บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม
1
เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดลอยก็คือซย่าชิงยวนยังอยู่ในห้อง นางเปิดผ้าคลุมหน้าออกมาแล้ว กำลังนั่งที่ข้างโต๊ะถือสุรามงคลดื่มคู่กับเมล็ดแตง กินอย่างเอร็ดอร่อยมีความสุข เมื่อนางเห็นเขายืนเหม่อที่หน้าประตูก็ช้อนตาขึ้นมาแย้มยิ้ม
“ใต้เท้าลู่”
ลู่หย่วนใจลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เขาหยิบสุรามงคลจากข้างมือนางมาดื่มรวดเดียวหมด
“คืนนี้ประตูลานบ้านไม่ได้ลงกลอนไว้ องครักษ์ก็แยกย้ายไปหมดแล้ว หากเจ้าอยากไปจากเจียงตู ข้าจะช่วยเจ้าออกจากเมือง”
ลู่หย่วนก้มหน้า รอให้นางลุกขึ้นมา แต่เขากลับได้ยินนางหัวเราะ ก่อนจะถือไหสุราขึ้นมาและรินให้เขาจอกหนึ่ง
“ข้าไม่ไป”
เขาไม่มองนาง เพียงเล่นจอกสุราในมือ “เจ้าไม่กลัวข้าหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่บอกว่าสกุลลู่กับสกุลซย่า…มีความแค้นต่อกันหรือ”
หลังนางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าลู่ ข้าอยากคุยกับท่านสักหน่อย”
เขาวางจอกสุราลง มองนางแวบหนึ่ง แววตาอบอุ่นขึ้นกว่าตอนเพิ่งเข้ามาในห้องมาก “ว่ามา”
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรใต้เท้าลู่ถึงอยากขอข้าแต่งงาน แต่ข้าเดาว่าใต้เท้าลู่ไม่ใช่ตัวเดรัจฉานที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างญาติผู้พี่ข้า หากใต้เท้าลู่เห็นข้าเป็นศัตรูจริง เมื่อคืนนี้ก็คงไม่…ชะ…ช่วยข้าในห้วงวิกฤต”
พอนึกถึงเมื่อคืนนี้ นางก็หน้าแดงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “และข้าก็รู้ว่าลู่ซย่าสองตระกูลมีความแค้นข้ามรุ่น แต่ห้าปีก่อนข้าป่วยเป็นโรคร้ายแรง หลังหายดีก็ลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้ว ถ้าจะให้ข้าชดใช้หนี้ที่สกุลซย่าติดค้างสกุลลู่ ช่วยบอกข้ามาก่อนได้หรือไม่ว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หากเป็นบิดาข้าที่หักหลังคุณธรรมน้ำมิตร ปรักปรำท่านแม่ทัพลู่จริง ข้าจะตายใต้เงื้อมมือท่านก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว”
เขามองตานางด้วยสายตาซับซ้อน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เรื่องในตอนนั้นไม่ใช่ความผิดเจ้า”
แสงสว่างในดวงตานางดับลงทันควัน นางผินหน้าไปไม่มองเขา “แสดงว่าเรื่องที่บิดาข้ายื่นฎีกาฟ้องท่านแม่ทัพลู่เป็นความจริง ที่สกุลลู่ประสบเภทภัยก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลซย่าจริงๆ”
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดีจึงเทสุราอีกจอกดื่ม ถึงค่อยตอบคำถามนาง “ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ข้าผู้แซ่ลู่กำลังตรวจสอบ แต่ข้าไม่เคย…เกลียดชังเจ้า”
ในใจนางสั่นสะท้าน มองขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ประสานกับสายตาลุกโชติช่วงของเขาใต้เทียนแดง เสียงหัวใจเต้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดใต้เท้าลู่ถึงมาตามหาข้าถึงเจียงตู”
เขายิ้มเจื่อน “เจ้าอยากรู้จริงหรือ”
นางกัดริมฝีปาก สงครามใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
มือเขากุมจอกสุรา หมุนไปมาอยู่หลายรอบ อยากจะเอ่ยแต่ก็ยั้งไว้ชั่วขณะ สุดท้ายกลับทอดถอนใจ
“ข้าเคยรับปากคำฝากฝังจากผู้อื่นว่าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย”
นางเบิกตากว้างอย่างประหลาดระคนอัศจรรย์
ลู่หย่วนพูดต่อไปว่า “เมื่อห้าปีก่อนข้อกล่าวหาที่ใต้เท้าซย่ายื่นฎีกาฟ้องท่านพ่อคือซ่องสุมไพร่พลชุดเกราะ มีแผนจะก่อกบฏ ท่านพ่อจึงถูกสั่งคุมขังเพราะเหตุนี้ ผู้ที่รับผิดชอบพิจารณาคดีนี้คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายหานซู” เขาหยุดไปสักพักค่อยกล่าวต่อว่า “หานซูตรวจค้นจวนสกุลลู่เจอชุดเกราะทหารหนึ่งพันชุด เป็นชุดที่นักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นใช้ ท่านพ่อข้าจึงได้รับพระราชโองการให้กระทำอัตวินิบาตกรรม ตอนที่พระราชโองการลงมาถึง เขากำลังรักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนตำบลค่งหม่า”
นางรับฟังอย่างตั้งใจ ขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว หน้าผากทั้งสองแทบจะชนกัน
ลู่หย่วนมองขึ้นมาที่นาง ค่อยพูดต่อว่า “จากนั้นใต้เท้าซย่าก็ถูกพระเก้าพันปียื่นฎีกาฟ้อง หนึ่งในข้อหาก็คือทราบความแต่ไม่รายงาน ปกป้องพรรคพวกกบฏ เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าพรรคพวกกบฏผู้นั้นคือใคร”
นางช้อนตามองไปที่เขา ขนตายาวกระพือใต้เทียนแดงราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
“คือข้า” เขาพูดก่อนจะเอนไปข้างหลังเล็กน้อย
ลู่หย่วนหลุบตาลง ชั่วขณะนั้นสีหน้าของเขาอาจเรียกได้ว่า…มีทั้งความอาดูรเวทนา สิ้นหวัง หรือกระทั่งเย้ยหยันตนเอง
“ก่อนใต้เท้าซย่าจะเขียนฎีกายื่นฟ้องแม่ทัพลู่ ข้าเพิ่งได้รับคำสั่งให้โยกย้ายออกจากเมืองหลวงไปป้องกันชายแดนที่โม่ซี ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าชาวหูที่เข้ามาพึ่งพิงราชสำนักต้าลี่ การสื่อสารยังมีอุปสรรค เรื่องที่ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กระทำอัตวินิบาตกรรมที่ตำบลค่งหม่าข้าก็เพิ่งรู้จากตอนที่พูดคุยในยามว่างกับทหารที่ค่าย”
เขามองนางทีหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ผ่านไปไม่กี่วันใต้เท้าซย่าก็ต้องโทษจำคุก แต่ตอนนั้นข้ากลับถูกคนวางยา กว่าจะขยับเคลื่อนไหวได้ท่านพ่อข้าก็กระทำอัตวินิบาตกรรมในบ้านไปแล้ว อีกทั้งในวันเดียวกันไฟก็ไหม้จวนสกุลซย่า”
เขามองดูสีหน้านางแล้วค่อยพูดต่อ “ข้ากลับไปที่เมืองหลวง ซอกซอนไปมาอยู่หลายหนจึงหาตัวผู้บัญชาการราชองครักษ์ที่ย้ายข้าออกจากเมืองหลวงไปในตอนนั้นจนพบ เวลานั้นเขาก็ถูกลากเข้าคุกไปด้วย ถูกพระเก้าพันปีลงทัณฑ์ทรมานเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย เขาบอกข้าว่าคนที่ลอบสั่งให้โยกย้ายข้าออกไปจากเมืองหลวงก็คือเสนาบดีฝ่ายขวา ซย่าเยี่ยน
เขาบอกข้าว่าเสนาบดีฝ่ายขวารู้อยู่แล้วว่าข้าจะต้องกลับเมืองหลวงมา อีกทั้งยังฝากฝังข้า ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับสกุลซย่า ข้าต้องตามหาเจ้าให้พบ”
ซย่าชิงยวนยกสองมือปิดหน้า ก่อนจะก้มลงร้องไห้โดยไร้เสียง
ลู่หย่วนเล่าจบแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไปเป็นนาน
“ถ้าเช่นนี้ เรื่องราวในปีนั้น บางทีอาจจะมีความลับซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้” นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆ “แล้วคนอื่นในสกุลลู่เล่า พวกเขา…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ดูท่าเจ้าจะลืมทุกอย่างเสียสนิทแล้วจริงๆ” ลู่หย่วนยิ้ม เขาหมุนจอกสุราหนึ่งรอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่ผ่านมาท่านพ่ออยู่ตัวคนเดียว ทั่วทั้งจวนสกุลลู่ ผู้ที่ถือเป็นครอบครัวของเขามีเพียงข้าผู้เดียว”
นางฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างเหมือนจะโล่งใจ เห็นจอกสุราข้างมือเขาว่างเปล่าก็รินสุราให้จอกหนึ่ง
“แต่ว่าลูกศิษย์และผู้ติดตามของสกุลซย่ากับสกุลลู่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกคุมขังไต่สวน ไม่ก็เนรเทศ” สีหน้าเขาหนักอึ้ง แต่รับสุราจากนางไปอย่างเป็นธรรมชาติ
สีหน้านางเศร้าหมอง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้และเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นบิดาข้าแค่ให้ใต้เท้าตามหาข้า ไม่ได้ให้ท่านสู่ขอข้า”
ลู่หย่วนชะงักไป เขาสำลักสุราที่ดื่มไปครึ่งหนึ่ง ไอจนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยว่า “นะ…นี่เป็นแผนการเฉพาะหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือของสายของคนแซ่หานในเจียงตู”
เขากระแอมให้คอโล่งและกล่าวต่อ “พวกเขากริ่งเกรงข้าที่ได้รับตำแหน่งใหญ่โต ไม่มีทางผลีผลามแตะต้องเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่ใต้เท้าลู่สู่ขอข้าเป็นเพียงแผนเฉพาะหน้า” นางจ้องตาเขาเขม็งเพื่อขอคำยืนยัน
เขารีบร้อนหลบสายตานาง นิ่งไปครู่หนึ่งค่อยพยักหน้าและเอ่ยตอบรับ
ทว่าหลังพูดออกไปแล้ว ดวงตาเขาก็หม่นลงไปมาก ก้มดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนหมด
“ในเมื่อใต้เท้าลู่ไม่ได้ใฝ่หาในตัวข้า แล้วเหตุใดที่วัดโบราณเมื่อคืนนี้ถึงได้…” พอนึกมาถึงตรงนี้นางก็กระจ่างขึ้นมาทันที นัยน์ตาทอแววเย็นชาเยาะหยัน “ดูท่าใต้เท้าลู่ก็เป็นเฉกเช่นบุรุษทั่วๆ ไป ขอเพียงสตรีมาเยือนถึงที่ก็ไม่ละเว้น”
“ไม่ใช่นะ ข้า…” เขาขบฟัน มองไปที่นาง “เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งพูดไป ห้าปีก่อนข้าถูกพิษหนอนคุณไสยที่แดนโม่ซี”
“พิษหนอนคุณไสย?” นางฉงน
“ใช่” เขากระแอมขึ้น “พิษนี้แม้ไม่พรากชีวิต แต่ก็ไม่อาจถอน เมื่อออกฤทธิ์จะหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง เจ็บปวดเข้ากระดูกแขนขาทุกองคาพยพ จำต้องอยู่ร่วมในสถานที่เดียวกันกับผู้อื่น ให้ผิวหนังได้สัมผัสกันถึงจะบรรเทาได้”
เขาโคนหูแดงก่ำ อธิบายต่ออย่างตั้งใจว่า “เมื่อก่อนในยามออกฤทธิ์ก็ไม่เคยหาวิธีบรรเทาพิษได้มาก่อน เมื่อคืนนี้อยู่กับเจ้า…ถึงได้รู้”
นางฟังเข้าใจครึ่งๆ กลางๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แต่ลู่หย่วนกลับมีสีหน้าจริงจัง
“เพราะฉะนั้นเมื่อคืนนี้เจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้ เรื่องที่ข้าช่วยเจ้าเมื่อคืนนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทดแทนอะไรแล้ว”
ซย่าชิงยวนฟังลู่หย่วนอธิบายจนไม่มีคำโต้แย้งใดอีก
ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงค่อยพยักหน้าอย่างจำยอม
ลู่หย่วนลอบถอนใจโล่งอกกับตนเอง แล้วก็เห็นนางลากเก้าอี้โน้มเข้าหาเขา เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าขอบังอาจขอร้องใต้เท้าลู่เรื่องหนึ่ง”
เขาหนังตากระตุก เกิดลางสังหรณ์อัปมงคล หรี่ตามองนาง “ว่ามา”
“ได้ฟังใต้เท้าลู่เมื่อครู่ ใต้เท้าสู่ขอข้าเป็นแผนการเฉพาะหน้า ข้าแต่งให้ท่านก็เพราะไม่อาจทำอะไรได้ ในเมื่อท่านกับข้าไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เช่นนั้นไม่สู้…ต่างฝ่ายต่างตักตวงผลประโยชน์เสียเล่า”
สีหน้าลู่หย่วนเปลี่ยนจากสดใสเป็นหมองคล้ำแล้วก็เปลี่ยนเป็นสดใสอีกครั้ง เขาอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง สุดท้ายก็เอ่ยถามนาง “อะไรคือต่างฝ่ายต่างตักตวงผลประโยชน์”
นางเห็นสีหน้าเขาใช่จะไม่ยินดี ก็พูดต่อไปอย่างกล้าหาญ ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ข้ามีเงื่อนไขสองข้อ”
เขาเท้าคางมองนาง รู้สึกสนใจมากขึ้นกว่าเดิม “นั่นคือ?”
ซย่าชิงยวนกระแอมคราหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้อแรก ในเมื่อใต้เท้าลู่ยอมปกป้องข้า เช่นนั้นข้าก็ยอมอยู่กับท่าน อยู่ข้างนอกเสแสร้งเป็นสามีภรรยาจริงๆ ปกติใต้เท้าลู่จะนั่งนอนหรือทำอันใด ข้าจะไม่ก้าวก่ายแม้แต่น้อย แค่ในวันที่ไม่มีกิจธุระใด ข้าอยากขอให้ใต้เท้าลู่อนุญาตให้ข้าแต่งกายเป็นบุรุษ…ออกนอกจวนไปสืบคดี”
เขาใช้นิ้วหมุนจอกอย่างครุ่นคิด “เจ้าจะสืบคดีอย่างไร”
“นี่คือเงื่อนไขข้อที่สอง คิดว่าใต้เท้าคงได้เห็นที่ตรอกหนังสือเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เพื่อประทังชีวิตอยู่ในเจียงตูห้าปีมานี้ ข้าเรียนรู้…วิชาฝีมือมาไม่น้อย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำได้ก็จะทำตามที่ใต้เท้ามอบหมาย แต่ต้องทำตามกฎของบ่าวรับใช้ในจวน จ่ายเงินให้ข้าทุกเดือนเป็นพอ”
นางหยุดไปสักพักก็มองไปที่เขาตรงๆ แล้วเสริมอีกประโยค “เรื่องเมื่อห้าปีก่อนใต้เท้าก็อยากทราบความจริงใช่หรือไม่ ตอนนี้คนที่รู้เรื่องคดีก็ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ข้าคือพยานเพียงหนึ่งเดียว ทั้งยังสามารถใช้ข้าเป็นหมากในการโค่นล้มพระเก้าพันปี แก้แค้นให้ใต้เท้าลู่ แทนที่จะทิ้งไป มิสู้เก็บไว้ใช้งานดีกว่า ใต้เท้า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่”
ดวงตานางสว่างสุกสกาว เปล่งแสงที่ทำให้เขาไม่กล้าจ้องโดยตรง
ลู่หย่วนยังไม่ทันตอบคำ เพียงควานหยิบม้วนภาพจากในอกออกมาโยนลงบนโต๊ะ เปลี่ยนเรื่องเป็น “วิชาฝีมือที่แม่นางซย่าพูด หมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
นั่นเป็นภาพวังวสันต์ที่เขาเก็บได้ก่อนหน้านี้ ซย่าชิงยวนลนลานคว้าเอาไป “ข้าก็…ก็ไม่ได้วาดเป็นประจำ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝีมือในการคัดลอกภาพวาดของเจ้าแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป” น้ำเสียงของลู่หย่วนเปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง
“รู้ ดวงตาจิตรกรรมของสกุลซย่า ไม่ใช่หนึ่งในของวิเศษห้าอย่างหรอกหรือ หนังสือเรื่องเล่าของเจียงตูมักพูดถึง นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าลู่ก็เชื่อด้วย” นางมองเขาอย่างแคลงใจ กลับทำให้ลู่หย่วนจุกจนพูดไม่ออก
“ฝีมือของข้าแปลกประหลาดจริง เรื่องอื่นล้วนลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงสิ่งนี้ที่ยังจำได้ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนข้ามักจะฝึกฝนอยู่บ่อยๆ จรดพู่กันแล้วยังจำได้ว่าต้องวาดอย่างไร แต่นอกจากการที่วาดอะไรก็เหมือนแล้ว ส่วนอื่นก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก”
นางพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อก้มหน้าก็เห็นว่าบนภาพมีรอยเลือด จากนั้นนางก็มองไปเห็นแผลที่มือของเขา แววตาพลันร้อนรนขึ้นมา “ท่านบาดเจ็บมาหรือ”
ลู่หย่วนเก็บมือกลับไป “ไม่มีอะไร แค่ทำถ้วยชาแตก”
นางมุ่นคิ้วผุดลุกขึ้น หยิบขี้ผึ้งออกมาจากโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเดินย้อนกลับมายกมือเขาขึ้น บรรจงทาอย่างระมัดระวัง
ลู่หย่วนกระแอมขึ้นมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง “มีอะไรอีกหรือไม่”
กลิ่นยาหอมอวลไปทั่วห้อง ซย่าชิงยวนทาอย่างตั้งใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถามอะไร นางส่ายหน้าเอ่ย “ไม่มีแล้ว”
“แค่นี้เองหรือ” ลู่หย่วนก้มลงมา เห็นบนศีรษะนางปักปิ่นหงส์ ลำคอขาวสะอาดโผล่พ้นสาบเสื้อ ปลายผมเกี่ยวติ่งหู นางยกมือมาเหน็บผมไว้ที่หลังหูแต่ก็เหน็บไม่อยู่ ลู่หย่วนจึงยื่นมือไปช่วยนาง มือนางจับเข้ากับมือเขา ทั้งสองชะงักไปในพลัน ภาพฉากในเวลานี้ราวกับต้องมนตร์…ทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยากันจริงๆ
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าอยู่ข้างนอกให้แสร้งเป็นสามีภรรยากัน แล้วยามอยู่ในจวนเล่า เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เจ้าคิดจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ผู้แซ่ลู่เฝ้าชายแดนมานานปี ความประพฤติหยาบกร้าน หากกระทำการเสียมารยาทล่วงเกินเจ้า…เจ้าจะทำอย่างไร” เขาดื่มไปหลายจอกแล้ว เวลานี้สายตาที่มองนางก็ซุกซนขึ้นมา เทียนไขส่องลงบนชุดแต่งงานสีแดงสดที่ซ่อนดิ้นทองปักเป็นลายมังกรมัจฉาของเขาจนมันวาวเลื่อมพราย อีกทั้งดวงตาคมกริบดุร้ายที่กระโจนออกมาจากร่างที่สุขุมสง่างามก็ทอประกายอย่างพยศป่าเถื่อน
นางรีบปล่อยมือลู่หย่วนออก หนีห่างไปสามฉื่อ* “ท่านอย่าเข้ามานะ! ถ้าท่านเข้ามาอีกล่ะก็…ข้าจะสู้แลกชีวิตกับท่าน!”
“เมื่อวันก่อนเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้” ลู่หย่วนก้มลงจัดแขนเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วขยับเข้าหานาง กดคิ้วลงพินิจพิจารณาสีหน้านาง
“ที่วัดโบราณเมื่อวันก่อน เจ้ายินดีเป็นอย่างมากที่จะ…อยู่กับข้า”
“ตะ…ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร” นางถอยไปข้างหลัง ในใจคิดว่าถ้าลู่หย่วนขยับเข้ามาอีกนิดเดียว นางก็จะร่วงลงจากเก้าอี้แล้ว
“อ้อ แสดงว่าถ้าข้าไม่ใช่ลู่หย่วนแต่เป็นคนอื่น เจ้าก็จะไม่รักษามารยาทแล้ว?”
ลู่หย่วนยื่นมือข้ามไหล่นางไปเหมือนตั้งท่าจะโอบกอด นางผวาหลับตาลง แต่แล้วเขาก็แค่ยื่นมือไปหยิบยาที่วางอยู่ข้างหลัง พอเห็นนางหลับตาปี๋เขาก็หัวเราะแล้วตบไหล่นางเบาๆ ทำเอานางตกใจสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเอ่ยวาจาหยอกล้อว่า “ขี้กลัว” แล้วก็ลุกขึ้นถอดชุดแต่งงานสีแดงชาดออก ข้างในยังคงสวมเสื้อตัวในธรรมดาทั่วไป
วันนั้นนางวิงเวียนศีรษะ มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไร มาวันนี้ในที่สุดก็เห็นชัดแล้ว
เขา…รูปร่างไม่เลวเลยจริงๆ
นางท่องในใจว่าสิ่งที่เห็นล้วนเป็นอนัตตา ชายงามตรงหน้าเป็นบุคคลอันตรายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ใช่คนที่นางจะหลับนอนส่งเดชด้วยได้
ลู่หย่วนไม่สนใจนาง เดินตรงเข้าไปในห้องนอน คลี่ผ้านวมสีแดงสดออก เอนนอนลงไปโดยไร้เสียง
“อย่าลืมดับไฟเล่า” เขากำชับทีหนึ่งแล้วหลับตาลงจริงๆ
นางนั่งตัวแข็งที่หน้าโต๊ะอยู่เป็นนาน ก่อนจะถอนใจเบาๆ จากนั้นก็หยิบผ้านวมผืนบางจากตู้ไม้จันทน์ออกมาปูบนพื้นอย่างเบามือเบาเท้า ถอนปิ่นบนศีรษะออกแล้วนอนไปทั้งชุดนั้น
ผ่านไปไม่นานลู่หย่วนลืมตาขึ้น เห็นคนบนพื้นขดเป็นก้อนกลมห่อตัวอยู่ในผ้านวม นอนเหมือนเป็นกระสอบ เขามองนางเงียบๆ สักพัก จากนั้นก็ลงจากเตียงมาอุ้มนางขึ้นอย่างระมัดระวัง วางลงบนเตียงแล้วเก็บมุมผ้านวมให้
วันรุ่งขึ้นซย่าชิงยวนตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่บนเตียงก็ผวาผุดลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาลู่หย่วน
เวลานี้เองม่านประตูก็เลิกขึ้น ลู่หย่วนที่เหมือนดั่งคนในภาพวาดสวมชุดปกติเดินเข้ามา ยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับอาบไล้ด้วยลมวสันต์ เห็นนางนั่งเหม่อมองก็ถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ตื่นแล้วหรือ”
นางตบหัวใจที่อกสั่นขวัญผวา “ท่าน…เมื่อคืนนี้ท่านทำอะไร”
“จะทำอะไรได้ แค่เห็นว่าเจ้าน่าสงสาร เลยย้ายเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียง” ว่าแล้วเขาก็กล่าวเสริมเติมแต่ง “คุณหนูซย่าหลับได้น่าเกลียดยิ่งนัก ข้าทนมองไม่ได้จึงไปนอนที่ห้องข้าง”
ว่าแล้วเขาก็หยิบอ่างทองแดงมาเทน้ำใส่ จากนั้นก็ล้างหน้า
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ
“ขอบคุณเรื่องใด” น้ำใสไหลลงมาตามคางของเขาแล้วเลาะแนวกระดูกไหปลาร้าเข้าไปในสาบเสื้อ ทำเอานางมองจนหน้าแดง
“ก่อนหน้านี้ข้าชินกับการนอนบนพื้น แทบจะลืมไปว่า…การนอนบนเตียงเป็นความรู้สึกอย่างไร” นางกอดผ้านวมนั่งที่หัวเตียง หัวเราะอย่างโง่งม “ใต้เท้าลู่ เหมือนว่าที่จริงแล้วท่านจะเป็นคนดี”
การเคลื่อนไหวของลู่หย่วนที่กำลังถือผ้าเช็ดมือสะอาดหยุดชะงักไป มือข้างที่จับอ่างทองแดงไม่ขยับ ใบหน้าเดี๋ยวพร่าเลือนเดี๋ยวกระจ่างอยู่ในน้ำเหมือนกำลังยิ้ม
“เงื่อนไขที่เจ้าเสนอเมื่อคืนนี้ข้าจะรับไว้ เจ้ากับข้าแสร้งเป็นสามีภรรยาเช่นนี้ก็ดี” เขาเช็ดมือ หันไปเลิกม่านขึ้นแล้วเดินออกไป
บทที่ 2-2 สามีภรรยาปลอม
2
หลังงานเลี้ยงแต่งงานจบลง ทั้งสองก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันที
ก่อนกลับเมืองหลวง ซย่าชิงยวนเพิ่งทราบว่าญาติผู้พี่ถูกคุมขัง คดีที่เขาข่มเหงสาวใช้จนตายก่อนหน้านี้ถูกรื้อขึ้นมา ความผิดต้องโทษหลายประการ ถูกตัดสินให้ตัดศีรษะ เพื่อหลบเลี่ยงหายนะคนสกุลหานจึงยอมจากไปปล่อยให้เรือนร้าง
เมื่อเดินออกมาจากจวนที่ว่างเปล่าก็เห็นคนที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น ท่านป้าห่างๆ ของนาง อดีตนายหญิงของสกุลซย่าแห่งเจียงตู เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเคยเป็นบุตรีภรรยาเอกของสกุลซูจาก ‘สกุลซูแห่งปั้นเฉิง’ เกียรติยศกว้างขวาง คาดไม่ถึงเลยว่าครึ่งหลังของชีวิตจะติดหล่มประสบความลำบาก
แป้งบนใบหน้าของหญิงนางนั้นไม่หนาเท่าเวลาปกติ เพียงแต่ใบหน้าซีดขาว ในมือถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง
ซย่าชิงยวนแค่มองปราดเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นั่นคือของที่นางอยากกลับมาเอาโดยตลอด และก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้นางเสี่ยงกลับมาที่จวนสกุลซย่าอีกรอบ…ตราประทับของซย่าเยี่ยน เป็นสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวที่นางกำไว้ในมือหลังฟื้นขึ้นมาที่เจียงตู แม้ว่าของสิ่งนี้จะถูกท่านป้ายึดไปหลังนางฟื้นขึ้นได้ไม่นานแล้วไม่ได้คืน แต่นางจดจำความร้อนเย็นและผิวสัมผัสของตราประทับได้มาตลอด จำได้ว่าบนนั้นมีอักษรสลักไว้ว่า ‘อาคันตุกะแห่งตงซาน’ ภายหลังท่านป้าเคยวางแผนหลอกนางว่านางก็แค่ป่วยจนเพ้อไปเอง คิดว่าตนเองคือคุณหนูสกุลซย่า ความจริงแล้วเป็นแค่หญิงสาวเสียสติที่ถูกทิ้งไว้ที่ประตูจวนในคืนหิมะตกเท่านั้น เป็นตนเองที่ใจดีถึงได้รับเอาไว้ไม่ให้หนาวตาย แต่นางกลับไม่สำนึกบุญคุณ ทว่าซย่าชิงยวนไม่เคยโต้เถียงเพราะนางจำตราประทับได้ ขอเพียงสิ่งนั้นเป็นของของนาง นางก็คือซย่าชิงยวน นางก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือไปรับกล่องมาเปิดออกลูบไล้ตราประทับหยกผิวลื่นเย็น ก็พลันรู้สึกแสบที่จมูก
“ตอนแรกข้าไม่คิดจะให้ของสิ่งนี้กับเจ้า” อีกฝ่ายเอ่ยปาก เสียงแหบแห้งราวกับมาจากขุมนรก “แต่ผู้อื่นสั่งมา”
“ผู้ใดเป็นคนสั่งมาหรือ” ซย่าชิงยวนมองไปที่สตรีผู้นั้น
อีกฝ่ายแค่นเสียง ในดวงตามีความขุ่นแค้นแรงกล้า นางมองเพียงแวบเดียว ความหนาวเย็นก็ปะทะขั้วหัวใจ
“เจ้าตายไปก็ไม่มีทางรู้” สตรีผู้นั้นขยับมุมปากยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นเมื่ออยู่บนใบหน้าที่ขาวซีดของนางแล้วดูผิดแผกอย่างยิ่ง “ซย่าเยี่ยนทำลายสกุลซย่าแห่งเจียงจั่ว แล้วสวรรค์ก็ส่งเจ้าให้มาอยู่ในมือ เดิมข้าคิดจะทำลายเจ้า จึงจะถือว่าไม่ได้ทำผิดต่อบรรพบุรุษ ใครจะนึกว่าเจ้าจะอำมหิตเพียงนี้ กลับให้ร้ายบุตรชายข้าจนตาย”
“เขาทำตัวเขาเอง ต้องรับผลกรรมจากความผิดที่เขาก่อ” ซย่าชิงยวนมองสตรีผู้นั้นตรงๆ ไม่ขยับแม้แต่ครึ่งก้าว
“หึ! เพราะฉะนั้นต่อให้ข้าตายไป ก็จะไม่มีทางบอกเจ้าว่าใครเป็นคนช่วยเจ้าไว้ในตอนแรก ให้เจ้าถูกผู้อื่นหลอกลวงไปชั่วชีวิต ใช้ชีวิตเหมือนเป็นเรื่องชวนหัว ไม่ว่าไต่เต้าสูงเพียงใดก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดชักใย ได้แต่ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น!” สตรีผู้นั้นริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาทอประกายสิ้นหวังแต่ก็ได้ใจ
หลังซย่าชิงยวนฟังสตรีผู้นั้นตวาดก็ก้มลงยิ้ม “คำพูดนี้ของหานฮูหยินหมายถึงตัวท่านเองต่างหาก”
จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเบาทว่าชัดถ้อยชัดคำ “สถานะของตัวข้า ข้าจะสืบทราบให้กระจ่างเอง หานฮูหยินไม่ต้องเปลืองแรง คำพูดของฮูหยินจะไม่มีทางเป็นจริงแม้แต่คำเดียว”
นางพูดจบก็ออกจากจวนไปโดยไม่หันกลับ ที่ด้านหลังแว่วเสียงกรีดร้องสุดปอดของสตรีผู้นั้น แล้วนางก็ไม่ได้ยินอีกต่อไป
รถม้าขององครักษ์อวี่หลิงจอดอยู่นอกประตู นางลังเลครู่หนึ่งแล้วก็เลิกม่านรถกระโจนขึ้นไป แต่นึกไม่ถึงว่าลู่หย่วนจะนั่งอยู่ในรถ ซย่าชิงยวนตกใจ ยืนไม่มั่นเกือบถลาเข้าไปในอ้อมกอดเขา
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่วัดโบราณ ขอเพียงนางเห็นลู่หย่วนก็มักจะเกิดความคิดที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่เขาในตอนนี้ไม่ใช่คนผ่านทางที่บังเอิญมาเจอกันอีกแล้ว ถ้าเผลอก้าวพลาด คนที่จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นก็คือนาง
ซย่าชิงยวนใจลุ่มๆ ดอนๆ เป็นฝ่ายดึงมือกลับมาก่อน
แต่ลู่หย่วนรั้งแขนนางไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มมองนาง “เจ้ากอดข้าแต่เช้าเลย” ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างจริงจังว่า “เมื่อครู่…หานฮูหยินสร้างความลำบากให้เจ้าหรือไม่”
ซย่าชิงยวนส่ายหน้าพลางยิ้ม “ก็แค่คุยเรื่องในบ้านทั่วไป”
เขาร้องอ้อ ปล่อยนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจัดแขนเสื้อตนเอง
ทั้งสองนั่งหันเข้าหากันตัวตรงแหน็ว ดูคล้ายคู่ครองที่ให้เกียรติกัน
รถม้าขับเคลื่อนออกจากเจียงตูแล้ว ซย่าชิงยวนครุ่นคิดเป็นคำรบที่สาม ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าลู่ ข้ากับท่านแต่งงานกัน สายของคนแซ่หานที่เมืองหลวงจะสร้างความลำบากให้ท่านหรือไม่ ต่อให้ฐานะของข้ายังไม่กระจ่าง แต่อย่างไรก็ยังแซ่ซย่า”
ลู่หย่วนเลิกคิ้วมองนาง “กลัวข้าลำบากเพราะเจ้าหรือ”
นางแย้มยิ้มตามมารยาท “ข้ากลัวว่าเพิ่งจะแต่งงานก็กลายเป็นหญิงม่าย”
เขาเอนหลังพิงตัวรถ เลิกม่านขึ้นมองทิวทัศน์ภายนอก “เจ้าเป็นทายาทขุนนางต้องโทษ ข้าก็เป็นทายาทขุนนางต้องโทษ ถึงไม่แต่งกับเจ้า สายของคนแซ่หานก็ไม่มีทางปล่อยข้าไป ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อแผนการที่ข้าวางไว้เอง คุณหนูซย่าไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ซย่าชิงยวนพยักหน้าเหมือนวางใจแล้ว จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ นางอยากจะพูดแต่ก็ยั้งไว้
ลู่หย่วนมองนางเที่ยวหนึ่ง “ยังอยากถามอะไรอีกหรือ”
“ไปเมืองหลวงแล้ว ท่านกับข้าต้องอยู่ที่เดียวกันหรือไม่”
ลู่หย่วนยืดตัวขึ้นมา ซย่าชิงยวนรีบหันศีรษะทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างทันที “เจ้าอยากอยู่ที่เดียวกันกับข้าหรือ” น้ำเสียงซุกซนอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูนาง
“มะ…มะ…ไม่ใช่สักหน่อย!” ซย่าชิงยวนลนลานโบกมือ
ลู่หย่วนเลิกกล่าวล้อเล่น เพียงตอบคำเรียบๆ “เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องอยู่อาศัยที่เดียวกัน ข้ามักจะทำคดีอยู่ที่หน่วยองครักษ์อวี่หลิง ไม่ค่อยได้กลับจวน”
นางฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ผิดหวัง จึงเพียงพยักหน้าและพึมพำกับตนเองว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน…ลดเรื่องยุ่งยากไปได้หลายอย่าง”
ลู่หย่วนเท้าคาง ชักสนใจใคร่รู้ “เรื่องยุ่งยากอันใด”
ซย่าชิงยวนยิ้มกล่าว “จะได้ไม่ต้องคอยระวังป้องกันใต้เท้าลู่มาทำตัวมากตัณหาอีก จากนี้ไปท่านกับข้าต่างคนต่างอยู่ สะสางหนี้เก่าหมดสิ้นแล้วก็ไม่มีใครติดค้างใคร”
ลู่หย่วนยิ้มตอบตามมารยาทบ้าง “เรื่องสืบหาเบาะแสก็มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน” คิดแล้วเขาก็เสริมขึ้นอีกว่า “เรื่องในเมืองหลวงอาจยุ่งยากกว่าที่เจ้านึกไว้เสียอีก ทำตามที่เจ้าเคยว่าไว้นั่นล่ะ ข้าจะจัดสรรเบี้ยหวัดรายเดือนจากบัญชีให้เจ้าเป็นระยะ”
ซย่าชิงยวนยิ้มแฉ่งขึ้นมาทันที “ขอแค่ใต้เท้าลู่ให้เงิน เรื่องที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
3
เวลาเดียวกันภายในเมืองหลวง ควันธูปตลบอบอวลอยู่ในตำหนักซานชิงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของพระราชวัง
ตามคำเล่าลือในโลกภายนอก ตั้งแต่ฮองเฮาสวรรคตเมื่อห้าปีก่อน ฮ่องเต้หลิวเสวียนหลี่ก็หลงงมงายในศาสตร์เล่นแร่แปรธาตุ ลุ่มหลงการปรุงยาอายุวัฒนะ อำนาจการปกครองทั้งหมดล้วนมอบให้พระเก้าพันปี แต่นับจากลู่หย่วนกลับเมืองหลวงมารับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิงแล้ว เขาก็กลายเป็นคนกลุ่มน้อยนอกจากพระเก้าพันปีที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ส่วนลึกของพระตำหนัก ฮ่องเต้นั่งตัวตรงบนแท่นบูชา มือถือแซ่นักพรต ดวงตาหลุบลง มองไปยังเตาหลอมยาที่อยู่ไม่ไกล
“ใต้เท้าลู่”
ลู่หย่วนคำนับ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“งานแต่งของเจ้าเมื่อวันก่อนเราไม่สามารถไปด้วยตนเองได้ เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนบนแท่นบูชา กุมไม้เท้าลายมังกร คลำทางลงบันไดมาทีละก้าว
ลู่หย่วนลุกขึ้นยืนแต่ไม่ได้เข้าไปประคองฮ่องเต้ เพียงมองดูเขามาหยุดยืนตรงหน้าตนเอง
“ตอนนั้นเรากำราบแม่ทัพลู่กับเสนาบดีฝ่ายขวา…ได้ยินมาว่ายามนี้บุตรีโทนสกุลซย่าจำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” สายตาของฮ่องเต้เหมือนทอดพระเนตรไปยังสถานที่แสนไกล
“เรื่องในตอนนั้นกระหม่อมก็ลืมสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลู่หย่วนมีสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาทควรทราบ ห้าปีก่อนกระหม่อมต้องพิษหนอนคุณไสย อายุขัยลดลงอยู่ได้ไม่เกินสิบกว่าปี งานสมรสของกระหม่อมกับชิงยวนเป็นเพียงพระราชโองการจากฝ่าบาท เป็นแผนเฉพาะหน้าเพื่อปกป้อง ‘ดวงตาจิตรกรรม’ ไม่ให้ถูกสายของคนแซ่หานกับราชนิกุลทำลายเท่านั้นเอง”
ลู่หย่วนมองดูไฟในเตาหลอมยา แต่คำที่กล่าวออกมากลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยอะไรอยู่นาน มีเพียงเสียงปะทุของเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในเตาหลอมยา หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เรียกเจ้ามาเพราะเรื่องที่เราเคยมอบหมายไว้ก่อนหน้านี้…มีข่าวคราวใหม่ ในเมื่อซย่าชิงยวนทายาทของ ‘ดวงตาจิตรกรรม’ ถูกเจ้าพบแล้ว นอกจากนักรบอาชาพยัคฆ์เผ่น ตอนนี้สิ่งที่เหลือก็มีแค่ภาพวาดนทีคัมภีร์ธารา”
ลู่หย่วนเงยหน้าขึ้นทันควัน เขามองไปที่ฮ่องเต้
“ช่วงหลังมีโจรกบฏที่แถบเจียงไหว บอกว่าตนเป็นทายาทราชวงศ์ รวบรวมเงินกว้านซื้อนักฆ่า ยามนี้หัวหน้าของพวกมันมาถึงเมืองหลวงแล้ว” ฮ่องเต้คิดคำนึงอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมต่อ “ได้ยินว่าโจรกบฏนั้นเป็นสตรี อายุ…รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าและชิงยวน ดูเหมือนว่าจะชื่อ…เสาเย่า”
เปลวไฟในเตาหลอมยาเปลี่ยนจากแดงเป็นน้ำเงิน ลู่หย่วนนึกถึงเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า ตอนที่เขานึกว่าตนจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่คุกปิดตายในค่งหม่าก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ฮ่องเต้ที่ดวงตาบอดไปแล้วค้ำดาบยืนอยู่ในคุกปิดตาย ไม่ไหวติงดุจขุนเขา ‘เราอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน อยากสั่งเสียเจ้าให้ตามหาบุตรเพียงหนึ่งเดียวของเรากับฮองเฮา…องค์หญิงที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน ในมือของนางมีภาพวาดนทีคัมภีร์ธารา’
ฮ่องเต้เดินไปทางเตาหลอมยาแล้วใช้ท่อนเหล็กเขี่ยไฟในเตา
“มีเพียงตามหานางพบ เสนาบดีฝ่ายขวาและแม่ทัพลู่ในตอนนั้นจึงจะไม่ตายเปล่า ผู้คนในใต้หล้าจะได้ไม่ตกอยู่ในสงครามกลียุคอีก”
หลังพูดคุยจบลู่หย่วนก็กล่าวลา ในพระตำหนักเหลือเพียงควันที่ม้วนเป็นเกลียวจากกระถางเครื่องหอม
ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน จากนั้นถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนลึกที่มืดมิด
“เสาเย่า เจียงหลี อวี่อี ตอนนั้นเจ้าไม่ให้อภัยเราจวบจนวันตายจริงด้วย”
บทที่ 2-3 สามีภรรยาปลอม
4
ซย่าชิงยวนนึกไม่ถึงว่าแม้ตอนนี้ทั้งจวนสกุลลู่จะเหลือลู่หย่วนเพียงผู้เดียวที่แซ่ลู่ แต่การจะเป็นฮูหยินของเขาไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะว่าลู่หย่วนในตอนนี้มีหน้ามีตาโดดเด่นเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงเหมือนกับเป็นการบีบให้นางไปยืนอยู่กลางคลื่นมรสุมของวงซุบซิบนินทาในเมืองหลวงของราชสำนักต้าลี่
อย่างเช่นวันแรกที่มาถึงเมืองหลวง คนที่มาเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีและแวะสอดส่องซย่าชิงยวนบุคคลที่เป็นทายาทของขุนนางต้องโทษผู้โด่งดังในตำนานก็เนืองแน่นเต็มจวนสกุลลู่ชนิดที่ว่าน้ำไม่สามารถไหลผ่าน นางนั่งอยู่ในห้องโถง ปฏิเสธของขวัญไปพลางกล่าวคำทักทายไปพลาง แย้มยิ้มจนต้องลอบกัดฟัน ส่วนลู่หย่วนต้องไปจัดการกิจของราชสำนักแต่เช้า ไม่กลับมาทั้งคืน
อา ข้าเกือบตกหลุมพรางชายงามของลู่หย่วนเข้าให้แล้ว คนผู้นั้นจริงๆ ก็ใจร้ายใจดำเหมือนรูปร่างหน้าตานั่นล่ะ
วันที่สอง วันที่สาม เขาก็ยังไม่กลับมา ซย่าชิงยวนค่อยเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางจึงส่งบ่าวรับใช้ไปสอบถามสถานการณ์ ไม่ทันไรบ่าวรับใช้ก็กลับมา อ้ำอึ้งไม่ยอมพูด นางใช้น้ำเสียงดีๆ เกลี้ยกล่อมเขาว่ามีอะไรให้รีบพูดมาจะไม่ลงโทษ อีกฝ่ายลังเลก่อนค่อยเอ่ยตอบ
“ตะ…ใต้เท้าลู่ ขะ…เขาอยู่ที่หอเทียนเซียง”
หอเทียนเซียงคือหอคณิกาที่ใหญ่สุดของเมืองหลวง ดินแดนอบอุ่นอ่อนโยนที่สามารถทำให้ละลายทรัพย์ได้ถึงพันตำลึง
นางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะดังตึง น้ำชาเกือบลวกมือนางบาดเจ็บ
ลู่หย่วนเพิ่งแต่งงานได้สามวันก็ไปเที่ยวหอคณิกาแล้วหรือ!
ทว่านางโกรธได้ครู่เดียว เมื่อนึกถึงฐานะที่แท้จริงของตนก็คลายโกรธลงทันใด
พวกนางเป็นแค่สามีภรรยาตามข้อตกลง ต่อให้ลู่หย่วนอยู่อาศัยที่หอเทียนเซียงนางก็จะไม่ก้าวก่าย อย่างมากก็แค่ดูแคลนในศีลธรรมของเขา แต่นางก็ไม่ได้คาดหวังศีลธรรมจากเขามากนัก
ซย่าชิงยวนพยายามสงบสติอารมณ์ หยิบถ้วยชาขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ววิจารณ์เรียบๆ “ปกติใต้เท้าลู่…มีงานอดิเรกหลากหลายเช่นนี้ เกรงว่าจะกระทบต่อสุขภาพ”
บ่าวรับใช้ได้แต่เอ่ยอย่างอ้ำอึ้งว่า “แต่คราวนี้ใต้เท้าถูกพระเก้าพันปีเชิญไปที่หอทองของหอเทียนเซียง ไม่กลับมาสามวันแล้ว เกรงว่าจะเกิดเรื่องบางอย่าง”
พระเก้าพันปี…หานซู
น้ำชาในมือซย่าชิงยวนกระเพื่อม นางมาถึงเมืองหลวงได้ก็ด้วยการดูแลจากลู่หย่วน หากเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับลู่หย่วน นางก็ต้องเริ่มต้นใหม่ อีกทั้งมาถึงเมืองหลวงได้สามวันแล้ว จะด้วยน้ำใจไมตรีหรือเหตุผลก็ควรไปพบบุคคลสำคัญอย่างพระเก้าพันปีเสียหน่อย
“เตรียมรถ ไปหอเทียนเซียง”
5
ซย่าชิงยวนเตรียมใจเอาไว้เต็มที่ หลังลงจากรถม้ามายืนที่หน้าประตูหอเทียนเซียงก็เดินเข้าไปทางประตูหลักโดยสายตาไม่ว่อกแว่กท่ามกลางเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบจากคนที่สัญจรไปมาที่กำลังมุงดูความสนุก ดูไปแล้วเหมือนกับ…มาจับชู้จริงๆ
“ฮูหยินที่เพิ่งแต่งของใต้เท้าลู่ผู้นี้ร้ายกาจเสียจริง ถึงกับมาหาคนถึงที่หอเทียนเซียง”
“ใต้เท้าลู่ก็ไม่เอาไหนเลยจริงๆ เพิ่งแต่งได้สามวันก็ไปเที่ยวหอคณิกาเสียแล้ว ถ้าข้าเป็นฮูหยินล่ะก็จะตัดขาเขาให้ขาดไปเลย”
“ได้ข่าวว่าทั้งสองมีความแค้นระหว่างตระกูล บางทีคนแซ่ลู่อาจจงใจทำให้นางไม่มีทางถอย”
“ความแค้นระหว่างตระกูลคือการแก่งแย่งกันในราชสำนัก มารังแกสตรีเช่นนี้นับเป็นอะไรได้”
“ชู่ อย่าพูดเหลวไหล ตอนนี้สายของคนแซ่หานมีอยู่ทั่วทุกที่ เจ้าระวังศีรษะตนเองเอาไว้เถอะ”
ระหว่างเดินซย่าชิงยวนปาดเหงื่อบนหน้าผาก กัดฟันด่าลู่หย่วนในใจเป็นพันรอบ หอทองอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอเทียนเซียง เป็นห้องรับรองแขกที่มีแต่คนสำคัญในราชสำนักเท่านั้นที่จองได้ นางไต่ขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างสู้สุดใจ ด้านหลังตามด้วยฝูงคนจอแจที่มาชมความสนุก หอทองอยู่ตรงหน้านี้เอง เสียงเครื่องดนตรีนานาชนิดดังออกมาจากหลังฉากกั้นทองหนาหนัก นางสูดหายใจเข้าลึกๆ กระแอมให้คอโล่ง กำลังจะเอ่ยปากออกไป ฉากทองนั้นพลันเปิดออก
ภาพภายในห้องทำให้นางนึกถึงบทกวีที่เคยอ่านสมัยก่อน
บุปผาล้นห้องสามพันเมามาย
หอทองเป็นหอที่อยู่ในหออีกที สร้างเป็นโถงกว้างขนาดใหญ่กลางอากาศที่สูงเท่าหอสามชั้น ห้องข้างในล้วนตกแต่งทาเคลือบด้วยสีทอง ท่ามกลางม่านโปร่งที่พลิ้วไหว มีหญิงงามแต่งหน้าเต็มที่เดินขวักไขว่ไปมาโดยไร้เสียง รินสุราเติมอาหารให้บรรดาแขกเหรื่ออย่างเป็นระเบียบ บนเพดานกลางโถงใหญ่เป็นซุ้มเพดานไม้ทาสีทอง สลักยื่นออกมาเป็นมังกรทองตัวหนึ่ง ปากมังกรคาบมุก หันหน้าตรงกับที่นั่งประธานที่สุดปลายโถงใหญ่ นางอดรู้สึกหนาวยะเยือกไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าการจัดวางของห้องโถงใหญ่นี้ก็คือพระราชวังขนาดเล็ก บนที่นั่งประธานมีบุคคลสูงศักดิ์สวมอาภรณ์สีม่วง คิ้วยาวเรียวบาง มือถือแส้นักพรต คาดว่าคงเป็นพระเก้าพันปี
“บุตรีสกุลซย่าอย่างนั้นหรือ ไม่เจอกันหลายปี เติบใหญ่เพียงนี้แล้ว” พระเก้าพันปีเปรย น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง ยามนี้นางค่อยนึกได้ว่าหานซูก็เป็นเช่นเดียวกับแม่ทัพลู่ผู้ล่วงลับ ต่างเคยเป็นสหายเก่าที่ร่วมเป็นร่วมตายตีชิงใต้หล้า เพียงแต่ทุกวันนี้ดาบเลื่องชื่อซุกซ่อนในเขาลึก นายทัพขุนนางลือชาตกตายสิ้นชีวิต มีแค่หานซูที่สงบสุขปลอดภัย เพียงแต่มือย้อมเต็มไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์
“เข้ามาอีกหน่อย ให้ข้าได้ยลดูเจ้า”
เมื่อครู่ซย่าชิงยวนมองไปโดยรอบไม่เห็นลู่หย่วน ถ้าเขาไม่อยู่ในงาน…นางไม่กล้าคิดต่อ ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในส่วนลึกที่หานซูนั่งอยู่ทีละก้าว
ภายในโถงใหญ่เงียบงันไปชั่วขณะ ฝูงชนต่างหยุดพูดคุยเบาๆ และดื่มสุรา มองดูนางผ่านม่านโปร่งเป็นชั้นๆ
ซย่าชิงยวนยืนคำนับในจุดที่ห่างจากหานซูไม่ไกล เมื่อเงยขึ้นมาก็พบว่าหานซูกำลังยิ้มมองตนเอง
“หน้าตาคล้าย…หลิงจวีมากกว่า” เขาก้มหน้า ผลักจอกสุราที่ตั่งเตี้ยตรงหน้าให้นาง “สุราจอกนี้คารวะให้เจ้า”
ซย่าชิงยวนสั่นสะท้าน นึกถึงเมื่อก่อนที่ท่านป้าเคยพูดถึงเป็นเชิงดูแคลนโดยไม่ได้ตั้งใจว่าชื่อก่อนแต่งงานของมารดานางคือหลิงจวี ก่อนหลิงจวีแต่งงานให้ซย่าเยี่ยนเคยเป็นยอดบุปผา* ที่มีชื่อเสียงของหยางโจว ตอนนั้นแผ่นดินอยู่ในสงครามกลียุค ซย่าเยี่ยนมีชาติกำเนิดจากตระกูลที่โดดเด่นของเจียงจั่ว เร้นกายในหุบเขาลึกเป็นเวลาหลายปี หลิวเสวียนหลี่เชิญเขาไปเป็นกุนซือทหาร ทำงานง่วนอยู่ห้าปี สร้างผลงานความดีมากมายแต่ไม่ตบแต่งภรรยาเลยสักคน เมื่อชื่อเสียงอยู่ในจุดสูงสุดแม่สื่อแม่ชักในเมืองหลวงต่างก็มาเยี่ยมเยียนไม่หยุดหย่อน ทว่าสุดท้ายเขากลับสู่ขอหญิงดีดผีผานางหนึ่งจากเมืองหยางโจว นั่นคือความหลังครั้งเก่าที่ซย่าชิงยวนพยายามไขว่คว้าแต่ไม่อาจจดจำ เมื่อกลับมาเมืองหลวง เรื่องแต่ละอย่างก็ค่อยๆ เผยให้นางเห็นเช่นนี้
“เรียนถามพระเก้าพันปี หลิงจวีคือผู้ใด” ซย่าชิงยวนยิ้มอย่างอ่อนช้อยมองดูพระเก้าพันปี ในดวงตาดูใสซื่อไร้พิษภัยไม่เสแสร้ง แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา มือนางซ่อนอยู่ในช่องแขนเสื้อ ทว่ากลับอดที่จะสั่นระริกเบาๆ ไม่ได้ นางจะยอมรับต่อหน้าหานซูไม่ได้เด็ดขาดว่านางคือซย่าชิงยวน
“ท่านเสนาบดีโปรดอย่าถือสา ภรรยาข้า…ป่วยหนักเมื่อห้าปีก่อน เรื่องราวก่อนอายุสิบห้าล้วนลืมสิ้น”
ซย่าชิงยวนได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจหันมองไปตามเสียง ก่อนจะพบว่าลู่หย่วนนั่งอยู่บนที่นั่งด้านซ้ายของบริวารหานซู ซึ่งเป็นจุดที่เมื่อครู่นางมองไม่เห็นพอดี
หานซูมองนางแล้วค่อยมองเขา จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะสะท้อนก้องอยู่ในโถงใหญ่
“ดี ในเมื่อใต้เท้าลู่ช่วยคลี่คลายให้ฮูหยิน เช่นนั้นจอกนี้เจ้าก็ดื่มปรับแทนนางแล้วกัน”
ซย่าชิงยวนกำลังยืนอยู่กับที่คิดคำนึงว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร ลู่หย่วนก็ยืนขึ้นมารับสุราที่หญิงงามนำมาส่งให้ไปดื่มรวดเดียวหมด แล้วส่งสายตาบอกให้นางเข้ามานั่ง นางเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าไปในไม่กี่ก้าว นั่งลงที่ข้างเขา แต่นึกไม่ถึงว่าลู่หย่วนจะคว้าเอวนางไว้แล้วดึงนางเข้ามาแนบข้างตัว มือของเขาเพียงแตะเบาๆ ที่เอวนาง แต่ซย่าชิงยวนหน้าผากผุดเหงื่อชั้นบาง ใจเต้นรัวจนสงสัยว่าลู่หย่วนจะได้ยิน
ทว่าเขาแค่ก้มหน้าดื่มสุราราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 พ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.