บทที่ 3
ช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น ลั่วจื่อหยิบแฟ้มใสที่ใส่ใบสมัครกับใบเกรดตัวสำเนาเอาไว้ เดินออกจากหอพักไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์เพื่อลงเรียนวิชาโท
เธอเดินไปตามถนนสายเล็กและคอยระวังลูกพลับบนหัวอยู่เสมอ จนกระทั่งเดินมาถึงบริเวณพื้นที่โล่งกว้างที่มีแสงแดดเจิดจ้า บนถนนมีรถจักรยานขี่กันขวักไขว่ไปมา ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเด็กสาวที่อยู่ใกล้ๆ กรีดร้องขึ้นกะทันหัน เมื่อมองตามสายตาของทุกคนไปก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขี่จักรยานช้าๆ โดยไม่จับแฮนด์รถ มือหนึ่งถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อคังซือฟู่* อีกมือถือส้อม กินไปขี่ไปด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ข้างหน้าไม่ห่างจากลั่วจื่อ ท่าทีเชื่องช้าแบบนั้นทำให้ลั่วจื่อมั่นใจว่าเขาจงใจทำ ไม่ใช่ว่ากินข้าวไม่ทัน
ทุกครั้งที่ผ่านใครสักคน เขาก็จะยิ้มตาหยีถามว่า “กินข้าวหรือยัง ลองสักคำไหม บะหมี่คังซือฟู่ รสชาตินี้นี่แหละ!” ห่างออกไปไม่ไกลมีกลุ่มผู้ชายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูปถ่ายคลิปกันอย่างลับๆ ล่อๆ ลั่วจื่อจึงมั่นใจมากขึ้นว่าเขาออกมาทำตัวตลกแบบนี้เพราะว่าแพ้พนันกับเพื่อน
ลั่วจื่อคิดแล้วหลุดขำออกมา เมื่อชายหนุ่มหันกลับมาเห็นดวงตายิ้มๆ มือข้างที่ถือถ้วยก็เอียงเฉ ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหกใส่ตัวเองทันที
บรรดาพรรคพวกพากันปรบมือโห่ร้อง ลั่วจื่อฉีกยิ้มเจื่อนๆ ก่อนรีบหนีออกไปจากตรงนั้น
เธอเดินเร็วเกินไป พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินออกจากเส้นทางไปตึกคณะนิติศาสตร์มาถึงหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ตรงตึกสำนักงานฝั่งประตูตะวันออกแทนแล้ว เธอรู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหัน จึงเดินเข้าไปซื้อน้ำในซูเปอร์มาร์เก็ตซะเลย
แล้วเธอก็ได้พบกับเซิ่งไหวหนานที่นั่น
วินาทีนั้นลั่วจื่อหวาดกลัวถึงขั้นเงยหน้ามองหาต้นพลับในจินตนาการ
จู่ๆ ก็ได้มาเจอหน้าคนที่ปกติไม่ค่อยได้เจอกันสองวันติดๆ เธอรู้ว่าพระเจ้าจะต้องเริ่มขยับนิ้วก้อยหาเรื่องแล้วแน่ๆ แต่เรื่องที่จะเกิดยังไงก็ต้องเกิด
หลังเรียนมหาวิทยาลัยมาหนึ่งปีเต็ม นี่เป็นครั้งที่สามที่ลั่วจื่อได้พบเขา พวกเขาคว้าชาอู่โฮ่วหงฉาขวดเดียวกัน ความจริงคือลั่วจื่อจงใจเอื้อมไปจับชาขวดนั้น เธอไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่ยังไม่ทันคิดอะไรก็ยื่นมือออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามเซิ่งไหวหนานแค่เอ่ยขอโทษแล้วปล่อยมือ จากนั้นก็ย้ายไปหยิบอีกขวด ตอนที่เธอยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า ‘ไม่เป็นไร’ อย่างตื่นเต้น เขาก็หันกลับเดินไปตรงที่จ่ายเงินแล้ว กระทั่งคำว่าขอโทษของเขาเธอยังได้ยินไม่ชัด แค่วิเคราะห์ตามตรรกะว่าประโยคนั้นน่าจะเป็นคำว่า ‘ขอโทษ’ เท่านั้น
ที่แท้เขาไม่รู้จักเธอ ไม่รู้จักจริงๆ
สมัยอยู่มัธยมปลายเธอเคยแอบคาดเดาในใจเงียบๆ อยู่สามปี เดาว่าอีกฝ่ายเห็นเธอเป็นคนแบบไหน ในเมื่อไม่ว่ายังไงเธอก็เคยหลงคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองนับเป็นคนมีชื่อเสียงไม่มากไม่น้อยคนหนึ่ง จวบจนกระทั่งวันนี้ถึงได้รับคำเฉลยที่ตั้งหน้าตั้งตารอในที่สุด
คนมีชื่อเสียงอะไรกัน ก็คนมีแค่ชื่อเฉยๆ เท่านั้นแหละ
ลั่วจื่อเหยียดมุมปากยิ้มใส่ตู้เย็น แต่เหยียดไม่ออก ต้องพยายามอีกครั้งถึงยิ้มออกมาได้
แต่ว่านี่อาจเป็นแค่วันพิเศษวันหนึ่ง เธอได้ทักทายเขาเป็นครั้งแรก แม้จะทักกับแผ่นหลังก็ตาม
พนักงานเก็บเงินโบกนิ้วไปมาตรงหน้าเล็กน้อย เธอถึงได้สติกลับมา รีบยื่นขวดชาดำออกไปให้
ชาดำขวดนั้นเป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุดระหว่างเธอกับเขาในชีวิตนี้ แต่ไม่ได้มีคำบรรยายอย่าง ‘ปลายนิ้วของเขาเย็นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเย็นสบายในตอนที่ปัดผ่านหลังมือของฉันไป’ แบบในวรรณกรรมเลยสักนิดเดียว สมองของเธอขาวโพลน นึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น
จากนั้นลั่วจื่อก็พยายามเปิดขวดชาอยู่นานแต่เปิดไม่ออก จนเดินมาถึงหน้าตึกคณะนิติศาสตร์แล้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอล้วนแดงก่ำ ตรงง่ามนิ้วโป้งมือขวามีรอยเส้นตรงเล็กละเอียดของฝาขวดประทับอยู่ แต่เธอก็ยังไม่ได้ดื่มสักอึกอยู่ดี
กว่าลั่วจื่อจะจัดการธุระที่ตึกคณะนิติศาสตร์เสร็จออกมาก็สามโมงแล้ว เธอชอบช่วงเวลานี้มาก แสงแดดเจิดจ้าแต่ไม่บาดตา ลั่วจื่อเดินไปพลางสำรวจขวดชาในมือไปพลาง ในตอนที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองเดินกลับมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าตึกสำนักงานฝั่งประตูตะวันออกอีกครั้งอย่างงงๆ
ผีบังตาเหรอ เธอหลุดขำอย่างไร้เสียง สายตามองไปทางประตูมหาวิทยาลัยโดยไม่ตั้งใจ แค่แวบแรกก็มองเห็นนักศึกษาหญิงผมดำทรงหางม้า สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีแดง เรียกได้ว่าเป็นคนสวย จะให้ไม่สังเกตเห็นยังยาก
แต่ที่สะดุดตาไปมากกว่านั้นคือคนที่อยู่ข้างๆ เธอ
รอยยิ้มเยาะตัวเองที่เหยียดออกมาเพราะถูก ‘ผีบังตา’ ของลั่วจื่อแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
เซิ่งไหวหนาน เขาสวมเสื้อไหมพรมคอวีสีดำ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง กำลังเผชิญหน้ากับเด็กสาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทางที่ยืนอยู่บนบันไดเหมือนคนที่มองลงมาจากมุมสูง ส่วนเด็กสาวจับแขนเสื้อเขาไว้ไม่รู้กำลังพูดอะไร ดูท่าทางแล้วเหมือนจะไปต่อกันไม่รอด
นี่สิถึงจะเป็นผีบังตาของจริง วนไปวนมา นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง
ชั่วพริบตานั้นลั่วจื่อรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้าวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเล ใบหน้าก้มลงเล็กน้อยแกล้งทำเป็นไม่ทันเห็นละครน่าสนุกตรงหน้านี้ แล้วเดินเบียดหัวไหล่เด็กสาวบนขั้นบันไดที่คับแคบ จากนั้นเมื่อเธอเงยหน้าอีกครั้งก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ ปากพูดว่า “โอ๊ะ! ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เธอกำลังทำอะไรกัน
ในตอนนั้นเองเซิ่งไหวหนานก็รับคำต่อทันทีอย่างรวดเร็ว “ลั่วจื่อ?”
โดยไม่รอให้ลั่วจื่อพยักหน้าด้วยความตกใจ เซิ่งไหวหนานก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับเด็กสาวคนนั้นต่อว่า “ฉันกับเพื่อนมีเรื่องจะคุยกัน เธอกลับไปก่อนเถอะ”
เห็นได้ว่าศักดิ์ศรีของเด็กสาวที่ย้ายไปอยู่บนแขนเสื้อของเซิ่งไหวหนานเมื่อครู่นี้ถูกเก็บกลับมาแล้วในตอนที่มีเพศเดียวกันอีกคนปรากฏตัว เธอชะงักไป เก็บสีหน้าก่อนยิ้มตอบ “อืม งั้นไว้พวกเราค่อยคุยกันต่อ ฉันส่งแบบฟอร์มของรุ่นพี่เฉินให้นายแล้วนะ”
คาดว่าประโยคนี้คงจะไม่เชื่อมกับประโยคก่อนหน้า สีหน้าเซิ่งไหวหนานจึงเจื่อนไปเล็กน้อย เด็กสาวเดินจากไป กิริยาเชิดหน้าน้อยๆ ของเธอแฝงไปด้วยความหยิ่งทะนงเล็กๆ ราวกับมีมาตั้งแต่เกิด สายตาไม่ได้มองมาทางลั่วจื่อแม้แต่นิดเดียว
ลั่วจื่อหันกลับมามองเซิ่งไหวหนานหลังอีกฝ่ายเดินจากไปไกลแล้ว เธอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อ้อ คือว่าเดิม…นี่ นายควรจะขอบคุณฉันหน่อยจริงไหม”
เพิ่งจะพูดออกไปเธอก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองทันที ใจเย็น ลั่วจื่อ เธอเป็นอะไรไป ใจเย็นสิ!
เซิ่งไหวหนานดูตกใจเล็กๆ แต่ลั่วจื่อดีใจมากที่อีกฝ่ายไม่ได้เลือกที่จะแกล้งโง่ ทว่าพยักหน้าอย่างใจกว้างพร้อมพูดว่า “งั้นเดี๋ยวฉันเลี้ยงกาแฟเธอก็แล้วกัน ขอบคุณนะ”
นี่สิถึงจะเป็นเซิ่งไหวหนาน
ดังนั้นเธอก็ห้ามลนลานเหมือนกัน
ลั่วจื่อพยักหน้าตาม “งั้นก็รบกวนด้วยนะ”
เพียงแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รู้สึกดีใจมากนัก
บางทีอาจเพราะการพบหน้ากันครั้งแรกที่เธอเฝ้ารอมานานมันปลอมเกินไป เสแสร้งเกินไปแล้วจริงๆ
ไม่ต้องคิดมาก เธอเดินไปบอกกับตัวเองไป แค่ถือว่าโอกาสลำเอียงให้กับคนที่เตรียมตัวพร้อม เวลาที่เธอใช้เตรียมตัวนั้นนานเกินไปแล้วจริงๆ
เธอเดินตามฝีเท้าของเขาไปอย่างมั่นใจ ทว่าในตอนหันตัวกลับเธอก็เผลอชนกับคนที่เดินผ่านมาเข้าให้ เมื่อลั่วจื่อรีบเอ่ยขอโทษพลางก้มหน้าลงทัดผมแล้วนิ้วแตะโดนติ่งหูซ้ายถึงได้รู้ว่ามันร้อนลวกจนน่าตกใจ
ตอนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ ลั่วจื่อดูระมัดระวังตัวมากเกินไปเล็กน้อย เธอใช้นิ้วสางผม เหยียดหลังตรงตลอดเวลา ทั้งยังรู้สึกตัวว่าเหมือนจะเกร็งเกินไปจึงขยับตัวไปมาจนกระทั่งหาท่าที่สบายที่สุดบนโซฟาพบ หลังทำท่าขยับเคลื่อนไหวพวกนี้เสร็จเธอก็รีบเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เขา ทว่ากลับเห็นเซิ่งไหวหนานกำลังมองแผ่นรองถ้วยบนโต๊ะเหม่อลอยออกไป
รอยยิ้มของลั่วจื่อแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เธอรู้สึกวางหน้าไม่ติดเล็กๆ จึงตัดสินใจเบี่ยงหน้าหลบแสงแดดที่ส่องทแยงเข้ามาบาดตาแทน
เธอพยายามเค้นจนสุดสมองแต่ก็ยังทำลายความเงียบไม่ได้ ในเวลาแบบนี้เธอควรจะพูดอะไรดี ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครจีบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่เคยนั่งกินข้าวพูดคุยตามธรรมชาติกับผู้ชาย แต่ในวินาทีนี้อีกฝ่ายคือเซิ่งไหวหนาน
อีกฝ่ายคือเซิ่งไหวหนาน!
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้รับมือไม่ทันจริงๆ ต่อให้เธอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองก็ตาม
ในตอนนั้นเองเซิ่งไหวหนานก็หลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง เขาเริ่มเปิดปากเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “จริงสิ เธอ…รู้จักฉันไหม ฉันชื่อเซิ่งไหวหนาน”
เขาแนะนำตัวเองกับเธอ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาแนะนำตัวเองกับเธอ
ครั้งแรกเกิดขึ้นมานานเกินไป เธอไม่กล้าหันหน้ากลับไปมอง
ครั้งที่สองเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ทว่าเขาไม่ได้พูดแค่กับเธอ
นั่นเป็นในวันงานครบรอบวันสถาปนาโรงเรียนแปดสิบแปดปีสมัยมัธยมปลายปีที่สอง เขาในฐานะตัวแทนนักเรียนขึ้นไปพูดอยู่บนเวที คำพูดที่เอ่ยแนะนำตัวเองคือ ‘สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อเซิ่งไหวหนาน มาจากมัธยมปลายปีที่สอง ห้องสาม’
ในทุกๆ งานพิธีเปิดปิดการศึกษาที่เป็นระบบขั้นตอนซ้ำซากยาวนานตั้งแต่สมัยประถมมาจนปัจจุบัน คำพูดฮึกเหิมของบรรดาเครื่องจักรตัวแทนนักเรียน สคริปต์ที่เขียนไว้ล่วงหน้ามาอย่างดีแล้วพลิกเปิดหน้าเสียงดังพึ่บพั่บ อย่างไรก็ตามในใจของลั่วจื่อมีแค่ประโยคนี้ที่ไม่ได้เปลี่ยนไป เธอในฐานะนักเรียนเวรยืนอยู่ตรงมุมมืดด้านล่างเวที มองไม่เห็นเจ้าของเสียง แต่ลำโพงตั้งอยู่ด้านหลังเธอนี่เอง เสียงทุ้มกังวานของเด็กหนุ่มดังเข้ามาในหูของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว เธอรีบคว้าราวกั้นข้างตัวอย่างลนลานแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบอันตื่นเต้นของคนดู บนใบหน้ามีแต่ความเรียบเฉยไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา
“ฉันรู้จักนาย” เธอพยักหน้า
“โอ้! งั้นเหรอ”
เธอควรจะเล่าต่อว่ารู้จักได้ยังไงใช่ไหม บอกว่าเขายอดเยี่ยมมาก มีชื่อเสียงมาก ทุกคนต่างรู้จักเขา คำพูดเลี่ยนๆ ขนาดนี้ เขาชอบฟังก็แปลกแล้ว
หลังเซิ่งไหวหนานอุทิศคำพูดเปิดประเด็นให้ก็เหมือนไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้ว แต่มองไปเขาก็ไม่ได้ดูรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้น่าอึดอัด ยิ่งไม่ได้พยายามหาหัวข้อสนทนาจนเหนื่อย แค่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเอื่อยเฉื่อย ความสบายใจในแววตากลายมาเป็นสิ่งเปรียบเทียบชัดเจนกับความเสแสร้งเมื่อครู่นี้ของลั่วจื่อ
ท่าทางสบายๆ แบบนั้นของเขาสร้างความเจ็บแปล๊บๆ ให้กับลั่วจื่อกะทันหัน ความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ในใจเธอมาหลายปีกลายเป็นของแหลมคมขึ้นมาในเสี้ยววินาที ตัวเองจะคอยระมัดระวังตัวไปถึงเมื่อไหร่กัน
เธอวางแก้วลงพลางกระแอมกระไอ “ตอน ม.ปลาย เคยได้ยินเรื่องของนายอยู่ แต่ว่าไม่ค่อยได้เจอหน้า ฉันกับคนรอบตัวหลายคนเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พวกเรารู้จักชื่ออีกฝ่าย แต่ไม่เคยทำความรู้จักกันจริงๆ จับคู่ชื่อกับใบหน้าไม่ได้ แต่ว่านายเป็นคนมีชื่อเสียงจริงๆ เวลาเดินผ่านไปไหนก็มักจะได้ยินคนตะโกนว่า ‘ดูสิ! นั่นเซิ่งไหวหนาน’ ดังนั้นฉันก็เลยรู้จักนาย”
เซิ่งไหวหนานยิ้ม เผยฟันขาวดูดีให้เห็นก่อนเอ่ย “ใช่แล้ว ฉันก็เหมือนกัน อยู่ในโรงเรียนเดียวกันมาสามปี ไม่ว่ายังไงก็ต้องคุ้นหน้ากันบ้าง บางครั้งอาจเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างเลยได้คุยกันขึ้นมาเฉยๆ อย่างเช่นเหยียบเท้าอีกฝ่ายบนรถเมล์ ไม่มีเศษเงินก็หันไปขอยืมเพื่อนไม่รู้จักที่คุ้นตา หรือว่า…”
“หรือไปกินข้าวที่โรงเรียน ไปกดน้ำระหว่างคาบแล้วบังเอิญทำน้ำหกใส่อีกฝ่าย ถ้าไม่ได้มีเรื่องก็ไม่ได้รู้จักกัน” ลั่วจื่อต่อประโยค เธอเห็นสีหน้าผ่อนคลายของเซิ่งไหวหนานแข็งค้างไปเล็กน้อย เรื่องนี้เองก็อยู่ในการคาดการณ์ของเธอ
ถ้าไม่ได้มีเรื่องก็ไม่ได้รู้จักกัน เหมือนกับนายและแฟนเก่านายไงล่ะ
ประโยคนี้ทำร้ายเซิ่งไหวหนานมากเสียยิ่งกว่าที่ลั่วจื่อจินตนาการไว้
เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดออกไปแบบนั้น รู้ทั้งรู้ว่าอาจทำให้เขารู้สึกแย่ แต่ยังไงก็ตามพอพูดออกไปแล้วได้เห็นปฏิกิริยาของเขา จู่ๆ เธอก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา มีความสุขอยู่ในมุมมืด เหมือนได้แก้แค้นสำเร็จ
แก้แค้นอะไร เพราะว่าเมื่อครู่นี้เขาดูใจกว้างกว่าตัวเธอเองที่ใจแคบงั้นเหรอ
ลั่วจื่อบอกไม่ถูก
เหมือนกับในอากาศมีลั่วจื่ออีกคนลอยตัวอยู่ ขณะที่กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองใส่เซิ่งไหวหนาน ก็เหลือบตามองความใจแคบและเสแสร้งของลั่วจื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเย้ยหยันด้วยเช่นกัน
เธอลูบแก้วกาแฟในมือ ความคิดลอยออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.