงไหน ดวงตาจิ้งจอกหรี่ลงน้อยๆ หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับเซียวอวี้ดีต่างรู้ว่าเขาโมโหแล้ว น่าเสียดายที่เจินสือเหนียงไม่มีตาหลัง

ได้ยินข้างหลังเงียบ นางจึงเอ่ยเร่ง “เร็วเข้า!” นางอยู่ในภาวะตึงเครียดทั้งกายใจ คำพูดและการกระทำคล่องแคล่วรวดเร็วเหมือนตอนอยู่ในห้องผ่าตัดเมื่อชาติก่อน ลืมไปสนิทว่านี่เป็นสมัยโบราณ ยามออกคำสั่งจึงสั้นกระชับเฉียบขาด

เซียวอวี้จ้องนางอยู่นานกว่าจะได้สติ สายตาเลื่อนไปหยุดที่ฮูหยินผู้เฒ่าที่นอนอยู่ใต้มีดผ่าตัดของนาง จู่ๆ เขาก็สะดุ้งกายราวกับถูกตัวต่อต่อย ปราดเข้าไปทางน้ำยาฆ่าเชื้อที่ทำจากสมุนไพรจีนในฉับพลัน

คีมห้ามเลือด คีม มีดผ่าตัด ผ้าโปร่ง บ่วงคล้อง…

ยามเผชิญหน้ากับช่องผ่าตัดของเจินสือเหนียงที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวและเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่เซียวอวี้เองยังอกสั่นขวัญแขวน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษที่ผ่านโลกมามาก จึงตั้งสติได้โดยเร็วและทำตามคำสั่งสั้นกระชับของนาง ส่งเครื่องมือผ่าตัดให้นางทีละอย่าง

ไม่มีกล้องส่องโพรงจมูก เพื่อลดอาการบาดเจ็บให้น้อยที่สุด เจินสือเหนียงจึงใช้ไหมทองแบบนิ่มทำเป็นบ่วงคล้องที่ใช้ครั้งเดียวเลียนแบบเครื่องมือผ่าตัดริดสีดวงจมูกที่นิยมใช้บ่อยๆ ในชาติก่อน แต่ไม่มีคนคอยช่วยดึง การคล้องติ่งเนื้อขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็กแคบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เจินสือเหนียงระมัดระวังอย่างยิ่ง

ทรายละเอียดไหลลงมาตามท่อส่งของกาน้ำหยดทีละนิด หน้าผากของเจินสือเหนียงเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกะพริบตา ออกแรงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสลัดหยาดเหงื่อที่บดบังสายตาออกไป

ในที่สุดก็คล้องได้! มือหนึ่งจับไหมทองแบบนิ่มที่โผล่มาจากปลายอีกด้านของบ่วงคล้อง…เคลื่อนลงไป…พยายามรัดให้แน่น…สำเร็จ!

เจินสือเหนียงพรูลมหายใจยาวๆ พอสมาธิหย่อนลง นางก็รู้สึกหน้ามืด “น้ำแกงโสม” นางร้องบอก

น้ำแกงโสม? เซียวอวี้มองถาดเงินตามความเคยชิน มีน้ำแกงโสมที่ไหนกัน เขามองหาอยู่สองรอบจึงตระหนัก น้ำแกงโสมไม่ใช่เครื่องมือ พอเงยหน้าก็เห็นน้ำแกงโสมใสบริสุทธิ์ตั้งอยู่บนชั้น รีบยกขึ้นและยื่นไปให้ รออยู่นานก็ไม่มีคนรับ เขาจึงเงยหน้า

เจินสือเหนียงกำลังดึงบ่วงคล้องในมือให้แน่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ไหนเลยจะมีมือมารับน้ำแกงโสม อีกอย่าง มือนางเต็มไปด้วยเลือด คิดดูแล้วเซียวอวี้จึงตัดสินใจยกชามน้ำแกงไปจรดปากนาง

เจินสือเหนียงดื่มอั้กๆ ไปกว่าครึ่งชาม หลับตาสักครู่ รู้สึกว่าหัวใจเต้นสม่ำเสมอแล้วจึงสูดหายใจลึกๆ สองที ถือบ่วงคล้องไว้ในมือข้างเดียวและยื่นมือออกไป “กรรไกร…คีม…” นางใช้คีมค่อยๆ หนีบติ่งเนื้อสีแดงออกมา ยัดผ้าโปร่งห้ามเลือดเข้าไป ปล่อยท่อระบาย…ในที่สุดก็สำเร็จ! นางเงยหน้ามองกาน้ำหยด ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง

“เสร็จแล้วหรือ” เห็นเจินสือเหนียงใช้แถบผ้าเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดบนแก้มของฮูหยินผู้เฒ่า เลิกผ้าคลุมสีขาวออกและเอียงศีรษะฮูหยินผู้เฒ่าไปอีกด้านหนึ่ง เซียวอวี้เอ่ยถาม “มารดาจะเป็นอะไรหรือไม่” น้ำเสียงเจือความกระวนกระวาย ฮูหยินผู้เฒ่าหลับไม่ฟื้นเลย ไม่รู้เป็นเพราะยาชาหรืออะไร แบบนี้นับว่าสำเร็จหรือไม่

“อืม” เจินสือเหนียงใช้คีมคีบแถบผ้าโปร่งเปื้อนเลือดบนถาดทีละชิ้น “ดูอาการอีกสองวัน ถ้าบาดแผลไม่ติดเชื้อก็ไม่เป็นไร…ยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ด…” นางก้มตัวหยิบผ้าชิ้นหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา ยี่สิบแปด ในโพรงจมูกมีอยู่สองชิ้น…จำนวนผ้าถูกต้องแล้ว!

เจินสือเหนียงรู้สึกร่างกายเบาหวิว ไม่มีแรงจะนับเครื่องมืออย่างอื่นอีก คิดได้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การผ่าท้อง นอกจากแถบผ้าแล้ว อัตราความเสี่ยงที่จะลืมเครื่องมืออื่นๆ ไว้ในโพรงจมูกแทบจะเป็นศูนย์ แต่การนับเครื่องมือให้ครบเป็นนิสัยอันเคร่งครัดที่ติดมาจากชาติก่อน นางจึงหันไปสั่ง “เรียกคนเข้ามาตรวจนับเครื่องมือตามรายการ เอาไปล้างทำความสะอาดแล้วต้มด้วยน้ำเดือดอีกสองเค่อ” น้ำเสียงคล่องแคล่วเฉียบขาด “จำให้แม่น จะต้องตรวจดูให้ครบตามจำนวนที่ระบุในใบรายการ ขาดไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว!”

ตาจิ้งจอกของเซียวอวี้อดหรี่ลงไม่ได้ นางเห็นเขาเป็นบ่าวจริงๆ หรืออย่างไร!

แค่ผ้าไม่กี่ชิ้นหายไปซื้อใหม่ก็ได้ จวนราชมนตรีไม่ขาดแคลนผ้าไม่กี่ชิ้นนี้หรอก ไฉนต้องนับอย่างจริงจังขนาดนี้ เซียวอวี้ที่ยืนอย่างเคร่งเครียดมาเกือบสองชั่วยามเต็มรู้สึกเหนื่อยจนขาสั่น เห็นเจินสือเหนียงนับแถบผ้าไม่หยุดก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ พอได้ยินนางออกคำสั่งกับเขาอีกแล้วจึงเงยหน้าด้วยความเหลืออด แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวราวกระดาษก็ผงะ คำพูดที่มาถึงปากถูกกลืนกลับไปทันที ก่อนจะตะโกนออกไปด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง!”

คนที่เข้ามาก่อนคือบ่าวหญิงสูงวัยใจกล้าสองสามคน เห็นผ้าขาวบนตัวฮูหยินผู้เฒ่าถูกดึงออกแล้ว บาดแผลตรงปีกจมูกก็ปิดไว้เรียบร้อย จึงไม่ตกใจถึงเพียงนั้นอีก นายหญิงรองและคนอื่นๆ ทยอยกันเข้ามา

หงเอ๋อร์เดินไปหาเจินสือเหนียง กำลังจะเอ่ยปากกลับเห็นร่างกายของเจินสือเหนียงเอนมาที่นางทั้งหมด อดตกใจไม่ได้ “ไฉนท่านหมอเจี่ยนจึง…”

“ชู่ว์…” เจินสือเหนียงปิดปากหงเอ๋อร์ “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าประคองข้ากลับไปพักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อน”

เวลาเกือบสองชั่วยาม แค่ยืนเฉยๆ พวกนางยังเหนื่อย แล้วหมอเจี่ยนจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร

หงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองตื่นตกใจเกินไป เหลียวซ้ายแลขวา โชคดีที่ทุกคนต่างล้อมอยู่รอบแท่นสูงของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่มีใครสนใจพวกนาง หงเอ๋อร์จึงเอ่ยเสียงค่อย “ห้องอุ่นทางตะวันออกไม่มีคน บ่าวประคองท่านไปพักผ่อนที่นั่นสักครู่นะเจ้าคะ”

หลังกำชับสาวใช้เสร็จ เซียวอวี้เงยหน้า เห็นเจินสือเหนียงถูกหงเอ๋อร์ประคองออกไปในสภาพเท้าเกือบจะลากพื้น เขายืดตัวตรงพลางครุ่นคิด

 

“ท่านหมอเจี่ยนไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” พอถึงห้องอุ่นทางตะวันออก หงเอ๋อร์ช่วยเจินสือเหนียงถอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดและหันไปรินน้ำ

“ข้าร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เคยต้องยืนนานขนาดนี้” นางดื่มน้ำจากมือของหงเอ๋อร์ไปกว่าครึ่ง รู้สึกลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่ฝืนยิ้มกับหงเอ๋อร์

“ฝ่ายครัวเตรียมโจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่สาลี่ไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวจะไปตักให้ท่านหนึ่งชามนะเจ้าคะ” หงเอ๋อร์ก้มตัวถอดรองเท้าให้เจินสือเหนียง

“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้า “ข้านอนสักพัก ไว้โจ๊กมาแล้วค่อยเรียกข้า” กำลังจะหลับตาลง คิดอะไรได้จึงลืมตาร้องเรียกหงเอ๋อร์ไว้ “บอกนายหญิงรองว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังกินข้าวไม่ได้ อย่าให้ดื่มโจ๊กเด็ดขาด!”

เดิมทีคิดจะพักผ่อนครู่เดียว คิดไม่ถึงว่ากลับนอนไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม

นางค่อยๆ ลืมตา มองความหรูหรางดงามรอบด้าน เห็นการตกแต่งที่สวยประดุจแดนสวรรค์แล้วงุนงง นานทีเดียวถึงตระหนักว่าตนเองอยู่ในจวนราชมนตรี นางดีดตัวลุกขึ้นทันที “สวรรค์ ข้านอนไปนานขนาดนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

หงเอ๋อร์พิงเตียงงีบหลับอยู่ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็ลืมตาอย่างดีใจ “ในที่สุดท่านหมอเจี่ยนก็ฟื้นแล้ว!” เห็นเจินสือเหนียงมองตนอย่างงุนงงจึงอธิบายว่า “ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ทำเอาทุกคนตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ”

“ข้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน?” น้ำเสียงไม่อยากเชื่อเจือความมึนงง คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ตนเองเพิ่งหมดสติไปสองวันสองคืน เจินสือเหนียงรู้สึกหดหู่ เห็นทีร่างกายนี้คงใกล้จะหมดสภาพเต็มที!

“หมอหลวงเวินบอกว่าท่านเป็นโรคหยินพร่องเลือดพร่อง…” คิดถึงคำพูดของหมอหลวงเวินที่บอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน น้ำเสียงของหงเอ๋อร์ก็ชะงัก ลุกพรวดทันใด “ท่านราชมนตรีให้ฝ่ายครัวตุ๋นโจ๊กรังนกไว้ให้ท่าน บ่าวจะไปยกมาให้นะเจ้าคะ”

เจินสือเหนียงคว้าตัวนางไว้ “ช่วยข้าล้างหน้าหวีผมเร็ว ข้าจะไปดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าก่อน”

หลังผ่าตัดยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นช่วงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง แต่นางกลับหลับไปเสียได้! มือที่หยิบเสื้อผ้าสั่นเล็กน้อย เจินสือเหนียงที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดไม่เคยกระวนกระวายถึงเพียงนี้ ทั้งที่รู้ว่าร่างกายตนเองไม่ไหว ทั้งที่รู้ว่าฝืนทำการผ่าตัดครั้งนี้ไม่ได้ แต่ยังดึงดันจะทำ…หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไป ชาตินี้นางคงยากจะสบายใจ!

“ท่านหมอเจี่ยนไม่ต้องร้อนใจ หมอหลวงเวินเพิ่งกลับไป ก่อนหน้านี้หมอหลวงเวินช่วยท่านเฝ้าดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าตลอดเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ปลอบเมื่อเห็นอาการประหม่าของนาง

“หมอหลวงเวินเพิ่งกลับไป?” เจินสือเหนียงเงยหน้าด้วยความยินดี “บาดแผลของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง แก้มบวมหรือไม่ มีไข้หรือเปล่า” หากมีอาการบวมหรือมีไข้แสดงว่าบาดแผลติดเชื้อ ที่นี่ไม่มียาปฏิชีวนะ ติดเชื้อหลังผ่าตัดเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต

“เมื่อคืนบวมนิดหน่อย หมอหลวงเวินทำตามคำสั่งท่านและใช้ยาตามตำรับของท่าน ใช้น้ำแข็งประคบและให้ดื่มยา วันนี้ยุบลงแล้ว หมอหลวงเวินบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” นางคิดอะไรได้จึงพูดต่อ “ตำรับยาที่ใช้ภายนอกของท่านหมอหลวงเวินไม่รู้วิธีใช้ ท่านราชมนตรีจึงไม่ได้ใช้” เจินสือเหนียงไม่รู้ว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย เซียวอวี้นับถือวิชาแพทย์ของนางจากใจจริง

“อ้อ…” เจินสือเหนียงพรูลมหายใจ “เรื่องนั้นไม่รีบร้อน”

นั่นคือตำรับยาหมิงฝานส่าน นำสารส้ม รากกันซุ่ย ไป๋เจี้ยงตัน กำมะถันแดงไปบดและผสมรวมกันด้วยน้ำมันหอม ใช้ทาภายนอก ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีผ้าชุบยาอุดอยู่ในโพรงจมูก ตอนนี้ยังใช้ยานั้นไม่ได้

 

หลังกินข้าวและไปดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแล้ว เจินสือเหนียงถูกเชิญไปที่โถงหน้า

“ขอบคุณแม่นางเจี่ยนมากที่ช่วยชีวิตท่านแม่ข้า” พอเข้าไปเซียวอวี้ก็คารวะนางอย่างเต็มพิธี คำเรียกขานเปลี่ยนเป็นแม่นางเจี่ยน ทำเอาเจินสือเหนียงสะดุ้งเฮือก รีบหลบไปด้านข้าง “ใต้เท้าราชมนตรีเกรงใจแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอก”

“เจ้ารับไหว!” เซียวอวี้มองนางอย่างลึกซึ้ง

เจินสือเหนียงรู้สึกละอาย เพราะตนเองไม่ได้อยากได้ความดีความชอบและการยกย่องที่มากมายเช่นนี้ เพียงแค่ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวต้องตายก็นับว่าโชคดีแล้ว นางหรือจะกล้าเรียกตนเองว่าวีรบุรุษได้

หลังนั่งลง เซียวอวี้พิจารณาเจินสือเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามว่า “ในฐานะหมอ แม่นางเจี่ยนต้องรู้อยู่แล้วว่าโสมเป็นยาที่มีฤทธิ์แรง บำรุงคนแข็งแรง แต่ไม่เป็นประโยชน์กับคนอ่อนแอ แล้วไยจึงต้มดื่มเองเล่า” หลังจากให้หมอหลวงเวินจับชีพจรให้นาง เซียวอวี้สงสัยเรื่องนี้มาตลอด สำหรับคนอื่นโสมอาจเป็นของบำรุงชั้นดี แต่สำหรับนางกลับเป็นยาพิษที่เอาชีวิตได้!

แน่นอนว่าเพื่อคบหาสมาคมกับท่านน่ะสิ! ร่างกายนางอ่อนแอ เดิมทีนางไม่ควรทำการผ่าตัดครั้งนี้ นี่หาใช่การเคี่ยวเออเจียว ทำเสียก็แค่ขาดทุนไม่เท่าไร แต่เป็นการผ่าตัด หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อยย่อมหมายถึงชีวิตคน เมื่อตัดสินใจจะทำแล้ว นางจึงจำต้องเสี่ยงด้วยชีวิต พอคิดว่าตนเองหลับไปอย่างไม่ได้เรื่องในช่วงเวลาสำคัญ เจินสือเหนียงยังนึกกลัวไม่หาย

ใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดตรงๆ ยิ้มตอบว่า “คิดว่าใต้เท้าคงทราบแล้ว ร่างกายข้าทนความเหนื่อยไม่ไหว เดิมทีไม่ควรฝืน แต่ได้รับการขอร้องอย่างจริงใจจากใต้เท้า ข้าไม่กล้าปฏิเสธและกลัวจะทำให้ท่านผิดหวัง จึงได้แต่ใช้โสมบำรุงร่างกายและฝืนอดทน” นางพรั่งพรูลมหายใจด้วยโล่งอก “อมิตาภพุทธ โชคดีที่ไม่เกิดข้อผิดพลาด”

นางถึงกับดื่มยาพิษดับกระหาย! คิดถึงการเข้าใจผิดนางก่อนหน้านี้ เซียวอวี้รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง คนไข้จ่ายเงิน หมอรักษาโรคเป็นเรื่องถูกต้องสมควร แต่หากได้รับการบังคับขู่เข็ญและต้องใช้ชีวิตตนเองไปช่วยผู้อื่น บุญคุณครั้งนี้ย่อมใหญ่หลวง…

“แม่นางเจี่ยนจิตใจกว้างขวางเปี่ยมด้วยคุณธรรม นับเป็นสตรีที่มีความองอาจเยี่ยงบุรุษคนหนึ่ง” เซียวอวี้เงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยอย่างประทับใจว่า “ท่านแม่ชอบท่านมาก หากไม่รังเกียจ แม่นางเจี่ยนอยู่ในจวนราชมนตรีเป็นหมอประจำตัวของท่านแม่เถอะ” เขามองนางอย่างจริงใจ “ได้หรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่ากับใต้เท้าราชมนตรีเป็นคนสุภาพมีคุณธรรม ดีกับบ่าวไพร่อย่างยิ่ง ได้ทำงานอยู่ในจวนราชมนตรีนับเป็นบุญวาสนาที่เรียกร้องไม่ได้ ได้ยินคำพูดของเซียวอวี้แล้ว หงเอ๋อร์มองเจินสือเหนียงด้วยดวงตาเปล่งประกาย นางดีใจกับเจินสือเหนียงจากใจจริง

เหนือความคาดหมาย เจินสือเหนียงกลับส่ายหน้าอย่างสุภาพ “ขอบคุณในความปรารถนาดีของใต้เท้า แต่บ้านข้ามีการงานยิบย่อยมากมาย มิอาจปลีกตัวได้จริงๆ” นางไม่รังเกียจที่ต้องปิดบังชื่อแซ่และเป็นหมอส่วนตัวอยู่ในจวนราชมนตรี ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องดิ้นรนเหมือนมอดที่แค่อ้าปากก็มีกิน แต่เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เล่าจะทำอย่างไร

หงเอ๋อร์ร้อนใจจนแอบกระตุกชายเสื้อเจินสือเหนียง ใต้เท้าราชมนตรีอายุอ่อนเยาว์แต่มีความสามารถไม่ธรรมดา นิสัยจึงหยิ่งทระนง ได้รับการยอมรับนับถือจากเขาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไฉนนางจึงปฏิเสธ

เซียวอวี้ผงะไปเช่นกัน เขารู้สึกเลื่อมใสเจินสือเหนียงจากใจจริง ถึงได้เอ่ยปากรั้งตัวนางไว้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ปากบอกว่าเพื่อให้นางตรวจโรคให้มารดา อันที่จริงเขาอยากใช้กำลังอันน้อยนิดของตนต่อชีวิตให้นางต่างหาก เป็นหมอแต่กลับป่วยหนักเช่นนี้ ไม่ใช่รักษาไม่เป็น แต่เพราะไม่มีเงินจะรักษา นางมีความสามารถอันน่าทึ่งเช่นนี้ แต่ชีวิตกลับสั้นนัก ทำให้เขานึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าความหวังดีจะถูกปฏิเสธ!

