บทนำ
ถึงไดอารี่ที่รัก
คนเราควบคุมความทรงจำของตัวเองได้ไหม
ถ้าทำไม่ได้…งั้นความทรงจำที่ผ่านการตกแต่งและประโลมหลอกตัวเองเหล่านั้นมาจากไหนกัน
ถ้าทำได้…งั้นทำไมเรื่องที่พวกเราจำได้ในเหตุการณ์สำคัญมากมายกลับมีแค่รายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ ใบหน้าของตัวละครหลักที่เคยปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างมีชีวิตชีวาจนไม่อาจมองข้ามกลับพร่าเลือนไป
ฉันได้เจอกับเขาจริงๆ หรือเปล่านะ
ฉันได้สัมผัสถึงฝ่ามือของแม่ที่บีบมือของฉันไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยช้าๆ ว่า ‘ลั่วลั่วดูสิ เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือลูกชายของบ้านนั้น’ จริงๆ ไหม
ลูกชายของบ้านนั้น…
สะเก็ดประทัดสีแดงปลิวว่อน สายริบบิ้นหลากสีที่ไร้รสนิยมทว่าสวยงามลอยล่องอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกของผู้คน ฉันจำแขกที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สักคน แต่ฉันมักจะนึกถึงใบหน้าเลือนรางของคุณป้าที่โน้มตัวลงมาถามกลุ่มเด็กๆ อย่างพวกเราอยู่บ่อยครั้งว่าเจ้าสาวสวยไหม อนาคตอยากเป็นเจ้าสาวหรือเปล่า
ทุกคนต่างลากเสียงเล็กๆ แบบเด็กน้อยตอบกลับไปว่า ‘อยาก’
ทว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทั้งกลิ่นอายและคำพูดที่ไม่สำคัญพวกนี้เปรียบเสมือนฝ่ามืออ่อนโยนข้างหนึ่งที่กุมหัวใจของฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา ความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อช่วงเวลานั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาตามรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ ราวกับจิตวิญญาณยังคงสถิตอยู่ในร่างกายเล็กๆ ร่างนั้น ถูกแขกเหรื่อที่เบียดเสียดผลักไปผลักมา มันพยายามทะลุผ่านบรรยากาศมงคลอันคึกคัก ผสมปนเปกันอยู่ในโลกที่ทั้งแปลกใหม่และขัดแย้ง
ในสายตาของตัวฉันคนปัจจุบัน โลกใบนั้นยังคงเต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายซึ่งทั้งมั่วซั่วและไม่สำคัญอะไร
แต่เรื่องราวที่ไม่สำคัญพวกนั้น
บังเอิญเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องราวที่ไม่สำคัญพวกนี้พอดี
ความทรงจำที่ฉันลืมไม่ลงมานานหลายปี ที่แท้กลับเป็นแค่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องของคนคนนั้นเลย
เนื้อหาส่วนหนึ่งจากไดอารี่ของลั่วจื่อ
บทที่ 1
ลั่วจื่อนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะหนังสือ สายตาของเธอตกอยู่บนหน้าสมุดโน้ตขาวสะอาดเล่มใหม่เอี่ยม
บนหน้ากระดาษมีปากกาลูกลื่นที่เปิดฝาทิ้งเอาไว้วางพาดอยู่ ฝาของมันวางนิ่งอยู่ข้างๆ เป็นเวลานานแล้ว เธอไม่รู้ว่าตัวเองหยิบปากกาขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ จึงตัดสินใจได้ว่าจะเขียนวันที่ลงไปก่อน แต่หัวปากกาที่กดลงไปกลับฝืดเคืองจนเขียนไม่ออก เหลือเพียงแค่รอยกดเลอะน้ำหมึกแห้งกรังดูไม่ได้เอาไว้บนหน้ากระดาษขาว
เธอวางปากกาทิ้งไว้นานเกินไป
เมื่อครู่นี้เจียงไป่ลี่ รูมเมตของเธอรีบร้อนพุ่งออกจากห้องไปทันทีหลังรับโทรศัพท์ ทิ้งถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินเสร็จแล้วเอาไว้บนโต๊ะ ปล่อยให้กลิ่นของมันลอยค้างอยู่ภายในห้องพัก ลั่วจื่อขีดเส้นมั่วซั่วลงบนกระดาษอย่างเหม่อลอย ขณะที่กลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่งกลิ่นหอมแตะจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ
ห้องพักอยู่กันสองคน แต่ฝ่ายที่ต้องทำความสะอาดอยู่เสมอคือลั่วจื่อ ทว่าเธอไม่เคยนึกเคืองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่เธอขยันก็แค่เพราะเธอมีความสามารถในการอดทนต่อความสกปรกน้อยกว่าคนอื่น เธอทนได้ไม่เท่าไป่ลี่ ดังนั้นเลยได้แต่ลงมือทำ
ความอดทนคือปัญญาอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
เมื่อเช้าตอนที่เจียงไป่ลี่นั่งอยู่บนเตียงแล้วหยิบไพ่ทาโรต์ขึ้นมาปฏิบัติการ ‘ดูดวงเดือนละครั้ง’ เธอก็จะให้ลั่วจื่อหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาเพื่อดูดวงด้วยให้ได้ หลังลั่วจื่อหยิบไพ่ออกมาก็ยัดกลับไปให้ ‘แม่หมอ’ บนเตียงทันทีโดยไม่แม้แต่จะพลิกดูหน้าไพ่ จากนั้นก้มหน้าอ่านนิยายสืบสวนผลงานของฮิงาชิโนะ เคโงะ* ต่อ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลั่วจื่อถึงได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นใกล้กับเพดานห้องกะทันหัน ‘เธอได้ฟังฉันพูดบ้างไหมเนี่ยหา! ฉันบอกว่าสรุปแล้วเธอต้องอดทน! อดทน! คนที่รู้จักอดทนถึงจะเป็นปราชญ์!!’
ลั่วจื่อเงยหน้าขึ้นพร้อมเหลือบมองเจียงไป่ลี่อย่างเกียจคร้าน “ตั้งแต่พักอยู่ห้องเดียวกับเธอ ฉันก็ถูกบังคับให้ฝึกตนเป็นปราชญ์อยู่แล้ว”
หลังจากนั้น ‘แม่หมอ’ ที่อยู่เตียงชั้นบนยังโวยวายอะไรอีกสักอย่าง แต่เธอจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายเจียงไป่ลี่ก็เริ่มฝึกดูพวกไพ่ทาโรต์ ดวงราศี และการทำนายจากระบบดวงดาว ยังไงก็ตามการได้ควบคุมดวงชะตาดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตอันยุ่งเหยิงของเจียงไป่ลี่เท่าไหร่นัก ในเรื่องนี้กระทั่งตัว ‘แม่หมอ’ เองก็รู้สึกไม่เข้าใจเหมือนกัน
เพราะว่าเธอเอาแต่รอลิขิตฟ้า แต่ไม่พยายามอย่างเต็มที่น่ะสิ! ลั่วจื่อคิดอยู่ในใจเงียบๆ
ลั่วจื่อไม่เชื่อในดวงชะตา เธอกลัวว่าพอตัวเองเชื่อในภัยจากฟ้าแล้วจะลืมภัยจากคน ภัยจากคนนั้นเรายังสามารถรู้สึกชิงชังและต่อต้านมันได้ แต่ลิขิตฟ้านั้นไม่อาจฝืน ทันทีที่คนเราเชื่อในดวงชะตาแล้ว ยังจะมีความหวังอะไรได้อีก
แต่มีประโยคหนึ่งที่เจียงไป่ลี่พูดไว้ไม่ผิด ‘คนที่รู้จักอดทนถึงจะเป็นปราชญ์’ ความอดทนนั้นจำเป็นจริงๆ
อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจในเรื่องนี้ไปมากกว่าลั่วจื่อแล้ว…
เธอเงยหน้ามองนาฬิกา เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วโดยไม่รู้ตัว แต่เธอยังคงคิดอะไรว้าวุ่น
กระดาษขาวที่อยู่ตรงหน้าขาวจนบาดตามากกว่าเดิม
ทันใดนั้นเธอก็ลุกพรวดขึ้นมากะทันหัน ลากขาเก้าอี้จนเกิดเสียงแหลมบนพื้นปูนซีเมนต์
ลั่วจื่อยกถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเจียงไป่ลี่ขึ้นมา เธอเดินช้าๆ เอาไปเททิ้งในห้องน้ำโดยระวังไม่ให้น้ำซุปกระเซ็น แล้วกลับเข้ามาเปิดหน้าต่างออกให้ลมเข้า จากนั้นก็เก็บกวาดกระดาษเช็ดน้ำมูกที่เจียงไป่ลี่โยนทิ้งหลังใช้ตอนร้องไห้ เสร็จแล้วจึงไปล้างมือ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงได้กลับมาเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะอีกครั้ง
เสมือนเข้าสู่การเริ่มต้นของพิธีทางศาสนาบางอย่าง
สุดท้ายเธอหยิบปากกาลูกลื่นขึ้นมาขีดเส้นไปบนกระดาษทดแรงๆ จนกระทั่งได้เส้นปากกาที่ลื่นไหลออกมา
‘วันที่ 15 เดือน 9 อากาศแจ่มใส
ฉันได้เจอเขาจากที่ไกลมาก แวบแรกที่เห็นคือแผ่นหลัง แวบต่อมาเป็นลูกพลับที่หล่นลงมาจากฟ้า’
จากนั้นปลายปากกาก็หยุดลงบนเส้นสุดท้ายของสระ ‘อา’ ในตอนที่ได้สติกลับมา ตรงปลายเส้นนั้นก็มีจุดสีน้ำเงินเล็กๆ แผ่กระจายออกมาแล้ว
เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้า เธอกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนทิศเหนือของมหาวิทยาลัย
ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงของปักกิ่งเป็นช่วงอากาศดีอันหาได้ยากตลอดทั้งปี อากาศในช่วงฤดูนี้เก็บซ่อนความโหดร้ายลงไป เปิดเผยความอบอุ่นและสดใสออกมาแทน
บนพื้นมีรอยกระดำกระด่างจากเงาต้นไม้ เธอก้มหน้าตั้งอกตั้งใจเดินเหมือนสมัยเด็กๆ ที่ทุกย่างก้าวจะต้องพยายามเหยียบลงบนลายดอกไม้กากบาทตรงกลางพื้นอิฐเท่านั้น สมัยเด็กเวลาไปรับของเพื่อนำส่งให้คนอื่นที่ตลาดขายส่งเฟอร์นิเจอร์กับแม่ แม่จะเดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนเธอพยายามตามอยู่ด้านหลัง ฝ่าเท้ากับน่องรู้สึกปวดเมื่อยเหมือนเคล็ดขัดยอก เวลาแม่หันกลับมามองเธอ แม้ดวงตาจะแดงก่ำ เต็มไปด้วยความปวดใจ แต่แม่ก็จะพูดว่า ‘เวลาเดินลูกลองพยายามให้ทุกก้าวเหยียบลงบนลายดอกไม้กากบาทตรงกลางพื้นอิฐดูสิ’ เธอพยายามทำตามกฎเหมือนกำลังเล่นเกม ตั้งใจจนหลงลืมแสงแดดที่แผดเผาอยู่เหนือหัว เดินจนไปถึงสุดปลายถนนกลางฤดูร้อนอันยาวนานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้จริงๆ แล้วก็กลายมาเป็นความเคยชิน
ทันใดนั้นมีลมพัดมากะทันหัน เธอหยุดเดินโดยอัตโนมัติก่อนจะเงยหน้าขึ้น
ตรงทางแยกสองสามเมตรข้างหน้ามีคนคนหนึ่งเดินเลี้ยวมา เดินนำอยู่ด้านหน้าเธอพอดี
ต่อให้เปลี่ยนเสื้อนอก แต่ก็ยังคงเป็นแผ่นหลังที่เธอไม่มีวันจำผิดไปตลอดชีวิต บริเวณท้ายทอยมีปอยผมยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย บุคลิกของเขาดูดี ใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆ แผ่นหลังเหยียดตรงทว่าไม่ได้ดูมากเกินพอดี
ขณะที่เธอกำลังอึ้ง ลูกพลับลูกใหญ่ก็ตกลงมากะทันหัน ตำแหน่งที่ตกผ่านหน้าเธอไปไม่พ้นครึ่งเมตร ถ้าเกิดเมื่อครู่นี้เธอไม่ได้หยุดเดินก็คงจะตกลงมาโดนหัวเข้าพอดี แต่ว่าก็ยังคงมีน้ำจากซากของลูกพลับกระเด็นมาโดนลั่วจื่อเข้าเต็มๆ ช่างดูน่าอนาถเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นลูกพลับหรือว่าตัวเธอเอง
คนที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงไม่น่าฟังของลูกพลับกระทแกพื้นจึงหันกลับมา ลั่วจื่อรีบร้อนหันหลังกลับแล้วสับขาวิ่งหนีทันทีก่อนที่สายตาของเขาจะเลื่อนมาถึงเธอ
นึกไม่ถึงว่าขณะวิ่งอยู่เธอยังใจลอยคิดได้ว่าเขาจะหัวเราะเยาะกันหรือเปล่า
ครั้งแรกที่ให้เขาได้เห็นแผ่นหลังของเธอ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสภาพที่วิ่งหนีตะลีตะลานแบบนี้
เธอวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ ก้าวข้ามบันไดทีละสองขั้น ผลักประตูของห้องพักออก จากนั้นถึงนึกได้ว่าจะต้องหอบหายใจอย่างแรง
หลังลมหายใจสงบลง เธอก็ถอดเสื้อนอกกับกางเกงขายาวที่สภาพดูไม่ได้ออกไป เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ได้เห็นเสื้อผ้าสีโทนเย็นที่ดูมืดมนไปทั้งแถบ
ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบสีสดใส เพียงแต่มันไม่เข้ากับเธอต่างหาก
ช่วงวันหยุดก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนในรุ่นต่างรวมตัวกันไปตรวจร่างกายตามโรงพยาบาลที่กำหนดซึ่งตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองอันคึกคัก ลั่วจื่อยื่นใบตรวจร่างกายซึ่งประทับตราสีแดงตัวโตให้อาจารย์ที่นั่งอยู่หน้าประตู จากนั้นเธอก็สะพายกระเป๋า เดินออกจากโรงพยาบาลแล้วเดินโอ้เอ้ไปตามถนนย่านการค้าที่ยาวที่สุดของเมืองเพราะยังไม่อยากกลับบ้าน
ธุระจิปาถะมากมายก่อนการสอบเข้าเสร็จไปอีกหนึ่งอย่างแล้ว เธอคิดว่าช่วงเวลามัธยมปลายก็กำลังจะจบลงแล้วเช่นเดียวกัน
ในตอนที่เงยหน้าขึ้น ลั่วจื่อเห็นเดรสสายเดี่ยวสีเหลืองสดใสตัวหนึ่งแขวนโชว์อยู่ข้างในตู้กระจกของร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
สีเหลืองสดใสบาดตาแบบนั้น…
เดรสสายเดี่ยวที่แขวนโชว์ในเดือนห้าราวกับท้าทายฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงอย่างอวดดีเป็นเอ่ยถึงฤดูร้อนล่วงหน้าอย่างอวดดี
วันนั้นเธออารมณ์ไม่ดี ในกระเป๋าใส่ตัวอย่างข้อสอบกับแบบฝึกหัดเอาไว้ ของพวกนี้เปรียบเสมือนบัตรเชิญที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแจกจ่ายให้ เธอไม่ได้กลัวการสอบที่ยากลำบากนี้ แล้วก็ไม่ได้เฝ้ารอและตื่นเต้นกับการหลุดพ้นจากทะเลข้อสอบในอนาคตอันใกล้ ลั่วจื่อรู้สึกสับสนมากกว่า เธอสับสนว่าการที่ตัวเองเดินต่อไปทีละก้าวแบบนี้ ที่จริงกำลังเดินเข้าใกล้ความสุขมากขึ้นหรือยิ่งห่างไกลออกไปกันแน่
จู่ๆ ความหงุดหงิดใจที่อธิบายไม่ได้ก็ผุดขึ้นมาและไม่อาจดับลงไป ต่อให้เธอพยายามกล่อมตัวเองว่าต้องอดทน ต้องใจเย็นอย่างไรก็ไร้ผล
เธอเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่นาน แต่ท้ายที่สุดก็ยังพุ่งเข้าไปในร้าน บอกกับพนักงานที่มีท่าทีขี้เกียจว่าเธอต้องการลองเดรสในตู้กระจกตัวนั้น พนักงานมองสำรวจเธอไปที ก่อนจะลุกไปหยิบให้อย่างไม่เต็มใจ
หน้าอกของเธอสะท้อนขึ้นลง สิ่งที่อยู่ในตัวคือความกล้าที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ภายในห้องลองเสื้อแคบๆ เธอสวมเดรสสายเดี่ยวตัวนั้นมือไม้เป็นพัลวัน แต่น่าเสียดายที่ตรงบ่ามีสายเสื้อชั้นในสีขาวเชยๆ โผล่ออกมา เมื่อเปิดประตูกั้นห้องออก เธอก็ได้เห็นเด็กสาวหน้าตาเด๋อด๋า สีหน้าเรียบเฉยยืนสวมเดรสตัวนี้อยู่ในกระจกลองชุดตรงหน้า เด็กคนนั้นโผล่ออกมาจากด้านหลังประตูแค่ครึ่งตัว ดูขี้ขลาดจนน่าหัวเราะเยาะ เธอมัดผมทรงหางม้าที่ไม่เคยเปลี่ยนมาเป็นสิบปี สีเหลืองสดใสนั่นขับผิวเธอจนดูเหมือนเด็กสาวชนบทขาดสารอาหาร
เธออึ้งไป รู้สึกถึงความประหม่าไม่มั่นใจ แต่ยังไงก็ตามจิตใจเธอก็สงบลงมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เธอควรจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ควรทำอะไร เหมาะกับอะไร
เมื่อครู่นี้ เหตุผลยิ่งใหญ่กลวงโบ๋มากมายไม่อาจเกลี้ยกล่อมลั่วจื่อที่อยากทำตามใจตัวเองได้ ยังไงก็ตามเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเด็กสาวชนบทในกระจกคนนี้ มันกลับมีพลังในการเกลี้ยกล่อมขึ้นมาเสียดื้อๆ
เธอทนต่อสีหน้าของพนักงานร้าน ยื่นชุดคืนให้อย่างผ่าเผย จากนั้นก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือแล้วเปิดหนังสืออ่านทบทวนเนื้อหา ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อได้ว่าจะมีคนใช้เดรสสายเดี่ยวสีเหลืองสดใสตัวหนึ่งมาเยาะเย้ยแดกดันตัวเอง โดยเฉพาะเด็กสาวอายุสิบกว่าปีที่ฝึกฝนด้วยความเพียรราวกับพระสงฆ์บำเพ็ญทุกรกิริยาคนนี้
ลั่วจื่อเก่งในเรื่องนี้มาตลอด
ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไปอยู่บ้าง
เธอวิ่งหนีกลับห้องพักมาพร้อมเนื้อตัวที่เปรอะไปด้วยน้ำลูกพลับ ทั้งยังรู้สึกว้าวุ่น เป็นความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบเดียวกันกับในวันนั้น
เธอจำไม่ได้แล้วว่าเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มไหนที่บอกไว้ว่าพระเจ้าแค่ขยับนิ้วก้อย ชีวิตของคนคนหนึ่งก็จะตกอับลงได้ในทันที ส่วนที่ว่าทำไมพระเจ้าต้องขยับนิ้วก้อย…บางทีอาจจะแค่เพราะคัน ก็เหมือนกับเวลาลั่วจื่อหงุดหงิดก็จะยกเท้ากระทืบแมลงเต่าทองตัวเล็กที่คลานอยู่บนพื้นตามทางของมัน ไม่ได้มีเหตุผลอะไร
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้เธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหนี แต่ทำไมตอนนี้เธอกลับย้อนนึกถึงช่วงวินาทีก่อนหน้าตัวเองจะวิ่งหนีได้ สายตาของเขากำลังเคลื่อนจากซากลูกพลับขึ้นมาบนข้อเท้าของเธอ ตอนนั้นชายหนุ่มเลิกคิ้วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ลำคอขาวเชื่อมต่อไปยังปลายคาง เป็นมุมองศาที่ดูดีขนาดนั้น
เธอไม่ได้ลนลานไปแล้วหรอกเหรอ แล้วยังมองเห็นอะไรพวกนี้ได้ยังไง
และถ้ามองเห็นแล้วทำไมเธอถึงขยับปลายปากกาต่อไม่ได้กันนะ…
สมัยมัธยมปลาย ลั่วจื่อเคยเขียนไดอารี่เล่มหนึ่งที่หนามาก เนื้อหาภายในไดอารี่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทุกๆ ข้อความบรรยายถึงแค่คนเพียงคนเดียว ตอนหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในวันจบการศึกษาที่แยกย้ายกันวันนั้น เธอทำไดอารี่หายไป
เคยเกิดขึ้นมานานเกินไปแล้ว นานจนไม่รู้ว่าจะขยับปากกายังไงอีก นานจนไม่อาจใช้การเขียนบทความยาวๆ มาบรรยายองศาของปลายคางที่สวยงามและสีหน้าตกใจระคนกลั้นขำที่เหลือทิ้งเอาไว้ในสมองพวกนั้นได้อย่างง่ายดายอีกแล้ว นานจนนึกถึงความรู้สึกพึงพอใจจากเส้นปากกาสีน้ำเงินที่แผ่ขยายบนสมุดเล่มนั้นนำพามาให้ในตอนนั้นไม่ได้แล้ว
นานเกินไปแล้ว…
เธอหันไปมองกระจกลองชุดซึ่งแขวนอยู่บนบานประตูที่ปิดสนิท เมื่อเอนหลังเล็กน้อยก็จะมองเห็นภาพตัวเองในกระจกได้ เธอเห็นผิวสีขาวออกซีด ปลายคางเรียวแหลม ดวงตาคู่สวยที่ไม่ถูกบดบังอีกหลังเปลี่ยนมาใส่คอนแทกเลนส์
นี่มันนานเกินไปแล้วจริงๆ นานจนเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กสาวชนบทคนนั้นอีกแล้ว นักเรียนหญิงมัธยมปลายที่ก้มหน้าก้มตาเรียนทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์ลอกคราบเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะว่าเธอติดต่อกับเพื่อนเก่าน้อยมาก เลยไม่เคยเจอประสบการณ์ในงานเลี้ยงรุ่นที่ผู้คนจะกรีดร้องว่า ‘เอ๋! เธอสวยขึ้นเยอะเลย’ ตามมารยาทกัน ดังนั้นจึงแทบไม่รู้สึกตัว
หัวใจเต้นเร็วจนเกินเหตุ เรื่องนิ้วก้อยที่พระเจ้าขยับทำให้ไม่ว่าเธอจะย้ำกับตัวเองยังไงก็ไม่สามารถสงบความรู้สึกวู่วามสุดโง่เขลานั้นลงได้
ตัวเราในตอนนี้ไม่ใช่เด็กสาวชนบทในตอนนั้นอีกแล้วไม่ใช่เหรอ เธอคิด
ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็ควรจะเผชิญกับจุดเปลี่ยนได้แล้วใช่ไหม
ในเมื่อไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่อายุที่จะใช้แค่เดรสสายเดี่ยวสีเหลืองสดใสมาสยบกิเลสในใจลงไปได้อีกแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.