บทที่ห้า
ไม่รู้เป็นเพราะมีผิงอวี้มาเฝ้าเป็นเหมือนเทพทวารบาลให้หรือไม่ คนประหลาดผู้นั้นจึงมิได้กลับมาก่อกวนอีก คืนนั้นสงบสุขไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยามฟู่หลันหยาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ผิงอวี้ก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว
ฟู่หลันหยามองทะลุม่านรอบเตียงไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ถอนหายใจโล่งอก
แม่นมหลินกลัวว่าผิงอวี้จะกลับห้องมาพบฟู่หลันหยาขณะกำลังผลัดเสื้อผ้าอาบน้ำบ้วนปาก จึงรีบลุกขึ้น ไม่สนใจจะเก็บเตียงให้เรียบร้อย คอยช่วยฟู่หลันหยาอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้นก็มีเสียงเดินไปมาและเสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาจากทางเดินเป็นพักๆ ทำให้บรรยากาศยามเช้าดูคึกคัก เหตุประหลาดเมื่อคืนราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พอเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย แม่นมหลินก็พาฟู่หลันหยากลับห้องที่อยู่ติดกันด้วยท่าทางระแวดระวังดูหลบๆ ซ่อนๆ
ใครเลยจะรู้ เพิ่งจะเข้าห้องมา เด็กรับใช้ที่ยกอาหารเย็นมาให้เมื่อวานก็นำอาหารเช้ามาให้
เห็นได้ชัดว่าเขาพบเห็นฟู่หลันหยากับบ่าวออกจากห้องของผิงอวี้ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าพอจะรู้อะไรมาแล้วตั้งแต่แรก หรือว่าไม่อยากจะทำให้สาวงามเช่นฟู่หลันหยาต้องรู้สึกอับอายต่อหน้า
ใบหน้าชราของแม่นมหลินร้อนผ่าว ฟู่หลันหยากลับตีหน้าเรียบเฉย มองดูเด็กรับใช้จัดวางอาหารบนโต๊ะแล้วบอกขอบคุณเบาๆ
สีหน้าเด็กรับใช้ดูซาบซึ้งใจ เขาเกาศีรษะแกรกๆ แล้วหัวเราะแหะๆ แต่ด้วยไม่กล้าชักช้าอยู่นานจึงรีบถอยออกไป
ฟู่หลันหยาเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะแล้วกินอาหารเช้าเงียบๆ
สถานการณ์ของนางในตอนนี้ชื่อเสียงดูจะเป็นของฟุ่มเฟือยไปเสียแล้ว เรื่องที่นางใส่ใจมากที่สุดคือต้องหาทางกลับไปยังเมืองจิงเฉิงอย่างมีชีวิตเพื่อพบหน้าบิดาให้ได้ต่างหาก
เพิ่งกินอาหารเสร็จก็มีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบดังแว่วมาจากด้านนอก พอมาถึงประตู คนผู้นั้นก็หยุดยืนอยู่
แม่นมหลินเปิดประตู เป็นองครักษ์เสื้อแพรหนุ่มน้อยเมื่อคืนนั่นเอง ดูเหมือนเขาจะมีชื่อว่าหลี่หมิน
ที่แท้ผิงอวี้ก็มีความอดทนอย่างจำกัด พอเห็นนางกับแม่นมหลินชักช้าไม่ลงมาเสียที ถึงกับสั่งให้เขามาเร่งเป็นการเฉพาะ
ฟู่หลันหยาขานรับแล้วลุกขึ้น ให้แม่นมหลินสวมหมวกม่านแพรให้ แล้วเดินตามหลี่หมินลงไป
ที่ห้องโถงกลางมีลูกค้าเข้ามากินอาหารเนืองแน่นกว่าเมื่อคืนไม่น้อยเลยทีเดียว กลิ่นข้าวนึ่งหอมฟุ้ง แม้คนเร่ร่อนก่อความวุ่นวายไปทั่ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อลูกค้าผู้มาเยือนโรงเตี๊ยมแห่งนี้ซึ่งมาจากเหนือจรดใต้
ออกจากโรงเตี๊ยมมา ฟู่หลันหยาก็เห็นว่าผิงอวี้ขึ้นหลังม้าแล้ว มือถือบังเหียน กำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยืนล้อมอยู่รอบๆ รายงานอะไรบางอย่าง
พอเห็นฟู่หลันหยากับบ่าวออกมา เขาก็เหลือบมองนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระทุ้งที่ท้องม้าทีหนึ่งแล้วรั้งบังเหียน “สายแล้ว ไปได้”
ทุกคนขานรับ ต่างแยกย้ายกันไปขึ้นหลังม้า
ตอนที่ฟู่หลันหยาขึ้นไปบนรถม้า พลันรับรู้ได้ถึงสายตาลึกลับคอยติดตามตนเองตลอดเวลา พอหันไปมองก็เห็นเป็นหวังซื่อเจา สีหน้าเขาดูอ่อนล้า เหมือนว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ ยามเห็นฟู่หลันหยาหันมามองก็ไม่หลบตาสักนิด
แม่นมหลินมองตามสายตาฟู่หลันหยาไปยังหวังซื่อเจา เห็นสีหน้าอ่อนล้าของเขา หวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ก็ตกใจจนมือสั่น รีบปล่อยม่านลง หาทางกีดกันสายตานั้นไว้ข้างนอก
ฟู่หลันหยาเห็นผิงอวี้ยังคงสั่งให้เดินทางโดยใช้ถนนหลวง ก็รู้ว่าจุดต่อไปน่าจะเป็นชวีถัว การเดินทางเมื่อวานมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว วันนี้ขอเพียงไม่เกิดเหตุผิดพลาดใด อย่างมากก็น่าจะไปถึงที่นั่นได้ตอนย่ำค่ำ
นั่งพิงผนังรถม้าหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง นางก็หวนนึกถึงเรื่องชาวอี๋เมื่อคืน อดไม่ได้ต้องหยิบตำราโบราณที่ซุกซ่อนไว้ในเสื้อตัวในออกมา แล้วพลิกอ่านอย่างระมัดระวัง
ตำราเล่มนี้บางมาก มีเพียงยี่สิบกว่าหน้า ตัวหนังสือตรงหน้าปกดูโบราณแปลกตา ซึ่งชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน ดูไม่เหมือนตัวอักษรฮั่นไม่ว่ายุคสมัยใด แต่ก็ไม่เหมือนอักษรชาวอี๋ด้วย
สิ่งเดียวที่พอจะมองออกคือหน้าที่มีภาพประกอบ ภาพที่วาดไว้นั้นเหมือนกับรูปเคารพตั้งอยู่บนยอดเขา เหนือยอดเขานั้นดูขมุกขมัวไปด้วยหมอกเมฆ
ที่ตีนเขามีคนตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วนกำลังกราบไหว้
ตำราประหลาดเช่นนี้มารดาของนางไปได้มาจากที่ใดกัน
นางรู้สึกสับสนจนหัวคิ้วขมวดมุ่นเนิ่นนานก็ไม่คลี่คลาย ด้วยเกรงว่าพวกของผิงอวี้จะมาพบเห็นเข้า จึงจำต้องเก็บซ่อนตำราไว้อย่างเดิม
แม่นมหลินคอยมองฟู่หลันหยาอยู่ข้างๆ อดไม่ได้จึงถามขึ้น “คุณหนู คนประหลาดเมื่อคืนที่แท้มีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดจึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย”
หวนนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แม่นมหลินก็ยืดตัวขึ้นทันที เอ่ยว่า “จะใช่ชาวอี๋ที่นึกเจ็บแค้นนายท่านที่ลงมาปราบปรามพวกเขาในอวิ๋นหนานหรือไม่เจ้าคะ”
ฟู่หลันหยาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน ทว่าตั้งแต่บิดาถูกย้ายออกมาจากเมืองหลวง นางก็ติดสอยห้อยตามบิดามาอยู่ที่อวิ๋นหนานได้นานครึ่งปีแล้ว ระหว่างนี้ไม่ว่าบิดาหรือนางก็ไม่เคยประสบเหตุถูกจู่โจมยามวิกาลมาก่อน แต่เหตุใดระหว่างเดินทางกลับเมืองจิงเฉิง คนเหล่านี้จึงได้ปรากฏตัวออกมา
“แม่นม” นางหยุดคิดเรื่องชาวอี๋ไว้ก่อนชั่วคราว ความคิดยังวนเวียนอยู่กับตำราโบราณเล่มนั้น จึงกระซิบถาม “ช่วงหลายปีที่แม่นมมาอยู่บ้านข้า เคยพบเห็นท่านพ่อหรือท่านแม่ไปมาหาสู่กับคนที่มีท่าทางแปลกๆ บ้างหรือไม่”
“คนท่าทางแปลกๆ?” แม่นมหลินไม่ทราบว่าเหตุใดฟู่หลันหยาจึงถามเช่นนี้ขึ้นมา พยายามคิดทบทวนจนหัวแทบแตก แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ตอนที่แม่นมมาอยู่ที่สกุลฟู่ ฮูหยินเพิ่งจะให้กำเนิดคุณหนู เพราะไม่ค่อยมีน้ำนมจึงรับแม่นมหลายคนให้มาช่วยกันเลี้ยง แม้นายท่านทำงานยุ่งทั้งวัน แต่ก็ดีกับฮูหยินและคุณหนูมาก แต่ว่า…”
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ตอนที่แม่นมเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่จวน เป็นช่วงที่ฮูหยินเพิ่งคลอดคุณหนู ไม่มีญาติจากทางบ้านมาเยี่ยมแม้แต่คนเดียว ยังเคยนึกสงสัย ต่อมาจึงได้ทราบว่าแม้ฮูหยินจะเป็นบุตรีของขุนนาง แต่บิดามารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ทั้งไม่มีพี่น้องชายหญิง เรียกไว้ว่าโดดเดี่ยวตัวคนเดียวอย่างแท้จริง เรื่องนี้บ่าวไพร่ทั้งหลายพอจะรู้กันบ้าง นายท่านสงสารฮูหยินจึงไม่อนุญาตให้พูดคุยเรื่องนี้ลับหลัง แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงเล่าลือออกมาบ้าง…”
แล้วนางก็แอบชำเลืองมองฟู่หลันหยา สีหน้าดูลังเล
ฟู่หลันหยาใจเต้นระทึก แม้จะไม่ได้พูดต่อ แต่เห็นได้ชัดว่าแววตาวูบไหว จ้องแม่นมนิ่ง ทำท่าอยากให้นางเล่าต่อไป
แม่นมหลินกำลังนึกเสียใจที่ตนเองปากไวหลุดปากเล่าเรื่องในอดีตขึ้นมา พอเห็นฟู่หลันหยาเหมือนจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ก็จำต้องบากหน้าเล่าต่อ “ตอนนั้นในจวนมีเรื่องลือกันในหมู่บ่าวไพร่ว่าฮูหยินมีความเป็นมาไม่กระจ่างแจ้ง นอกจากนี้ยังลือกันไปเลอะเทอะไม่ดีไม่งามอีก ฟังแล้วระคายหู พอนายท่านทราบเรื่องก็โกรธจัด ลงมือสืบสาวเรื่องราวด้วยตนเอง จนหาตัวเจ้าคนปากอยู่ไม่สุขผู้นั้นพบ แต่กลับเป็นบ่าวหญิงที่นายหญิงใหญ่ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้นหามาให้นายท่าน ได้ยินว่าเดิมทีจะให้นางมาเป็นสาวใช้ห้องข้างของนายท่าน”
พูดถึงตรงนี้นางก็ดูกระอึกกระอัก มองดูฟู่หลันหยาด้วยความกระดากอาย ด้วยรู้ดีว่าเรื่องต่อไปนี้น่าอับอายยิ่ง จะให้เล่าต่อหน้าหญิงสาวซึ่งยังมิได้ออกเรือนได้อย่างไร จึงละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเล่าต่ออย่างกระมิดกระเมี้ยน “แม่นมเข้ามาอยู่ในจวนภายหลัง บางเรื่องจึงเพียงได้ยินได้ฟังมาจากคนเก่าคนแก่ ได้ยินว่าหลังจากนายท่านสอบขุนนางผ่านได้ที่หนึ่งทั้งสามระดับตอนแรกเริ่มไปจัดการเรื่องอุทกภัยที่แม่น้ำเว่ย จากนั้นก็มาปราบปรามชาวอี๋ที่อวิ๋นหนาน ในเวลานี้เองได้พบฮูหยินที่อพยพมายังอวิ๋นหนานกับญาติๆ พอดี ได้ยินว่าการแต่งงานครั้งนี้ได้มู่อ๋องซึ่งเป็นผู้ปกครองอวิ๋นหนานในขณะนั้นออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้ มู่อ๋องเป็นผู้บังคับบัญชาของนายท่านในตอนนั้น เพียงคำพูดเดียวก็ตัดสินอนาคตการงานของนายท่านได้แล้ว แม้บิดามารดาของนายท่านจะรังเกียจที่พื้นเพของฮูหยินไม่เชิดหน้าชูตา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเจตนาอันดีของมู่อ๋อง จึงจำต้องตกปากรับคำ…
นายท่านแต่งฮูหยินเข้าบ้านแล้ว ฮูหยินร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เหมาะแก่การมีบุตร ไม่ช้าจึงให้กำเนิดคุณชายใหญ่ นายหญิงใหญ่ทราบเรื่องเข้า ความรังเกียจที่เคยมีก็ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง สามปีต่อมา นายท่านได้เลื่อนตำแหน่งย้ายกลับเข้าเมืองจิงเฉิง สาวใช้ผู้นั้นเห็นนายท่านกับฮูหยินรักใคร่กลมเกลียวกันดี ไม่มีท่าทีว่าจะรับนางเป็นอนุภรรยาเสียที จึงเกิดความอิจฉาริษยามากขึ้นเรื่อยๆ คอยหาเรื่องป้ายสีฮูหยินไม่หยุดหย่อน”
ฟู่หลันหยาฟังอยู่นานโดยไม่ได้พูดอะไร มารดาที่อยู่ในความทรงจำนางช่างงดงามเปิดเผยร่าเริง จนดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดทำให้นางเป็นทุกข์ตรอมใจได้เลย ไม่คิดมาก่อนว่ามารดาจะเคยถูกบ่าวไพร่ใส่ไคล้เช่นนี้ด้วย
“ตอนนั้นนายท่านกำลังจะลงโทษบ่าวหญิงผู้นั้น คนเก่าคนแก่ที่นายหญิงใหญ่เคยรับเลี้ยงไว้ต่างพากันช่วยขอร้องแทนนาง บอกว่านางก็แค่เลอะเลือนไปชั่วครู่ ต่อไปคงไม่กล้าทำผิดอีก ขอให้นายท่านมีเมตตา ละเว้นให้นางสักครั้ง ใครเลยจะรู้ นายท่านกลับบอกว่าหากปล่อยบ่าวเจ้าเล่ห์เยี่ยงนี้ไว้ไม่จัดการ สกุลฟู่จะมีกฎบ้านไว้เพื่ออันใดอีก ในที่สุดก็สั่งให้ตัดลิ้นบ่าวผู้นั้นทั้งเป็น แม้แต่คนเก่าคนแก่ที่ช่วยพูดขอร้องก็ล้วนถูกลงโทษโบยอย่างหนัก ขณะที่ลงโทษ บ่าวไพร่ทั้งจวนต่างก็ถูกนายท่านบังคับให้มาดูการลงโทษ บ่าวที่มีอายุมากหน่อยพอได้เห็นคนถูกตัดลิ้นทั้งเป็นถึงกับตกใจจนเป็นลมไปก็มี”
ขณะที่แม่นมหลินเล่า สีหน้าก็ซีดขาว ราวกับว่ายังหวาดกลัวไม่หาย “พอผ่านเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงฮูหยินพล่อยๆ อีก”
ฟู่หลันหยาไม่พูดอะไรเลย การลงโทษบ่าวที่เจ้าเล่ห์ย่อมต้องใช้วิธีการที่รุนแรง การกระทำเช่นนี้ของบิดานับว่าพอเข้าใจได้ แต่ว่า…
นางหวนนึกถึงตำราโบราณที่ซ่อนไว้ในอก ความสงสัยผุดขึ้นในใจ พอรวบรวมความคิดได้ก็เอ่ยปากถาม “แม่นม ท่านยังจำกล่องที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าได้หรือไม่ กล่องนี้มีมาก่อนแม่นมมาอยู่ที่จวน หรือว่าค่อยมีหลังจากนั้น”
แม่นมหลินนิ่งเงียบไป พยายามครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วส่ายหน้าอย่างลังเล “จำไม่ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินแม้จะใจดี แต่ก็ไม่ชอบให้บ่าวไพร่ล่วงเข้าไปในห้องด้านใน มีเพียงเวลาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นจึงจะให้คนเข้าไปคอยรับใช้ได้ กล่องใบนี้ฮูหยินได้รับมาตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ แม่นมก็ไม่ทราบ”
ฟู่หลันหยากำลังจะพูด จู่ๆ ก็มีเสียงหลี่หมินดังมาจากข้างนอก เลิกม่านขึ้นแล้วเขาก็โยนถุงใส่น้ำเข้ามา โดยไม่พูดอะไรสักคำ คิดแล้วผิงอวี้คงจะเห็นว่าอากาศร้อนจัด เกรงว่าพวกนางสองนายบ่าวจะกระหายน้ำจนตายไปเสียก่อนระหว่างเดินทางเป็นแน่ จึงให้เขานำน้ำมาให้เช่นนี้
พอสองนายบ่าวดื่มน้ำแล้วก็ไม่ได้สนใจจะคุยหัวข้อที่ค้างไว้ต่อ
ตราบจนถึงยามค่ำก็ได้ยินเสียงผู้คนดังจอแจสองข้างทาง เหมือนว่าเดินทางมาถึงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้ว แม่นมหลินเขยิบไปที่ด้านหน้ารถ เลิกม่านขึ้นแล้วกวาดตามอง ก็เห็นกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน ข้างประตูเมืองมีทหารคอยเฝ้ารักษาการณ์ มีคนเดินผ่านเข้าออกตรงด่านไม่น้อย
นางไม่กล้ามองนานก็รีบปล่อยม่านลง แล้วหันมาพูดกับฟู่หลันหยา “คุณหนู ดูเหมือนจะมาถึงเมืองชวีถัวแล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่หลันหยาทำเสียงอืมรับรู้ ดูจากสถานการณ์แล้วคืนนี้คงจะต้องพักที่นี่
ตั้งแต่สมัยหยวนเหนือเป็นต้นมา เมืองชวีถัวก็เป็นด่านสำคัญทางการทหารของมณฑลอวิ๋นหนาน มีกำลังทหารเฝ้ารักษาการณ์ที่นี่อย่างแน่นหนามาทุกยุคทุกสมัย บัดนี้มู่อ๋องซื่อจื่อนำกำลังทหารมาเฝ้าประจำการที่เมืองชวีถัว มู่อ๋องมีกำลังพลทั้งม้าและทหารที่เข้มแข็งจนเป็นที่เลื่องลือ ชาวอี๋ยำเกรงบารมีของมู่อ๋อง จนไม่กล้าเข้ามาก่อกวน หลายปีมานี้เมืองชวีถัวจึงมีจำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้น
รถม้าเพิ่งจะหยุดลงก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าควบตะบึงดังแว่วมา ฟังแล้วเหมือนกำลังห้อเต็มเหยียดมาทางนี้ ขณะที่กำลังนึกสงสัยก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง “เจ๋ออี้ ได้ข่าวมาตั้งแต่สองสามวันก่อนว่าเจ้าจะเดินทางมาอวิ๋นหนาน ข้าคิดว่าพอเจ้าทำภารกิจเสร็จจะต้องเดินทางผ่านมาทางชวีถัวแน่ จึงรอต้อนรับเจ้าอยู่นานแล้ว”
ฟู่หลันหยามีความจำเป็นเลิศ ได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกคุ้นหู พอคิดทบทวนดูก็นึกออกว่าเป็นเสียงมู่เฉิงปินบุตรชายของมู่อ๋อง ตอนที่บิดาของนางถูกย้ายมาที่อวิ๋นหนาน ก็เคยพานางไปที่วังของมู่อ๋องเช่นกัน ตอนนั้นนางนั่งอยู่ในรถม้านอกวัง ได้ยินเสียงเขากับบิดาของนางพูดคุยทักทายกันตามมารยาท
แต่ ‘เจ๋ออี้’ ที่เขาพูดถึงเป็นใครกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ได้คำตอบ ได้ยินเสียงผิงอวี้ทักทายกลับไปว่า “จ้งเหิง ไม่ได้พบกันนาน ไม่คิดว่าเจ้าจะมาต้อนรับถึงนอกเมือง”
ฟู่หลันหยาหลุบตาลง ฟังจากน้ำเสียงของคนทั้งสองแล้วเหมือนว่ารู้จักมักคุ้นกันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่าที่มู่เฉิงปินต้อนรับอย่างสนิทสนมเช่นนี้เป็นเพราะเกรงขามเหล่าองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนอีกผู้หนึ่งพูดขึ้น “เจ๋ออี้”
เสียงของชายผู้นี้ทุ้มต่ำอ่อนโยน ขณะที่พูดดูมีน้ำเสียงที่ระแวดระวังอยู่หลายส่วน
ข้างนอกเงียบกริบลงทันที ผ่านไปนานจึงค่อยมีเสียงผิงอวี้พูดขึ้นเรียบๆ “ข้าก็นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณชายเติ้งนี่เอง” น้ำเสียงที่พูดฟังดูทั้งห่างเหินทั้งเย็นชา
ฟ้าเริ่มมืด สามคนนี้ทักทายกันตามมารยาทแล้วจึงสั่งให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางเข้าไปในเมือง
แต่ยามมาถึงด้านหน้าวังมู่อ๋อง ผิงอวี้กลับไม่อยากจะเข้าไป เพียงแค่ยิ้มแย้มแล้วกล่าวคำอำลา “จ้งเหิง วันนี้ข้ามีภารกิจ ไม่สะดวกจริงๆ เอาไว้คราวหน้ากลับมาพักผ่อน ข้าจะมาดื่มกับเจ้าให้สาแก่ใจ”
ฟู่หลันหยาตั้งใจฟังอยู่ในรถ แอบคาดเดาว่าผิงอวี้คงไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับขุนนางใหญ่เมืองชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นที่คลางแคลงใจของผู้มีอำนาจ หากภายหลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าระแวงสงสัย
มู่เฉิงปินได้ยินแล้วแต่มิได้ใส่ใจอันใด กลับยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีภารกิจมาก กว่าจะได้พักแล้วค่อยมาดื่มสุรากับข้าอีกก็ไม่รู้ว่าจะได้ดื่มปีใดเดือนใด อีกอย่าง ข้าต้องบอกเจ้าก่อนว่าในเมืองชวีถัวมีโรงเตี๊ยมใหญ่เพียงแห่งเดียว เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อสองสามวันก่อน ยังซ่อมแซมอยู่จนถึงบัดนี้ คืนนี้ต่อให้เจ้าไม่อยากรบกวนข้าก็คงทำไม่ได้หรอก…”
เขายังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้นสิ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนวางเพลิง ตอนที่เกิดเหตุ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาที่อวิ๋นหนาน”
ฟู่หลันหยาที่อยู่ในรถม้าพลันขนตากะพริบไหว นางนึกขึ้นได้ว่ามู่เฉิงปินขึ้นชื่อว่าเป็นคนเจ้าสำราญ คำพูดเมื่อครู่ดูเหมือนพูดอย่างสบายๆ แต่เพราะพูดอย่างเปิดเผยไม่ยี่หระใดๆ จึงกลายเป็นคลายความน่าสงสัยลงได้อย่างสิ้นเชิง ช่างเป็นการกระทำที่ฉลาดมากจริงๆ
แต่จะมีเรื่องที่ประจวบเหมาะถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ผิงอวี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มพลางเออออคล้อยตามไป “ดูท่าแล้วพวกเรามาได้จังหวะเหมาะจริงๆ แม้แต่ที่จะพักก็ไม่มี ถ้าเช่นนั้นคืนนี้คงหนีไม่พ้นต้องดื่มสุราที่วังมู่อ๋องเสียแล้ว”
มู่เฉิงปินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม “เป็นเช่นนี้ก็ดี! ดีเหลือเกิน!”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน คุณชายเติ้งที่ทักทายผิงอวี้ก่อนหน้านี้ยังคงไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่วังมู่อ๋อง ทุกคนจึงลงจากหลังม้าที่หน้าประตูใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหลี่หมินบอกเบาๆ “คุณหนูฟู่ เชิญลงจากรถขอรับ”
ฟู่หลันหยารับคำแล้วลงจากรถม้าโดยมีแม่นมหลินคอยประคอง เพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็สังเกตว่ารอบด้านเงียบกริบ มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตนเอง
นางทำเหมือนไม่ทันสังเกตเห็น เพียงเดินตามคนรับใช้ของวังอ๋องเข้าไปด้านใน
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พวกนางสองนายบ่าวต้องได้พักในเรือนชั้นใน แต่เพราะเป็นบุตรีขุนนางต้องโทษ เพื่อให้สะดวกแก่การควบคุมตัว ผิงอวี้จึงมีคำสั่งให้พวกนางพักอยู่ที่เดียวกับองครักษ์เสื้อแพร
พอผิงอวี้กับหวังซื่อเจาเข้าไปในวังแล้ว ก็ถูกมู่เฉิงปินชักชวนไปร่ำสุรา เหลือเพียงหลี่หมินกับองครักษ์คนอื่นๆ เดินตามฟู่หลันหยากับบ่าวไปยังเรือนปีกตะวันตก
วังมู่อ๋องแม้จะกว้างใหญ่ ทว่าการจัดวางผังในวังกลับทำด้วยความประณีต ตามทางเดินไปยังที่พักปลูกต้นไม้ดอกไม้จนดูเขียวชอุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนลอยมาเป็นพักๆ ชวนให้รู้สึกสงบสุข ดูไม่สมกับชื่อเสียงอันเฉียบขาดดุดันของมู่อ๋องสักเท่าใด
เดินอ้อมไปตามระเบียงวนแล้วเดินอ้อมกำแพงบังตาอีกแห่งหนึ่ง ก็มาถึงเรือนที่พวกนางจะมาพำนักในคืนนี้
ไหนเลยจะรู้ คนรับใช้เพิ่งจะเดินนำพวกนางเลี้ยวมา ข้างหน้าก็มีเสียงหญิงสาวกำลังพูดคุยกัน เสียงนั้นตักเตือนด้วยความห่วงใย “ตอนนี้ซื่อจื่อลุ่มหลงเจ้าอยู่ก็จริง แต่เบื้องหน้ายังมีชายาซื่อจื่อ ต่อให้ซื่อจื่อไม่ว่าอะไร แต่ถ้าชายาซื่อจื่อรู้เข้า คงหนีไม่พ้นต้องถูกตำหนิแน่”
หญิงอีกคนพูดขึ้น “ข้าก็แค่ออกมาเยี่ยมน้องชายข้าที่ลานด้านนอกเท่านั้น ซื่อจื่อก็ทราบแล้ว จะมีปัญหาอันใดได้”
เสียงนั้นหวานใสราวกับเสียงนกกระจิบลอยมาตามลม ช่างไพเราะเสนาะหู ไม่เพียงฟู่หลันหยากับบ่าวซึ่งเดินนำหน้าที่ได้ยิน กระทั่งหลี่หมินกับพวกที่ตามหลังมาก็ยังเผยสีหน้าประหลาดใจจนพากันตะลึงงัน
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะได้พบสมาชิกตระกูลฝ่ายหญิงของมู่เฉิงปินโดยบังเอิญที่นี่
ทุกคนกำลังลังเลว่าจะหลบเลี่ยงไปดีหรือไม่ หญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินอ้อมกำแพงบังตาออกมาแล้ว หญิงสาวที่เดินนำหน้าผัดแป้งแต่งหน้างดงามโดดเด่น มวยผมสูงทบซ้อนเป็นชั้น ดวงตาเจิดจ้าหรี่ลงน้อยๆ แม้ใบหน้าจะมิได้งดงามชวนตะลึง แต่ก็ดูยวนเสน่ห์น่าพึงใจ
เดิมทีนางยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่พอหันมาเห็นฟู่หลันหยากับคนที่ตามมา เสียงที่จะพูดก็ชะงักกึก
แม่นมหลินเงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าของสาวงามผู้นี้ถนัดตา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อยราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ จับจ้องใบหน้านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนลืมรักษากิริยาเลยทีเดียว
โชคดีที่หญิงสาวผู้นั้นมีอาการตอบสนองรวดเร็ว นางตะลึงอยู่เพียงชั่วครู่ ไม่ช้าก็เผยรอยยิ้มที่จางจนเหมือนไม่มี แล้วหันกลับอย่างว่องไว หายลับไปหลังกำแพงบังตา
รอกระทั่งคนรับใช้พาฟู่หลันหยากับทุกคนเดินต่อ ทางเดินด้านหลังกำแพงบังตาก็ว่างเปล่าเสียแล้ว ไม่ทราบว่าสาวงามคนเมื่อครู่นี้เดินอ้อมหายไปทางใด
แววประหลาดใจบนใบหน้าแม่นมหลินยังคงอยู่เนิ่นนานไม่เลือนหาย
พอมาถึงเรือนปีกตะวันตก นอกจากผิงอวี้กับฟู่หลันหยาสองนายบ่าวที่ต่างก็มีห้องพักเป็นเรือนปีกตะวันตกฝ่ายละห้องแล้ว คนที่เหลือล้วนพักกันห้องละสองคน
ฟู่หลันหยาเข้ามาถึงห้องที่อยู่ด้านในสุดโดยอาศัยคนรับใช้เดินนำมา แล้วจึงหันมาจะพูดกับแม่นมหลิน กลับเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าสงสัย ยืนนิ่งงันอยู่ข้างประตู ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“แม่นมเป็นอะไรไปหรือ” ฟู่หลันหยาอดไม่ได้ต้องถามขึ้น
แม่นมหลินเงยหน้าขึ้นมองฟู่หลันหยา สีหน้าดูหวาดหวั่น “คุณหนูว่าโลกนี้มีคนที่เกิดมาหน้าตาเหมือนกันหรือไม่”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้” ฟู่หลันหยานึกสงสัยขึ้นมา
แม่นมหลินหันกลับไปปิดประตู รีบเดินไปหลายก้าวพร้อมจูงมือฟู่หลันหยาไปนั่งลงข้างโต๊ะ “แม่นมเคยพบหน้าหญิงสาวคนเมื่อครู่มาก่อน ตอนที่แม่นมเห็นนางเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองจิงเฉิง อีกทั้งนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน”
นางกลืนน้ำลาย แววตาดูประหวั่นพรั่นพรึง “คุณหนูว่า…สิบปีผ่านไป เหตุใดหน้าตาของนางจึงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย”
ฟู่หลันหยานิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วเอ่ยกระซิบ “หรือว่า…แม่นมจำคนผิด”
แม่นมหลินครุ่นคิด สีหน้าซีดขาว นานครู่ใหญ่ค่อยพูดขึ้นอย่างลังเล “ในโลกนี้จะมีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร คิดแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ บางที…บางทีแม่นมคงจะจำผิดจริงๆ”
หวังซื่อเจาดื่มไปพลางทอดสายตาเย็นชามองดูสองสามคนที่กำลังพูดคุยเฮฮาพลางร่ำสุราไปด้วย
แม้มู่เฉิงปินจะให้เกียรติเขาได้นั่งในที่นั่งแขกอันทรงเกียรติ เหล่าคนรับใช้ก็คอยดูแลอย่างมิได้ขาดตกบกพร่องหรือมีอะไรที่จะตำหนิติเตียนได้ แต่เขารู้ดีว่าคนที่มีพื้นเพเช่นมู่เฉิงปิน ถึงไม่กล้าทำผิดต่อเขา แต่ลึกๆ แล้วคงนึกดูแคลนเขาอยู่ในใจ
อย่างเช่นในเวลานี้ มู่เฉิงปินกำลังเล่าเรื่องสนุกในวัยเด็กที่ตนเองขี่ม้าเล่นให้ผิงอวี้ฟัง จะอย่างไรก็ไม่มีช่องให้เขาได้พูดแทรกเลย
เขาพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแต่กลับสบถด่าในใจไม่หยุด ก็แค่เป็นชนชั้นสูง คิดหรือว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น ควรรู้ว่าตำแหน่งอันสูงส่งเปรียบไปแล้วก็เหมือนสุนัขฟางเป็นของที่ดำรงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ดูเรื่องที่เกิดกับซีผิงโหวในวันวานและที่เพิ่งเกิดขึ้นกับฟู่ปิงในวันนี้สิ นี่มิใช่ตัวอย่างที่มีชีวิตหรอกหรือ
เขาจิบสุราฉยงฮวาที่ร้อนแรงด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เหลือบไปก็เห็นเติ้งอันอี๋ที่ดูเหงาหงอย สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือเวลานี้คุณชายเติ้งแห่งจวนหย่งอันโหวกลับอยู่ที่วังมู่อ๋องเสียได้
นึกขึ้นได้ว่าชายาซื่อจื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของเติ้งอันอี๋ เขาก็สะดุดใจทันที ไม่รู้ว่าน้องสาวของเติ้งอันอี๋ที่ลุ่มหลงในความรักผู้นั้นจะมาที่อวิ๋นหนานด้วยหรือไม่
คิดถึงตรงนี้เขาก็เหลือบมองไปทางผิงอวี้ เห็นผิงอวี้ยังคงเอาแต่สนใจพูดคุยกับมู่เฉิงปินอย่างออกรส ไม่ได้แยแสเติ้งอันอี๋แม้แต่น้อย เขาก็ลอบถอนหายใจ ดูท่าแล้วความแค้นที่ผิงอวี้มีต่อสกุลเติ้งคงไม่อาจสลายลงได้ในชั่วระยะเวลาใกล้ๆ นี้
ได้ยินว่าก่อนซีผิงโหวจะต้องโทษ สกุลเติ้งกับสกุลผิงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดี พอมาถึงรุ่นผิงอวี้ ท่านโหวผู้ชราทั้งสองเคยร่วมร่ำสุรากันครั้งหนึ่งอย่างเต็มที่ ต่างตกปากรับคำจะให้ผิงอวี้กับน้องสาวของเติ้งอันอี๋ที่ยังเป็นเด็กได้หมั้นหมายกันไว้ก่อน
ตลอดสิบกว่าปีที่ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น ท่านโหวผู้ชราทั้งสองต่างทยอยกันลาโลก แต่ความสัมพันธ์ของสองตระกูลโดยฉากหน้ายังคงสมัครสมานกันดี
ใครเลยจะรู้ เพียงสองเดือนก่อนซีผิงโหวประสบเคราะห์กรรม ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหย่งอันโหวไปได้ข่าวอะไรมาหรือไม่ จึงหาเหตุจะถอนหมั้นโดยอ้างว่าคุณหนูเติ้งเป็นโรคสุกใส เหตุผลนี้ฟังแล้วไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ตอนที่เกิดเรื่องนี้ก็ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก เพราะไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับซีผิงโหว
หลังจากนั้นตระกูลขุนนางใหญ่ที่มิได้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นสักเท่าใดกับซีผิงโหวกลับช่วยให้เขาหลบหนี มีเพียงหย่งอันโหวที่นิ่งดูดาย ไม่ออกหน้าทำเรื่องใดสักนิดเดียว
ซีผิงโหวถูกเนรเทศไปอยู่เซวียนฝู่ได้หนึ่งปี คุณหนูเติ้งก็มีคู่หมายใหม่ น่าเสียดาย ราวกับมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเกิดขึ้นกับการแต่งงานของคุณหนูเติ้ง หลังจากหมั้นหมายได้ไม่นาน สามีที่ยังมิทันได้แต่งงานผู้นั้นก็มีอันต้องตายจากไป
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ชะตาชีวิตของคุณหนูเติ้งก็ไม่นับว่าแย่นัก หลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พี่สาวของนางซึ่งเป็นชายาของรัชทายาทที่ประสบเคราะห์ร้ายมาหลายปีก็พลิกผันได้กลายเป็นฮองเฮา ตระกูลของหย่งอันโหวกลายเป็นผู้มีอำนาจในชั่วข้ามคืน ฉับพลันคุณหนูเติ้งจึงกลายเป็นหญิงสาวที่ชายหนุ่มทั่วเมืองหลวงต่างหมายตาใคร่จะได้เกี่ยวดอง
ทว่าการแต่งงานของคุณหนูเติ้งกลับถูกผัดผ่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เนิ่นนานแล้วยังมิได้หมั้นหมายกับผู้ใด
ภายหลังเขาสืบจนได้ความว่าเดิมทีตอนฮองเฮาเป็นเด็กสาวที่ยังไม่มีคู่หมาย ได้มีสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพี่สาวน้องสาวในสกุลผิงอยู่หลายคน ตอนที่เกิดเรื่องกับสกุลผิง แม้ว่านางมิอาจให้การช่วยเหลือ แต่ก็รู้สึกผิดคาดที่บิดาใช้วิธีไม่ยุ่งเกี่ยวเพื่อรักษาตัวรอด
ตอนนี้เมื่อซีผิงโหวได้กลับคืนสู่ตำแหน่ง ฮองเฮาจึงหวนนึกถึงสายสัมพันธ์อันดีเมื่อกาลก่อน จึงอยากจะใช้สิ่งนี้กำหนดการหมั้นหมายขึ้นอีกครั้ง เปลี่ยนความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลให้ฟื้นฟูกลับมาแน่นแฟ้นดุจเดิม
ก่อนหน้านี้ซีผิงโหวพอได้ข่าวเรื่องนี้ย่อมตอบปฏิเสธอย่างไม่ไยดี แต่พอฮองเฮาส่งคนมาโน้มน้าวเป็นการส่วนตัว นานวันเข้าก็ไม่อาจทัดทาน ค่อยๆ มีท่าทีอ่อนลงเรื่อยๆ
มีเพียงผิงอวี้เท่านั้นที่ราวกับภูเขาน้ำแข็งอันเย็นชาแข็งกระด้าง ไม่ว่าจะมีใครมาช่วยพูดต่อหน้าสักกี่คน เขาก็ล้วนสาบานว่าจวบจนตายก็ไม่มีทางยอมรับปากแต่งงานแน่
ได้ยินว่าคุณหนูเติ้งผู้นั้นก็เป็นหญิงงามที่เลื่องลือในเมืองจิงเฉิง มีครั้งหนึ่งเขาเคยออกนอกเมืองไปจัดการเรื่องคดีกับผิงอวี้ ยังเคยได้พบคุณหนูเติ้งโดยบังเอิญครั้งหนึ่งที่วัดอวี้ฝอแถบชานเมือง
ตอนนั้นดูเหมือนคุณหนูเติ้งจะออกมาไหว้พระ ข้างกายมีเพียงสาวใช้สองนางคอยติดตาม นางกำลังรอคนในครอบครัวอยู่ที่สวนดอกไม้
ถึงจะสวมหมวกม่านแพร ทว่าเรือนร่างและกิริยาท่าทางของนางก็ยังโดดเด่นเหนือผู้ใด ในสายตาของเขาแล้ว นางไม่ด้อยไปกว่าฟู่หลันหยาเลย
ขณะที่คุณหนูเติ้งกับผิงอวี้กำลังจะเฉียดผ่านกันไปนั้น จู่ๆ ผ้าเช็ดหน้าไหมในชายแขนเสื้อนางก็ร่วงหล่นลงมา ตกอยู่ตรงหน้าเท้าของผิงอวี้พอดี ไม่ทราบว่าเกิดจากความตั้งใจหรือไม่
เขาเห็นแล้วจากทางด้านหลัง กลัวแค่ว่าผิงอวี้จะใจอ่อนยอมคล้อยตาม รับสะพานที่คุณหนูเติ้งทอดให้
ถ้าผิงอวี้ได้เกี่ยวดองกับสกุลเติ้งผ่านการแต่งงาน สองตระกูลใหญ่ผูกสัมพันธ์กัน ต่อไปหากเขาคิดจะหาทางก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น คงจะทำได้ยากเย็นขึ้นอีกหลายส่วน
ใครเลยจะรู้ ผิงอวี้ไม่แสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อนางแม้แต่น้อย ยามเดินผ่านกลับทำเป็นมองไม่เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ซ้ำยังเหยียบย่ำลงไป จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
รอจนเขาเบนสายตาที่เต็มไปด้วยแววประหลาดใจออกจากผ้าเช็ดหน้าที่ถูกเหยียบย่ำจนสกปรกยับยู่ยี่ได้แล้ว พอหันไปมองก็เห็นคุณหนูเติ้งร่างสั่นสะท้านน้อยๆ แม้มีม่านหมวกแพรปิดบังไว้ แต่เขาราวกับสามารถจินตนาการถึงใบหน้าซีดขาว น้ำตาเอ่อคลอจวนจะหยดลงมาของคุณหนูเติ้งได้อย่างไรอย่างนั้น
ในห้องพักของเรือนปีกตะวันตก ฟู่หลันหยายังอยากจะซักถามแม่นมหลินเกี่ยวกับหญิงสาวรูปงามผู้นั้น แต่แม่นมหลินกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกพิสดารไปสักหน่อย สงสัยว่าตนเองจะจำคนผิด เกรงว่าหากเล่าต่อไปจะทำให้ฟู่หลันหยาคิดฟุ้งซ่าน จึงไม่ยอมเล่าให้ฟังอีก
ตอนแรกฟู่หลันหยาไม่ยอม แต่พอเห็นแม่นมหลินมีท่าทางเด็ดเดี่ยว ซ้ำนางคิดว่าเวลาสิบปีก็ไม่นับว่าสั้น ความจำแม่นมหลินจะเลอะเลือนไปบ้างก็ไม่แปลก ดังนั้นจึงตัดใจเลิกถาม
สองนายบ่าวเพิ่งจะล้างหน้าล้างมือเสร็จก็มีคนรับใช้ของสกุลมู่นำอาหารเย็นมาให้
แม่นมหลินขานรับแล้วไปเปิดประตู มองผ่านไหล่คนรับใช้ไปก็บังเอิญเห็นเงาร่างดำสองร่าง นางตกใจจนสะดุ้งโหยง พอจ้องมองดูให้ดีจึงค่อยมองออกว่าเป็นหลี่หมินกับองครักษ์เสื้อแพรอีกคนที่มีชื่อว่าเฉินเอ่อร์เซิง
พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ที่บันไดหน้าเรือน คนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย อีกคนอยู่ด้านขวา ท่าทางคล้ายกำลังพูดคุยเล่นกันอยู่ แต่ที่จริงกลับปิดล้อมห้องพักของฟู่หลันหยากับแม่นมหลินไว้อย่างแน่นหนาทีเดียว ใครคิดเข้ามาจะต้องเดินอ้อมผ่านพวกเขาสองคนไปก่อน
แม่นมหลินเห็นเช่นนี้แล้วก็แน่ใจว่าที่ฟู่หลันหยาพูดไปเมื่อคืนคงได้ผล แม้ตัวใต้เท้าผิงจะร่ำสุราอยู่ข้างนอกก็ยังไม่ลืมที่จะจัดให้องครักษ์เสื้อแพรคนอื่นมาคอยคุ้มกันพวกนางไว้
รอจนคนรับใช้ของวังมู่อ๋องจัดแจงสำรับอาหารไว้บนโต๊ะเรียบร้อยจนถอยออกไปแล้ว แม่นมหลินจึงค่อยกระซิบเล่าสิ่งที่ได้เห็นให้ฟู่หลันหยาทราบ
มือที่ถือตะเกียบของฟู่หลันหยาชะงักไปครู่หนึ่ง นางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เรือนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ มีห้องพักอยู่สิบกว่าห้อง นอกจากผิงอวี้กับหวังซื่อเจาที่ถูกดึงตัวไปร่ำสุราแล้ว องครักษ์เสื้อแพรที่เหลือต่างอยู่ที่นี่ครบทุกคนไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว อาศัยทักษะของพวกเขา เรือนแห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นกำแพงทองแดงผนังเหล็กที่ยากจะบุกทะลวงอย่างแท้จริง
ประกอบกับที่สกุลมู่ครอบครองดินแดนอวิ๋นหนานมายาวนาน มู่อ๋องเองก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองที่เฉียบขาด การคุ้มกันของวังมู่อ๋องแน่นหนาถึงขั้นใดไม่ต้องคิดก็รู้ได้
กระนั้นภายใต้การคุ้มกันที่แน่นหนาเพียงนี้ ผิงอวี้กลับไม่กล้าเลินเล่อ ยังสั่งให้หลี่หมินกับเฉินเอ่อร์เซิงคอยเฝ้าไว้นอกห้องพักเป็นพิเศษ…
ความรู้สึกไม่สบายใจผุดขึ้นในห้วงความคิดของนาง เมื่อคืนนี้ตอนที่อยู่ในห้อง ผิงอวี้ไม่ได้ปริปากเล่าสิ่งที่ได้พบเจอระหว่างประมือกับชาวอี๋ผู้นั้นเลยสักคำ คนประหลาดผู้นั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผิงอวี้หวั่นเกรงเป็นพิเศษแน่
นางพยายามหวนนึกถึงลักษณะของคนประหลาดในคืนนั้น นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร แม้นางจะได้สนทนากับผิงอวี้แค่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าเขามิใช่คนขี้ขลาด ไม่รู้ว่าชาวอี๋ผู้นั้นมีอะไรที่น่ากลัว ถึงกับทำให้ผิงอวี้ต้องระแวงมากเพียงนี้
แม่นมหลินกลับไม่ได้เป็นห่วงกังวลมากเท่าฟู่หลันหยา พอเห็นว่าข้างนอกมีองครักษ์เสื้อแพรคอยเฝ้าคุ้มกัน นางก็กินอาหารมื้อนั้นอย่างสบายใจอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็นฟู่หลันหยาเอาแต่เหม่อคิดอะไรอยู่ระหว่างกินอาหาร เกรงว่านางจะไม่เจริญอาหาร จึงรีบคีบอาหารตักน้ำแกงให้ หาทางดึงนางออกจากห้วงความคิด
กินข้าวเสร็จได้ไม่นาน คนรับใช้วังมู่อ๋องก็ยกน้ำร้อนมาให้ถึงห้องพักทุกห้อง ไม่เว้นแม้แต่ห้องพักของฟู่หลันหยากับบ่าว สองนายบ่าวจึงพลอยได้อาบน้ำดีๆ ไปด้วย
ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว ฟู่หลันหยาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ในลานเรือนจุดไฟไว้แล้ว ได้ยินเสียงหลี่หมินกับเฉินเอ่อร์เซิงกระซิบกระซาบกันเบาๆ ดูท่าแล้วถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผิงอวี้ก่อน พวกเขาคงไม่อาจถือโอกาสกลับไปพักผ่อนที่ห้องได้
ฟู่หลันหยาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ว่าผิงอวี้จัดแจงไว้เช่นนี้ด้วยเหตุผลใด นางก็ไม่นึกอยากจะเผชิญเหตุการณ์เฉกเช่นเดียวกับคืนนั้นอีกแล้ว มีคนคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ด้านนอกย่อมดีกว่าไม่มีการเตรียมการใดๆ ไว้เลย
นางเอนหลังลงนอนที่เตียง ดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นถึงหน้าอกเงียบๆ
ยามนี้นางไร้เบาะแสใดๆ เกี่ยวกับคนที่ซื้อตัวพ่อบ้านโจว อยากจะสอบถามให้รู้จากปากผิงอวี้ แต่เขาก็ฉลาดมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ลองสอบถามอ้อมๆ เลยสักครั้ง
เมื่อคิดแล้วไม่ได้ประโยชน์อันใดก็เปลี่ยนเรื่องคิดเสียดีกว่า
คืนนั้นตั้งแต่ได้ฆ่าคนจนถึงตอนที่ผิงอวี้ค้นตัวเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่เขาสามารถคาดเดาถึงตัวการที่อยู่เบื้องหลังได้รวดเร็วปานนั้น หรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดในคืนนั้นเป็นตัวจุดประกายให้เขา
ฟู่หลันหยาอดจะหวนกลับไปครุ่นคิดอย่างละเอียดถึงภาพเหตุการณ์ในลานเรือนคืนนั้นไม่ได้ แต่เพราะต้องตรากตรำเดินทางติดๆ กันมาหลายวัน ยังไม่ทันจะได้คำตอบความง่วงงุนก็ซัดโถมเข้ามาดุจคลื่นลูกใหญ่
นางฝืนไว้ได้เพียงครู่เดียว รออยู่นานแม่นมหลินก็ไม่มานอนเสียที จึงพลิกตัวไปอย่างหงุดหงิด ไม่อาจสะกดความง่วงงุนได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงผล็อยหลับ
ฟู่หลันหยาหลับลึกไปตื่นหนึ่ง กระทั่งกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งเข้ามาในจมูก นางจึงตกใจตื่นขึ้น
“คุณหนู ไฟไหม้แล้ว!” สีหน้าแม่นมหลินดูตื่นตกใจอย่างมาก รีบเขย่าแขนเพื่อปลุกนาง ท่าทางทำอะไรไม่ถูก
นางนิ่งอึ้งไป หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเปลวเพลิงแดงฉานนอกหน้าต่างพุ่งขึ้นฟ้า เสียงไฟปะทุดังเปรี๊ยะๆ ไม่หยุด กลุ่มควันหนาทึบทะลักเข้ามาตามรอยแยกที่ช่องประตูไม่หยุด
หวังซื่อเจาอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย เหลือบมองไปทางมู่เฉิงปินที่กำลังเมาได้ที่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ไม่รู้ว่าเพราะชายาซื่อจื่อกำลังล้มป่วยนอนซมอยู่หรือไม่ อีกฝ่ายจึงร่ำสุรากับพวกเขาทั้งคืน โดยไม่มีการเรียกหญิงนักขับร้องหรือนักดนตรีมาที่โต๊ะสักคน ช่างน่าเบื่อจริงๆ
เขาเองมิใช่ว่าต้องมีหญิงสาวมาคอยสร้างความรื่นเริงให้ อย่างไรเสียมีสาวงามสูงศักดิ์เยี่ยงฟู่หลันหยาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะยังมีหญิงสาวคนใดทำให้เขาคึกคักขึ้นมาได้อีก
แต่เขาถูกทิ้งไว้อย่างไม่แยแสอยู่ข้างๆ มาตลอดทั้งคืน กระทั่งหัวข้อให้พูดคุยแก้เบื่อก็ไม่มี จึงรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
ยามคิดถึงฟู่หลันหยา เขาก็เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในอก
ตอนนี้จึงจิบสุราอย่างหดหู่ใจ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมู่เฉิงปินหันไปพูดคุยทั้งกับผิงอวี้และเติ้งอันอี๋ซ้ายทีขวาที คอยหาหัวข้อมาชักชวนทั้งสองพูดคุยมิได้หยุด
เขาเห็นแล้วก็เข้าใจว่ามู่เฉิงปินทำเช่นนี้เพราะหมายจะเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
ตอนนี้ถึงผิงอวี้ยังมีท่าทีไม่แยแส แต่คงจะต้านทานการหว่านล้อมของคนเหล่านี้ไม่ไหวแน่ ถ้าเกิดวันใดผิงอวี้ใจอ่อน สกุลผิงกับสกุลเติ้งกลับมาปรองดองกันได้อีกครั้ง ต่อไปผิงอวี้ได้ภรรยาเป็นคนสกุลเติ้ง นี่จะไม่เป็นผลดีกับเขาแม้แต่น้อยแน่
คิดได้เช่นนี้เขาก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว ตลอดมาสกุลเติ้งไม่เคยยอมรามือเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ นอกจากจะมีฮองเฮาคอยช่วยไกล่เกลี่ย เกรงว่าอีกสาเหตุหนึ่งคงไม่พ้นตัวคุณหนูเติ้งเองที่น่าจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย
จู่ๆ ก็คิดขึ้นว่าหากแพร่งพรายเรื่องระหว่างผิงอวี้กับฟู่หลันหยาออกไป จนทำให้คุณหนูเติ้งทราบว่าผิงอวี้มีท่าทีคลุมเครือกับบุตรีของขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านางยังอยากจะแต่งงานกับผิงอวี้อีกหรือไม่
กระนั้นหวังซื่อเจาก็ยังสองจิตสองใจกับวิธีนี้ หากใช้วิธีนี้ย่อมมีผลทำลายชื่อเสียงของผิงอวี้ ไม่แน่อาจถึงกับทำให้แผนการแต่งงานระหว่างสกุลผิงกับสกุลเติ้งมีอันต้องล้มเลิกไปอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
แต่ถ้าเขาต้องทำให้ชื่อของฟู่หลันหยากับผิงอวี้มาพัวพันกัน นั่นย่อมมิใช่สิ่งที่เขาปรารถนา
ขณะกำลังครุ่นคิดหาวิธีการอันแยบคาย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกมาแต่ไกล “ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
ผิงอวี้กับคนอื่นๆ ที่ร่ำสุราสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที รีบผุดลุกขึ้นยืน
ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าวิ่งวุ่นสับสน คนรับใช้วังมู่อ๋องรีบเข้ามารายงานอย่างกระหืดกระหอบ “ซื่อจื่อ ที่เรือนปีกตะวันตกขอรับ! เรือนปีกตะวันตกไฟไหม้แล้ว!”
มู่เฉิงปินสีหน้าเคร่งเครียด ตะคอกสั่ง “ไปดับไฟก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!”
พูดยังไม่ทันจบ ผิงอวี้ก็ฉวยดาบมาไว้ในมือแล้ววิ่งลับหายออกนอกประตูไป
มู่เฉิงปินกับเติ้งอันอี๋ยกชายเสื้อแล้วรีบตามไป สาวเท้าก้าวอาดๆ ไปยังเรือนปีกตะวันตก
จวบจนผิงอวี้มาถึงลานเรือนก็เห็นว่าบนเรือนมีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นฟ้าแล้ว แสงเพลิงสาดส่องจนฟากฟ้ายามราตรีสว่างจ้าดุจกลางวัน ที่ประตูเรือนเต็มไปด้วยคนรับใช้วังมู่อ๋องเดินกันขวักไขว่ ควันคลุ้งตลบ ดูชุลมุนวุ่นวาย
ท่ามกลางเงาร่างอันสับสนวุ่นวายก็มีคนวิ่งมาหาผิงอวี้ “ใต้เท้าผิง!”
ผิงอวี้ชะงักฝีเท้าแล้วนิ่วหน้าหันไปมอง เห็นว่าเป็นหลี่หมินจึงตะคอกถาม “คนอื่นๆ เล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่!”
“มาอยู่ที่นี่หมดแล้วขอรับ ไม่หายไปสักคนเดียว” หลี่หมินสีหน้าซีดขาว หายใจหอบแฮกๆ “แม้แต่คุณหนูฟู่กับบ่าวก็หนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
ผิงอวี้ได้ยินว่าตอนนี้ฟู่หลันหยาปลอดภัยดี ความกังวลใจก่อนหน้านี้ก็ลดน้อยลง สายตากวาดมองด้านบนของเรือนที่พัก เปลวไฟที่ไหม้ลามค่อยๆ มอดลงบ้างแล้ว หัวคิ้วขมวดมุ่นขณะพูดว่า “จู่ๆ เกิดไฟไหม้ได้อย่างไร มีสิ่งใดน่าสงสัยหรือไม่”
หลี่หมินตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า ขณะกำลังจะพูดจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนกดังมาจากด้านหลัง “คุณหนู! ใครก็ได้มาช่วยที คุณหนูข้าถูกจับตัวไปแล้ว!”
ทั้งสองหันขวับไปมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นแม่นมหลินหันไปมองทางเดินระเบียงวนพลางร้องตะโกนอย่างร้อนใจอยู่หลายครั้งด้วยน้ำเสียงแตกพร่าและขาดห้วง ยังเป็นห่วงจนถึงขั้นจะวิ่งตามไปทางนั้นด้วย รับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกยิ่งยวด
ผิงอวี้มองตามสายตาแม่นมหลินไปยังสุดปลายทางเดิน ท่ามกลางเงาสลัวของแมกไม้ มีเงาร่างปรากฏขึ้นแล้วแวบหายไปอย่างฉับพลันประหนึ่งเหยี่ยว
ผิงอวี้เห็นอย่างถนัดชัดเจน ประกายคมปลาบก็วาบขึ้นในดวงตา เขาหัวเราะหยันแล้วเอ่ยว่า “สารเลว! มาก่อกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิหยุดหย่อน เห็นองครักษ์เสื้อแพรกระจอกนักหรือไร” ก่อนรีบพุ่งทะยานตามร่างนั้นไปโดยไว
หลี่หมินกับองครักษ์คนอื่นๆ ต่างมีอาการตอบสนองว่องไวยิ่ง รีบชักดาบออกมาแล้วพุ่งทะยานตามผิงอวี้ไป
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะออกตัวช้าไปหรือไม่ พอพวกเขาไล่ตามไปจนถึงกำแพงกั้นลานเรือนของวังมู่อ๋อง ก็เห็นเพียงถนนที่วิเวกวังเวง ไร้วี่แววทั้งของผิงอวี้และคนร้าย
ผิงอวี้ไล่ตามอย่างไม่ลดละ ทว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นั้นอยู่ในขั้นสูงมาก จึงทิ้งระยะห่างจากเขาอยู่ช่วงหนึ่งเสมอ
กระทั่งตามไปถึงด้านทิศเหนือของเมือง คนผู้นั้นก็มุดหายเข้าไปในแนวป่า อาศัยเงาไม้กำบังกาย หลบหลีกซ้ายทีขวาที ไม่ช้าก็หายลับตาไป
ป่าในอวิ๋นหนานขึ้นชื่อว่ารกชัฏ หากไม่มีคนในพื้นที่คอยช่วยนำทางก็จะหลงป่าได้ง่าย
ผิงอวี้จำต้องหยุดไล่ตาม ขณะกำลังจะแยกแยะทิศทางก็ได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากส่วนลึกในป่า สีหน้าเขาเคร่งเครียดในทันที ใช้เท้าเดียวดีดตัวจากพื้นกระโดดขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ แล้วเพ่งมองไปข้างหน้าจนสุดสายตา
เขาเห็นว่ามีประกายแสงสะท้อนระยิบระยับอยู่ไม่ไกล ลำธารสายหนึ่งกำลังไหลท่ามกลางแสงจันทร์
เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากริมลำธารสายนี้นี่เอง
พอแยกแยะได้ว่าอยู่ทิศใด เขาจึงกระโดดลงจากกิ่งไม้แล้ววิ่งไปทางริมลำธาร ยังไม่ทันมองให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นที่บริเวณนั้น ก็ได้ยินเสียงหอบหนักดังแว่วมาท่ามกลางความสลัว
เขาใจหายวาบ เร่งฝีเท้าตามเสียงนั้นไป เห็นมีร่างคนนอนอยู่ไม่ไกล แขนขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่หน้าอกยังคงพองๆ ยุบๆ อย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่ายังมีลมหายใจ
ดูจากเสื้อผ้าที่สวมน่าจะเป็นชาวอี๋
เขาเคลื่อนสายตาไปอีก ก็เห็นไม่ไกลจากคนผู้นั้นมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ สีหน้าซีดขาว หอบหายใจไม่หยุด…เป็นฟู่หลันหยานั่นเอง
นางยังสวมชุดนอน เส้นผมดำขลับสยายประบ่า ไม่ได้สวมรองเท้า เผยให้เห็นเท้าเปลือยเปล่า สภาพดูย่ำแย่
จู่ๆ เขาก็รู้สึกติดขัดในลำคอ ใช้ดาบจ่อคนที่นอนบนพื้นด้วยท่าทางระแวดระวัง แล้วค่อยๆ คืบเข้าไปหาฟู่หลันหยา เอ่ยกระซิบว่า “เจ้า…ไม่เป็นไรกระมัง”
พูดยังไม่ทันจบ สายตาเขาก็ชะงักค้าง เห็นมือขวาซึ่งยกค้างไว้ของฟู่หลันหยายังหนีบเข็มเงินเล่มหนึ่งไว้ระหว่างนิ้ว คิดแล้วคงเพราะยังตื่นกลัวมือจึงสั่นระริกไม่หยุด
ผิงอวี้เดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นชัดเจนว่าปลายเข็มเล่มนั้นคมมาก หยดเลือดที่ปลายเข็มสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายอย่างน่าประหลาด
มองเพียงปราดเดียวผิงอวี้ก็จำได้ว่านั่นเป็นเข็มที่ชาวอี๋ผู้นั้นใช้เป็นอาวุธลอบทำร้ายเมื่อคืนก่อน
เขาอดจะหันไปมองดูฟู่หลันหยาอย่างตกตะลึงไม่ได้ ทว่าเพียงชั่วครู่ก็นึกขึ้นได้ว่านางเป็นคนที่มีไหวพริบ ย่อมไม่ตื่นตระหนกอยู่นาน ไม่ช้าก็จะรวบรวมสติกลับมาสงบได้อีกครั้ง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด เขาจึงเดินไปข้างกายชาวอี๋ แล้วยอบกายลงตรวจสอบดูอย่างระมัดระวัง
ชาวอี๋ผู้นี้มีเรือนร่างกำยำ มือเท้ายาว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนแคระในคืนนั้น
เห็นผิงอวี้เข้ามาใกล้ คนผู้นั้นก็เบิกตากว้างอย่างเกรี้ยวกราด มีเสียงประหลาดดังออกมาจากลำคอไม่หยุด ดูจากท่าทางแล้วถ้าไม่ใช่เพราะกำลังตระหนกในสภาพที่ขยับตัวไม่ได้ ก็คงกำลังดิ้นรนอย่างหนักให้หลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ น่าเสียดายที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนเพียงใด ร่างก็ยังคงแข็งทื่อราวกับท่อนไม้เช่นเดิม
ผิงอวี้หัวเราะหยัน แอบชมในใจว่ายาพิษในเข็มเล่มนั้นได้ผลดีชะงัดนัก เขาเงียบไปพักใหญ่ โดยไม่พูดให้มากความก็ล้วงเอาเชือกที่พกติดตัวมาตลอดหลายปีนำมามัดชาวอี๋ไว้อย่างแน่นหนา เตรียมจะนำตัวกลับไปเค้นความจริง
หลังจากมัดเสร็จแล้ว ผิงอวี้จึงค่อยลุกขึ้นยืน เขาเดินไปอยู่เบื้องหน้าฟู่หลันหยาแล้วยอบกายลงมองดูนาง
คราวนี้เมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ก็ได้พินิจฟู่หลันหยาอย่างละเอียด จึงพบว่านางเหมือนยังไม่หายตกใจดี ร่างยังสั่นระริก ในดวงตามีหยาดน้ำเป็นประกาย
เขานิ่งอึ้งไป ไม่คิดว่านางจะร้องไห้ สายตาจึงหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนางนานครู่หนึ่ง แล้วค่อยเบนสายตาไปทางอื่น
นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง เห็นนางยังคงไม่มีท่าทีตอบรับใดๆ เหลือบเห็นเข็มเงินในมือนางแล้วเขาก็พูดเสียงเย็นชา “ใจกล้าดีนี่ ถึงกับกล้าซ่อนของเอาไว้ต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร”
พูดจบก็เหลือบมองไปรอบๆ ตัวนาง ไม่ผิดจากที่คาด มีผ้าเช็ดหน้าไหมตกอยู่ข้างข้อเท้าของฟู่หลันหยา บนผ้าไหมมีเข็มเงินหลายเล่มวางกระจัดกระจายอยู่ คิดแล้วหลังจากเมื่อคืนที่เขาไล่ตามคนประหลาดไป นางคงจะแอบซ่อนเข็มเงินเหล่านี้ไว้แล้ว
เขาทำเสียงหึอย่างเย้ยหยัน ลุกขึ้นพลางรวบรวมทั้งเข็มเงินและผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะยัดใส่อกเสื้ออย่างไม่เกรงใจ
ฟู่หลันหยาจึงค่อยได้สติกลับมา ร่างที่เดิมทีสั่นระริกเริ่มขยับ เงยหน้าขึ้นมองผิงอวี้ ดวงตาดำขลับแม้จะเห็นประกายหยาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ก็ค่อยๆ กลับมาสงบใจจนดูเป็นปกติแล้ว
“ใต้เท้าผิง” นางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง พยายามฝืนรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ “ชาวอี๋ผู้นี้…”
ชั่วขณะนั้นผิงอวี้กลับคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อยพลางขยิบตาให้ฟู่หลันหยาเงียบเสียงลงก่อน
ได้ยินเสียงดังสวบสาบน่าสงสัยมาจากดงไม้ไกลออกไป พอหันมองก็เห็นเงาร่างดำทะมึนพุ่งออกมา
พอเห็นอย่างชัดเจน แววตาผิงอวี้ก็เปล่งประกายเหี้ยมเกรียมทันที เขากุมด้ามดาบแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างตั้งใจ
เสียงลมพัดวูบผ่านแมกไม้ ใบไม้เสียดสีดังซู่ๆ แต่กลับไม่อาจกลบเสียงประหลาดที่ชวนให้ขนลุกขึ้นทุกทีได้
ตอนแรกเสียงนั้นดังอยู่แค่ในดงไม้จุดหนึ่งเท่านั้น แล้วค่อยๆ แผ่ออกไปรอบด้าน กระทั่งดังกระหึ่มขึ้นราวกับสายน้ำหลากไหล
สีหน้าผิงอวี้ยิ่งไม่น่าดูขึ้นทุกที หัวคิ้วขมวดมุ่นรวมเป็นจุดเดียว
แม้ฟู่หลันหยาจะไม่เข้าใจ แต่ก็คอยฟังอยู่ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำเหมือนรัวกลอง เสียงนี้แปลกประหลาดชอบกล ฟังเหมือนแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้ขวัญผวายิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว พลันเห็นเงาร่างสีดำทะมึนกระโจนออกมาจากดงไม้เป็นกลุ่มๆ เคลื่อนไหวว่องไวดุจสายฟ้า บีบเข้ามาใกล้ทุกที
กระทั่งมองเห็นดวงตาแดงก่ำวาววับของสิ่งที่เคลื่อนเข้ามาหาด้านหน้าสุดได้อย่างถนัดตา นางก็อดจะร้องครางอย่างหวาดผวาออกมาไม่ได้ “งู!”
ผิงอวี้ฝึกยุทธ์มานานปี การมองเห็นยามค่ำคืนจึงดีกว่าฟู่หลันหยาไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด ย่อมเห็นนานแล้วว่ามีงูประหลาดนับไม่ถ้วนกำลังคืบคลานอย่างน่าสยดสยองเข้ามาใกล้คนทั้งสอง หัวงูเลื้อยพันเกี่ยวกระหวัดอย่างสับสน น่ากลัวว่าจะมากันเป็นร้อยตัว ไม่ช้าก็เลื้อยเข้ามาโอบล้อมเขากับฟู่หลันหยาไว้ตรงกลาง
เขามองเข้าไปในดงไม้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม งูฝูงนี้ตัวสีเขียวเข้ม สองตาวาวโรจน์ดุจคบไฟ ดูก็รู้ว่าเป็นงูเขียวหางไหม้ท้องเหลืองที่มีพิษร้ายแรง ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในดงไม้มีความเป็นมาเช่นไรจึงสามารถเรียกงูพิษทั้งฝูงมาได้ในชั่วอึดใจเดียวเช่นนี้
ว่ากันจากจำนวนของงูแล้ว คิดจะเล่นงานชาวยุทธ์อันดับหนึ่งนับสิบคนก็เรียกได้ว่าเกินพอ หากพวกเขายังอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่ต่างกับรอความตาย
“หนี!” ผิงอวี้เงื้อดาบขึ้นฟันงูตัวหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ด้านหน้าจนขาดเป็นสองท่อน แล้วหันไปตะคอกสั่งฟู่หลันหยา ลำธารด้านหลังนางกว้างเพียงแค่ไม่กี่ฉื่อตอนนี้อีกฝั่งไม่มีงู ขอเพียงลุยน้ำข้ามไปได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหนีงูทั้งฝูงไม่พ้น
ชั่วชีวิตของฟู่หลันหยา สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือสัตว์จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไหนเลยจะกล้ารอช้า นางที่มีสีหน้าซีดขาวรีบตะกายลุกขึ้นจากพื้น
แต่เพิ่งจะก้าวเดินนางก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนร้องคราง ก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
ผิงอวี้ได้ยินเสียงล้มทางด้านหลัง ฉับพลันก็ฉุนเฉียวอย่างมาก ตะคอกอย่างขุ่นเคือง “มัวอืดอาดชักช้าอะไรอีก! รีบหนีเร็ว!” ขณะที่พูดก็เงื้อดาบฟันฉับฆ่างูที่เกือบจะฉกโดนบั้นเอวเขาอีกหลายตัว
ฟู่หลันหยากัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้น รีบวิ่งออกไปสองก้าวอย่างสุดกำลัง นางรู้สึกเจ็บปวดจนต้องสูดหายใจเฮือก พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล พูดเสียงสั่นว่า “ข้าข้อเท้าแพลงเสียแล้ว”
ผิงอวี้ถึงกับพูดไม่ออก เหลือบเห็นเงาดำมะเมื่อมอีกสายพุ่งปราดมาถึงข้างกาย เห็นกับตาว่ากำลังจะกัดเข้าที่แขนฟู่หลันหยาอยู่แล้ว
ฟู่หลันหยาตกใจจนหวีดร้องเบาๆ พลางรีบกระถดหนี แต่งูตัวนั้นว่องไวมาก แทบไม่อาจหลบหลีกมันได้เลย
จังหวะนั้นเอง จู่ๆ ก็เห็นประกายดาบวาบขึ้น ดาบนั้นคมปลาบยิ่ง ฟันฉับตัดร่างงูจนขาดเป็นสองท่อนทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากแขนฟู่หลันหยาเพียงไม่กี่ชุ่นเท่านั้น
จากนั้นฟู่หลันหยาก็รู้สึกร่างเบาหวิว มือแข็งแรงข้างหนึ่งฉุดตัวฟู่หลันหยาขึ้นจากพื้น ไม่ทันรอให้นางได้รู้เนื้อรู้ตัว ผิงอวี้ก็แบกนางขึ้นหลังเขา แล้วกระโดดข้ามลำธารโดยไม่พูดอะไรสักคำ มุ่งหน้าลุยน้ำไปยังอีกฝั่ง
ฟู่หลันหยาตกใจจนขวัญกระเจิง ยังคงได้ยินเสียงงูขู่ฟ่อๆ จากทางด้านหลัง ไม่รู้ว่าคนที่เรียกงูมานั้นใช้วิธีการใดจึงทำให้งูทั้งฝูงข้ามน้ำมาได้ แล้วเลื้อยไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
นางกลัวว่าจะถูกงูฉกที่หลัง จึงกอดรัดผิงอวี้ไว้แน่นสุดชีวิตจนร่างแนบชิดกับตัวเขาอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ขณะวิ่งหนีเตลิดอย่างชุลมุนนั้นเอง เสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลังก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ หัวใจของนางที่แขวนค้างกลางอากาศตลอดเวลาในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติ แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือร่างของผิงอวี้กลับเขม็งเกร็งขึ้นทุกที
ขณะกำลังนึกสงสัยอยู่นั่นเอง จู่ๆ ฟู่หลันหยาก็รู้สึกเย็นๆ ที่แขน นางมองด้วยความตกใจเล็กน้อย เห็นมีเหงื่อไหลลงมาจากขมับของผิงอวี้ เหงื่อเม็ดเป้งเท่าเม็ดถั่วไหลโกรกลงมาตามด้านข้างใบหน้าที่ซีดขาวเป็นทาง
ฟู่หลันหยาคิดว่าผิงอวี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว พอเห็นว่าฝูงงูไล่ตามมาไม่ทัน นางก็คิดจะลงจากหลังของเขา ใครเลยจะรู้ เพียงแค่นางขยับตัวผิงอวี้ก็กัดฟันกระซิบบอกว่า “เจ้าอย่าขยับตัวได้หรือไม่”
นางเห็นว่าน้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีก็พูดไม่ค่อยออก “ข้าคิดว่า…”
“เจ้าคิดว่าอะไร” เขาตัดบทนางเสียงเฉียบ นางสวมใส่เพียงชุดนอนบางๆ เท่านั้น แขนที่เปลือยเปล่าโอบรอบลำคอเขาไว้แน่น ผิวพรรณหอมสดชื่นไร้กลิ่นเหงื่อ ยามที่นางพูด ลมหายใจหอมกรุ่นดุจดอกกล้วยไม้บางเบาก็รดไปมาที่ใบหูเขาราวกับขนนกอ่อนนุ่ม จนทำให้ผิงอวี้ลำคอตีบตันคล้ายมีรสขมปร่า เรือนร่างนางอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก เขากำลังกอบกุมเรียวน่องบอบบางไว้กับมือ ต่อให้มีเสื้อผ้าบางๆ กั้นไว้ก็ยังรู้สึกร้อนลวก ที่แย่ที่สุดก็คือเส้นผมนางที่ทั้งสยายยาวทั้งเรียบลื่นก็เอาแต่ไล้ไปมาอยู่ตรงซอกคอจนรู้สึกเหมือนมีใบหลิวปัดป่ายไปมา ชวนให้รู้สึกเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.