X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักราชันใต้อาณัติ

ทดลองอ่าน ราชันใต้อาณัติ บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 3

“อืม มันเพิ่งยอมรับข้าเป็นเจ้านายได้ไม่ถึงครึ่งปี เมื่อก่อนมีอิสระอยู่ในป่าเขา ดื้อรั้นทำตามใจจนเคยตัว นิสัยจึงพยศไปบ้าง” สีหน้าและน้ำเสียงของเหยียนตี้ไม่แตกต่างจากยามปกติ แต่ฉินโยวโยวรู้สึกอยู่ตลอดว่าคำพูดของเขามีความหมายซ่อนอยู่ แววตาที่มองนางก็พิกลยิ่ง

เขาคงไม่ได้กำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวอยู่หรอกนะ? ฉินโยวโยวชักเริ่มระแวงขึ้นมาอีก

คำสัญญาของเหยียนตี้นั้นน่าฟังอย่างยิ่ง ทว่านางยังไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดผู้อื่นพูดมาคำเดียวก็โง่เชื่อว่าเป็นความจริงแล้ว นางยังคงไม่วางความระแวงระวังลง ตัดสินใจจะดูให้แน่ชัดก่อนค่อยคิดวางแผน

เหยียนตี้คงได้ฟังเหลียงลิ่งรายงานแล้ว รู้ว่านางไม่อยากเปิดเผยชื่อและลักษณะเด่นของสัตว์วิเศษ ถึงขนาดว่าไม่ยินดีให้พวกเขาค้นหาแทนนาง ดังนั้นจึงไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินโยวโยวใช้เวลาว่างหลังอาหารเช้าเอ่ยถามเหยียนตี้ “ข้าอยากไปเดินเล่นแถวนี้ ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”

เหยียนตี้ตอบมาสองพยางค์กระชับได้ใจความโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “สะดวก”

ใจกว้างถึงเพียงนี้เชียว? เรื่องจริงหรือหลอกกันเล่า

“คนของสำนักเฟิ่งเสินน่าจะไม่กล้ามาก่อกวนถึงในเมืองกระมัง” ความหมายของฉินโยวโยวคือ…ผู้มีพระคุณช่วยเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ด้วยการให้ลูกน้องตามนางออกไปแค่สองคนได้หรือไม่

เหยียนตี้วางถ้วยชาในมือลง เขาลุกเดินมาถึงข้างกายฉินโยวโยวแล้วยกมือขยี้ศีรษะนาง “อยากให้ข้าออกไปเป็นเพื่อนเจ้าก็พูดมาตรงๆ เถิด ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา”

เจ้านี่เห็นข้าเป็นลูกแมวหรือลูกสุนัขหรือไร เหตุใดถึงชอบจับศีรษะข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต! เกินไปแล้วจริงๆ!

มิหนำซ้ำข้าพูดตั้งแต่เมื่อไรว่าอยากให้เขาไปเป็นเพื่อน คิดเองเออเอง!

ทว่า…ฉินโยวโยวไม่ปฏิเสธ แม้เหยียนตี้จะเอาแต่ทำใบหน้าเคร่งขรึมสร้างความกดดันครั้งใหญ่ให้กับผู้คนทั้งวัน อีกทั้งคำพูดคำจาก็ทำให้คนตายโมโหจนฟื้นแล้วตายอีกรอบได้ แต่เมื่อมีเขาคอยอยู่ข้างกายแล้วก็ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยจริงๆ

หมู่นี้นางฝันร้ายว่าถูกตามจับมาโดยตลอด กำลังรู้สึกต้องการความปลอดภัยอยู่พอดี

‘อยู่ต่อหน้าเรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรล้วนแต่เป็นเรื่องเลื่อนลอยทั้งสิ้น’ ฉินโยวโยวแอบทวนคำของอาจารย์ในใจ ออกแรงกดข่มความแค้นในอกลง ตาม ‘นายท่าน’ ออกประตูไปอย่างว่าง่าย

ห้าปีก่อน อาจารย์เคยพานางมาเยี่ยมสหายที่เมืองปาไซ่ พร้อมทั้งรั้งอยู่ในเมืองเป็นพักใหญ่ ดังนั้นนางจึงนับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ขณะหลบหนีการตามจับของเฟิงกุยอวิ๋นจึงได้นัดพบกับสัตว์วิเศษทั้งสองตัวที่นี่

เมืองปาไซ่เล็กยิ่ง มีถนนใหญ่เพียงสี่สาย พาดกันเป็นรูปอักษรจิ่ง แค่เกือบครึ่งชั่วยาม  ก็สามารถเดินได้ครบ วันนี้เป็นวันตั้งตลาดพอดี ชาวไร่ชาวนาและนายพรานในบริเวณใกล้เคียงจำนวนไม่น้อย รวมถึงบรรดาพ่อค้าเร่ต่างก็นำสินค้าท้องถิ่นชนิดต่างๆ มาวางขายบนถนน ผู้คนเดินเบียดเสียดดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

ระหว่างทางฉินโยวโยวก็ค้นพบข้อดีข้อใหญ่ในการพาเหยียนตี้ออกมาด้วย ใบหน้าของนายท่านผู้นี้ข่มขวัญคนได้ ไม่เพียงวิญญาณร้ายจะหนีหาย แม้แต่คนเป็นๆ ยังถอยห่างไปไกล นางไม่ต้องห่วงแม้แต่น้อยนิดว่าจะถูกคนเบียด

หากรู้ก่อนหน้าว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ต้องสวมหมวกคลุมบดบังใบหน้าตนเองแล้ว ต่อให้นางมีรูปงามล่มเมืองปานเซียนสวรรค์เพียงใด แต่เมื่อมีปีศาจร้ายเช่นนี้อยู่ข้างๆ ก็รับรองได้ว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้นาง

นางเดินไปพลางมองซ้ายแลขวาไปพลาง ท่าทางสนอกสนใจยิ่งยวดต่อทุกสิ่งอย่าง เหยียนตี้ไม่มีคำบ่นแม้แต่ครึ่งคำต่อความเร็วดั่งหอยทากของนาง ปล่อยให้นางใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงจะเดินเล่นทุกซอกทุกมุมของถนนใหญ่สี่สายเสร็จในที่สุด

“พวกเรากลับกันเถอะ” ฉินโยวโยวเลิกผ้าขาวริมขอบหมวกขึ้นบอกกับเหยียนตี้

“ดูดีแล้วหรือ สัตว์วิเศษของเจ้าไม่ได้ทิ้งสัญลักษณ์อะไรไว้ให้เจ้า?” เหยียนตี้มองนางแวบหนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม

อะไรเรียกว่าถ้ายังขู่ขวัญผู้อื่นไม่ได้ถึงตายก็ไม่เลิกรา…นี่อย่างไรเล่า

ฉินโยวโยวถูกสายตาตรวจสอบจับจ้องของเขาทำให้ตกใจไม่น้อย นางเบิกตากว้างแล้วถามด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิด “สัญลักษณ์อะไร”

“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่าเจ้าสนใจในงาเน่าข้าวฟ่างเก่าเหล่านั้น หรือไม่ก็ไม่เคยเห็นตุ๊กตาตะกร้าสานจากหญ้าจากฟางเลยรู้สึกแปลกใหม่หรอกนะ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก ทว่าคำพูดกลับเต็มไปด้วยแววเหยียดหยันประชดประชัน

ฉินโยวโยวพลันหมดคำแก้ตัว นางจึงไม่พูดอะไรเสียเลย

เมื่อครู่นางเพิ่งจะนึกชมความอดทนของเขาอยู่ในใจ…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรถูกความดีจอมปลอมของเจ้าคนเลวหลอกลวง!

“เจ้ารู้จักคนสกุลเหวินที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง?” ฟังเหมือนเป็นคำถาม แต่เห็นได้ชัดว่าในใจผู้ถามมีคำตอบแน่ชัดแล้ว

ฉินโยวโยวยังคงเงียบ เมื่อครู่ตอนที่นางเดินผ่านทางใต้ของเมืองดูเหมือนจะมองคฤหาสน์สกุลเหวินนานไปเพียงสองอึดใจเท่านั้น

นางรู้สึกว่าบุรุษข้างกายผู้นี้ต้องเป็นปีศาจแปลงกายมาแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่มองเจตนาเบื้องหลังการกระทำของนางออกได้อย่างง่ายดาย อยู่กับปีศาจเช่นนี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!

“เบื้องหลังสกุลเหวินซับซ้อนยิ่ง หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปยุ่งกับพวกเขาดีกว่า” เหยียนตี้คล้ายเพียงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

ฉินโยวโยวใจหายวาบ นางจำได้รางๆ ว่าอาจารย์เองก็เคยให้ความเห็นทำนองเดียวกันนี้ต่อสกุลเหวิน ถึงขั้นพูดได้น่ากลัวกว่าผู้มีพระคุณปีศาจท่านนี้เสียอีก ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบนางจึงไม่เคยคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากคนสกุลเหวิน

ในเมืองไม่มีสัญลักษณ์ใดที่สัตว์วิเศษทั้งสองทิ้งเอาไว้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกมันน่าจะยังมาไม่ถึง ตอนนี้นางกำลังอาศัยความคุ้มครองจากผู้มีพระคุณปีศาจ ทุกการกระทำล้วนปิดบังหูตาเขาไม่พ้น ยากยิ่งที่จะติดต่อกับสัตว์วิเศษทั้งสองของตนโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง

จากท่าทางของผู้มีพระคุณปีศาจแล้ว คาดว่าเขาคงยังไม่ทำเรื่องไม่ดีอะไรกับนางในตอนนี้ เช่นนั้นจะขอให้เขาช่วยหาเจ้าสองตัวนั้นตรงๆ เลยดีหรือไม่ หรือจะเลือกทางปลอดภัยหน่อย คิดหาวิธีทิ้งข่าวบอกพวกมันให้เปลี่ยนสถานที่นัดพบ รออีกสักพักหลังนางหลุดพ้นจากกำมือของผู้มีพระคุณปีศาจแล้วค่อยไปหาพวกมัน

ฉินโยวโยวลังเลไปตลอดทาง กระทั่งกลับถึงคฤหาสน์ในเมืองของเหยียนตี้ถึงตัดสินใจได้ในที่สุด

“สัตว์วิเศษสองตัวของข้า กระต่ายหิมะหลงทางชื่อว่าอี้เสี่ยวฮุย นกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่ากวาต้าจุ่ย…” ฉินโยวโยวกัดริมฝีปากบอกแก่เหยียนตี้

เหยียนตี้หยุดฝีเท้าแล้วหันหน้ามามองฉินโยวโยว สาวน้อยนางนี้ยอมรับความจริง…ไม่ปิดบังข้าต่อแล้ว?

“ในตัวพวกมันมีสายเลือดผสมกับสัตว์วิเศษชนิดอื่น เสี่ยวฮุยไม่ได้มีสีขาวหิมะทั้งตัวเหมือนกระต่ายหิมะหลงทางทั่วไป สีขนบนตัวมันครึ่งเทาครึ่งขาว หูยาวยิ่ง ไม่มีหาง ส่วนต้าจุ่ยก็มีหน้าตาไม่ค่อยเหมือนนกเอี้ยง ออกไปทางอีกาเสียมากกว่า ตัวใหญ่ประมาณนี้” ฉินโยวโยวพูดพลางทำมือเปรียบเทียบ หยุดคิดเล็กน้อยก่อนเสริมอีกว่า “มันชอบวางท่าอาวุโสคุยโวโอ้อวดเป็นที่สุด พวกมันล้วนชอบกินเนื้อ ทั้งยังกินจุมากด้วย”

เหยียนตี้พยักหน้าให้เหลียงลิ่งที่ก้าวมาต้อนรับ สั่งให้เขาส่งคนไปหาลักษณะของสัตว์วิเศษตามที่ฉินโยวโยวบอก

ฟังจากคำบรรยายของฉินโยวโยว สัตว์วิเศษสองตัวนี้นอกจากพูดได้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ปีกสัตว์บกทั่วไป บนเขามีกระต่ายป่าสีขาวเทากับนกที่หน้าตาเหมือนอีกาอยู่มากจนนับไม่ไหว

“จู้อวิ๋นเฟยเล่า” พูดถึงสัตว์วิเศษ เหยียนตี้ก็นึกถึงม้าแดงตัวใหญ่ที่ตอนเช้าถูกเขาผิดนัดขึ้นได้

“มันกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เห็นบอกว่าเก็บกระต่ายทึ่มที่ชนตอไม้สลบมาได้ตัวหนึ่ง ร้องบอกว่าจะเอาไปเป็นกับแกล้มให้สือเอ้อร์หลาง” ขณะที่เหลียงลิ่งเอ่ยถึงม้าแดงตัวใหญ่ตัวนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏแววขบขันอยู่หลายส่วน

สือเอ้อร์หลางที่เขาพูดถึงคือองครักษ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเหยียนตี้ เรื่องที่ชมชอบที่สุดคือการกินอาหารป่าแกล้มสุรา ปกติมีหน้าที่ดูแลม้าแดงตัวนั้นให้เหยียนตี้ หนึ่งคนหนึ่งม้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนม

เหลียงลิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “กระต่ายตัวนั้น…มีลักษณะเหมือนกับที่แม่นางฉินบรรยายอย่างมาก…”

เหลียงลิ่งยังพูดไม่ทันจบ ฉินโยวโยวก็ตกใจจนใบหน้าถอดสีแล้ว “กระต่ายตัวนั้นอยู่ที่ใด!”

“ห้องครัวที่เรือนด้านหลัง” เหลียงลิ่งชี้ทางให้ เขาไม่ใคร่เข้าใจนักว่านางจะตกใจอะไร ก็แค่มีลักษณะเหมือนกันเท่านั้นเอง ต่อให้สัตว์วิเศษจะอ่อนแออย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นชนตอไม้เอง ซ้ำยังถูกสัตว์วิเศษอีกตัวคาบกลับมาเป็นกับแกล้มกระมัง

ฉินโยวโยวไม่ทันอธิบายก็วิ่งฉิวไปตามทิศทางที่เหลียงลิ่งชี้

ในห้องครัวเรือนด้านหลัง น้ำที่ต้มได้เดือดแล้ว จู้อวิ๋นเฟยม้าแดงตัวใหญ่กับสือเอ้อร์หลางองครักษ์กำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู น้ำลายไหลรอกินอาหารป่า ฉับพลันนั้นก็เห็นฉินโยวโยววิ่งตะบึงมา ม้าแดงตัวใหญ่นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าที่สตรีนางนี้ ‘ล่อลวง’ เจ้านายของมันไป ทำให้มันต้องออกไปเดินเล่นตามลำพัง อย่าให้พูดเลยว่ามันเบื่อหน่ายมากเพียงไร ทั้งที่เจ้านายรับปากมันก่อนชัดๆ ว่าจะไปวิ่งรับลมกับมันให้จุใจ!

ยามพบหน้าอริเช่นนี้ก็ให้ชวนหงุดหงิดใจเป็นพิเศษ จู้อวิ๋นเฟยตรงมาขวางทางฉินโยวโยว แยกเขี้ยวยิงฟันพูดว่า “หญิงหน้าเหม็น! เจ้ายังกล้าแล่นมาอยู่ต่อหน้าข้าอีก?!”

“หลีกทาง!” ฉินโยวโยวร้อนใจดั่งไฟเผา กลัวว่าตนเองจะช้าเกินไปจนเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวฮุยสัตว์วิเศษเสียก่อน แล้ว ‘ตัวการสำคัญ’ อย่างจู้อวิ๋นเฟยนี่ก็ยังมาขวางทาง ด้วยช่วงเวลาคับขันนางไม่มีเวลาให้หวาดกลัวม้าอีก นางใช้มือหนึ่งกระชากหมวกคลุมแล้วฟาดเข้าไปที่หน้าม้า คิดจะไล่มันไป

แม้จู้อวิ๋นเฟยจะเป็นสัตว์วิเศษที่ถนัดด้านความเร็วเพียงใด แต่ความเร็วล้วนอยู่ที่ขาทั้งสี่ มิได้อยู่ที่ส่วนหัว ทางเดินหน้าห้องครัวเดิมก็ไม่ค่อยกว้างอยู่แล้ว ทั้งมันเองก็คิดไม่ถึงว่าฉินโยวโยวมาถึงก็จะโจมตีมันทันที ผลคือกลายเป็นมันที่ยื่นหัวไปรับการฟาดจากฉินโยวโยวเสียเอง

บัดนี้ฉินโยวโยวมีร่างกายอ่อนแอ ยามที่หมวกคลุมนี้ฟาดโดนหน้าจู้อวิ๋นเฟยยังเบากว่าเกาผิวที่คันเสียอีก ทว่ากลับเป็นการทำลายศักดิ์ศรีอันสูงส่งของสัตว์วิเศษตัวนี้อย่างรุนแรง จู้อวิ๋นเฟยเปล่งเสียงร้องยาวก่อนอ้าปากจะกัดฉินโยวโยวด้วยความโมโห

เหยียนตี้มาถึงก็มองเห็นจู้อวิ๋นเฟยแทบจะกัดแขนฉินโยวโยวเข้าพอดี เขารู้ดีถึงความร้ายกาจของสัตว์วิเศษของตนเอง หากมันกัดลงไป แขนของฉินโยวโยวหลุดออกมาทั้งท่อนก็มิใช่เรื่องแปลกแล้ว

ระหว่างช่วงเวลาอันตรายนี้เอง เหยียนตี้ก็เคลื่อนไหวว่องไวประดุจภูตผีโผล่พรวดมาอยู่ระหว่างหนึ่งคนหนึ่งม้าแล้ว ฝ่ามือหนึ่งปัดหน้าจู้อวิ๋นเฟยออก อีกมือก็กระชากฉินโยวโยวมาปกป้องไว้ด้านหลัง

จู้อวิ๋นเฟยถูกฉินโยวโยวตีก่อน ต่อมายังถูกฝ่ามือของเจ้านายตนปัดอีก จึงทั้งเดือดดาลทั้งคับข้องใจ มันส่งเสียงร้องก่อนควบเท้าทั้งสี่วิ่งจากไป

ฉินโยวโยวไม่มีแก่ใจจะสนความรู้สึกของมันโดยสิ้นเชิง ถือโอกาสตอนที่เหยียนตี้เสียสมาธิดิ้นจนหลุดออกมา ก่อนวิ่งเข้าห้องครัว นางมองเห็นหัวหน้าพ่อครัวถือมีดแหลมชะโงกมองมาที่ประตูใหญ่ของห้องครัวด้วยอยากรู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นพอดี ทั้งยังมองเห็นกระต่ายตัวอ้วนที่มีหูยาวและขนครึ่งเทาครึ่งขาวตัวหนึ่งกำลังนอนไม่ไหวติงอยู่บนเขียง

“เสี่ยวฮุย!” ฉินโยวโยวกระโจนไปช่วยกระต่ายออกมาจากเขียง

ยังดี…ตัวของเสี่ยวฮุยยังอุ่น ยังมีลมหายใจ หัวใจยังเต้น แสดงว่ามันยังมีชีวิตอยู่ หากนางมาช้าอีกเพียงนิดก็ต้องพรากจากเสี่ยวฮุยไปตลอดกาลแล้ว

เหยียนตี้ขมวดคิ้วเดินเข้ามาในห้องครัว หลังมองเห็นกระต่ายอ้วนที่ขนยุ่งเหยิงดูสกปรกในอ้อมแขนฉินโยวโยวแล้วก็อดจะหมดคำพูดไปชั่วขณะไม่ได้

“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือสัตว์วิเศษของเจ้า?” เหยียนตี้รู้สึกเหลือเชื่อยิ่งยวด กระต่ายตัวนี้ไหนเลยจะเหมือนกระต่ายหิมะหลงทาง เป็นกระต่ายป่าทึ่มทื่อที่มีอาหารการกินที่ดีเกินไปจนทำให้ตัวอ้วนกลมชัดๆ เป็นสัตว์วิเศษออกจะเกินจริงไปสักหน่อย เป็นอาหารป่าแกล้มสุรายังดูเหมาะสมกว่าจริงๆ

ฉินโยวโยวออกแรงพยักหน้าก่อนเอ่ยว่า “ข้าแน่ใจ ตอนกลางคืนเสี่ยวฮุยจะมองอะไรไม่ชัด มักจะชนนู่นชนนี่เป็นประจำ เมื่อก่อนก็ชนตอไม้สลบไปอยู่หลายครั้ง”

เหลียงลิ่งที่ตามมาด้านหลังเองก็หมดคำพูดแล้วเช่นกัน ที่แท้กระต่ายทึ่มตัวนี้ก็ถึงกับทำเรื่องโง่ๆ พรรค์นี้เป็นประจำ มิน่าพอฉินโยวโยวได้ยินว่ากระต่ายที่ชนตอไม้มีลักษณะคล้ายกับสัตว์วิเศษของนางถึงได้ตกใจปานนั้น สามารถรู้ฐานะของมันได้ในทันที

ไม่เสียแรงที่เป็นสัตว์วิเศษจริงๆ! ลองเปลี่ยนเป็นกระต่ายตัวอื่น หากมีข้อบกพร่องโง่ๆ เช่นนี้คงได้ตายไปเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแล้ว

สือเอ้อร์หลางผู้เป็นองครักษ์ถูกเหตุเปลี่ยนแปลงเป็นชุดนี้ทำเอางุนงง หลังจากได้ฟังบทสนทนาของนายท่านกับฉินโยวโยวแล้วก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กในทันที เหลียงลิ่งเคยบอกใบ้พวกเขาเป็นการส่วนตัวว่าแม่นางน้อยที่งามหยาดเยิ้มประหนึ่งบุปผาตรงหน้านี้คือผู้ที่นายท่านถูกตาต้องใจ ทว่าเขากลับจะเอาสัตว์วิเศษของนางมากิน ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า!

“ข้าน้อยมิทราบว่านี่เป็นสัตว์วิเศษของแม่นางฉิน…” มองเห็นสายตาของเหยียนตี้ตวัดผ่าน สือเอ้อร์หลางก็รีบเอ่ยปากรับผิด ในใจแอบอุทานว่าแย่แล้ว

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ เป็นจู้อวิ๋นเฟยลากเขามาโดยบอกว่าจะเลี้ยงอาหารป่าแก่เขา

ฉินโยวโยวพลันนึกถึงคำของเหลียงลิ่งขึ้นมาได้ นางตระหนักได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้เกือบจะกินเสี่ยวฮุยของนางเข้าไปแล้ว จึงอดไม่ไหวถลึงตาค้อนควักใส่เขาอย่างเข่นเขี้ยว

หลังความวุ่นวายผ่านพ้นไป เหยียนตี้ก็โบกมือไล่แต่ละคนให้แยกย้าย ฉินโยวโยวอุ้มเสี่ยวฮุยกลับห้องแล้วตรวจดูอย่างละเอียด โชคดีที่นอกจากรอยปูดบวมบนหัวที่มาจากการชนตอไม้แล้วก็ไม่มีบาดแผลอื่นอีก นางจึงได้จัดให้มันอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ชั่วคราว รอมันฟื้นขึ้นมาเอง

 

พลบค่ำ เสี่ยวฮุยที่สลบไสลมาครึ่งค่อนวันก็ฟื้นขึ้นในที่สุด พอมองเห็นเจ้านายอยู่ตรงหน้าก็พูดออกมาเป็นชุด “โยวโยว ต้าจุ่ยเกิดเรื่องแล้ว มันถูกตัวสารเลวสกุลเหวินจับไป ท่านรีบไปช่วยมันเร็ว!”

“สกุลเหวิน? มันเรื่องอะไรกัน” ฉินโยวโยวทั้งประหลาดใจทั้งร้อนใจ

“ตอนหัวค่ำเมื่อวานข้ากับต้าจุ่ยมาถึงบริเวณใกล้เมืองปาไซ่ ยามผ่านเรือนใหญ่ที่งามสุดในหมู่บ้าน ต้าจุ่ยก็บอกว่ากลิ่นหอมของสมุนไพรวิเศษที่ลอยมาจากข้างในทำมันน้ำลายสอจนทนไม่ไหว บอกให้ข้ารออยู่ข้างนอก ข้ารอได้สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงอึกทึกมาจากข้างในเรือน มีคนพบต้าจุ่ยเลยจะจับตัวมันเอาไว้ ซ้ำยังมีคนพูดด้วยว่า ‘นี่คือสัตว์วิเศษของมือเทพเนรมิต ข้าไม่มีทางจำผิด’ ข้าเคยได้ยินเสียงของคนผู้นี้จากในสกุลเหวินมาก่อน เป็นพ่อบ้านที่รับหน้าที่ให้การรับรองอาจารย์ในตอนนั้น” เสี่ยวฮุยร้องไห้พลางเอ่ยฟ้องอย่างสะอึกสะอื้น

“ข้ารู้ว่าเกิดเรื่องแย่ขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญญาจะช่วยมัน ได้แต่รอจนฟ้ามืดสนิทถึงค่อยแอบมุดรูสุนัขเข้าไปสืบข่าว ภายในเรือนมียอดยุทธ์ขั้นเจ็ดอยู่ ข้าไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป แต่ก็ได้ยินคนปรึกษากันแว่วๆ จากในห้องหนังสือว่าจะส่งตัวต้าจุ่ยกลับไปสกุลเหวินอย่างลับๆ แล้วคิดหาวิธีบีบให้มันบอกที่อยู่ของอาจารย์รวมถึงตำราภาพอาวุธกลไกออกมา คนสกุลเหวินเหล่านี้ช่างเลวเกินไปแล้วจริงๆ! ตอนนั้นอาจารย์อุตส่าห์ช่วยพวกเขาไว้ บัดนี้พอรู้ว่าอาจารย์ไม่อยู่แล้วก็มาทำร้ายต้าจุ่ย! ข้ากลัวว่าพวกเขาจะจับข้าไปด้วยจึงได้ถอยออกมาหลบในป่านอกเมืองอย่างระมัดระวังแล้วรอให้ท่านมา แต่ว่าฟ้ามืดเกินไป ข้า…ข้าเลยเผลอชนต้นไม้เข้า…”

เสี่ยวฮุยพูดถึงตรงนี้ก็ขยับหัวมาตรงหน้าฉินโยวโยวเพื่อขอให้เจ้านายปลอบใจ ฉินโยวโยวจิตใจว้าวุ่น ทว่าเห็นรอยปูดบนหัวที่มีขนปุกปุยของมันแล้วก็อดจะปวดใจไม่ได้ นางจึงก้มหน้าลงเป่าให้มัน ก่อนยกมือลูบขนปลอบขวัญ “ข้าเพิ่งทายาให้เจ้าไป อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้วล่ะ เจ้าสลบไปนานจนเกือบจะถูกคนสับมาแกล้มสุราแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ เจ้าต้องหายไวๆ พวกเราจะได้คิดหาวิธีช่วยต้าจุ่ยโดยเร็วที่สุด”

เสี่ยวฮุยกะพริบตาพูดด้วยความหวาดผวา “ข้าฟื้นมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมากลับเห็นม้าปีศาจสีแดงเลือดแสนอัปลักษณ์ยิ่งตัวหนึ่งคิดจะกินข้า ทำข้าตกใจแทบตายเลย ฮือๆๆ จากนั้นข้าก็ตกใจจนหมดสติไปอีกรอบ”

พูดถึงความตระหนกที่ได้รับเมื่อเช้า เสี่ยวฮุยก็ยังหวาดกลัวไม่หาย มันร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างทั้งคับข้องใจทั้งอับอายขายหน้า

“เจ้าสิอัปลักษณ์ยิ่ง เจ้าสิม้าปีศาจ! เจ้ากระต่ายที่สมควรตายนี่!” เสียงตะคอกด้วยโทสะพลันลอยมาจากนอกประตู

ประตูห้องของฉินโยวโยวถูกกีบเท้าม้าขนาดใหญ่ข้างหนึ่งถีบเปิดอย่างแรง หัวใหญ่ๆ ของจู้อวิ๋นเฟยปรากฏอยู่ตรงหน้าประตู เหยียนตี้ก็ยืนอยู่ข้างมัน

“อ๊า! เจ้าปีศาจมาแล้ว โยวโยวช่วยด้วย!” เสี่ยวฮุยกรีดร้องขึ้นมา มันขดตัวกลมมุดเข้าไปในอ้อมแขนฉินโยวโยวด้วยตัวอันสั่นเทา

อันที่จริงฉินโยวโยวก็มิได้มีสภาพดีไปกว่ามันสักเท่าไร ทว่านางมีฐานะเป็นเจ้านาย รู้สึกว่ามีหน้าที่ที่ต้องปกป้องสัตว์วิเศษของตนเอง จึงฝืนทนไม่ถอยหลังหลบหลีก

นางปกป้องตัวเสี่ยวฮุยไว้อย่างมิดชิด พร้อมกับให้กำลังใจตนเองในใจ ผู้มีพระคุณปีศาจก็อยู่ข้างๆ คงไม่ปล่อยให้ม้าแดงตัวใหญ่ที่ทั้งน่ากลัวทั้งอัปลักษณ์นี้ทำร้ายข้าหรอก

เหยียนตี้ตบคอม้าเบาๆ พลางเอ่ยว่า “จู้อวิ๋นเฟย เจ้าลืมคำที่ตนเองพูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ”

ความยโสของม้าแดงตัวใหญ่พลันลดน้อยลงไปแทบจะในทันที มันโอดครวญด้วยเสียงพึมพำ “ท่านก็ได้ยินว่าพวกนางว่าร้ายข้าอย่างไร”

เหยียนตี้มองมันอย่างเรียบเฉยปราดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ม้าแดงตัวใหญ่พ่นเสียงออกจมูกก่อนแค่นเสียงพูดอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ข้าไม่รู้ว่ากระต่ายโง่ตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษของเจ้า ขออภัยด้วย” พูดจบก็คล้ายว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้นานขึ้นแม้เพียงเศษเสี้ยว มันหมุนตัวกลับแล้ววิ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็วราวกับบิน

ฉินโยวโยวคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ม้าแดงตัวใหญ่ที่ดุร้ายนี้จะเอ่ยปากขออภัยนางได้ ผู้มีพระคุณที่เป็นเจ้านายของมันดูมีอำนาจบารมีมากมายเสียจริง ไหนเลยจะเหมือนนาง สัตว์วิเศษสองตัวที่ข้างกายตัวหนึ่งยิ่งวางท่าใหญ่โตกว่าอีกตัว เรียกร้องให้นางคอยปลอบคอยปรนนิบัติ เวลาไม่พอใจยังชักสีหน้าใส่นางด้วย

เหยียนตี้ไม่ได้ตามม้าแดงตัวใหญ่ไปจากห้องของฉินโยวโยว กลับเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้านางด้วยท่าทางผ่อนคลายอย่างยิ่ง ทั้งยังชี้ที่นั่งด้านหลังนางพลางสั่ง “นั่งลง”

ฉินโยวโยวนั่งลงเงียบๆ อย่างเชื่อฟัง นางสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยว่า “ข้าอยากขอให้ท่านช่วยต้าจุ่ยด้วย มีเงื่อนไขอะไรท่านก็บอกข้ามาตามตรงได้เลย ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะพยายามทำให้อย่างสุดกำลัง”

ไม่ต้องให้เสี่ยวฮุยที่หูดีเป็นพิเศษบอก นางก็รู้ว่าผู้มีพระคุณปีศาจจะต้องได้ยินเรื่องที่ต้าจุ่ยตกอยู่ในกำมือคนสกุลเหวินแล้วแน่นอน ทว่ายามนี้นางยังเอาตนเองไม่รอด ไหนเลยจะมีปัญญาไปช่วยต้าจุ่ยที่ถูกสกุลเหวินเห็นเป็นนักโทษสำคัญได้ หากนางเกิดพลาดพลั้งจนทำตนเองตกอยู่ในมือสกุลเหวิน คาดว่าจุดจบของนางคงไม่ดีไปกว่าอยู่ในกำมือของเฟิงกุยอวิ๋นสักเท่าไร

หากแต่นางก็กลัวการรับน้ำใจจากผู้มีพระคุณปีศาจจริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยปากขอให้อีกฝ่ายบอกเงื่อนไขออกมาตรงๆ

“เจ้าจะทำอะไรให้ข้าได้” เหยียนตี้น้ำเสียงราบเรียบ คำถามนี้ทำเอาฉินโยวโยวตอบไม่ถูกไปในทันที

สำหรับเรื่องที่ง่ายเกินไป ไม่จำเป็นเลยที่ผู้มีพระคุณปีศาจต้องมาใช้งานนาง เขาจัดการเองก็สำเร็จได้ แต่หากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป นางก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เขาได้

“เดินหมากเป็นเพื่อนข้า” เหยียนตี้พลันบอก

“หืม? เดินหมาก?” นี่จะกระโดดข้ามประเด็นเร็วเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่ เสี่ยวฮุยในอ้อมแขนฉินโยวโยวโผล่หัวออกมา หูยาวๆ ทั้งสองข้างตั้งขึ้น จ้องมองเหยียนตี้ด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ดุจเดียวกัน

“เงื่อนไขของข้า” เหยียนตี้เคาะโต๊ะเบาๆ สาวใช้นางหนึ่งที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว วางกระดานและเม็ดหมากลงระหว่างคนทั้งสองอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ง่ายถึงเพียงนี้เชียว? แค่เดินหมากเป็นเพื่อนเขาก็ใช้ได้แล้ว? ฉินโยวโยวรู้สึกราวกับได้รับการให้อภัยโทษครั้งใหญ่ แต่ก็ลำบากใจขึ้นมาอีกทันที “ข้าเดินหมากไม่เป็น”

“ได้ข่าวว่าอาจารย์เจ้าไร้คู่แข่งบนกระดานหมากตลอดมา”

“เขาชอบใช่ว่าข้าต้องชอบด้วยนี่” ฉินโยวโยวคร้านจะบ่ายเบี่ยงแล้ว คนเขารู้ความเป็นมาของนางแล้ว นางเสแสร้งไปก็ไม่มีความหมาย

“ข้าจะสอนให้ เจ้าเล่นเป็นเมื่อใด ข้าก็จะไปช่วยสัตว์วิเศษของเจ้าเมื่อนั้น” เหยียนตี้เล่นเม็ดหมากในมือพลางกล่าว

เสี่ยวฮุยรู้สึกว่าอันตรายได้จากไปไกลแล้ว มันจึงตะกุยออกจากอ้อมแขนฉินโยวโยว ปีนขึ้นไปอยู่บนบ่านางอย่างคุ้นเคย ยกขาหลังขึ้นเกาหูก่อนเอ่ยถามเสียงค่อย “โยวโยว เขาเป็นใครกัน ร้ายกาจมากเลยหรือ สามารถเอาชนะเจ้าพวกสารเลวสกุลเหวินได้?”

พอมันถามเช่นนี้ ฉินโยวโยวถึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองยังไม่ทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของผู้มีพระคุณ

“เหยียนหย่งเล่อ” เหยียนตี้แค่เห็นก็ล่วงรู้ความคิดของฉินโยวโยว เขาจึงบอกชื่อออกมาเอง ‘ตี้’ คือนามของเขา ส่วน ‘หย่งเล่อ’ เป็นชื่อรอง ในใต้หล้ามีคนรู้ชื่อแซ่ของเขาอยู่มากมายนัก แต่ที่รู้ชื่อรองของเขากลับมีเพียงไม่กี่คน

ฉินโยวโยวคิดในใจ แซ่เหยียน? เป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยอย่างที่คิดจริงๆ เคราะห์ร้ายแท้ๆ เหมือนว่าหนึ่งปีก่อนข้าเพิ่งจะจัดการเซิ่งผิงชินอ๋องอะไรนั่นไป คนผู้นั้นน่าจะเป็นญาติของเขา ขออย่าได้โชคร้ายบังเอิญเจอเป็นอันขาดเชียว

“มันคือสัตว์วิเศษของข้า เสี่ยวฮุย อี้เสี่ยวฮุย”

เหยียนตี้กวาดตามองเสี่ยวฮุยแวบหนึ่ง “ตั้งชื่อได้เหมาะสมยิ่ง เป็นเจ้าตัวชอบหนียามมีศึกจริงๆ”

เสี่ยวฮุยตะลึงงัน น้ำตาเม็ดใหญ่พลันร่วงเผาะออกมาจากดวงตากลมสีดำวาว มันฝังหน้าลงกับคอฉินโยวโยวพลางร้องไห้โฮๆ ขึ้นมา

ฉินโยวโยวถลึงตามองเหยียนตี้ด้วยโทสะ “ท่านว่าเสี่ยวฮุยเช่นนี้ได้อย่างไร!”

“ข้าพูดผิดหรือ” เหยียนตี้ไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย สีหน้าที่สงบหนักแน่นจนเกินไปของเขายิ่งทำให้คนโมโหตาย

ฉินโยวโยวจับเสี่ยวฮุยมากอดไว้ในอ้อมแขน ทั้งปลอบขวัญทั้งลูบขน เป็นครู่ใหญ่เสี่ยวฮุยถึงฝืนสงบอารมณ์ได้ มันฟุบกับตักนางไม่ยอมพูดกับเหยียนตี้อีก

เหยียนตี้เพิ่งเคยเห็นการรวมตัวอันแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก สัตว์วิเศษที่เขาเคยเห็นไม่มีสักตัวที่ไม่ห้าวหาญและไม่จงรักภักดีต่อเจ้านาย และยิ่งเชื่อฟังทำตามคำสั่งของเจ้านายทุกอย่าง

ทว่าตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ทั้งเปราะบาง ขี้แย ขี้ขลาด และเงอะงะยิ่ง ฉินโยวโยวกลับเอาใจมันปลอบมันยิ่ง เห็นมันเป็นดั่งดวงใจ ถึงขนาดว่ายามมีอันตรายยังปล่อยให้สัตว์วิเศษหนีไปก่อน ส่วนตนเองก็ต้านทานศัตรูแข็งแกร่งเพียงลำพัง ทำให้ตบะถูกทำลายจนเกือบมีอันเป็นไปหลายครั้ง

หนึ่งปีก่อนเขาปะทะกับฉินโยวโยวเป็นครั้งแรก ยามนั้นนางมีตบะไม่อ่อนด้อย ดูจากอายุแล้ว นางนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาสตรีที่เขาเคยพบเห็นมา แล้วจะต้องการสัตว์วิเศษที่ไม่ได้ความเพียงนี้ได้อย่างไร

มือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกแคว้น ทว่าสัตว์วิเศษของเขาก็อ่อนแอจนเกินปกติเช่นกัน ถึงกับปล่อยให้คนสกุลเหวินจับตัวไปได้ง่ายๆ สายตาพวกเขาสองศิษย์อาจารย์ช่างชวนให้คนไม่กล้าสรรเสริญเยินยอจริงๆ

ฉินโยวโยวปลอบเสี่ยวฮุยเรียบร้อยก็นึกถึงต้าจุ่ยสัตว์วิเศษอีกตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะถูกคนสกุลเหวินทรมานอยู่หรือไม่ อยากจะช่วยมันยังต้องดูสีหน้าของผู้มีพระคุณปีศาจ นางจึงไม่มีเวลามามัวคิดเล็กคิดน้อยกับพฤติกรรมเลวทรามของเขาที่มาด่าว่าเสี่ยวฮุยจนร้องไห้ นางหันมาหากระดานหมาก ก้มหน้าหลุบตาพูดอย่างว่าง่าย “ผู้มีพระคุณโปรดให้การชี้แนะด้วย”

เหยียนตี้ยิ้มในใจ ยามที่ไม่วู่วามใช้อารมณ์ สาวน้อยนางนี้ก็ทั้งฉลาดทั้งรู้สิ่งใดควรทำไม่ควรทำยิ่ง

เขาไม่ทำให้นางลำบากใจ เริ่มอธิบายกฎเกณฑ์ข้อบังคับในการเดินหมากอย่างสั้นกระชับได้ใจความ จากนั้นก็ให้ฉินโยวโยวลองเล่นกับเขาดู

เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสัตว์วิเศษของตนเอง ฉินโยวโยวรู้ว่ายิ่งนางเรียนเรื่องเดินหมากเป็นเร็วเท่าไร ต้าจุ่ยก็จะได้รับความทรมานสั้นลงเท่านั้น ดังนั้นจึงจดจ่อสมาธิทั้งหมดและคอยจดจำพิจารณา ใช้เวลาไปเพียงราวหนึ่งมื้ออาหาร ก็ถึงกับวางหมากรุกไล่เขาได้อย่างมีแบบมีแผน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ฉินโยวโยวก็สามารถทำความเข้าใจจากหนึ่งเป็นสาม ไม่ต้องการคำชี้แนะเรื่องกฎเกณฑ์ข้อบังคับใดๆ จากเหยียนตี้อีก

เหยียนตี้ภายนอกสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับลอบตระหนกตกใจกับตนเองไม่หยุด ความคิดดูถูกเล็กๆ ที่มีต่อฉินโยวโยวก่อนหน้านี้พลันถูกลบออกไปหมดสิ้น มิน่านางถึงกลายเป็นศิษย์เอกของมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อได้ ในบางมุม นางก็มีความฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญาในการวิเคราะห์เข้าใจเรื่องราวต่างๆ อย่างที่คนธรรมดายากจะเทียบเคียงได้

แต่ต่อให้นางฉลาดเพียงใดก็ไม่มีทางเอาชนะเขาที่เล่นมาก่อนได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ฉินโยวโยวสู้กับเหยียนตี้ตามลำพังโดยไม่มีคำชี้แนะใดๆ เป็นครั้งแรก แล้วก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินอย่างไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย

ในใจนางไม่ใส่ใจเรื่องแพ้ชนะเล็กๆ นี้โดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าพูดด้วยสองตาเป็นประกาย “ไปช่วยต้าจุ่ยให้ข้าได้แล้วใช่หรือไม่”

เหยียนตี้ถูกดวงตางดงามคู่นั้นของฉินโยวโยวมองจนจิตใจแกว่งไกว เขาพยักหน้าอย่างห้ามตนเองไม่ได้

ฉินโยวโยวอุ้มเสี่ยวฮุยขึ้นมาก่อนพูดกับเหยียนตี้ด้วยความดีใจ “ข้าไปกับท่านด้วยได้หรือไม่ เสี่ยวฮุยหูไวยิ่ง ขอแค่เข้าไปในสกุลเหวินได้ จะต้องหาสถานที่ที่ขังต้าจุ่ยรวมถึงกับดักกลไกจำนวนมากในสกุลเหวินได้แน่นอน”

เสี่ยวฮุยซบอยู่ในอ้อมแขนฉินโยวโยว มันไม่ยอมกวาดมองเหยียนตี้แม้แต่หางตา ท่าทางดื้อดึงปฏิเสธจะสนทนาข้องแวะกับเขาโดยสิ้นเชิง

เหยียนตี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับสัตว์วิเศษตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขาใคร่ครวญลังเลอยู่ชั่วครู่โดยไม่ตอบอะไร

เหลียงลิ่งก้าวมารายงานว่าตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ครั้นได้ยินว่าฉินโยวโยวอยากไปด้วยก็เอ่ยโน้มน้าว “แม้สกุลเหวินจะเป็นหัวหน้าของสามตระกูลใหญ่ด้านวิชากลไกของใต้หล้า ทว่าที่นี่เป็นเพียงสาขาชายแดนเล็กๆ ที่อยู่ในแคว้นเซียงเยวี่ยของพวกเขาเท่านั้น ต่อให้กับดักกลไกร้ายกาจเพียงใดก็มีขีดจำกัด แม่นางฉินรั้งอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่า”

ฉินโยวโยวส่ายศีรษะ เพื่อช่วยให้ต้าจุ่ยออกมาอย่างปลอดภัย นางก็ทำได้เพียงบอกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมา “ห้าปีก่อนข้าตามอาจารย์มาเยี่ยมสหายที่นี่ คนผู้นั้นมีนามว่าเหวินเฟิงเซิ่ง มาจากสายรองของสกุลเหวินพอดี และก็เป็นผู้ดูแลสกุลเหวินในเมืองนี้ด้วย อาจารย์เคยบอกข้าว่าหากกล่าวถึงวิชากลไก คนในสกุลเหวินก็ไม่มีใครสู้เหวินเฟิงเซิ่งได้แม้แต่คนเดียว คฤหาสน์สกุลเหวินที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองก็ได้เหวินเฟิงเซิ่งเป็นผู้ออกแบบ ข้างในมีกับดักกลไกทำร้ายคนไม่มาก แต่เรือนที่เหวินเฟิงเซิ่งพักนั้นกลับซ่อนความลับของเขาไว้มากมาย ไม่ว่าใครก็ยากเข้าออกได้ หากต้าจุ่ยถูกพวกเขาขังไว้ที่นั่น ต่อให้พวกท่านคิดจะช่วยมันออกมาก็คงไม่ง่าย”

เหวินเฟิงเซิ่งสามารถรับคำวิจารณ์อันสูงส่งเพียงนี้จากมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อได้ย่อมจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เหยียนตี้กับเหลียงลิ่งไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อนจริงๆ อีกทั้ง…

เหลียงลิ่งพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ข้าส่งคนไปสืบดูแล้ว ผู้ดูแลสกุลเหวินในเมืองนี้หาใช่เหวินเฟิงเซิ่งไม่”

“เอ๊ะ? หรือว่าพวกเขาเปลี่ยนคนแล้ว มิน่าถึงได้คิดจะเล่นงานอาจารย์ อาจารย์บอกว่าเหวินเฟิงเซิ่งเป็นคนไม่เลวเลย…” ฉินโยวโยวก็หลงนึกว่าอาจารย์กับนางถูกสุภาพบุรุษจอมปลอมหลอกเข้าแล้วเสียอีก ที่แท้คนที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ก็มิใช่เหวินเฟิงเซิ่ง…โชคดี โชคดีแล้ว

“เจ้ายังรู้เรื่องของสกุลเหวินกับเหวินเฟิงเซิ่งอีกเท่าไร” เหยียนตี้ถาม

ฉินโยวโยวเป็นห่วงสถานการณ์ของต้าจุ่ยจึงเอ่ยว่า “ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังระหว่างทางดีหรือไม่”

เหยียนตี้พยักหน้า เขารับหน้ากากสองอันมาจากเหลียงลิ่ง อันหนึ่งใส่เอง อีกอันยื่นให้ฉินโยวโยว “จากนี้อย่าวิ่งไปไหนวุ่นวาย อยู่ข้างๆ ข้าอย่างว่าง่ายด้วย”

“ข้าทราบแล้ว” คำของเหยียนตี้ฟังดูคุ้นหูยิ่ง…ตอนยังเล็ก ยามอาจารย์พานางออกมาข้างนอกก็มักจะกำชับนางเช่นนี้ ฉินโยวโยวนึกถึงอาจารย์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ในใจก็หม่นหมองอยู่บ้าง

เหยียนตี้พอใจกับท่าทางที่ดูเชื่อฟังของฉินโยวโยวเป็นอย่างยิ่ง จึงยื่นมือไปจับแขนนางแล้วพาเดินออกไปข้างนอก ฉินโยวโยวจมอยู่กับเรื่องในอดีต ถึงกับไม่สังเกตเห็นอากัปกิริยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินพอดีนี้

ต่อให้นางสังเกตเห็นแล้ว ด้วยความทึ่มทื่อในบางด้านของนางคาดว่าก็คงไม่คิดไปในทางอื่น ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของเหยียนตี้ทำให้คนไม่อาจคิดเชื่อมโยงเขาเข้ากับพวกบ้าตัณหาหมาป่าราคะได้เลยสักนิด

ขณะที่เหยียนตี้พาฉินโยวโยวเดินมาถึงลานเรือน เหล่าองครักษ์อย่างพวกสือเอ้อร์หลางก็เปลี่ยนมาใส่ชุดดำและหน้ากากเตรียมตัวพร้อมแล้ว คนทั้งหลายทำความเคารพเหยียนตี้กันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืดยามราตรีอันเงียบเชียบอย่างไร้สุ้มเสียง

คืนนี้พระจันทร์อ่อนแสง ดวงดาวบางตา เหมาะแก่การปล้นบ้านฆ่าคนวางเพลิงเป็นพิเศษ

ฉินโยวโยวแอบตะลึงจนพูดไม่ออก เห็นองครักษ์สิบสองคนนี้แล้ว เกรงว่าคนที่มีฝีมือน้อยที่สุดก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อยขั้นห้าขึ้นไป ตอนอยู่ที่ท่าเรือซานไถก่อนหน้านี้ก็เห็นแสดงฝีมือแค่เพียงสี่คน นางยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าเหยียนตี้ใช่ส่งคนที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุดออกมาหรือไม่ ตอนนี้ถึงได้แน่ใจว่าระดับความสามารถในตัวคนของเขาสูงถึงเพียงนี้จริงๆ!

ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปในใต้หล้านี้ ตั้งแต่ขั้นหกลงมาล้วนเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ในแต่ละขั้นกลับมีมากจนน่าตกใจ

บัดนี้ราษฎรของแต่ละแคว้นรวมกันก็มีอย่างน้อยเป็นพันๆ ล้านคน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งถึงสามรวมกันก็มีอย่างน้อยหลักล้าน ทหารระดับสูงจำนวนมากก็ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ คนหนึ่งสามารถสู้กับชายฉกรรจ์ธรรมดาได้หลายคนถึงหลายสิบคน

ผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไปได้รับการเรียกขานว่า ‘ผู้ต้านร้อย’ ฝึกตนมาได้จนถึงขั้นนี้ก็เรียกเป็นยอดฝีมือได้แล้ว ผู้ฝึกตนมีจำนวนหลักล้านแต่ที่สามารถบรรลุถึงขั้นสี่ขึ้นไปได้กลับมีไม่ถึงหนึ่งในร้อย นับรวมทั้งหมดแล้วก็มีไม่ถึงหมื่นคน

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถที่แต่ละแคว้นต่างก็แย่งตัวกัน ตำแหน่งที่ดีและเบี้ยหวัดอย่างงามแทบจะวางกองอยู่ตรงหน้า ที่อยู่ขั้นห้าขึ้นไปยิ่งพบเห็นได้ยากยิ่ง แต่คนเช่นนี้กลับยินยอมพร้อมใจทำงานให้เหยียนหย่งเล่อผู้นี้…ฉินโยวโยวแอบคิด นี่คงมิใช่ชินอ๋องอะไรนั่นกระมัง

เสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำตัวหนาพลันคลุมลงบนไหล่ฉินโยวโยว สกัดกั้นสายลมราตรีที่เย็นน้อยๆ ไว้ด้านนอก เหยียนตี้ผูกเสื้อคลุมให้นางด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติยิ่งจนเสร็จแล้วก็จูงมือนาง ค่อยๆ พาเดินออกนอกลานเรือน

“ตอนนี้เจ้าเล่าเรื่องของสกุลเหวินมาได้แล้ว” เหยียนตี้กล่าวออกมา

ฉินโยวโยวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไฉนผู้มีพระคุณปีศาจไม่ถามความเห็นข้าก็แสดงกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าเพียงนี้แล้วเล่า ทว่า…คนเขาดูเหมือนจะทำไปด้วยเจตนาดี คงไม่ได้กำลังเอาเปรียบข้าแต่อย่างใด

หรือข้าดูตัวเล็กน่าเอ็นดูอย่างมาก ทำให้เขานึกถึงน้องสาวหรือไม่ก็ญาติฝ่ายหญิงคนอื่นของเขาขึ้นมาจนพลอยเอ็นดูมาถึงข้าด้วย?

“ไฉนจึงไม่พูดเสียเล่า” เหยียนตี้เห็นฉินโยวโยวเงียบก็เอ่ยถามอีก

ก็ได้ คนเขาคิดแต่เรื่องงานจริงจัง ไม่ได้คิดนอกลู่นอกทางโดยสิ้นเชิง เป็นข้าที่คิดมากไปเอง

ฉินโยวโยวพยายามมองข้ามความรู้สึกพิกลที่ปรากฏในก้นบึ้งหัวใจไป จัดเรียงความทรงจำเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เหวินเฟิงเซิ่งเป็นบุตรหลานสายรองของสกุลเหวิน สายของเขาเดิมทีก็มีอำนาจอยู่ในตระกูล ยี่สิบปีก่อนประมุขสกุลเหวินใช้อุบายบางอย่างเอาชนะบิดาของเหวินเฟิงเซิ่งในการประลองของตระกูล ต่อมาบิดาของเขาตลอดจนศิษย์ที่โดดเด่นอีกหลายคนก็พากันตายไปอย่างไม่รู้สาเหตุ สายของพวกเขาจึงเสื่อมอำนาจลงในทันที เหวินเฟิงเซิ่งเองก็ถูกไล่มาอยู่ที่เมืองปาไซ่ นับเป็นการเนรเทศในอีกทางหนึ่ง”

เล่าถึงตรงนี้ ฉินโยวโยวก็ถอนหายใจ “อาจารย์บอกว่ายังดีที่บิดาเหวินเฟิงเซิ่งเป็นคนฉลาด สั่งสอนให้เหวินเฟิงเซิ่งเก็บงำความสามารถมาโดยตลอด คนอื่นในสกุลเหวินล้วนคิดว่าเขามีความสามารถแค่ขั้นทั่วไป มิเช่นนั้นเขาจะต้องถูกคนกำจัดจนสิ้นซากเหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ของเขาแน่นอน”

“ดังนั้นอาจารย์ของเจ้าจะต้องเคยสอนเจ้าแน่นอนว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าเผยความสามารถที่เขาสอนแก่เจ้าให้ผู้อื่นเห็น ทว่าเจ้าไม่เชื่อฟัง” แค่เหยียนตี้เปิดปากก็พูดตรงจุดสำคัญทันที

ช่างเป็นปีศาจจริงๆ! ฉินโยวโยวเบะปาก นางสงสัยแล้วว่าตนเองใช่คิดอะไรก็แสดงออกมาบนใบหน้าทั้งหมดหรือไม่

“ว่าต่อสิ”

“ท่านมิใช่คาดเดาได้ทุกเรื่องหรือไร” ในถ้อยคำของฉินโยวโยวมีแววเจ็บใจอยู่ ทว่าเพียงไม่นานนางก็ยอมจำนนต่อสายตาของเหยียนตี้

ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ข้าต้องอดทนต่อไป!

“เหวินเฟิงเซิ่งอยากจะแก้แค้นให้บิดากับเหล่าศิษย์พี่ แต่ศัตรูกลายเป็นประมุขตระกูลไปแล้ว อำนาจฝ่ายนั้นก็มั่นคงขึ้นทุกวัน อาศัยกำลังเขาเพียงคนเดียวย่อมยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้ ต่อมาเขาก็นึกถึง ‘เวทีประลองสุดยอดฝีมือ’ ที่สามตระกูลใหญ่ด้านวิชากลไกจัดขึ้นทุกสิบปี เขาต้องการจะเอาชนะคนสกุลเหวินทั้งหมดอย่างสง่าผ่าเผยบนเวทีประลองนั้น ขอเพียงเขาชนะได้ก็จะมีอำนาจในการรับมือประมุขสกุลเหวินมากขึ้น อีกทั้งยังแย่งการสนับสนุนจากกลุ่มผู้อาวุโสสกุลเหวินมาได้ง่ายขึ้นด้วย เขาจึงใช้เวลาหลายปีนั้นไปกับการสร้างขุมอำนาจของตนเองและศึกษาค้นคว้าวิชากลไก…”

ฉินโยวโยวพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ นางเงยหน้าถามเหยียนตี้ “ผู้มีพระคุณ เวทีประลองสุดยอดฝีมือใช่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนนี้แล้วหรือไม่”

“อืม จัดที่เมืองจื่อเยี่ย มีเซิ่งผิงชินอ๋องเป็นประธาน” ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าท่าทางของเหยียนตี้ดูคลุมเครืออ่านยากเป็นพิเศษ

“หากเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ไปร่วมสนุกด้วยดีกว่า” ฉินโยวโยวกระซิบพึมพำ เพียงนางได้ยินชื่อ ‘เซิ่งผิงชินอ๋อง’ ก็ปวดหัวแล้ว นางเคราะห์ร้ายพอแล้วกระมัง ไม่จำเป็นต้องพาตนเองไปเข้าถ้ำเสือทั้งๆ ที่รู้ว่ามีเสืออยู่

เหยียนตี้ค่อยๆ เลื่อนสายตาหนี มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเผยสีหน้าที่ใกล้เคียงกับรอยยิ้มออกมา แต่เพราะยามนี้มืดเกินไป ฉินโยวโยวจึงมองอะไรไม่เห็น ได้แต่รู้สึกว่าบริเวณนี้เหมือนจะหนาวยะเยือกขึ้น กระทั่งเสื้อคลุมกำมะหยี่ตัวหนาก็ยังป้องกันความหนาวนี้ไม่อยู่

ฉินโยวโยวไม่อยากพูดเรื่องเกี่ยวกับเซิ่งผิงชินอ๋องต่อ นางจึงบอกสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมาเสียงเบา “เหวินเฟิงเซิ่งจะต้องจากไปเพื่อเตรียมร่วมงานประลองแน่ ห้าปีก่อนตอนอาจารย์มาที่นี่ได้คุยกับเขาอยู่หลายวัน เหมือนเขาบอกว่าเตรียมตัวเกือบพร้อมแล้ว ต้องการจะเข้าร่วมงานเวทีประลองสุดยอดฝีมือในครั้งที่จะถึงนี้ มิน่าที่นี่ถึงได้เปลี่ยนคนดูแล ทว่าคนสกุลเหวินรู้ได้อย่างไรว่าเขาจากไป ซ้ำยังส่งยอดฝีมือมารับงานต่อ”

“ไปดูก็จะรู้เอง”

ระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์สกุลเหวินแล้ว ทั้งสองมองเห็นเพียงประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง ภายในคฤหาสน์เงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด เหยียนตี้เห็นเช่นนั้นก็จูงมือฉินโยวโยวเดินเข้าไปตรงๆ เลย

“พวกเราจะเข้าไปทั้งอย่างนี้?” ฉินโยวโยวถามด้วยความตกใจ หากคนสกุลเหวินวางกับดักไว้ข้างในจะทำเช่นไรเล่า

เหยียนตี้ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย

พอฉินโยวโยวเดินเข้าประตูใหญ่สกุลเหวินมาก็รู้ตัวในทันใดว่าตนเองได้พูดเรื่องโง่ๆ ออกไป

ในลานเรือนมีแสงโคมสว่างไสว ภายในห้องโถงใหญ่มีคนสกุลเหวินนอนกองระเกะระกะอยู่เต็มพื้นที่ แต่ละคนล้วนเคลื่อนไหวไม่ได้ เผยสีหน้าหวาดผวา ทว่ากลับเงียบกริบปราศจากเสียงใดๆ

ฉินโยวโยวแจ้งใจถึงที่สุดแล้ว “ท่านวางยาพวกเขา?”

เหยียนตี้พยักหน้า องครักษ์ชุดดำคนหนึ่งพลันก้าวมารายงาน “คนสำคัญทั้งคฤหาสน์สกุลเหวินล้วนอยู่ที่นี่แล้ว แต่กลับไม่พบตัวยอดยุทธ์ขั้นเจ็ด ทั้งไม่เห็นร่องรอยของนกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์ ยามนี้ได้ล้อมเรือนที่อยู่ด้านหลังเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”

เดิมทีเรือนด้านหลังเป็นที่พักของเหวินเฟิงเซิ่ง ก่อนหน้านี้ฉินโยวโยวเคยบอกว่ากับดักกลไกข้างในร้ายกาจยิ่งยวด องครักษ์เหล่านี้จึงไม่ได้ทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่ไตร่ตรอง เพียงแต่ล้อมไว้และคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกไปก่อน

เสี่ยวฮุยที่หลบอยู่ในอ้อมแขนฉินโยวโยวมาตลอดได้ยินว่าถึงสกุลเหวินแล้วก็ปีนขึ้นมาอยู่บนบ่าของฉินโยวโยว ตั้งหูที่ยาวจนน่าอัศจรรย์ใจทั้งคู่ขึ้นพลางเงี่ยฟังเสียงอย่างละเอียดทันที เพียงประเดี๋ยวเดียวมันก็หวีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาว่า “ภายในอุโมงค์ใต้เรือนมีคน กำลังหนีไปข้างนอก!”

อุโมงค์?! เหล่าองครักษ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในใต้หล้านี้สกุลเหวินถือเป็นหัวหน้าสามตระกูลใหญ่ด้านวิชากลไก พวกเขาพยายามลงมือตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวและควบคุมคนทั้งหมดนี้ไว้ในเวลาที่สั้นที่สุด ต่างทุ่มเทจนสุดความสามารถแล้ว แต่หากอีกฝ่ายอยู่ภายในอุโมงค์ลับตั้งแต่แรก พวกเขาก็หมดปัญญา

ฉินโยวโยวกัดริมฝีปากกล่าวว่า “เขาหนีไปทางใด เจ้าตามไปได้หรือไม่” ในเมื่อตามหาตัวต้าจุ่ยจากที่นี่ไม่พบ เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่ามันจะอยู่ในมือของคนที่กำลังหนีออกข้างนอกผู้นี้

“อืม เขาไปถึงใต้ดินด้านหลังคฤหาสน์แล้ว หากเขาไปไกลกว่านี้ข้าก็ไม่ได้ยินแล้วล่ะ!” เสี่ยวฮุยกระโดดลงจากบ่าของฉินโยวโยวแล้วแนบหูยาวข้างหนึ่งกับพื้น พยายามแยกแยะเสียงที่ดังมาแว่วๆ จากใต้ดิน

ฉินโยวโยวหันหน้าไปพูดกับเหยียนตี้ “ให้คนตามเสี่ยวฮุยไปได้หรือไม่”

“รีบหน่อยๆ! เจ้านั่นวิ่งเร็วยิ่งนัก!” เสี่ยวฮุยมองไปทางด้านหลังคฤหาสน์ มันวิ่งไปพลางร้องโวยวายไปพลาง

เหยียนตี้เลิกคิ้ว ก่อนพุ่งตัวตามเสี่ยวฮุยไปพร้อมกับเอ่ยถาม “ทางใด”

ครั้นเสี่ยวฮุยเห็นว่าเป็นเหยียนตี้ก็ไม่พอใจอยู่บ้าง หากแต่นึกถึงความปลอดภัยของต้าจุ่ยแล้ว มันก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนใจชี้ทิศทางบอกให้

“สองคนตามข้ามา คนอื่นรั้งอยู่คุ้มครองนาง” เหยียนตี้กวาดตามองฉินโยวโยวปราดหนึ่ง ก่อนยื่นแขนยาวไปจับหนังหลังคอเสี่ยวฮุย หิ้วตัวมันขึ้นวางบนบ่าตนเองแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปทางด้านหลังคฤหาสน์

เสี่ยวฮุยทั้งตกใจทั้งโมโห มันร้องเสียงดังลั่นว่า “ข้าจะหาโยวโยว ท่านปล่อยข้าลงนะ!”

ฉินโยวโยวรู้ว่าตอนนี้ตนเองสูญเสียตบะไปหมดสิ้นแล้ว หากยังดึงดันให้ผู้อื่นพานางไปตามจับคนร้ายที่กำลังหลบหนีอีก เกรงว่าคงได้กลายเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า นางจึงได้แต่พยายามเอ่ยปลอบมันว่า “เสี่ยวฮุยอย่าดื้อสิ ช่วยต้าจุ่ยกลับมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”

เสี่ยวฮุยอยากจะขัดขืนกระโดดหนีไปตั้งแต่ถูกจับมาวางบนบ่าเหยียนตี้แล้ว แต่ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากร่างเขาออกจะน่าตกใจเกินไป ถึงกับทำมันกลัวจนได้แต่เกาะบ่าเขาร้องโวยวายเสียงดัง ซึ่งคำพูดของฉินโยวโยวก็ได้เตือนสติให้มันคิดถึงต้าจุ่ยที่ยังอยู่ในกำมือของศัตรู เอาเถอะ…มันจะอดทน!

เหยียนตี้พาองครักษ์สองคนไปถึงนอกเมืองในชั่วพริบตา ทางด้านหน้าเป็นป่าผืนใหญ่

“ทิศทาง?” เหยียนตี้เอ่ยถามอย่างเย็นชา

“ทางนั้น” เสี่ยวฮุยตวัดหูชี้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ มันยังคงมีความไม่ยินดีอยู่เต็มท้อง

เหยียนตี้คร้านจะสนใจมัน เขาไม่ใช่ฉินโยวโยว ไม่มีความคิดจะปลอบสัตว์วิเศษที่เปราะบางพรรค์นี้

ท่ามกลางความมืดยามราตรี ทั้งสามคนวิ่งตามทางที่เสี่ยวฮุยชี้บอก กระทั่งไปถึงเนินดินแห่งหนึ่ง อาศัยแสงจันทร์แสงดาวที่มีอยู่ไม่มากกวาดตามองดูอย่างละเอียด ที่นี่เห็นชัดว่าเป็นสุสาน มีแต่หลุมศพอยู่ทั่วทุกแห่ง ลมเย็นโชยพัดมาเป็นระลอก

เสี่ยวฮุยเย็นวาบในใจ มันเผลอเกาะเหยียนตี้ที่เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวข้างกายมันไว้แน่นอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ก่อนขยับเข้าหาคอเขาด้วยตัวที่สั่นระริก

“คนผู้นั้นจะออกมาแล้ว ตรงนั้น” เสี่ยวฮุยชี้เนินหลุมศพแห่งหนึ่งทางด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่จั้ง ลดเสียงจนเบาที่สุด ในที่สุดก็พูดประโยคยาวๆ กับเหยียนตี้ “นั่นคือยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดที่ออกมาจากสกุลเหวิน ท่านรับมือเขาไหวหรือไม่” เสี่ยวฮุยรู้สึกได้ว่าเหยียนตี้คิดจะเดินไปตรงนั้นก็รีบเอ่ยเตือน

มิใช่ว่ามันดูถูกคน แต่อย่างมากเหยียนตี้ก็มีอายุราวยี่สิบปีเท่านั้น ต่อให้ตบะสูงเพียงใดก็มีอยู่อย่างจำกัด อีกฝ่ายเป็นถึงคนสกุลเหวิน ในมืออาจจะมีอาวุธลับที่ร้ายกาจซุกซ่อนอยู่ หากเหยียนตี้รับมือไม่ไหว มันก็จะพลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย

“เจ้าแน่ใจว่าเขามาแค่คนเดียว?” เหยียนตี้พูดพลางโบกมือให้สององครักษ์ ทั้งสองคนก็เก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้แล้วไปซุ่มอยู่ด้านข้างทันที

“แน่ใจ ต้าจุ่ยก็อยู่ในมือเขา” เสี่ยวฮุยพูดด้วยท่าทีประหม่าเป็นกังวล ลืมความไม่พอใจที่มีต่อเหยียนตี้ไปชั่วคราว

ฉับพลันก็มีเสียงกลไกทำงานดังมาจากทางเนินหลุมศพอย่างคล้ายจะตอบรับคำของเสี่ยวฮุย จากนั้นคนชุดสีเทาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก็กระโดดออกมาจากด้านล่างของเนินหลุมศพ ในมือเขาหิ้วนกห้อยหัวสีดำน่าเกลียดขนาดตัวเท่าแม่ไก่ตัวหนึ่งเอาไว้ด้วย ตัวคนคิดจะวิ่งหนีไปทางใต้

ครั้นเห็นคนชุดสีเทาวิ่งฉิวไปสิบกว่าจั้งแล้ว เสี่ยวฮุยก็ร้อนใจจนเกือบส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมา

ในเวลาอันรวดเร็ว องครักษ์ทั้งสองของเหยียนตี้พลันกระโจนออกมาจากที่ซ่อน หนึ่งหน้าหนึ่งหลังขวางคนชุดสีเทาไว้ตรงกลาง โปรยผงยาสีเทาตุ่นเข้าใส่เขาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

กว่าคนชุดสีเทาจะหนีออกมาจากสกุลเหวินได้นั้นก็ลำบากมากอยู่แล้ว เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาดักซุ่มรออยู่ตรงทางออกอุโมงค์ลับนี้ ในเวลาเดียวกันนี้เขาพลันเรียกลมปราณแล้วหลบออกไปด้วยความตกใจ ฝ่ามือหนึ่งก็ผลักผงยาสีเทาสองกลุ่มนั้นกลับไป ก่อนตวาดขึ้นด้วยท่าทางเดือดดาลพลางหายใจกระหืดกระหอบ “พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าลงมือกับสกุลเหวินของข้าเชียวรึ กินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร!” คนชุดสีเทาพูดได้เพียงเท่านี้แล้ว

แม้องครักษ์ทั้งสองจะมีตบะไม่เท่าคนชุดสีเทา แต่ในเมื่อตั้งใจมาเล่นงานเช่นนี้ย่อมจะเตรียมกับดักไว้บนทางหนีของอีกฝ่ายเรียบร้อย คนชุดสีเทาถูกองครักษ์สองคนกระหนาบโจมตีก็เคลื่อนหลบไปด้านข้างสองก้าว ชั่วขณะนั้นก็ร้องโหยหวนออกมาพร้อมกับกระโดดตัวลอย จากนั้นร่างก็โงนเงนก่อนล้มตึงบนพื้นในทันที

เหยียนตี้พาเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปใกล้ เห็นในพงหญ้าสูงหนึ่งฉื่อบนพื้นมีแสงส่องประกายวับแวมปนอยู่กับหนามแหลมจำนวนนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธลับที่องครักษ์ทั้งสองวางไว้เมื่อครู่

น่าสงสารคนชุดสีเทาที่เป็นถึงยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดผู้แสนสง่าผ่าเผย อีกทั้งยังเกิดในสกุลเหวินอันเป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญด้านกลไก ยามนี้กลับมาถูกกับดักง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ทักษะฝีมือใด รอแค่ฉวยโอกาสเล่นงานตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว

นกสีดำตัวใหญ่ในมือคนชุดสีเทาก็ล้มลงพื้นตามเขาไปด้วย มันแน่นิ่งไม่ไหวติง

เสี่ยวฮุยโผกระโจนลงจากบ่าเหยียนตี้ ก่อนกระโดดไปหยุดที่ข้างนกสีดำตัวใหญ่ ยกขาหน้าออกแรงผลักมัน พลางร้องเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ “ต้าจุ่ย? จะ…เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจสิ เจ้าเป็นอะไรไป ตื่นขึ้นมา!”

เหยียนตี้ก้มหน้ามองนกสีดำตัวใหญ่บนพื้นปราดหนึ่ง จู่ๆ เขาก็นึกอยากเหลือกตาขึ้นมาเป็นครั้งแรก นกสีดำที่ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าอีกาตัวนี้ถึงกับมีหน้าเรียกตนเองว่านกเอี้ยงเสียงศักดิ์สิทธิ์? ทั้งยังเป็นสัตว์วิเศษของมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อผู้เป็นยอดปรมาจารย์กลไกอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วย?

 

ฉินโยวโยวรออยู่พักใหญ่อย่างลุกนั่งไม่ติดที่ ในที่สุดนางก็เห็นเหยียนตี้พาสัตว์วิเศษทั้งสองตัวของนางกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่ต้าจุ่ยยังคงสลบอยู่ ชวนให้คนเป็นกังวลอย่างยิ่ง

เหยียนตี้ตรวจดูอาการของต้าจุ่ยคร่าวๆ ก่อนเอ่ยว่า “มันถูกคนวางยาสลบ เที่ยงวันพรุ่งนี้ก็น่าจะตื่นแล้ว”

ท่าทีมั่นใจของเหยียนตี้ทำให้ฉินโยวโยววางใจลง ก่อนไพล่นึกไปถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขามองออกในปราดเดียวว่านางถูกพิษลูกกลอนสลายพลัง ซ้ำยาที่เขาใช้แก้พิษรักษาอาการบาดเจ็บให้นางก็ได้ผลดียิ่ง ยาที่ลูกน้องเขาใช้เล่นงานคนสกุลเหวินนั้นยิ่งร้ายกาจไร้ใดเทียม นางอดเปรยความคิดตนเองขึ้นมาไม่ได้ “ผู้มีพระคุณดูจะเข้าใจในสรรพคุณยาเป็นอย่างมาก?”

“ก็พอใช้ได้”

“พิษลูกกลอนสลายพลังในตัวข้ามีวิธีแก้หรือไม่” ฉินโยวโยวถามด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรก็ติดค้างน้ำใจเขามากอยู่แล้ว ติดเพิ่มอีกสักเรื่องก็ไม่เห็นเป็นไร สหายเก่าผู้ได้ฉายาว่า ‘จอมแพทย์’ ของอาจารย์อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งตลอดทั้งปี ไม่รู้ว่าเดือนใดปีใดถึงจะหาอีกฝ่ายพบ

ความรู้สึกที่สูญเสียตบะไปจนสิ้นเช่นนี้ช่างแย่เหลือกำลัง แม้นางไม่ถือสาที่จะแสร้งทำตัวเป็นสตรีอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางอยากอ่อนแอจริงๆ

“มี แต่ยากยิ่ง”

“ยากตรงที่ใดกัน” ฉินโยวโยวทำท่าเงี่ยหูรอฟังด้วยความจริงใจซึ่งดูคล้ายกำลังประจบสอพลอยิ่ง

“ส่วนประกอบหลักของยาแก้พิษคือน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตหวงห้ามของราชวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยของข้า หากผู้ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์เข้าไปใกล้เขตหวงห้ามก็จะต้องโทษประหารทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น ขอแค่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ออกห่างตาน้ำชั่วครู่เดียวสรรพคุณก็จะเสื่อม” คำตอบของเหยียนตี้ตรงไปตรงมายิ่ง

ฉินโยวโยวฟังแล้วก็ปากอ้าตาค้าง “นอกจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีอย่างอื่นแก้พิษได้เลยหรือ”

เขตหวงห้ามของราชวงศ์นั่นนางเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เรื่องที่เขาเสียดายที่สุดก็คือไม่เคยศึกษากับดักกลไกภายในเขตหวงห้ามของราชวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยด้วยตนเอง ยังบอกด้วยว่ากับดักกลไกในสถานที่นั้นเป็นไปได้มากที่จะเป็นฝีมือของ ‘ศิษย์ร่วมอาจารย์’ ของเขา ย่อมวิเศษยอดเยี่ยมไร้ใดเทียม

แม้แต่อาจารย์ยังยกย่องเทิดทูนกับดักกลไกที่อยู่ในที่นั้นไปเสียทุกอย่าง ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ของนาง หากคิดจะแอบเข้าไปขโมยน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็คงเป็นเรื่องเพ้อฝันไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านอกเขตหวงห้ามยังมีองครักษ์หลวงนับหมื่นเฝ้าอยู่ ย่อมมียอดฝีมือจำนวนมาก แม้แต่ตบะระดับอาจารย์ยังทำได้เพียงเมียงมองแล้วถอยหลังกลับ

“ไม่มี” สองคำเฉียบขาดนี้ทำให้ความหวังทั้งหมดของฉินโยวโยวแตกเป็นเสี่ยง

ใบหน้าของเหยียนตี้ยังคงปราศจากความรู้สึก แต่ฉินโยวโยวรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น นางจึงอดจะแย้งเสียงเบาไม่ได้ “อาจจะมีแต่ท่านไม่รู้ก็ได้”

เหยียนตี้เหลือบมองฉินโยวโยวปราดหนึ่งโดยไม่ได้โต้แย้ง เขาชี้ไปทางเรือนด้านหลังก่อนเอ่ยว่า “จะดูเรือนของเหวินเฟิงเซิ่งสักหน่อยหรือไม่”

“อ้อ เอาสิ!” ฉินโยวโยวสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลไกอยู่แล้ว ยิ่งเป็นฝีมือของเหวินเฟิงเซิ่งผู้เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในด้านนี้ เรือนที่เขาตั้งใจสร้างมาจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน

คนทั้งสองเดินเคียงกันมาจนถึงเรือนด้านหลัง ฉินโยวโยวก็หยุดยืนมองซ้ายขวา อดจะผิดหวังอย่างมากไม่ได้ “กับดักกลไกที่นี่ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว”

นางคำนวณตำแหน่งทิศทางตามโครงสร้างเรือนอย่างเงียบๆ ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปยังภูเขาหินจำลองที่มุมกำแพงเรือน นั่งยองๆ แล้วใช้มือหนึ่งแหวกกอกล้วยไม้ออก เผยให้เห็นร่องหินที่เป็นช่องลึกร่องหนึ่งทางด้านหลัง บนหินมีตะไคร่ขึ้นไม่น้อยแล้ว กระทั่งเหยียนตี้ยังมองความพิเศษไม่ออกแม้แต่นิดเดียว

ฉินโยวโยวกล่าวขึ้นว่า “เดิมทีตรงนี้น่าจะเป็นศูนย์กลางค่ายกลในลานเรือน เป็นที่วางแกนหมุนขับเคลื่อนทวารแต่ละแห่งภายในขอบเขตหนึ่งจั้งใกล้ๆ นี้ ทว่าได้ถูกคนรื้อออกไปแล้ว ซ้ำยังทำลายลักษณะเดิมของมันเพื่อให้คนไม่อาจค้นพบได้ ดูจากสภาพของตะไคร่เหล่านี้ น่าจะเป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว”

“เหวินเฟิงเซิ่งไม่อยากถูกคนสกุลเหวินค้นพบความลับของตนเอง การจะทำเรื่องเหล่านี้ก่อนจากไปหาใช่เรื่องแปลกไม่ วิชากลไกของเจ้าเทียบกับเหวินเฟิงเซิ่งแล้วเป็นอย่างไร” เหยียนตี้ยื่นมือมาดึงตัวฉินโยวโยวขึ้นก่อนเอ่ยถาม

ฉินโยวโยวอยากจะคุยโวยกหางตนเองตามความเคยชิน แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วก็นึกได้ว่านางยังไม่ทราบถึงเจตนาของผู้มีพระคุณปีศาจ จึงรีบยั้งคำพูดไว้แล้วเอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ “ไม่ค่อยแน่ใจ ไม่เคยเปรียบเทียบ”

เหยียนตี้ประเมินสีหน้าท่าทางแปลกพิกลของฉินโยวโยวพลางนึกขันในใจ สาวน้อยยังอ่อนหัดเกินไป ไม่ค่อยชำนาญเรื่องปิดบังอำพรางเท่าไรเลย

เหวินเฟิงเซิ่งสูงอายุกว่าฉินโยวโยวมาก ต่อให้วิชากลไกของนางสู้อีกฝ่ายไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ไม่ดูขายหน้าแม้แต่น้อย กลับกัน การยกนางมาเปรียบเทียบกับเหวินเฟิงเซิ่งเช่นนี้กลับเป็นการประเมินกำลังความสามารถของนางไว้สูงทีเดียว จะอย่างไรเหวินเฟิงเซิ่งก็เกิดในตระกูลที่เชี่ยวชาญด้านกลไกอันดับหนึ่ง เป็นผู้ที่แม้แต่อาจารย์ของนางยังชื่นชมสรรเสริญ

ทว่าฉินโยวโยวกลับไม่ยอมบอกคำตอบที่แน่ชัด บอกแค่ว่าไม่เคยเปรียบเทียบ เช่นนั้นก็หมายความว่าในใจนางมั่นใจว่าวิชากลไกของตนเองยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหวินเฟิงเซิ่ง เพียงแต่ไม่อยากเปิดเผยต่อหน้าเขาเท่านั้น

“ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรแล้วก็กลับกันเถอะ” เหยียนตี้เอ่ยขึ้น

“จะทำอย่างไรกับคนสกุลเหวินหรือ” ฉินโยวโยวเป็นห่วงอยู่บ้าง แม้พวกตนล้วนใส่หน้ากากอำพรางใบหน้าไว้ แต่สกุลเหวินไม่ใช่ตระกูลที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ แม้นางอยากสืบเรื่องของเหวินเฟิงเซิ่งอีกสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำให้พวกเขาถูกคนสกุลเหวินค้นพบความลับขึ้นมาคงไม่ดีแน่

ไม่เสียแรงที่เหยียนตี้ได้ชื่อว่า ‘ปีศาจ’ เขาแทบจะรู้ทันทีว่าฉินโยวโยวคิดอะไรอยู่ในใจ จึงเอ่ยว่า “วางใจเถอะ เรื่องของเหวินเฟิงเซิ่งข้าจะให้คนถามมาให้รู้เรื่อง ส่วนคนสกุลเหวิน พวกเขาย่อมจะมีวิธีจัดการเอง”

อาจเพราะเหยียนตี้ได้แสดงให้ฉินโยวโยวเห็นแล้วถึงกำลังความสามารถของเขาว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด ยามนี้นางถึงได้เชื่อคำเขาง่ายดาย ตามเขากลับไปที่พักเดิมอย่างว่าง่าย

 

เพิ่งเข้าประตูมาได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากที่ไกลๆ ฉินโยวโยวมองไปทางต้นเสียงด้วยความแปลกใจ เป็นทางใต้ของเมือง ท้องฟ้าทางด้านนั้นไม่รู้ถูกควันหนาและเปลวไฟโชติช่วงปกคลุมตั้งแต่เมื่อไร

คฤหาสน์สกุลเหวินไฟไหม้แล้ว คนข้างในนั้น…ฉินโยวโยวนึกอย่างขนลุกขนชัน หันหน้ากลับมาก็เจอกับใบหน้าสงบราบเรียบของเหยียนตี้เข้า ความหนาวเหน็บขุมหนึ่งพลันแผ่พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ

“รีบไปพักผ่อน” ท่าทีของเหยียนตี้เป็นปกติ เขาส่งนางถึงหน้าประตูห้องแล้วก็หันหลังจากไป

เหยียนตี้รู้ว่านางกลัว แต่ในเมื่อเขาหมายใจในตัวนางแล้ว นางก็ทำได้เพียงปรับตัวให้เคยชินกับนิสัยใจคอของเขาโดยเร็วที่สุด

ฉินโยวโยวกอดกระเป๋าที่ใส่สัตว์วิเศษไว้ในอ้อมแขนพลางตั้งสติ ค่อยๆ เดินเข้าห้อง

นางจำต้องคิดหาวิธีเอาตบะคืนมาแล้วจากไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้! ผู้มีพระคุณปีศาจน่ากลัวเกินไปแล้ว

 

ราตรีผ่านไปอย่างปกติสุข ตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉินโยวโยวก็รู้สึกได้เพียงความง่วงเหงาหาวนอนราวกับว่านางไม่ได้หลับเลยเสียอย่างนั้น ภาพที่ฉายซ้ำไปมาในความฝันเมื่อคืนล้วนแต่เป็นภาพของผีร้ายที่ใบหน้าถูกเผาจนเละเทะฝูงหนึ่งไล่ตามนาง เอาแต่ร่ำร้องว่า ‘คืนชีวิตข้ามา’ ชุดนอนบนร่างนางเปียกเหงื่อชุ่มแล้ว

หลังล้างหน้าหวีผมเสร็จ สาวใช้ก็มาเชิญนางไปกินอาหารเช้าที่โถงรับแขก เสี่ยวฮุยยังเคืองอยู่จึงไม่ยอมไปเจอหน้าเหยียนตี้ อีกทั้งต้าจุ่ยยังสลบไม่ฟื้น มันจึงยกเรื่องดูแลสหายมาเป็นข้ออ้างหลบอยู่ที่ห้องได้พอดี

ฉินโยวโยวแอบอิจฉาเสี่ยวฮุยอย่างมากที่มันยังมีโอกาสได้เง้างอดเอาแต่ใจ ทว่านางกลับต้องไปกินอาหารเป็นเพื่อนปีศาจร้าย

ทุกสิ่งอย่างในเช้านี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อวาน ข้อแตกต่างเดียวก็คือฉินโยวโยวกินอะไรก็ไม่รู้รสและใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่าเมื่อวาน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะกินอาหารท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้จนเสร็จ เหยียนตี้ยกถ้วยชาขึ้นมาก่อนเอ่ยถาม “สัตว์วิเศษของเจ้าล้วนหาตัวเจอหมดแล้ว หลังจากนี้มีแผนการใดต่อ”

ข้าอยากจะจากไปประเดี๋ยวนี้เลย ไปให้ไกลจากปีศาจร้ายเช่นท่าน! ฉินโยวโยวตะโกนลั่นในใจ ทว่ากลับไม่กล้าพูดออกมา อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่อนุญาตให้นางได้กระทำตามใจ

“ข้าคิดจะหาตัว ‘จอมแพทย์’ ดูว่าเขามีวิธีแก้พิษให้ข้าหรือไม่”

“ก็ดี” เหยียนตี้พยักหน้า ท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามให้ความร่วมมือของเขาทำให้ฉินโยวโยวนึกระแวงขึ้นมาอีกครั้ง

เหลียงลิ่งพลันรู้สึกเห็นใจฉินโยวโยวขึ้นมาอยู่ครามครัน นางจะต้องไม่รู้แน่ว่า ‘ก็ดี’ ที่นายท่านพูดนั้นยังมีประโยคหลังต่ออีก หากพูดให้ครบถ้วนก็น่าจะเป็น… ‘ก็ดี…จะได้ทำให้เจ้ายอมแพ้อย่างราบคาบ’

 

 โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: