บทที่สาม
เขายิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ ทำเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะหันร่างกลับแล้วเดินไปยังข้างโต๊ะ
ฟู่หลันหยาพลันรู้สึกว่าสถานการณ์เผชิญหน้ากันที่คอยกดดันอยู่เหนือกระหม่อมได้สลายไปอย่างรวดเร็ว ร่างที่เขม็งเกร็งก็ผ่อนคลายลงทันใด
เพราะนอกจากเศษยาพิษในซอกเล็บและยาถอนพิษในชายแขนเสื้อแล้ว นางยังซ่อนตำราเก่าเล่มหนึ่งที่มารดาทิ้งเอาไว้ให้ในเสื้อตัวในด้วย ตำราเล่มนี้บางมาก บนหน้าปกเขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่นางอ่านไม่เข้าใจ แม้ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใด แต่ในเมื่อเป็นสิ่งของที่มารดาเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า นางก็ไม่มีทางยอมให้มันตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเป็นอันขาด
ผิงอวี้เดินไปนั่งลง แล้วปลดดาบซิ่วชุนที่เหน็บเอวไว้ออกมาวางบนโต๊ะ มองดูฟู่หลันหยาที่เหมือนจะมองตอบเขาแต่แท้จริงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ฟู่หลันหยาสู้สายตากับเขาอย่างทระนงองอาจ ผ่านไปเนิ่นนานก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเขาดุจคันฉ่องที่สะท้อนภาพออกมาอย่างเที่ยงตรง คล้ายมองทะลุเข้าไปในความคิดของนางได้อย่างหมดจด นางใจเต้นราวกับรัวกลอง แม้ฝืนทำทีเป็นไม่ยี่หระ ทว่าเหงื่อเย็นก็ยังซึมออกมาที่แผ่นหลัง
คนผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก รับมือได้ยากกว่าที่คิดไว้ เขาไม่เพียงคาดเดาวิธีการวางยาพิษได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น กระทั่งตอนเปิดปากถามก็ยังถามได้ตรงจุด ยิ่งฉลาดเพียงไรก็ยิ่งไม่ชอบที่ใครจะมาแสดงความคลางแคลงใจต่อข้อสรุปของเขา ในเมื่อเขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไร้จุดมุ่งหมาย หากนางยังพยายามแก้ต่างออกไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะยิ่งไปกระตุ้นให้เขาโกรธ มิสู้ทำเป็นนิ่งเฉยเสียดีกว่า
แม้ผิงอวี้จะเห็นฟู่หลันหยาทั้งไม่พูดและไม่แสดงท่าทีกรุ่นโกรธออกมา แต่เขาก็ยังมีวิธีบีบให้นางเปิดปากพูดได้ ถึงอย่างนั้นเมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียด เขาก็ยังไม่อาจกระจ่างถึงแรงจูงใจที่ทำให้นางฆ่าคนอยู่ดี ทว่าการทำให้คนถึงตายก็มีเพียงสามเหตุผลเท่านั้น หนึ่งคือผลประโยชน์ สองคือแก้แค้น และสามคือความรัก
เกิดเหตุพลิกผันขึ้นกับครอบครัวของฟู่หลันหยาเช่นนี้ คงมีแต่คนที่เสียใจจนเป็นบ้าไปถึงได้กล้าฆ่าคนเพื่อความรักและผลประโยชน์ในเวลานี้ การสังหารคนเก่าคนแก่ที่รับใช้มาหลายปีมากกว่าครึ่งน่าจะเป็นเพราะจับได้ว่าคนผู้นั้นตระบัดสัตย์หักหลังผู้มีพระคุณ
คิดถึงตรงนี้ความคลางแคลงก็ผุดขึ้นในใจเขาทันที
ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด เมื่อครู่นี้พอหวังซื่อเจาเห็นพ่อบ้านโจวกลายเป็นคนเสียสติ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักดาบออกมาจะแทงพ่อบ้านโจว กระบวนท่าหมายเอาชีวิต
ต่อให้พ่อบ้านโจวไม่ถูกวางยาจนตายก็คงจะถูกหวังซื่อเจาปลิดชีพในดาบเดียวอยู่ดี
หวังซื่อเจาทำเช่นนี้ทำให้สงสัยได้ว่าอาจต้องการฆ่าปิดปาก
แม้จะบอกว่าหวังซื่อเจาเป็นคนจำพวกกระสอบฟางดูไม่เอาไหน แต่หวังหลิงอาของเขากลับถือเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เดาได้ไม่ยากว่าพ่อบ้านโจวผู้นี้เป็นหมากตัวหนึ่งที่หวังหลิงวางไว้ข้างกายฟู่ปิง
แต่ที่ทำให้เขายังงุนงงก็คือทั้งที่ฟู่ปิงถูกตีตรวนเข้าคุกไปตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว เหตุใดยังมีการใช้งานพ่อบ้านโจวอยู่อีก มิเช่นนั้นฟู่หลันหยาคงไม่อาจจับพิรุธจนนำมาสู่การลอบวางยาพิษสังหารเช่นนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่านอกจากพ่อบ้านโจวจะถูกใช้ให้มาเล่นงานฟู่ปิงแล้วยังมีเจตนาแอบแฝงอันชั่วร้ายต่อฟู่หลันหยาด้วย
ช่างน่าขันนัก หวังหลิงที่ฉลาดมาชั่วชีวิต เกรงว่าแม้แต่ฝันก็คงคิดไม่ถึงว่าหมากตัวนี้ของตนเองจะถูกหญิงสาวผู้หนึ่งกำจัดทิ้งไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว
เขามองฟู่หลันหยา สายตาแฝงการสำรวจตรวจสอบ ไม่รู้ว่านางมีสิ่งใดที่หวังหลิงหวาดกลัวหรือต้องการ จนถึงขั้นที่ตัวอยู่ห่างไกลนับพันหลี่ก็ยังหาหนทางจัดการกับนางให้ได้
เงียบกันไปนานพักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจว่าจะระงับเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว ในเมื่อระแคะระคายเงื่อนงำบางประการของเรื่องนี้แล้ว มิสู้รอดูว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่เงียบๆ ดีกว่า ขอเพียงฟู่หลันหยาอยู่ข้างกายเขา หวังหลิงและหวังซื่อเจาจะต้องเผยพิรุธออกมาแน่
ฟู่หลันหยาคอยสังเกตสีหน้าของเขาอยู่อีกด้านด้วยสายตาเย็นชา งุนงงสงสัยยิ่งนักที่จู่ๆ เขาก็เลิกซักไซ้ไล่เลียงเสียอย่างนั้น ในใจรู้ดีว่าเขาคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปง่ายๆ จึงรู้สึกเครียดเกร็งตลอดเวลา มีท่าทีระแวดระวังอยู่ทุกห้วงขณะ
ใครเลยจะรู้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ผิงอวี้กลับหยิบดาบซิ่วชุนแล้วลุกขึ้น เดินเฉียดผ่านนางไปเปิดประตูแล้วก้าวเดินออกจากห้อง ไม่แม้แต่หันมาชำเลืองมอง
หวังซื่อเจารออยู่นานแล้วเพิ่งเห็นผิงอวี้กับฟู่หลันหยาเดินตามกันออกมาจากห้องด้านข้าง เห็นทั้งสองเสื้อผ้ายังเรียบร้อยดี สีหน้าก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แม้จะสงสัยว่าผิงอวี้อาจฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวนางแล้ว แต่ความหึงหวงในใจก็บรรเทาลงได้ในที่สุด ไม่ได้หงุดหงิดอีกต่อไป
พอผิงอวี้ออกมาแล้วก็เพียงกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาค้นตัวคนรับใช้อื่นๆ ของจวนสกุลฟู่ต่อ แต่ไม่ได้เอ่ยถึงการตรวจค้นฟู่หลันหยาเมื่อครู่นี้แม้แต่คำเดียว
พอตรวจเสร็จย่อมจะไม่พบอะไร ผิงอวี้พยักหน้าแล้วพูดอย่างผยองว่า “หลังเกิดเรื่อง ค้นตัวผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุจนครบแล้ว กลับไม่พบหลักฐานว่ามีการวางยาพิษ คิดแล้วคงจะเป็นไปตามที่รองผู้บัญชาการหวังบอกเมื่อครู่ว่าพ่อบ้านโจวตายเพราะหัวใจวาย เรื่องนี้จึงให้ยุติแต่เพียงเท่านี้” เขาหันไปหาผู้ใต้บังคับบัญชา “หลี่หมิน เฉินเอ่อร์เซิง พวกเจ้าสองคนเคลื่อนย้ายศพคนผู้นี้ไปให้ท่านเจ้าเมืองจัดการ คนที่เหลือให้ทำการตรวจยึดทรัพย์ต่อไป”
ทุกคนพากันขานรับคำสั่ง แยกย้ายกันไปทำงาน
ฟู่หลันหยาได้ฟังเช่นนี้ก็รู้ว่าผิงอวี้หาข้ออ้างอื่นขึ้นมากลบเกลื่อนอย่างฉับพลัน เขาจะต้องมีเหตุผลอื่นแน่ แต่นางเหน็ดเหนื่อยมากแล้วทั้งร่างกายและจิตใจ จึงไม่อาจขบคิดถึงความนัยของเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งไปกว่านี้ได้ นางเพียงกอดแม่นมหลินไม่พูดไม่จา แล้วผล็อยหลับไปในอ้อมกอดนั้นตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
แม่นมหลินใจสั่นด้วยความกลัวราวกับถูกแขวนค้างไว้กลางอากาศ เห็นฟู่หลันหยาสีหน้าซีดขาว คิดว่าคุณหนูถูกใต้เท้าผู้นั้นกักไว้ในห้องอยู่นาน ไม่รู้ว่าถูกหยามหมิ่นอย่างไรบ้าง อยากจะซักถามก็เกรงว่าอีกฝ่ายได้ยินแล้วจะยิ่งรู้สึกเจ็บปวด จึงไม่กล้าพูดอะไรไปพักหนึ่ง
พอเห็นฟู่หลันหยาเริ่มสะลึมสะลือ แม่นมหลินก็เอาเสื้อคลุมกันลมมาห่อร่างอีกฝ่ายไว้พลางตบปลอบและกระซิบแผ่วเบา กระทั่งฟู่หลันหยาหลับสนิท นางจึงค่อยถอนหายใจเบาๆ
การตรวจยึดทรัพย์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องถึงตอนเที่ยงของวันถัดมา จึงจะเสร็จสิ้น
ระหว่างนั้น ผิงอวี้คิดได้ว่าการพาคนจำนวนมากเดินทางระยะไกลทำได้ไม่ง่ายนัก จึงให้นำตัวพวกคนรับใช้ของสกุลฟู่ไปยังที่ว่าการเมืองชวีจิ้ง แล้วส่งมอบให้เจ้าเมืองนำตัวไปขายหรือยึดทรัพย์ปรับโทษตามระเบียบของราชสำนัก
เพียงครึ่งวันจวนสกุลฟู่อันยิ่งใหญ่ก็เหลือเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนกับองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ แม่นมหลินที่มีฐานะเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของสกุลฟู่ถือว่ามีประโยชน์ต่อการสรุปคดี ผิงอวี้ยังพอมีเมตตาอยู่บ้าง จึงไม่ได้ให้ขายนางไปพร้อมกับคนรับใช้คนอื่นๆ
หลังจากกินอาหารกลางวันอย่างลวกๆ ฟู่หลันหยาและแม่นมได้รับอนุญาตให้เก็บข้าวของสำหรับเดินทางแค่เพียงไม่กี่อย่าง เพราะเป็นกลางฤดูคิมหันต์ เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงไม่ได้หนาชั้น เสื้อผ้าแพรพรรณอันล้ำค่าถูกริบไว้ชั่วคราว ทั้งสองจึงเก็บข้าวของได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
แม้เป็นเพียงการเก็บสัมภาระสำหรับเดินทาง แต่ก็ยังมีองครักษ์เสื้อแพรคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ คิดแล้วคงจะกลัวว่าพวกนางนายบ่าวจะชิงฆ่าตัวตายหรืออาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นก็เป็นได้
ในใจฟู่หลันหยารู้สึกเศร้าหมองตลอดเวลาที่เก็บข้าวของ ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ออกจากจวน ฟู่หลันหยาเห็นรถม้าสองคันจอดอยู่ประตูหน้า ด้านหน้ารถแขวนม่านหนาหนักไว้ คนภายนอกไม่อาจมองเห็นภายในรถได้ รถสองคันนี้ใช้สำหรับนำตัวพวกนางนายบ่าวเดินทางไปนั่นเอง องครักษ์เสื้อแพรเหน็บดาบแล้วโดดขึ้นหลังม้า ก่อนประกบด้านหน้าและหลังของรถม้าเอาไว้
ฟู่หลันหยาเดินไปที่ด้านหน้ารถอย่างเงียบๆ นางหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองจวนสกุลฟู่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
นางจำได้ มารดาเคยเล่าให้ฟังว่ายี่สิบปีก่อนตอนที่บิดาของนางได้รับแต่งตั้งให้ออกไปรับตำแหน่งข้างนอกครั้งแรก เขาก็ได้ประจำการที่เมืองชวีจิ้ง ตอนนั้นภายในดินแดนอวิ๋นหนานมีชาวอี๋คอยก่อความวุ่นวายอยู่เนืองๆ ชวีจิ้งที่ถือเป็นชัยภูมิสำคัญจึงถือเป็นแดนเถื่อนที่แสนอันตราย
บิดาของนางในฐานะเจ้าเมืองชวีจิ้งเผชิญอันตรายอย่างไม่นึกหวาดหวั่น ก่อนที่ทหารกองหนุนของมู่อ๋องซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่อวิ๋นหนานจะยกทัพมาช่วย บิดาได้นำทหารและชาวบ้านรักษากำแพงเมืองเอาไว้อย่างยากลำบาก ต่อต้านชาวอี๋อยู่สามวันสามคืน มีผลงานอันโดดเด่นในการศึกสงครามปราบปรามชาวอี๋
หลังสงครามยุติ มู่อ๋องถวายฎีกากราบทูลว่าเป็นผู้มีความชอบ และได้สนับสนุนชื่นชมบิดาของนางเป็นอันมาก ภายหลังบิดาของนางจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นที่ปรึกษาฝ่ายขวาของสำนักการปกครอง ประจำการที่อวิ๋นหนานอยู่สามปี
ช่วงสามปีนี้เอง บิดาของนางได้แต่งงานกับมารดาและให้กำเนิดฟู่เหยียนชิ่งผู้เป็นพี่ชายของนาง ได้ยินมาอีกว่าจวนเก่าหลังนี้ก็ถูกสร้างขึ้นในตอนนั้นเอง
หลังจากนั้นมา เนื่องจากความชอบที่ได้ช่วยมู่อ๋องปราบปรามการก่อจลาจลและทำให้ดินแดนภายในของอวิ๋นหนานสงบราบคาบลงได้ในที่สุด บิดาของนางจึงได้ย้ายกลับเข้าเมืองหลวง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างราบรื่นเรื่อยมา
พูดได้ว่าเมืองชวีจิ้งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตการเป็นขุนนางของบิดา จากขุนนางสามัญเป็นขุนนางผู้เรืองอำนาจแห่งยุค ชวีจิ้งจึงถือเป็นเสมือนหลักศิลาที่บิดาได้สร้างผลงานไว้อย่างมาก ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เวลาผันผ่านเรื่องราวก็ผันแปร เกรงว่าแม้แต่ตัวบิดาของนางเองก็คงคาดไม่ถึงว่ายี่สิบปีให้หลัง เขาจะได้กลับไปยังอวิ๋นหนานอีกครั้ง ทั้งยังถูกกระหน่ำตีจนร่วงหล่นลงมาจากยอดเมฆชนิดที่ตั้งตัวไม่ทันอีกด้วย
นางทอดถอนใจแผ่วเบาแล้วถอนสายตากลับมา หันหลังก้าวขึ้นรถม้า หนทางข้างหน้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ นางไม่มีเวลาจะมาเสียอกเสียใจ ขอเพียงบิดายังมีชีวิตอยู่ต่ออีกวัน นางจะไม่ยอมถอดใจยอมแพ้อย่างเด็ดขาด
เพราะช่วงหลายวันมานี้พวกชาวอี๋ก่อความวุ่นวาย ดินแดนภายในของอวิ๋นหนานจึงไม่สงบสุขนัก
ผิงอวี้คงกังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างไม่คาดคิด หลังออกจากเมืองชวีจิ้งแล้วจึงไม่ใช้ทางลัดแต่ใช้ถนนหลวงสายใหญ่ แม้จะทำเช่นนี้ ตลอดเส้นทางที่ผ่านก็ยังได้พบเห็นคนเร่ร่อนที่มีใบหน้าซีดเหลืองผ่ายผอมจำนวนไม่น้อย
ถึงยามย่ำค่ำ คณะเดินทางก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ผิงอวี้เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ยังอยู่ห่างจากจุดพักเปลี่ยนม้าถัดไปเป็นระยะเดินทางกว่าครึ่งราตรี จึงรั้งม้าแล้วสั่งให้พักแรมที่นี่
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงถนนหลวงตามเส้นทางออกจากชวีจิ้งมุ่งสู่เมืองชวีถัว ทุกวันจะมีคนผ่านทางแวะกินอาหารและพักแรมที่นี่มากมาย มีขุนนางและพ่อค้าสัญจรผ่านไปมาไม่น้อย เรียกได้ว่ามีผู้คนที่แตกต่างหลากหลายปะปนกัน
เมื่อคืนฟู่หลันหยาแทบนอนไม่หลับ ยามนี้จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ขึ้นรถม้าก็ซุกอยู่ในอ้อมอกแม่นมหลินแล้วงีบหลับ แม่นมหลินนั่งตัวตรงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ไม่อาจทนความง่วงงุนได้ไหว พอฟู่หลันหยาหลับไปได้ไม่นานนางก็ผล็อยหลับตามไป พากันหลับไปทั้งสองคน
อาจเพราะกินยาถอนพิษเข้าไป ขณะที่ฟู่หลันหยานอนหลับจึงไม่ฝันร้าย นางได้หลับลึกเสียที
ตราบจนมีเสียงหวังซื่อเจาดังขึ้นอยู่นอกรถม้า ทั้งนายและบ่าวจึงได้ตกใจตื่นขึ้น
ก่อนจะลงมาจากรถม้า แม่นมหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเสี่ยงให้ตนเองถูกใต้เท้าองครักษ์เสื้อแพรตะคอกใส่ หยิบหมวกม่านแพรไปให้ฟู่หลันหยาสวม
ตอนแรกหวังซื่อเจาเห็นว่าโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมีผู้คนมากหน้าหลายตา นึกถึงว่าฟู่หลันหยามีหน้าตาโดดเด่นสะดุดตา เดิมทีเขาลังเลว่าจะต้องไล่แขกเหรื่อคนอื่นๆ ออกไปจากที่นี่หรือไม่ ไม่คิดเลยว่าพอเงยหน้ามองก็เห็นฟู่หลันหยาสวมหมวกม่านแพรเดินลงมา เขาประหลาดใจนัก นี่นับว่าช่วยแก้ปัญหาที่เขากำลังคิดอยู่ในใจได้พอดี
เขาชำเลืองมองไปยังผิงอวี้แวบหนึ่ง เห็นผิงอวี้เพิ่งจะพลิกร่างลงจากหลังม้า พอลงมาแล้วก็ส่งแส้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างหลัง ก่อนสาวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม ท่าทางคล้ายไม่แยแสฟู่หลันหยาสักนิด
หวังซื่อเจาหันหน้าไปมองฟู่หลันหยา สายตาจับจ้องม่านแพรซึ่งบดบังใบหน้านางอยู่นานครู่หนึ่ง น่าเสียดาย ใบหน้าของนางปรากฏเพียงเลือนรางหลังม่านแพรจนเห็นได้ไม่ชัด เขาจำต้องบอกว่า “คุณหนูฟู่ วันนี้พวกเราเดินทางต่อไม่ได้แล้ว ต้องพักอยู่ที่นี่ก่อนหนึ่งคืนแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”
หากฟู่หลันหยามิใช่สาวงามที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันนานสองปี เขามีความจำเป็นใดต้องมาอธิบายให้บุตรีของขุนนางต้องโทษฟังด้วยเล่า ยามนี้นางมาอยู่ตรงหน้าแล้ว โอกาสที่จะได้อยู่กันตามลำพังแทบไม่มี เขาจึงอยากจะหาโอกาสพูดคุยกับนางเท่านั้นเอง
ฟู่หลันหยาเห็นเขาเป็นคนหยาบโลนก็เพียงหัวเราะหยันในใจ ไม่ได้โต้ตอบเขา
แม่นมหลินเห็นสายตาหวังซื่อเจาไร้ความสุภาพเอาแต่กวาดตามองเรือนร่างของฟู่หลันหยา นางนึกฉงนใจนักที่คนผู้นี้ถึงกับกล้าทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้ จึงทั้งโมโหระคนหวาดกลัว นึกรังเกียจเขาจนไม่อยากข้องแวะด้วย
หวังซื่อเจาเห็นฟู่หลันหยาไม่สนใจตนเองก็ไม่ยอมเลิกรา ยังหาเรื่องจะพูดคุยด้วย แต่กลับมีเสียงพวกองครักษ์เสื้อแพรร้องเรียกจากทางด้านหลังเสียก่อน “ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าผิงถามว่าเหตุใดบุตรีขุนนางต้องโทษยังไม่เข้ามาอีก ยังถามด้วยว่าท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่ ขอให้ท่านอย่าชักช้า รีบนำตัวนางเข้ามาเร็วๆ”
คำพูดนี้มีแววยั่วเย้าอยู่หลายส่วน หวังซื่อเจาได้ยินก็ได้แต่กรุ่นโกรธอยู่ในใจ แม่นมหลินกลับโล่งอก รีบประคองฟู่หลันหยาเดินอ้อมหวังซื่อเจาเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ฟ้าสีเข้มเข้าสู่ยามพลบค่ำแล้ว โรงเตี๊ยมจุดโคมไฟไว้ทั้งสองด้าน ทิ้งเงาผืนใหญ่ทอดไว้บนพื้นดิน เงานั้นสั่นไหววูบวาบไปตามสายลม
พอเข้ามาแล้วฟู่หลันหยาก็กวาดมองภายในโรงเตี๊ยมผ่านม่านหมวกแพร ตอนนี้จึงเพิ่งพบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ดูกว้างขวางกว่าที่ตนเองคิดไว้มาก มีสองชั้น คิดว่าคงจะมีห้องพักไม่น้อย ทางห้องโถงใหญ่ก็จัดวางโต๊ะอาหารไว้อย่างเป็นระเบียบสิบกว่าตัว
แม้โต๊ะอาหารจะวางไว้ไม่ห่างกันมากนัก แต่ดูแล้วกว้างขวาง มีลูกค้านั่งกระจายกันอยู่สิบกว่าคน กำลังร่ำสุราพลางพูดคุยสรวลเสเฮฮา ดูแล้วคงจะไม่ลุกออกไปเร็วๆ นี้
ขณะฟู่หลันหยาเดินผ่านกลางห้องโถง ก็สัมผัสได้ว่าแม้ลูกค้าของร้านจะแต่งกายด้วยชุดชาวจงหยวน ทว่าในนั้นมีสองสามคนที่โหนกแก้มสูงจมูกโด่ง เบ้าตาลึก เห็นได้ชัดว่าเป็นชาวอี๋
นางหลุบตาลงด้วยความประหลาดใจ ปกติองครักษ์เสื้อแพรมักทำงานอย่างวางท่าทางใหญ่โต ทั้งระหว่างทางที่มาก็มิได้ราบรื่นนัก นางยังคิดว่าผิงอวี้คงจะ ’เชิญ’ ลูกค้าทั้งหลายออกไปโดยอาศัยตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่คาดฝัน คิดไม่ถึงว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบเรียบร้อยโดยไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เดินไปถึงด้านในสุดของห้องโถงกลาง ฟู่หลันหยาก็มองเห็นผิงอวี้ที่เข้ามาก่อนกำลังเอามือไพล่หลังพลางประเมินสถานที่โดยรอบ มีชายวัยกลางคนท่าทางอู้ฟู่อยู่เบื้องหน้าเขา ดูแล้วน่าจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ กำลังยิ้มประจบเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่เคยเห็นคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยเยี่ยงท่านมาก่อน ยามนี้ห้องพักชั้นล่างมีแขกเข้าพักไม่น้อย เกรงว่าคงไม่พอให้พวกใต้เท้าเข้าพักได้ทุกคน ชั้นสองนั่นมีห้องพักติดกันสองห้อง แต่เพราะข้างในมีห้องอาบน้ำด้วย จึงมีราคาแพงเอาการ แพงกว่าห้องพักชั้นล่างถึงเท่าตัว…”
เขาพูดไปก็คอยสังเกตสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของผิงอวี้ พูดยังไม่ทันจบ รอยยิ้มบนหน้าผิงอวี้ก็หายไปหลายส่วน จึงตระหนกตกใจจนขวัญหาย รีบแก้คำพูดว่า “ใต้เท้าอุตส่าห์ให้เกียรติมาพักยังที่พักอันต่ำต้อยของข้าน้อย เอาเช่นนี้เถิด อย่าว่าแต่ห้องพักสองห้องเลย ต่อให้พวกใต้เท้าทุกคนจะพักที่ชั้นล่างก็จะไม่คิดค่าห้องพัก คิดเสียว่านี่เป็นการเลี้ยงต้อนรับใต้เท้าทั้งหลายจากข้าน้อย”
ใครเลยจะรู้ว่าผิงอวี้กลับบอก “วางใจเถอะ ข้าจ่ายเงินแน่ แต่พวกคนของข้าตรากตรำหลายวันติดๆ กัน ไม่ได้นอนเต็มตื่นนานแล้ว คืนนี้พอพวกข้าเข้าพัก เจ้าก็อย่ารับลูกค้าอื่นอีก จะได้ไม่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายจนไม่ได้หลับได้นอนกัน”
เถ้าแก่รีบพยักหน้ารับปาก “ย่อมต้องทำเช่นนี้! ย่อมต้องทำตามท่านว่า! ใต้เท้าโปรดวางใจ อีกสักครู่ข้าน้อยจะไปแขวนป้ายไว้ข้างนอกบอกว่าแขกเต็มแล้ว จะไม่ปล่อยให้ลูกค้าเข้ามาอีกแล้วขอรับ”
ถึงตอนนี้ผิงอวี้จึงค่อยพยักหน้าพอใจ สั่งให้เถ้าแก่พาพวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปดูห้องพัก แล้วส่งคนให้ออกไปข้างนอกนำม้าไปที่คอก ให้ดื่มน้ำกินหญ้า
ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดเมื่อครู่อย่างชัดเจน ห้องพักที่ค่อนข้างดีอยู่ติดกันก็คือห้องพักที่ชั้นบน ส่วนห้องพักที่เหลือซึ่งด้อยกว่าอยู่ชั้นล่าง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่เดินทางมาในคราวนี้ นอกจากผิงอวี้แล้ว ก็มีเพียงหวังซื่อเจาที่มีตำแหน่งสูงที่สุด ระหว่างทางตอนขามา พอเจอสถานการณ์เช่นนี้ เดิมทีก็จะให้เกียรติผิงอวี้กับหวังซื่อเจา ทุกคนจึงพากันคิดว่าห้องพักชั้นบนสองห้องนั้นจะต้องเป็นห้องพักของผิงอวี้กับหวังซื่อเจาแน่นอน แม้แต่หวังซื่อเจาเองก็ยังคิดเช่นนี้
ตอนนั้นหวังซื่อเจาจึงไม่รีบเดินขึ้นชั้นบน ได้แต่แอบคาดเดาในใจ ไม่รู้ว่าผิงอวี้จะจัดการให้ฟู่หลันหยาพักอย่างไร
หวังซื่อเจารู้ดีว่าผิงอวี้มักจะแสดงความเห็นขัดแย้งกับเขาอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก จึงได้แต่รอดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ป้องกันไม่ให้กลายเป็นการสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่ายขึ้นมา
ฟู่หลันหยารออยู่ครู่หนึ่ง เห็นผิงอวี้ไม่ได้จัดแจงให้นางกับแม่นมหลินไปพักที่ห้องเก็บฟืนในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม นางก็ลังเลว่าต้องเดินตามหลังคนอื่นๆ ไปหาห้องพักเองหรือไม่ เพิ่งจะออกเดินกับแม่นมหลินได้สองก้าว จู่ๆ ผิงอวี้ก็เรียกไว้ “ช้าก่อน”
นางจำต้องหยุดก่อน แล้วได้ยินผิงอวี้พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “เจ้าไปพักชั้นบน”
พอพูดคำนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่อ่านยาก ฝ่ายหวังซื่อเจานั้นทั้งตกใจทั้งโมโห
ให้ฟู่หลันหยาพักที่ชั้นบนเช่นนี้ ผิงอวี้มีหรือจะยอมไปพักห้องชั้นล่าง
คิดไว้ไม่ผิดจริงๆ เมื่อคืนตอนที่ตรวจค้นตัวฟู่หลันหยาในจวนสกุลฟู่ ผิงอวี้คงได้ ‘ลิ้มลอง’ นางไปบ้างแล้ว ครานี้เพื่อตักตวงเอาประโยชน์ส่วนตนก็ถึงกับไม่รักษาหน้าตนเองเชียวหรือ
ผิงอวี้ทำทีเป็นไม่สังเกตเห็นแววตาโกรธแค้นของหวังซื่อเจา เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนหันไปมองฟู่หลันหยาที่ยังคงยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนไปที่ใด แสร้งทำทีตกใจเอ่ยว่า “คุณหนูหลู! ยังมัวยืนงงอะไรอยู่ ขึ้นไปได้แล้ว หรือจะให้ข้า ‘เชิญ’ เจ้าไปด้วยตนเอง”
ห้วงความคิดของฟู่หลันหยายังวนเวียนกับการคาดเดาจุดประสงค์ที่ผิงอวี้ทำเช่นนี้ พอได้ยินเขาพูด นางก็ยิ่งรู้สึกแปลก คุณหนูหลู? ข้าแซ่ฟู่ต่างหาก เปลี่ยนเป็นแซ่หลูตั้งแต่เมื่อใดกัน
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ความคิดกลับมาที่ห้องโถงกลาง สีหน้าแขกเหรื่อของทางร้านยังคงดูเป็นปกติ พูดคุยหัวเราะกันต่อราวกับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติทางด้านนี้เลย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะแสร้งทำทีเหมือนไม่สนใจอย่างไร นางก็ยังรู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังทำหูผึ่งแอบฟังอยู่ตลอด
อันที่จริงตั้งแต่เมื่อครู่นี้นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่จากด้านหลังที่ตามติดราวกับเป็นเงาแล้ว ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีอะไรคอยทิ่มแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลา
ภายในห้องโถงมีแรงกดดันอันลึกลับแอบแฝงอยู่ทุกที่ ทำให้นางไม่สบายใจเอาเสียเลย
ผิงอวี้ยังรอนางอยู่ตรงบันได นางเกาะมือแม่นมหลิน เดินไปหาเขา เป็นอย่างที่นางเห็นเมื่อคืน ผิงอวี้เป็นคนที่มีปัญญาเฉียบแหลมอย่างยิ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การอยู่ใกล้คนที่ฉลาดย่อมหมายถึงการได้ออกห่างจากอันตรายขึ้นอีกหน่อยมิใช่หรือ
นางไม่ได้ทำสีหน้าประหลาดใจอีก เพียงเกาะมือแม่นมหลินค่อยๆ เดินขึ้นไปบนชั้นสอง ทิ้งสายตาเหล่านั้นที่ทำให้รู้สึกราวกับถูกหนามทิ่มแทงไว้เบื้องหลัง
มีเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมสองคนยืนรอตรงทางขึ้นชั้นบน คอยรับผิงอวี้กับฟู่หลันหยาที่เดินตามกันมา แล้วนำพวกเขาไปยังห้องพักสองห้องที่ยังว่างอยู่
สองข้างทางเดินมีห้องพักอยู่ราวๆ ยี่สิบกว่าห้อง ตลอดทางที่เดินผ่านประตูห้องพักทุกห้องล้วนปิดสนิท ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ทางเดินนั้นยาวมาก สุดปลายทางเดินมีหน้าต่างบานหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวงสว่างเรืองอยู่กลางท้องฟ้านอกหน้าต่าง สาดแสงนวลตาเข้ามาดุจสายน้ำไหล ส่องจนทางเดินที่แต่เดิมดูสลัวรางให้สว่างเรื่อเรืองขึ้นมาดุจโรยไว้ด้วยเศษเงินอย่างไรอย่างนั้น
กระทั่งเดินไปถึงสุดปลายทางเดิน เด็กรับใช้ทั้งสองจึงหยุดครู่หนึ่ง เด็กรับใช้คนหนึ่งหันกลับมายิ้มประจบ พูดกับผิงอวี้ว่า “ใต้เท้า นี่เป็นห้องพักสองห้องที่ว่า มาถึงแล้วขอรับ”
แม่นมหลินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าห้องพักสองห้องนั้นอยู่ติดกัน นางพลันนึกสงสัยที่จู่ๆ ก็ได้รับการรับรองที่ดีถึงเพียงนี้ จึงมองผิงอวี้ด้วยสีหน้าหวาดระแวง แอบดึงฟู่หลันหยามาโอบไว้แน่นกว่าเก่า
เด็กรับใช้ผลักประตูห้องพักที่อยู่ใกล้ออก แล้วชูตะเกียงขึ้นส่องภายในห้องให้สว่าง จากนั้นจึงถามผิงอวี้ “ใต้เท้า ไม่ทราบว่าท่านจะพักห้องใดขอรับ”
สีหน้าผิงอวี้ไร้ความรู้สึกขณะกวาดตาประเมินสภาพโดยรอบ แล้วไปหยุดที่หน้าต่างบานใหญ่ซึ่งมีสายลมราตรีฉ่ำเย็นพัดพรูดังซู่ๆ เข้ามาไม่หยุด ชั่วครู่หนึ่งเขาก็ชี้ไปยังห้องที่เด็กรับใช้เปิดประตูไว้แล้ว จากนั้นพูดกับฟู่หลันหยา “เจ้าพักห้องนี้แล้วกัน”
ว่าแล้วก็เดินผ่านหน้าพวกนางสองนายบ่าวไปหน้าห้องพักที่อยู่ตรงสุดโถงทางเดิน สั่งให้เด็กรับใช้มาเปิดประตู
สองนายบ่าวเดินเข้าไปในห้อง แม่นมหลินใช้ผ้าเช็ดหน้าลองเช็ดดู บนผ้ามีฝุ่นน้อยมาก นับว่าสะอาดทีเดียว
เด็กรับใช้ผู้นี้อายุยังน้อย แม้จะเห็นฟู่หลันหยาสวมหมวกม่านแพรปิดบังใบหน้า แต่เรือนร่างอันงดงาม รวมกับท่าทางที่ดูดีมีสง่า ก็รู้ว่านางน่าจะมาจากตระกูลดี เขาจึงไม่กล้ามองมากนัก รีบเดินเข้าไปในห้อง จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะให้
เป็นเพราะยังไม่ทราบว่าฟู่หลันหยากับผิงอวี้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เมื่อหันไปแล้วเขาจึงต้องพูดอย่างคลุมเครือว่า “เอ่อ คุณหนู…ท่านนี้ ห้องพักสองห้องนี้ นอกจากห้องนอนแล้ว ข้างในยังมีห้องอาบน้ำด้วย อีกสักครู่ถ้าท่านอยากจะอาบน้ำ ขอเพียงบอกข้าน้อยมา ข้าน้อยจะยกน้ำร้อนเข้ามาให้ขอรับ”
ฟู่หลันหยามีเหงื่อโซมกายนานแล้ว พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ย่อมไม่ปฏิเสธ จึงขอบคุณแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”
เด็กรับใช้ได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนหวานน่าฟังของนางก็ชะงักไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นค่อยยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยจะรีบไปยกมาให้ขอรับ”
เขารีบสาวเท้าไปที่ประตู ขณะหันมาจะปิดประตูก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ตั้งใจ เห็นคุณหนูผู้นั้นเดินไปนั่งหน้าโต๊ะแล้ว คงจะกระหายจึงหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วยดื่ม
จากมุมที่เขามองไป กิริยาท่าทางของหญิงสาวดูคล่องแคล่วราบรื่นดุจสายน้ำหลากไหลเมฆาล่องลอย ร่างที่เห็นเพียงด้านหลังดูอรชรอ้อนแอ้น เอวบางไม่น่าเกินฝ่ามือโอบ เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาสะดุ้งราวกับโดนไฟร้อนรีบถอนสายตากลับมา ค่อยๆ ปิดประตูลงแล้วเร่งฝีเท้าจากไป
พอเขายกน้ำร้อนเข้ามาให้แล้ว ฟู่หลันหยาจึงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด เอายาถอนพิษเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วนำตำราเก่าเล่มนั้นของมารดาซ่อนไว้ในเสื้อตัวใน
รออยู่พักหนึ่ง ข้างนอกก็มีเสียงคนเคาะประตู เป็นเด็กรับใช้ยกอาหารเย็นมาให้
เพราะแม่นมหลินยังอาบน้ำอยู่ในห้องอาบน้ำ ฟู่หลันหยาจึงเป็นคนขานรับแล้วหยิบหมวกม่านแพรมาสวม จากนั้นเดินไปเปิดประตู
ขณะกำลังยื่นมือไปรับถาดอาหารจากมือเด็กรับใช้ จู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยและหัวเราะแว่วมาเข้าหู ดูเหมือนจะมาจากชั้นล่าง
“พวกใต้เท้าทั้งหลายกำลังกินอาหารกันที่ชั้นล่างขอรับ” เด็กรับใช้เห็นนางมีสีหน้าสงสัย จึงยิ้มแล้วอธิบาย “ใต้เท้าที่พักอยู่ห้องติดกับท่านเพิ่งจะลงไปข้างล่าง สั่งให้ยกสุรามาแจกจ่ายด้วย”
เวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ยังมีแก่ใจมาเสพสำราญ แม้ในใจนางไม่เห็นด้วย แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มไม่ได้ออกความเห็น ยกถาดอาหารแล้วหันหลังกลับนำไปวางที่โต๊ะ
สองนายบ่าวกินอาหารกัน แม่นมหลินรู้สึกเศร้าหมองแทนฟู่หลันหยา จึงกินอาหารไม่ลงสักเท่าไร ใครเลยจะรู้ คุณหนูกลับกินข้าวไปหนึ่งชามเต็มๆ โดยไม่พูดอะไร นางอดจะรู้สึกเจ็บปวดสะเทือนใจไม่ได้ ทั้งที่กำลังเผชิญเคราะห์กรรมอยู่แท้ๆ หาได้ยากนักที่จะไม่ว้าวุ่นใจ นี่คุณหนูยังรู้จักดูแลตนเอง ท่าทางดูเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
พอคิดได้เช่นนี้ แม่นมหลินก็รู้สึกว่าที่ตนเองเอาแต่ทอดถอนใจคร่ำครวญก่อนหน้านี้ล้วนไร้ประโยชน์ รู้สึกมีแรงใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รีบคีบอาหารดีๆ ให้ฟู่หลันหยา ตนเองก็กินไปไม่น้อยเช่นกัน
พอกินอาหารเสร็จ ทั้งนายบ่าวต่างไปนอนพักผ่อนที่เตียง ฟู่หลันหยาเข้าไปนอนด้านใน นางหลับตาลง แต่ไม่กล้าปล่อยร่างให้ผ่อนคลาย ยังคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวที่ด้านนอก
จากที่โถงทางเดินมีเสียงคนเดินไปมาเป็นครั้งคราว บัดนี้กลับมีเสียงฝีเท้าสลับกับเสียงเปิดปิดประตูอยู่ตลอด กลายเป็นไม่เงียบสงบอีกแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยามห้องพักแถบนี้ยังเงียบสงบอยู่แท้ๆ ไฉนจู่ๆ ก็เหมือนกลไกได้ถูกปลุกขึ้นจนมีชีวิตขึ้นมาในชั่วพริบตาเล่า
แม้ฟู่หลันหยาไม่ได้ลืมตา แต่หัวคิ้วก็อดจะขมวดมุ่นไม่ได้
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินขึ้นบันไดมา ฟังให้ดีผู้ที่มาไม่ได้มีเพียงคนเดียว หนึ่งในนั้นฝีเท้าหนักทว่าฟังดูสับสนไม่มั่นคงราวกับคนที่เดินโซเซ ขณะเดียวกันก็มีเสียงพูดคุยแทรกขึ้นด้วย
ยามเดินผ่านห้องพักของฟู่หลันหยา พลันมีคนหัวเราะเอ่ยว่า “หาได้ยากนักที่ใต้เท้าผิงจะดื่มจนเมาเช่นนี้ พอเมาขึ้นมาก็ไม่เห็นมึนงงสับสนแม้แต่น้อย”
อีกคนเสียงพูดดูเหนื่อยหอบราวกับออกแรงแบกของหนัก “อย่าลืมว่าพวกเราเดินทางจากเมืองจิงเฉิงมาส่งผู้ตรวจการอวิ๋นหนานคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง ต้องพากันรีบเร่งเดินทางเพราะกลัวจะเกิดการสู้รบกับชาวอี๋ ที่ผ่านมาไม่เคยได้นอนเต็มตื่นสักครา เรื่องที่ต้องมาทำก็ทำจนเกือบจะสำเร็จทุกเรื่องแล้ว แค่รอให้กลับไปรายงานที่เมืองจิงเฉิงเท่านั้น ใต้เท้าผิงคงรู้สึกสบายใจมากจึงได้ดื่มอย่างเต็มที่เช่นนี้”
ฟู่หลันหยาประหลาดใจเล็กน้อย ฟังดูแล้วเหมือนผิงอวี้จะดื่มจนเมาเลยทีเดียว
รอสักครู่ก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องข้างๆ วุ่นวายอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินจากไป บรรยากาศก็หวนกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
นางนอนเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง คอยฟังเสียงความเงียบสงัดอันผิดปกติที่ด้านนอก คล้ายว่าแม้แต่ลมก็ยังหยุดพัด จู่ๆ นางก็นอนไม่หลับเสียแล้ว จึงผลักแม่นมหลินที่กำลังหลับเบาๆ
ในใจแม่นมหลินห่วงกังวลถึงฟู่หลันหยา จึงไม่กล้าปล่อยให้ตนเองหลับสนิท เพียงแค่ถูกผลักก็ตื่นเต็มตา หันไปมองฟู่หลันหยาด้วยความสงสัย
กำลังจะออกปากถาม ฟู่หลันหยากลับทำท่าให้นางเงียบ แล้วค่อยๆ ดึงนางลุกลงจากเตียง เดินไปที่หน้าโต๊ะพลางดับตะเกียงน้ำมัน จากนั้นก็เทน้ำมันตะเกียงออก หยิบตะเกียงน้ำมันที่หนักอึ้งมาถือไว้
พอทำเช่นนี้แล้ว ฟู่หลันหยาก็จูงมือแม่นมหลินที่กำลังงุนงงสงสัยเข้าไปในห้องอาบน้ำโดยอาศัยแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง แล้วพูดกับแม่นมเบาๆ ว่า “แม่นม ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าข้างนอกมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
แม่นมหลินอ้าปากจะพูดหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงออกมา เห็นสีหน้าฟู่หลันหยาดูเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เหมือนว่ากำลังล้อเล่นสักนิด นางก็อดจะขนลุกเกรียวไม่ได้
เนื่องจากอวิ๋นหนานมีภูเขาสูงและหุบเหวลึก อากาศจึงชื้นกว่าที่อื่น ในห้องอาบน้ำยังคงมีไอน้ำจากการอาบน้ำก่อนหน้านี้ลอยอ้อยอิ่ง นานแล้วก็ยังไม่กระจายตัวออกไป
แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูคิมหันต์ ตอนกลางคืนไม่หนาวเย็น แต่เมื่ออยู่ในอากาศที่ชื้นเช่นนี้นานๆ ฟู่หลันหยาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ราวกับว่าแม้แต่การหายใจก็พลอยทำให้รู้สึกอึดอัดไปด้วย
ทั้งสองนั่งกอดเข่าอยู่หลังอ่างอาบน้ำครู่หนึ่ง พบว่าข้างนอกไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแปลกประหลาดอันใด ทั้งนายและบ่าวแม้จะยังระวังตัว แต่กลับต้านทานความง่วงงุนที่เข้าจู่โจมแทบไม่ไหว
ขณะกำลังฝืนไม่ให้หลับ จู่ๆ ข้างนอกก็มีเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวแว่วมาให้ได้ยิน เสียงนี้ดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างฉับพลันราวกับเสียงสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน ทั้งสองจึงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ฟู่หลันหยาหัวใจเต้นโครมคราม พยายามกลั้นหายใจจนสุดความสามารถ แอบมองออกไปโดยอาศัยอ่างอาบน้ำใบใหญ่ช่วยกำบังไว้
รอจนเห็นสภาพภายนอกชัดเจน ความรู้สึกสั่นสะท้านหวั่นกลัวก็ค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วร่างอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
บนพื้นห้องซึ่งเดิมทีอาบด้วยแสงจันทร์มีเงาสีดำร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ เงาดำนั้นไม่ขยับเขยื้อน มันหมอบอยู่บนขอบหน้าต่างราวกับว่ากำลังพิเคราะห์สถานการณ์ในห้องอย่างระมัดระวังยิ่ง
ผ่านไปสักพัก คนผู้นั้นก็กระโดดลงมา ไม่ทราบว่าตัวเขามีสิ่งใดผิดแปลก เวลาขยับเคลื่อนตัวจึงแทบไม่เกิดเสียงดังเลยแม้แต่น้อย
รอจนเขาค่อยๆ เดินมาอยู่กลางห้อง เห็นร่างที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างชัดเจน ฟู่หลันหยากับแม่นมหลินมองไปก็แทบต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจึงห้ามไม่ให้ตนเองฟันกระทบกันด้วยความพรั่นพรึงได้
ร่างของคนผู้นั้นทั้งเตี้ยทั้งเล็ก เรียกได้ว่าเตี้ยกว่าคนปกติทั่วไปครึ่งหนึ่ง มีเพียงมือและเท้าที่ยืดยาว ดูแล้วเหมือนลิงแต่ก็ไม่เชิง ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ที่ทำให้งุนงงสงสัยมากก็คือคนผู้นี้โพกศีรษะเอาไว้ สวมเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น เผยให้เห็นแขนขาผอมแห้ง แต่งตัวเฉกเช่นชาวอี๋
ในมือเขาถืออะไรบางอย่างที่ดูคล้ายขลุ่ย เดินไปหน้าเตียงอย่างเงียบเชียบแล้วเลิกม่านเตียงขึ้นอย่างใจเย็น ยกสิ่งที่ดูเหมือนขลุ่ยขึ้นมาวางไว้แนบปาก ชั่วเวลาถัดมาก็เห็นประกายสีเงินสว่างวาบ ราวกับมีสิ่งของแหลมคมบางอย่างถูกเป่าพุ่งลงปักบนเตียง
ฟู่หลันหยาเห็นแล้วก็สูดลมหายใจเฮือก ในเวลาเดียวกันความคิดต่างๆ พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิด คนผู้นี้ไม่ได้มาดี ย่อมไม่ยอมรามือง่ายๆ คาดว่าอีกไม่นานคงจะมาตามหาในห้องอาบน้ำแน่ ถึงตอนนั้นนางจะหลบซ่อนต่อไปอย่างไรดี
ร้องให้คนมาช่วย? แทบไม่ต้องพูดถึงผิงอวี้ที่ตอนนี้คงจะเมาหลับไม่รู้เรื่องไปแล้วเลย เพราะต่อให้เขาตื่นอยู่ กว่าเขาจะได้ยินแล้วตามมาช่วยทัน นางคงเพลี่ยงพล้ำถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว
คิดถึงตรงนี้นางก็อดกวาดตามองไปยังประตูห้องไม่ได้ พิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าตนเองกับแม่นมหลินจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกไปได้ทันภายใต้การจับจ้องของคนผู้นี้หรือไม่
จริงดังคาด ไม่ช้าคนผู้นั้นก็สังเกตเห็นว่าใต้ผ้าห่มไม่มีคน จึงกระชากผ้าห่มออกอย่างแรง พอเห็นสภาพบนเตียงอย่างชัดเจนก็หันหลังขวับ แล้วกวาดตามองไปทั่วห้องด้วยสายตาคมปลาบ
ฟู่หลันหยาสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันทีที่เขาหันหน้ามา เดิมทีคิดว่าจะได้เห็นใบหน้าที่น่าหวาดผวา คิดไม่ถึงว่าคนร่างแคระผู้นี้แม้จะมีดวงตาดุจเหยี่ยวและจมูกงองุ้ม หน้าตาน่ากลัว แต่ก็มิได้แปลกประหลาดจนเหมือนผีปีศาจแต่อย่างใด
แม่นมหลินเห็นคนผู้นั้นถอยออกจากเตียงและค่อยๆ เริ่มขยับตัว ร่างกายนางก็สั่นเทิ้มไม่หยุด
เดิมทีคนผู้นั้นจะเดินไปทางโต๊ะ จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าแล้วทำหูผึ่ง ราวกับจับสังเกตความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดได้กระนั้น จากนั้นก็หันมา กุมสิ่งที่เหมือนขลุ่ยนั้นไว้แล้วเดินมาทางห้องอาบน้ำ
พอฟู่หลันหยาเห็นคนผู้นั้นจะมาถึงประตูแล้ว ก็ขว้างตะเกียงน้ำมันที่ถือไว้ตลอดเวลาออกไปอย่างแรง สิ่งที่หนักอึ้งนั้นพุ่งแหวกอากาศไปหาคนผู้นั้นทันที
คนผู้นั้นไม่ทันคิดว่าจะมีของหนักๆ พุ่งออกมาจากห้องอาบน้ำมืดๆ เช่นนี้ก็ตกตะลึงไป ก่อนรีบโคจรลมปราณแล้วกระโจนถอยหลบ
ฟู่หลันหยาเห็นเขาท่าทางว่องไวดุจสายลม เพียงชั่วอึดใจก็ถอยไปถึงตรงหน้าต่าง เผยช่องโหว่ออกมาให้เห็น นางจึงรีบฉวยโอกาสนี้คว้าข้อมือแม่นมแล้ววิ่งถลาไปยังประตู วิ่งไปก็ร้องตะโกนให้คนช่วยไปด้วย
ใครเลยจะรู้ คนผู้นั้นไม่ช้าก็เห็นความเป็นไปในห้องอาบน้ำอย่างชัดแจ้ง พอเห็นนายกับบ่าววิ่งไปที่ประตู แววคมปลาบก็วาบขึ้นในดวงตา รีบเอาขลุ่ยประหลาดวางแนบปากทันที
ฟู่หลันหยาเพียงรู้สึกว่ามีสายลมประหลาดหลายสายพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังใกล้มากขึ้นทุกที ไม่ช้าก็อยู่ห่างจากตนเองเพียงคืบ รู้ดีว่าคนผู้นั้นคงจะปล่อยอาวุธลับออกมาเหมือนเมื่อครู่ นางจึงกัดฟันแล้วพุ่งทะยานหนีไปข้างหน้าสุดแรงเกิด
เวลานี้เอง จู่ๆ ที่หน้าประตูก็มีเสียงตุบๆ ดังขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนถีบเปิดประตูจากด้านนอกเข้ามา ฟู่หลันหยาไม่ทันเห็นหน้าตาคนที่มาถนัดชัดเจน คนผู้นั้นก็ขยับร่าง แล้วลมที่เร็วและแรงก็เฉียดผ่านกระหม่อมของนางไปทันที
นางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงตุบๆ ทึบหนักดังขึ้นหลายครั้งที่ด้านหลัง เข็มเงินหลายเล่มที่พุ่งเข้ามาจวนจะถึงแผ่นหลังนางก็ถูกบางสิ่งสกัดไว้ได้ แล้วถูกดีดกลับไปที่ร่างคนผู้นั้นทั้งหมด
ถึงตอนนี้ฟู่หลันหยาจึงค่อยเห็นว่าผู้ที่ลงมือก็คือผิงอวี้ ตัวเขายังสวมชุดแพรเฟยอวี๋เต็มยศ แววตาคมปลาบตื่นตัวเต็มที่ ไม่มีท่าทางเมามายแม้แต่น้อย
คนประหลาดผู้นั้นคอยหลบซ้ายหลบขวา ปัดเข็มเงินร่วงตกไปได้อย่างไม่ง่ายดายนัก พอเห็นว่าเอะอะเสียงดังจนคนรอบข้างรู้ตัวแล้วก็ไม่ดึงดันสู้ต่อ หันหลังกลับกระโดดไปที่ขอบหน้าต่างเพื่อจะหลบหนี
ผิงอวี้หัวเราะหยันทีหนึ่งแล้วขยับเท้าไล่ตามไป ขณะพุ่งผ่านสองนายบ่าว ใครเลยจะรู้ เนื่องจากเมื่อครู่ฟู่หลันหยาวิ่งหนีจนขาอ่อนเปลี้ย ถึงตอนนี้ยังหวาดกลัวจับใจ จึงไม่ทันระวังเท้าสะดุดชายกระโปรงแล้วถลาไปข้างหน้า
ผิงอวี้ไม่คิดว่าจะมีร่างเล็กอ่อนนุ่มอันอบอุ่นโผเข้าใส่อ้อมอกของตนเองเช่นนี้ สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนฉับพลัน รีบผลักฟู่หลันหยาออกไปทันทีเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
ฟู่หลันหยาไม่ทันตั้งตัว พอถูกผลักออกมาก็เกือบล้มคว่ำลงกับพื้น โชคดีที่แม่นมหลินรีบมาประคองไว้ทันจึงไม่ล้มไป พอหันไปมองก็เห็นผิงอวี้ใบหน้าซีดขาว ไม่หันมามองนางสักแวบเดียว รอให้ลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้วจึงค่อยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไปที่ห้องของข้า ห้ามไปที่ใดทั้งนั้น”
พูดจบก็ใช้เท้าเกี่ยวดาบซิ่วชุนที่ร่วงหล่นลงพื้นเมื่อครู่เพราะใช้สกัดอาวุธลับขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วรีบไล่ตามร่างที่เพิ่งหายวับออกไปทางหน้าต่าง
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.