บทที่ 6
ตอนที่เจียงไป่ลี่พุ่งพรวดเข้ามา ลั่วจื่อกำลั่งนั่งเหม่อมองแสงอาทิตย์ที่ส่องเป็นรูปจัตุรัสลงมาบนพื้น จากนั้นก็ถูกเสียงตะโกนของอีกฝ่ายทำให้ตกใจจนได้สติกลับมา
“ทำไมเธอถึงไม่ออกไปล่ะ พวกชมรมกำลังรับสมัครสมาชิกใหม่ คนเยอะมาก ชมรมการ์ตูนแต่งคอสเพลย์กันด้วย”
ผ่านไปสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เธอได้เจอเซิ่งไหวหนานครั้งนั้น ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนเก้า เวลาของอากาศร้อนจัดได้ผ่านพ้นไปแล้ว อากาศเปลี่ยนเป็นเย็นลง ถึงแม้แสงแดดวันนี้จะสดใส ทว่ากลับหนาวเป็นพิเศษ ซ้ำลั่วจื่อยังเจอ ‘วันนั้นของเดือน’ มือเท้าจึงเย็นเฉียบ เธอหดคอเข้าไปในเสื้อไหมพรม สองมือประคองแก้วน้ำร้อน ขดตัวอยู่เป็นก้อนด้วยสีหน้าเหม่อลอย ต่อให้ตอนนี้อากาศข้างนอกอาจจะอบอุ่นกว่าภายในห้องที่เย็นเยือก เธอก็ยังไม่อยากจะขยับตัวอยู่ดี
เกอปี้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสภาชมรม ช่วงสองสามวันนี้ชมรมต่างๆ กำลังรับสมัครสมาชิกใหม่กันอย่างคึกคัก เขาในฐานะหัวหน้ามีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก แต่ว่าพวกผู้ช่วยเป็นเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งจะรับเข้ามายังทำงานไม่คล่อง สมาชิกเก่าปีสองเป็นเพราะว่าไม่มีตำแหน่งอะไรให้อยู่เลยทยอยกันออกไปหมดนานแล้ว ในช่วงเวลาที่ขาดคนแบบนี้ เจียงไป่ลี่กลายมาเป็นกำลังหลักที่ไร้ตำแหน่ง ช่วยงานแบบไม่เกี่ยงงอน ยุ่งหัวหมุนอยู่ทุกวัน ทั้งสองคนไม่ได้ทะเลาะกันมาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว ทำให้ลั่วจื่อประหลาดใจอย่างมาก
เจียงไป่ลี่ลากตัวลั่วจื่อออกจากเก้าอี้พลางบ่นรัวเป็นปืนกล “เดี๋ยวพวกสมาชิกจะมาปรึกษากันเรื่องปาร์ตี้ตอนเย็น เธอไม่ชอบเสียงดังไม่ใช่เหรอ ออกไปเดินเล่นเถอะ ดูเธอสิ ยังไม่ทันจะเดือนสิบมาสวมเสื้อไหมพรมอะไรกัน เธอเป็นคนเหนือจริงเปล่าเนี่ย น่าขายหน้าชะมัด”
เจียงไป่ลี่เพิ่งจะพูดจบก็รับโทรศัพท์ต่อ
“ตอนเย็นจะเลี้ยงข้าวฉันจริงๆ เหรอ ฉันขี้เกียจออกไปข้างนอก สั่งเข้ามากินเถอะ ฉันยังมีบัตรส่วนลดของปาป้าโจนส์ด้วย บัตรนักศึกษาลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่ก่อนหน้านี้สาวสวยหลิวจิ้งของพวกนายคนนั้นชวนทุกคนไปทำบัตรไง ลืมแล้วเหรอ…เอาเป็นว่ารอพวกสมาชิกของนายมาแล้ว ฉันจะฝากพวกเขาเอาไปให้นายก็แล้วกัน ห้ามเบี้ยวล่ะ นายบอกเองนะว่าจะเลี้ยง”
เธอยิ้มหวานขณะหย่อนก้นลงบนโต๊ะของลั่วจื่อ “อืม เดี๋ยวพวกเขาก็มา พวกนายประชุมกันเสร็จหรือยัง…โอ๊ย น่ารำคาญชะมัด! ฉันรู้แล้วน่า!”
ลั่วจื่อเงยหน้ามองเจียงไป่ลี่ที่กำลังกระตือรือร้นโปรยเสน่ห์ผ่านโทรศัพท์อย่างจนปัญญา เธอถอดเสื้อไหมพรมออกช้าๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นเสื้อนอกแล้วก้าวออกจากห้องพักไป
เธอเดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างไร้จุดหมาย ขณะเงยหน้ามองใบแปะก้วยสีทองอร่ามกับแสงแดดยามบ่ายบาดตาที่ส่องผ่านช่องว่างลงมาไปตลอดทาง ลั่วจื่อกางนิ้วยืดออกไปบนฟ้า ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบาดตาตัวเอง
เบื่อถึงที่สุด ทั้งยังหงุดหงิดเล็กๆ ที่ไม่ได้หยิบสมุดคำศัพท์ IELTS ออกมาด้วย แต่พอคิดถึงเสียงออดอ้อนอ่อนหวานของเจียงไป่ลี่แล้ว เธอก็ขี้เกียจกลับไปเอาอยู่ดี
ลั่วจื่อกำลังเหม่อลอยใส่แถวรถจักรยานด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่ง ก่อนที่ปลายหางตาจะสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่
ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มน้อยๆ ให้เธอ อีกฝ่ายสวมแว่นตากรอบโลหะสีฟ้าอ่อน ดวงตาห่างกันเล็กน้อย เธอสวมกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อยืดตัวยาวสีม่วงอ่อน ทว่ากางเกงกลับดูไม่พอดีตัว มันรัดส่วนต้นขาแน่นมากเกินไป
ทันใดนั้นลั่วจื่อก็นึกได้ว่าเธอเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของตัวเอง น่าจะชื่อว่าเจิ้งเหวินรุ่ย
“ใจลอยถึงอะไรอยู่เหรอ” เจิ้งเหวินรุ่ยเปิดปากถาม
“เปล่า ก็แค่คิดเรื่อยเปื่อย…ว่าจากนี้ฉันควรทำอะไรดี” น้ำเสียงสนิทสนมของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง
“กินข้าวแล้วหรือยัง”
“ตอนนี้ยังเร็วไปหน่อยมั้ง ตั้งใจว่าจะกลับไปเก็บของที่หอพักก่อนค่อยไปกินน่ะ”
“เถอะน่า…ไปด้วยกันเถอะ”
เธอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ทว่าพยักหน้าตอบว่า “ได้” ไปโดยไม่รู้ตัว
ลั่วจื่อไม่ได้รู้จักเจิ้งเหวินรุ่ยเป็นการส่วนตัว แต่ขอแค่เป็นเด็กมัธยมปลายเจิ้นหวารุ่นนั้นก็น่าจะจำเด็กสาวมัธยมปลายปีที่สาม ห้องสามที่สวมเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงเจ็ดส่วนและรองเท้ารัดส้นมาเรียนวิชาพละตอนเดือนสามที่อากาศหนาวเหน็บคนนั้นได้
ทุกคนต่างหันไปมองเธอเหมือนป่วยเป็นโรคปวดคอกันไปหมด ลั่วจื่อรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้เรียนเก่งมาก ตอนนี้เรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย P เกี่ยวกับพฤติกรรมเสียสติในครั้งนั้นของเธอ ลั่วจื่อเองก็เข้าใจว่าเป็นนิสัยประหลาดของเด็กหัวกะทิ มีใครไม่มีนิสัยประหลาดบ้างกัน ตัวเธอเองยังมีเยอะมาก
แต่อย่างไรก็ตาม เจิ้งเหวินรุ่ยกับเธอไม่เคยคุยกันมาก่อน คำเชิญนี้เลยดูแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่เจิ้งเหวินรุ่ยนั่งลงในร้านปิ้งย่างก็ถามเธอทันที “ฉันอยากกินเบียร์ เธอไม่ถือสาใช่ไหม”
ที่แท้ก็แค่หาใครสักคนมาดื่มเบียร์ระบายทุกข์เป็นเพื่อน พอคิดแบบนี้ลั่วจื่อก็สบายใจขึ้นเยอะแล้ว
บนโต๊ะปิ้งย่างนอกจากอาหาร เบียร์ก็ถูกยกมาเสิร์ฟแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนจึงเริ่มกินข้าวกันเงียบๆ เจิ้งเหวินรุ่ยรินเบียร์ใส่แก้วแล้วยกดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า บางทีก็จะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเกร็งๆ ให้ลั่วจื่อเป็นพักๆ
บรรยากาศแปลกประหลาดดำเนินไปจนถึงตอนที่เจิ้งเหวินรุ่ยดื่มเยอะแล้ว
“ฉันเคยเป็นคนธรรมดามาก”
ประโยคเปิดให้ความรู้สึกแปลกแบบเดียวกับมื้ออาหารมื้อนี้ ลั่วจื่อรีบดึงตัวเองกลับมาจากอาการใจลอย ก่อนพยักหน้าให้เธอเพื่อบ่งบอกว่าตัวเองกำลังฟังอยู่
“เพื่อที่จะเข้าใกล้เขา ฉันขยันเรียนหนังสือจนติดท็อปห้าของระดับชั้น”
ลั่วจื่ออ้าปาก ทว่าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับด้วยประโยคแบบไหน
ควรจะตอบว่า…เธอสุดยอดไปเลย? หรือถามว่าเขาคือใครเหรอ?
“แต่ไร้ประโยชน์ เพราะงั้นตอนหลังฉันเลยทำเรื่องที่น่าอายเป็นพิเศษหลายเรื่องเพื่อลงโทษตัวเอง”
เจิ้งเหวินรุ่ยพูดจบก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แดงเรื่อของเธอจับจ้องลั่วจื่อด้วยสายตาที่แอบดื้อรั้น
ลั่วจื่อรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา เธอไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการฟังเรื่องซุบซิบอะไร แล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย กับการนัดกินข้าวที่แปลกประหลาดนัดนี้ เธอเหลือแค่ความเสียใจภายหลังอยู่เต็มอก
“เรื่องน่าอาย…เช่นอะไรเหรอ” สุดท้ายลั่วจื่อยังคงฝืนถามออกไป
เจิ้งเหวินรุ่ยไม่ได้ตอบ แต่เหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้มเย็นแทน
ลั่วจื่อได้แต่เอ่ยเสริมอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันหมายถึง…ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นด้วย”
“เพื่อที่จะทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองในใจเขา” เจิ้งเหวินรุ่ยตอบกลับ
ลั่วจื่อถูกคำตอบนี้ดึงดูดความสนใจเข้าให้ เธออึ้งไปเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นก้มหน้ามองไขมันสีขาวที่ซึมออกมาจากเนื้อหมูสามชั้นและจับตัวแข็งบนเตาย่างไปแล้ว
ลั่วจื่อนึกถึงตัวเองขึ้นมา ทำไมเธอจะไม่เคยสงสัยถึง ‘ภาพลักษณ์’ ของตัวเองในใจเซิ่งไหวหนานกัน การที่เขาจำไม่ได้เลยว่าเคยหยิบชาขวดเดียวกัน อาการใจลอยตอนดื่มกาแฟด้วยกันครั้งแรก ภาพลักษณ์ของเธอเป็นยังไงกันแน่ ตอนอยู่ที่ร้านกาแฟภาพลักษณ์ของเธอก็ถูกท่าทางเสแสร้งกับความโมโหของตัวเองทำลายไปหมดแล้วเหมือนกันใช่ไหม
ลั่วจื่อถอนหายใจ
“ในเมื่อต่อให้เปลี่ยนไปจนเก่งกว่านี้ก็ไม่อาจเข้าใกล้เขา ไม่สู้ทำลายหนทางเข้าใกล้ทั้งหมดไปซะเลยดีกว่าหรือ บางทีฉันอาจจะตัดใจได้ ฉันคงคิดแบบนี้ล่ะมั้ง” เจิ้งเหวินรุ่ยเรอออกมา ก่อนจะหัวเราะคิกคัก เธอยกเบียร์ที่เหลือขึ้นดื่มรวดเดียวแล้วถึงได้เอ่ยต่อ
ลั่วจื่อได้ยินแล้วอมยิ้ม ความคิดแบบนี้กลับฟังดูพิเศษไม่เบา
“แต่ฉันก็ยังตัดใจไม่ได้ ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้ว ฉันก็ยังตัดใจไม่ได้”
จะง่ายดายขนาดนั้นได้ยังไง ลั่วจื่อไม่ได้พูดออกไป แค่ก้มหน้าลงอมยิ้มต่อ
“เธออยากรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบเขา”
ลั่วจื่อเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“เพราะว่าเขาสมบูรณ์แบบ เพราะว่าระหว่างเขากับฉัน เราห่างกันแค่ทางเดินกั้น ทุกวันเขาจะนั่งอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดอย่างตั้งใจ ถึงจะแอบเล่นเกมคอนโซลเวลาเรียน พอถูกอาจารย์เรียกชื่อก็ยังตอบคำถามทั้งหมดได้ และเพราะว่าเขาเดินเร็ว บนตัวเลยจะมีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมสะอาดลอยออกมา ต่อให้เล่นบาสจนเหงื่อท่วมหน้าก็ยังไม่มีกลิ่นเหม็นอะไร ฉันเคยรวบรวมความกล้ายื่นกระดาษทิชชูไปให้เขา ได้ยินเสียงไพเราะของเขาพูดว่า ‘ขอบคุณ’ แล้วยังมีดวงตาที่หยักโค้งเวลายิ้ม…
ฉันไม่มีอุดมการณ์อะไร ความหวังของทุกคนในครอบครัวอยู่ที่น้องชายของฉัน ฉันสอบเข้ามหา’ลัยที่ดีขนาดนี้ติด พ่อกับแม่ก็เห็นเป็นแค่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น ทุกคนในครอบครัวของฉันธรรมดามาก เวลากินข้าวแม้แต่เรื่องไข่ไก่ขึ้นราคายังทะเลาะกันได้ กระทั่งฉันเองเวลาเห็นพวกเขายังรู้สึกขายขี้หน้า อยากจะหนีไปให้ไกล แต่ว่าเขา เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ฉันเคยเจอ แตกต่างไปจากทุกคนที่ฉันเคยเจอมาทั้งหมด
ใช่…ฉันรู้ว่าฉันไม่สวย ไม่คู่ควรกับเขา แต่เดิมทีพระเจ้าก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว จะให้ตัวฉันเองก็ยังต้องตัดใจเหมือนกันหรือไง ทำไมฉันจะต้องไปชอบคนที่สู้เขาไม่ได้พวกนั้น แค่เพราะว่าคนที่ด้อยกว่าถึงจะเหมาะกับฉันงั้นเหรอ ทำไมฉันจะต้องปลงตกด้วย ทำไมจะต้องยอมแพ้แล้วไปเอาสิ่งที่ดีน้อยกว่าแทน!”
ยิ่งพูดเจิ้งเหวินรุ่ยก็ยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน น้ำตาหลั่งลงมาราวกับฝนตก เธอจ้องเขม็งไปที่เนื้อย่างบนจานตรงหน้าอย่างแค้นเคือง ร่างกายที่แข็งเกร็งสั่นระริกอยู่น้อยๆ แรกเริ่มลั่วจื่อพยายามกลั้นขำที่อีกฝ่ายอยู่ๆ ก็ร่ายบทกลอนระบายความรู้สึกออกมาดื้อๆ รู้สึกเหมือนเธอกำลังแสดงละครอยู่ แต่เมื่อฟังมาถึงตรงนี้เธอกลับรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาเหมือนกันโดยไม่รู้ตัว
ใช่แล้ว ทำไมต้องยอมแพ้ด้วย การกลั่นแกล้งของพระเจ้าก็คือการแสดงให้เธอเห็นแบบแฝงเจตนาร้ายว่าอะไรคือสิ่งสวยงาม จากนั้นมองดูเธอถูกใจอยากได้จนไม่เห็นอย่างอื่นอยู่ในสายตา แล้วค่อยเก็บมันกลับไปพร้อมบอกเธอว่า ‘เลิกฝันได้แล้ว’ ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักนิด
เพราะแบบนี้พวกเราถึงได้ไม่ยอมแพ้
พระเจ้าแสดงความอยุติธรรมแบบเปิดเผย แต่คนธรรมดาก็รักษาสิทธิ์ที่จะดื้อรั้นเอาไว้
ลั่วจื่อคิดไปคิดมาก็หยักยกมุมปากเป็นรอยยิ้มขมขื่นออกมาโดยไม่รู้ตัว
นับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ‘เขา’ ที่เจิ้งเหวินรุ่ยพูดถึงก็คือเซิ่งไหวหนาน ถึงแม้ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่มีใครพูดชื่อเขาขึ้นมาเลยก็ตาม
เธอรักเขา แต่เขาไม่รักเธอ นี่เป็นปัญหาที่น่าเบื่อที่สุด ซ้ำยังเรื้อรังมานาน เจิ้งเหวินรุ่ยชอบเขามาตั้งแต่มัธยมปลายปีที่หนึ่ง เธอสารภาพรักแล้วถูกปฏิเสธ ตอนหลังเขามีแฟน เธอเลยสาบานว่าจะตัดใจ หลังจากนั้นตอนเข้ามหาวิทยาลัย เขาเลิกกับแฟนแล้ว เธอเลยรวบรวมความกล้าไปสารภาพรักอีกครั้ง จากนั้นถูกปฏิเสธด้วย ‘รอยยิ้มที่อบอุ่นมาก’ อีกครั้งเช่นกัน
ทั้งหมดที่ลั่วจื่อทำมีแค่การยิ้มน้อยๆ หรือถอนหายใจในเวลาที่เหมาะสม คู่กับการส่ายหน้าหรือพยักหน้าและยังมีแววตาเป็นห่วงเป็นใย
เจิ้งเหวินรุ่ยบอกว่าการแอบรักทรมานเกินไป ตอนที่รู้ว่าเขามีแฟน เธอทำให้ทุกคนในโรงเรียนเห็นตัวเองออกกำลังกายในชุดที่บางมาก การถูกหัวเราะเยาะแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองสมควรโดนแล้ว มีความสุขกับการแดกดันตัวเอง
นั่นเป็นการทำเรื่องโง่ๆ ครั้งสุดท้ายตอนมัธยมปลายของเธอ
แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้
เจิ้งเหวินรุ่ยบอกว่าเดิมทีเธอหลงคิดว่าลืมได้ วางลงได้แล้ว แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเผลอไปศึกษาจุดเด่นของแฟนเก่าเขาอย่างเอาจริงเอาจังจนได้ ปั้นตัวเองให้เป็นผู้หญิงที่สดใสและแสบซ่าส์
ลั่วจื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทว่าเกิดความรู้สึกที่อ่อนโยนมากขึ้นมาในใจ ผู้หญิงประหลาดคนนี้ดูเหมือนจะไม่เข้าใจวิธีการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีๆ ด้วย แต่ว่าเธอไม่อยากหัวเราะเยาะลูกไม้โง่งมของอีกฝ่าย
กลุ่มเพื่อนสนิทผู้หญิงมักจะรวมตัวปรึกษากันว่าจะช่วยเพื่อนจับหรือเล่นกับหัวใจผู้ชายยังไง อย่างไรก็ตามลั่วจื่อชื่นชมเด็กโง่ที่ต่อสู้ตามลำพังคนนี้มากกว่า
กล้าที่จะทำอะไรตามลำพัง ไม่รู้ว่าหมายถึงแบบนี้หรือเปล่า
แน่นอนว่าเธอเองก็ต้องยอมรับว่าเธอชอบดูชีวิตผู้กล้าที่รันทด ไม่อาจปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีปัญหาทางจิตที่แอบยินดีในความทุกข์ของคนอื่น
สุดท้ายเจิ้งเหวินรุ่ยเมาเต็มที่แล้ว ไม่ได้พูดอะไรเลอะเลือนขาดๆ ตอนๆ อย่าง ‘ความจริงฉันตาสว่างแล้วตอนนี้ก็ไม่ได้แคร์เขาเท่าไหร่แล้ว’ เธอเรียกศักดิ์ศรีกลับมาอีกครั้ง แต่ยังคงฟุบนอนสะอื้นไห้เบาๆ อยู่บนโต๊ะ ในที่สุดลั่วจื่อก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วย้ายสายตาไปยังกระจกด้านขวามือด้วยสีหน้าโล่งอกและเย็นชา ยามเย็นในฤดูใบไม้ร่วงของปักกิ่งน่าหดหู่มาก อุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างด้านในและด้านนอกร้านปิ้งย่างทำให้บนหน้าต่างมีหยดน้ำเกาะอยู่หนาแน่น
ลั่วจื่อหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาอย่างหยั่งเชิงก่อนยกดื่มลงไป
ทุกคนต่างเป็นคนที่ไม่ถูกรักกันทั้งนั้น แต่ตัวเธอเองไม่ได้เข้มแข็งกล้าหาญแบบนั้น จึงได้แต่ดื่มเบียร์แสดงความนับถือให้
บนโลกใบนี้มักมีคนประเภทหนึ่งที่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว การมีตัวตนอยู่ของเขาเรียกว่าเป็นการเย้ยหยันกันโดยสิ้นเชิงยกตัวอย่างเช่นคนอย่างเซิ่งไหวหนาน
“จริงด้วย เธอกับแฟนเก่าเขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกันใช่ไหม”
ลั่วจื่อสะดุ้งตกใจ เธอคิดว่าอีกฝ่ายนอนหลับเป็นตายไปแล้ว
“ใช่”
“สนิทกันไหม”
“ไม่สนิท”
“งั้นตอนนี้ยังติดต่อกันไหม”
“เปล่า”
จู่ๆ เจิ้งเหวินรุ่ยก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา “คนโกหก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.