ครั้นได้สติ เซียวอวี้ยิ้มน้อยๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ฝืนใจ ภายหน้าหากแม่นางเจี่ยนมีอะไรสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลังแน่นอน”

นางรอประโยคนี้ของเขานี่แหละ! เจินสือเหนียงลังเลครู่หนึ่ง “ข้ามีเรื่องอยากขอร้องให้ใต้เท้าช่วยจริงๆ นั่นแหละ” ระหว่างพูดเจินสือเหนียงใบหน้าร้อนผ่าว โบราณว่าทำคุณไม่ควรหวังผลตอบแทน นางเพิ่งจะทำคุณไปก็เรียกร้องให้ผู้อื่นตอบแทนทันที เซียวอวี้ต้องคิดว่านางเป็นคนต่ำช้าน่ารังเกียจแน่นอน ทว่านางไม่มีเวลาจะรอต่อไปอีก หลายเดือนแล้วค่อยเอ่ยปากกับเขา

“แม่นางเจี่ยนมีเรื่องอะไรโปรดพูดมาได้เลย” เซียวอวี้ไม่คิดมาก เขาชอบที่เจินสือเหนียงขอร้องเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้

“เอ่อ…” เจินสือเหนียงเลื่อนสายตาไปที่กล่องยาในมือหงเอ๋อร์ “ข้าใช้เวลายามว่างปรุงยาลูกกลอนขึ้นมา ใต้เท้าจะช่วยแนะนำยาของข้าเข้าไปในสำนักแพทย์หลวงได้หรือไม่” หากยาลูกกลอนของนางเปิดตัวในสำนักแพทย์หลวงได้ นางย่อมสามารถเปิดโรงผลิตยาเป็นของตนเอง

“สำนักแพทย์หลวง?” เซียวอวี้หัวเราะอย่างสบายใจ “ต่อให้แม่นางเจี่ยนไม่พูดถึง ข้าก็จะพูดอยู่แล้ว หมอหลวงเวินเอ่ยชมวิชาแพทย์ของท่านไม่ขาดปาก อยากรู้จักท่านจากใจจริง พรุ่งนี้ข้าจะเชิญเขามาที่นี่ แม่นางเจี่ยนคุยกับเขาโดยตรงได้เลย เขาเต็มใจอย่างยิ่ง” กล่าวจบกลับเห็นเจินสือเหนียงส่ายหน้า เขาอดประหลาดใจไม่ได้ “ไฉนแม่นางเจี่ยนจึงไม่อยากพบเขา”

“เอ่อ…” เจินสือเหนียงตอบอย่างคลุมเครือ “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงสตรี แอบเป็นหมอนับว่าขัดต่อขนบธรรมเนียมแล้ว ยังจะคบหาสมาคมกับหมอหลวงอีกได้อย่างไร”

หากรู้สึกว่าขัดต่อขนบธรรมเนียม นางก็ไม่ควรเป็นหมอตั้งแต่แรก! เหตุผลนี้ขาดน้ำหนักเกินไปหรือไม่

เซียวอวี้เหลือบมองนางอย่างครุ่นคิด “เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางเจี่ยนเขียนราคา ชื่อ และสรรพคุณของยาลงในกระดาษเถิด พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปยังสำนักแพทย์หลวง”

“ขอบคุณใต้เท้า” เจินสือเหนียงคารวะเขาอย่างเป็นทางการด้วยท่าทีจริงจัง “แต่ใต้เท้าโปรดอย่าเปิดเผยว่าโอสถพวกนี้เป็นของข้า” นางขอร้องเขา “ใต้เท้าโปรดวางใจ โอสถเหล่านี้ล้วนเป็นของชั้นดี หากไม่เชื่อสามารถให้หมอหลวงทั้งหลายลองใช้ก่อน ถ้าไม่ได้ผล ข้าไม่ขอรับเงินสักแดง”

“ยาลูกกลอนฝีมือท่าน ข้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่ เพียงแต่…” เซียวอวี้แย้งขึ้น “แม่นางเจี่ยนมีฝีมือในการรักษาโรคล้ำเลิศ ชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว ไฉนยาลูกกลอนนี้จึงไม่ทำเหมือนเออเจียวสกุลเจี่ยน ใช้ชื่อเสียงที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์” เขาส่ายหน้า “หากไม่ใช้ชื่อตระกูลเจี่ยน แม่นางเจี่ยนคิดจะส่งยาลูกกลอนเข้าไปในสำนักแพทย์หลวงคงลำบากไม่น้อย”

ไม่ลำบากย่อมไม่มาขอร้องท่าน! เจินสือเหนียงหัวเราะในใจ แต่ใบหน้ากลับฉายความลำบากใจ “ใต้เท้าราชมนตรีกล่าวถูกต้อง แต่ร่างกายข้าไม่อาจเหน็ดเหนื่อยต่อไปได้อีกแล้ว หากผู้อื่นรู้ว่าข้าปรุงยาได้ เกรงว่า…” นางส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อ

นางไม่ระวังทำให้ชื่อเสียงของหมอเจี่ยนโด่งดังเกินไป โอกาสที่เสิ่นจงชิ่งจะรู้ความจริงมีมากเหลือเกิน วิธีปิดบังหลบซ่อนมีมากมาย นางต้องรีบสร้างตัวแทนใหม่โดยเร็วที่สุด ปิดบังฐานะของหมอเจี่ยนอย่างแนบเนียนในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ให้เสิ่นจงชิ่งจับพิรุธนางได้

ส่วนเซียวอวี้กลับคิดในใจว่านางชื่อเสียงโด่งดังแต่ฐานะกลับต้อยต่ำ ยังไม่อาจปฏิเสธผู้มีอำนาจอย่างเขาได้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป นางคงต้องเหน็ดเหนื่อยจนตายแน่ จึงมิสู้ปิดบังชื่อแซ่อยู่อย่างสันโดษ เขาไม่รู้ว่าเจินสือเหนียงกำลังเตรียมพร้อมล่วงหน้า พอนึกได้ว่าตนเองถูกนางปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับยังให้พ่อบ้านกู้นำรถม้าไปรับตัวนางมา เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย น้ำเสียงเจือแววกังวล “หากไม่มีชื่อเสียงอันโด่งดังสนับสนุน เกรงว่ายาลูกกลอนของแม่นางเจี่ยนคงยากจะเป็นที่รู้จักในช่วงเวลาสั้นๆ”

“สุราดีไม่กลัวตรอกลึก!” เจินสือเหนียงยิ้มอย่างมั่นใจ “ขอเพียงสำนักแพทย์หลวงยอมแนะนำยาของข้าก็พอแล้ว” ขอเพียงยาของนางได้ถูกนำไปใช้ในสำนักแพทย์หลวง จะต้องประสบความสำเร็จแน่!

ยามจับจ้องใบหน้าที่เปิดเผยมั่นใจประดุจดอกท้อเดือนสามของนาง ดวงตาของเซียวอวี้เปล่งประกายระยับ “ได้!” เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น

บทที่ 8

 นายหญิงรองมองสาวใช้รุ่นใหญ่จินสี่อย่างตกตะลึง “นางรักษาฮูหยินผู้เฒ่าจนหายจริงๆ หรือ” ทั้งที่มีความมั่นใจอยู่เพียงห้าส่วน ไฉนจึงรักษาจนหายได้ล่ะ นางเพิ่งรับช่วงดูแลธุระภายในจวนสามเดือนเท่านั้น ยังไม่ทันจะคุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ เลย

“ท่านหมอเจี่ยนเพิ่งจะดึงผ้าในโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่าออกมา บอกว่าพักฟื้นอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” จินสี่ผงกศีรษะ

“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บ่นว่าปวดศีรษะอีกหรือ” นายหญิงรองยังคงไม่ถอดใจ

“บอกแต่ว่าเจ็บแผลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” จินสี่ส่ายหน้า “เพิ่งดื่มโจ๊กรังนกไปหนึ่งชาม ดูสดชื่นแจ่มใสกว่าเมื่อก่อนมาก”

นายหญิงรองกวาดถ้วยชาลงบนพื้นทันที “นังแพศยา! กล้าหลอกลวงข้า!” หากไม่เพราะอีกฝ่ายบอกว่ามีความมั่นใจเพียงห้าส่วน ไยตนต้องช่วยนางโน้มน้าวราชมนตรีกับนายท่านรองทุกวิถีทาง เดิมทีคิดจะยิงธนูนัดเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ยืมมือนางสังหารฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้เซียวอวี้ต้องติดอยู่กับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้

“บ่าวเห็นนางไม่เหมือนพูดโกหกนะเจ้าคะ” จินสี่มองนายหญิงรองอย่างอกสั่นขวัญแขวน มีความมั่นใจห้าส่วนก็เท่ากับมีโอกาสที่จะรักษาหายครึ่งหนึ่ง จะเรียกว่าหลอกลวงได้อย่างไร หาไม่ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของท่านราชมนตรีจะยอมให้นางลงมือหรือ

“เจ้ายังจะพูดแทนนาง!” ดวงตาของนายหญิงรองสาดประกายเยียบเย็น

จินสี่รีบคุกเข่าลงทันที “บ่าวสมควรตาย!”

ระหว่างพูดมู่สี่ผลักประตูเข้ามา “ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพมาเจ้าค่ะ”

“ไม่พบ!” นายหญิงรองกำลังโมโห เอ่ยคำพูดไปแล้วรู้สึกไม่ถูกต้องจึงเสริมว่า “ช้าก่อน พานางไปพบเจิ้งหมัวมัว” เจิ้งหมัวมัวเป็นผู้ดูแลสูงวัยที่มีหน้าที่ต้อนรับแขกผู้หญิงในจวนราชมนตรีโดยเฉพาะ

เป็นแค่อนุ ไม่หัดดูฐานะตนเองเสียบ้าง ยังคิดจะสมาคมกับนางที่เป็นนายหญิงของจวนราชมนตรี!

เจิ้งหมัวมัวได้รับคำสั่งก็รีบรุดมาหา “นายหญิงรองทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพผู้นี้แม้มีฐานะเป็นอนุก็จริง แต่จัดการธุระในจวนแม่ทัพมาห้าปีแล้ว เป็นที่รักใคร่ของแม่ทัพเสิ่นอย่างยิ่ง แต่ก่อนตอนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้จัดการธุระในจวน ล้วนให้นายหญิงใหญ่เป็นคนต้อนรับนาง นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ”

นายหญิงรองนิ่วหน้า เรื่องนี้ใช่ว่านางไม่รู้ แต่นางมักรู้สึกว่าให้ตนซึ่งเป็นนายหญิงไปต้อนรับอนุของจวนแม่ทัพในห้องโถงหลัก เรื่องแพร่ออกไปมักถูกสงสัยว่าต้องการประจบเอาใจจวนแม่ทัพ นางได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานฉู่ซินอี๋ไปเยือนจวนอัครเสนาบดี คนที่ออกหน้าต้อนรับเป็นเพียงผู้ดูแลหญิงของจวนเท่านั้น ในแวดวงของสตรีชั้นสูง เรื่องพวกนี้แพร่ออกไปไวที่สุด

“อัครเสนาบดีเฉาเป็นขุนนางที่รับใช้องค์จักรพรรดิมาถึงสามสมัย ทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขา พวกเราเทียบไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เจิ้งหมัวมัวลดเสียงเบา “บ่าวได้ยินคนของจวนแม่ทัพบอกว่า เพื่อยกฉู่อี๋เหนียงคนนี้ขึ้นเป็นภรรยาเอก แม่ทัพเสิ่นกำลังตกลงหย่า นายหญิงรองเข้าจวนมาภายหลัง ไม่ทราบว่าในอดีตจวนแม่ทัพแต่งฉู่อี๋เหนียงผู้นี้เข้ามาด้วยหกพิธี มีความตั้งใจจะยกเป็นภรรยาเอกแต่แรกอยู่แล้ว” นางเห็นนายหญิงรองยังลังเล จึงโน้มน้าวต่อ “หากจะพูดให้ละเอียด นายหญิงใหญ่ของเราเคยเป็นสหายสนิทกับเจินซื่อผู้นั้นด้วยซ้ำ ตามหลักแล้วไม่ต้องให้หน้าฉู่อี๋เหนียงผู้นี้เลย แต่ที่ผ่านมาจวนของเราก็ยังไว้หน้านางอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”

บ้านเดิมของนายหญิงรองอยู่ในเมืองซินอัน เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน นางไม่รู้เรื่องใหญ่ที่เคยดังครึกโครมไปทั่วเมืองซั่งจิงเรื่องนี้ ฟังแล้วหัวเราะเสียงเย็น “ข้ากลับได้ยินมาว่าแม่ทัพเสิ่นตกลงหย่าขาดเพื่อแต่งคุณหนูสิบแห่งจวนอันชิ่งโหว” หากเป็นเช่นนี้จริง การต้อนรับฉู่ซินอี๋เหมือนเป็นแขกสำคัญย่อมเป็นการล่วงเกินจวนอันชิ่งโหว

อันชิ่งโหวเป็นพระสัสสุระที่มีอำนาจมหาศาล แค่กระทืบเท้าหน่อยเดียวก็สะเทือนไปทั่วทั้งเมืองซั่งจิง เป็นท่านโหวที่แม้แต่ฮ่องเต้เองยังต้องไว้หน้า

ข้างนอกมีข่าวลือเช่นนี้จริง ฉู่ซินอี๋เป็นที่รักใคร่เพียงใดก็มิอาจสู้อำนาจของตระกูลฝ่ายฮองเฮาที่คิดจะสนับสนุนเสิ่นจงชิ่งได้ อีกฝ่ายยอมยกบุตรสาวให้แต่งเป็นเอกภรรยาคนใหม่ของเขาก็นับว่าลดเกียรติมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธโอกาสนี้ เจิ้งหมัวมัวฟังแล้วก็เกิดความลังเล

“แต่ท่านราชมนตรีกับแม่ทัพเสิ่นเป็นสหายรักกัน หากไม่ต้อนรับเกรงว่าจะชี้แจงกับท่านราชมนตรีไม่ได้นะเจ้าคะ” จินสี่เอ่ยเตือน

นายหญิงรองนิ่วหน้าอย่างจริงจัง นานทีเดียวจึงเงยหน้าสั่งเจิ้งหมัวมัวว่า “เจ้าพาคุณหนูใหญ่ไปต้อนรับนางที่ห้องโถงหลัก บอกว่าข้าไม่อยู่”

คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวคนโตของเซียวหย่งที่เกิดจากอนุ ให้นางออกหน้า ทั้งไม่เสียหน้าและไม่ลดฐานะของจวนราชมนตรี นี่เป็นความคิดที่ดี!

เจิ้งหมัวมัวยิ้มพยักหน้า “นายหญิงรองความคิดล้ำเลิศ บ่าวจะไปเชิญคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

 

พอเอาผ้าโปร่งห้ามเลือดออกจากโพรงจมูกของฮูหยินผู้เฒ่า เจินสือเหนียงก็อยากกลับบ้าน แต่เซียวอวี้ยืนกรานให้นางรอจนกว่าบาดแผลจะสมานตัวค่อยไป อีกฝ่ายเป็นถึงราชมนตรีที่มีอำนาจล้นเหลือ ต่อให้คิดถึงลูกชายเพียงใด นางก็ไม่อาจหนีจากไปดื้อๆ จำต้องอยู่ต่อ

เจินสือเหนียงไปเปลี่ยนยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวแต่เช้า หลังจากนั้นมีเวลาว่างจึงหา ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ จากในห้องหนังสือของเซียวอวี้มาเปิดดู

มาที่นี่ห้าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขตแดนของต้าโจว ต้าโจวตั้งอยู่แถบเจียงหนาน ทิศตะวันออกติดทะเล ทิศเหนือมีแคว้นเยียนและฉี ทิศใต้มีแคว้นอี๋และเยวี่ย

มิน่าฮ่องเต้ถึงให้ความสำคัญกับเสิ่นจงชิ่งถึงเพียงนี้ ถึงกับมาต้อนรับเขาที่ประตูอู่เหมินด้วยองค์เองตอนเขาได้รับชัยชนะกลับมา ที่แท้เขาเป็นวีรบุรุษที่ทำศึกขยายดินแดนให้ต้าโจว ในเวลาห้าปีไม่เพียงปราบปรามวอโค่วทางทิศตะวันออก ยังรวมเอาแคว้นหนานอี๋และหนานเยวี่ยที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอยู่ในแผนที่ด้วย ยังผลให้ดินแดนทางตอนใต้ทั้งสองต้องยอมจำนนให้ต้าโจว ข้าอยู่ในยุคที่แคว้นต่างๆ ล้วนมีอำนาจแข็งแกร่งหรอกหรือนี่!

ห้าปีมานี้นางคิดมาตลอดว่ามิตินี้เป็นยุครุ่งเรืองเหมือนสมัยราชวงศ์ถังและคังซี

เจินสือเหนียงวางหนังสือและเดินไปที่หน้าต่าง ใช้นิ้วมือปาดน้ำค้างแข็งสีขาวบนหน้าต่างออกไปทีละวง เผยให้เห็นแผ่นกระจกใสกระจ่าง

เสิ่นจงชิ่งเพิ่งปราบปรามแคว้นหนานเยวี่ย ทหารกำลังฮึกเหิม ต้าโจวเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามไม่น่าล่วงเกิน แต่ข้างนอกกลับลือกันทั่วว่าองค์หญิงหกจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายสองแห่งแคว้นฉีเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เป็นความจริงหรือ เพราะอะไรเล่า คิดถึงตรงนี้เจินสือเหนียงพลันสะดุ้ง

“วังหลวงพระราชทานมาให้ ท่านหมอเจี่ยนลองชิมดูสิเจ้าคะ” ความคิดในหัวกำลังสับสนยุ่งเหยิง หงเอ๋อร์ก็ยกจานขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้งเข้ามาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

โดยปกติของพระราชทานจากวังหลวงแม้แต่คุณหนูหรือคุณชายที่เกิดจากอนุยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมอบให้ท่านหมอเจี่ยน เห็นได้ว่าเจ้านายที่นางปรนนิบัติอยู่นี้สูงศักดิ์เพียงใด พอคิดว่าสองสามวันมานี้สาวใช้จากเรือนอื่นๆ ต่างแย่งกันมอบของขวัญให้ตน แววตาที่หงเอ๋อร์มองเจินสือเหนียงก็เปี่ยมด้วยความเคารพเลื่อมใส

“อืม อร่อย” นางล้างมือและหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปาก นุ่มฟูหอมหวาน นิ่มแต่ไม่เหนียว เจินสือเหนียงหรี่ตา “ของในวังไม่เหมือนของชาวบ้านทั่วไปจริงๆ ด้วย เจ้าลองชิมดูสิ”

“บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์พยายามกลืนน้ำลาย ดวงตากระจ่างวาววับจ้องขนมในจานเขม็ง

เจินสือเหนียงสงสัยว่าหากนางยังจ้องแบบนี้ต่อไป ลูกตาของนางจะหล่นลงไปในขนมหรือไม่ จึงเลื่อนจานขนมไปตรงหน้านาง กำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก สาวใช้ก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน “ฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพมาขอให้ท่านหมอเจี่ยนตรวจโรคให้เจ้าค่ะ”

ฉู่ซินอี๋มาที่นี่หรือ!

ปากที่กำลังเคี้ยวขนมหยุดชะงัก ถนนมักคับแคบเมื่อพบศัตรูจริงๆ

 

“คารวะคุณหนูใหญ่ คารวะฉู่อี๋เหนียงเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์เพิ่งเดินมาถึงประตู เจิ้งหมัวมัวกับคุณหนูใหญ่ก็พาฉู่ซินอี๋เข้ามาในเรือนแล้ว หงเอ๋อร์รีบย่อกายคารวะทุกคน “ท่านหมอเจี่ยนไม่อยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ”

“ไม่อยู่?” เจิ้งหมัวมัวยิ้มเชิญฉู่ซินอี๋เข้าไปในเรือน “ถูกเรือนไหนเชิญตัวไปตรวจโรคอีกแล้วล่ะ” พวกนางเพิ่งไปสืบดูที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ซีชุนบอกว่าหมอเจี่ยนกลับไปแล้ว

หงเอ๋อร์ก้มหน้าอย่างร้อนตัว “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”

เจิ้งหมัวมัวหัวใจสะดุด หันไปมองฉู่ซินอี๋ “บังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านดูสิ บ่าวจะ…”

“แป้งนึ่งผลไม้แห้ง!” ยังพูดไม่จบก็ได้ยินคุณหนูใหญ่ร้องออกมากะทันหัน “นี่เป็นของที่วังหลวงพระราชทานให้ท่านย่านี่” น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ของพระราชทานจากวังหลวงเจ้านายตัวจริงอย่างพวกนางยังไม่ได้รับแบ่ง แต่ท่านย่ากลับยกให้หมอชั้นต่ำคนหนึ่ง นางวิเศษวิโสมาจากไหนกัน

สายตาหยุดมองที่จานแก้วใสแวววาว ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสีทันใด เจิ้งหมัวมัวมองตามสายตาของฉู่ซินอี๋ไปยังขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้งที่ถูกกัดไปหนึ่งคำ ใบหน้าพลันถอดสี ครู่หนึ่งจึงได้สติตวาดหงเอ๋อร์ “ไม่รู้ไยไม่ไปตามหา! ไม่เห็นหรือไรว่ามีแขกสำคัญ” คิดถึงนิสัยแปลกประหลาดของเจินสือเหนียงแล้ว เสียงของเจิ้งหมัวมัวจึงอ่อนลง “บอกท่านหมอเจี่ยนว่าฉู่อี๋เหนียงเป็นคนที่แม่ทัพเสิ่นประคับประคองอยู่ในอุ้งมือ หากรักษาโรคนางจนหายได้ แค่วาจาเพียงคำเดียวก็อาจทำให้นางได้ค้าขายกับกองทัพ มีเงินพอให้นางใช้ไปได้ชั่วชีวิต”

นี่หาใช่คำพูดเกินจริง นางเคยได้ยินนายท่านรองเซียวหย่งบอกว่า ยาสูตรลับของหมอเจี่ยนที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาเป็นของที่ประเมินค่ามิได้ แม่ทัพเสิ่นเคยตั้งรางวัลไว้สูงก็ยังหาซื้อไม่ได้

“บ่าวจะไปตามหาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์รับคำและหมุนตัวจากไป

“ไม่ต้องแล้วล่ะ” ฉู่ซินอี๋คืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นดังเดิม “ข้าแค่ได้ยินว่าวิชาแพทย์ของนางล้ำเลิศ อยากจะพบสักหน่อยเท่านั้นเอง”

“แล้วอาการป่วยของท่าน…” เจิ้งหมัวมัวลังเลเล็กน้อย

“แค่โรคเล็กน้อยน่ะ หมอที่ไหนก็รักษาได้!” น้ำเสียงของฉู่ซินอี๋เจือความหยิ่งยโสและให้ชุนหงประคองเดินออกไป “เราไปกันเถอะ” ถึงอย่างไรการไม่ตั้งครรภ์ก็เป็นโรคที่บอกใครไม่ได้ ฉู่ซินอี๋บอกเจิ้งหมัวมัวเพียงว่าตนเองมักปวดศีรษะบ่อยๆ เท่านั้น

“ฉู่อี๋เหนียงเดินระวังด้วย” คุณหนูใหญ่พูดจบก็นั่งลงข้างขนมแป้งนึ่งผลไม้แห้ง ท่านแม่บอกเสมอว่าอี๋เหนียงมีฐานะสูงกว่าบ่าวหน่อยหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ่าว ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องให้เกียรติตามไปส่ง

เห็นคุณหนูใหญ่ไม่มาส่งพวกนาง แถมยังทำท่ายโสโอหัง แม้แต่ชุนหงเองยังหน้าเปลี่ยนสี เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

เจิ้งหมัวมัวเดินตามอย่างเก้อๆ ใจคิดว่าคุณหนูใหญ่ถูกนายหญิงรองอบรมจนเสียนิสัยแล้ว ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ มิสู้อย่าเชิญนางมาจะดีกว่า หากฉู่อี๋เหนียงผู้นี้นำความไปฟ้องเสิ่นจงชิ่ง จวนแม่ทัพย่อมเกิดความขัดแย้งกับจวนราชมนตรีไม่น้อย

เห็นฉู่ซินอี๋หน้าบึ้งไม่พูดจา เจิ้งหมัวมัวยิ่งคิดยิ่งตระหนก กลอกตาไปมาและรีบก้าวตามไป “ได้ยินว่าท่านแม่ทัพเสิ่นจะแต่งคุณหนูสิบของอันชิ่งโหว เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ”

ฉู่ซินอี๋ชะงักทันที “เจิ้งหมัวมัวได้ยินมาจากที่ไหนกัน” นางหันไปมองเจิ้งหมัวมัวตรงๆ

“ข้างนอกล้วนลือกันเช่นนี้ ว่ากันว่าจะหมั้นหมายต้นปีหน้า…” ใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของเจิ้งหมัวมัวแฝงแววประจบเอาใจ “ฉู่อี๋เหนียงเป็นผู้จัดการธุระในจวนแม่ทัพ ไม่รู้หรือเจ้าคะ”

มิน่าหมู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขยันไปมาหาสู่จวนอันชิ่งโหว มิน่าคนพวกนี้ถึงไม่กระตือรือร้นกับนางเหมือนแต่ก่อน คิดถึงเรื่องที่ตนเองถูกกีดกันออกจากแวดวงของสตรีชั้นสูงในช่วงที่ผ่านมาแล้ว มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของฉู่ซินอี๋กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

นี่ไม่ใช่แค่ข่าวลือไม่มีมูลแน่! จะต้องเป็นเพราะยายแก่นั่นไปตกลงอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนอันชิ่งโหว รอให้เสิ่นจงชิ่งตกลงหย่าขาดเรียบร้อยเมื่อไรค่อยจัดการหมั้นหมายสู่ขอ น่าขันที่นางฉู่ซินอี๋กลับไม่รู้เรื่องอะไร คอยเร่งเร้าเสิ่นจงชิ่งให้รีบตกลงหย่า ฝันว่าจะได้นั่งตำแหน่งประมุขหญิงของบ้าน คิดไม่ถึงว่านางกำลังตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ยายแก่ที่ไม่ยอมตายสักทีคนนี้ กล้าทำลายชื่อเสียงนางลับหลัง!

โทสะขุมหนึ่งพุ่งขึ้นมา ฉู่ซินอี๋ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดถึงจะไม่เต้นผางร้องด่าออกมาได้ “ท่านแม่ทัพมีภรรยาเอกอยู่แล้ว พักรักษาตัวอยู่ในชนบท” น้ำเสียงเยียบเย็นแข็งกร้าวเล็กน้อย “เจิ้งหมัวมัวอย่าได้พูดเหลวไหล”

“ที่แท้เป็นแค่ข่าวลือหรอกหรือ บ่าวว่าแล้วเชียว” เจิ้งหมัวมัวปรบมือ แสดงทีท่าว่าเข้าใจทันที “นายหญิงรองของพวกเรายังบ่นอยู่ว่าไหนว่าเป็นเพื่อนรักกัน ท่านแม่ทัพกลับปิดปากแน่นสนิท เรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านราชมนตรียังไม่รู้แม้แต่น้อย” เห็นฉู่ซินอี๋หน้าตาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก นางจึงพูดประจบต่อว่า “ท่านอย่าโกรธที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปไวเลย ต้องโทษที่ท่านแม่ทัพเสิ่นโดดเด่นเกินไป ไม่ว่าแม่นางคนไหนเห็นแล้วล้วนมิอาจละสายตา”

คำพูดติดตลกทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศตึงเครียดคลี่คลายทันใด

หลังยืนส่งรถม้าของจวนแม่ทัพจนห่างออกไปแล้ว เจิ้งหมัวมัวก้มหน้ามองเศษเงินที่ชุนหงยัดให้และพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาว นางไม่สนหรอกว่าจวนแม่ทัพจะวุ่นวายโกลาหลเพียงใด ที่สำคัญคือจวนราชมนตรีจะล่วงเกินจวนแม่ทัพไม่ได้เด็ดขาด

 

พอรถม้าออกจากจวนราชมนตรี ใบหน้าฉู่ซินอี๋พลันบึ้งตึง นางเขวี้ยงเตาพก \ลงบนพื้นรถ “ยายแก่หนังเหนียว!” ก้อนถ่านสีแดงกระเด็นหล่นไปบนผ้าปักลายสีเขียวใบหญ้าและติดไฟพรึบ ส่งเสียงฉี่ฉ่าเหมือนงูพิษ

“หยุดรถ!”

“อี๋เหนียงระวังถูกลวกเจ้าค่ะ!”

ชุนหง ชุนหลันหวีดร้องอย่างตกใจพร้อมกัน โชคดีที่ดับไฟได้ ชุนหงมองใบหน้าถมึงทึงของผู้เป็นนายอย่างอกสั่นขวัญแขวน “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ได้ยินว่าดอกเหมยที่อุทยานหนานย่วนบานแล้ว อี๋เหนียงจะถือโอกาสไปชมหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”

นางกำลังโกรธจัด ชุนหงเกรงว่ากลับจวนไปตอนนี้ อี๋เหนียงของนางจะไปหาเรื่องทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งออกไปทำศึกข้างนอกจึงไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่จวน

“กลับจวน!” ฉู่ซินอี๋เอ่ยเสียงเย็น นางอยากจะรีบก้าวเข้าไปในจวนและฉีกเนื้อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นชิ้นๆ

“ท่านแม่ทัพเกลียดนายหญิงใหญ่ก็เพราะนางชอบเถียงฮูหยินผู้เฒ่า ต่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าว่าเป็นหญิงบ้านนอก” ครั้นเห็นประตูจวนแม่ทัพอยู่ข้างหน้า ชุนหงจึงโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง

ฉู่ซินอี๋ตระหนักได้และสั่นสะท้านทันที คิดในใจว่า นั่นสิ เรื่องทั้งหมดเป็นการตกลงอย่างลับๆ เท่านั้น ข้ากลับไปคาดคั้นนางอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นนี้จะต้องถูกตอกหน้ากลับมาแน่ นอกจากไม่ได้ประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังจะทำให้ท่านแม่ทัพรังเกียจ แม้จะกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ ต่อให้อาละวาดอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่กล้าทำอะไรนาง แต่หากเสิ่นจงชิ่งรู้ว่านางล่วงเกินฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าคงไม่ต้องหวังให้เขายกนางเป็นภรรยาเอกอีก

เห็นนางลังเล ชุนหงจึงรีบชะโงกหน้าออกไปบอกให้คนขับหยุดรถ

“ไปจวนสกุลฉู่” ฉู่ซินอี๋ถอนหายใจแรงๆ

ปกติหากไม่ได้รับอนุญาตจากประมุขหญิงของบ้าน ฉู่ซินอี๋ไม่สามารถกลับบ้านเดิมตามอำเภอใจได้ แต่ประมุขหญิงของจวนแม่ทัพถูกทอดทิ้งไปนานแล้ว เสิ่นจงชิ่งเองก็ตามใจฉู่ซินอี๋มาตลอด คนขับรถฟังแล้วจึงลังเลเพียงครู่เดียวก่อนจะสะบัดแส้หันรถม้ากลับ

 

“อี๋เอ๋อร์มาได้อย่างไร” ฉู่เซิงตกใจที่เห็นบุตรสาวกลับบ้านกะทันหัน จึงเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเสิ่นเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เป็นเพราะความคิดบิดาทั้งนั้นแหละ!” ฉู่ซินอี๋น้ำตาพรั่งพรู “ตอนแรกหากแต่งกับคุณชายไต้ แม้จะยากจนหน่อย แต่ก็ได้เป็นนายหญิงที่มีเกียรติของบ้าน ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ที่ต้องเป็นน้อย ถูกทุกคนหยามเหยียดยังไม่พอ แม้แต่หมอชาวบ้านชั้นต่ำยังรังแกลูก!”

คุณชายไต้มีนามว่าไต้ซั่ว เคยเป็นคู่หมายของฉู่ซินอี๋ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สกุลไต้เป็นพ่อค้ามาทุกสมัย แม้ไม่มีอำนาจในราชสำนัก แต่นับเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในอำเภอหย่งอัน หากแต่งให้เขาเรื่องอื่นไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ร่ำรวยไปตลอดทั้งชาติ แต่เจ็ดปีที่แล้วฉู่เซิงได้ยินว่าฮ่องเต้ที่ยังเป็นองค์รัชทายาทโปรดปรานเสิ่นจงชิ่งที่เข้าสอบขุนนางฝ่ายบู๊จนได้เป็นจวี่เหริน* ด้วยมั่นใจว่าเขาต้องมีอนาคตไกลแน่ จึงให้บุตรสาวเข้าไปสานสัมพันธ์กับเขาแบบไม่ตั้งใจ จนภายหลังเสิ่นจงชิ่งให้สัญญาว่าจะแต่งฉู่ซินอี๋เป็นภรรยา ฉู่เซิงจึงเป็นฝ่ายออกหน้าปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลไต้

สกุลไต้ไม่ได้อยู่ในเมืองซั่งจิง ตอนนั้นเสิ่นจงชิ่งยังไม่ได้เป็นจ้วงหยวน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง เรื่องปฏิเสธการแต่งงานฉู่เซิงก็ทำอย่างลับๆ คนที่รู้เรื่องจึงน้อยมาก คิดไม่ถึงว่าพอเสิ่นจงชิ่งมีชื่อเสียงจะถูกวางแผนให้ต้องแต่งกับเจินสือเหนียง สองปีให้หลังฉู่ซินอี๋จึงแต่งเข้าจวนจ้วงหยวนในฐานะอนุ ดังนั้นจวบจนบัดนี้แม้แต่ไต้ซั่วเองยังไม่รู้ว่าตอนแรกที่ฉู่ซินอี๋ปฏิเสธตนเพราะต้องการโผไปเกาะผู้มีอำนาจอย่างเสิ่นจงชิ่ง

ผ่านไปไม่กี่ปี เสิ่นจงชิ่งก็เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นหกเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียง ฉู่เซิงรู้สึกภาคภูมิใจในสายตาอันแหลมคมของตนเองมาตลอด ได้ยินบุตรสาวตัดพ้อเช่นนี้จึงตกใจ “ใครกล้ารังแกลูกสาวข้า ข้าจะไปมัดตัวมันมาโขกศีรษะขอขมาเจ้า” เขาหันไปเรียกพ่อบ้านทันที “ไหลฝู!”

“นายท่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ คุณหนูแค่กำลังโมโห จึงบ่นออกมาเท่านั้น” ชุนหง ชุนหลันรีบคุกเข่าลง ตอนนี้ท่านหมอเจี่ยนเป็นแขกคนสำคัญของจวนราชมนตรี หาใช่คนที่ผู้รวมฎีกาขั้นห้าจะล่วงเกินได้

ฉู่เซิงแค่ทำท่าโมโหเอาใจบุตรสาวเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปจับคนจริง เห็นสาวใช้คุกเข่าก็นิ่วหน้า แกล้งถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ชุนหงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนราชมนตรีให้ฟัง “ของพระราชทานจากวังหลวง สาวใช้ใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าแอบกิน หมอเจี่ยนต้องกำลังกินอยู่แน่ พอได้ยินว่าอี๋เหนียงของเรามาก็รีบหลบหน้า” คิดถึงท่าทียโสโอหังของคุณหนูใหญ่จวนราชมนตรีแล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่นางอาจถูกใครยุยง จึงจงใจฉีกหน้าอี๋เหนียงต่อหน้าทุกคน”

“ราชมนตรีเซียวเป็นคนเปิดเผย ไม่มีทางปล่อยให้ครอบครัวกระทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้” ด้วยไม่อยากให้ฉู่ซินอี๋ผูกใจเจ็บกับจวนราชมนตรี ฉู่เซิงฟังแล้วจึงพูดกลบเกลื่อน “ได้ยินคนในสำนักแพทย์หลวงบอกว่าหมอเจี่ยนผู้นี้หยิ่งยโสมาก กระทั่งหมอหลวงไปพบยังไม่ยอมพบหน้า เอาอย่างการว่าราชการหลังม่าน แค่ม่านผืนเดียวจะไปปิดอะไรได้ ให้ตายเถอะ หากนางมีความละอายแก่ใจ รู้หลักชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันก็ไม่ควรออกมาเป็นหมอรักษาโรคเช่นนี้!”

“บิดา!” ฉู่ซินอี๋ร้องเรียก

เห็นบุตรสาวโกรธจนหน้าแดง ฉู่เซิงจึงตระหนักว่าตนเองหยาบคายมากไปหน่อย อดรู้สึกเก้อไม่ได้ น้ำเสียงจึงนุ่มนวลขึ้น “แต่บังเอิญว่านางรักษาฮูหยินผู้เฒ่าเซียวได้ กำลังเป็นที่ชื่นชมของทุกคน ช่วงนี้อี๋เอ๋อร์อย่าเพิ่งไปหาเรื่องนางเลย” เขายิ้มน้อยๆ “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ รอให้นางกลับบ้านนอกเมื่อไร บิดาย่อมมีวิธีทำให้หมอหลวงจัดการนาง ช่วยเจ้าระบายความแค้นครั้งนี้แน่นอน!”

“แค่หมอชาวบ้านชั้นต่ำคนหนึ่ง ไม่คู่ควรให้ลูกโมโหหรอกเจ้าค่ะ” ฉู่ซินอี๋เบะปากอย่างยโส “ลูกเสียใจที่ชั่วชีวิตนี้ต้องเป็นน้อยไปตลอดต่างหาก” น้ำตาที่เพิ่งแห้งไปรินไหลอีกครั้ง “ตอนแรกลูกไม่อยากเป็นอนุ แต่บิดาจะให้ลูกแต่งให้ได้ ยังบอกว่าไม่ถึงห้าปีเขาต้องยกลูกเป็นภรรยาเอกแน่ บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า” นางเชิดหน้ามองบิดาด้วยสายตาตำหนิ

ฉู่เซิงถอนหายใจอย่างครุ่นคิด “อี๋เอ๋อร์อย่ากังวลไป แม่ทัพเสิ่นเป็นบุรุษที่ห้าวหาญผึ่งผาย ปกติเขายึดมั่นในคำสัญญามากที่สุด เขาผิดคำพูดของตนเองและให้เจ้าเป็นอนุ ชีวิตนี้เขาต้องรู้สึกติดค้างเจ้ามากเป็นแน่ ขอเพียงเจ้ารอคอยโอกาสอย่างอดทน ช้าเร็วเขาต้องแต่งตั้งเจ้าเป็นภรรยาเอกแน่นอน” แม้ไม่ได้เป็นภรรยาเอก เขาก็ต้องให้นางอยู่อย่างมีเกียรติและร่ำรวยไปตลอดชีวิต

คิดถึงการตามอกตามใจนางตลอดหลายปีมานี้ของเสิ่นจงชิ่ง ฉู่ซินอี๋รู้ว่าบิดาพูดถูก โทสะจึงลดลง “รอ รอ รอ…” จู่ๆ นางก็กัดฟัน “บิดาให้ลูกรออยู่นั่นแหละ ขืนรอต่อไป บิดาคงได้แต่รอให้ลูกถูกประมุขหญิงของบ้านทรมานจนตาย รอเก็บศพของลูกแล้วกัน!” คุณหนูสิบจวนอันชิ่งโหวไม่ใช่เจินสือเหนียงที่ไร้ที่พึ่งพิง หากอีกฝ่ายแต่งเข้ามาจริง จะปล่อยให้นางใช้อำนาจบาตรใหญ่ในจวนแม่ทัพได้อย่างไร

“อะไรกัน” ฉู่เซิงนั่งตัวตรงทันที “แม่ทัพเสิ่นตัดสินใจรับเจินซื่อกลับมาแล้วหรือ” ดวงตาเจนจัดมากประสบการณ์สาดประกายเย็นเยียบ

“ไม่ใช่นาง!” ฉู่ซินอี๋ส่ายหน้า “เป็นยาย…เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่แอบไปตกลงกับจวนอันชิ่งโหวลับๆ” นางเล่าสิ่งที่เจิ้งหมัวมัวพูดพลางร้องไห้ “หากปล่อยให้คุณหนูสิบแต่งเข้ามาจริง ลูกจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร” ฉู่ซินอี๋มั่นใจว่าตนเองมีอุบาย แต่คุณหนูสิบเป็นถึงน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮา แค่พระเสาวนีย์ของฮองเฮาก็ประทานความตายให้นางได้อย่างเปิดเผยแล้ว

“ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง” ฉู่เซิงค่อยๆ นั่งลง ยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่ร้อนใจ

“บิดา!” ฉู่ซินอี๋ร้องเสียงแหลม

“เรื่องนี้ข้าได้ยินมาก่อนแล้ว” ฉู่เซิงแค่นเสียง “อี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ แม่สามีของเจ้าความคิดตื้นเขิน งานแต่งงานครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จลงได้หรอก!” เขาเอ่ยเสียงดังกังวาน จิบน้ำชาอีกคำอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ทำไมล่ะเจ้าคะ” ฉู่ซินอี๋ยืดตัวตาเป็นประกาย

ฉู่เซิงโบกมือไล่ชุนหงและคนอื่นๆ ออกไป “อี๋เอ๋อร์ลองบอกพ่อซิว่าพระนางเสิ่นเฟยเข้าวังไม่ถึงสองปีก็ได้ข้ามขั้นเป็นชายาชั้นเฟย นี่เป็นเพราะอะไร”

ฉู่ซินอี๋กะพริบตา “แน่นอนว่าเพราะท่านแม่ทัพสร้างคุณความชอบ อีกทั้งพระนางเสิ่นเฟยเองก็ทรงพระครรภ์”

คนหนึ่งในครอบครัวเป็นขุนนาง คนอื่นๆ ย่อมได้รับความเกรงใจไปด้วย เสิ่นจงชิ่งสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ฮ่องเต้ย่อมต้องดีกับน้องสาวเขาเป็นเท่าตัว

“อี๋เอ๋อร์ผิดแล้ว” ฉู่เซิงส่ายหน้า “หากเพราะสร้างคุณความชอบ ฮ่องเต้ทรงอยากให้กำลังใจแม่ทัพเสิ่น แค่พระราชทานเงินทองและโปรดปรานพระนางเสิ่นเฟยให้มากหน่อยก็พอ พระนางเสิ่นเฟยแค่ตั้งครรภ์เท่านั้น ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายก็มีราชโองการแต่งตั้งนางเป็นชายาชั้นเฟยจนกลายเป็นเป้าศัตรูของทุกคน” เขามองฉู่ซินอี๋ด้วยแววตาลึกล้ำ “อี๋เอ๋อร์ลองคิดดู มีฮองเฮากับพระนางเจิ้งกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานอยู่ เด็กคนนี้จะได้คลอดออกมาอย่างราบรื่นหรือ”

แน่นอนว่าไม่มีทาง! หาไม่ป่านนี้เสิ่นจงชิ่งคงมีทายาทเต็มไปหมดแล้ว จะมีบุตรสาวเพียงคนเดียวได้อย่างไร

แม้ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่การแก่งแย่งชิงดีในครอบครัวฉู่ซินอี๋เข้าใจแจ่มแจ้ง แววตาของนางหม่นลง “เช่นนี้จะทำอย่างไรดี” นางมองบิดาอย่างไม่สบายใจ “หากพระนางเสิ่นเฟยไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ท่านแม่ทัพย่อมได้รับผลกระทบ…” สตรีในตำหนักในจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่หาได้ขึ้นอยู่กับเรื่องความรัก แต่อยู่ที่ฮ่องเต้ต้องการหรือไม่!

ฉู่เซิงยิ้มน้อยๆ “เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ไม่มีเด็กแล้ว พระนางเสิ่นเฟยก็ไม่มีทางถูกทอดทิ้ง ฮ่องเต้มีแต่จะทรงรักใคร่และสงสารนางมากยิ่งขึ้น” น้ำเสียงมั่นใจกังวานและทรงพลัง “มีพระโอรสถึงสิบองค์แล้ว ฮ่องเต้หาได้ต้องการพระโอรส แต่ทรงต้องการอำนาจที่จะมาหยุดยั้งอำนาจของอันชิ่งโหวต่างหาก!” ราชสำนักจะมีขั้วอำนาจเดียวไม่ได้ ต้องมีหลายขั้วอำนาจถ่วงดุลกัน ฮ่องเต้จึงจะหมดกังวล

“ฮ่องเต้ทรงต้องการใช้ท่านแม่ทัพมาคานอำนาจกับอันชิ่งโหว!” ฉู่ซินอี๋หน้าซีด ก่อนที่ปากจะพึมพำขึ้นว่า “พระนางเสิ่นเฟยโชคร้ายแท้งลูก ฮองเฮาทรงตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด หลังจากนั้น…ท่านแม่ทัพกับอันชิ่งโหวหันมาเป็นศัตรูต่อกัน” นี่แหละคือสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงต้องการ!

“ต่อให้ไม่เป็นศัตรู อย่างน้อยอันชิ่งโหวกับแม่ทัพเสิ่นก็ไม่มีทางเป็นพันธมิตรกัน” ฉู่เซิงพอใจมากที่ชี้แนะเพียงนิดบุตรสาวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง “ตอนแรกเพื่อกำจัดเจิ้นกั๋วกงสวีปั๋ว ฮ่องเต้ทรงอาศัยอำนาจของพระสัสสุระเซวียอี้ผลักดันเขาเข้าสภาขุนนางและเลื่อนขั้นให้เป็นโหวโดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใด ผ่านไปหกปีอันชิ่งโหวมีลูกศิษย์กระจายอยู่ทั่ว มีพรรคพวกมากมาย อำนาจคุกคามองค์ฮ่องเต้” เขามองฉู่ซินอี๋ “ในบรรดาพระโอรสทั้งสิบ ฮ่องเต้โปรดองค์ชายห้ามากที่สุด แต่กลับรั้งรอไม่แต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเสียที เพราะอะไร”

ฉู่ซินอี๋โพล่งออกมา “องค์ชายห้าไม่ได้ทรงถือกำเนิดจากฮองเฮา ฮ่องเต้ทรงเกรงว่าอันชิ่งโหวจะไม่พอใจ” องค์ชายห้าประสูติจากเจิ้งกุ้ยเฟย ปีนี้อายุเจ็ดขวบ มีความสามารถโดดเด่น เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งนัก

“ใช่!” ฉู่เซิงพยักหน้า “ฮ่องเต้ทรงเกรงว่าหากไม่แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท อันชิ่งโหวจะก่อกบฏ”

“อันชิ่งโหวคิดจะก่อกบฏหรือ” ฉู่ซินอี๋ปากสั่นระริก

“เขาขาดแค่กำลังทหารเท่านั้น!”

ฉู่ซินอี๋ตระหนักทันที “ดังนั้นอันชิ่งโหวจึงไม่เสียดายหากต้องยกบุตรสาวให้แต่งเป็นภรรยาคนต่อไปของท่านแม่ทัพ จุดประสงค์เพราะต้องการกำลังทหารในมือท่านแม่ทัพ!” นางคว้าตัวฉู่เซิง “บิดารีบคิดหาวิธีการเร็วเข้า จะให้ท่านแม่ทัพแต่งคุณหนูสิบไม่ได้เด็ดขาด!” นางชะงัก “และก็ไม่อาจให้ท่านแม่ทัพปะทะกับอันชิ่งโหวอย่างรุนแรงด้วย!”

จู่ๆ ฉู่ซินอี๋พลันตระหนักว่าเสิ่นจงชิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างฮ่องเต้กับอันชิ่งโหว หากไม่ระวังอาจถูกบดขยี้จนแหลกเหลว นางเองก็จะประสบหายนะตามไปด้วย

“นี่เป็นโอกาสอันดีที่อี๋เอ๋อร์จะขึ้นเป็นภรรยาเอก” ฉู่เซิงหัวเราะขึ้น “แม่ทัพเสิ่นเป็นทหารที่เก่งกาจหาตัวจับยาก แต่หาใช่คนที่เชี่ยวชาญกลอุบายทางการเมือง ยิ่งไม่รู้ถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในครอบครัวและราชสำนัก ถึงได้ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปตกลงกับฮูหยินอันชิ่งโหวอย่างลับๆ เรื่องการแต่งงานที่จะนำภัยมาสู่ชีวิต”

ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่แต่ในบ้านจะรู้เรื่องอะไร แค่ลมพัดวูบหนึ่งในราชสำนักก็ทำให้เบื้องล่างเกิดคลื่นลูกมหึมาได้แล้ว!

“บิดายังจะยิ้มอีก!” หากเสิ่นจงชิ่งเป็นอะไรไป นางเป็นคนแรกที่จะรับเคราะห์ ฉู่ซินอี๋ร้อนใจ จ้องมองบิดาด้วยดวงตาคาดหวัง “สถานการณ์อันตรายเช่นนี้จะเป็นโอกาสของลูกได้อย่างไร”

“เรื่องการแต่งงานถูกอันชิ่งโหวแอบป่าวประกาศออกไปแล้ว หากแม่ทัพเสิ่นต้องการขจัดความหวาดระแวงของฮ่องเต้มีอยู่สองวิธีเท่านั้น” ฉู่เซิงเก็บรอยยิ้ม “หนึ่งคือไม่ตกลงหย่า ถึงอย่างไรคุณหนูสิบก็เป็นถึงธิดาของจวนโหว ไม่มีทางยอมลดตัวเป็นน้อยแน่ แผนของอันชิ่งโหวที่จะเกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพด้วยการแต่งงานย่อมไม่มีทางสำเร็จลงได้ สองคือตกลงหย่าแล้วไม่แต่งงานใหม่ เลือกอนุสักคนมาเป็นภรรยาเอก”

ตามความต้องการของเสิ่นจงชิ่ง หากจะยกอนุสักคนเป็นภรรยาเอก คนผู้นั้นต้องเป็นนางแน่! ฉู่ซินอี๋ตาเป็นประกาย แต่แล้วก็หม่นลง “บิดาเอาแต่พูดเล่น ฮูหยินผู้เฒ่าตกลงเรื่องการแต่งงานกับจวนโหวอย่างลับๆ ไปแล้ว หากท่านแม่ทัพตกลงหย่าขาดจริง ด้วยอำนาจของอันชิ่งโหวจะยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนใจได้อย่างไร”

“หากเขาไม่แต่งงานใหม่ย่อมไม่นับเป็นการเปลี่ยนใจ” ฉู่เซิงเอ่ยอย่างดุดัน “หลังจากตกลงหย่าขาด ขอเพียงมีคนชี้แนะ แม่ทัพเสิ่นจะต้องทูลขอพระอนุญาตแต่งตั้งเจ้าเป็นภรรยาเอกแต่โดยดีแน่!”

“เช่นนี้ลูกก็สามารถหลอกใช้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลี้ยกล่อมแม่ทัพเสิ่นให้ตกลงหย่าน่ะสิ” พอคิดว่าฝันที่วาดไว้หลายปีกำลังจะกลายเป็นจริง หัวใจของฉู่ซินอี๋ก็เต้นระรัว

“อี๋เอ๋อร์ต้องลงมือให้เร็วหน่อย!” ฉู่เซิงพยักหน้า “หากช้าไป แม่ทัพเสิ่นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าแอบไปผูกไมตรีกับอันชิ่งโหวลับหลังเขา มองเห็นผลได้ผลเสียแล้ว เกรงว่าเขาจะไม่ยอมตกลงหย่า”

ฮ่องเต้กับอันชิ่งโหวล้วนเป็นบุคคลร้ายกาจ หากเสิ่นจงชิ่งเป็นอิสระเมื่อใดย่อมต้องอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย หากไม่ระวังย่อมนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตนเอง วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ตกลงหย่า ไม่ไปล่วงเกินทั้งสองฝ่าย หากเขาเป็นเสิ่นจงชิ่ง เขาจะเลือกวิธีนี้

“ลูกจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ดวงตาฉู่ซินอี๋ทอประกายเด็ดเดี่ยว

“เสิ่นจงชิ่งชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง อี๋เอ๋อร์อย่าปะทะกับเขาตรงๆ เป็นอันขาด” ฉู่เซิงพูดพลางลุกขึ้น “เขาเป็นคนกตัญญูอย่างยิ่ง ขอเพียงอี๋เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าให้ได้ เรื่องทุกอย่างให้นางเป็นคนออกหน้า เรื่องนี้ย่อมไร้ข้อผิดพลาด”

หากยายแก่หนังเหนียวนั่นชอบนาง คงไม่แอบไปคุยเรื่องการแต่งงานกับอันชิ่งโหวหรอก! คิดถึงตรงนี้แล้วฉู่ซินอี๋รู้สึกหมดหวัง “ลูกดีต่อนางเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์”

“อี๋เอ๋อร์อย่าพูดเหลวไหล!” ฉู่เซิงตวาดเสียงเฉียบ จากนั้นสั่งสอนด้วยความหวังดี “คนเราเมื่อแก่ย่อมหวังให้ลูกหลานกตัญญู ผลิตลูกหลานให้เต็มบ้าน ขอเพียงอี๋เอ๋อร์ไปคารวะนางทุกเช้าเย็นและอ่อนน้อมถ่อมตนหน่อย โน้มน้าวนางดีๆ ไม่มีหรอกที่นางจะไม่ใจอ่อน” เขาพูดต่อ “กว่าจะได้กลับบ้านสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย อี๋เอ๋อร์ไปหามารดาหน่อยเถอะ” เรื่องพวกนี้ให้มารดาเป็นผู้ชี้แนะย่อมดีกว่า

ฉู่ซินอี๋กัดฟัน นานทีเดียวจึงพูดอย่างดึงดัน “นางสงสัยว่าข้าเป็นคนทำร้ายเม่าเกอ”

เม่าเกอเป็นบุตรชายคนเดียวของเสิ่นจงชิ่ง คลอดออกมาไม่ถึงสามเดือนก็ตายด้วยโรคกลัวความหนาว

ฉู่เซิงอึ้งงันไปครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงถอนหายใจ “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าวู่วาม เจ้าก็ไม่ฟัง” พอคิดว่าหลายปีมานี้เสิ่นจงชิ่งมีบุตรยาก ฉู่เซิงถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “อี๋เอ๋อร์ยังไม่เข้าใจผู้ชาย ลูกชายเยอะจะกลัวอะไร ถึงจะเยอะแค่ไหน เขาก็ต้องรักลูกที่เกิดจากผู้หญิงที่เขาชอบมากที่สุด”

ฉู่ซินอี๋เบ้ปาก “ตอนนี้บิดาพูดอะไรก็สายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางชอบหน้าลูกอีกแล้วล่ะ”

ดวงตาฉู่เซิงทอประกายโหดเหี้ยม ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” เขาเงยหน้าขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรอี๋เอ๋อร์อย่าวู่วามเด็ดขาด กลับไปต้องกตัญญูกับแม่สามี เชื่อฟังท่านแม่ทัพ เรื่องอื่น…” เขาหรี่ตาลง “รอให้เจ้าได้เป็นภรรยาเอกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ยังไม่ถึงเวลาอะไร ฉู่ซินอี๋สงสัย กำลังจะถามก็เห็นบิดาเรียกคนเข้ามา นางขานรับและให้ชุนหงประคองไปยังเรือนยั่งยืนเพื่อพบมารดา

 

ร่างกายกลัวความหนาว พอเข้าฤดูหนาวเจินสือเหนียงจะไม่ค่อยออกไปไหน วันนี้เพื่อหลบฉู่ซินอี๋ นางถึงกับออกมาข้างนอกอย่างที่ไม่เคยทำ ศาลาหอเก๋ง ต้นไม้สะพานทอประกายเจิดจ้าใต้แสงแดด ฟังเสียงพื้นรองเท้าย่ำลงบนหิมะจนส่งเสียงดังตึกตักแล้วเจินสือเหนียงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เดินมุ่งหน้าไปยังศาลารับลมที่สร้างอยู่บนเนินเขา

เพื่อประจบฉู่ซินอี๋ เจิ้งหมัวมัวต้องส่งคนออกมาตามหานางแน่ ไปหลบอยู่ที่นั่นสักพักดีกว่า

พอถึงหน้าศาลา เจินสือเหนียงถึงพบว่าศาลาแปดเหลี่ยมที่สร้างอย่างวิจิตรงดงามนี้ไม่ได้เป็นศาลาแบบเปิด แต่ตรงมุมติดบานกระจกแผ่นใหญ่ไว้ทุกมุม กระจ่างใสแวววาว มองจากที่ไกลๆ แล้วเหมือนไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอยู่ หากมิใช่เพราะนางเป็นคนระวังมาแต่ไหนแต่ไรและสังเกตดูให้ดี คงได้เดินชนกระจกจนหัวร้างข้างแตกไปแล้ว

เจินสือเหนียงลูบหน้าผากอย่างโล่งใจ กำลังจะยื่นมือผลักเข้าไป กลับเหลือบเห็นเซียวอวี้นั่งจิบชาอยู่บนม้านั่งหินกลางศาลาเสียก่อน ด้านหลังเป็นเสาสีแดงสดที่บดบังเขาไว้ได้พอดี เป็นสาเหตุที่ว่าไฉนตลอดทางที่เดินมานางจึงไม่เห็นว่าในศาลามีคนอยู่

เหตุใดเขาจึงอยู่ที่นี่ เจินสือเหนียงหดมือกลับทันที กำลังจะหันหลังจากไปเงียบๆ เซียวอวี้ก็หันกลับมาเสียก่อน “แม่นางเจี่ยน?” เขาลุกขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ใต้เท้าเซียว” เจินสือเหนียงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเดินเข้ามา อดร้องอุทานขึ้นไม่ได้ “ในนี้อุ่นจัง” ภายในพื้นที่เล็กๆ นี้กลับอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ

เซียวอวี้ยิ้มพลางชี้เสากลมสีแดงแปดต้นในศาลา “เสาพวกนี้ล้วนจุดไฟอยู่ข้างใน” เขาชี้ไปที่พื้น “ใต้ศาลาทำเป็นช่องปิดที่เชื่อมกับเสา ฤดูหนาวจะใส่ฟืนเข้าไปและค่อยๆ จุด ได้ผลดียิ่งกว่าเตาอุ่นเสียอีก” เขามองป้ายที่ติดอยู่บนศาลา “มารดาชอบที่นี่มากที่สุด ศาลาเหมยเป็นชื่อที่นางตั้งเอง”

“มิน่าตอนขึ้นมาข้าเห็นหิมะรอบด้านละลายหมด” เจินสือเหนียงยื่นมือไปลูบเสา ร้อนระอุจริงๆ ด้วย อดคิดในใจไม่ได้ คนมีเงินช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ แค่ชมดอกเหมยก็ต้องสร้างศาลาอุ่นเช่นนี้ เจินสือเหนียงมองออกไปนอกศาลา “ดอกเหมยอยู่ไหนหรือ” ตลอดทางที่เดินมา นางไม่เห็นดอกเหมยสักดอก

“เชิญแม่นางเจี่ยนดื่มน้ำชา” ดูเหมือนเซียวอวี้จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อเห็นนาง เขารินน้ำชาให้นางด้วยตนเองและเชิญนางนั่งลง

เจินสือเหนียงนั่งลงบนม้าหินด้านข้าง อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ม้านั่งนี่ก็อุ่น” ก่อนหน้านี้นางยังลังเลไม่กล้านั่งลงไป

“ล้วนเป็นผนังอุ่นทั้งนั้น” เซียวอวี้ยิ้มพยักหน้า

เจินสือเหนียงยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง พอเงยหน้าก็อดตะลึงไม่ได้ เนินเขาด้านหลังเต็มไปด้วยดอกเหมยสามสิบกว่าต้นตั้งตระหง่านอยู่อย่างประปราย แลดูเหมือนป่าเหมยขนาดย่อมๆ ในช่วงหนาวจัดเช่นนี้ดอกเหมยบางส่วนเบ่งบานแล้ว บ้างมีสีแดงสดสวย บ้างมีสีขาวดุจหิมะ เจินสือเหนียงถึงขั้นได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาปะทะจมูก เป็นไปได้อย่างไร ศาลานี้เป็นศาลาปิดมิใช่หรือ นางหันไปมองอย่างประหลาดใจ

ตรงมุมศาลาด้านข้างมีแจกันกระเบื้องลายครามที่ปักดอกเหมยขาวกระจ่างไว้หนึ่งก้าน ดูกลมกลืนไปกับหิมะนอกศาลา หากมิใช่เพราะได้กลิ่นหอมนางคงจะยังไม่สังเกตเห็น ทำให้อดคิดถึงบทกลอนท่อนหนึ่งไม่ได้ “เห็นแต่ไกลรู้ว่ามิใช่หิมะ เพราะกลิ่นหอมอ่อนโชยพัดมา”

เซียวอวี้มองนางอย่างประหลาดใจ “แม่นางเจี่ยนชอบดอกเหมยมากหรือ”

เจินสือเหนียงลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปที่ข้างกระจก “ข้าไม่ได้เห็นดอกเหมยมานานมากแล้ว”

ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ได้ชมเหมยคือตอนไปเที่ยวสวนเซียงซานกับเพื่อนๆ ที่นั่นมีป่าเหมยบริเวณหนึ่งที่ปลูกต้นล่าเหมยไว้ ห่างไปสิบเมตรยังได้กลิ่นหอมของเหมยที่โชยมา พอคิดว่าชีวิตนี้คงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เจินสือเหนียงพลันรู้สึกหดหู่ อารมณ์ที่ดีอยู่เมื่อครู่นี้หายไปสิ้น

“แม่นางเจี่ยนถือกำเนิดในตระกูลบัณฑิตหรือ” เซียวอวี้เดินมาข้างหลังนางเงียบๆ มองตามสายตานางออกไปข้างนอก “ไฉนจึงรู้วิชาแพทย์” หากถือกำเนิดในตระกูลแพทย์ไม่น่าจะเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นนี้ แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวงท่องกลอนเลย เป็นเพราะตระกูลล่มสลายอย่างนั้นหรือ เซียวอวี้มองคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันน้อยๆ ของนางพลางคาดเดา

“ป่วยมานานจนกลายเป็นหมอเสียเอง” เจินสือเหนียงตอบเลี่ยงๆ “ตัวข้าเป็นโรคจึงชอบอ่านตำราแพทย์ บังเอิญเจอตำราเล่มหนึ่งที่ข้างในบันทึกการรักษาโรคประหลาดไว้มากมาย”

“แม่นางเจี่ยนชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดหรือ” เซียวอวี้แอบประหลาดใจ นางช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ หนังสือเบ็ดเตล็ดจำนวนมากถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหนังสือต้องห้าม สตรีในตระกูลใหญ่จะถูกห้ามไม่ให้อ่านหนังสือประเภทนี้ อย่างมากก็อ่านได้แค่ ‘ตำราสอนหญิง’ และ ‘คำสอนสตรี’ ซึ่งจัดอยู่ในสี่ตำราสำหรับสตรีเท่านั้น

ต้องชอบอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีให้อ่าน สมัยโบราณไม่มีทีวี ไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่ละวันพอทำงานเสร็จ ค่ำคืนยาวนานได้แต่อ่านหนังสือฆ่าเวลา น่าเสียดายที่นางไม่มีเงิน ซื้อหนังสือแพทย์แผนจีนจากร้านหนังสือเก่ามาไม่กี่เล่มก็นับว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว เจินสือเหนียงอดยิ้มขื่นไม่ได้เมื่อคิดถึงตำราแพทย์ข้างหมอนที่ถูกนางพลิกจนเปื่อย แม้แต่ภาพเส้นชีพจรในร่างกายที่ชาติก่อนเห็นแล้วปวดหัว ตอนนี้นางยังท่องจำได้หมด

“ชอบ” นางหันไปมองเซียวอวี้ “ขอบคุณใต้เท้าที่ให้ข้าอ่าน ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ ข้า…” กล่าวถึงประโยคนี้น้ำเสียงนางพลันลังเลและแผ่วเบาลงเล็กน้อย “ขอยืมกลับไปอ่านได้หรือไม่”

“พูดถึง ‘หนังสือแผนที่ต้าโจว’ เล่มนั้น แม่นางเจี่ยนโชคดีได้อ่านเป็นคนแรกๆ” เซียวอวี้ยิ้มแย้ม “หนังสือเล่มนั้นสำนักราชบัณฑิตเพิ่งรวบรวมและจัดทำขึ้นเป็นฉบับร่างฉบับแรก ทั้งยังเป็นฉบับภายในที่ไม่เผยแพร่ ฝ่าบาทยังไม่ได้ทอดพระเนตรเลยด้วยซ้ำ อืม…” เขาครุ่นคิด “หากแม่นางเจี่ยนชอบก็รออีกสักพัก รอให้ตรวจสอบเรียบร้อยและฝ่าบาททรงอนุมัติแล้ว ข้าจะให้พ่อบ้านกู้ส่งไปให้”

“ขอบคุณใต้เท้า” เจินสือเหนียงพยักหน้าขอบคุณและเข้าใจทันที “แม่ทัพเสิ่นเพิ่งปราบปรามหนานเยวี่ยและได้รับชัยชนะกลับมาเพียงไม่นาน หนังสือก็ถูกเขียนออกมาแล้ว” ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าสมัยโบราณส่งข่าวสารกันอย่างรวดเร็วเหมือนการถ่ายทอดสดในยุคปัจจุบันจริงๆ หรือ เบื้องบนเพิ่งจะเปิดประชุม ประชาชนทั้งประเทศก็รู้เนื้อหาการประชุมทั้งหมดแล้ว

“ปราบปรามวอโค่ว โจมตีหนานอี๋ ยึดครองหนานเยวี่ย เพียงไม่กี่ปีอาณาเขตของต้าโจวก็ขยายขึ้นเกือบเท่าตัว” เซียวอวี้ยิ้มพยักหน้า “แม่ทัพเสิ่นผู้นี้มีความสามารถทางการทหารโดยแท้ เป็นบุคคลที่ร้อยปีจึงจะได้พบเห็นสักครั้ง การวัดเขตแดนของต้าโจว จัดทำแผนที่ใหม่ และสดุดีผลงานของแม่ทัพเสิ่นครั้งนี้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งด้วยองค์เองให้เร่งดำเนินการ” หาไม่แล้วไหนเลยจะจัดทำขึ้นอย่างรวดเร็วปานนี้ได้

“เป็นเพราะฝ่าบาททรงรู้จักใช้คนต่างหาก” เจินสือเหนียงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ก็แค่ชนะศึกไม่กี่หน ทำไมถึงเรียกว่าคนเก่งที่ร้อยปีจะพบเห็นสักครั้ง หากจะพูดถึงคนที่ร้อยปีจะได้พบเห็นสักครั้ง นางที่รู้วิชาแพทย์สมัยใหม่ที่คนโบราณไม่เคยพบเห็นต่างหาก ถึงจะเรียกว่าหมอเทวดาที่ร้อยปีจะได้พบสักหน

เจินสือเหนียงไม่ชอบใจที่ในหนังสือยกย่องเสิ่นจงชิ่งเหมือนเป็นเทพเจ้า “ประวัติศาสตร์ต้าโจวไม่ขาดราชาที่ปราดเปรื่อง แต่ราชาที่ขยายเขตแดนแคว้นโจว หากไม่นับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกราชวงศ์แล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนับเป็นพระองค์แรก คุณความดียิ่งใหญ่เช่นนี้ควรเป็นของฮ่องเต้ถึงจะถูก…” น้ำเสียงนางพลันชะงัก ไฉนในหนังสือจึงไม่เอ่ยถึงฮ่องเต้สักตัวอักษรเลยล่ะ!

“ตอนหนังสือส่งมาข้าพลิกดูผ่านๆ เท่านั้น รู้สึกไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่นึกไม่ออกว่าตรงไหน ภายหลังงานยุ่งจึงวางทิ้งไว้” สำนักราชบัณฑิตส่งหนังสือฉบับร่างมาให้ตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้เขาตรวจสอบอย่างแท้จริง ฟังคำพูดของเจินสือเหนียงแล้ว ใบหน้าเซียวอวี้ขรึมลง ก่อนจะพยักหน้า “แม่นางเจี่ยนกล่าวถูกต้อง คุณความชอบอันยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดานี้ควรเป็นของฮ่องเต้” เขาส่ายหน้า “ยกย่องความดีของแม่ทัพเสิ่นมากเกินไปเช่นนี้ เห็นทีคงมีผู้ใดจงใจ” ระหว่างพูดหน้าผากของเซียวอวี้มีเหงื่อผุดซึมบางๆ

คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี้จะพูดเช่นนี้ เจินสือเหนียงแอบด่าตนเองว่าปากมาก เรื่องในราชสำนักอยู่ไกลตัวนางมาก นางพูดเช่นนี้เหมือนตั้งใจเตือน คล้ายเป็นห่วงเป็นใยเสิ่นจงชิ่ง พอตระหนักได้จึงรีบคิดว่าจะพูดกลบเกลื่อนอย่างไร กลับได้ยินเซียวอวี้พูดอย่างจริงใจว่า “หากจะว่ากันตามจริง ถ้าไม่มีฝ่าบาทก็คงไม่มีข้ากับแม่ทัพเสิ่นในวันนี้”

จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าจำไม่ผิดเสิ่นจงชิ่งกับเซียวอวี้คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งบุ๋น ล้วนเป็นจ้วงหยวนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงแต่งตั้งเอง ในใจสงสัย แต่เจินสือเหนียงไม่ได้ถามออกมา นางชื่นชมทิวทัศน์งดงามข้างนอกด้วยสีหน้าสงบต่อไปเงียบๆ

“แม่นางเจี่ยนเชิญนั่ง” เซียวอวี้หันกลับมานั่งบนม้าหิน จับกาน้ำชาพบว่ายังอุ่น จึงรินชาให้ตนเองและนาง “เจ็ดปีก่อนฮ่องเต้ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท คืนก่อนวันสอบขุนนางทรงปลอมตัวมาปะปนอยู่กับกลุ่มผู้เข้าสอบ พบข้ากับแม่ทัพเสิ่นสนทนาเรื่องต่างๆ อยู่ในหอสุราพอดี” เซียวอวี้ยิ้มส่ายหน้า “ตอนนั้นยังเด็กจึงกล้าพูดทุกอย่าง องค์รัชทายาทออกโจทย์ว่าหากภายในมีเจิ้นกั๋วกงกุมอำนาจอยู่ ภายนอกมีวอโค่วรุกราน แคว้นรอบด้านต่างจ้องจะจู่โจม ภัยในและภัยนอกเช่นนี้ ฮ่องเต้ควรจะจัดการอย่างไร”

เรื่องนี้ตัดสินใจลำบาก เจินสือเหนียงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง

“การขจัดภัยนอกย่อมต้องจัดการภายในก่อน” พอคิดว่าคำพูดประโยคนี้เปลี่ยนแปลงชะตาของเขากับเสิ่นจงชิ่ง เซียวอวี้หน้าแดงเล็กน้อย “ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นองค์รัชทายาท ข้าจึงอธิบายแผนลดทอนอำนาจของเจิ้นกั๋วกง จากนั้น ‘รวมแคว้นเยียนฉี โดดเดี่ยวอี๋เยวี่ย’ ใช้กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วค่อยกลืนกิน” เซียวอวี้ย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต แววตาอ่อนโยนลง “องค์รัชทายาทถามว่า เยียนฉีทางตอนเหนือกับอี๋เยวี่ยทางตอนใต้จ้องจะรุกรานต้าโจวอยู่แล้ว อาศัยความห้าวหาญเก่งการศึกของเจิ้นกั๋วกง พวกเขาถึงไม่กล้าวู่วาม หากลดอำนาจทหารของเจิ้นกั๋วกงจะมิใช่การฆ่าตัวตายหรือ คำพูดแต่ละคำทำเอาข้าเถียงไม่ออก” เหมือนย้อนกลับไปในอดีต เซียวอวี้เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ทอดสายตามองไปทั่วต้าโจว ไม่ว่าจะการนำทัพ ทำศึก หรือวางแผนการรบไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปกว่าเจิ้นกั๋วกง มีเพียงเขาที่สามารถกำราบแคว้นข้างเคียงให้สงบได้ แม้จะเปิดสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายบู๊อย่างจริงจังแล้ว แต่จะเฟ้นหาเจิ้นกั๋วกงคนที่สองที่ห้าวหาญเก่งกาจหาใช่เรื่องง่าย”

“ภายหลังล่ะ” ที่ผ่านมาเซียวอวี้เป็นคนสุขุมมั่นใจและควบคุมสถานการณ์ได้เสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่เจินสือเหนียงได้ยินเขาพูดว่าเถียงไม่ออก จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

“องค์รัชทายาทหันไปถามแม่ทัพเสิ่นว่าเจ้าเข้าสอบขุนนางฝ่ายบู๊ ลองพูดดูซิว่าจะรับมือการรุกรานของอี๋เยวี่ยอย่างไร แม่ทัพเสิ่นใช้ถ้วยชามบนโต๊ะแทนทหารและวางแผนการศึกให้ดู ก่อนอื่นต้องดูว่าแม่ทัพของหนานอี๋เป็นใคร เชี่ยวชาญอะไร หากจะโจมตีต้องโยกย้ายกำลังทหารและจัดกระบวนทัพอย่างไร” เซียวอวี้คิดแล้วรู้สึกประทับใจ “องค์รัชทายาทฟังอย่างตั้งใจ ตอนนั้นข้าถึงรู้ว่าแม่ทัพเสิ่นเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางการทหารที่หายากคนหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านภูมิประเทศ เขาไปแค่หนเดียวก็จำได้ไม่ลืม ทั้งยังสามารถเสนอกลยุทธ์การศึกที่เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศนั้นๆ ได้”

“แสดงว่าองค์รัชทายาทแต่งตั้งเขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊” อยากบ่มเพาะเขามาแทนที่เจิ้นกั๋วกง

พอคิดว่าหกปีก่อนเจิ้นกั๋วกงเสียชีวิตด้วยโทษกบฏ นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากเสิ่นจงชิ่งได้เป็นจ้วงหยวน เจินสือเหนียงหัวใจสะท้าน คำพูดสุดท้ายถูกกลืนกลับลงไป

“พูดดีเพียงใดก็เป็นเพียงทฤษฎี อีกทั้งองค์รัชทายาทในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นผู้บริหารบ้านเมือง” เซียวอวี้ส่ายหน้า “เป็นเพราะแม่ทัพเสิ่นแสดงความสามารถในสนามสอบอย่างโดดเด่น สร้างความประทับใจให้อดีตฮ่องเต้ จึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ น่าเสียดายที่…” พอคิดว่าด้วยหวาดเกรงพรสวรรค์ทางการทหารของเขา เสิ่นจงชิ่งถึงได้ถูกเจิ้นกั๋วกงกับเสนาบดีเจินร่วมมือกันวางแผน บังคับให้แต่งงานกับบุตรสาวของเสนาบดีผู้มีนิสัยหยิ่งยโสเอาแต่ใจ บัดนี้จะหย่าก็ไม่ได้ ชีวิตของวีรบุรุษต้องอยู่อย่างเงียบเหงาอ้างว้าง เซียวอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดต่อ

น่าเสียดายอะไร เจินสือเหนียงสงสัย แต่เห็นเซียวอวี้เงียบไป นางเองก็ไม่อยากคุยเรื่องของเสิ่นจงชิ่งอีก จึงเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าฮ่องเต้จะให้องค์หญิงหกแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉี เป็นความจริงหรือ”

“คนในราชสำนักส่วนใหญ่คัดค้านการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ กำลังถกเถียงกันไม่สิ้นสุด” เซียวอวี้พูดพลางเกิดความคิด จู่ๆ ก็เงยหน้าถามด้วยความอยากรู้ “แม่นางเจี่ยนเห็นว่าอย่างไร”

“แม่ทัพเสิ่นกำลังจะยกทัพไปตีแคว้นเยียนใช่หรือไม่” นางลังเลก่อนจะพูดความคิดของตนเองออกมา ต้าโจวเพิ่งปราบปรามวอโค่วและยึดครองอี๋เยวี่ย กองทัพกำลังฮึกเหิม กำลังทหารอยู่เหนือแคว้นเยียนและฉี ไม่มีทางใช้องค์หญิงแต่งงานแลกความสันติแน่ บัดนี้กลับเกิดการถกเถียงไม่สิ้นสุด เห็นชัดว่าฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ เพียงแต่ราชสำนักมีผู้คัดค้านมาก ถึงไม่ได้ข้อสรุปเสียที

ฮ่องเต้เป็นราชาผู้ปราดเปรื่อง หาใช่คนขี้ขลาดตาขาว เหตุผลเดียวที่ทรงสนับสนุนการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ก็เพราะหลังปราบอี๋เยวี่ยแล้ว ทรงมีความคิดจะรวมแคว้น แม้กำลังทหารของแคว้นเยียนและฉีจะสู้ต้าโจวไม่ได้ แต่สามแคว้นคานอำนาจกันย่อมอยู่ในจุดสมดุล หากต้าโจวคิดจะก่อสงครามโจมตีแคว้นเยียน แคว้นฉีย่อมมาช่วย โจมตีแคว้นฉี แคว้นเยียนย่อมมาช่วย การยึดครองทั้งสองแคว้นในเวลาเดียวกันจึงเป็นไปไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือให้องค์หญิงสมรสเชื่อมสัมพันธ์เพื่อเป็นพันธมิตรกับแคว้นใดแคว้นหนึ่ง

เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย นางแค่ยื้อเวลาตกลงหย่ากับเขาจนกว่าเขาจะออกไปทำสงครามอีกครั้ง นางก็จะมีเวลาอีกหนึ่งถึงสองปีที่จะทำให้ยาลูกกลอนของนางเป็นที่รู้จักในสำนักแพทย์หลวงและเปิดโรงผลิตยาได้อย่างราบรื่น สร้างอนาคตที่ดีให้เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของตนเอง เจินสือเหนียงในใจประหม่า แต่ดวงตากลับมองเซียวอวี้เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขุนนางใหญ่หลายคนในราชสำนักยังมองสถานการณ์ไม่ออก คล้อยตามอันชิ่งโหวคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางมองปราดเดียวกลับรู้พระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้!

เซียวอวี้หัวใจกระตุก เงยหน้าเพ่งพิศเจินสือเหนียงอย่างละเอียด เขาไม่เคยมองนางอย่างละเอียดเช่นนี้มาก่อนเลย นางงดงามมาก ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ แววตาสุภาพอ่อนโยนแฝงความสงบงดงามไว้ แค่ได้นั่งอยู่เฉยๆ กับนาง ไม่ต้องพูดจาก็ทำให้คนสบายใจได้และคลายความระแวดระวังโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับพูดเรื่องในอดีตมากมายที่ไม่เคยพูดกับใครออกมา นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิต!

เซียวอวี้ตระหนก เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “เพิ่งจะปราบปรามอี๋เยวี่ย การทำศึกต่อเนื่องหลายปีทำให้คลังหลวงพร่องลง คราวนี้แม่ทัพเสิ่นน่าจะต้องพักผ่อนอีกสามถึงห้าปี…” ไม่ได้บอกว่าจะตีแคว้นเยียนหรือไม่

หลายปีมานี้อันชิ่งโหวอาศัยที่ตนมีความดีความชอบในการกำจัดเจิ้นกั๋วกงและสนับสนุนองค์รัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ อีกทั้งอำนาจของฮองเฮาและองค์ชายใหญ่ทำให้อำนาจของเขาแผ่ไพศาล หากยังไม่กำจัดเขา ฮ่องเต้ไม่มีทางยกทัพออกไปทำศึกกับแคว้นอื่นง่ายๆ แน่

บรรยากาศเงียบลง ด้วยรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาจากนอกศาลา เจินสือเหนียงจึงเงยหน้า เห็นหงเอ๋อร์กวักมือเรียกนางอยู่ข้างนอกก็รีบลุกขึ้น “ข้าต้องไปเปลี่ยนยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”

เซียวอวี้เองก็รู้สึกโล่งอก ถือโอกาสลุกขึ้นส่งนางออกจากศาลาเหมย

 

นางอยู่ที่นี่อีกสองวันจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าหายใจเป็นปกติ เซียวอวี้ถึงให้พ่อบ้านกู้ส่งนางกลับเมืองอู๋ถง

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กำลังเล่นลูกข่างอยู่บนพื้น ดวงหน้าเล็กแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น พอเห็นเจินสือเหนียงลงจากรถม้าก็โยนเชือกทิ้งวิ่งเข้าไปหา “ท่านแม่ ท่านแม่!” เจี่ยนอู่กอดเอวเจินสือเหนียงร้องไห้โฮ เห็นน้องชายร้องไห้ เจี่ยนเหวินจึงร้องตามบ้าง ทำเอาผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาหยุดมอง

“ท่านแม่กลับมาเป็นเรื่องน่าดีใจ เหวินเกอ อู่เกออย่าร้องไห้สิ” ชิวจวี๋รีบดึงทั้งสองออกมาปลอบและมองเจินสือเหนียง “คุณหนูไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ท่านจากไป เหวินเกอ อู่เกอชะเง้อคอรอท่านทุกวัน พอกินข้าวเสร็จก็ยืนรออยู่ตรงนี้ เห็นรถม้าก็ร้องว่าท่านแม่กลับมาแล้ว…” ชิวจวี๋เล่าแล้วรู้สึกแสบจมูก ก้มหน้าออกแรงดึงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ “ข้างนอกหนาว เหวินเกอ อู่เกออย่าเพิ่งเกาะแกะท่านแม่ เข้าไปในบ้านก่อน”

ไม่เคยต้องจากลูกนานขนาดนี้มาก่อน เจินสือเหนียงก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน นางกอดเด็กทั้งสองแน่นไม่ยอมปล่อยมือ

หงเอ๋อร์เห็นแล้วรีบหยิบขนมไหมน้ำตาลกล่องหนึ่งออกมา “เด็กๆ มากินขนมดีกว่า” นางเปิดกล่องพร้อมยื่นมือออกไป

ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก พอได้ยินว่ามีขนม เหวินเกอ อู่เกอเช็ดน้ำตาและเงยหน้ามองมารดา เห็นมารดาไม่ว่าอะไรจึงรับไป “ขอบคุณพี่สาว!”

“เอ๊ะ!” เห็นใบหน้านุ่มเนียนของอู่เกอแล้ว พ่อบ้านกู้อุทานอย่างประหลาดใจ “เจ้าชื่ออะไร ไฉนจึงคุ้นตาถึงเพียงนี้” เขาพึมพำกับตนเอง “เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เขาเอียงศีรษะครุ่นคิด

พ่อบ้านกู้ต้องเคยเห็นเสิ่นจงชิ่งแน่ๆ! เดิมทีเจินสือเหนียงไม่ได้ใส่ใจ แต่พอได้ยินพ่อบ้านกู้พูด เจินสือเหนียงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม “ชื่อเหวินเกอ อู่เกอ” นางยิ้มแนะนำ แต่ไม่ได้ให้ทั้งสองไปแสดงความเคารพและดึงพวกเขาที่กำลังจ้องขนมในกล่องด้วยความแปลกใจเข้ามาในอกอย่างแนบเนียน จากนั้นปิดฝากล่อง “รีบไปบอกอาสี่เชวี่ยและให้อาเขยมารับแม่”

“อื้ม!” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่กอดกล่องขนมและวิ่งจากไป

เจินสือเหนียงเห็นพ่อบ้านกู้ยังคงมองแผ่นหลังของเหวินเกอ อู่เกอและนิ่วหน้า นางจึงพูดขึ้นว่า “ถึงบ้านข้าแล้ว พ่อบ้านกู้กลับไปเถอะ”

พ่อบ้านกู้ถูกขัดจังหวะความคิดและหันกลับมา “บ้านของท่านหมอเจี่ยนอยู่ที่ใด ข้าจะช่วยขนของไปให้” ขากลับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวตกรางวัลเป็นขนมและรังนกให้นาง แต่เซียวอวี้จงใจให้เป็นผ้าแพร ไก่ป่า เนื้อหมู และข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องการให้พ่อบ้านกู้ถือโอกาสนี้สืบหาที่อยู่ที่ชัดเจนของเจินสือเหนียง

“ขอบคุณพ่อบ้านกู้” เจินสือเหนียงปฏิเสธอย่างแนบเนียน “แต่ตรอกเล็กเกินไป รถม้าเข้าไม่ได้”

พ่อบ้านกู้ยังจะยืนกราน แต่หลี่ฉางเหอพาน้องชายหลี่ฉางไห่ลากเลื่อนมาแล้ว ด้วยจนใจจึงได้แต่สั่งให้คนขับรถม้าขนของลงมา

หลังกินข้าวเย็น สี่เชวี่ยนอนค้างที่บ้านบรรพบุรุษเป็นกรณีพิเศษ กล่อมเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หลับแล้วก็นั่งคุยกับเจินสือเหนียงเสียงค่อย

“ได้ยินว่าฮูหยินของใต้เท้าเซียวเพิ่งเสียชีวิต” ไม่รู้ภรรยาหลี่ฉีสืบข่าวนี้มาจากที่ไหน หมู่นี้คอยพูดอยู่ข้างหูสี่เชวี่ยไม่หยุดเหมือนแมลงวันบินวน ดูท่าคงต้องการยุให้เจินสือเหนียงแต่งเป็นภรรยาคนต่อไปของเซียวอวี้เป็นแน่ เรื่องนี้ทำเอาสี่เชวี่ยรู้สึกหนาวสันหลังวาบ

“อืม” เจินสือเหนียงพยักหน้า “เป็นคุณหนูรองของใต้เท้าลู่รองเสนาบดีกรมทหาร แต่งเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน ปีที่แล้วคลอดเฟิงเกอและเสียชีวิต”

ใต้เท้าลู่? สี่เชวี่ยผุดลุกขึ้นนั่งทันที “ลู่เหิงหรือ”

“ระวังจะกระทบกระเทือนครรภ์” เจินสือเหนียงตกใจรีบประคองนางไว้ “ใช่แล้ว ทำไมหรือ” นางมองสี่เชวี่ยอย่างไม่เข้าใจ

“อมิตาภพุทธ…” สี่เชวี่ยประสานมือร้อง “คุณหนูลืมไปหมดแล้วจริงๆ คุณหนูรองของใต้เท้าลู่นามว่าลู่อิง เคยเป็นเพื่อนรักของท่าน ก่อนออกเรือนท่านมักไปเล่นกับนาง…ตอนนั้นนางเป็นคนเกลี้ยกล่อมไม่ให้ท่านแต่งกับแม่ทัพเสิ่น บอกว่าแม่ทัพเสิ่นมีหญิงในดวงใจแล้ว ไม่มีทางดีต่อท่านหรอก” ครั้นคิดว่าคำพูดของลู่อิงทั้งหมดเป็นความจริง สี่เชวี่ยก็ทอดถอนใจ

เจินสือเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก บังเอิญเหลือเกินที่นางเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

ในห้องพลันเงียบสนิทลง ก่อนที่สี่เชวี่ยจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครา

“เตาพกของคุณหนูในอดีตประณีตกว่านี้มาก” สี่เชวี่ยหยิบเตาพกลงยาลายนกกระเรียนที่เซียวอวี้ตกรางวัลให้ขึ้นมาดู “ตอนนั้นเตาพกที่คุณหนูใช้แต่ละวันล้วนไม่เหมือนกัน ประชันขันแข่งกับคุณหนูรองสกุลลู่”

ชีวิตฟุ้งเฟ้อเช่นนั้นนางไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เจินสือเหนียงไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ สายตาจึงหยุดที่ท้องของสี่เชวี่ย “หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกอะไรบ้างหรือไม่” นางยื่นมือไปจับแขนสี่เชวี่ย “ข้าอยู่จวนราชมนตรีก็กังวลแต่ว่าเจ้าท้องโตและยังต้องดูแลเด็กสองคนจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“บ่าวสบายดีเจ้าค่ะ เหวินเกอ อู่เกอไม่เคยตื๊อบ่าว เกาะติดชิวจวี๋แจ” มองดวงหน้าเล็กแดงเรื่อของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ยามหลับแล้ว สี่เชวี่ยพลันนึกอะไรได้ “คุณหนู!”

“มีอะไรหรือ” ได้ยินเสียงที่เพี้ยนไปของนาง เจินสือเหนียงหยุดจับชีพจรและเงยหน้าขึ้น

“เมื่อวานท่านแม่ทัพเห็นเหวินเกอ อู่เกอแล้ว”

“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงเสียงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พลิกตัวอยู่ข้างหลังก็รีบหันไปลูบหลังพวกเขาเบาๆ ก่อนจะหันมาถามเสียงค่อย “เขารู้สึกแปลกใจอะไรหรือเปล่า เขาว่าอย่างไรบ้าง” นางเสียงสั่น

ให้ตายนางก็ไม่มีทางยกลูกให้เขา!

“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ…” สี่เชวี่ยส่ายหน้า “ได้ยินเสียงเคาะประตู เหวินเกอ อู่เกอคิดว่าเป็นท่านจึงรีบวิ่งไปเปิด โชคดีที่เหวินเกอ อู่เกอมีไหวพริบ พอเห็นว่าเป็นท่านแม่ทัพก็หันหลังวิ่งไปหลังบ้านเหมือนนัดกันไว้” นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น “ตอนนั้นบ่าวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ทันสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพ แต่ชิวจวี๋บอกว่าเขาจ้องแผ่นหลังของเหวินเกอ อู่เกออยู่นาน”

“แค่เห็นผ่านๆ แวบเดียวใช่ไหม” เจินสือเหนียงพึมพำ เงยหน้าถามทันใด “ตอนนั้นท่านแม่ทัพถามอะไรหรือไม่”

“เขาไม่ได้ถามอะไร แต่หรงเซิงถามว่าเป็นเด็กที่ไหน บ่าวบอกว่าเป็นเด็กข้างบ้าน”

“เขาไม่ได้แปลกใจ!” ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว เจินสือเหนียงยิ้มออกมา หาไม่ด้วยนิสัยเผด็จการของเขาจะต้องสืบถามความจริงจนถึงที่สุดแน่ อย่างน้อยก็ต้องวิ่งตามเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่และถามให้ชัดเจน เขามีวิชายุทธ์ล้ำเลิศ หากคิดจะดูหน้าเด็กให้ชัดๆ เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่จะหนีเขาพ้นได้อย่างไร

สี่เชวี่ยรู้สึกไม่สบายใจมาตลอด จนเมื่อเห็นเจินสือเหนียงยิ้มอย่างมั่นใจถึงโล่งอก

“เขามาทำไม” เจินสือเหนียงถาม “แล้วกลับไปเมื่อไหร่”

“บ่าวไม่กล้าถาม ท่านแม่ทัพเห็นท่านไม่อยู่ก็ถามว่าไปไหน บ่าวบอกว่าเมืองข้างเคียงมีหมอเทวดา ท่านจึงไปหา เขาค้างคืนที่โรงเตี๊ยมในเมืองคืนหนึ่ง เมื่อเช้ามาที่นี่อีกครั้ง เห็นท่านยังไม่กลับมาจึงกลับไปแล้ว” สี่เชวี่ยยื่นมือไปห่มผ้าที่เหวินเกอถีบออกให้ดีๆ “ชิวจวี๋ซุ่มดูอยู่นอกโรงเตี๊ยม เห็นท่านแม่ทัพออกจากเมืองไปราวยามซื่อ*

เจินสือเหนียงขมวดคิ้วแน่น ถึงจะอยากจัดการนางมากเพียงไร แต่อย่างน้อยก็ควรให้นางได้ฉลองปีใหม่อย่างสงบ จะสิ้นปีอยู่แล้ว เขายังมาทำไมอีก

 

“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ฉู่ซินอี๋ลุกพรวดขึ้นทันใด “เขาอยู่ไหน สีหน้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามชุนหงที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง พลางก้าวออกไปข้างนอก

“หน้าบึ้งตลอดเลยเจ้าค่ะ” ชุนหงก้าวตามอยู่ข้างหลังและช่วยจัดเสื้อผ้าให้ฉู่ซินอี๋ “พอกลับมาก็ไปห้องหนังสือเจ้าค่ะ”

“เช่นนี้แสดงว่าไม่ราบรื่นน่ะสิ” ฉู่ซินอี๋ชะงักเท้าทันที

แม้เสิ่นจงชิ่งจะไม่ได้บอกนาง แต่นางรู้ว่าภายใต้การเร่งเร้าของฮูหยินผู้เฒ่า เขาไปเมืองอู๋ถงครั้งนี้ก็เพื่อตกลงหย่าขาดกับเจินสือเหนียง

“หรือว่านังแพศยานั่นไม่ยอมตกลง” ฉู่ซินอี๋หันหลังกลับและนั่งลง เรื่องนี้นางต้องขบคิดให้ดีก่อน การตกลงหย่าไม่เหมือนการเขียนหนังสือหย่า จะต้องให้ฝ่ายหญิงประทับรอยนิ้วมือถึงจะมีผล

“เรื่องนี้ยังต้องพูดหรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพทั้งหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม ใครที่คว้าได้แล้วย่อมไม่มีทางปล่อย” ชุนหงแค่นเสียง “หาไม่ตอนแรกนางคงไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนั้นหลอกล่อท่านแม่ทัพ”

“นั่นสิ” ฉู่ซินอี๋พยักหน้า ก่อนจะนึกอะไรได้จึงพลันส่ายหน้าทันที “ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางไม่เกรงกลัวอำนาจของจวนแม่ทัพ กล้าไม่ตกลงหย่า!” เป็นแค่บุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เพราะบารมีของเสิ่นจงชิ่ง หากทำให้เขาโมโหจนสังหารนาง ใครจะกล้าว่าอะไร เสิ่นจงชิ่งเดินทางไปเจรจาด้วยความน่าเกรงขาม แต่กลับไม่ได้ตกลงหย่าขาด มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเสิ่นจงชิ่งเองไม่อยากตกลงหย่า!

คิดเช่นนี้แล้ว ใบหน้าของฉู่ซินอี๋เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่ง

“แต่ไรมาท่านแม่ทัพชอบคนอ่อน ไม่ชอบคนแข็ง” ชุนหงเข้าใจทันที “จะต้องเป็นเพราะนางร้องห่มร้องไห้คุกเข่าอ้อนวอนเป็นแน่ ทำให้ท่านแม่ทัพใจอ่อน”

เจินสือเหนียงในความทรงจำหยาบคายร้ายกาจ ไม่เคยก้มหน้ารับผิด แม้จะถูกไล่ออกจากจวนจ้วงหยวนก็ยังหยิ่งยโสโอหัง คำพูดของชุนหงฉู่ซินอี๋ไม่เคยคิดถึงมาก่อน นางมองชุนหงนิ่งๆ “นางรู้จักก้มหัวแล้วหรือ”

“อี๋เหนียงไม่ได้ยินท่านแม่ทัพบอกหรือเจ้าคะว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างลำบาก” ชุนหงหยัน “ชีวิตยากจนข้นแค้นแบบนั้น เอวที่แข็งเพียงใดย่อมหักงอได้!”

ชุนหงพูดแบบไม่คิดอะไร ฉู่ซินอี๋กลับบังเกิดความหวาดหวั่น ถึงอย่างไรก็เป็นโฉมงามล่มเมือง หากเจินสือเหนียงรู้จักก้มหน้าอดทน ถ้าเสิ่นจงชิ่งตระหนักถึงแผนการลับหลังของฮูหยินผู้เฒ่าและไม่ยอมตกลงหย่า ยากจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะไม่…ฉู่ซินอี๋ส่ายหน้า ไม่กล้าคิดต่อ

จู่ๆ นางก็กัดฟันอย่างขุ่นแค้น “ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าบุตรสาวขุนนางต้องโทษที่ไร้ที่พึ่งพิงกล้าดีขนาดไหน ถึงไม่ยอมตกลงหย่า!”

ปล่อยทิ้งไว้นานย่อมเกิดปัญหาตามมา เพื่อให้ตนเองได้ขึ้นเป็นนายหญิงของจวน นางต้องบีบให้เจินสือเหนียงตกลงหย่าโดยเร็วที่สุด เสิ่นจงชิ่งทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นนางคงต้องออกโรงด้วยตนเองแล้ว!

 

หิมะตกติดต่อกันหลายวัน อากาศแห้งและหนาวเย็นเจือกลิ่นอายความสดชื่น อากาศแบบนี้เหมาะจะทำถังหูลู่มากที่สุด

เห็นน้ำเชื่อมในหม้อค่อยๆ เหนียวข้น เจินสือเหนียงใช้ตะเกียบจุ่มลงไปและแช่ลงในน้ำเย็นสะบัดไปมา ก่อนจะยื่นมาที่ปากลองกัดดู กรอบๆ ไม่ติดฟันแม้แต่น้อย นางหันไปเรียกชิวจวี๋ “ยกซานจามาได้แล้ว!”

“เจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋วางไม้ที่เสียบซานจาได้ครึ่งหนึ่งและยกถาดซานจาที่เสียบไม้แล้วเดินออกมา “คุณหนูทำถังหูลู่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” ชิวจวี๋ถามอย่างเปรี้ยวปากจนน้ำลายแทบหก

“เจ้าคอยดูก็รู้เองนั่นแหละ” เจินสือเหนียงยิ้มคนน้ำเชื่อมในหม้อ “หรี่ไฟลงหน่อย” นางพูดพลางยื่นมือไปหยิบซานจาไม้หนึ่งกลิ้งในหม้ออย่างรวดเร็ว จากนั้นสะบัดลงบนแผ่นไม้ที่ทาน้ำมันไว้แล้ว ก่อนจะหยิบอีกไม้ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน

ชิวจวี๋ก้มลงหยิบฟืนสองสามท่อนออกจากท้องเตา เงยหน้าขึ้นเห็นเจินสือเหนียงกลิ้งซานจาไปหลายไม้แล้ว แต่ละไม้สีแดงสด เปล่งประกายแวววาว ชิวจวี๋เห็นแล้วน้ำลายหก “เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ง่ายถึงเพียงนี้เชียว” นางพูดต่อ “คุณหนูทำเป็นทำไมปีก่อนไม่ทำล่ะเจ้าคะ” ฤดูหนาวปีก่อนๆ นางกับเจี่ยนอู่เห็นบ้านอื่นกินถังหูลู่แล้วอยากกินแทบแย่

ปีก่อนๆ? ปีก่อนๆ มีเงินเหลือทำสิ่งนี้เสียที่ไหน นี่ยังต้องขอบคุณเซียวอวี้ที่วันก่อนส่งข้าวของมาให้มากมาย พอดีมีซานจาถุงหนึ่ง เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่เห็นแล้วร้องว่าถังหูลู่อร่อย อยากกินถังหูลู่ นางจึงจัดแจงทำ

“เจ้าคิดว่าทำง่ายๆ หรือ” เห็นชิวจวี๋จ้องนางเขม็ง เจินสือเหนียงจึงยิ้มพูด “ข้าจะบอกให้ ไฟของน้ำเชื่อมกะยากที่สุด หากเบาไปน้ำตาลจะติดฟันและแข็งเหมือนก้อนหิน แรงไปรสชาติจะขม ปีก่อนๆ ห่วงเรื่องปากท้องก็หมดเวลาแล้ว ยังจะทำของสิ่งนี้อีกหรือ” นางชี้น้ำเชื่อมสีดำครึ่งหม้อที่ถูกวางทิ้งอยู่ข้างเตา “ข้าเพิ่งเคี่ยวไหม้ไปหม้อหนึ่ง” หากเป็นปีก่อนๆ นางต้องปวดใจตายแน่ น้ำตาลทรายขาวพวกนี้ต้องใช้เงินซื้อมาทั้งนั้น

ชิวจวี๋แลบลิ้น “ให้บ่าวลองบ้างนะเจ้าคะ” เห็นเจินสือเหนียงทำง่ายๆ ชิวจวี๋จึงอยากลองดูบ้าง

“อืม” เจินสือเหนียงเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามา “ตอนกลิ้งบนน้ำเชื่อมต้องเร็ว หาไม่น้ำเชื่อมจะแข็ง หุ้มไม่อยู่ ตอนวางลงบนแผ่นไม้ต้องสะบัดแรงๆ แบบนี้น้ำตาลใต้ถังหูลู่ถึงจะเชื่อมเป็นแผ่นเดียวกัน ทั้งสวยและอร่อย” นางยื่นมือไปหยิบงามาโรยใส่ถังหูลู่ที่เคลือบน้ำตาลแล้วอย่างสม่ำเสมอ

ชิวจวี๋ทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ทำอย่างไรน้ำเชื่อมก็หุ้มซานจาไม่อยู่ “บ่าวโง่เหลือเกิน!” มองถังหูลู่สองไม้ของตนเองที่มีหนังแต่ไร้ขนแล้วหัวเราะคิก

“ท่านแม่ ท่านแม่!” เสียงของเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ดังขึ้น “แย่แล้ว แย่แล้ว! หน้าบ้านมีคนมากมาย อาสี่เชวี่ยบอกให้ท่านไปซ่อนตัว!” เสียงร้องที่เพี้ยนไปเจือความหวาดหวั่นเหมือนหายนะครั้งใหญ่มาเยือน

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ซุกซนมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังใจกล้า ยามซนขึ้นมาแทบจะเจาะท้องฟ้าให้เป็นรู นี่เป็นครั้งแรกที่เจินสือเหนียงเห็นพวกเขาร้อนใจจนเสียงเปลี่ยน หัวใจพลันสะดุด รีบสะบัดถังหูลู่ในมือที่เพิ่งกลิ้งกับน้ำเชื่อมลงบนแผ่นไม้ สั่งชิวจวี๋ว่า “ดับไฟเสียและยกหม้อไปวางบนพื้นหิมะให้เย็น ระวังอย่าลวกถูกมือล่ะ”

นางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนและหันไปหาเด็กสองคนที่โผเข้ามา ดึงพวกเขาไปอีกทางให้อยู่ห่างจากหม้อน้ำเชื่อมร้อนระอุและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

“ฉู่อี๋เหนียงมา…”

“อาสี่เชวี่ยบอกให้ท่านแม่…”

เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พูดพร้อมกันและเงียบพร้อมกัน ต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

เจินสือเหนียงมองเจี่ยนเหวินและเจี่ยนอู่ ก่อนเอ่ยว่า “เหวินเกอพูดก่อน”

“ข้างนอกมีคนมามากมาย อาสี่เชวี่ยบอกว่าเป็นฉู่อี๋เหนียงจากจวนแม่ทัพ นางมาหาเรื่องท่านแม่ ให้ข้ามาบอกให้ท่านแม่ไปซ่อนตัว” เจี่ยนเหวินพูดรวดเดียวจบและลากเจินสือเหนียงไปข้างนอก “ท่านแม่รีบหนีออกไปทางประตูหลังบ้าน ข้ากับน้องชายจะไปตามอาเขย!”

ทั้งสองได้รับการอบรมบ่มสอนจากเจินสือเหนียงตั้งแต่เด็ก แม้จะซุกซน แต่เจี่ยนเหวินยึดหลักสู้ไม่ได้ย่อมต้องหนี คนฉลาดต้องรู้จักหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่ตนเสียเปรียบ โดยเฉพาะยามที่ศัตรูมีจำนวนเยอะกว่า เขาจะไม่ยอมเป็นกวางโง่ที่วิ่งเข้าหาอันตรายเด็ดขาด ต้องหาวิธีพลิกสถานการณ์ รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ก่อนแล้วไปขนกำลังเสริมมาช่วย

“มีใครบ้าง” เจินสือเหนียงถอดผ้ากันเปื้อนพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า ที่นี่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพ นางตั้งใจใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไฉนคนพวกนี้จึงไม่ยอมละเว้นนาง

“มีทั้งหมดหกคน เป็นผู้หญิงหมดเลย!” เจี่ยนอู่เสริม “ยังมีผู้ชายสองคนเฝ้ารถม้าอยู่หน้าประตูด้วย”

“พวกเขาเห็นพวกเจ้าหรือเปล่า”

“พออาสี่เชวี่ยได้ยินพวกเขาบอกชื่อแซ่ก็ให้ข้ากับพี่ชายไปหลบก่อน พวกเราแอบเห็นจากมุมกำแพงว่าพอพวกนางเข้ามาก็ให้อาสี่เชวี่ยคุกเข่า…”

“อะไรนะ!” เจินสือเหนียงร้องเสียงหลง “พวกนางให้อาสี่เชวี่ยคุกเข่าบนพื้นหิมะหรือ”

“อาสี่เชวี่ยรีบคุกเข่าลงไปทันที” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่ผงกศีรษะพร้อมกัน

“ชิวจวี๋ รีบตามข้าไปดู!” อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ให้สี่เชวี่ยคุกเข่าบนพื้นหิมะหาใช่เรื่องเล่นๆ นางรีบดันหลังเจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่พลางกล่าว “พวกเจ้ารีบไปตามอาเขยมาที่นี่!”

ชิวจวี๋เพิ่งเก็บเตาเสร็จ กำลังยกถังหูลู่ที่ทำเสร็จออกไปข้างนอก ได้ยินแล้วจึงวางถังหูลู่ไว้บนชั้นกลางลานบ้านและหันกลับมาประคองเจินสือเหนียง

“ถังหูลู่!” เจี่ยนอู่ยื่นมือจะคว้า แต่ถูกเจินสือเหนียงห้ามไว้ “ร้อนเกินไป กินตอนนี้จะปวดฟันจนฟันหัก รอให้เย็นแล้วค่อยกิน” นางใช้มือดันทั้งสองให้เดินออกไปข้างนอก “พวกเจ้าไปหาอาเขยของสี่เชวี่ยก่อน กลับมาค่อยมานั่งกินที่ลานนี้ ห้ามไปหน้าบ้านเด็ดขาด!”

“ข้ารู้แล้ว” เจี่ยนเหวิน เจี่ยนอู่หันไปมองถังหูลู่สีแดงสดบนชั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ กลืนน้ำลายและวิ่งหายไปทันที

พอเดินผ่านประตูเล็กออกมา เจินสือเหนียงก็ต้องตกใจ นางเห็นผู้หญิงแต่งกายฉูดฉาดยืนล้อมสี่เชวี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลางชี้นิ้วต่อว่า ใครบางคนตวาดนาง จากนั้นสาวใช้ไหล่เล็กเอวบางคนหนึ่งยกเท้าทำท่าจะถีบไปที่ท้องกลมโตของสี่เชวี่ย

“หยุดนะ!” เจินสือเหนียงตะโกนเสียงดัง หัวใจแทบกระดอนออกมาจากลำคอ หากถีบลงไปจริง ดีไม่ดีอาจเป็นหนึ่งศพสองชีวิต!

สาวใช้ลังเลเมื่อได้ยินเสียงตวาด ชิวจวี๋วิ่งปราดเข้าไปแล้ว นางแหวกผ่านกลุ่มคนมากมายและผลักสาวใช้คนนั้นออก ก่อนจะยืนขวางหน้าสี่เชวี่ยไว้

ชิวจวี๋รูปร่างผอมแห้งและตัวเล็กก็จริง แต่นางหาบน้ำผ่าฟืนและทำงานหนักเป็นประจำ ร่างกายเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง สาวใช้ผิวบางนวลเนียนพวกนี้หรือจะทนแรงผลักของนางได้ อีกทั้งนางยังวิ่งนำมาก่อนเป็นระยะทางหนึ่ง ด้วยความร้อนใจจึงผลักสุดแรง ทำเอาสาวใช้คนนั้นกระเด็นออกไปเป็นจั้งและหงายหลังล้มลงบนพื้น ศีรษะด้านหลังกระแทกพื้นหิมะที่แข็งเหมือนเหล็ก ตาเหลือกขึ้นก่อนจะหมดสติไป

“อู่เอ๋อร์!” มีคนร้องเรียกอย่างตกใจ สาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้าไปประคองสาวใช้นามอู่เอ๋อร์ คนอื่นๆ พากันล้อมชิวจวี๋ไว้อย่างแน่นหนา

ชิวจวี๋ร้อนใจ เห็นทุกคนล้อมเข้ามาจึงปราดไปข้างกำแพงคว้าพลั่วเหล็กวาดใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ “ใครกล้าเข้ามา ข้าจะสู้ตาย!” ดวงตานางแดงก่ำ

สาวใช้ที่ได้ติดตามฉู่อี๋เหนียงออกนอกบ้านล้วนเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ในจวนแม่ทัพ สูงส่งบอบบางไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลทั่วไป ยามพูดจาอ่อนหวานแผ่วเบา ร่างกายแทบจะปลิวไปตามแรงลมได้ ไหนเลยจะเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละคนตื่นตกใจจนถอยไปไกล มองชิวจวี๋อย่างอกสั่นขวัญแขวนโดยไม่กล้าเข้าใกล้

มีนายแบบใดย่อมมีบ่าวแบบนั้น! เจินสือเหนียงผู้นั้นนิสัยหยาบคาย สาวใช้ของนางก็หยาบกระด้างไม่ต่างจากคนบ้า ฉู่ซินอี๋เห็นชิวจวี๋แล้วก็แค่นเสียงหยันในใจ ยืนนิ่งจ้องชิวจวี๋อยู่ที่เดิม นางเป็นนาย ต้องรักษาความสง่าที่พึงมีเอาไว้ มิอาจถอยไปข้างหลังเหมือนสาวใช้พวกนั้น แม้เผชิญหน้ากับชิวจวี๋ที่ดุดันแล้วจะรู้สึกแข้งขาอ่อน แต่ฉู่ซินอี๋ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เอ่ยถามชิวจวี๋ด้วยเสียงสุขุมว่า “เจ้าก็เป็นสาวใช้ของนายหญิงหรือ ชื่ออะไรล่ะ” ขอเพียงนังเด็กนี่กล้ายอมรับว่าเป็นสาวใช้ของเจินสือเหนียง นางย่อมไม่กลัว ถึงอย่างไรในจวนแม่ทัพก็มีระดับอาวุโส

สาวใช้คนอื่นเห็นผู้เป็นนายสุขุมเยือกเย็นก็ไม่ถอยหนีอีก แต่ไม่กล้าเข้าไปเช่นกัน ได้แต่หลบอยู่ข้างหลังฉู่ซินอี๋อย่างหวาดหวั่น เผชิญหน้ากับชิวจวี๋อยู่ไกลๆ

ชิวจวี๋ไม่ใช่คนร้ายกาจอยู่แล้ว เมื่อครู่เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับจนร้อนใจ บัดนี้เห็นทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้ นางจึงหยุดและถือพลั่วเหล็กจ้องทุกคนเขม็ง

จวบจนเห็นว่าสี่เชวี่ยไม่เป็นไร เจินสือเหนียงถึงโล่งอก นางรีบเดินอ้อมกลุ่มคนไปตรงหน้าสี่เชวี่ย “พื้นเย็นมาก เจ้ารีบลุกขึ้น” ครั้นเห็นแก้มสองข้างของสี่เชวี่ยบวมแดงก็อดอุทานไม่ได้ “สวรรค์ ไฉนจึงถูกตบจนเป็นแบบนี้”

“บ่าวไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้าไม่ยอมลุกขึ้น กดเสียงให้เบาและพูดว่า “คุณหนูไม่เคยเห็นนาง นางคือฉู่ซินอี๋ เป็นผู้กุมอำนาจภายในจวนแม่ทัพอย่างแท้จริง พวกเราจะล่วงเกินนางไม่ได้” สี่เชวี่ยพยายามผลักเจินสือเหนียงออกไป “คุณหนูไม่ต้องสนใจบ่าว ให้บ่าวคุกเข่าเถอะเจ้าค่ะ นางระบายอารมณ์กับบ่าวแล้วย่อมไม่ไปสร้างความลำบากใจให้ท่านอีก” หาไม่หากนางกลับไปฟ้องเสิ่นจงชิ่ง นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“เดิมทีข้าไม่คิดจะสนใจเจ้าหรอก!” น้ำเสียงของเจินสือเหนียงยามนี้เย็นเยียบเจือโทสะ “แต่หากเจ้ายังไม่ลุก กระทบกระเทือนถึงครรภ์ ระวังอีกหน่อยจะมีลูกไม่ได้อีก!” มีชีวิตอยู่มาสองชาติ นางไม่เคยเห็นคนไม่เอาไหนขนาดนี้มาก่อน! คุกเข่าปล่อยให้คนทุบตีโดยไม่ตอบโต้ สู้ชิวจวี๋ของนางก็ไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นใครก็ช่างเถอะ คว้าอะไรได้ก็ลุยเข้าไปก่อน

คำพูดนี้ได้ผล สี่เชวี่ยตกใจหน้าซีดเผือด นางไม่กล้าคุกเข่าอีก ออกแรงพยุงเจินสือเหนียงไว้และลุกขึ้น สายตามองข้ามเจินสือเหนียงไปยังฉู่ซินอี๋ที่อยู่ข้างหลัง ร่างกายสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ก่อนตอนอยู่จวนจ้วงหยวนนางถูกตีเป็นประจำจนชินแล้ว นางไม่กลัวสักนิด ห่วงก็แต่คุณหนูของนางจะถูกเสิ่นจงชิ่งตำหนิด้วยเรื่องนี้ แล้วเสิ่นจงชิ่งจะฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไล่นางออกจากบ้านบรรพบุรุษ

ฉู่ซินอี๋ผู้นี้หาใช่ใครอื่น นางเป็นคนสำคัญของเสิ่นจงชิ่ง ว่ากันว่าเสิ่นจงชิ่งเอาอกเอาใจนางทุกอย่าง อยากได้ดาวไม่กล้าคว้าเดือนมาให้ ในฐานะภรรยาที่ถูกทิ้ง พวกนางจะล่วงเกินอีกฝ่ายได้อย่างไร

เห็นสี่เชวี่ยมองไปข้างหลังตนอย่างหวาดหวั่น เจินสือเหนียงค่อยๆ หันกลับไปและอดสูดหายใจอย่างตระหนกไม่ได้

ฉู่ซินอี๋อยู่ในชุดเสื้อไหมทองสีเหลืองนวลปักลาย คลุมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกเงินสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ เท้าสวมรองเท้าหุ้มแข้งหนังกวางสีแดงประดับขนด้านนอก ยามยืนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนแล้วดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มวยก้อนเมฆเสียบปิ่นระย้าลูกปัดไว้เฉียงๆ อัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ด้านบนย้อยลงมาถึงหน้าผาก คิ้วดำดุจหมึก ดวงตากระจ่างดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ดวงหน้าเล็กประณีตดูอ่อนหวานบอบบางอย่างบอกไม่ถูก

เห็นฉู่ซินอี๋ในสภาพนี้แล้ว หัวของเจินสือเหนียงพลันผุดคำว่างามล่มเมือง นางเยาะหยันตนเองในใจ งามเฉิดฉันเช่นนี้ย่อมทำให้บุรุษสละบ้านเมืองเพื่อนางได้ เจ้าของเดิมของร่างนี้สมควรถูกท่านแม่ทัพทอดทิ้งจริงๆ นั่นแหละ! จากนั้นก็ลอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่ใจคอชั่วร้ายเกินไป!

พอเจอหน้าก็ทำร้ายสี่เชวี่ยที่กำลังท้องจนเป็นแบบนี้ หากยังมีความเป็นคนอยู่ย่อมไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าเหมือนเดรัจฉานเยี่ยงนี้ได้! การแพทย์ในยุคสมัยนี้ล้าหลังมาก นางซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มีความสามารถโดดเด่นในยุคปัจจุบันยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดตอนคลอดลูก จวบจนตอนนี้ยังต้องลากสังขารอันอ่อนแอดิ้นรนอย่างยากลำบาก หากสี่เชวี่ยถูกทำร้ายจนครรภ์กระทบกระเทือน ดีไม่ดีอาจตายทั้งแม่และลูก

ระหว่างที่เจินสือเหนียงถอนหายใจ ฉู่ซินอี๋เองก็มองประเมินนางอยู่เงียบๆ ต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามีบุคคลคนนี้อยู่ แต่ห้าปีที่ผ่านมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางเผชิญหน้ากัน เมื่อครู่เห็นเจินสือเหนียงในชุดผ้าป่านเข้ามาประคองสี่เชวี่ย เดิมฉู่ซินอี๋ไม่ได้สนใจ แต่พอหันกลับมามอง นางก็ตระหนก

สมแล้วที่เป็นบุตรีของสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองซั่งจิง! ได้ยินมานานแล้วว่าเจินสือเหนียงงดงามมาก แต่จนกระทั่งตอนนี้ ฉู่ซินอี๋จึงเข้าใจว่าอะไรคือผิวหิมะกระดูกหยก อะไรคืองามอย่างบริสุทธิ์ แม้จะสวมชุดเก่าซอมซ่อ แต่ก็มิอาจบดบังความงามเฉิดฉันที่ติดตัวนางมาแต่กำเนิดได้

ฉู่ซินอี๋กำลังรู้สึกด้อยกว่าเช่นกัน หากว่ารูปโฉมนางสามารถบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ เช่นนั้นยามเผชิญหน้ากับเจินสือเหนียง นางกลับมิอาจสรรหาคำพูดใดมาบรรยายความสงบ ความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ และความสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกของอีกฝ่าย เวลายืนกับนาง ฉู่ซินอี๋รู้สึกว่าการแต่งกายหรูหราของตนดูโอ้อวดและธรรมดาเกินไปเสียด้วยซ้ำ

สาวงามที่แท้จริงควรจะเป็นเช่นนี้ เรียบๆ ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการขัดเกลาจากฝีมือมนุษย์ก็ทำให้คนมิอาจละสายตาได้ แค่ยืนอยู่ข้างนางก็รู้สึกสงบเงียบเป็นพิเศษ

ฉู่ซินอี๋ดึงสายตากลับมาและถอนหายใจเบาๆ คิดในใจว่า เห็นทีข้าคงเข้าใจผิดแล้ว ที่ท่านแม่ทัพผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมจัดการนางเสียที ไม่เพียงเพราะสี่เชวี่ยตั้งครรภ์ลูกของเขา แต่ยังเพราะอาลัยในความงามของนาง เดิมทีคิดว่าเสิ่นจงชิ่งไม่อาจปฏิเสธการอ้อนวอนขอร้องของเจินสือเหนียงและใจอ่อน ฉู่ซินอี๋จึงตัดสินใจออกหน้าบังคับให้เจินสือเหนียงตกลงหย่า คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่ นางกลับเห็นสี่เชวี่ยท้องโตเดินออกมาเปิดประตู ด้วยไม่รู้ว่าสี่เชวี่ยแต่งงานไปนานแล้ว นางจึงเข้าใจผิดคิดว่าที่เสิ่นจงชิ่งไม่ยอมตกลงหย่าเพราะเจินสือเหนียงใช้แผนทำให้สี่เชวี่ยปีนขึ้นเตียงเขาและตั้งครรภ์ลูกของเขา

เสิ่นจงชิ่งอายุยี่สิบสี่แล้ว คนอื่นอายุเท่านี้ก็ได้เป็นพ่อของลูกหลายคนแล้ว แต่เสิ่นจงชิ่งกลับมีเพียงบุตรสาวอายุสี่ขวบครึ่งแค่คนเดียว ทุกคนในครอบครัวต่างปรารถนาให้เขามีบุตรอย่างยิ่งยวด เสิ่นจงชิ่งต้องคำนึงถึงลูกคนนี้แน่ ถึงได้เก็บนังแพศยานั่นไว้!

พอบังเกิดความคิดนี้ ในใจฉู่ซินอี๋เต็มไปด้วยความริษยา เหตุการณ์ที่นึกไม่ถึงทำให้นางงุนงงและทำอะไรไม่ถูก พอได้ยินว่าสี่เชวี่ยอยู่บ้านคนเดียวจึงเกิดความคิดจะฆ่านาง หากสี่เชวี่ยตายย่อมไม่มีใครรู้ว่าพวกนางมาที่นี่ ย่อมไม่มีใครสงสัยมาถึงนาง ไม่ว่าอย่างไรก่อนที่นางจะตั้งครรภ์ จะยอมให้ผู้หญิงคนอื่นคลอดลูกชายของเสิ่นจงชิ่งออกมาก่อนไม่ได้เด็ดขาด! ด้วยเหตุนี้ถึงเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่

เห็นเจินสือเหนียงถอนสายตากลับไปและพยุงสี่เชวี่ยเดินเข้าบ้าน ฉู่ซินอี๋จึงเอ่ยปากในที่สุด เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลว่า “ท่านคือพี่สาวที่ถูกท่านแม่ทัพขับไล่มาอยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนหรือ” น้ำเสียงเนิบช้าเจือแววคาดคั้น

แม้จะเป็นรองแต่ท่าทีจะด้อยกว่าไม่ได้เด็ดขาด นางเป็นผู้กุมอำนาจภายในของจวนแม่ทัพ ครั้งแรกที่พบหน้ากัน นางจะต้องข่มเจินสือเหนียงให้ต่ำกว่าตนให้ได้

เจินสือเหนียงหันมองสบสายตาคาดคั้นของฉู่ซินอี๋แล้วก็นิ่วหน้าทันที ไฉนสถานการณ์เช่นนี้จึงเหมือนฉากในละครเมื่อชาติก่อนที่เมียหลวงจับเมียน้อย

เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…

พวกนางใครเป็นเมียหลวง ใครเป็นเมียน้อยกันแน่ หากจำไม่ผิดดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาเอกนี่นา แต่ทำไมกลับดูเหมือนนางเป็นเมียเก็บที่ถูกเลี้ยงไว้นอกบ้านเล่า สุดท้ายภรรยาตัวจริงตามมาอาละวาดถึงบ้าน

จำได้ว่าประโยคสุดเท่เมื่อชาติก่อนของนางคือ โลกใบนี้อะไรก็ขาดแคลนทั้งนั้น แต่ไม่ได้ขาดแคลนผู้ชาย ดังนั้นต่อให้เป็นโสดก็ไม่มีทางแย่งผู้ชายกับคนอื่น! คิดถึงคำพูดห้าวหาญนี้แล้ว เจินสือเหนียงยิ้มขื่น นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีคนพาพรรคพวกเป็นโขยงมาหาเรื่องนางถึงบ้าน ฉากน้ำเน่าในละครทีวีเมื่อชาติก่อนกำลังเกิดขึ้นกับตนเอง!

ให้ตายเถอะ เห็นทีจะปากเก่งเกินไปไม่ได้เสียแล้ว เรื่องนี้หากเพื่อนๆ ขาเม้าท์เมื่อชาติก่อนของนางรู้เข้า จะต้องหัวเราะตายแน่ๆ ใจมัวแต่คิดเช่นนี้จึงไม่ได้ยินคำพูดของฉู่ซินอี๋ ยังคงช่วยชิวจวี๋พยุงสี่เชวี่ยที่แข้งขาแข็งทื่อเดินเข้าบ้านและค่อยๆ ผ่านข้างกายฉู่ซินอี๋ไป

“เจ้าหูหนวกหรือ อี๋เหนียงถามเจ้าอยู่นะ!” ชุนหงพุ่งเข้าไป เห็นชิวจวี๋หันกลับมาอย่างดุดันก็ถอยไปอีกครั้ง

ก็แค่ภรรยาที่ถูกทิ้ง คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะกล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ฉีกหน้านางต่อหน้าบ่าวไพร่มากมาย ฉู่ซินอี๋หันไปมองนายบ่าวสามคนที่เดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่สนใจใครด้วยแววตาดุร้าย นานทีเดียวนางจึงพ่นลมหายใจออกมาและก้าวตามเข้าไป

พอถึงเรือนหลัก เจินสือเหนียงรีบดันหลังสี่เชวี่ยขึ้นไปอบอุ่นร่างกายบนเตียงเตา

“คุณหนู…” สองขาหนาวจนแข็งไปหมด ร่างกายก็หนาวจนสั่นสะท้าน แต่เห็นฉู่ซินอี๋เดินตามเข้ามาหน้าบึ้ง สี่เชวี่ยไหนเลยจะกล้าขึ้นไปบนเตียงเตา นางคว้าตัวเจินสือเหนียงไว้และส่ายหน้าเงียบๆ พูดเสียงค่อยว่า “ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนโปรดของท่านแม่ทัพ คุณหนูอย่าล่วงเกินนางเพราะบ่าวเลยเจ้าค่ะ”

“เจ้าขึ้นไปอบอุ่นร่างกายบนเตียงเตาก่อน ระวังยืนนานจะกระทบกระเทือนครรภ์” เจินสือเหนียงก้มศีรษะจะถอดรองเท้าให้นาง ทำเอาสี่เชวี่ยตกใจรีบโบกไม้โบกมือ “บ่าวถอดเองเจ้าค่ะ” นางปีนขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างเงอะงะ

“จำได้ว่าครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพมาที่นี่ กลับไปบอกข้าว่าพี่สาวยากจนกระทั่งเตียงกับผ้าห่มดีๆ สักผืนก็ไม่มี ท่านแม่ทัพสงสารจึงไม่อยากเอ่ยเรื่องตกลงหย่า มาตอนนี้เรือนของพี่สาวกลับดูหรูหราถึงเพียงนี้ เห็นทีคงได้ท่านแม่ทัพเป็นผู้จัดการกระมัง” ซื้อเครื่องเรือนของใช้ให้นางแบบนี้ แสดงว่าเสิ่นจงชิ่งไม่คิดจะตกลงหย่ากับนาง!

ฉู่ซินอี๋กวาดตามองเครื่องเรือนใหม่เอี่ยมทั่วบ้าน แม้จะหรูไม่สู้ข้าวของในเรือนนาง แต่นางก็อิจฉาอยู่ดี นางเอ่ยวาจาเสียดสีเหน็บแนมอย่างนุ่มนวล ดวงตาจับจ้องเจินสือเหนียงตาไม่กะพริบ

เจินสือเหนียงไม่สนใจนาง สั่งให้ชิวจวี๋หยิบผ้านวมมาห่มขาให้สี่เชวี่ย จากนั้นจับชีพจรนางอยู่นาน จนมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นอะไรจึงถอนหายใจหนักๆ หันไปสั่งชิวจวี๋ว่า “ไปต้มน้ำขิงมาชามหนึ่ง”

“คุณหนู…” ชิวจวี๋ร้องเรียกเสียงค่อย หางตาเหลือบมองฉู่ซินอี๋อย่างไม่สบายใจ นางกลัวว่าตนเองไปแล้ว คนพวกนี้จะลงมือกับคุณหนูของนาง

“ไปเถอะ” เจินสือเหนียงส่งสายตาบอกให้นางสบายใจ “ข้าไม่เป็นไร” มองปราดเดียวก็รู้ว่าฉู่ซินอี๋ผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย นางมาวันนี้เพราะอยากขึ้นเป็นประมุขหญิงของจวนแม่ทัพ บัดนี้ตนซึ่งเป็นประมุขหญิงที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า หากยังไม่บรรลุเป้าหมาย ถึงอย่างไรนางก็ต้องสำรวมไว้บ้าง

ชิวจวี๋เห็นพวกฉู่ซินอี๋ไม่มีทีท่าจะลงมืออีก ถึงได้ยอมเดินออกไป

เจินสือเหนียงยกกาขึ้นรินน้ำให้ตนเองและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะค่อยๆ จิบน้ำ ยังมีเก้าอี้เหลืออีกตัว แต่เจินสือเหนียงไม่เอ่ยปากชวนฉู่ซินอี๋นั่ง

ฉู่ซินอี๋เห็นเจินสือเหนียงดื่มน้ำอย่างสบายอกสบายใจโดยไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ใบหน้านางก็พลันแดงขึ้นทีละนิด ขณะกำลังจะนั่งลงกลับเห็นเจินสือเหนียงวางถ้วยกะทันหัน ไม่รู้เหตุใดมือจึงชนถูกกระถางกำยานบนโต๊ะ กระถางกำยานกลิ้งหลุนๆ และร่วงหล่นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หมุนติ้วบนเก้าอี้หนึ่งรอบและหล่นเคร้งลงบนพื้น

ฉู่ซินอี๋นิ่วหน้าอย่างรังเกียจเมื่อเห็นเก้าอี้ที่เหลืออยู่ตัวเดียวในห้องถูกสาดด้วยขี้เถ้า นางเชิดหน้ามองเจินสือเหนียง

เหมือนมีลมมรสุมซุกซ่อนอยู่ในบรรยากาศ ใบหน้าของฉู่ซินอี๋และเจินสือเหนียงต่างราบเรียบ ในห้องก็เงียบสงบเป็นพิเศษ ทำให้ชุนหงและคนอื่นๆ รู้สึกขนลุก จิตใจตึงเครียดราวกับออกแรงดึงเพียงนิดก็ขาดได้

สี่เชวี่ยที่อยู่บนเตียงเตาหน้าซีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกือบทำน้ำขิงที่ชิวจวี๋ยื่นให้หก โชคดีที่รับไว้ได้ทัน แต่ไหนเลยจะดื่มลง หัวใจเต้นรัวขณะมองชิวจวี๋คว้ากระบองไม้ที่วางอยู่ริมเตียงเตาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ขึ้นมา เชิดหน้ายืดอกและก้าวไปยืนข้างกายเจินสือเหนียง

ท่าทางของนางดูตลกยิ่ง หากมิใช่เพราะบรรยากาศตึงเครียดเกินไป ทุกคนคงหัวร่องอหายแล้ว

เก้าอี้เลอะขี้เถ้า ขอบเตียงเตาสามารถนั่งได้ แต่นั่งไปแล้วท่าทางคงไม่น่าดู ทำลายภาพลักษณ์ว่าที่ประมุขหญิงของจวนแม่ทัพอย่างนาง ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาในเรือนฉู่ซินอี๋จึงยืนอยู่ตลอด เห็นเจินสือเหนียงรินน้ำอีกถ้วยอย่างไม่รีบร้อน นางรู้สึกว่าโทสะขุมหนึ่งพุ่งขึ้นในอก หากไม่เพราะดูแลจัดการธุระในจวนมานานปีจนมีนิสัยอดทนอดกลั้น นางคงอาละวาดไปนานแล้ว

จนกระทั่งรู้สึกเมื่อย ฉู่ซินอี๋จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “พี่สาวหยิ่งยโสเหลือเกิน ดูไม่เหมือนภรรยาที่ถูกขับไล่ออกจากจวนแม่ทัพแม้แต่น้อย” น้ำเสียงอ่อนโยนขลาดกลัว แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกบาดหูเป็นพิเศษ

เจินสือเหนียงเห็นฉู่ซินอี๋สีหน้าราบเรียบเช่นนั้นก็รู้ว่านั่นไม่ง่ายเลยทีเดียว นางยืนอยู่นานขนาดนี้ยังอดทนอยู่ได้ ไม่แสดงความบึ้งตึงออกมา เจินสือเหนียงนึกชมในใจและเงยหน้าสบตานาง “เจ้าพูดกับข้าอยู่หรือ” น้ำเสียงบางเบา ชวนให้รู้สึกเหมือนนางงุนงงและไม่รู้จริงๆ ทำเอาฉู่ซินอี๋โมโหจนกัดฟันกรอด

“ที่แท้เรียกอยู่ตั้งนานพี่สาวก็ไม่ขานรับ เพราะคิดว่าข้าไม่ได้พูดกับท่านนั่นเอง” นางมองซ้ายมองขวา “พี่สาวดูสิว่าในห้องนี้ยังมีใครคู่ควรให้ข้าเรียกว่าพี่สาวอีก”

“อ้อ…” เจินสือเหนียงทำท่าเข้าใจ “ข้ายังคิดว่าพ่อแม่พี่น้องของตนเองตายหมดแล้ว ข้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเสียอีก” นางหันไปมองสี่เชวี่ย “ตอนหลังข้าลืมอะไรไปหลายอย่าง สี่เชวี่ยยังจำได้หรือไม่ว่าในอดีตตอนบิดาต้องโทษ ข้ามีน้องสาวที่รอดชีวิตมาได้หรือเปล่า”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” สี่เชวี่ยส่ายหน้าอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าคุณหนูของนางเป็นอะไรไป พวกนางเป็นผู้หญิงของเสิ่นจงชิ่งเหมือนกัน อย่างน้อยการเรียกขานกันว่าพี่น้อง ภายนอกจะได้ดูสนิทสนม สงครามในครอบครัวล้วนเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ ลับหลังแก่งแย่งชิงดีแทบเป็นแทบตาย ต่อหน้าต่างเคารพรักกันเสมือนพี่สาวน้องสาวแท้ๆ ออกมาใช้ชีวิตตามลำพังแค่ห้าปี ไฉนคุณหนูของนางจึงถดถอยถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่มารยาทเช่นนี้เสียแล้ว

“เจ้าได้ยินแล้วนะ ข้าไม่มีน้องสาว” เจินสือเหนียงเงยหน้ามองฉู่ซินอี๋ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าจำคนผิดแล้วล่ะ”

ฉู่ซินอี๋กำหมัดแน่น ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ คลายออก “ดูพี่สาวพูดเข้าสิ พวกเราต่างเป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพ ย่อมต้องเรียกขานกันว่าพี่น้อง ท่านแม่ทัพเห็นแล้วจะได้ดีใจ พี่สาวว่าจริงหรือไม่” นางยิ้มหวาน แต่ดวงตาฉายแววประชดประชันเสียดสี อยากแกล้งโง่หรือ ได้ ข้าจะโง่ไปกับเจ้าด้วย

“ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพด้วยหรือ” เจินสือเหนียงทำท่าเหมือนเพิ่งตระหนักได้

ฉู่ซินอี๋แทบจะกระอักเลือดด้วยโทสะ ออกแรงกัดฟันแน่นขึ้นอีก

เจินสือเหนียงเห็นฉู่ซินอี๋ไม่ตอบ จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วยามอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพเจ้าเรียกตนเองว่าอะไร”

คิดไม่ถึงว่าเจินสือเหนียงจะเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ฉู่ซินอี๋รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ แต่นางคิดไม่ออกว่าคืออะไร ตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณว่า “ย่อมต้องเรียกตนเองว่าผู้น้อยอนุภรรยา”

“ผู้น้อยหมายความว่าอะไร” หางตาเหลือบมองช่องหน้าต่างและเห็นเงาคนเคลื่อนไหวรางๆ ตรงลานหน้าบ้าน ดวงตาของเจินสือเหนียงสาดประกายเยียบเย็นขณะมองฉู่ซินอี๋อย่างคาดคั้น

“ผู้น้อย?” ฉู่ซินอี๋ทวนคำพูดของนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นร่างกายสะท้านเฮือก จ้องเจินสือเหนียงเขม็ง

ในที่สุดก็คิดได้ ยังไม่นับว่าโง่ เจินสือเหนียงแค่นหัวเราะในใจพลางอธิบายเสียงนุ่มนวลว่า “ความหมายของผู้น้อยก็คือบ่าว หน้าคำว่าอนุภรรยาเติมคำว่าผู้น้อยย่อมแปลว่าบ่าว” นางมองฉู่ซินอี๋ “ผู้น้อยอนุภรรยามีหน้าที่มากกว่าบ่าวทั่วไปหนึ่งอย่างคืออุ่นเตียงให้เจ้านาย บ่าวไม่ว่าเวลาใดย่อมเป็นบ่าว จะมาเป็นพี่น้องกับเจ้านายได้อย่างไร อีกอย่าง…” นางพูดเน้นย้ำทีละคำ “ยังกล้าแทนตนเองว่า ‘ข้า’ ต่อหน้าประมุขหญิงอีก”

ถึงอย่างไรเจินสือเหนียงก็ยังไม่หย่า นางยังคงเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจงชิ่ง ตามหลักแล้วต่อหน้านาง อนุของเขาต้องแทนตนเองว่า ‘ผู้น้อยอนุภรรยา’

“เอ่อ…” ฉู่ซินอี๋พูดไม่ออก เรื่องนี้นางไม่เคยคิดมาก่อน จัดการธุระในจวนแม่ทัพมานานปี นางเห็นตนเองเป็นเจ้านายไปแล้ว วันนี้ทุกคนในเรือนรวมถึงสี่เชวี่ยด้วยต่างไม่มีใครคิดว่าเจินสือเหนียงเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจงชิ่ง ฐานะสูงส่งกว่าฉู่ซินอี๋มาก ฉู่ซินอี๋พบนางแล้วยังต้องทำความเคารพอย่างเต็มพิธีด้วยซ้ำ

ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น นางไม่กลัวหรอก ถูกทอดทิ้งมาห้าปีแล้ว นังแพศยานี่ก็มีแต่ตำแหน่งที่ว่างเปล่าเท่านั้น ทุกคนต่างรู้ว่านางต่างหากที่เป็นนายหญิงที่แท้จริงของจวนแม่ทัพ!

“ไฉนอนุภรรยาคนหนึ่งกลับแทนตนเองว่าข้าต่อหน้าเจ้านายได้” เจินสือเหนียงไม่โกรธ น้ำเสียงยังคงเนิบช้านุ่มนวล “กฎหมายของต้าโจวเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่า…” สายตานางมองข้ามฉู่ซินอี๋ไปยังบ่าวข้างหลัง “ท่านแม่ทัพคิดว่าตนเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้จึงไม่เห็นกฎหมายต้าโจวอยู่ในสายตา คิดจะยกอนุขึ้นข่มภรรยาเอก”

เดิมทีเป็นแค่การมีปากเสียงระหว่างภรรยาเอกกับอนุเท่านั้น พอเจินสือเหนียงเอ่ยเช่นนี้ ปัญหาจึงลามไปถึงขั้นเสิ่นจงชิ่งถือตัวว่าเป็นที่โปรดปราน ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เสิ่นจงชิ่งต้องถูกกล่าวหาว่าดูแลครอบครัวได้ไม่ดี ต่อให้สร้างคุณงามความชอบมากเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ นางเองก็อย่าหวังจะถูกยกขึ้นเป็นภรรยาเอกเลย

ฉู่ซินอี๋หน้าเปลี่ยนสีทันใด “ข้า…ข้าผู้น้อยอนุภรรยามิได้หมายความเช่นนั้น”

“ในที่สุดก็ยอมรับแล้วหรือว่าต่อหน้าข้าเจ้าเป็น…บ่าว!” เจินสือเหนียงพูด “ทำโทษสาวใช้ประจำตัวของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประมุขหญิง เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่” แม้เสียงนางไม่ดัง แต่กลับเยียบเย็นคมกริบเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เสียดแทงจิตใจคนฟังจนหนาวเหน็บยิ่ง

บรรยากาศชะงักค้างทันที

ทุกสายตาพุ่งไปยังฉู่ซินอี๋

ฉู่ซินอี๋หน้าแดงและเปลี่ยนเป็นขาว จ้องเจินสือเหนียงอย่างพูดไม่ออก กฎข้อนี้นางรู้ดีกว่าใคร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะถูกนำมาใช้กับตนเอง

“ข้าว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” เจินสือเหนียงยิ้มบางๆ ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ชิวจวี๋! สั่งสอน!”

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: