บทที่ 4
ต้าจุ่ยฟื้นขึ้นมายามเที่ยงตรงพอดีราวกับยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของวาจาเหยียนตี้ เรื่องแรกที่มันทำก็คือจะกินเนื้อ เสี่ยวฮุยเห็นสหายปลอดภัยไร้อันตรายก็ร้องบอกหิวตามไปด้วย ฉินโยวโยวขอให้ห้องครัวทำหมูสามชั้นน้ำแดงมาให้ห้าหม้อใหญ่ แล้วก็ถูกเจ้าสองตัวนี้กินจนเกลี้ยง
สาวใช้สองคนที่ถูกส่งมาปรนนิบัติฉินโยวโยวเป็นการชั่วคราวล้วนมองดูจนนิ่งอึ้งไป ด้วยไม่เคยเห็นใครกินเก่งถึงเพียงนี้มาก่อน! หม้อทุกใบที่ใส่หมูสามชั้นน้ำแดงเหล่านั้นล้วนแต่มีขนาดใหญ่กว่าพวกมันห้าถึงหกเท่า ทว่าพวกมันถึงกับกวาดเนื้อห้าหม้อเต็มๆ ไปจนเกลี้ยง ซึ่งเนื้อเหล่านี้มีปริมาณมากพอที่จะให้คนทั้งหมดในคฤหาสน์กินไปได้หลายวันเชียวนะ
โดยเฉพาะกระต่ายตัวนั้น กระต่ายมิใช่กินผักกินหญ้าหรือไรกัน ไฉนจึงกินเนื้อได้มากกว่านกสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นเสียอีก!
ตัวช่างกินทั้งสองกินจนอิ่มหนำแล้วก็จัดการทำความสะอาดขนบนตัวที่เปรอะเปื้อนน้ำมันและน้ำปรุงรสไปอย่างเอื่อยเฉื่อยจนกระทั่งสะอาด เสี่ยวฮุยขยับไปใกล้ต้าจุ่ยก่อนเริ่มฟ้องอย่างอดรนทนไม่ไหว มันแทบสะอึกสะอื้นยามที่จาระไนถึงความเลวร้ายของเหยียนตี้เป็นต้นว่า…วาจาโหดร้าย รังแกคนอ่อนแอ หน้าเนื้อใจเสือ ไม่ชอบสัตว์เล็กๆ ออกมาทั้งชุดในคราวเดียว
ฉินโยวโยวได้ไล่สาวใช้ทั้งสองออกไปก่อนที่เสี่ยวฮุยจะเริ่มเปิดปากพูดอย่างคาดเดาล่วงหน้าได้ เพิ่งจะสำราญกับอาหารอันโอชะและการปรนนิบัติรับรองจากคนของเขาเสร็จก็วกมานินทาว่าร้ายคนเขาอย่างไม่เกรงใจแล้ว แม้แต่นางยังรู้สึกอับอาย
ต้าจุ่ยฟังคำกล่าวหาอันขื่นขมจากเสี่ยวฮุยจบแล้ว มันก็ฟังฉินโยวโยวบอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่แยกกัน รวมถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ได้รู้จักกับเหยียนตี้ ต้าจุ่ยสะบัดขนสีดำสนิทบนตัวเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงพูดด้วยท่าทางเหมือนผู้อาวุโส “มาทำดีด้วยโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ หากไม่ใช่โจรก็เป็นคนร้าย คนแซ่เหยียนผู้นี้จะต้องมีแผนการร้ายแน่นอน!”
“ข้ารู้ แต่ตอนนี้ข้าโคจรลมปราณไม่ได้แล้ว เจ้าสารเลวเฟิงกุยอวิ๋นนั่นก็ไม่ยอมไปที่ชอบๆ อีก” ฉินโยวโยวพูดด้วยรอยยิ้มฝืดฝืน
สัตว์วิเศษทั้งสองสบตากันอย่างจนปัญญา เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนต้าจุ่ยจะเชิดหน้ายืดอกพูดขึ้นว่า “กองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น* ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก หากเขากล้าทำอันตรายเจ้า ข้ากับเสี่ยวฮุยจะ…”
เสี่ยวฮุยลุกขึ้นนั่งด้วยความคึกคักฮึกเหิมพลางพูดคล้อยตามด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้วๆ ถ้าเขากล้าทำอันตรายท่าน ข้ากับต้าจุ่ยจะ…จะอะไร” เสี่ยวฮุยหันหน้าไปมองต้าจุ่ย ขอความเห็นจากมัน
ต้าจุ่ยแหงนหน้าหัวเราะแว้กๆ เสียงดังลั่น ก่อนพูดด้วยท่าทางอันน่าครั่นคร้าม “กินจนเขาหมดตัว!”
ฉินโยวโยวหมดคำพูดแล้ว นางรู้อยู่แล้วว่าเจ้าสองตัวนี้คาดหวังอะไรไม่ได้! หากต้องให้พวกมันช่วย มิสู้นางไปหาเต้าหู้มาโขกหัวตายยังดีเสียกว่า
เหยียนตี้รับปากฉินโยวโยวแล้วว่าจะไปตามหาจอมแพทย์เป็นเพื่อนนาง วันรุ่งขึ้นเขาก็พานางออกเดินทางจริงๆ
ต้าจุ่ยยืนอยู่บนบ่าฉินโยวโยว มันมองเหยียนตี้อยู่ชั่วครู่ อาศัยจังหวะที่เขาหันไปสั่งงานเหลียงลิ่ง ขยับมากระซิบข้างหูฉินโยวโยว “บนตัวเจ้านั่นมีไอสังหารเข้มข้นยิ่งนัก”
ฉินโยวโยวรู้สึกว่านี่เป็นคำพูดไร้สาระ เท่าที่นางได้รู้ได้เห็นมาตลอดเวลาไม่ถึงเดือนนี้ บุรุษตรงหน้าได้สั่งฆ่าคนไปเกินสามสิบคนแล้ว หากไอสังหารเขาไม่เข้มข้นนั่นต่างหากถึงจะแปลก!
“เทียนเล่อเคยบอกว่าต่อให้บุรุษที่นิสัยใจคอมีปัญหาจะหน้าตาดีเพียงไรก็เอามาทำพันธุ์ไม่ได้ โยวโยวเจ้าอย่าถูกเขาหลอกเชียวนะ” ต้าจุ่ยสอนด้วยท่าทีที่จริงใจยิ่ง ‘เทียนเล่อ’ ที่มันพูดถึงก็คืออาจารย์ของฉินโยวโยว มือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
ต้าจุ่ยเป็นสัตว์วิเศษของฉีเทียนเล่อ ระหว่างทั้งสองต่างก็เรียกขานอีกฝ่ายในระดับเดียวกันมาตลอด
“อะไรกัน เขานับว่าหน้าตาดีด้วยหรือ ข้ารู้สึกว่าดุร้ายยิ่ง…” ฉินโยวโยวทนรับความเหลวไหลของต้าจุ่ยต่อไปไม่ได้ กับผู้มีพระคุณปีศาจนั้นนางกลัวยังแทบไม่ทันเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างนางก็ไม่รู้สึกอะไรกับรูปโฉมภายนอกของคนมาแต่ไหนแต่ไร
ในสายตานาง รูปโฉมภายนอกของคนมีเพียงสองประเภท…ที่ธรรมดาทั่วไปกับที่มีเอกลักษณ์
ที่ธรรมดาทั่วไปก็คือรูปร่างหน้าตาเป็นปกติ อะไรควรอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ส่วนที่มีเอกลักษณ์ก็ตัวอย่างเช่นรอยบากขนาดใหญ่บนหน้าเยี่ยหรูเหนียน ผมขาวคิ้วขาวของเหลียงลิ่ง อันที่จริงหน้าอันไร้ความรู้สึกของผู้มีพระคุณปีศาจก็นับว่าใช่ ทว่าข้างกายเขามีลูกน้องที่ตัวสูงใหญ่ทั้งยังใบหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนกันอยู่จำนวนมาก หากพวกเขาสวมเสื้อผ้าคล้ายๆ กันแล้วมายืนอยู่ด้วยกัน นางก็แยกไม่ออกอยู่บ้าง
“ก็ตามนั้นแหละ แย่กว่าเทียนเล่อจนเทียบไม่ติด!” ต้าจุ่ยพูดอย่างดูแคลน
“อืม ข้าก็ว่าเช่นนั้น อาจารย์หน้าตาดีที่สุดแล้ว” ความเทิดทูนที่ฉินโยวโยวมีต่ออาจารย์ย่อมไม่ต้องการเหตุผล
ฉีเทียนเล่อไม่รู้นึกอย่างไรถึงได้กรอกความคิดว่าอาจารย์เป็นบุรุษแสนดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้นางตั้งแต่เล็ก จนทำให้ศิษย์หญิงเพียงคนเดียวมีมาตรฐานการพิจารณาเพศตรงข้ามที่พิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดว่าสัตว์วิเศษทั้งสองตัวที่สัมผัสคลุกคลีกับพวกเขาศิษย์อาจารย์เป็นประจำยังพลอยได้รับความคิดนี้ไปไม่น้อย
หนึ่งคนหนึ่งนกพูดคุยกระซิบกระซาบ โดยมิรู้เลยว่าแต่ละคำแต่ละประโยคพวกนั้นล้วนถูกเหยียนตี้ที่หูไวตาไวได้ยินจนหมดสิ้นแล้ว กระทั่งเหลียงลิ่งที่ข้างกายเขาก็ยังได้ยินชัดเจน
เหลียงลิ่งมองดูหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของนายท่าน แม้จะอยากหัวเราะเพียงใดเขาก็ไม่กล้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนวิจารณ์รูปโฉมของนายท่านในแง่ลบเพียงนี้ หากกล่าวอย่างเป็นธรรม ถ้านายท่านไม่เอาแต่ทำใบหน้าไร้ความรู้สึกตลอดทั้งวัน นายท่านต้องทำให้สตรีในใต้หล้าหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน…เว้นก็แต่ตัวประหลาดข้างหลังที่จนถึงตอนนี้ก็ยังจดจำใบหน้าของนายท่านไม่ค่อยได้ผู้นั้น
“ออกเดินทาง” เหยียนตี้สั่งเสียงแข็ง สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินกลับไปข้างรถม้า
ฉินโยวโยวเปลี่ยนมาทำสีหน้าน่ารักว่าง่าย นางก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรอย่างรวดเร็ว ต้าจุ่ยที่อยู่บนบ่าโผกระพือปีกบินไปเหลียวซ้ายแลขวาบนหลังคารถม้า เหลือเพียงเสี่ยวฮุยนอนกรนครอกๆ อยู่ในอ้อมแขนนางด้วยท่าทางอันใหญ่โต
ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยจริงๆ! เหยียนตี้ยิ้มเย็นในใจ ภายนอกยังคงไม่เปิดเผยความรู้สึก
ภายในรถม้าอันแสนสบาย หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีต่างใช้ความเงียบสู้กัน ตรงกลางแทรกด้วยกระต่ายอ้วนที่หลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ฉินโยวโยวรู้สึกว่าบรรยากาศในยามนี้ออกจะอึดอัดกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบาย “เสี่ยวฮุยอายุยังน้อย ทุกวันจึงนอนนานอยู่สักหน่อย”
“นี่เป็นสัตว์วิเศษหรือเป็นสัตว์เลี้ยง” ถ้อยคำราบเรียบที่ออกมาจากปากของเหยียนตี้ดูคมกริบเป็นพิเศษ
ฉินโยวโยวตัดสินใจหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ มิเช่นนั้นนางคงทนไม่ไหวจนเผลอโมโหใส่เหยียนตี้ ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ต้องอดทน!
เห็นได้ชัดว่าเหยียนตี้ไม่สนใจจะคุยเรื่องสัตว์วิเศษที่ในสายตาเขาเห็นว่านอกจากกินเก่งนอนเก่งแล้วก็ไม่มีอะไรได้เรื่องได้ราวต่ออีกเช่นกัน “คนสกุลเหวินทราบเรื่องของเหวินเฟิงเซิ่งไม่มาก ที่พวกเขาส่งยอดฝีมือมาเมืองปาไซ่เป็นเพราะได้รับข่าว รู้ว่าอาจารย์เจ้ากับเหวินเฟิงเซิ่งมีความสัมพันธ์ส่วนตัวต่อกันไม่เลว จึงคิดจะควบคุมตัวเหวินเฟิงเซิ่งไว้เพื่อเค้นถามเรื่องอาจารย์เจ้า ผลคือ…พวกเขามาถึงก็พบว่าเหวินเฟิงเซิ่งที่ประกาศปิดด่านกักตัวไปก่อนหน้านั้นอันที่จริงได้หายตัวไปนานแล้ว พวกเขาไปสืบข่าวในบริเวณใกล้ๆ ถึงได้จับสัตว์วิเศษของอาจารย์เจ้าไว้ได้โดยไม่คาดฝัน”
“ตอนอาจารย์พาข้ามาเยี่ยมเหวินเฟิงเซิ่งก็ไม่ได้บอกฐานะของตนเองสักหน่อย” ที่ฉินโยวโยวคิดไม่ตกก็คือจุดนี้ ห้าปีก่อนอาจารย์เพียงแต่ใช้ฐานะพ่อค้ามั่งคั่งธรรมดาผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยียน ทั้งสาขาสกุลเหวินก็มีเพียงเหวินเฟิงเซิ่งคนเดียวที่รู้ฐานะของพวกนาง อาจารย์มิใช่คนชอบโอ้อวดมาแต่ไหนแต่ไร มักจะอาศัยวิชาแปลงโฉมอันเหนือชั้นโดยใช้ใบหน้าต่างๆ มาพบผู้คน แล้วคนสกุลเหวินรู้ได้อย่างไรว่าพ่อค้าธรรมดาที่พาแม่นางน้อยออกจากบ้านมาด้วยผู้นั้นคือมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อผู้โด่งดัง
“ราวหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ สำนักเฟิ่งเสินได้วาดภาพเหมือนของอาจารย์เจ้าขึ้นมา และส่งคนออกค้นหาที่อยู่ของเขาไปทั่วสารทิศเป็นการลับ พักก่อนสกุลเหวินบังเอิญได้ไปภาพหนึ่ง ทั้งยังคัดลอกแล้วแจกจ่ายไปตามสาขาแต่ละแห่งอย่างลับๆ ทางเมืองปาไซ่เองก็ได้รับมาเช่นกัน เหวินเฟิงเซิ่งประกาศปิดด่านกักตัว ยามนั้นพ่อบ้านที่ดูแลงานในสาขาแทนก็ได้เห็นภาพเหมือนเข้า” เหยียนตี้พูดถึงตรงนี้ เรื่องราวหลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว
องครักษ์ของเหยียนตี้ค้นได้ภาพเหมือนภาพนั้นมาจากคฤหาสน์สกุลเหวิน เมื่อคืนเขาก็ได้เห็นกับตา และเพราะว่าได้เห็นแล้วถึงได้โมโหเป็นพิเศษ สารรูปเช่นนั้นของฉีเทียนเล่อ สาวน้อยที่ตาไร้แววนี่ถึงกับบอกว่า ‘หน้าตาดีที่สุด’ ซ้ำยังคิดเห็นเหมือนกับเจ้านกทึ่มที่ตามีปัญหาตัวนั้นว่าฉีเทียนเล่อหน้าตาดีกว่าเขาอีก!
มีอย่างที่ไหนกัน! ช่างดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว!
ในอดีตเหยียนตี้รู้สึกว่าบุรุษที่ใส่ใจในรูปโฉมของตนเองเกินไปต่อให้ไม่ใช่พวกมีท่าทางนุ่มนวลก็ต้องเป็นพวกดีแต่รูป ทว่าคราวนี้เขายากที่จะไม่ใส่ใจ
ฉินโยวโยวไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตนเองได้ ‘ดูหมิ่นความงามของเหยียนตี้’ เข้าแล้ว นางยังคงโมโหแค้นใจว่าคนสำนักเฟิ่งเสินช่างชั่วช้านัก แต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจแทนสหายเก่า “เช่นนี้ก็หมายความว่าคนสกุลเหวินยังไม่ทราบเรื่องของเหวินเฟิงเซิ่ง?”
“ไม่ผิด คนสำนักเฟิ่งเสินตามหาตัวอาจารย์เจ้าด้วยเหตุใด” เหยียนตี้ถาม
ฉินโยวโยวกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากตอบคำถามนี้ นางอยากโกหกไปให้พ้นๆ ตัว แต่พอนึกถึงความร้ายกาจของผู้มีพระคุณปีศาจแล้วก็เกิดลังเลขึ้นมา
เหยียนตี้เองก็ไม่ซักไซ้อะไรอีก เพียงมองฉินโยวโยวนิ่งๆ จนนางขนลุกซู่
“ฮ่องเต้แคว้นตัวลี่อยากให้อาจารย์ข้าสร้างสุสานให้” ฉินโยวโยวตัดสินใจทำตามกฎเดิม…พูดเพียงครึ่งเดียว
เหยียนตี้ไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายเพียงนั้น เขาโคลงศีรษะช้าๆ ก่อนเอ่ยว่า “ฮ่องเต้แคว้นตัวลี่อายุเก้าสิบหก มีตบะระดับยอดยุทธ์ขั้นแปด อาศัยอยู่ในวังไร้โรคภัยไข้เจ็บ ต่อให้อยู่ไม่ถึงสามร้อยปี อย่างน้อยก็ต้องถึงสองร้อยห้าสิบปี สองปีก่อนเขาเพิ่งเลือกสถานที่เริ่มสร้างสุสานหลวง สุสานหลวงมีขนาดใหญ่โตยิ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นห้าสิบปีถึงจะสร้างเสร็จ ตามหลักแค่บุกเบิกเขาเจาะถ้ำก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสิบปีแล้ว ไยต้องรีบหาที่อยู่ของอาจารย์เจ้าเร็วเพียงนี้”
ปีศาจ! ฉินโยวโยวถูกสายตาที่มองเห็นได้ชัดแจ้งแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ ของเหยียนตี้ทำเอาจนใจ เดิมนางยังอยากแกล้งโง่ต่อ แต่อีกฝ่ายก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนเสียเหลือเกิน ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกซักไซ้แม้แต่กระผีกเดียว บรรยากาศภายในห้องเล็กๆ นี้จึงกดดันอย่างยิ่ง
เพียงฉินโยวโยวคิดว่าหลังจากนี้นางยังต้องนั่งร่วมรถกับเขาไปอีกนานก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นท้อแท้
“ตอนพวกเขาขุดสุสานบังเอิญค้นพบคลังสมบัติที่ราชันยุทธ์ในสมัยโบราณเหลือทิ้งเอาไว้ ในบรรดาสมบัติพวกนั้นมีแบบร่างอาวุธโจมตีเมืองขนาดใหญ่อยู่สามฉบับ น่าเสียดายที่ชำรุดหนักจนมองจุดสำคัญหลายจุดไม่ออกแล้ว ตามข้อความที่ใช้อธิบายประกอบแบบร่าง อาวุธโจมตีเมืองเหล่านี้มีอานุภาพไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นตัวลี่จึงขอให้สำนักเฟิ่งเสินตามหาตัวอาจารย์ข้าโดยไม่ต้องเสียดายค่าตอบแทน เพื่อให้อาจารย์ซ่อมแซมแบบร่างสามฉบับนั้นให้พวกเขา” ฉินโยวโยวเห็นว่าปิดบังไม่ได้ก็บอกเล่ามาอย่างคร่าวๆ เสียเลย
คิดในอีกมุมหนึ่ง ผู้มีพระคุณปีศาจช่วยนางไว้ก็เท่ากับช่วยตนเอง หากเขาปล่อยให้คนของแคว้นตัวลี่จับนางไปได้จริงๆ เกิดนางทนไม่ไหวช่วยซ่อมแซมแบบร่างสามฉบับนั้นให้พวกเขา ถึงตอนนั้นแคว้นตัวลี่จะต้องสร้างอาวุธกลไกเหล่านี้ออกมาเป็นการใหญ่เพื่อเล่นงานแคว้นเซียงเยวี่ยที่เป็นอริเก่าแก่แน่นอน
เหยียนตี้ค่อนข้างพอใจต่อคำตอบนี้ ในที่สุดเขาก็มีเมตตาไม่ใช้อำนาจกดดันคนอีก
เสี่ยวฮุยที่นอนหลับสบายอยู่บนตักฉินโยวโยวพลันพลิกตัว ขาทั้งสี่เตะขึ้นฟ้าสองสามที ทำปากแจ๊บๆ พึมพำว่า “แพะทะเลน้ำแดง ไก่หงอนม่วงตุ๋นฟักทอง…โยวโยว ข้าอยากกินตัวนิ่มเงินนึ่ง แล้วก็สุราน้ำผึ้งร้อยทรัพย์…”
ตัวตะกละนี่! ฉินโยวโยวรู้สึกขายหน้าอย่างมาก นางหัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนอธิบายอย่างเสียแรงเปล่า “เสี่ยวฮุยยังเล็ก ต้องกินให้มากหน่อยถึงจะโต”
“ปกติเจ้าก็ให้มันกินของเหล่านี้?” เหยียนตี้ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น
ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วจริงๆ! ต่อให้อยู่ภายในวังหลวง ยามปกติยังหาของเหล่านี้กินไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเอามาเลี้ยงสัตว์วิเศษที่ไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง
“ใช่แล้ว เสี่ยวฮุยกับต้าจุ่ยล้วนชอบมาก” ฉินโยวโยวไม่รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มีปัญหาอะไรสักนิด พวกนางสองศิษย์อาจารย์ไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ทั้งยังเห็นสัตว์วิเศษทั้งสองเป็นสมาชิกในครอบครัว ขอเพียงทุกคนและทุกตัวยินดีก็พอแล้ว ไม่มีทางไปคิดเรื่องราคาสูงหรือต่ำ
สายตาเหยียนตี้เลื่อนไปตกบนตัวกระต่ายอ้วนที่ดูไม่ได้และไร้ประโยชน์ตัวนั้น ก่อนให้คำวิจารณ์ออกมาสองพยางค์อย่างถูกต้องแม่นยำ “สิ้นเปลือง!”
ฉินโยวโยวกัดฟันกรอด แต่ยังคงนึกถึงคำพูดประโยคนั้น ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ทนอีกหน่อยเถอะ!
“ยื่นมือมา” เหยียนตี้พลันเอ่ยขึ้นมา
ฉินโยวโยวยังโมโหอยู่จึงไม่ทำตามเสียเลย เหยียนตี้จึงจับข้อมือบอบบางของนางขึ้นมาตรวจชีพจรตรงๆ
เนื่องจากก่อนหน้านี้ถูกเหยียนตี้ ‘แตะเนื้อต้องตัว’ หลายครั้งแล้ว อีกทั้งทุกครั้งเหยียนตี้ล้วนมีสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน ฉินโยวโยวจึงค่อยๆ ลืมไปแล้วว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางสมควรร้องเสียงดังๆ ว่า ‘ถูกลวนลาม’ พร้อมกับขืนตัวอย่างเต็มที่ ทว่ายามนี้กลับกลายเป็นว่านางปล่อยให้เขาจับชีพจรจนหนำใจอย่างยอมรับชะตากรรมยิ่งยวด
“กินยานี่เสีย” ยาลูกกลอนที่ไม่รู้ว่าคือยาอะไรถูกส่งมาถึงเบื้องหน้าฉินโยวโยวอีกเม็ดแล้ว
“ท่านมิใช่บอกว่าพิษที่ตกค้างในร่างกายข้าถูกขจัดออกไปหมดแล้วหรอกหรือ” ฉินโยวโยวไม่ยอมรับยาลูกกลอน
เหยียนตี้บอกอย่างไม่ให้ต่อรอง “ชีพจรของเจ้าอ่อนเกินไป”
ชีพจรนางจะอ่อนได้อย่างไร ก่อนกินลูกกลอนสลายพลังก็ยังดีอย่างมาก ต่อให้กินลงไปแล้วก็เพียงทำให้ลมปราณกระจัดกระจาย ทว่าชีพจรยังคงดีอยู่ ฉับพลันภาพเหตุการณ์ตอนที่นางถูกเหยียนตี้บังคับกินยาเมื่อคราวก่อนก็ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ฉินโยวโยวจึงเบะปากรับยาลูกกลอนมากลืนลงไปอย่างจนใจ
ฉินโยวโยวสงสัยอย่างยิ่งว่ายาที่เหยียนตี้ให้นางกินจะเป็นยาสลบ เหตุเพราะนางเพิ่งจะกินลงไปได้เพียงครู่เดียว นางก็ต้องเริ่มต่อสู้กับหนังตาอีกแล้ว ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจก็ล้มลงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
เหยียนตี้ยื่นมือมาประคองฉินโยวโยวพิงผนังรถ มือหนึ่งจับจุดชีพจรตรงข้อมือนาง ก่อนจะโคจรลมปราณของตนเองไปตามเส้นชีพจรนางอยู่หลายรอบ จากนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ชีพจรนางอ่อนเกินไปในสายตาเขาจริงๆ เขาจำต้องทำให้ชีพจรนางแรงขึ้น อย่างน้อยๆ ต้องถึงระดับยอดยุทธ์ขั้นเก้าภายในสามเดือน มิเช่นนั้นเกรงว่าแผนการของเขาคงยากจะเป็นจริง
แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านหน้าต่างมาส่องลงบนร่างฉินโยวโยว นางคล้ายกับเป็นตุ๊กตาหยกที่งดงามประณีตดูวิจิตรบรรจง เป็นความงามอันบริสุทธิ์สูงส่งที่ดูไร้ขีดจำกัด กลิ่นอายหอมหวานอันมีเฉพาะในหญิงสาวแผ่อบอวลภายในห้องของรถม้าอย่างเงียบเชียบ เหยียนตี้พลันจิตใจหวั่นไหว เขาก้มตัวลงประทับจุมพิตลงบนพวงแก้มนางเบาๆ อย่างยากจะหักห้ามใจ
ผิวหนังใต้ริมฝีปากอบอุ่นนุ่มเนียนและเกลี้ยงเกลา ระคนด้วยกลิ่นหอมจรุงน่าหลงใหล เหยียนตี้รู้สึกได้ชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าอะไรเรียกว่า ‘เนื้อนวลอวลสุคนธ์’ จู่ๆ ในห้วงความคิดของเขาก็มีภาพริมฝีปากสีชมพูอ่อนของฉินโยวโยววาบผ่านไป เหมือนมันจะอ่อนนุ่มยวนใจยิ่งกว่า ขณะกำลังคิดจะลิ้มลองก็มีเสียงงึมงำออดอ้อนดังมาจากจุดที่ห่างจากหูเขาไปไม่ถึงสองฉื่อ “โยวโยว ข้าหิว…”
ความคิดเหลวไหลเต็มสมองถูกเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือนนี้ทำลายลง เหยียนตี้ก้มหน้ามองไปทางต้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เสี่ยวฮุยกำลังบิดตัวอ้วนๆ มันขยี้ตาพลางขยับซุกไซ้ในอ้อมแขนฉินโยวโยว
ผ่านไปชั่วครู่ เสี่ยวฮุยเห็นเจ้านายไร้การตอบสนองก็สะบัดหัวก่อนลุกขึ้นนั่ง มันคุ้ยค้นกระเป๋าหน้าท้องที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดของตนเองครู่หนึ่ง คลำหาของว่างที่บรรจุอยู่ในห่อกระดาษไขออกมากินกร้วมๆ
มันกินไปได้สองคำ พอมองเห็นเหยียนตี้กำลังจ้องมันด้วยสีหน้าเฉยชาก็ตัวสั่น ขยับเข้าหาตัวฉินโยวโยวในทันที ทว่าเพียงไม่นานก็พบว่าเจ้านายกำลังหลับสนิทอยู่ ไม่มีปัญญามาปกป้องมันแม้แต่น้อย
เหยียนตี้นึกว่ามันจะถูกทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่านอกจากเสี่ยวฮุยจะไม่กลัวแล้ว ยังแหงนหน้าถลึงตาจ้องตอบเขากลับมาด้วย
“เจ้าหมายตาโยวโยวใช่หรือไม่!” ในเสียงของเสี่ยวฮุยแฝงด้วยแววซักถามซึ่งเปี่ยมด้วยความดุดัน ดูยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้วอย่างไร” เหยียนตี้คาดไม่ถึงอยู่บ้าง ที่แท้กระต่ายทึ่มตัวนี้ก็เหมือนกับเจ้านายของมัน ปกติแสร้งทำตัวน่าสงสาร แต่ความจริงขวัญกล้ายากจะปราบพยศยิ่ง
กระทั่งจู้อวิ๋นเฟยม้ากิเลนโลหิตชาดที่ห้าวหาญดุร้ายฉุนเฉียวง่ายจนขึ้นชื่อตัวนั้นของเขา รวมถึงแม่ทัพนายกองในแคว้นเซียงเยวี่ยจำนวนมากที่สังหารผู้คนเป็นผักปลาก็ยังไม่กล้ากำเริบเสิบสานภายใต้สายตาของเขาเช่นนี้
“เจ้าถอดใจเสียเถอะ! เจ้าคงไม่มีโอกาสหรอก” เสี่ยวฮุยที่ตัวเล็กแต่ความกล้าไม่เล็กตามขนาดตัวแค่นเสียงพูด
เหยียนตี้ไม่คิดเป็นเช่นนั้น ทว่าเขาคร้านจะปะทะคารมกับสัตว์วิเศษที่ดูไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง หากมิใช่เพราะฉินโยวโยวเห็นมันเป็นดังดวงใจ เขาคงจับมันไปเป็นอาหารสัตว์วิเศษของตนเองนานแล้ว จู้อวิ๋นเฟยแค้นใจกระต่ายตัวนี้อย่างมาก คิดว่าต้องยินดีจัดการมัน ‘ด้วยปากตนเอง’ แน่นอน
เสี่ยวฮุยพูดอย่างเข่นเขี้ยว “คนที่ไม่ดีกับข้า โยวโยวไม่มีทางชอบหรอก!”
“จะล้างตารอดูแล้วกัน” ไม่รู้ว่าเขาหลอนไปเองหรือไม่ แต่มีชั่วขณะหนึ่งที่เหยียนตี้คลับคล้ายมองเห็นว่าตัวที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้มิใช่กระต่ายทึ่มอวบอ้วนที่ดูสติปัญญาอ่อนด้อยอ่อนแอ แต่เป็นอสูรร้ายบรรพกาลตัวหนึ่งที่อาณาเขตถูกล่วงล้ำจนคิดจะจับคนกิน
“ฮึ!” เสี่ยวฮุยขู่จบแล้ว พอเห็นอีกฝ่ายคล้ายไม่เก็บไปใส่ใจ มันก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงประคองขนมหวานก้อนเท่าหัวมันขึ้นมา ก่อนจะอ้าปากกว้างกลืนขนมชิ้นนั้นลงไปในคำเดียว ท่าทางดุร้ายคล้ายว่าสิ่งที่กลืนลงไปคือศีรษะของเหยียนตี้อย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวฮุยเป็นเหมือนที่ฉินโยวโยวบอก มันกินเก่งอย่างยิ่ง กินจุจนแม้แต่เหยียนตี้ที่คิดว่าตนเองมีประสบการณ์และความรู้มากยังต้องทอดถอนใจว่าเห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขณะเดียวกันก็ค้นพบว่ากระต่ายที่ดูไม่มีอะไรได้เรื่องได้ราวตัวนี้ถึงกับเป็นสัตว์วิเศษที่มีพื้นที่วิเศษอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ
ตั้งแต่เสี่ยวฮุยตื่นขึ้นมามันก็ยังไม่หยุดกิน อย่างน้อยๆ ก็กินอาหารเข้าไปมากกว่าขนาดของตัวมันเป็นแปดเท่าสิบเท่าแล้ว อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังถึงกับมาจากในกระเป๋าหน้าท้องของมันเอง แม้หน้าท้องมันจะกลมดิก แต่โดยปกติแล้วย่อมไม่มีทางใส่อาหารเข้าไปได้มากถึงเพียงนี้เป็นแน่ ที่ยิ่งไม่สมเหตุสมผลคือมันกินไปมากถึงเพียงนั้นไม่เพียงไม่ท้องแตกตาย กระทั่งหน้าท้องยังไม่เห็นจะป่องออกมาสักเท่าไรเลย
กระต่ายหิมะหลงทางตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง แต่เหยียนตี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ากระเป๋าหน้าท้องนี้จะเป็นพื้นที่วิเศษได้ด้วย บางทีอาจเพราะมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติบางอย่างที่ทำให้กระต่ายตัวนี้มีจุดเด่นขึ้นมาหนึ่งอย่าง
ทว่าเพียงแค่นี้ก็ไม่นับว่าหายากนัก แม้ของวิเศษที่มีพื้นที่วิเศษเก็บของได้จะพบเห็นได้น้อย แต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลนจนถึงขั้นหาไม่ได้ในใต้หล้านี้ อย่างน้อยตัวเหยียนตี้ก็มีของวิเศษคล้ายๆ กับแหวนสุเมรุและถุงฟ้าดินอยู่ถึงห้าชิ้น
หักลบกันแล้วกระต่ายตัวนี้ก็เพียงแค่หูไวกว่าเท่านั้น การที่มีกระเป๋าวิเศษไม่นับว่าพิเศษแตกต่างแต่อย่างใด
ถูกกระต่ายอ้วนที่สมควรตายตัวนี้ขัดจังหวะ เหยียนตี้ก็ไม่สะดวกใจจะทำอะไรกับฉินโยวโยวต่อ เขาจึงพิงผนังรถหลับตางีบ ไม่สนใจเสี่ยวฮุยเสียเลย
ตอนเที่ยงตรงคนทั้งคณะก็หยุดพักกินอาหารกันริมป่า ฉินโยวโยวยันตัวลุกขึ้นหลังจากหลับมาชั่วยามกว่า มองเห็นลูกน้องสองสามคนของเหยียนตี้กำลังวางแผนจะไปล่าสัตว์เล็กๆ จากในป่าพอดี นางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยปากพูดกับหนึ่งในนั้น “เจ้าชื่อสือเอ้อร์หลางใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” สือเอ้อร์หลางตอบรับด้วยความอกสั่นขวัญผวา เขาเคยได้ยินเหลียงลิ่งเตือนว่าฉินโยวโยวจำคนไม่ได้ แต่ไฉนแค่แวบเดียวก็จำเขาได้แล้วเล่า หรือนางจะผูกใจเจ็บเขาเรื่องที่ก่อนหน้านี้เกือบจะกินสัตว์วิเศษของนางเข้าไป
“ช่วยเก็บเห็ดกลับมาให้ข้าจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ ได้มากเท่าไรยิ่งดี จะมีพิษก็ไม่เป็นไร” ฉินโยวโยวน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่มีเจตนาจะหาเรื่องคนแม้แต่น้อย
แค่เรื่องนี้? สือเอ้อร์หลางพลันโล่งใจ บนใบหน้าอดที่จะมีรอยยิ้มขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ เขาตอบรับไม่ขาดปาก “ได้! ได้! ไม่มีปัญหา” พูดพลางค้อมตัวก่อนหันหลังกลับ เร่งฝีเท้าจากไปกับพรรคพวก
ฉินโยวโยวหันหน้ามาพูดกับเสี่ยวฮุยที่เกาะอยู่บนบ่านาง “อีกประเดี๋ยวคนเขาจะนำเห็ดกลับมาให้เจ้ากิน เจ้าก็อย่าโกรธคนเขาอีกเลย”
“ก็ได้” เสี่ยวฮุยสะบัดหูยาวก่อนตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
“เจ้าจำสือเอ้อร์หลางได้?” เสียงของเหยียนตี้พลันดังขึ้นริมหูฉินโยวโยว
“อื้ม” จู่ๆ ฉินโยวโยวก็รู้สึกหนาวยะเยือกอยู่บ้าง ผู้มีพระคุณปีศาจดูคล้ายจะไม่ค่อยพอใจ?
เหยียนตี้ไม่พอใจจริงๆ สาวน้อยนางนี้จำองครักษ์ที่เคยพูดกับนางแค่หนเดียวได้ แต่กลับจำผู้มีพระคุณที่ช่วยนางไว้หลายครั้ง ซ้ำยังแทบจะอยู่ด้วยกันกับนางทั้งเช้าเย็นอย่างเขาไม่ได้ นี่นับเป็นอะไร!
“เป็นเพราะเขาเคยเกือบจะกินมัน?” สายตาเหยียนตี้เลื่อนไปตกบนตัวเสี่ยวฮุย มันจงใจถูไถไซ้คอฉินโยวโยวอย่างสนิทสนม ก่อนจะแยกเขี้ยวถลึงตาใส่เหยียนตี้เป็นการแสดงอำนาจ
ฉินโยวโยวมองไม่เห็นอากัปกิริยาเล็กๆ ของมัน นึกว่ามันเพียงถูไถตนเองเพราะกำลังกลัว จึงยกมือลูบหัวปลอบมัน อีกทางก็กล่าวตอบไปตามตรง “มิใช่ ในบรรดาพวกท่านเขาถือเป็นคนที่มีความรู้สึกบนใบหน้ามากที่สุด ทั้งยังยิ้มเป็นด้วย”
เหยียนตี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับคำตอบเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรโมโหหรือควรโล่งใจดี
เหลียงลิ่งฟังบทสนทนาของคนทั้งสองแล้วก็ตัดสินใจในทันทีว่าพอสือเอ้อร์หลางกลับมาแล้วจะต้องตักเตือนอย่างเข้มงวดถึงข้อเสียของการทำหน้าทะเล้นของเขา บอกให้เขาหัด ‘สุขุมเยือกเย็น’ เฉกเช่นองครักษ์คนอื่นให้ได้โดยเร็วที่สุด
ฉินโยวโยวไม่รู้ว่าตนเองได้ล่วงเกินเหยียนตี้โดยไม่เจตนาอีกครั้งแล้ว นางนึกขึ้นได้ว่าตนเองสลบไปทั้งเช้า ยังไม่ทันได้ถามเรื่องที่สำคัญที่สุดให้รู้เรื่อง นางจึงรีบถามทันที “นี่พวกเราจะไปที่ใด ท่านทราบหรือว่าจอมแพทย์อยู่ที่ใด”
“ไปเมืองจื่อเยี่ย ข้าสั่งให้คนปล่อยข่าวออกไปแล้ว จอมแพทย์จะมาหาเจ้าเอง” ยามที่เหยียนตี้เอ่ยคำว่า ‘จอมแพทย์’ คล้ายจะไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง
ฉินโยวโยวอดจะพึมพำในใจไม่ได้ว่าผู้มีพระคุณปีศาจช่างเชื่อมั่นในตนเองเสียจริง แต่ไรมาตาเฒ่าจอมแพทย์อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง แต่ละแคว้นไม่รู้มีบุคคลที่เปี่ยมด้วยอำนาจตั้งเท่าไรที่อยากพบหน้าเขาสักครั้งหนึ่ง ทว่ากลับยากราวกับขึ้นสวรรค์ เหตุใดผู้มีพระคุณปีศาจกลับพูดราวกับเห็นจอมแพทย์เป็นลูกน้องไปได้เสียเล่า
ประเดี๋ยวก่อน…เมืองจื่อเยี่ย? นั่นมิใช่เมืองหลวงของแคว้นเซียงเยวี่ยหรือไร ในเมื่อผู้มีพระคุณปีศาจเกิดในราชวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ย การมีบ้านอยู่ที่เมืองจื่อเยี่ยก็ถือเป็นเรื่องปกติยิ่ง หากแต่เซิ่งผิงชินอ๋องที่น่าตายผู้นั้นก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันกระมัง
“พวกเราเปลี่ยนสถานที่ที่จะพบกับจอมแพทย์ได้หรือไม่” ฉินโยวโยวต่อรองอย่างระมัดระวังยิ่ง
“ไม่ได้” เหยียนตี้ปฏิเสธรวดเร็วโดยไม่อ้อมค้อม ไม่เหลือที่ให้ต่อรองแม้แต่น้อยนิด
“เพราะเหตุใด” ฉินโยวโยวถามอย่างไม่ถอดใจ
“อีกสองเดือนเมืองจื่อเยี่ยจะจัดงานเวทีประลองสุดยอดฝีมือ”
“ท่านต้องเข้าร่วม? ท่านรู้วิชากลไก?” ฉินโยวโยวถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่รู้ แต่ก็ไม่อยากพลาดงานใหญ่”
ก็ยังดี หากผู้มีพระคุณปีศาจรู้แม้กระทั่งวิชากลไก เช่นนั้นก็แข็งแกร่งจนไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ฉินโยวโยวรู้ว่าบัดนี้ตนเองไม่มีโอกาสให้ต่อรองได้อีก ยังดีที่แม้เซิ่งผิงชินอ๋องจะเคยพบหน้านางมาก่อน แต่เวลานั้นนางอยู่ในรูปโฉมที่แปลงมา เสียงก็จงใจดัด ต่อให้เจอกันซึ่งหน้าเขาก็น่าจะจำนางไม่ได้
รอให้ตบะข้าฟื้นคืนมาแล้วก็ไม่ต้องคอยมองสีหน้าผู้มีพระคุณปีศาจอีกต่อไป ส่วนตอนนี้…อดทนแล้วกัน!
สือเอ้อร์หลางตั้งใจจะล้างภาพจำอันเลวร้ายในใจว่าที่นายหญิงของตนเอง จึงนำเห็ดสดใหม่กลับมาด้วยถุงใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนจบเสี่ยวฮุยก็จำได้เพียงจู้อวิ๋นเฟยม้าแดงตัวใหญ่ที่น่าสยดสยอง อันที่จริงมันจำสือเอ้อร์หลางไม่ค่อยได้เท่าไรนัก ขณะที่กินเห็ดแสนอร่อยคำโตมันก็ตัดสินใจยกโทษให้เขาอย่างใจกว้างแล้ว
เหยียนตี้มองเสี่ยวฮุยกินเห็ดพิษที่มีสีสดจนชวนให้คนขวัญผวาลงไปจำนวนมากแล้วก็ยังไม่เป็นอะไร จึงอดประหลาดใจไม่ได้ เห็นทีภายในตัวกระต่ายทึ่มตัวนี้จะมีความพิเศษอยู่บ้าง
เห็ดที่สือเอ้อร์หลางเก็บกลับมามีไม่น้อยที่มีพิษ เพียงแค่ดอกเดียวก็ฆ่าสัตว์วิเศษขนาดใหญ่ได้แล้ว แต่เสี่ยวฮุยกลับยิ่งกินยิ่งเบิกบาน เพียงประเดี๋ยวเดียวก็กินเห็ดที่กองใหญ่กว่าตัวมันถึงสามสี่เท่าจนเกลี้ยง
ฉินโยวโยวยื่นนิ้วไปเขี่ยหูยาวที่ไม่เข้ากับตัวมัน ก่อนพูดยิ้มๆ “กินอิ่มแล้วหรือยัง ต่อให้ยังไม่อิ่มก็อย่าได้เที่ยววิ่งไปไหนส่งเดช มิเช่นนั้นหลงทางขึ้นมาจะแย่เอา”
ผู้พูดไม่คิดอะไร ทว่าผู้ฟังกลับหมดคำพูด ที่กระต่ายหิมะหลงทางได้ชื่อว่า ‘หลงทาง’ เป็นเพราะพวกมันใช้ประโยชน์จากลักษณะของพื้นที่หลบหนีการสะกดรอยของศัตรู ทำให้ศัตรูงุนงงกระทั่งหลงทางได้ง่าย แต่ไฉนพอมาเป็นกระต่ายตัวนี้กลับกลายเป็นหลงทางที่มีความหมายว่าตัวมันหลงทางเองไปได้เล่า
เสี่ยวฮุยไม่ตอบอะไร ทว่าจู่ๆ ก็กระโดดเข้าสู่อ้อมแขนเจ้านายก่อนร้องด้วยความตกใจ “ม้าปีศาจ! ม้าปีศาจอัปลักษณ์ตัวนั้นมาแล้ว!”
เพิ่งจะพูดจบก็เห็นเงาร่างสีแดงเพลิงของจู้อวิ๋นเฟยวิ่งพรวดพราดออกจากป่ามาถึงเบื้องหน้าคนทั้งหลาย ปากก็พูดเสียงดังว่า “เจ้านาย ในหุบเขาทางด้านหลังมีหญ้าสีทองอยู่ต้นหนึ่ง กลิ่นหอมยิ่งนัก จะต้องเป็นสมุนไพรวิเศษที่มีสรรพคุณล้ำเลิศแน่นอน! ข้าให้ต้าจุ่ยเฝ้าเอาไว้ ท่านรีบตามข้าไปดูเร็ว!”
ต้าจุ่ยมีวาทศิลป์เป็นเลิศ ใช้เวลาแค่ตอนเช้าก็สามารถกล่อมจู้อวิ๋นเฟยที่คิดอะไรไม่ซับซ้อนได้อยู่หมัด และดึงมาเป็นสหายได้แล้ว จู้อวิ๋นเฟยรังเกียจว่าติดตามรถม้าวิ่งได้ช้า จึงล่วงหน้ามาเที่ยวเล่นล่าสัตว์ในบริเวณใกล้ๆ กับต้าจุ่ยก่อน คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวโดยไม่คาดคิดเช่นนี้
สมุนไพรวิเศษที่ขึ้นอยู่ในสถานที่นี้อย่างมากก็เป็นแค่ขั้นสี่ขั้นห้าเท่านั้น เหยียนตี้ไม่มีความสนใจมากนัก ทว่าเห็นจู้อวิ๋นเฟยคึกคักดีใจก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของมัน หลายวันมานี้เขาละเลยมันเพราะฉินโยวโยว มันกำลังมีความขุ่นเคืองอัดแน่นอยู่เต็มท้อง
ฉินโยวโยวกับเสี่ยวฮุยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะกระแอมกระไอแห้งๆ แล้วพูดขึ้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง “ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นหรอก…หญ้าต้นนั้นน่าจะ…ไม่เหลือแล้ว”
จู้อวิ๋นเฟยถลึงตาสีแดงฉานใส่ ก่อนพ่นลมหายใจถามฉินโยวโยว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
ฉินโยวโยวถอยหลังไปสองก้าวก่อนตอบ “ต้าจุ่ยมันชอบกินสมุนไพรวิเศษยิ่ง ดังนั้น…”
นางยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินมาจากทิศทางของหุบเขาที่จู้อวิ๋นเฟยบอก สอดแทรกด้วยเสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่งของสัตว์อสูร ทำเอาคนได้ยินใบหน้าเปลี่ยนสี
“แย่แล้ว!” ฉินโยวโยวนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ในทันควัน สมุนไพรวิเศษที่จู้อวิ๋นเฟยกับต้าจุ่ยค้นพบอาจจะมีระดับขั้นไม่ต่ำ บริเวณใกล้ๆ ย่อมมีสัตว์อสูรเฝ้าอยู่เพื่อครอบครองสมุนไพรวิเศษชั้นดีในตอนที่โตเต็มที่ ต้าจุ่ยไปกินสมุนไพรวิเศษ จึงถูกสัตว์อสูรเหล่านั้นพบเข้า ไม่กลืนมันลงไปทั้งเป็นก็แปลกแล้ว
สิ่งที่นางนึกได้ เหยียนตี้ย่อมจะนึกได้เช่นกัน จึงทิ้งคำพูดไว้ว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้อย่าไปที่ใด” แล้วออกตัวไปยังหุบเขาที่เกิดเสียงดังพร้อมกับจู้อวิ๋นเฟย
จู้อวิ๋นเฟยฝีเท้าเร็วเป็นที่สุด เพียงชั่วครู่ก็วิ่งมาถึงภายในหุบเขา ภาพตรงหน้าระเนระนาดไปหมด บนพื้นมีต้นไม้ดึกดำบรรพ์ขนาดมหึมาถูกกระแทกหักกลางลำต้น ท่ามกลางกรวดหินฝุ่นดินตลบฟุ้ง งูเหลือมยักษ์สีเขียวมรกตที่บนหลังมีปีกคู่หนึ่งกำลังคำรามเสียงดังพลางตามโจมตีนกสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่
นกตัวใหญ่ตัวนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือต้าจุ่ย ทางหนึ่งมันพยายามกระพือปีกหลบหลีกการโจมตีจากงูเหลือมยักษ์สุดชีวิต อีกทางก็ร้องแว้กๆ เสียงหลง “ช่วยด้วย! โยวโยวช่วยด้วย!”
มองเห็นจู้อวิ๋นเฟยกับเหยียนตี้เร่งรุดมาถึงจากที่ไกลๆ ต้าจุ่ยก็โผบินไปหาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง งูเหลือมยักษ์สีเขียวมรกตที่มีปีกตัวนั้นไหนเลยจะยอมปล่อยมันไป กระพือสองปีกบินตามมาทันที
งูปีกมรกตขั้นห้า?!
เหยียนตี้เผชิญหน้ากับงูเหลือมยักษ์ที่พุ่งมาหาด้วยท่าทางรุนแรง กลิ่นอายบนตัวเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายเหลือประมาณ ทั้งตัวคนแผ่ไอสังหารกระหายเลือดอย่างเข้มข้นออกมา เขาแค่นเสียงเย็นก่อนทะยานร่างขึ้นฟ้าจากอานม้า ยื่นสองแขนออกไปคว้าขากรรไกรทั้งบนล่างของงูเหลือมยักษ์ไว้แล้วออกแรงฉีกด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
แควก! เสียงอันน่าสยดสยองจากการที่เนื้อหนังถูกฉีกกระชากพลันดังขึ้น เสียงคำรามของงูเหลือมยักษ์กลายเป็นเสียงโหยหวนสั้นๆ ในชั่วพริบตา ฝนเลือดโปรยว่อนเต็มท้องฟ้า งูเหลือมยักษ์ที่ก่อนหน้ายังดุร้ายเกรี้ยวกราดถึงกับถูกฉีกแหวกเป็นสองซีกทั้งเป็น บาดแผลใหญ่ยักษ์เกินหนึ่งจั้งลากยาวตั้งแต่ปากจนถึงลำตัว! งูเหลือมยักษ์ยังไม่หมดลมในทันที มันนอนชักกระตุกอยู่ตรงเท้าเหยียนตี้
เหยียนตี้มีเลือดอาบเต็มร่าง เขาราวกับเป็นเทพสังหารที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใช้มือเปล่าเสียบเข้ากลางหัวงู ควักลูกกลอนปีศาจที่โชกเลือดและเรืองแสงสีเขียวครามอ่อนๆ ออกมาโยนทิ้งไปด้านหลังตรงๆ
จู้อวิ๋นเฟยได้สติกลับมาก็โห่ร้องดีใจ มันวิ่งมางับลูกกลอนปีศาจแล้วกลืนลงไปในคำเดียว
ต้าจุ่ยหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เอียงล้มอยู่ในบริเวณใกล้ๆ มันมองเห็นฉากสังหารนองเลือดเช่นนี้แล้วก็อดจะตัวสั่นสะท้านไม่ได้
“ไอสังหารรุนแรงยิ่งนัก…แต่แปลก เหมือนเขากำลังกดตบะของตนเองไว้?” ในดวงตาต้าจุ่ยมีแววประหลาดวาบผ่าน ขณะที่ฉินโยวโยวบอกเล่าเรื่องการสังหารคนโดยไม่กะพริบตาของเหยียนตี้ มันยังไม่รู้สึกอะไรเท่าตอนที่ได้เห็นกับตามันเองในตอนนี้ เหยียนตี้ในเวลานี้ไม่เหมือนมนุษย์โดยสิ้นเชิง เป็นเทพสังหารที่เกิดจากปีศาจร้ายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแปลงกายมาชัดๆ
ทว่าสภาพของเขาดูเหมือนจะผิดปกติอยู่สักหน่อย ต้าจุ่ยเอียงหัวมองเหยียนตี้ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ชั่วครู่ คล้ายว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
ผ่านไปราวสิบกว่าอึดใจ เหยียนตี้ก็พลันสะบัดตัว เศษเนื้อและรอยเลือดบนร่างสลายกลายเป็นหมอกเลือดก้อนหนึ่งพุ่งออกจากตัวเขาไป ชุดแพรสีน้ำเงินเปลี่ยนเป็นสะอาดเอี่ยม คราบเลือดบนฝ่ามือก็หายไปสิ้น ทั้งตัวคนสะอาดปลอดโปร่งจนคล้ายว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน
เหยียนตี้มองมายังต้าจุ่ยที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้อยู่บนยอดไม้อย่างเย็นเยียบ ก่อนเรียกจู้อวิ๋นเฟยเตรียมตัวจากไป ต้าจุ่ยพลันได้สติร้องเรียกว่า “ประเดี๋ยวก่อน!”
“เจ้ายังอยากจะรอให้สัตว์อสูรมาอีกกี่ตัว” เหยียนตี้พูดเสียงยะเยือก ดูจากสภาพของที่นี่ เกรงว่าบริเวณนี้ต้องไม่ได้มีแค่สัตว์อสูรอย่างงูปีกมรกตตัวเดียวแน่ แม้ว่าด้วยกำลังความสามารถของเขา ต่อให้มาอีกเป็นสิบเป็นร้อยตัวก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคาม แต่ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องสิ้นเปลืองเวลาและเรี่ยวแรงเพื่อนกโง่ขี้ตะกละเช่นนี้โดยไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสภาพเขาในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะลงมือให้ถึงเลือดถึงเนื้อบ่อยๆ
ต้าจุ่ยกระพือปีกบินมาลงบนหัวงูเหลือมยักษ์ มันใช้ปากยื่นเข้าไปในรูใหญ่ที่ถูกเหยียนตี้คว้านเปิดแล้วออกแรงดูดอยู่ไม่กี่ที จากนั้นก็บินกลับไปเกาะบนหลังจู้อวิ๋นเฟยอย่างพออกพอใจ หัวเราะแว้กๆ สองสามทีอย่างย่ามใจ “เอาล่ะ ไปกันเถอะๆ! สมองงูเป็นของดี ทิ้งไปเฉยๆ ก็น่าเสียดาย”
จู้อวิ๋นเฟยสะบัดหางอย่างไม่ชอบใจ ก่อนพูดด้วยความโมโห “หญ้าสีทองต้นนั้นถูกเจ้ากินไปแล้ว?”
“ใช่แล้ว ข้ากำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี แต่เจ้ารีบร้อนแล่นกลับไปแจ้งข่าวเสียก่อน แค่สมุนไพรวิเศษขั้นห้ากระจอกๆ อย่าง ‘หญ้าไหมทอง’ มิใช่ของหายากอะไรหรอก หากเจ้าชอบ ในหุบเขานี้ยังมี ‘ตะไคร่ปรภพ’ ขั้นห้าอีกต้นหนึ่งด้วย ข้าพาเจ้าไปหาก็ได้” ต้าจุ่ยสะบัดขนสีดำขลับบนตัวอย่างไม่ใส่ใจ แม้แต่คำขออภัยสักนิดก็ไม่มี
“ฮึ!” จู้อวิ๋นเฟยยังคงไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่ามันก็มิใช่ม้าใจแคบ วันนี้ได้ลูกกลอนปีศาจจากสัตว์อสูรขั้นห้ามาเม็ดหนึ่งโดยไม่คาดคิด มันก็อารมณ์ไม่เลวแล้ว เพียงไม่นานก็วางเรื่องเล็กน้อยนี้ลง
ต้าจุ่ยกลอกลูกตาเล็กน้อย ก่อนบินไปเกาะบนหัวจู้อวิ๋นเฟย แล้วเงยหน้าพูดกับเหยียนตี้ “วิชาที่เจ้าฝึกเกี่ยวข้องกับไอสังหารใช่หรือไม่”
เหยียนตี้พลันใจเต้นสะดุด ในที่สุดก็มองนกสีดำตัวใหญ่ที่ดูแล้วนอกจากพูดมากและเป็นจอมตะกละก็ไม่มีอะไรโดดเด่นตัวนี้ตรงๆ “เจ้ามองออกได้อย่างไร” เรื่องนี้แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่ติดตามเขาออกรบมาหลายปีก็ยังไม่เคยค้นพบ ทว่านกสีดำตัวใหญ่นี้เพิ่งแค่เคยเห็นเขาสำแดงฝีมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็ค้นพบความลับเขาแล้ว
ต้าจุ่ยรู้ว่าตนเองเดาถูกต้องก็ส่ายหน้าถอนหายใจยาวพลางกล่าวด้วยความหงอยเหงาปนกลัดกลุ้ม “สายตาอันแหลมคมของผู้ทรงปัญญามิใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจได้”
มือที่จับสายบังเหียนของเหยียนตี้พลันคันยิบๆ อยากจะฟาดเจ้านกดำที่เสแสร้งแกล้งทำตัวนี้ให้แบนเสียเลย
ฉินโยวโยวรออยู่ครู่ใหญ่อย่างลุกนั่งไม่ติดที่ ในที่สุดนางก็เห็นเหยียนตี้พาต้าจุ่ยกลับมาอย่างปลอดภัย นางดีอกดีใจยิ่ง ลืมหวาดกลัวจู้อวิ๋นเฟยไปชั่วคราว วิ่งปราดไม่กี่ก้าวก็กอดต้าจุ่ยเอาไว้แน่น ก่อนบ่นว่า “เจ้าทำให้ข้ากับเสี่ยวฮุยเป็นห่วงแทบตาย!”
ต้าจุ่ยพูดยิ้มๆ “แม้สวรรค์จะริษยาอัจฉริยะเช่นข้า แต่สัตว์อสูรเล็กๆ แค่ตัวสองตัวทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เหยียนตี้ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ด้านข้างเริ่มจะไม่พอใจ เขาลงจากม้าแล้วตบคอจู้อวิ๋นเฟยบอกให้มันไปหาสถานที่พักผ่อนและกินอาหารอย่างเย็นชา
เหลียงลิ่งที่รุดมาแอบส่งสายตาเตือนฉินโยวโยว นางถึงได้สติ ก้าวมายิ้มหวานให้เหยียนตี้ก่อนเอ่ยเอาใจ “ขอบคุณท่านมาก โชคดีที่มีท่านอยู่”
“อืม” เหยียนตี้พยักหน้าเรียบๆ เขาพลันรู้สึกแจ่มใสขึ้นในบัดดล
ฉินโยวโยวไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง แต่เหลียงลิ่งกลับระบายลมหายใจยาวเหยียด เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนายท่านลงแรงทำอะไรเพื่อคนอื่นถึงเพียงนี้ และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เห็นว่ามีใครสักคนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนายท่านได้มากเพียงนี้
ยามปกติต่อให้เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้สั่งด้วยตนเองก็ไม่เห็นอารมณ์นายท่านจะเป็นทุกข์เป็นร้อน หากเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น แค่นายท่านสั่งให้องครักษ์คนสองคนไปดูก็ไม่เลวแล้ว ไม่มีทางจะมาออกหน้าจัดการเองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้เป็นอันขาด
คนทั้งคณะสงบลง เมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยกินจนอิ่มหนำแล้วก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างกายฉินโยวโยว ฝ่ายฉินโยวโยวที่หลับมาตลอดทั้งเช้าจนตาสว่างพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงค้นกระดาษกับพู่กันออกมาขีดเขียนกับโต๊ะตัวเล็กที่อยู่บนรถม้า
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร” แม้เหยียนตี้จะกำลังหลับตานอนงีบพัก แต่เขาก็รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของฉินโยวโยว เขาสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างว่าเป็นเรื่องอะไรกันที่ทำให้นางเบิกบานใจได้ถึงเพียงนี้
“ข้ากำลังเขียนจดหมายให้เฟิงกุยอวิ๋น พอดีข้าไปขู่เขาว่าเขาถูกพิษร้ายแรง รับปากว่าจะให้ตำรับยาแก้กับเขา อย่างไรก็ต้องส่งจดหมายให้เขาสบายใจสักฉบับหนึ่ง” ฉินโยวโยวยิ้มเจ้าเล่ห์ สีหน้านางระรื่นใจนัก
ในใจเหยียนตี้พลันรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เขียนจดหมายให้บุรุษผู้นั้นมีอะไรควรค่าให้นางเบิกบานใจเพียงนี้กัน อีกทั้งบุรุษผู้นั้นอาศัยอะไรมาทำให้นางต้องระลึกถึงซ้ำยังเขียนจดหมายไปให้กับมือตนเองเช่นนี้
ฉินโยวโยวก้มหน้าตวัดวาดเส้นสุดท้ายบนกระดาษเสร็จเรียบร้อยก็ใช้สองมือจับสองมุมกระดาษจดหมายขึ้นมาให้เหยียนตี้ดู
สิ่งที่นางวาดคือหัวหมูอันใหญ่หัวหนึ่ง ท่าทางดูโง่เซ่อน่าตลกขบขัน พัดเล่มหนึ่งปิดหน้าหมูไว้ครึ่งๆ มีอักษรคำว่า ‘โง่’ เขียนเอาไว้ ที่ด้านข้างมีข้อความประกอบอีกหกคำ… ‘พิษไม่ถึงตาย โง่เง่า!’
สาวน้อยนางนี้ปากคอเราะรายเสียจริง เหยียนตี้นึกขันในใจ ทว่าภายนอกยังคงแข็งกระด้าง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
ฉินโยวโยวไม่ได้รับการชื่นชมหรือให้กำลังใจอย่างที่สมควรก็เบะปากแอบค่อนแคะในใจว่า…หุ่นไม้! ก่อนพับจดหมายเก็บอย่างเจ็บใจ แล้วปูกระดาษขาวแผ่นใหม่ลงมือวาดต่อ
เหยียนตี้กวาดตามองปราดหนึ่ง พบว่านางคล้ายกำลังวาดลูกศรดอกเล็กที่มีกลไกบางอย่างรวมถึงอาวุธลับชิ้นเล็กจำพวกใบมีด นางลงพู่กันได้อย่างว่องไวยิ่ง สิ่งที่วาดออกมายิ่งกำกับตัวเลขความยาวไว้ตรงจุดสำคัญแต่ละแห่งประหนึ่งว่าใช้วงเวียนใช้ไม้บรรทัดวัดมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะขอให้คนทำของเหล่านี้มาเสริมบนอาวุธลับในตัวนาง
“เกรงว่าช่างตีเหล็กธรรมดาจะทำของที่ละเอียดเช่นนี้ออกมาไม่ได้” เหยียนตี้หยิบแบบร่างที่ฉินโยวโยววาดเสร็จแล้ววางไว้ข้างๆ ขึ้นมาพลางกล่าว
“แค่ใกล้เคียงก็ใช้ได้แล้ว เดี๋ยวข้าค่อยเอามาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมเอง ท่านช่วยหาคนทำให้ข้าได้หรือไม่” พอเขาเอ่ยปากมา ฉินโยวโยวก็ฉวยโอกาสเรียกร้องตามน้ำ เอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวังในทันที
“ได้ ไปถึงเมืองจื่อเยี่ยแล้วก็มีช่างฝีมือดีๆ อยู่ถมไป จดหมายนี้จะมอบหมายให้ข้าสั่งคนไปส่งถึงสำนักเฟิ่งเสินแทนเจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว รอต้าจุ่ยตื่น ให้มันไปหาพวกนกพิราบสักตัวไปส่งก็ใช้ได้แล้ว”
เห็นทีนกที่เหมือนอีกาตัวนั้นจะยังมีความสามารถในการควบคุมนกตัวอื่นด้วย เหยียนตี้พยักหน้า เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมมาเช็ดหมึกหยดเล็กๆ บนปลายจมูกของฉินโยวโยว
จากความสัมพันธ์ที่มิใช่ทั้งญาติทั้งสหายของคนทั้งสองแล้ว อากัปกิริยานี้ออกจะสนิทสนมเกินไปกระมัง ทว่าเหยียนตี้กลับทำได้อย่างเป็นธรรมชาติเกินไป อีกทั้งสีหน้าท่าทางก็จริงจังเคร่งขรึมเสียเหลือเกิน ฉินโยวโยวตะลึงไปเล็กน้อย ขณะคิดจะปัดป้อง ผู้อื่นก็เก็บมือกลับไปหยิบหนังสือมาอ่านแล้ว
ดูเหมือนข้าจะคิดมากเกินไป? ฉินโยวโยวกะพริบตา กลืนคำประณามติเตียนที่ออกมาถึงปากกลับลงไปอย่างอึดอัดกลัดกลุ้ม จวบจนบัดนี้นางก็ยังแยกได้ไม่ชัดเลยว่าท่าทางบางอย่างของเหยียนตี้นั้นเป็นความไม่ตั้งใจหรือว่ามีเจตนาคิดหาประโยชน์อันใดกันแน่
จากเมืองปาไซ่ไปเมืองจื่อเยี่ยใช้เวลาเดินทางไปหนึ่งเดือนกว่า เหยียนตี้นั่งร่วมรถกับฉินโยวโยวแทบทุกวัน บางครั้งก็ให้นางเดินหมากเป็นเพื่อน บางครั้งก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือหรืองีบหลับไปเงียบๆ ฉินโยวโยวจึงเริ่มชินกับการอยู่กับเขาตลอดเวลาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นางถูกอาจารย์พาท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศตั้งแต่เล็ก จึงไม่รู้สึกแปลกหน้าแม้แต่น้อยต่อวันเวลาที่มีคนคอยจัดการดูแลทุกเรื่องเช่นนี้ แม้เหยียนตี้จะไม่ได้พูดมากหรือมีอารมณ์ขันเหมือนกับอาจารย์ แต่เขาก็ให้การดูแลนางค่อนข้างดี ในบางด้านถึงขนาดเรียกได้ว่าทำตามทุกความต้องการเลยทีเดียว
ในเวลาหนึ่งปีที่ฉินโยวโยวแยกจากอาจารย์นี้ นางพาสัตว์วิเศษทั้งสองตัวเที่ยวตามหาที่อยู่ของอาจารย์ด้วยตนเองเพียงลำพัง นอนกลางดินกินกลางทรายผ่านความลำบากมาไม่น้อย ต่อมาภายหลังที่ถูกสำนักเฟิ่งเสินตามจับตัวก็ยิ่งไม่ได้สำราญกับชีวิตอันเงียบสงบอิสระว่างงานอีกเลย ยามนี้นางจึงค่อยๆ เกิดความเคยชินที่จะพึ่งพาอาศัยเหยียนตี้ขึ้นมาโดยที่แม้แต่ตนเองก็ไม่ทันสังเกตเห็น กระทั่งเคยชินกับการกระทำที่ใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปในบางครั้งของเขาจนเห็นเป็นปกติแล้ว
เรื่องเดียวที่ทำให้ฉินโยวโยวไม่สบายใจก็คือก่อนนอนทุกคืนเหยียนตี้จะให้นางกินยาลูกกลอนที่บอกว่าช่วยทำให้ชีพจรแข็งแรงลงไปหนึ่งเม็ด หลังกินแล้วนอกจากจะหลับสนิทเป็นพิเศษก็ไม่มีอะไรที่ชวนให้รู้สึกไม่สบาย บัดนี้นางไม่อาจรวบรวมลมปราณได้ จึงได้แต่อาศัยความรู้สึกในการตัดสินสภาพร่างกายของตนเอง นางเองก็ไม่แน่ใจว่ายาที่นางกินเป็นยาบำรุงจริงๆ หรือเป็นพวกยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้ากันแน่
ทุกครั้งเหยียนตี้ล้วนต้องเห็นนางกินยาลงไปกับตาและแน่ใจว่ายาออกฤทธิ์แล้วเขาถึงจะจากไป นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะแอบเก็บยาลูกกลอนไว้ให้ต้าจุ่ยลอบตรวจดูว่าเป็นยาอะไรเสียด้วยซ้ำ
กลางคืนนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา กลางวันก็อยู่ข้างกายเหยียนตี้ นางปลีกตัวไปที่ใดไม่ได้ง่ายๆ เลย หาได้ยากยิ่งกว่าฉินโยวโยวจะสบโอกาสหารือกับต้าจุ่ยและเสี่ยวฮุยได้ แต่ก็ล้วนเดากันไม่ออกว่าเหยียนตี้มีเจตนาอะไรกันแน่ ทำได้เพียงใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันด้วยความกระวนกระวาย
อย่างน้อยยามนี้เหยียนตี้ก็ดูไม่เหมือนจะลงมือทำอันตรายนาง หากเขาต้องการทำร้ายนางจริงก็ไม่จำเป็นต้องจับตามองนางกินยาทุกวันให้ยุ่งยากหรอก แต่หากกล่าวว่าเหยียนตี้ทำด้วยเจตนาดีโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง ก็คล้ายว่าจะพูดไปทางนั้นไม่ได้
คนทั้งสองเพียงแค่ประสบพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น เขาจะเต็มใจจนถึงขั้นบังคับยัดเยียดความหวังดีให้กับคนแปลกหน้าผู้หนึ่งไปไย
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ฉินโยวโยวคิดจะพาต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยจากไปตามหาจอมแพทย์ด้วยตนเอง ทว่าตามข่าวที่ต้าจุ่ยสืบมาจากนกตัวอื่นตามทาง ยังคงไม่ทราบสถานที่อยู่ที่แน่ชัดของจอมแพทย์ แต่กลายเป็นว่าบริเวณใกล้ๆ พวกนางมีร่องรอยความเคลื่อนไหวของหน่วยสอดแนมสำนักเฟิ่งเสินปรากฏขึ้นไม่น้อยแทน
เห็นได้ชัดว่าเฟิงกุยอวิ๋นหรือควรบอกว่าสำนักเฟิ่งเสินยังไม่ล้มเลิกความคิดจะจับตัวนาง
เหยียนตี้บอกเป็นมั่นเหมาะว่าปล่อยข่าวออกไปแล้ว จอมแพทย์จะต้องมาหาเขาถึงเมืองจื่อเยี่ยเองภายในไม่กี่เดือน เขาเคยแสดงความสามารถอันน่ากลัวของเขาให้เห็นแล้วหลายครั้ง ฉินโยวโยวจึงไม่มีความคิดเป็นอื่น ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เขาชั่วคราว
วันนี้คนทั้งคณะมาถึงเมืองจื่อเยี่ยซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเซียงเยวี่ยในที่สุด ฉินโยวโยวเลิกม่านรถม้าขึ้นพลางมองดูประตูเมืองขนาดใหญ่และป้อมปราการที่สูงตระหง่านซึ่งอยู่ทางด้านหน้า รวมถึงผู้คนหลากหลายที่สัญจรขวักไขว่อยู่บริเวณประตูเมือง ฉับพลันนางก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมารางๆ
เบื้องหลังการกระทำอันแปลกประหลาดต่างๆ ของผู้มีพระคุณปีศาจมีจุดประสงค์ใดซ่อนอยู่กันแน่ อีกไม่นานก็น่าจะเปิดเผยให้รู้แล้ว…
ฉินโยวโยวเก็บสายตากลับ ครั้นหันหน้ากลับมาก็มองเห็นเหยียนตี้กำลังมองดูนางนิ่งๆ ในสายตามีแววประหลาดที่นางบรรยายไม่ถูกปรากฏอยู่ ทำให้นางนึกกลัวขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
นางพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยิ้มปะเหลาะพลางขอคำปรึกษา “ฐานะของข้าไม่สะดวกจะเปิดเผย ท่านเก็บความลับให้ข้าได้หรือไม่”
เหยียนตี้พยักหน้า ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ได้”
“คือว่า…ข้ามีเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยกับเซิ่งผิงชินอ๋อง เขาเป็นญาติของท่านกระมัง ท่านอย่าเอ่ยถึงข้าต่อหน้าเขาเป็นอันขาด…ได้หรือไม่” ฉินโยวโยวบอกความต้องการที่ชัดเจนขึ้น
เหยียนตี้เหลือบมองนางปราดหนึ่ง ก่อนพูดยิ้มๆ “ได้”
เขาไม่ยิ้มก็ยังดี พอยิ้มทีกลับทำให้ฉินโยวโยวตกใจจนสะดุ้ง นางรู้จักผู้มีพระคุณปีศาจมาสองเดือน ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขายิ้ม ช่าง…ช่าง…น่ากลัวเกินไปจริงๆ!
ไฉนจึงมีคนที่ยิ้มแล้วดูน่าสะพรึงชวนให้ขนหัวลุกถึงเพียงนี้ได้
ที่เขาทำหน้าไร้ความรู้สึกนับเป็นเรื่องถูกต้องแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นจะทำคนตกใจมากเพียงไร!
ฉินโยวโยวกุมหัวใจดวงน้อยที่เต้นรัวแรงไม่เป็นส่ำ ตกใจจนลืมคิดเรื่องสาเหตุที่ผู้มีพระคุณปีศาจเผยยิ้มออกมากะทันหันไป
หลังจากรถม้าเข้าเมืองก็วิ่งต่ออีกครู่ใหญ่ถึงค่อยหยุดลง ฉินโยวโยวคาดผ้าคลุมหน้า หิ้วตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่เสี่ยวฮุยกับต้าจุ่ยไว้ขึ้นมา เดินลงจากรถม้าโดยมีเหยียนตี้คอยประคอง ก่อนจะเดินตามเขาไป
เบื้องหน้าคือลานเล็กที่ปูด้วยศิลาขาว สุดทางเป็นประตูทองเหลืองบานใหญ่โอ่อ่าที่มีองครักษ์และบ่าวรับใช้ยืนอยู่เต็ม ชุดเกราะเป็นเงาวับ ท่าทางดูกระฉับกระเฉง
ฉินโยวโยวเลื่อนสายตาขึ้นด้านบน มองเห็นป้ายบนประตูใหญ่ก็ตกใจอย่างหนักจนหวิดจะซวนเซหกล้ม
ป้ายเหล็กสีดำทะมึนมีอักษรปิดทองตัวใหญ่เขียนไว้ห้าตัว เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง… ‘จวนเซิ่งผิงชินอ๋อง’
“เหตุใดไม่เดินเล่า” เสียงของเหยียนตี้คล้ายดังมาจากยมโลก
ฉินโยวโยวหัวเราะแห้งๆ สองที ก่อนถามอย่างไม่หวังอะไรนัก “เอ่อ จวนแห่งนี้…ท่านจะมาเยี่ยมญาติใช่หรือไม่ ขะ…ข้าจะรอท่านบนรถ…”
เหยียนตี้หันหน้ากลับมาช้าๆ ตอบออกมาทีละคำ “นี่คือจวนของข้า”
บนใบหน้าเขายังคงราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ฉินโยวโยวรู้สึกว่าเขากำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกและน่าสะพรึงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
นางหดคอแทบอยากจะหันหลังโกยแน่บไปเสียประเดี๋ยวนี้ หากแต่…
มือของเหยียนตี้ไม่รู้จับนางไว้ตั้งแต่เมื่อไร เขากุมมือนางไว้แล้ว แม้ไม่แน่นแต่ก็มิได้หลวมจนนางสะบัดหลุดได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉินโยวโยวไม่มีความกล้าพอจะออกแรงสะบัดเช่นกัน
ยังไม่ทันเข้าจวนเซิ่งผิงชินอ๋อง นางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารเข้มข้นรุนแรงจากบริเวณรอบจวนอ๋องได้อย่างชัดเจนแล้ว นอกจากบรรดาคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าใกล้ๆ นี้ยังมีองครักษ์ซุ่มอยู่อีกเท่าไร ขอเพียงนางมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ จะต้องกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของทุกคนแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าคนที่จับนางอยู่ในยามนี้คือเหยียนตี้ ต่อให้นางไม่ได้กินลูกกลอนสลายพลังลงไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
“น้อมรับท่านอ๋องเสด็จกลับจวน!” เสียงกล่าวทักทายของเหล่าองครักษ์และบ่าวรับใช้ที่หน้าประตูบานใหญ่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบหนวก ทว่าฉินโยวโยวกลับรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างอยู่ห่างไกลจากตนเองมากนัก ฟังดูเลื่อนลอยมิใช่ความจริงอย่างไรอย่างนั้น
เหยียนตี้จูงมือนางเดินเข้าประตูจวนไปทีละก้าวโดยไม่อนุญาตให้นางปฏิเสธ ทุกที่ที่เดินผ่านล้วนมีเสียงกล่าวทักทายดังไม่ขาดหู
ครืน! ประตูใหญ่สองบานซึ่งหล่อจากทองเหลืองและมีความหนามากกว่าอิฐก่อกำแพงที่ด้านหลังปิดลงอย่างแน่นหนา เมื่อฉินโยวโยวฟังเสียงนั้นจากหูของตนเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับคนเป็นที่นอนในโลงแล้วได้ยินเสียงฝาโลงถูกตอกปิด
ข้ามันโง่!
เป็นหมูโง่ที่เห็นศัตรูเป็นผู้มีพระคุณอย่างโง่งม เอาตัวมาติดกับแล้วยังหลงนึกว่าได้เจอดาวช่วยชีวิต!
ฉินโยวโยวคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็แทบอยากจะทรุดร่างลงกับพื้นแล้วร้องไห้ สถานการณ์ในตอนนี้ยังแย่กว่าตกอยู่ในเงื้อมมือของสำนักเฟิ่งเสินเสียอีก แม้ว่าคนสำนักเฟิ่งเสินจะวิปริต แต่ก็ไม่เคยมีความแค้นทั้งในอดีตและปัจจุบันกับนาง อีกทั้งยังนับว่ามีเรื่องต้องขอร้องนางเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่บุรุษผู้ที่จับมือนาง และกำลังลากนางเข้าสู่กองไฟในถ้ำเสืออยู่นี้ กลับเป็นผู้ที่นางเคยล่วงเกินไว้อย่างมากเมื่อหนึ่งปีก่อน
หากคุกในจวนอ๋องแห่งนี้จะมีเครื่องทรมานรอนางอยู่ นางก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
เหตุใดข้าถึงได้โชคร้ายเพียงนี้!
เหยียนตี้พอใจยิ่งยวดต่อ ‘ความหมดทางสู้’ ของฉินโยวโยว เขาจูงมือนางเดินทะลุเรือนส่วนหน้าไปยังเรือนส่วนใน สุดท้ายก็เดินเข้าห้องหนังสือห้องหนึ่ง
ฉินโยวโยวรวบรวมสติ นางลอบโล่งอก…ยังดีที่เป็นห้องหนังสือมิใช่คุกใต้ดินอย่างที่เข้าใจ เช่นนี้ก็หมายความว่านางน่าจะยังมีโอกาสเจรจาต่อรองกับเขาได้
ก็จริง สตรีอ่อนแอเช่นข้า ซ้ำยังเป็นสาวงามแห่งยุคนางหนึ่ง ไม่ว่าบุรุษคนใดก็คงยากจะหักใจลงมือโหดร้ายกับข้าได้ลงกระมัง หากผู้มีพระคุณปีศาจต้องการทำร้ายข้าก็ไม่เห็นต้องทำดีกับข้ามาตลอดทางหรอก…ฉินโยวโยวคิดแล้วก็อดรู้สึกโชคดีขึ้นมาไม่ได้
“พวกเราอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่สักหน่อย…” เป็นสตรีต้องรู้ว่าเมื่อใดควรถอย ฉินโยวโยวตัดสินใจถือโอกาสยอมแพ้รับผิดก่อนที่อีกฝ่ายจะบันดาลโทสะ
มาถึงเวลานี้แล้ว ต่อให้นางโง่งมเพียงใดก็ไม่มีทางหวังเพ้อพกว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่านางก็คือคนที่มีเรื่องขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรงเมื่อหนึ่งปีก่อน
“หืม? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กๆ?” เสียงของเหยียนตี้เย็นยะเยือกขึ้น ซึ่งยังคงเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม
ฉินโยวโยวกลอกลูกตาไปมา พยายามครุ่นคิดว่าควรทำเช่นไรถึงจะทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กแล้วทำเรื่องเล็กให้จบกันไปได้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำให้ปีศาจร้ายตรงหน้าผู้นี้ไม่คิดถึงความแค้นเก่า ลืมเรื่องที่นางเคยล่วงเกินเขาโดยไม่ตั้งใจในอดีตไปเสีย
“สมคบโจรชั่ว ต่อต้านกองทัพราชสำนัก ผิดคำพูดไม่รักษาสัญญา ดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์อย่างโจ่งแจ้ง เป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ?” เหยียนตี้ไล่ต้อน แต่ละคำล้วนคมกริบดั่งใบมีด
“สวรรค์มีเมตตาต่อสรรพสัตว์…พวกเขาล้วนล้างมือเลิกเป็นโจรนานแล้ว เป็นท่านชัดๆ ที่หมายตาขุมทรัพย์ของราชวงศ์ก่อนที่อยู่ด้านหลังค่ายภูเขา อีกอย่างสองทัพประจันหน้ากัน การจะใช้อุบายมิใช่เรื่องปกติยิ่งหรือไร ขะ…ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ข้าไม่รู้ว่าสัญลักษณ์มือนั้นจะ…จะมีความหมายเช่นนั้น…” ฉินโยวโยวโต้แย้งเสียงแผ่ว
“เจ้าหมายความว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของข้า?”
“มิใช่ๆ ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง แล้ว…ท่านคิดจะทำเช่นไร” ฉินโยวโยวพูดอย่างจนใจ
เหยียนตี้มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าสนองโทษด้วยคุณ ช่วยเจ้ารวมถึงสัตว์วิเศษของเจ้าเอาไว้หลายครั้ง การจะให้เจ้าทำงานให้ข้าก็ถือเป็นการสมควร”
ฉินโยวโยวระแวงระวังขึ้นมาทันใด “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”
“ข้างใต้สวนดอกไม้ในจวนอ๋องมีคลังสมบัติอยู่แห่งหนึ่ง ข้าคิดจะหาคนที่ไว้ใจได้มาติดตั้งกับดักกลไกขึ้นใหม่”
“เพียงเท่านี้?” นี่จะง่ายเกินไปแล้วกระมัง! ฉินโยวโยวไม่อยากเชื่อในความโชคดีของตนเองแม้แต่น้อย ทว่าคิดอีกทีก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล!
“ท่านคงมิได้คิดจะรอข้าติดตั้งกับดักกลไกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สังหารข้าปิดปากกระมัง” ฉินโยวโยวถามด้วยท่าทางอกสั่นขวัญแขวน ฝีมือฆ่าคนไม่กะพริบตาของเหยียนตี้นั้นนางได้เห็นมาหลายครั้งระหว่างทาง เรื่องที่เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงเหล่านี้ชอบทำที่สุดก็คือฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง*
“วางใจเถอะ ไว้ชีวิตเจ้ายังมีประโยชน์มากกว่า”
“ประโยชน์อะไร” ฉินโยวโยวถาม
ไม่ว่ามองอย่างไร เหยียนตี้ก็ไม่เหมือนคนที่ใจกว้าง หากไม่ถามแผนการของเขาให้รู้เรื่อง นางก็ไม่อาจสบายใจได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.