X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักราชันใต้อาณัติ

ทดลองอ่าน ราชันใต้อาณัติ บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 5

แม้จะกลัว แต่ในใจฉินโยวโยวกลับมีความคิดประหลาดข้อหนึ่งผุดวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้…เขาไม่ทำร้ายข้าจริงๆ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ที่มาของความเชื่อมั่นนี้

เหยียนตี้ไม่ได้ตอบคำถามของฉินโยวโยว เพียงแต่ชี้ชุดน้ำชาบนโต๊ะ ฉินโยวโยวเข้าใจความหมายในทันที นางรินชาให้เขาถ้วยหนึ่งอย่างว่าง่าย แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็ไม่พอใจอยู่บ้าง จึงรินให้ตนเองอีกถ้วย

เหยียนตี้มองดูการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของฉินโยวโยว ในใจมีความขบขันอยู่หลายส่วน เขาดื่มชาหอมกรุ่นที่คนงามส่งให้ด้วยมือตนเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบภาพม้วนหนึ่งจากบนชั้นหนังสือที่อยู่ด้านข้างมายื่นส่งให้พลางเอ่ยว่า “นี่คือแบบร่างของคลังสมบัติ แต่ไม่มีเครื่องหมายระบุถึงตำแหน่งของกับดักกลไกที่มีอยู่เดิม เจ้านำกลับไปคิดให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปดูข้างในคลัง”

ท่าทีของเหยียนตี้แสดงชัดแล้วว่าไม่คิดจะเปิดเผยไปมากกว่านี้ ฉินโยวโยวกัดริมฝีปาก นางเอ่ยถาม “ที่ท่านว่าจะหาตัวจอมแพทย์ให้ข้าเป็นความจริงหรือไม่” เรื่องนี้สำคัญต่อนางอย่างมาก

เหยียนตี้ยื่นมือมาถอดผ้าคลุมหน้าของฉินโยวโยว แล้วตอบเสียงเข้ม “การจะพาตัวเจ้ากลับมานั้นเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องหลอกเจ้าเลย”

ครั้นได้ยินคำตอบนี้ ในใจฉินโยวโยวก็โล่งขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ จากนั้นถึงได้พบว่าส่วนลึกภายในใจตนเองถึงกับกลัวอย่างยิ่งว่าเหยียนตี้จะยอมรับว่าหลอกนาง ส่วนสาเหตุนั้นนางก็ไม่ค่อยกระจ่างชัดนัก น่าจะเป็นเพราะหลังจากที่อาจารย์หายตัวไป นางก็เพิ่งได้พบคนที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยและพึ่งพาอาศัยได้เป็นครั้งแรก

ในสมองนางตอนนี้สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อเขาต่อไปหรือไม่ เพียงคิดว่าก่อนหน้านี้เหยียนตี้อ้างกับนางว่าตนเองชื่อเหยียนหย่งเล่อ นางก็อดจะโมโหขุ่นเคืองไม่ได้ “ท่านบอกว่าท่านชื่อเหยียนหย่งเล่อ…” ท่านปิดบังฐานะมาตลอดทางไม่นับว่าหลอกกันหรือไร!

เหยียนตี้ยื่นมือมาเชยคางฉินโยวโยว เขามองตานางพลางกล่าว “ข้าแซ่เหยียน นามว่าตี้ ชื่อรองหย่งเล่อ เจ้าต้องจำไว้ให้ดี”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “อีกหนึ่งเดือนเวทีประลองสุดยอดฝีมือก็จะจัดขึ้นแล้ว ผู้คนในเมืองจื่อเยี่ยมาจากหลายที่ มีคนหลายประเภทปะปนกัน ไม่มีอะไรก็อย่าออกไปข้างนอก” เหยียนตี้พูดจบก็ยกมือให้สัญญาณเหลียงลิ่งเข้ามาพาฉินโยวโยวไปพักผ่อน

นี่นับว่าข้าถูกกักบริเวณแล้ว? ฉินโยวโยวเดินตามเหลียงลิ่งออกจากห้องหนังสือด้วยอารมณ์อันสลับซับซ้อน เดินได้ครู่หนึ่งนางก็ได้ยินเหลียงลิ่งพูดขึ้นยิ้มๆ “ถึงแล้ว แม่นางโปรดดูก่อนว่าเรือนนี้ยังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่ ข้าจะสั่งให้คนส่งมา”

ฉินโยวโยวตอบรับในลำคอเสียงหนึ่งก่อนเงยหน้ามอง ‘ห้องขัง’ ของตนเอง ครั้นมองแล้วก็อดตกตะลึงไปไม่ได้…ห้องขังนี้จะหรูหราโอ่อ่าเกินไปแล้วกระมัง!

ตอนนี้ฉินโยวโยวยืนอยู่กลางสวนดอกไม้งดงามแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีดอกไม้บานสะพรั่ง ศาลาอันงามวิจิตรตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่และภูเขาจำลองอย่างโดดเด่น ในสระบัวด้านหนึ่งของลานเรือนมีดอกบัวสีหยกขนาดเท่าชามน้ำแกงผลิบานอยู่จำนวนมาก กลิ่นหอมสดชื่นฟุ้งกำจายไปทั่วทิศ

ดอกบัวชนิดนี้มีชื่อว่า ‘กลีบหยกเก้าบุตร’ ในเรือนที่ฉินโยวโยวกับอาจารย์อาศัยก็มีอยู่หนึ่งต้น จอมแพทย์เป็นผู้ให้มา กล่าวกันว่ามันเป็นสมุนไพรวิเศษหายาก มีค่าอย่างมาก ทว่าผู้มีพระคุณปีศาจถึงกับปลูกมันส่งๆ ไว้ในลานเรือนที่ใช้กักบริเวณนักโทษ นี่คือไม่รู้คุณค่าของสิ่งของหรือตั้งใจอวดรวยกันแน่!

เรือนเช่นนี้ใช้รับรองแขกคนสำคัญออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ

เหลียงลิ่งเห็นฉินโยวโยวจ้องดอกบัวในสระก็ยิ้มพลางกล่าวแนะนำ “นี่เป็นของที่ระหว่างทางนายท่านทรงเขียนจดหมายสั่งให้นักปรุงยาในจวนย้ายมาปลูกไว้ที่นี่โดยเฉพาะ กล่าวว่าหากได้ดมกลิ่นหอมนี้ทุกวันจะส่งผลดีต่อร่างกายของแม่นางฉิน”

ความห่วงใยที่ผู้มีพระคุณปีศาจมีต่อความแข็งแรงของร่างกายฉินโยวโยวได้ถึงระดับที่ชวนให้หนังศีรษะคนชาหนึบแล้ว ฉินโยวโยวพยักหน้ารับอย่างทึ่มทื่อ นอกจากนางจะไม่ได้ซาบซึ้งดีใจเหมือนที่เหลียงลิ่งคิดเอาไว้แล้ว กลับยิ่งมีท่าทีที่ดูเป็นกังวลและสงสัยขึ้นกว่าเดิม

แต่เหลียงลิ่งก็ไม่ได้ผิดหวัง เขานำทางนางไปยังเรือนพัก ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางลานเรือน หน้าเรือนพักมีสตรีวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงคนหนึ่งยืนอยู่กับแม่นางน้อยที่อายุราวสิบขวบอีกคน ซึ่งกำลังเบิกตากว้างพินิจมองนาง

เหลียงลิ่งก้าวไปหาพวกนางก่อนกล่าวแนะนำ “ท่านนี้คือแม่นางฉิน ฉินโยวโยว เป็นแขกคนสำคัญของท่านอ๋อง ต้องรบกวนเหวยเหนียงกับเสี่ยวถิงฮวาดูแลชั่วคราวด้วย”

พูดจบก็กล่าวกับฉินโยวโยว “สตรีท่านนี้แซ่ตู้นามเหวยเหนียง เป็นพระนมของท่านอ๋อง เสี่ยวถิงฮวาเป็นหลานสาวของนาง แม่นางฉินมีความต้องการใดก็บอกข้าหรือขอให้พวกนางช่วยเหลือได้ เหวยเหนียงเป็นผู้ที่ท่านอ๋องทรงไว้เนื้อเชื่อพระทัยและให้ความสำคัญยิ่งยวด ในจวนไม่เคยมีนายหญิงมาก่อนจึงไม่ได้ตระเตรียมสาวใช้เอาไว้ ทำให้การปรนนิบัติรับรองแม่นางฉินต้องขาดตกบกพร่องแล้ว อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องจะทรงจัดการให้ใหม่”

ฉินโยวโยวพลันนึกย้อนกลับไป คล้ายกับว่าตั้งแต่นางเข้าจวนอ๋องมาก็ไม่เคยเห็นสาวใช้หรือบ่าวหญิงแม้แต่ครึ่งคนจริงๆ หากมิใช่องครักษ์และบ่าวชาย ก็มีแต่ขันที แปลกโดยแท้ แม้แต่บ้านคนมีอันจะกินทั่วไปก็ยังมีสาวใช้อย่างน้อยสองสามคน ไฉนจวนอ๋องที่สง่าผ่าเผยเช่นนี้กลับมีสตรีที่เป็นบ่าวก็มิใช่เจ้านายก็ไม่เชิงอยู่แค่เพียงสองคนเองเล่า

เสี่ยวถิงฮวากะพริบตาก่อนพูดเสียงดัง “พี่โยวโยวงดงามยิ่ง ใช่เป็นพระชายาที่ท่านอ๋องมีพระประสงค์จะอภิเษกสมรสด้วยหรือไม่”

“ข้าแค่มาเป็นแขก…” ฉินโยวโยวรีบแก้ไขความเข้าใจผิด นางเป็นนักโทษที่มีความผิดติดตัวชัดๆ ทว่าเหลียงลิ่งให้เกียรตินางถึงเพียงนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องเปิดบาดแผลของตนเอง

เสี่ยวถิงฮวามองฉินโยวโยวก่อนมองท่านย่าของตนเอง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความสงสัย “ท่านอ๋องทรงไม่เคยพาหญิงสาวกลับมาก่อนเลย”

“บังเอิญน่ะ บังเอิญ ท่านอ๋องมีบางเรื่องต้องการให้ข้าทำพอดี” หรือว่าผู้มีพระคุณปีศาจจะเป็นภิกษุที่กลับมาเกิดใหม่

“พี่โยวโยว ท่านกลัวท่านอ๋องหรือไม่” เสี่ยวถิงฮวามีคำถามออกมาอย่างต่อเนื่อง

“…” ยามนี้ฉินโยวโยวหวาดกลัวเหยียนตี้อย่างมาก เพียงแต่นางลดศักดิ์ศรีตนเองไปยอมรับไม่ได้

“เอาล่ะ พี่โยวโยวของเจ้าเพิ่งจะมาถึง ย่าจะพานางไปดูรอบๆ ก่อน ประเดี๋ยวสายหน่อยเจ้าค่อยมาเล่นกับนาง” ตู้เหวยเหนียงมองฉินโยวโยวมาครู่หนึ่งแล้ว สายตานางแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง ในที่สุดก็เอ่ยปากคลี่คลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้นาง

คนที่เสี่ยวถิงฮวาเห็นในยามปกติ นอกจากท่านย่าแล้วก็ล้วนมีแต่บุรุษ จู่ๆ ได้พบฉินโยวโยวเช่นนี้ นางจึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่านางเชื่อฟังคำของท่านย่าอย่างมาก ไม่ได้ซักไซ้ต่อจริงๆ

ฉินโยวโยวนึกถึงสถานการณ์ของตนเองแล้วก็ตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับสองย่าหลานนี้ให้ดี จึงประคองตะกร้าในมือตนเองพลางยื่นไปตรงหน้าเสี่ยวถิงฮวา “สัตว์วิเศษสองตัวของข้ากำลังหลับอยู่ รอพวกมันตื่นแล้วก็สามารถเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้”

แม้จะมองไม่ออกว่ากระต่ายตัวหนึ่งกับนกที่เหมือนอีกาอีกตัวที่อยู่ในตะกร้านี้มีอะไรโดดเด่น ทว่าพวกมันล้วนแต่เป็นสัตว์วิเศษ! เสี่ยวถิงฮวาดวงตาสว่างวาบ นางออกแรงพยักหน้าก่อนกระโดดโลดเต้นจากไป

เหลียงลิ่งฝากฉินโยวโยวให้ตู้เหวยเหนียงดูแล ตู้เหวยเหนียงจึงพานางเดินเข้าเรือนพักพลางกล่าวยิ้มๆ “เรือนนี้ยังไม่มีชื่อ คนในจวนเห็นเรือนนี้อยู่ข้างเรือนศิลาของท่านอ๋อง จึงเรียกที่นี่เป็นการส่วนตัวว่าเรือนศิลาน้อย”

จวบจนบัดนี้ฉินโยวโยวก็ยังไม่รู้สึกว่ามีใครภายในจวนมีท่าทีเป็นอริกับตนเองเลย เมื่อนางรู้สึกผ่อนคลายแล้วจึงมีแก่ใจมาพินิจดูห้องขังอันหรูหราโอ่อ่าของตนเองในที่สุด ยังไม่พูดถึงการตกแต่งอันงามวิจิตรของเรือนพักแห่งนี้ ลำพังแค่เครื่องเรือนเครื่องใช้ภายในเรือนก็ดูงดงามมีระดับ แฝงด้วยความโดดเด่นเป็นสง่าดูหรูหราสูงส่ง ล้วนแต่ดูเป็นของใหม่

ตู้เหวยเหนียงดูมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา พอเห็นสายตาของฉินโยวโยวเลื่อนไปหยุดที่เครื่องเรือนของตกแต่งก็พูดขึ้นด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ “ท่านอ๋องมีจดหมายกลับมาแจ้งว่าจะทรงพาแขกสตรีท่านหนึ่งกลับมาที่จวน ให้ข้าตระเตรียมของให้พร้อม ของเหล่านี้ล้วนเป็นข้าเลือกมาจากกองช่างหลวงในวัง ล้วนแต่เป็นของที่ช่างหลวงทำขึ้นใหม่ทั้งหมด”

“ท่านเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ” ฉินโยวโยวยิ้มขื่นในใจ ท่านป้าท่านนี้จะต้องเข้าใจเจตนาของผู้มีพระคุณปีศาจผิดไปแน่ คงนึกว่าผู้ที่มาเป็นแขกคนสำคัญจริงๆ แต่สามารถยกประโยชน์ให้นางเสพสุขได้เช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

ผู้มีพระคุณปีศาจน่าจะยังไม่ทำอันตรายนางไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ฉินโยวโยวก็ยังรู้สึกตลอดว่าจะต้องมีแผนร้ายอะไรบางอย่างกำลังรอนางอยู่ข้างหน้า

“ท่านอ๋องทรงพาอาคันตุกะกลับมาทั้งที ซ้ำยังเป็นแม่นางน้อยที่งดงามถึงเพียงนี้ หึๆๆ…” สีหน้าของตู้เหวยเหนียงดูตื่นเต้นดีใจจนชวนให้คนขนลุกอยู่บ้าง เสียงหัวเราะแหลมราวกับเป็นเสียงแม่ไก่แก่ที่เพิ่งออกไข่ ทำเอาฉินโยวโยวขนลุกขนพอง

เสียงหัวเราะนี้ฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก เหมือนกับ…เหมือนกับเสียงหัวเราะที่นางเคยได้ยินตอนอาจารย์พานางเดินผ่านหอโคมเขียวแห่งหนึ่ง ตอนนั้นมีแม่เล้าอายุมากซึ่งกลิ่นเครื่องประทินโฉมบนร่างสามารถรมคนจนตายเปล่งเสียงหัวเราะออกมา

ตู้เหวยเหนียงพาฉินโยวโยวเดินทั่วเรือนพักรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ซักถามถึงเรื่องว่านางกับเหยียนตี้รู้จักกันได้อย่างไรจนกระจ่าง

ฉินโยวโยวย่อมไม่บอกออกไปทุกเรื่อง อย่างน้อยเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนของคนทั้งสองก็ไม่อาจบอกออกไปได้ ส่วนเรื่องที่นางเป็นศิษย์ของมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อนั้น พิจารณาตามคำบอกเป็นนัยของเหลียงลิ่งเมื่อครู่นี้แล้ว ก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องนี้กับตู้เหวยเหนียง

หลังตู้เหวยเหนียงฟังจบก็ยิ่งมีท่าทีอบอุ่นจริงใจกว่าเดิม แน่นอนว่านางก็หัวเราะได้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน “ที่แท้ก็เป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามนี่เอง ทั้งท่านยังเดินทางไกลเป็นพันหลี่ติดตามท่านอ๋องกลับมาถึงที่จวน หึๆๆ คงจะอยากฝากกายฝากใจไว้กับท่านอ๋องเป็นแน่แท้กระมัง”

ฉินโยวโยวตกใจจนสะดุ้งโหยง “ไม่ใช่ๆ ตัวข้าถูกพิษ ท่านอ๋องของพวกท่านสามารถหาตัวจอมแพทย์มารักษาข้าได้ ข้าถึงได้ตามเขากลับมา”

“ไม่ต้องเขินอายไป ข้าสนับสนุนท่าน!”

“ไม่ใช่จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านอ๋องของพวกท่านมิได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”

ตู้เหวยเหนียงยิ้มละไมพลางตบแขนฉินโยวโยวเบาๆ ก่อนกล่าวอย่างขอไปที “เอาล่ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แม่นางน้อยก็หน้าบางเช่นนี้แหละ ร่างกายท่านผอมเกินไปแล้ว ต้องบำรุงให้ดีสักหน่อย! ต่อไปอยากกินอะไรก็มาหาข้าได้เลย ข้ากับเสี่ยวถิงฮวาอยู่ที่เรือนด้านหลัง”

ฉินโยวโยวหมดคำพูดอย่างยิ่ง ทว่าพอคิดดูอีกที ผู้อื่นเห็นนางเป็นว่าที่พระชายาอย่างไรก็ดีกว่าเห็นนางเป็นนักโทษที่เคยลบหลู่ท่านอ๋อง อย่างน้อยก็ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่ามาก ถึงอย่างไรนางก็อธิบายไปแล้ว หากผู้อื่นไม่เชื่อ นางก็จนปัญญา ไม่นับว่านางหลอกลวงคนแต่อย่างใด

ส่งตู้เหวยเหนียงจากไปแล้ว ฉินโยวโยวก็หิ้วตะกร้าไม้ไผ่ที่ข้างประตูขึ้นมา ก่อนจะเห็นต้าจุ่ยสะบัดขนพลางลืมตาข้างหนึ่งแอบมองสถานการณ์ด้านนอกด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ

“ไม่ต้องแกล้งแล้ว คนเขาไปแล้ว!” ฉินโยวโยวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้านี่ตื่นนานแล้วแท้ๆ กลับแกล้งหลับให้นางรับมือกับผู้มีพระคุณปีศาจอยู่คนเดียว ไร้คุณธรรมน้ำใจเกินไปแล้วจริงๆ

ต้าจุ่ยเด้งตัวขึ้นมาแล้วกระพือปีกบินไปเกาะบนชั้นวางของเบื้องหน้าฉินโยวโยว มันมองซ้ายแลขวาเล็กน้อยก่อนพูดอย่างไม่ละอายใจ “คมในฝัก ซ่อนเร้นกำลังความสามารถในยามเหมาะสมจึงจะเป็นหนทางคว้าชัยของผู้มีปัญญา”

“เจ้าซ่อนคมเสียลึกถึงเพียงนั้น แน่ใจหรือว่ายังชักออกมาแสดงได้” ฉินโยวโยวพูดอย่างดูแคลน

“การทำความเข้าใจขีดขั้นระดับของข้านั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า มาคุยกันก่อนดีกว่าว่าเจ้าไปล่วงเกินดาวพิฆาตผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไร” ต้าจุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างสอดรู้สอดเห็น

เจ้านี่ตื่นมาอย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ตอนที่ข้ากับผู้มีพระคุณปีศาจเข้าไป ‘คุยกัน’ ในห้องหนังสืออย่างที่คิดจริงๆ!

ฉินโยวโยวถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้าจำเรื่องเมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ที่ท่านอาเฉียวเขียนจดหมายมาเปรยกับอาจารย์ว่าค้นพบถ้ำศิลาแห่งหนึ่งด้านหลังน้ำตกที่อยู่ทางเหนือของค่ายภูเขาของพวกเขา ด้านในมีกับดักกลไกร้ายกาจ จึงสงสัยว่าภายในถ้ำจะมีขุมทรัพย์ของราชวงศ์ก่อน”

“จำได้สิ! ภายหลังเจ้ายังได้ช่วยชีวิตคนทั้งหมดในค่ายภูเขาของเฉียวมู่ฉาไว้ด้วย…หืม! ที่นี่คือจวนเซิ่งผิงชินอ๋อง?!” ต้าจุ่ยระลึกถึงเรื่องในอดีตที่ฉินโยวโยวเคยเล่าให้เขาฟัง ก่อนจะพลันแจ้งใจในบัดดล

หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ ฉีเทียนเล่อกับต้าจุ่ยออกไปข้างนอกหลายวันยังไม่กลับ ฉินโยวโยวกำลังเบื่อพอดีจึงทิ้งเสี่ยวฮุยไว้เฝ้าบ้าน แล้วตนเองก็ตรงไปค่ายภูเขาของเฉียวมู่ฉาเพียงคนเดียวเพื่อจะดูกับดักกลไกร้ายกาจที่เขาว่ากัน นางทำการศึกษาค้นคว้าอยู่ข้างในถ้ำศิลาแห่งนั้นได้สิบกว่าวันก็สะเดาะกับดักกลไกข้างในได้จนหมดสิ้น แต่ครั้นนางพาคนของค่ายภูเขาเข้าไปในขุมทรัพย์ถึงได้พบว่าด้านในว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคลังสมบัติสร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้ใช้หรือว่าเคยถูกคนให้เกียรติมาขนย้ายไปก่อนแล้วกันแน่

ทุกคนที่มีความหวังเต็มเปี่ยมกลับต้องผิดหวัง แต่มิได้เก็บมาใส่ใจเท่าไรนัก ฉินโยวโยวเองตั้งใจว่าจะกลับบ้าน แต่จู่ๆ ค่ายภูเขาทั้งค่ายกลับมีกองทหารของแคว้นเซียงเยวี่ยมาปิดล้อม ผู้นำทัพก็คือเซิ่งผิงชินอ๋องเหยียนตี้ผู้มีชื่อเสียงโหดร้ายดังกระฉ่อน

ฉินโยวโยวอาศัยอยู่บนเขามาตั้งแต่เล็ก นางจึงไม่ได้สนใจต่อผู้คนและเรื่องราวของโลกภายนอกนัก แต่พวกเฉียวมู่ฉารู้ดีถึงความร้ายแรงในเรื่องนี้ ความรู้สึกของแต่ละคนจึงล้วนหนักอึ้ง

ในอดีตพวกเขาเคยเป็นโจรมาก่อน ไม่รู้ว่าเคยปล้นขุนนางขี้ฉ้อและพ่อค้าหน้าเลือดไปตั้งเท่าไรบ้าง หัวหน้าทั้งห้าซึ่งไม่รวมเฉียวมู่ฉา ตลอดจนลูกน้องที่จงรักภักดีอีกร้อยกว่าคนล้วนแต่เป็นผู้ต้องหาตัวฉกาจในประกาศจับกุมของแคว้นเซียงเยวี่ยรวมถึงแคว้นน้อยใหญ่จำนวนมากในบริเวณโดยรอบ หากถูกจับตัวได้ ผลที่ตามมาเป็นเช่นไรก็ไม่อยากจะคิดเลย

พวกเขาล้างมืออำลาวงการมานานหลายปี ครอบครัวทั้งเด็กและคนชราล้วนพักอยู่ภายในค่าย หากมีกองทหารบุกเข้ามา ลำพังพวกเขาจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ แต่พ่อแม่บุตรภรรยาไม่ควรต้องประสบเคราะห์ภัยไปด้วย สมบัติที่สะสมมาหลายปีก็ต้องถูกริบไปสิ้นแน่นอน เด็กสตรีคนเจ็บคนชราในค่ายภูเขาต่อให้โชคดีรอดชีวิต แต่วันหน้าก็คงมีความเป็นอยู่ที่ลำบากยากแค้น

เฉียวมู่ฉาส่งคนไปพบเหยียนตี้ หวังว่าจะสามารถเจรจาเงื่อนไขที่สองฝ่ายยอมรับได้ออกมา แต่กลับพบว่าเหยียนตี้มีท่าทีแข็งกร้าวอีกทั้งยังตั้งใจมาเพื่อขุมทรัพย์ราชวงศ์ก่อนที่อยู่ในถ้ำศิลา เฉียวมู่ฉารู้ว่าต่อให้เขาบอกว่าภายในขุมทรัพย์ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด อีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อ เป็นไปได้มากว่าจะคิดว่าพวกเขาแอบเก็บสมบัติไว้เอง จุดจบของพวกเขามีแต่จะยิ่งอเนจอนาถ

ทหารแคว้นเซียงเยวี่ยเคลื่อนกำลังมา รอให้รวมตัวครบเมื่อใดก็จะบุกโจมตีทันที ลักษณะพื้นที่ของค่ายภูเขาของพวกเฉียวมู่ฉาเป็นพื้นที่อันตราย ป้องกันง่ายโจมตียาก ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ภายในสายตาของแคว้นเซียงเยวี่ย ในเมื่ออีกฝ่ายหมายมาดในขุมทรัพย์นั้นแล้ว ย่อมแข็งใจจะหักโจมตีค่ายภูเขาของพวกเขาลงให้ได้ พวกเขายันไว้ได้วันนี้ แต่พรุ่งนี้ก็ยันต่อไปไม่ไหว

เคราะห์ดีที่ฉินโยวโยวพบว่าภายในขุมทรัพย์มีทางออกลับอีกทางหนึ่ง ทั้งยังอยู่นอกวงล้อมของกองทหารพอดี ขอเพียงถ่วงเวลาไม่ให้กองทหารบุกโจมตีได้เป็นการชั่วคราว คนทั้งหมดในค่ายภูเขาก็สามารถอาศัยทางลับของขุมทรัพย์ถอยหนีได้สบาย

ด้วยเหตุนี้นางจึงร่วมวางแผนกับเหล่าหัวหน้าค่ายภูเขาอย่างพวกเฉียวมู่ฉา โดยให้รองหัวหน้าออกหน้าแสร้งทำเป็นจะหักหลังค่ายภูเขาเพื่อแลกกับความมั่งคั่งปลอดภัยของตน เขาลอบเจรจากับเหยียนตี้เป็นการลับว่าจะให้ความร่วมมือในการเปิดทางให้กองทหารเข้าโจมตีในอีกสามวัน และรับรองว่าสามารถตีค่ายแตกได้ในครั้งเดียวและจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุด

คนทั้งหมดล้วนคิดว่าค่ายภูเขาถูกล้อมจนหมดแล้ว คนข้างในไม่สามารถหนีไปที่ใดได้อีก ต้องถูกโจมตีไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ดังนั้นเหยียนตี้จึงเชื่อคำของรองหัวหน้า รั้งทัพรอลงมือในอีกสามวัน

เพียงไม่นานเวลาสามวันก็ผ่านไป ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ได้ เหยียนตี้รอแล้วรอเล่าแต่รองหัวหน้าก็ยังไม่ปรากฏตัว ทางด้านค่ายภูเขาก็เงียบจนน่าแปลกใจ หน่วยสอดแนมเข้าไปใกล้เพียงเล็กน้อยก็ถูกกับดักลอบโจมตี ยังไม่ทันสอดแนมเห็นอะไรก็บาดเจ็บล้มตายกันแล้ว

เหยียนตี้สั่งกองทหารบุกโจมตีด้วยความเดือดดาล ตลอดทางนอกจากกับดักแล้วก็ไม่พบเจอคนเป็นๆ ออกมาต่อต้านแม้แต่ครึ่งคน เขาจึงบุกเข้าไปถึงค่ายภูเขาได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ก่อนจะค้นพบว่าค่ายอันใหญ่โตนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว แม้แต่หมาแมวก็ไม่เหลือสักตัวเดียว

ต้าจุ่ยนึกเรื่องอดีตขึ้นได้ก็แค่นเสียงออกทางจมูกก่อนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เซิ่งผิงชินอ๋องผู้นี้ใจแคบเกินไปแล้ว เป็นถึงบุรุษอกสามศอก เรื่องแค่นี้ก็ถึงกับแพ้ไม่เป็น”

ฉินโยวโยวพูดด้วยความร้อนตัว “อันที่จริงตอนนั้นข้ายังทำอีกเรื่องหนึ่งด้วย…”

“อะไรหรือ” ต้าจุ่ยได้ฟังก็รู้ว่ายังมีความนัยซ่อนอยู่

“ข้าชูนิ้วกลางให้เขาต่อหน้าธารกำนัล” ฉินโยวโยวทั้งหงุดหงิดทั้งละอายใจ

ต้าจุ่ยเบิกตากว้างพูดกับฉินโยวโยว “เจ้าไปหัดกิริยาต่ำทรามเช่นนี้มาจากที่ใด!”

ฉินโยวโยวคับข้องใจยิ่ง “ข้าจะไปรู้หรือว่าสัญลักษณ์มือนั้นจะมีความหมาย ‘เช่นนั้น’ ”

วันนั้นพอฉินโยวโยวส่งตัวคนในค่ายออกไปจนหมดแล้ว นางก็อยู่รั้งท้าย ตั้งใจจะรอปล่อยประตูตรงปากถ้ำขุมทรัพย์ลงมาเพื่อขวางการสะกดรอยตามของกองทหาร ครั้นนางก็นึกถึงว่าเหยียนตี้ที่เฉียวมู่ฉาพูดถึงนั้นมีความโหดเหี้ยมกระหายเลือดและมีใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกเพียงไร นึกถึงว่าคนเป็นพันทั้งค่ายภูเขาต้องเดือดร้อน ต้องจำยอมทิ้งเรือนหนีไปที่อื่นเพราะเขา นางก็เกิดความคิดจะทำให้เขาต้องโมโหก่อนออกไป

ขณะที่เหยียนตี้นำทหารกองใหญ่มาถึงด้านล่างถ้ำเขาก็เห็นฉินโยวโยวที่แปลงโฉมเป็นหนุ่มน้อยร่างผอมแห้งยืนอยู่ตรงปากถ้ำเพียงผู้เดียว นางชูนิ้วกลางให้เขาต่อหน้ากองทหารหลายพันด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบใดๆ หัวเราะลั่นสามทีแล้วก็หย่อนคำพูดไว้ว่า ‘เทพสงครามบ้าบออะไรกัน ก็แค่นี้เอง!’ จากนั้นก็หันหลังหายลับเข้าไปในถ้ำ

นี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุหลักที่เหยียนตี้ ‘จำ’ ฉินโยวโยวได้มิรู้ลืม

“ข้าเห็นท่านอาเฉียวทำท่าอย่างนั้นตอนที่ทะเลาะกับคนอื่นแล้วดูน่าเกรงขามยิ่ง ก็เลยถามความหมายจากเขา เขาตอบข้าว่าเป็นท่าทางแสดงการดูถูกฝ่ายตรงข้าม ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะหลอกลวงข้าเล่า!” ฉินโยวโยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม

ต้าจุ่ยคิดดูเล็กน้อยก็เข้าใจ เฉียวมู่ฉาเป็นคนหยาบที่ตรงตามตำรา เขาทำสัญลักษณ์มือที่แสนหยาบคายนี้แล้วบังเอิญถูกหลานสาวผู้ ‘บริสุทธิ์ไร้เดียงสา’ อย่างฉินโยวโยวมาเห็นเข้า ซ้ำยังซักไซ้ถามความหมายของสัญลักษณ์มือกับเขาโดยตลอด เขาไหนเลยจะมีหน้ามาอธิบาย จึงได้แต่ตอบอย่างขอไปที ผลคือฉินโยวโยวเชื่อว่าเป็นจริงตามที่เขาบอก ทั้งยังนำไปใช้กับเหยียนตี้ หาเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่ใส่ตัวโดยใช่เหตุ

ที่แคว้นเซียงเยวี่ย ความหมายของการชูนิ้วกลางไม่เพียงหมายถึงการลบหลู่ แต่ยังต่ำทรามหยาบคายยิ่งยวด เหยียนตี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เป็นถึงเซิ่งผิงชินอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งและไม่เคยรบแพ้ คาดว่าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยถูกใครปั่นหัวเล่นถึงเพียงนี้ และยิ่งไม่มีใครกล้าชูนิ้วกลางใส่เขาต่อหน้า การลบหลู่นี้เพียงพอจะทำให้เขา ‘ซาบซึ้งไปถึงทรวง’ เลยทีเดียว

“เจ้าแปลงโฉมตลอดเวลาที่ออกไปข้างนอก แล้วเขาจำเจ้าได้อย่างไร” ต้าจุ่ยคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

“ข้าเองก็รู้สึกว่าแปลกยิ่ง” ฉินโยวโยวตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะลองถามผู้มีพระคุณปีศาจดู เพื่อไม่ให้คราวหน้านางถูกคนจำได้อีก

“ข้าว่าแล้วเชียวว่าเซิ่งผิงชินอ๋องผู้นี้ต้องคิดมิดีมิร้ายกับเจ้าแน่นอน! แต่อย่างน้อยคงไม่ถึงกับทำอันตรายเจ้าในเวลาอันสั้น ยาลูกกลอนที่เขาให้เจ้ากินนั้น เจ้าก็หาโอกาสให้ข้าดูว่าเป็นยาอะไรให้ได้โดยเร็วที่สุดด้วย!” ต้าจุ่ยแค่นเสียงกล่าว

อีกด้านหนึ่ง หลังเหยียนตี้ปล่อยฉินโยวโยวไปพักผ่อนแล้วก็ตรงเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮ่องเต้ ประจวบเหมาะว่าฮ่องเต้ก็อยู่ในวังของไทเฮาพอดี สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอย่างออกรส ครั้นได้ยินว่าเซิ่งผิงชินอ๋องมาขอเข้าเฝ้าทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนสั่งให้ขันทีรีบไปเชิญเขาเข้ามา ทั้งยังไล่ผู้ติดตามออกไป และเหลือเพียงสามแม่ลูกสนทนากัน

พอไทเฮาเห็นเหยียนตี้ก็ชิงเอ่ยถามขึ้นก่อนโดยไม่รอให้เขาถวายบังคม “ได้ยินว่าเจ้าพาหญิงสาวนางหนึ่งกลับมาด้วย ทั้งยังจูงมือเดินเข้าจวนมาอย่างสนิทสนมอบอุ่น แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นบุตรสาวจากตระกูลใด รูปโฉมงามหรือไม่ นิสัยเป็นเช่นไร”

“รอทุกอย่างแน่นอนแล้ว ลูกจะพานางมาให้เสด็จแม่ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง” เหยียนตี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าไม่แคล้วต้องถูกมารดาถามถึงเรื่องที่เขาพาฉินโยวโยวกลับมาเมืองหลวง

เหยียนตี้พลันนึกถึงภาพที่ฉินโยวโยวถูกเขาบังคับลากเข้าจวนอ๋องด้วยท่าทางหวาดผวาประหนึ่งถูกคุมตัวขึ้นลานประหาร มีตรงไหนที่ดูสนิทสนมอบอุ่นกันเล่า ทว่าหลายปีมานี้เขาล้วนเอาแต่เผยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่เคยเข้าใกล้สตรี ซ้ำฉินโยวโยวก็คาดผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ทำให้มองเห็นสีหน้ารูปโฉมของนางได้ไม่ชัด หน่วยสอดแนมที่มารายงานจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก

ไทเฮาร้อนใจจนทนไม่ไหว อยากจะเคลื่อนขบวนไปจวนเซิ่งผิงชินอ๋องใจแทบขาด เพื่อพินิจดูฉินโยวโยวอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “ยังต้องรออะไรอีก จัดการให้แน่นอนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้ให้คนไปรับตัวนางเข้าวัง!”

เหยียนตี้มองไปยังฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาซึ่งกำลังยิ้มแย้มดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง

ฮ่องเต้รีบกระแอมกระไอสองทีก่อนกล่าวโน้มน้าว “เสด็จแม่ทรงรออีกสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หย่งเล่ออุตส่าห์รู้จักพาสตรีกลับจวนทั้งที หากทำให้นางตกใจจนหนีไปจะแย่เอา”

ไทเฮาแค่นเสียงกล่าวว่า “กระทั่งใบหน้าพญายมของเขายังไม่อาจทำให้แม่นางผู้นั้นตกใจหนีไปเลย ข้าหรือจะน่ากลัวเพียงนั้น!”

สองแม่ลูกโต้ตอบกันโดยไม่มีถ้อยคำน่าฟังแม้แต่ครึ่งประโยค เหยียนตี้ที่เคยชินมานานแล้วจึงได้แต่ทำสีหน้าเฉยเมยปราศจากอาการตอบสนอง

ไทเฮารู้สึกหมดสนุกอย่างมาก นางจึงแค่นเสียงเอ่ยว่า “ในจวนเจ้าไม่มีแม้แต่สาวใช้เลยสักคน อย่าได้รับรองคนเขาไม่ดี เจ้าเลือกนางกำนัลที่เฉลียวฉลาดคล่องแคล่วกลับไปหลายๆ คนหน่อยเถอะ แล้วก็เลือกนางข้าหลวงพี่เลี้ยงที่มากประสบการณ์ไปคอยรับใช้ด้วยอีกสักสองคน เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้ว”

“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ…ลูกเตรียมการไว้แล้ว” คำคัดค้านของเหยียนตี้แทบจะโพล่งออกมาจากปากในทันที

เหยียนตี้จำต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดจะจัดนางข้าหลวงระดับครูฝึกไปอบรมกฎระเบียบมารยาทในราชวงศ์แก่ฉินโยวโยว แต่เท่าที่อยู่ด้วยกันมา เขาพบว่าตนเองชอบนางที่แม้จะเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจ แต่ก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตรงไปตรงมามากกว่า เขาไม่อยากให้นางเปลี่ยนมาอยู่ในกรอบระเบียบจนดูเรียบร้อยไร้ความน่าสนใจ กระทั่งมิต่างจากสตรีตระกูลสูงศักดิ์คนอื่น

ไทเฮาถลึงตาใส่เขา “ทำไมรึ กลัวว่าคนที่แม่ส่งไปจะกินหัวของยอดดวงใจเจ้าหรือไร”

“พ่ะย่ะค่ะ” เหยียนตี้ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังใบหน้าไร้ความรู้สึก ทำเอาไทเฮาสะอึกไปในทันใด ส่วนฮ่องเต้ก็หัวเราะได้อย่างไร้ความน่าเกรงขามโดยสิ้นเชิง

“เจ้ามันเลี้ยงเสียข้าวสุก!” ไทเฮาพูดอย่างอึดอัดคับข้องใจ

ฮ่องเต้หัวเราะเสร็จก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าตกลงปลงใจว่าเป็นนางแล้ว? จะรีบเกินไปหน่อยหรือไม่”

เหยียนตี้ใคร่ครวญอย่างตั้งใจก่อนพยักหน้าตอบว่า “เป็นนางแล้ว อีกสองเดือนข้าจะพานางไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่เขตหวงห้าม แต่งงานอย่างเป็นทางการ”

“ว่าอะไรนะ!” ไทเฮาเองก็ไม่สนใจจะโมโหแล้ว นางยืดตัวตรงมองมายังเหยียนตี้ทันที สีหน้าจริงจังน่าครั่นคร้ามอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเวลานี้ที่มองออกได้ง่ายดายว่าอันที่จริงรูปโฉมและบุคลิกท่าทางของนางกับเหยียนตี้นั้นคล้ายกันอย่างมาก

สีหน้าของฮ่องเต้เองก็ไม่ใคร่น่ามองเช่นกัน “ต่อให้เป็นทายาทสกุลเหยียนก็มีเพียงหยิบมือที่เข้าไปในเขตหวงห้ามได้ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นเพียงภรรยาของเจ้าเท่านั้น ต่อให้เป็นเสด็จแม่เองก็ยังทรงได้รับอนุญาตให้เข้าไปเพียงครั้งเดียวหลังจาก… ‘เรื่องนั้น’ แคว้นเซียงเยวี่ยของเราสืบทอดมาสามสิบหกรุ่น จวบจนปัจจุบันก็มีเพียงฮองเฮาสามองค์และพระชายาอ๋องหนึ่งองค์ที่ได้รับเกียรติสมรสนี้โดยมีบรรพบุรุษทุกพระองค์เป็นสักขีพยานภายในเขตหวงห้าม สตรีที่เจ้าพากลับมา…มีสิทธิ์อะไร”

คำถามของฮ่องเต้ตรงกับความคิดในใจไทเฮาพอดี นางให้กำเนิดทายาทที่โดดเด่นเพียงนี้แก่สกุลเหยียนถึงสองคน ก็ยังต้องรอจนแน่ใจในฐานะพิเศษของเหยียนตี้บุตรชายคนรองแล้ว ถึงสามารถอาศัยบารมีของบุตรชายให้ได้รับอนุญาตเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษยังเขตหวงห้ามเป็นกรณีพิเศษ สตรีที่เหยียนตี้พากลับมามีสิทธิ์อะไรถึงจะได้รับเกียรติพิเศษที่ฮองเฮาแทบทุกสมัยรวมถึงพระชายาอ๋องแทบทั้งหมดยังไม่มีปัญญาจะได้รับ

ไทเฮาไม่ปฏิเสธว่าในใจตนเองรู้สึกริษยา ต่อให้บุตรชายหลงใหลในตัวสตรีนางนั้นเพียงใดก็ไม่ควรทำอะไรส่งเดชเช่นนี้

ยามที่เผชิญหน้ากับคำถามและท่าทีคัดค้านจากญาติใกล้ชิดที่สุดเช่นนี้ เหยียนตี้ก็ยังรักษาท่าทีอันสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ “พวกท่านจำเรื่องที่ข้าไปค้นหาขุมทรัพย์ราชวงศ์ก่อนเมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”

“จำได้สิ มิใช่บอกว่ามีคนไปถึงก่อนแล้วปิดทางเข้าขุมทรัพย์ ถึงขนาดว่าใช้ประโยชน์จากทางเดินลับภายในนั้นพาโจรท้องถิ่นที่เดิมปักหลักอยู่บนภูเขาหนีไปจนสิ้นหรือไร” ไทเฮากล่าว

ฮ่องเต้กลับเข้าใจขึ้นมาแล้ว จึงกล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย “สตรีนางนั้นก็คือผู้ที่สะเดาะกับดักกลไกในขุมทรัพย์? ถึงกับเป็นสตรี?”

เหยียนตี้พยักหน้าตอบ “มิผิด”

ไทเฮาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถาม “เจ้าต้องการแต่งงานกับนางเพราะเรื่องนี้?”

“ไม่ใช่” คำตอบของเหยียนตี้เปี่ยมด้วยความเด็ดขาดหนักแน่น “นาง…เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เรื่องเหนือความคาดหมายที่ทำให้ข้าทั้งตกใจและดีใจยิ่ง”

ปลายนิ้วของฮ่องเต้เคาะที่วางแขนของเก้าอี้หยกเบาๆ เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “อีกสองเดือน…เจ้าตั้งใจจะให้นางขจัดภัยแฝงนั้นให้เจ้าด้วย? นางจะไหวหรือ”

“น่าจะไหว ลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรในมือข้าถูกใช้ไปหมดแล้ว กำลังอยากจะขอชุดใหม่ปริมาณสองเดือนจากท่านพอดี” ท่าทียามกล่าววาจาต่อฮ่องเต้ของเหยียนตี้ไม่ต่างอะไรกับยามพูดกับคนธรรมดา แต่ไทเฮาและแม้กระทั่งตัวฮ่องเต้เองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง

ฮ่องเต้แทบอยากกระอักเลือด “เจ้าก็พูดง่ายนี่ หลอมลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรหนึ่งเม็ดต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร ต้องเปลืองสมุนไพรวิเศษล้ำค่าจำนวนมากเพียงใด ลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรปริมาณสองเดือนแทบต้องใช้เงินเท่ากับรายรับสามปีของคลังหลวง เจ้ากลับเอ่ยปากของ่ายๆ เหมือนขอลูกอมอย่างไรอย่างนั้น”

“ยามิใช่ทำออกมาเพื่อกินหรือไร หรือว่าท่านไม่มีเงินแล้ว” สีหน้าและท่าทางไม่สะทกสะท้านของเหยียนตี้ทำคนโมโหตายทั้งเป็นได้ทีเดียว

ทว่าฮ่องเต้กลับระงับเพลิงโทสะกล่าวยิ้มๆ “นับว่าเจ้ามันร้าย ยาลูกกลอนหลอมไว้แล้วแต่ก็มีเพียงยี่สิบกว่าเม็ด วัตถุดิบในการหลอมยายังมีอยู่จำนวนหนึ่ง อีกสักพักข้าจะให้คนส่งไปพร้อมกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ว่างมากนี่ กลับไปหลอมเอาเองแล้วกัน”

เหยียนตี้ลอบระแวงระวังขึ้นมา อีกฝ่ายพูดง่ายเพียงนี้จะต้องเตรียมอุบายอำมหิตอะไรมาทำให้เขาลำบากแน่นอน แต่ในเมื่อยังไม่ใช้ออกมา เขาก็เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

เหยียนตี้อยู่กินอาหารเย็นกับมารดาและพี่ชายในวัง ยามที่กลับถึงจวนอ๋องก็ดึกมากแล้ว เขามองเห็นแสงตะเกียงอบอุ่นที่ลอดออกมาจากในเรือนพักของฉินโยวโยวจากที่ไกลๆ ในใจก็มีความอบอุ่นละมุนละไมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว

ฉินโยวโยวกินอาหารเย็นกับตู้เหวยเหนียงและเสี่ยวถิงฮวาเสร็จ ขณะล้างหน้าบ้วนปากเตรียมจะเข้านอนแล้ว ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยก็ยังคงโต้เถียงกันเรื่องแบ่งดอกบัวดอกใหญ่ที่เก็บมาจากในสระบัวอย่างไม่มีใครยอมใคร ฉินโยวโยวกลัวเสียงของพวกมันจะดังจนรบกวนคนอื่นจึงนั่งลงริมหน้าต่างดูต้นทางให้พวกมันอย่างมีจิตสำนึกยิ่ง

ทั้งสามที่กำลังทำเรื่องไม่ดี จู่ๆ เห็นเหยียนตี้มาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูอย่างไร้สุ้มเสียงก็ต่างร้อนตัวขึ้นมา

ฉินโยวโยวเคยมีเรื่องขัดแย้งกับเหยียนตี้อยู่ก่อน เดิมทีก็มีความผิดติดตัว ตอนนี้ยังฉวยโอกาสตอนที่เจ้าของจวนไปข้างนอกแอบไปเด็ดดอกไม้เขามา ซ้ำดอกไม้นั้นยังเป็นกลีบหยกเก้าบุตรสมุนไพรวิเศษชื่อดังที่ล้ำค่าหายากยิ่งยวดอีก ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ อยากปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีทางพ้นตัว

เสี่ยวฮุยอึ้งไปเล็กน้อยก่อนอ้าปากกลืนดอกบัวขนาดเท่าชามน้ำแกงลงไปทั้งดอกในคำเดียวด้วยความรวดเร็วอย่างที่สุด จากนั้นก็เอาหัวมุดเข้าอ้อมแขนฉินโยวโยวแล้วแกล้งตาย

ต้าจุ่ยเก็บดอกบัวมาจากในสระแล้วนำกลับมาที่เรือนพักด้วยความยากลำบาก ผลคือกินไปได้เพียงสองกลีบ ด้วยความโมโหมันจึงบินมาเกาะบนบ่าฉินโยวโยวด้วยอาการฮึดฮัด คิดจะเล่นงานเสี่ยวฮุย แต่ครั้นเหลือบมองเหยียนตี้ที่มีสีหน้าไม่ดีแล้ว…ช่างเถอะ กลืนดอกไม้ลงไปก็เป็นวิธีทำลายหลักฐานอย่างหนึ่ง มันเป็นผู้มีปัญญาที่สง่าผ่าเผย ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความกับกระต่ายทึ่มตัวหนึ่ง และยิ่งไม่อาจทะเลาะให้คนนอกเห็นได้

ฉินโยวโยวกลืนน้ำลาย พยายามแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางยิ้มปะเหลาะพลางเอ่ยทักเหยียนตี้ “ทะ…ท่านกลับมาแล้วหรือ กินอาหารเย็นมาหรือยัง”

รู้ทั้งรู้ว่าฉินโยวโยวไม่ได้พูดมาจากใจ ทว่าเพลิงโทสะของเหยียนตี้ยังคงสลายไปเพราะความห่วงใยจอมปลอมของนาง กระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยก็ยังคงเย็นยะเยือก “กลีบหยกเก้าบุตรในสระเป็นของสำหรับใช้รักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า ถ้าพวกมันกินเข้าไปอีก ข้าก็ได้แต่เอาพวกมันไปตุ๋นมาให้เจ้ากินบำรุงร่างกายแล้ว”

เสี่ยวฮุยที่เพิ่งจะกินดอกบัวกลีบหยกเก้าบุตรเข้าไปตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา มันออกแรงขดตัวอยู่ในอ้อมแขนฉินโยวโยวยิ่งกว่าเดิมด้วยท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง อีกทางหนึ่งก็แอบหันหน้าไปถลึงตาใส่เหยียนตี้อย่างเข่นเขี้ยว

ฉินโยวโยวรู้ว่ามันถูกทำให้ตกใจแล้วก็รีบลูบปลอบมันเบาๆ

“เข้าไปห้องด้านใน” เหยียนตี้ไม่สนใจกระต่ายสองหน้าตัวนั้นอีก เขาจูงแขนฉินโยวโยวพานางเดินกลับไปถึงเตียงในห้องนอน

เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ฉินโยวโยวไม่มีอารมณ์แม้แต่จะขัดขืนหรือถือสาอะไร ถึงขนาดจำไม่ได้แล้วว่าการที่มีบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาในห้องนอนนาง ซ้ำยังยืนอยู่ข้างเตียงนางด้วยท่าทีวางอำนาจนั้นมีอะไรไม่เหมาะสม

เหยียนตี้หยิบขวดหยกออกมาจากในแขนเสื้อ เทยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่งแล้วยื่นไปตรงหน้าฉินโยวโยว “กินเสีย”

เป็นยาลูกกลอนที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรนั่นอีกแล้ว!

ฉินโยวโยวรับยาลูกกลอนมายื่นให้ต้าจุ่ยต่อหน้าเหยียนตี้ “เจ้ามิใช่รู้เรื่องสมุนไพรวิเศษดีที่สุดหรือไร ดูหน่อยว่านี่คือยาอะไร”

ฉินโยวโยวนับว่าคิดได้แล้ว ด้วยท่าทียืนกรานบังคับให้นางกินยาตลอดหลายวันมานี้ของเหยียนตี้ นางไม่มีทางปิดบังเขา แล้วเก็บยาไว้ให้ต้าจุ่ยตรวจดูได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำอย่างเปิดเผยเสียเลย ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ล่วงเกินเหยียนตี้เป็นครั้งแรกสักหน่อย

ต้าจุ่ยเลื่อนหัวมาใกล้ยาลูกกลอน มันออกแรงสูดลมหายใจสองสามที ก่อนพึมพำ “เห็ดหลิงจือโลหิตมังกร โสมหิมะสวรรค์ หินย้อยเสวียนอู่* เถาวัลย์ดาวเหนือ…” มันร่ายชื่อสมุนไพรวิเศษออกมาหลายสิบชื่อรวดเดียว สุดท้ายก็สรุปว่า “ของดีนี่! นี่คือลูกกลอนเปลี่ยนชีพจร!”

มันพูดพลางน้ำลายหยดติ๋ง อยากจะเอาอย่างเสี่ยวฮุยอ้าปากกลืนยาลูกกลอนลงไป

เหยียนตี้ราวกับเตรียมป้องกันปากต้าจุ่ยไว้ก่อนแล้ว เขาดีดนิ้วทีหนึ่ง พลังปราณไร้รูปสายหนึ่งก็ซัดไปที่จะงอยปากของต้าจุ่ย ทำให้มันหล่นตุ้บลงจากบ่าฉินโยวโยว ยาลูกกลอนเม็ดนั้นย่อมจะรอดพ้นปากมัน

ฉินโยวโยวพูดด้วยความร้อนใจ “ต้าจุ่ย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!”

ต้าจุ่ยขดตัวกลมอยู่บนเตียง กางปีกปิดจะงอยปากแล้วครวญครางโอดโอย

“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้าไม่ได้ออกแรงสักนิด!” เหยียนตี้พูดเสียงเย็นเยียบ

ต้าจุ่ยเหลือกตาพลางแค่นเสียง ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมา มันไม่เป็นอะไรจริงๆ ฉินโยวโยวเพิ่งวางใจได้ก็ได้ยินเหยียนตี้กล่าวขึ้นว่า “นี่คือลูกกลอนเปลี่ยนชีพจร ไม่ใช่ยาพิษ เจ้ากินได้อย่างวางใจแล้ว”

ลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรเป็นโอสถวิเศษชื่อดังในใต้หล้า ต่อให้ธาตุไฟเข้าแทรกหรือได้รับบาดเจ็บภายในจนชีพจรขาดสะบั้น ขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่ เมื่อกินลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรลงไปแล้วก็จะทำให้อาการบาดเจ็บค่อยยังชั่วขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งเดือนชีพจรก็สามารถฟื้นกลับมาดีดังเดิม ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นดั่งลูกกลอนเซียนช่วยชีวิตสำหรับผู้ฝึกตนทีเดียว

เนื่องจากสมุนไพรวิเศษที่ต้องใช้ในการหลอมยาลูกกลอนชนิดนี้ล้ำค่าหายากเกินไป ต่อให้เป็นจอมแพทย์ก็มีเพียงไม่กี่เม็ด ยิ่งไม่มีทางนำมาให้นางกินได้ทุกวันเหมือนกับเหยียนตี้

ฉินโยวโยวพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าถูกพิษของลูกกลอนสลายพลังก็จริง แต่ชีพจรไม่เป็นอะไรสักหน่อย ไยท่านถึงให้ข้ากินลูกกลอนเปลี่ยนชีพจรนี้ทุกวัน นี่ไม่ใช่การสิ้นเปลืองหรือไร”

ไม่ว่าพูดอย่างไร การที่นางเข้าใจผู้อื่นผิดว่าเขาบังคับให้กินยาพิษก็มิใช่เรื่องดีเท่าไรนัก

“บำรุงร่างกายเจ้าให้ดีขึ้นอีกสักหน่อย ยามที่ฝึกตนในวันหน้าจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมมาก” วาจาอันเปี่ยมด้วยความอาทรห่วงใยที่เปล่งออกมาจากปากของเหยียนตี้นั้นเย็นยะเยือกปราศจากซึ่งความรู้สึก

“ท่านไม่เหมือนคนที่ไม่จดจำแค้นเก่าซ้ำยังสนองโทษด้วยคุณ…” ฉินโยวโยวยังคงสองจิตสองใจไม่ยอมกินยาลงไป

ต้าจุ่ยที่เมื่อครู่ถูกซัดร่วงก็อดสอดปากเหน็บแนมไม่ได้ “พูดเสียน่าฟัง หมูก็ต้องขุนให้อ้วนก่อนค่อยเชือดทั้งนั้น!”

เหยียนตี้ตวัดมองมันเรียบๆ ปราดหนึ่ง นกตัวนี้ไม่โง่เลย ทว่ามันก็ไม่มีปัญญาจะทำเขาเสียเรื่องได้

ฉินโยวโยวแค้นใจยิ่ง ต้าจุ่ยจะพูดก็พูดไป เหตุใดต้องเปรียบเทียบนางเป็นหมูด้วย…ทว่าในใจนางก็เห็นด้วยกับความคิดของมัน เหยียนตี้ให้ความสนใจต่อชีพจรนางถึงขั้นไม่เสียดายที่จะสิ้นเปลืองโอสถวิเศษล้ำค่าเป็นจำนวนมาก นี่เขากำลังวางแผนทำอะไรกับนางกันแน่

“เจ้าอยากให้ข้าป้อนยาให้เจ้ากินด้วยตนเอง?” น้ำเสียงของเหยียนตี้จริงจังยิ่ง

“กินก็กินสิ เหตุใดต้องดุถึงเพียงนี้ด้วย” ฉินโยวโยวบ่นงึมงำด้วยความจนใจ ก่อนส่งยาลูกกลอนที่อยู่ในมือเข้าปากแล้วกลืนลงท้อง

ความรู้สึกง่วงงุนอันคุ้นเคยถาโถมมาเป็นระลอก นางค่อยๆ ล้มตัวลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไป ลืมไปเสียสนิทว่าในจวนไม่มีพวกสาวใช้อยู่ ไม่มีทางมีใครมาจัดท่าจัดทาง ถอดรองเท้า และห่มผ้าให้นางหลังจากนางนอนหลับไปแล้ว

เหยียนตี้ก้มหน้ามองใบหน้ายามนิทราที่ดูสงบราบเรียบของฉินโยวโยวอยู่ชั่วครู่ ก่อนก้าวมาถอดรองเท้าปักลายออกให้นางแล้วอุ้มนางวางตรงกลางเตียงด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งยวด

แขนของฉินโยวโยวคลายออกโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวฮุยที่อยู่ในอ้อมแขนจึงกลิ้งตกลงนอนแน่นิ่งข้างกายนาง เห็นได้ชัดว่ามันหลับเป็นตายไปก่อนเจ้านายก้าวหนึ่งแล้ว มิน่าเมื่อครู่นี้ถึงไม่ได้ส่งเสียงสักนิด

ทุกครั้งหลังจากกินอาหารมื้อใหญ่ เสี่ยวฮุยล้วนจะนอนหลับสนิท ต่อให้โยนมันลงพื้นก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมา เหยียนตี้เห็นจนชินตานานแล้ว เขาจึงยื่นมือไปดึงผ้าห่มมาคลุมลงบนร่างฉินโยวโยว ซึ่งก็คลุมกระต่ายอ้วนตัวนั้นไว้ทั้งตัวด้วยเช่นกัน โดยไม่สนใจว่ามันจะอึดอัดหรือไม่…กระต่ายสองหน้าไร้ประโยชน์ที่ดีแต่กินแต่นอนเช่นนี้ อึดอัดตายไปก็ยิ่งดี!

ต้าจุ่ยเอียงหัวพินิจมองการกระทำของเหยียนตี้โดยไม่ได้ห้ามปราม กระทั่งเขาห่มผ้าเสร็จแล้ว มันถึงสะบัดขนสีดำสนิทบนตัว แค่นเสียงพูดขึ้นว่า “เจ้าชอบโยวโยวใช่หรือไม่ ไม่มีประโยชน์ นางมีคนที่ชอบแล้ว”

“อ้อ?” เหยียนตี้ยังคงใบหน้าไร้อารมณ์ แต่ต้าจุ่ยกลับรู้สึกได้ชัดเจนว่าความหนาวเหน็บขุมหนึ่งได้แผ่ขึ้นมาจากใต้กรงเล็บ

มันร้องแว้กๆ สองที กางปีกบินไปเกาะบนคาน จงใจไม่พูดเรื่องนี้ต่อ พริ้มตาแกล้งหลับเสียเลย

เหยียนตี้เองก็ไม่ซักไซ้ เขาหันหลังก้าวปราดๆ จากไป

ไม่ว่าเรื่องที่นกตัวนี้พูดมาจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ที่ฉินโยวโยวจะชอบหลังจากนี้ย่อมต้องเป็นเขา และจะเป็นเขาเพียงผู้เดียว…ไม่มีทางมีคนอื่น

กระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว ต้าจุ่ยถึงค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนพึมพำอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “เจ้าคนถือดี วันหน้าเจ้าได้ลำบากแน่!”

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เหยียนตี้พาฉินโยวโยวไปดูคลังสมบัติที่อยู่ใต้สวนดอกไม้ด้วยตนเอง

ผู้ที่เฝ้าคลังสมบัติถึงกับเป็นขันทีวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีความสามารถระดับยอดยุทธ์ขั้นเก้า…ยอดยุทธ์ขั้นเก้าเชียวนะ! อีกเพียงขั้นเดียวก็จะเป็นบุคคลขั้นสุดยอดที่อยู่เหนือมนุษย์เข้าใกล้ขั้นเซียน แต่ถึงกับมาเฝ้าประตูให้ผู้อื่นอยู่ตรงนี้!

ขันทีผู้นี้ดูหลังค่อม สีหน้าแข็งทื่อ ทว่ายามที่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมองคนกลับคล้ายว่าสามารถมองคนได้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น

ฉินโยวโยวถูกเขามองจนจิตใจวูบไหว อยากจะถลึงตามองกลับไปด้วยความไม่ชอบใจ แต่ครั้นคิดถึงว่าผู้มีพระคุณปีศาจยังอยู่ที่ด้านข้างก็เปลี่ยนแผนการ แสร้งทำท่าทางอ่อนแอปวกเปียกตั้งท่าจะหลบเข้าหลังเขาทันที

เหยียนตี้มองเห็นท่าทางอ่อนแอของนางที่เกิดขึ้นอย่างจงใจแล้วก็ไม่รู้ว่าควรโมโหหรือควรขบขันดี เขาบีบมือนางเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “เหล่าจั๋วอยู่ในหน้าที่ ต้องจำรูปโฉมกลิ่นอายของคนที่เข้ามาในสถานที่สำคัญอย่างคลังสมบัติให้ได้ชัดเจนทุกคน เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจ”

“กลัวจะมีคนแปลงโฉมลอบเข้าไปอย่างนั้นหรือ เขาจำคนที่เข้าไปได้ทุกคน? จะเก่งเกินไปแล้ว!” ฉินโยวโยวชมจากใจจริง นางอิจฉาความสามารถในการจดจำคนที่แสนจะแม่นยำนี้ยิ่งนัก หากนางฝึกจำได้สักหน่อยก็คงไม่หลงเห็นอริเป็นผู้มีพระคุณจนถูกคนเขาหลอกพาเข้ารังหมาป่าเช่นนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้

“อืม นับตั้งแต่คลังสมบัติสร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เคยเข้าออกรวมเจ้าด้วยก็มีห้าคน การจะจำให้ได้ทุกคนหาใช่เรื่องยากไม่” เหยียนตี้มองความคิดฉินโยวโยวออกทะลุปรุโปร่ง แต่ก็มิได้เปิดโปง ยามเห็นท่าทางอึดอัดคับข้องใจของสาวน้อยแล้วก็ทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างมาก

ขันทีนาม ‘เหล่าจั๋ว’ ผู้นั้นมองดูฉินโยวโยวจนชัดเจนแล้วก็ค้อมตัวไปเปิดประตูใหญ่ของคลังสมบัติ เชิญคนทั้งสองเข้าไป

ขณะที่เหยียนตี้เดินผ่านเหล่าจั๋วก็กล่าวขึ้นว่า “หลังจากนี้นางจะเข้าออกที่นี่เป็นประจำสักพักหนึ่งเพื่อออกแบบกับดักกลไกภายในคลังขึ้นใหม่”

สีหน้าแข็งทื่อของเหล่าจั๋วปรากฏระลอกอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย เขาตอบรับเสียงเบาว่า “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก สายตาที่มองมายังฉินโยวโยวมีแววประหลาดใจเพิ่มมาเล็กน้อย เขาแปลกใจอยู่แต่เดิมแล้วว่าเหตุใดนายท่านที่ไม่เคยข้องแวะกับสตรีมาก่อนถึงได้พาสตรีนางหนึ่งเข้ามายังสถานที่สำคัญอย่างคลังสมบัติ คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นนักกลไก!

ด้านหลังประตูใหญ่เป็นบันไดที่ทอดยาวลงไปด้านล่าง พอเหล่าจั๋วใช้หินจุดไฟตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งที่ข้างประตู ก็มองเห็นเพลิงสายหนึ่งลุกจากตะเกียงน้ำมันแรกลามลงไปยังด้านล่าง บนผนังทางเดินจะมีตะเกียงน้ำมันอยู่หนึ่งดวงทุกๆ สามฉื่อ เพียงชั่วครู่เดียวก็มีไฟติดทั้งหมด

ฉินโยวโยวเบะปาก มิน่าถึงจะให้นางติดตั้งกลไกให้ใหม่ ลำพังแค่เรื่องต้องเปลี่ยนสายชนวนทุกครั้งที่จุดตะเกียงก็มีความยุ่งยากที่น้อยกว่าการใช้แรงงานคนไล่จุดไปทีละดวงเพียงนิดเดียวเท่านั้น การออกแบบกลไกเรียกได้ว่าสวยงามแต่ใช้การไม่ได้เท่าที่ควรเลย

เหยียนตี้เห็นท่าทางไม่เห็นด้วยของฉินโยวโยวอยู่ในสายตา เขาก็จูงนางเดินลงด้านล่างไปทีละก้าว

แบบร่างที่ให้นางเมื่อวานเป็นเพียงแผนผังคร่าวๆ ของคลังสมบัติ มิได้ระบุว่ากับดักกลไกมีจำนวนเท่าไร ติดตั้งไว้ตรงจุดใดบ้าง นี่ก็คือความตั้งใจของเขาที่หมายจะทดสอบความสามารถของฉินโยวโยว

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้แล้วว่านางสะเดาะกลไกทั้งหมดในขุมทรัพย์ราชวงศ์ก่อนได้ด้วยตัวคนเดียวโดยใช้เวลาอันสั้นยิ่ง แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่ได้เห็นเองกับตา เรื่องที่เขาวางแผนจะให้ฉินโยวโยวทำนั้นมีความสำคัญอย่างมาก จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของนางด้วยตาตนเองก่อน เขาถึงจะวางใจให้นางไปทำได้

ฉินโยวโยวเองก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ตลอดทางที่เดินมาสามารถสะเดาะกลไกบนทางเดินทั้งหมดได้โดยแทบไม่เปลืองแรง เพียงเดินสบายๆ เข้าสู่ห้องโถงใหญ่รูปวงกลมที่อยู่ใจกลางคลังสมบัติพร้อมกับเหยียนตี้

“ไม่เลว มีฝีมืออยู่หลายส่วนจริงๆ” เหยียนตี้ยกมือลูบศีรษะฉินโยวโยว ไม่ปิดบังความชื่นชมของตนเองแม้แต่น้อย ผู้ที่ติดตั้งกับดักกลไกในคลังสมบัติให้เขาในตอนแรกก็คือปรมาจารย์กลไกอันดับหนึ่งที่ในวังให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดู เขาเคยประกาศไว้ว่าเว้นเสียแต่ว่ามือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อจะมาเยือนด้วยตนเอง มิเช่นนั้นใต้หล้านี้ก็คงไม่มีใครเข้าคลังสมบัติได้โดยที่กับดักกลไกไม่ทำงาน

หากวันนี้ปรมาจารย์กลไกได้มาเห็นฉินโยวโยวสำแดงฝีมือ คาดว่าจะต้องละอายใจจนอยากหาเส้นบะหมี่มาผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอดเป็นแน่

ฉินโยวโยวตะลึงไปเล็กน้อยเนื่องจากท่าทางที่ดูสนิทสนมของเหยียนตี้ รอยยิ้มค่อยๆ จางลง

“เป็นอะไร” เหยียนตี้ถาม

“เมื่อก่อนเวลาข้าสะเดาะกลไกที่อาจารย์ทำได้ หรือไม่ก็ทำเรื่องอะไรให้อาจารย์เบิกบานใจ เขาล้วนจะชมเชยข้าเช่นนี้…แต่อาจารย์ชมข้าได้จริงใจกว่าท่านมากนัก” ฉินโยวโยวเบะปากพูด

ยังคงเป็นเด็กอย่างที่คิดจริงๆ! เหยียนตี้พูดอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า” และยิ่งไม่สนใจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้าด้วย

“ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ท่านฝันไปเถอะ” ฉินโยวโยวหันไปหยิบไข่มุกราตรีออกมาวางไว้บนโต๊ะ อีกทั้งหยิบคันฉ่องแก้วผลึกในถุงหนังที่พกติดตัวออกมาวางสะท้อนแสงไข่มุกให้ส่องไปที่พื้น

บนพื้นหินอ่อนสีขาวเรียบลื่นเกลี้ยงเกลาพลันปรากฏเส้นไขว้สลับกันเหมือนกับใยแมงมุมออกมาทันที เส้นเหล่านี้แทบจะทาบพอดีกับร่องระหว่างก้อนหินอ่อนอีกทั้งยังโปร่งแสง หากมิใช่ฉินโยวโยวจงใจใช้ลำแสงส่องเช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจเพียงใดก็ยังยากจะค้นพบ

ขอเพียงเหยียบไปบนเส้นนี้แค่ก้าวเดียว กลไกสังหารภายในคลังสมบัติก็จะทำงานทันที ถึงตอนนั้นลูกศรพิษนับไม่ถ้วนก็เพียงพอจะยิงผู้ที่เข้ามาจนพรุนเป็นตะแกรงได้

“ ‘ตาข่ายดินพิฆาตฟ้า’ นี้นับว่ามีระดับอยู่เล็กน้อย” ฉินโยวโยวกล่าวชมอย่างหาได้ยากยิ่ง

“เจ้าสะเดาะได้หรือไม่” เหยียนตี้เห็นฉินโยวโยวรู้ทันกับดักกลไกที่ร้ายกาจและเป็นความลับที่สุดในคลังสมบัติได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าไม่มีอะไรคุกคามนางได้อีก จึงนั่งลงปล่อยให้นางเดินอยู่ในคลังสมบัติเองอย่างสบายใจ

“ไม่ยากสักนิด” เมื่อเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินโยวโยวเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว นางก็มั่นใจในตนเองจนเข้าขั้นหลงตนเองทีเดียว ใบหน้าเล็กที่มีแววภูมิอกภูมิใจดูเปล่งประกายอยู่ภายใต้แสงอันนุ่มนวลจากไข่มุกราตรี งดงามกว่าท่าทางที่จงใจแสร้งทำเป็นอ่อนปวกเปียกในยามปกติไม่รู้ตั้งกี่เท่า

เหยียนตี้มองดวงหน้าเปื้อนยิ้มสว่างสดใสของนาง จิตใจก็พลอยเคลิบเคลิ้มหลงใหลโดยมีสาเหตุมาจากสตรีเป็นครั้งแรก “เจ้าลองสะเดาะกลไกทั้งหมดในคลังสมบัตินี้ที ดูว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร”

“สองเค่อยังเหลือเฟือ!” ฉินโยวโยวพูดด้วยความตื่นเต้น นางไม่ได้เล่นกับกลไกระดับนี้มาพักใหญ่แล้ว มือกำลังคันอยู่พอดี

นางคลำหากรรไกรสีเงินเล่มเล็กออกมาจากในถุงหนัง แต่จู่ๆ ก็เกิดความลังเลขึ้นมาอีก

“หากข้าสะเดาะแล้ว กลไกกว่าค่อนก็จะใช้การไม่ได้อีก ถ้ามีคนบุกเข้ามา…” ฉินโยวโยวหยุดพูดไป

“ช่วงนี้ข้าอยู่ในจวนตลอด ไม่มีใครเข้ามาในคลังสมบัตินี้ได้โดยที่ข้าไม่รู้ตัว เจ้าลงมือได้อย่างสบายใจ”

“อ้อ!” เจ้าของมั่นใจในตนเองเพียงนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว!

ฉินโยวโยวกวาดตามองห้องโถงใหญ่รูปวงกลมแห่งนี้รอบหนึ่งโดยอาศัยแสงจากไข่มุกราตรี ก่อนจะหาจุดสำคัญที่เชื่อมตาข่ายดินพิฆาตฟ้านี้เข้าด้วยกันพบได้อย่างง่ายดาย นางก้มตัวลง จับกรรไกรตัดเส้นไม่กี่เส้นตรงข้างกายโดยปราศจากความลังเล กลไกภายในคลังสมบัติเงียบกริบไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้แต่นิดเดียว

นางก้าวเท้าออกเดินอย่างรวดเร็ว เดินไปพลางก้มตัวลงตัดบรรดาเส้นพวกนี้เป็นระยะ เพียงประเดี๋ยวเดียวนางก็เดินรอบโถงใหญ่รูปวงกลมได้ครบรอบ และกับดักกลไกน่ากลัวทั้งหมดภายในคลังก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

“เรียบร้อย ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินอย่างไรก็ไม่เป็นไรแล้ว” ฉินโยวโยวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของคลังสมบัติอีกแห่งที่เชื่อมกับโถงใหญ่นี้ นางยิ้มตาหยีพลางเงยหน้าบอกเหยียนตี้

เหยียนตี้ลุกขึ้นยืน เขาสาวเท้ายาวเดินไปหานางโดยไม่แม้แต่จะมองเส้นใต้เท้าที่สามารถทำให้เกิดการโจมตีถึงตายจากลูกศรได้ ก่อนจะยกมือบีบปลายจมูกนางแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้ใจไป คลังสมบัติอีกแปดแห่งที่เชื่อมกับโถงใหญ่แห่งนี้ยังมีกับดักกลไกอีกไม่น้อย”

ฉินโยวโยวมองเขาแวบหนึ่งก่อนถามด้วยความแปลกใจ “ท่านไม่กลัวข้าจะหลอกท่านเลยหรือ หากข้าไม่ได้ตัดการทำงานของตาข่ายดินพิฆาตฟ้านี้จนหมด ท่านเผลอไปเหยียบเข้าก็อาจเสียชีวิตได้เชียวนะ”

“เจ้าไม่น่าจะทึ่มเพียงนั้น” เหยียนตี้ตอบอย่างใจเย็นไม่สะทกสะท้าน

ฉินโยวโยวแค่นเสียงเบาพลางบ่นงึมงำ “ข้ามันฝีมือเลิศล้ำเกินไป จิตใจดีงามเกินไปแล้ว” นางพูดแล้วสะบัดหน้าหนีไปสะเดาะกลไกอื่นต่อ

นางดูแบบร่างคลังสมบัติคร่าวๆ ตั้งแต่เมื่อคืน รูปร่างลักษณะของทั้งคลังจัดเรียงตามรูปแผนภูมิแปดลักษณ์ มีทางเข้าออกตรงไปยังห้องโถงใหญ่รูปวงกลมที่อยู่ใจกลางแผนภูมิเพียงทางเดียว ตั้งแต่ทางเดินบันไดถึงโถงใหญ่จนผ่านไปถึงคลังสมบัติอีกแปดแห่งที่ล้อมอยู่รอบโถง นางค้นพบกับดักกลไกถึงสามสิบหกกลไก หากบุกเข้ามาจากด้านนอก ยอดยุทธ์ขั้นเก้าทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านกลไกยังยากจะถอยกลับออกไปได้ครบสามสิบสอง นับว่าร้ายกาจพอสมควรแล้ว

ทว่าในสายตานางกลับเห็นช่องโหว่เต็มไปหมด ต่อให้บัดนี้นางสูญเสียตบะไปจนสิ้น แต่ขอเพียงสามารถจัดการเหล่าจั๋วที่เฝ้าประตูได้อยู่หมัดแล้วนางก็ยังเข้าออกได้อย่างไร้อุปสรรคเช่นเดิม ตั้งแต่เข้าคลังสมบัติมา นางใช้เวลาไปไม่ถึงสองเค่อก็สะเดาะกลไกทั้งหมดได้จนครบจริงๆ

เหยียนตี้มองดูนางรื้อถอนกลไกอย่างหมดจดว่องไว แม้ปากไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในใจกลับทอดถอนว่าได้เห็นเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาได้สิ่งล้ำค่าขั้นสุดยอดมาจริงๆ

วันนี้ได้เห็นกับตาตนเอง ระดับความแตกฉานเชี่ยวชาญด้านกลไกของฉินโยวโยวนั้นเหนือกว่าที่เขาคาดคิดไปไกล เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าฉีเทียนเล่อบ่มเพาะอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินโยวโยวในยามนี้ยังเป็นเพียงสาวน้อยที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีนางหนึ่ง สุดยอดนักกลไกที่ในวังให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดูเหล่านั้นเทียบนางไม่ติดสักนิด

ฉินโยวโยวเองก็ตระหนกตกใจมากเช่นเดียวกัน กลไกในคลังสมบัติใต้ดินแห่งนี้ไม่มีอะไรอัศจรรย์ใจแต่อย่างใด ทว่าสมบัติในคลังกลับมีมากมายจนชวนให้คนพูดไม่ออก นางติดตามข้างกายอาจารย์มาตั้งแต่เล็ก ของดีที่เคยเห็นมีมากจนนางนับไม่ไหว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นของล้ำค่าหายากจำนวนมากเพียงนี้ ไม่ว่านำชิ้นใดออกไปก็ล้วนทำให้คนนับไม่ถ้วนพากันคลุ้มคลั่งได้เลย ยามเห็นสมบัติบางชิ้นผ่านตา ฉินโยวโยวถึงขั้นจำได้ว่าเคยเห็นประกาศหลวงที่แคว้นใดสักแคว้นระบุว่ายินดียกเมืองทั้งเมืองให้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

สมบัติล้ำค่าเหล่านี้กลับมีของล้ำค่าทางโลกเป็นต้นว่าเงินทอง อัญมณี และภาพวาดภาพอักษรโบราณอยู่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาชนะหลอมและวัตถุดิบหลอมยาลูกกลอนสารพัดอย่าง ตลอดจนเคล็ดวิชา ยาลูกกลอน และอาวุธระดับเทพ

ภายในคลังสมบัติทั้งแปดแห่งล้วนมีไข่มุกวิเศษสำหรับรักษาของล้ำค่าเป็นต้นว่าไข่มุกกันฝุ่น ไข่มุกราตรี ไข่มุกกันไฟ รวมถึงไข่มุกกันน้ำอยู่ปริมาณมหาศาล ไข่มุกวิเศษเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ตระกูลมั่งคั่งใช้แสดงถึงตำแหน่งฐานะ ต่อให้มีสมบัติมหาศาลก็ใช่ว่าจะควักออกมาได้ตามสบาย แต่ที่นี่กลับวางไว้ส่งๆ ประหนึ่งเป็นก้อนหินธรรมดาก็มิปาน

มีสามคลังที่ล้วนวางกล่องหยกทั้งเล็กทั้งใหญ่เอาไว้ ดูจากกระดาษแปะบนกล่องก็เห็นเป็นสมุนไพรวิเศษที่ล้ำค่าหายาก มองไปทางใดก็มีแต่ขั้นหกขั้นเจ็ด กระทั่งขั้นเก้าก็มีอยู่ไม่น้อย ซ้ำยังมีอีกหนึ่งคลังที่วางเตาหลอมยารวมถึงยาลูกกลอนไว้จนเต็มชั้น แม้แต่ของที่แย่ที่สุดก็ยังเป็นขั้นห้าขึ้นไปทั้งสิ้น ราคาของคลังสมบัติทั้งสี่แห่งนี้นับว่าสูงกว่าของล้ำค่าภายในคลังสมบัติอีกสี่แห่งมากนัก

มิน่าระหว่างทางต้าจุ่ยกินหญ้าไหมทองสมุนไพรวิเศษขั้นห้าไปต้นหนึ่ง เหยียนตี้กลับไม่เจ็บไม่คัน ที่แท้เขาก็ไม่เห็นของขั้นต่ำพรรค์นี้อยู่ในสายตานี่เอง

“ท่านรวยยิ่งนัก!” ฉินโยวโยวอุทานขึ้นมา ไม่เสียแรงที่แคว้นเซียงเยวี่ยเป็นถึงแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นชินอ๋องของแคว้นนี้ออกจะมั่งมีเกินไปแล้วจริงๆ

คิดดูอีกทีก็รู้สึกไม่ค่อยถูกต้องอยู่บ้าง “ท่านว่าจวบจนบัดนี้คลังสมบัตินี้เพิ่งมีคนเคยเข้ามาเพียงห้าคน ท่านไม่กลัวข้าจะแพร่งพรายความลับหรือฉวยโอกาสตอนที่ออกแบบกลไกให้ท่านแอบขโมยของไปหรือไร”

“เจ้าไม่ทำหรอก” เหยียนตี้พูดอย่างมั่นใจ

“ท่านเชื่อมั่นในตัวข้ามากนี่” ฉินโยวโยวอดจะหลงตนเองขึ้นมาไม่ได้ นางมีใบหน้าที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว

เหยียนตี้ไม่ให้ความเห็น

จวบจนภายหลังฉินโยวโยวถึงได้รู้ว่าเหยียนตี้ไม่ได้เชื่อมั่นอะไรในตัวนาง แต่เขาแค่มั่นใจว่านางหนีไม่พ้นเงื้อมมือเขาแน่นอนก็เท่านั้น

เหยียนตี้พิสูจน์ฝีมือของฉินโยวโยวด้วยตนเองแล้วก็ยิ่งมั่นใจในแผนการของตนเอง ฉินโยวโยวรู้สึกว่าเขาดูจะอารมณ์ดีไม่เลว จึงถือโอกาสถามว่า “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านจำข้าได้อย่างไร”

“ไม่ได้” คำตอบของเหยียนตี้ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร ทำคนสะอึกได้ในทันที

ตัวสารเลวนี่!

“เก็บกรรไกรลงเสีย ต่อให้เจ้ายังไม่เสียตบะ แต่อาศัยมันก็ไม่มีทางทำข้าบาดเจ็บได้” เสียงราบเรียบของเหยียนตี้ยิ่งทำให้ฉินโยวโยวฟังออกถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยหยามเหยียดของเขา

ฉินโยวโยวเริ่มขุ่นเคืองอย่างหนักจนกลายเป็นแค้นใจ ตัวสารเลวนี่รู้ได้อย่างไรว่านางมีความคิดจะจับกรรไกรแทงเขาให้พรุน!

เหยียนตี้คล้ายมองไม่เห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของฉินโยวโยว เขายื่นมือไปจับมือซ้ายของนางไว้ก่อนเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ กลับไปคิดให้ดีว่าจะวางกลไกในนี้ใหม่อย่างไร ก่อนจะเสร็จงาน เจ้าก็อยู่ในจวนอย่างว่าง่าย อย่าไปที่ใด”

ใบหน้าเขายังคงราบเรียบไร้ความรู้สึกเหมือนที่แล้วมา แต่ฉินโยวโยวรู้สึกว่าเขากำลังยิ้ม ยิ้มอย่างมีเจตนาร้ายและได้ใจยิ่งนัก

พยัคฆ์ในที่ราบ! หากตบะนางยังอยู่ ต่อให้สู้เขาไม่ได้ก็ยังใช้อาวุธลับในตัวเล่นงานเขาให้เห็นดีกันได้ ทว่ายามนี้การเคลื่อนไหวการตอบสนองของนางช้าลงกว่าในอดีตไม่ใช่แค่สิบเท่า นางคิดจะลุกขึ้นต่อต้านตัวสารเลวที่มีความสามารถสูงจนน่าโมโหในเวลานี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย

ไม่รู้ว่าจอมแพทย์จะมาถึงเมื่อใด เมื่อก่อนทุกเรื่องล้วนมีอาจารย์เป็นผู้จัดการ สำหรับนางแล้วตบะมีไว้แค่ช่วยทำให้หูตาว่องไวและการเคลื่อนไหวรวดเร็วแม่นยำมีพลังขึ้นเท่านั้น หลังอาจารย์หายตัวไปนางถึงได้รู้ซึ้งว่าตบะที่สั่งสมมาคือเครื่องคุ้มครองชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง

“ตัวเลวทรามที่คิดค้นลูกกลอนสลายพลังนั่นออกมา! ข้าขอสาปแช่งให้คนผู้นั้นแต่งเมียไม่ได้ไปทั้งชาติ!” ฉินโยวโยวเข่นเขี้ยวเอ่ยกระซิบอย่างเคียดแค้น นางถูกยาลูกกลอนที่สมควรตายนี้ทำร้ายจนมีสภาพอันน่าอเนจอนาถ!

เหยียนตี้ฝีเท้าชะงัก ในดวงตามีแววประหลาดวาบผ่าน

“เป็นอะไรไป” ฉินโยวโยวมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ไม่มีอะไร” เหยียนตี้ใบหน้าไร้อารมณ์ แต่ฉินโยวโยวมั่นใจว่าเขา ‘มีอะไร’ แน่ๆ

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: