X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ลำนำรักมังกรดำ ชุด หัวใจเจ้าทะเล

หน้าที่แล้ว1 of 34

บทนำ

ดวงอาทิตย์ใกล้จะจมลงทางฝั่งตะวันตก ลมราตรีพัดโชยเอื่อยบนทะเลสีส้ม ลูกคลื่นเล็กละเอียดตีกระทบลำเรือสีดำ พาให้เกิดเสียงที่คุ้นเคยเบาๆ

ใบเรือลดต่ำลง เรือใหญ่สีดำที่นางโดยสารอยู่กำลังจอดเทียบฝั่ง

กลีบเมฆสูงทางตะวันออกสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลับยอดเขาไปนานแล้ว ทำให้คนหลงนึกว่าดวงอาทิตย์กำลังจะลอยขึ้น นึกไปว่ายามนี้คืออรุณรุ่งมิใช่ยามสายัณห์

นางนั่งอยู่บนคานสูงของเสากระโดงเรือหลัก มองกลีบเมฆเหนือทะเลไกลๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีสันต่างๆ ด้วยแสงอาทิตย์ จากสีส้มไปถึงชมพู กระทั่งม่วงอ่อนไปถึงฟ้าอมเขียว แม้ว่าจะมองมาสิบสี่ปีแล้ว นางก็ยังหลงใหลทัศนียภาพเช่นนี้อยู่ดี

ลมราตรี สายลมอันอบอุ่น…นางหลับตาลงรับสัมผัสของสายลมที่กระทบใบหน้า เส้นผมที่พัดพลิ้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเงียบงันถึงเพียงนั้น เงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเล เงียบจนพาให้คนเข้าใจผิดคิดไปว่าจิตใจได้รับความสงบสุข…

นางขยี้หางตาเบาๆ รู้ว่าทะเลที่สงบเงียบเช่นนี้ก็แค่ภาพลวงตา ก็เหมือนกับเรือดำลำนี้ เหมือนกับเจ้าของของมัน

พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสงบก่อนพายุกระหน่ำเท่านั้น

ยามท้องฟ้ามืดมิดลงทั้งผืน สายฝนเม็ดบางเริ่มพร่างพรมลงมา

นางกระโดดจากเสากระโดงเรือเบาๆ ลงสู่พื้นโดยไร้เสียง

ชายตัวผอมเล็กผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากท้องเรือ มองเห็นสายฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้ายามราตรีก็เลิกคิ้วถาม

“พายุหรือ”

นางผงกศีรษะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คนผู้นั้นเห็นดังนั้นก็พึมพำว่าต้องไปตรวจดูเชือกผูกสมอเรือสักหน่อย แล้วพลันเดินตากฝนไปยังอีกด้านหนึ่งของดาดฟ้าเรือ

นางเดินเข้ามาในส่วนห้องโดยสารใต้ท้องเรือแล้วก็ปิดประตูกระดานด้านบนลงมาด้วย บนทางเดินมืดในท้องเรือมีเพียงแสงบางๆ ทอลอดออกมาจากร่องประตูห้องโดยสารไม่กี่ห้อง นางได้ยินเสียงกรนราวกับฟ้าร้องของอาอ้วน และได้ยินเสียงพี่เหวยพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างข่มตาไม่หลับ จากนั้นก็เป็นเสียงพึมพำคำสอนของหลันเซิง เสียงกลุกกลักจากการเล่นลูกเต๋าของผีพนันจาง…

เสียงแผ่วเบานับไม่ถ้วน เมื่อมาอยู่บนทางเดินมืดมิดนี้แล้วกลับได้ยินชัดเจนอย่างยิ่ง อีกทั้งยังคุ้นเคย

ปึง!

เสียงของหนักร่วงลงพื้นที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้นางสะดุ้งน้อยๆ

“ทำอะไรน่ะ” คำถามอย่างไม่พอใจของพี่เหวยดังออกมาจากในห้อง

“ไม่มีอะไรๆ เสี่ยวชีตกเตียงอีกแล้วน่ะ” เสียงของเสี่ยวเก๋อดังออกมาจากอีกห้องหนึ่งที่ดับไฟแล้ว

พี่เหวยได้ยินก็บ่นอีกสองสามประโยค จากนั้นก็เป็นเสียงขอโทษงัวเงียของเสี่ยวชี และตามด้วยทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ตอนที่นางเดินเข้าไปในห้องตัวเอง ลมก็เปลี่ยนเป็นแรงขึ้นแล้ว คืนนี้มืดมาก ด้านนอกกลายเป็นพายุฝนโหมคลั่ง เรือใหญ่ถูกคลื่นแรงทำให้ส่ายโอน นางมองพื้นกระดานที่เดี๋ยวยกตัวขึ้นเดี๋ยวลดต่ำลงแต่กลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะนางรู้ว่าอยู่ในเรือลำนี้ปลอดภัยมาก หรือควรพูดว่านางรู้ว่าคนบนเรือลำนี้จะไม่ปล่อยให้มันจมเด็ดขาด

ดังนั้นนางจึงคลายเสื้อผ้าแล้วขึ้นเตียง รอคอยการมาถึงของเขาภายใต้ราตรีพายุคลั่ง เหมือนกับราตรีนับครั้งไม่ถ้วนในหลายปีที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขากลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

นางจ้องมองไปเบื้องหน้าภายใต้ความมืด และพบว่าตอนที่นางรู้ตัว ทุกอย่างก็ดูเหมือนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติแล้ว จากนั้นก็ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงตอนนี้

ตลอดมาเขาสอนสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งวิชายุทธ์ การสะกดรอย การเดินเรือ การถือกระบี่ รวมถึง…การฆ่าคน

นางนับเป็นลูกน้องของเขา หรือเป็นลูกศิษย์? หรือเป็นแค่สตรีที่หาได้ง่ายเท่านั้น?

ประตูห้องโดยสารเปิดออกแล้ว ไม่ต้องหันไปนางก็รู้ว่าเป็นเขา

ด้านหลังมีเสียงถอดเสื้อผ้าลอยมา พริบตาต่อมาเรือนกายเย็นเยียบใหญ่โตของเขาก็มุดเข้ามาในผ้าห่ม กอดนางเข้าไปในอกจากด้านหลัง บนหน้าอกเขายังมีเม็ดฝนเย็นเฉียบอยู่ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ขึ้นไปตรวจดูทุกที่บนดาดฟ้าเรืออีกรอบ ถึงได้เปียกและตัวเย็นขนาดนี้

มือของเขาแก้เชือกผูกเสื้อของนางออกแล้วสอดเข้ามาข้างใน กอบกุมเนินนุ่มอุ่นร้อนทั้งคู่ของนางไว้ นางสูดหายใจอีกครั้ง อยากจะหลบเลี่ยงเรือนกายและมือใหญ่ที่หนาวเย็นของเขา แต่มือเท้าของเขากลับยึดนางไว้แน่น แนบสนิทกับนางเป็นอย่างมาก ใช้ประโยชน์จากนางอบอุ่นตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้า

ไม่นานความหนาวเย็นในผ้าห่มก็สลายไปไม่เหลือร่องรอย

นิ้วมือของเขาเรียวยาวมีพลัง คล้ายกับว่าเพียงแค่สัมผัสเบาๆ ก็สามารถจุดไฟในตัวนางได้แล้ว ต่อให้เขาจะเย็นจนเหมือนก้อนน้ำแข็งก็ยังเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่านั่นแค่ช่วงแรก หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นไฟไปแล้ว เผาผลาญทุกสิ่งเป็นจุณ ถึงขนาดที่ว่ายามนางลูบโดนเหงื่อบนหลังเขา ยังสงสัยว่าเหตุใดพวกมันไม่ระเหยหายไปเพราะร่างกายเร่าร้อนที่ห้อตะบึงของเขา…

เขาก้มตัวลงจูบนาง จากกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นของเขา นางรู้ว่าเขาไม่พอใจที่นางแบ่งความสนใจไป พริบตาถัดมานางก็ไม่สามารถคิดพิจารณาอะไรได้อีก ได้แต่โอบคอเขาแน่น กัดหัวไหล่แกร่งของเขาหยุดยั้งเสียงครวญของตน

ราตรียิ่งดึก พายุฝนนอกเรือก็ค่อยๆ สงบลง เหลือเพียงเม็ดฝนบางๆ ที่ยังคงร่วงโปรยอยู่

เขาหลับไปแล้ว มือใหญ่ยังวางอยู่บนเอวนาง หัวไหล่มีรอยฟันเพิ่มมาใหม่หนึ่งรอย

นางมองรอยฟันอย่างอึ้งงันเล็กน้อย ไล้เลียรอยห้อเลือดนั้นอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง จากนั้นถึงค่อยหนุนศีรษะบนแผ่นอกกว้างของเขา ความคิดล่องลอยอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่

นางกลายเป็นสตรีของเขา แรกเริ่มเพียงเพราะฝันร้ายของนาง เพราะความปรารถนาที่เขามอบให้สามารถช่วยนางให้ลืมฝันร้ายอันน่าหวาดหวั่นนั้นไปได้ชั่วขณะ

ภายในอ้อมกอดอบอุ่นของเขา นางไม่ต้องหวาดกลัวอีก ไม่ต้องตื่นตระหนกอีก ชีวิตในทะเลทำให้ทุกสิ่งห่างไกลจนดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น…

ทว่า…อย่างไรนั่นก็แค่ดูเหมือนเท่านั้น

ตอนแรกนางนึกว่าตัวเองจะสามารถลืมเรื่องพวกนั้นได้ แสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่เมื่อผ่านไปแต่ละวันๆ ฝันร้ายนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หายไป กลับยังแจ่มชัดเหมือนวันวาน

ทุกค่ำคืนนางล้วนได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมพวกนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าดังซ้ำอยู่ข้างหู ที่ตามมาก็คือเลือดแดงสดซึ่งทะลักออกมาจากคอของท่านพ่อ…

เมื่อในสมองปรากฏภาพสยองที่อกแหวกท้องขาด นางพลันพลิกตัวลงจากเตียง อาเจียนแห้งใส่กระโถนด้วยใบหน้าไร้สีเลือด

ไม่ง่ายกว่าความรู้สึกคลื่นเหียนนั้นจะผ่านไป นางได้แต่นั่งคุกเข่าบนพื้นหลั่งเหงื่อเย็น ยื่นมือสั่นเทากุมปากซีดขาวเอาไว้ ทว่าระหว่างกำลังใจลอยกลับมองเห็นสองมือตนเองเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นนางก็ระลึกได้ถึงความรู้สึกของกระบี่เยียบเย็นที่ถืออยู่ในมือ ระลึกได้ถึงความรู้สึกยามกระบี่ยาวฟันเข้าไปในเนื้อคน ระลึกได้ถึงเสียงกระดูกคนหัก ระลึกได้ถึงดวงตาที่คนพวกนั้นมองจ้องนางอย่างตื่นตระหนกหวาดกลัวก่อนตาย…นางถึงขนาดได้ยินเสียงเลือดไหลหลั่งออกมา รู้สึกได้ถึงหยดเลือดแดงสดที่กระเซ็นใส่ใบหน้า

นางอาเจียนแห้งอีกครั้ง ตอนที่นางเอนพิงข้างเสาเตียงในที่สุด ก็แทบแยกไม่ออกแล้วว่าน้ำบนใบหน้าคือเหงื่อ คือเลือด หรือเป็นน้ำตา

เป็นเหงื่อนั่นแหละ! ตั้งแต่คืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน นางลืมไปนานแล้วว่าควรหลั่งน้ำตาอย่างไร

ในความมืด มือของนางสั่นเทา นางใช้มือซ้ายกุมข้อมือขวาที่กำลังสั่นอย่างรุนแรงไว้ แต่กลับหยุดอาการสั่นสะท้านนั้นไม่ได้ ได้แต่ใช้หลังมือที่สั่นเทาเช็ดของเหลวจากมุมปาก

วันแล้ววันเล่า สภาพเช่นนี้ทรมานนาง นางรู้สึกเพียงทั้งตัวจมลึกลงในบึงเลือดช้าๆ ในทุกราตรี ทุกครั้งที่ถึงยามดึกสงัด นางได้แต่ปล่อยให้มือไร้รูปร่างพวกนั้นคว้าจับตัวไว้ ดึงนางให้จมลึกลงไปทีละนิดๆ…

ไม่มีใครสามารถช่วยนางให้หลุดพ้น

บนหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็น นางปิดตาที่แห้งผากลงอย่างเจ็บปวด หลายปีที่ผ่านมานางอยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก อยากร้องตะโกนแต่เสียงทั้งหมดกลับคาอยู่ที่คอ

ความเศร้าโศกคับแค้นพวกนั้นเหมือนน้ำหนักที่แบกรับไว้พันปี กดทับจนทั้งตัวนางหายใจไม่ออก

หลังจากใช้พละกำลังทั้งหมด ในที่สุดนางก็ไม่ตัวสั่นอีก พริบตาที่อาการสั่นเทาหยุดลงนางก็ลืมตาขึ้นโดยพลัน จ้องมองไปเบื้องหน้า รู้ว่าตนต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คนพวกนั้น ตัดสินกับศัตรูคู่แค้นพวกนั้น ไม่เช่นนั้นฝันร้ายนี้ก็จะพัวพันนางไปตลอด ฉุดรั้งนางลงไปจนกระทั่งท่วมมิดศีรษะ

สายตาจับจ้องช่องลับทางซ้ายนิ่งๆ นางยื่นมือเปิดออก หยิบจดหมายที่ได้รับมาเมื่อตอนกลางวัน

นางถือจดหมายไว้แน่นพลางจ้องมองมัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ความโศกเศร้าหวาดหวั่นแต่เดิมเปลี่ยนเป็นความอาฆาตแค้น หลายปีมานี้นางไหว้วานคนสืบหาทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ มาตลอด และวันนี้นางก็หาตัวศัตรูพบแล้ว…

นางต้องแก้แค้น!

หมอกเลือดแดงสดปรากฏอีกครา นางกำหมัดแน่นอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น…นางต้องแก้แค้น!

เป็นปณิธานนี้ที่ค้ำจุนนางให้ข้ามผ่านราตรีอันน่าหวาดหวั่นนับไม่ถ้วนพวกนั้น และเป็นปณิธานเดียวกันนี้ที่ทำให้นางจับกระบี่ขึ้นมา ฝึกซ้อมทั้งวันทั้งคืนจนมือขึ้นรอยด้าน ฝึกจนหนังเท้าถลอก บังคับตัวเองให้ฝึกมาแล้วสิบกว่าปี

ตอนนี้…ถึงเวลาแล้ว

ด้านนอกฝนยังตกอยู่ นางโงนเงนลุกขึ้น สูดหายใจลึกๆ สองสามครั้งแล้วเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดอย่างง่ายๆ นางหยิบเงินตำลึงไม่กี่ก้อนกับกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งที่เขาให้ไว้เมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ก่อนก้าวออกไปจากประตูห้องนางกลับชะงักเท้ากลางคัน

นางก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตน สับสนอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยกลับไปข้างเตียงเงียบๆ นิ่งมองเขา

นางรู้ว่าอันที่จริงเขาจะไม่ใส่ใจ การจากไปของนางสำหรับเขาแล้วไม่มีความเจ็บปวดใดๆ บางทีอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่บนเรือลดตัวภาระเช่นนางไป สมมติว่าเขาจะโมโหเพราะเรื่องนี้ อาจเป็นแค่เพราะต่อไปไม่สามารถหาสตรีได้ง่ายๆ เช่นนั้นอีกก็เท่านั้น

แต่ว่า…ถ้านางยังมีอะไรให้อาลัยอาวรณ์ในโลกนี้ ก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน

ปลายนิ้วซีดขาวไล้วาดไปตามใบหน้าเย็นชาของเขาโดยไม่รู้ตัว นางก้มตัวลงประทับจุมพิตบนริมฝีปากไร้น้ำใจของเขาอย่างไม่อาจตัดใจ ต่อให้เขาจะตั้งตนเป็นใหญ่ กำเริบเสิบสาน ทั้งยังเย็นชาถึงเพียงนั้น เขาก็ยังคงเป็นความอาลัยอาวรณ์หนึ่งเดียวของนาง

นางมองใบหน้ายามหลับของเขาพลางลุกขึ้นและเก็บมือ จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบงันโดยไม่หันกลับมาอีก ไปจากที่หลบภัยที่นางอยู่มาสิบสี่ปีแห่งนี้ ไปจากเรือโจรสลัดลำนี้…

บทที่หนึ่ง

เกาะมังกรสมุทร

‘ลูกพี่ ตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ อีกเดี๋ยวพวกเราก็ออกเรือได้แล้วสินะ’ เหวยเจี้ยนซินยืนอยู่ข้างบันไดเรือ เห็นฉู่เฮิ่นเทียนปรากฏตัวออกมาไกลๆ ก็ตะโกนเรียกเสียงดังทันที

ใครจะรู้ว่าฉู่เฮิ่นเทียนไม่ตอบสักคำ เพียงทำหน้าตาเย็นชาขึ้นเรือดำไป มองเหล่าลูกเรือพลางกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

‘พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อ’

‘หา?! ทำไมเล่า นางหนูสกุลจั้นนั่นไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ’ อาอ้วนเคลื่อนย้ายร่างกายอ้วนท้วนของเขาเดินเข้ามา

‘หนีไปแล้ว’ ฉู่เฮิ่นเทียนหน้านิ่ง

‘หนีไปแล้ว?!’ ทุกคนต่างเผยสีหน้าแปลกใจหลากหลายออกมา แต่กลับทวนคำพูดเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

‘ใช่ หนีไปแล้ว’ เขายืนยันเรียบๆ เพียงกล่าวอีกว่า ‘ดังนั้นพวกเราจึงต้องรั้งอยู่ชั่วคราว’

‘เพราะเหตุใด ก่อนหนีไปนางหนูนั่นไม่ได้ยืนยันว่าท่านเป็นลูกชายของผู้เฒ่าจั้นหรือ’ อาอ้วนร้องเสียงหลง

ใบหน้าฉู่เฮิ่นเทียนเผยอาการแปลกประหลาดวูบหนึ่ง

‘นางยืนยันแล้ว จากนั้นก็หนีไป ดังนั้นคนสกุลจั้นจึงต้องการให้ข้าอยู่’

‘อยู่ทำอะไร’ ผีพนันจางเบิกตาโต ไม่เข้าใจแม้แต่ครึ่งส่วน

‘อยู่เป็นเจ้าบ้าน!’ ชายชราผู้หนึ่งมือไพล่หลังกระโดดขึ้นมาบนเรือกะทันหัน ตอบคำถามนี้แทนฉู่เฮิ่นเทียนด้วยรอยยิ้มหยี

‘หา?’ ทุกคนได้ยินแล้วต่างอ้าปากกว้าง หน้าตาอึ้งงัน จากนั้นก็หันไปมองลูกพี่พร้อมกัน

เห็นเพียงใบหน้ากลัดกลุ้มของฉู่เฮิ่นเทียน เขาเม้มปากถลึงตาใส่ตาเฒ่าฉีซื่อเจิน ทว่ากลับไม่ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย

เหล่าลูกเรือมองกันไปมา ผ่านไปครู่ใหญ่เหวยเจี้ยนซินถึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง

‘ลูกพี่ พวกเราจะกลับตัวแล้วหรือ’

ฉู่เฮิ่นเทียนมองลูกน้องรวมทั้งฉีซื่อเจินอย่างเย็นชา เอ่ยซ้ำอีกครั้งทีละคำทีละประโยค

‘ข้าบอกว่าแค่รั้งอยู่ชั่วคราว ความหมายก็คือแค่ชั่วคราว!’

‘อยู่ถึงเมื่อไร’ หลันเซิงซึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิตปิดคัมภีร์คำสอน เงยหน้าขึ้นถามปัญหาสำคัญ

ฉีซื่อเจินหัวเราะฮี่ๆ เอ่ยเพียงว่า

‘อยู่จนถึงตอนที่สกุลจั้นมีเจ้าบ้านคนใหม่ จะตามหาจั้นปู้ฉวินที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่ง หรือลูกพี่ของพวกเจ้าจะหาวิธีให้กำเนิดออกมาอีกคนล้วนได้ทั้งนั้น’

กำเนิดออกมาอีกคน?

ทุกคนต่างลอบเหลือบมองฉู่เฮิ่นเทียนคราหนึ่ง ทว่าล้วนถูกแววตาเย็นเยียบของเขาจ้องกลับไป กลัวจนทุกคนดึงสายตากลับมาทันที

ฉู่เฮิ่นเทียนเห็นท่าทางได้ใจเช่นนั้นของฉีซื่อเจินก็โมโหจัด

สมควรตาย! ถ้าข้าถูกขังอยู่บนเกาะมังกรสมุทรนี่จริงๆ ข้าก็ไม่ได้แซ่ฉู่แล้ว!

ฉู่เฮิ่นเทียนกำหมัดเกร็งคางแน่น ออกคำสั่งเสียงเย็น

‘อาอ้วน เจ้าพาคนไปแผ่นดินชั้นใน ต่อให้ต้องพลิกทั้งต้าถังก็ต้องหาตัวเจ้าคนแซ่จั้นนั่นออกมา!’

‘ขอรับ!’

หนึ่งเดือนให้หลัง

ไม่มีข่าวคราว ไม่มีข่าวคราว และยังคงไม่มีข่าวคราว

ในห้องหนังสือสกุลจั้นบนเกาะมังกรสมุทร ฉู่เฮิ่นเทียนจ้องมองจดหมายที่อาอ้วนส่งกลับมาจากแผ่นดินชั้นใน เส้นเลือดบนหน้าผากขึงตึงอย่างห้ามไม่อยู่

สารเลว!

เขาคว้าจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาขยำเป็นก้อนทิ้งลงถังผงอย่างเดือดดาล ยามหันกลับมาเห็น ‘กิจการค้า’ บนโต๊ะกองนั้น เส้นประสาทก็ยิ่งเกร็งแน่น อดด่าทออยู่ในใจเป็นพันรอบไม่ได้

สกุลจั้นที่สมควรตาย บิดาที่สมควรตาย กิจการค้าที่สมควรตาย ยังมีจั้นปู้ฉวินที่สมควรตาย รวมทั้งจั้นชิงที่ไม่รับผิดชอบสมควรตายนั่น!

ฉู่เฮิ่นเทียนตาขวางเดือดดาลใส่ทุกสิ่งบนโต๊ะ ทว่ารู้ดีว่าอันที่จริงผู้ที่สมควรตายที่สุดก็คือเขา ไปยุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่องทำไมเล่า ถ้าหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะเขาเกิดใจดีขึ้นมาชั่วขณะ ช่วยลูกของตาเฒ่าสมควรตายที่อยู่ในเกาะมังกรสมุทรนั่นขับไล่โจรสลัดออกไป ก็จะไม่มีเรื่องอะไรแล้วไม่ใช่หรือไร

ใครใช้ให้เขาเดินลุยน้ำโคลนนี้เล่า ใครให้เขาดันทนเห็นโจรสลัดกระจอกพวกนั้นแตะต้องเกาะมังกรสมุทรไม่ได้ ใครให้เขาดันมีลูกน้องที่รักสนุกชื่นชอบการต่อสู้อยู่กลุ่มหนึ่ง พอเห็นมีศึกทางน้ำให้ต่อสู้ก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเล่า

ครานี้ดียิ่ง ถูกคนบนเกาะจำได้ว่าเขาคือลูกชายของตาเฒ่าจั้น จากนั้นเขาก็ดันหุนหันไปชั่ววูบ ทำจั้นชิงเจ้าบ้านตัวจริงโมโหจากไปแล้ว ผลก็คือนับแต่นั้นเขาต้องมาถูกขังอยู่บนเกาะนี้

ถูกขัง…

คิดถึงคำนี้หนังศีรษะเขาก็ชาไปหมด จู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่าผนังรอบด้านกดทับเข้าใส่เขา ห้องคล้ายเปลี่ยนเป็นเล็กลง เขาตัวแข็งทื่อ ลมหายใจเปลี่ยนเป็นเร่งเร็วอย่างห้ามไม่อยู่…

สมควรตาย!

ในดวงตามีความมืดทะมึนสายหนึ่งวาบผ่าน ฉู่เฮิ่นเทียนใช้สองมือยันหน้าโต๊ะไว้ ด่าออกมาเสียงหนึ่ง สูดลมหายใจยาวๆ ลงไปสองครั้ง ฝืนบังคับตัวเองให้สงบลง จากนั้นก่อนที่ผนังจะเปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้ง เขาก็สาวเท้าก้าวออกไปจากห้องหนังสือ

นอกห้องแสงสว่างเจิดจ้า แม้จะร้อนแต่กลับมีลม

เมื่อมาถึงในสวนดอกไม้ร่มรื่น ความรู้สึกกดดันอึดอัดนั้นก็สลายหายไปแล้ว เขาสูดหายใจคำโต บนหน้าผากปรากฏเหงื่อเย็น ผ่านไปอีกครู่หนึ่งสภาพการณ์ถึงค่อยกลับเป็นปกติ

จู่ๆ แขนเสื้อพลันถูกคนดึงสองสามครั้ง เขาก้มหน้าลงและมองเห็นนัยน์ตาสีนิลคู่หนึ่ง

เจ้าของนัยน์ตานั้นคือแม่นางน้อยคนหนึ่ง ในมือนางถือผ้าเช็ดหน้าและยื่นส่งให้เขา

เขาไม่ขยับ เพียงจ้องนางอย่างเย็นชา

นางไม่หวาดกลัวแววตาเย็นเยียบของเขาเลยสักนิด เพียงยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วหมุนตัวจากไปเงียบๆ

ฉู่เฮิ่นเทียนจ้องเงาหลังที่จากไปของแม่นางน้อยคนนั้นเขม็ง เห็นเพียงเส้นผมยาวถึงเอวของนางขยับพลิ้วไปมาอยู่ด้านหลัง

เขาถึงกับไม่ได้ยินเสียงนางเข้าใกล้! แม้แต่ยามจากไป นางก็แทบจะจากไปอย่างไร้เสียง!

มองดูผ้าเช็ดหน้าขาวในมือ เขาขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็คิดได้ว่า…

นางเป็นใคร

หนึ่งเดือนกว่ามานี้เขาคล้ายไม่เคยเห็นแม่นางน้อยคนนี้มาก่อน

ฉู่เฮิ่นเทียนเม้มปากหรี่ตาขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบและไม่คุ้นกับการถูกผู้อื่นเห็นยามมีอาการ แน่นอนว่าไม่อยากเห็นท่าทางเห็นใจและสงสารเวทนาจากผู้อื่นเช่นกัน…

มือใหญ่คลายออก ผ้าเช็ดหน้าขาวร่วงลงพื้น เขาหมุนตัวกลับห้องหนังสือ ทำศึกกับ ‘กิจการค้า’ ซึ่งกองสูงราวกับภูเขานั้นต่อ

 

ยามเห็นนางอีกครั้งคือบนท่าเรือ

นางยืนนิ่งอยู่ข้างตาเฒ่าฉีซื่อเจินนั่นเงียบๆ ไม่มองซ้ายมองขวา ทั้งไม่เอ่ยปากพูดสักประโยค

‘แม่นางน้อยคนนั้นเป็นใคร’ เขาถามเหวยเจี้ยนซินที่ข้างกาย

‘ใคร อ้อ ท่านหมายถึงโม่เอ๋อร์หรือ โม่เอ๋อร์เป็นคนที่คุณหนูใหญ่สกุลจั้นช่วยกลับมาระหว่างการส่งสินค้าครั้งก่อน ได้ยินว่ายามคุณหนูใหญ่พบนาง ไม่รู้เหตุใดนางจึงถูกโจรสลัดทั้งกลุ่มขังไว้ที่ท้องเรือ คนพวกนั้นไม่เพียงขังนางไว้ในกรง ยังล่ามมือเท้าของนางด้วย ฮ่า ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าโง่พวกนั้นต้องระแวดระวังนางถึงเพียงนี้ด้วย’

ผีพนันจางสอดปากเข้ามากล่าวยิ้มๆ

‘บางทีพวกเขาคงกลัวว่านางจะหนีไป ฮ่าๆๆๆ…’

เหล่าลูกเรือบนเรือดำได้ยินล้วนแต่หัวเราะออกมา

‘พี่เหวย ได้ยินว่านางเป็นใบ้หรือ’ ชายคนหนึ่งถามอย่างประหลาดใจ

เหวยเจี้ยนซินไหวไหล่

‘ดูเหมือนจะใช่กระมัง ไม่เคยได้ยินนางพูดมาก่อน’

เป็นใบ้?

ฉู่เฮิ่นเทียนอึ้งไป สายตาอดวกกลับไปที่ร่างแม่นางน้อยคนนั้นอีกครั้งไม่ได้ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว…

กลางดึก ยามจื่อ

ให้ตายเถอะ!

ฉู่เฮิ่นเทียนจ้องประตูที่ปิดสนิท กำหมัดแน่นพยายามอดทนไม่ไปเปิดประตู

สารเลว เขาอยู่ในเรือมาสิบปีแล้ว ต่อไปก็ยังต้องอยู่บนเรือต่ออีก! เขาไม่มีทางกลัวสถานที่ที่ประตูปิดเพียงเพราะถูกคนขังไว้ในคุกใต้ดินไม่กี่เดือนเด็ดขาด! ไม่อย่างเด็ดขาด!

เม็ดเหงื่อไหลลงข้างหน้าผาก เขากัดฟันแน่น กล้ามเนื้อทั้งหมดบนร่างเกร็งขมึงเพราะความเครียดและหวาดกลัว

เขาจะต้องพิชิตมันให้ได้ เขาไม่สามารถนอนบนดาดฟ้าตลอดชีวิต เขาคือโจรสลัดมังกรดำที่ใครๆ หวาดกลัว แม้แต่คลื่นยักษ์อันบ้าคลั่งที่กลืนกินคนนับไม่ถ้วนยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ เขาจะไม่ยอมให้ท่อนไม้กับผนังโง่ๆ นี่มาบีบคั้นเด็ดขาด!

ฟึ่บฟั่บ…

เสียงอะไร ฉู่เฮิ่นเทียนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะคว้ากระบี่ขึ้นมาตั้งใจฟัง ยามเสียงนั้นดังขึ้นมาเป็นครั้งที่สองนอกประตูห้อง เขาก็เดินออกไปอย่างไม่ต้องคิด หลีกหนีไปจากห้องที่ปิดทึบแห่งนั้น

เมื่อเขาเดินตามเสียงมาถึงในป่าไผ่หลังเรือน กลับเห็นแม่นางที่พูดไม่ได้คนนั้นถือกิ่งไม้ที่เหลาไว้กำลังร่ายระบำ แรกเริ่มเขางุนงงอยู่บ้าง มองอยู่นานกว่าจะมองออกว่านางกำลังฝึกกระบี่ เพราะนางไม่เพียงท่วงท่าผิด แม้แต่วิธีถือกระบี่ก็ไม่ถูกต้อง การโบกกระบี่อ่อนปวกเปียกไร้แรง หลายครั้งที่หมุนตัวยังแทบจะเซล้ม เงอะงะเป็นอย่างยิ่ง

‘เจ้าโง่คนไหนคืออาจารย์เจ้ากันแน่’ เห็นนางเกือบล้มอีกครั้ง เขาก็เอ่ยถากถางเสียงเย็น

จู่ๆ ได้ยินเสียงคน นางสะดุ้งตกใจรีบหันกลับมา ถึงเพิ่งพบการมีอยู่ของเขา นางกำกิ่งไม้เครียดเกร็ง ไม่เอ่ยสักคำ มองเขาอย่างระแวดระวัง

‘หรือว่าเจ้าลักเรียน?’ เขาเลิกคิ้ว เดาคำตอบที่ถูกต้องออกมา

โม่เอ๋อร์หน้าซีด หมุนตัวจากไป

มองดูแผ่นหลังเหยียดตรงของนาง เขาก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ

‘การลักเรียนเป็นข้อห้ามสำคัญในยุทธภพ ถูกจับได้ต้องถูกตัดมือเท้า นอกจากนี้วิชากระบี่ชั้นเลวเช่นนั้นเจ้าอย่าเรียนจะดีกว่า’

นางพลันหยุดชะงัก หันกลับมาแทงใส่เขา

ฉู่เฮิ่นเทียนยิ้มเย็น แต่โม่เอ๋อร์ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กิ่งไม้ในมือนางถูกตัดไปแล้วเหลือเพียงท่อนสั้นๆ ส่วนบนคอของนางกลับมีกระบี่ยาวดำเล่มหนึ่งพาดอยู่ นางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบบนคอ หลังจากตกใจถึงค่อยเห็นกระบี่ดำมิดเล่มนั้น

‘นี่ต่างหากที่เรียกว่ากระบี่’ เขาชี้กิ่งไม้ที่ขาดเป็นท่อนๆ บนพื้นอย่างไม่ยี่หระ เอ่ยหยันกลั้วหัวเราะ ‘นั่น เรียกว่ากิ่งไม้ เป็นแค่ของเล่น’

ในดวงตานางวาบแววโกรธแค้น พลันยื่นมือออกมาคว้าตัวกระบี่ จากนั้นก็ถอยหลังออกมาช้าๆ ก้าวหนึ่ง เงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา

มือที่กุมกระบี่ของนางหลั่งเลือด เลือดสีแดงไหลเลาะขอบกระบี่มาถึงด้านปลาย จากนั้นก็หยดลง

เขาไม่ขยับตัว จ้องนางอย่างเย็นชา มองเห็นแววชิงชังรุนแรงในลูกตาดำวาวของแม่นางน้อยคนนี้ นางไม่ได้เอ่ยปาก แต่เขากลับรู้ได้ว่านางกำลังบอกเขา บอกว่านางไม่กลัวเขาสักนิด ยิ่งไม่กลัวกระบี่ที่ทำร้ายคนของเขา ถึงขนาดไม่สนใจความเป็นความตาย และนางก็ไม่สนุกกับการหยอกเล่นของเขาด้วย

นางปล่อยมือออกแล้วหมุนตัวไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดไว้ เพียงมองหยดเลือดบนกระบี่ดำ ดวงตาหรี่ลง อารมณ์เปลี่ยนเป็นไม่พอใจโดยพลัน!

 

วันต่อมาเขาไม่เห็นนาง หลายวันหลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นเงาร่างของเจ้าใบ้น้อยนั่นเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงให้ความสนใจ อาจเพราะเวลายามดึกที่เงียบสลัด ความเงียบในห้องรวมทั้งประตูที่ปิดแน่นมักทำให้เขาหวนนึกถึงความรู้สึกยามอยู่ในคุกใต้ดิน ดังนั้นกลางดึกเขาจึงมักหูตั้งเป็นพิเศษ อยากหาเหตุผลออกไปข้างนอก หรือบางทีอาจเพราะเขาไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ดื้อรั้นเช่นเจ้าใบ้น้อยนั่นมาก่อน ยิ่งอาจเป็นเพราะถูกขังอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวนี่มาเดือนกว่าจนเขาเบื่อจะตายอยู่แล้ว!

คืนวันที่ห้า ในที่สุดเสียงฝึกกระบี่เงอะงะที่เขารอคอยก็มาถึง

หลังมาถึงป่าไผ่เขาไม่ได้ส่งเสียง เพียงซ่อนตัวเงียบอยู่ในป่า ใบหน้าเย็นชามองนางใช้กระบวนท่ากระบี่โง่เง่านั่น

กิ่งไม้ในมือนางเปลี่ยนเป็นกระบี่ขึ้นสนิมที่ไม่รู้เก็บมาจากไหน มือขวาซึ่งบาดเจ็บพันผ้าขาว ไม่นานผ้าขาวก็ซึมเลือดแดง เห็นชัดว่าแผลฉีกแล้ว

นางชะงักไปครู่หนึ่งเพราะความเจ็บ แต่ยังคงดึงดันใช้กระบวนท่ากระบี่ จนกระทั่งเจ็บจนต้องขมวดคิ้วมุ่น มีเหงื่อเย็นหลั่งออกมาแล้วถึงค่อยหยุดลง ใช้มือซ้ายจับข้อมือขวา หอบหายใจพลางนั่งคุกเข่าบนพื้น

ยามนางจากไป เขาก็กลับห้องตัวเองไปเช่นกัน

จากนั้นหนึ่งคืนผ่านไป สองคืนผ่านไป และผ่านไปอีกหลายคืน เขาล้วนไปดูนางฝึกกระบี่ในป่าไผ่ทุกคืน จนกระทั่งในคืนที่สิบ…

‘เท้าขวาก้าวขึ้นหน้าอีกก้าว โน้มร่างไปข้างหน้า แทงออกไป! เก็บกระบี่ เตะวาดทางซ้าย!’

ยามโม่เอ๋อร์ใกล้จะเซล้มพลันได้ยินเสียงนี้ นางทำตามคำชี้แนะตามจิตใต้สำนึก คาดไม่ถึงว่าทั้งร่างไม่เพียงกลับมาสมดุล ยังเตะไผ่เขียวที่ถูกนางเอามาทำเป็นเป้าหักด้วย

โม่เอ๋อร์เบิกตามองดูไผ่ที่ล้มลงอย่างตกตะลึง นางรู้ว่าอันที่จริงนั่นไม่ใช่นางเตะหักทั้งหมด แต่เพราะก่อนหน้านี้กระบี่ขึ้นสนิมในมือฟันเข้ากลางไผ่เขียวไปแล้ว ลูกเตะหลังจากนั้นถึงสามารถโค่นมันลงมาได้

นางหันกลับมา และมองเห็นเขา…

มือขวาพันผ้าขาวของโม่เอ๋อร์ยังกุมกระบี่ขึ้นสนิมอยู่ นางมองจ้องเขา เขาเองก็จ้องมองนาง

ผ่านไปครู่หนึ่ง สายลมราตรีพัดผ่าน เขาพลันหมุนตัวจากไป ไม่พูดอะไรอีกทั้งสิ้น

ในคืนวันต่อมายามนางมาฝึกกระบี่ เขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกคืนหลังจากนั้นล้วนเป็นเช่นนี้ ทั้งสองไม่เคยทักทายกัน นางทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กลับปฏิบัติตามยามเขากล่าวชี้แนะ เพราะมันมีประโยชน์อย่างแท้จริง

ฉู่เฮิ่นเทียนไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงสอนวิชากระบี่ให้เจ้าใบ้น้อยคนนี้ อาจเพราะชีวิตในเกาะน่าเบื่อเกินไปก็เป็นได้กระมัง

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองเดือนให้หลัง ในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากเกาะมังกรสมุทร…ไม่ใช่เพราะหาจั้นปู้ฉวินที่หายสาบสูญไปเจอ แต่เป็นเพราะจั้นชิงกลับมาเองแล้ว

ยามทุกอย่างเรียบร้อย คนของเรือดำต่างยินดีปรีดา เพียงเพราะสามารถกลับสู่อ้อมกอดแห่งท้องทะเลได้อีกครา

พวกเขาขุดเอาดอกไม้ไฟหลากสีในกล่องสมบัติใต้ท้องเรือออกมาจุดฉลอง ในคืนก่อนออกจากฝั่งผีพนันจางตะโกนร้องเปิดวงไพ่ อาอ้วนซึ่งกลับมาจากแผ่นดินชั้นในเมื่อเดือนก่อนเปิดสุราเก่าออกมาดื่มอย่างเต็มคราบ เหวยเจี้ยนซินแสดงตลกขำขันในงานเลี้ยง ถึงขนาดนำธนูเทพของรักของเขามาแสดงการหมุนจาน ส่วนลูกสมุนคนอื่นๆ ถ้าไม่ได้อยู่ที่ไหสุรากับอาอ้วน ก็ควักเศษเงินเหรียญอีแปะมาพนันกับผีพนันจาง มีเพียงหลันเซิงที่กอดคัมภีร์คำสอนทั้งวันยังคงงึมงำวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แต่ว่าบนใบหน้าก็เคลือบแววยิ้มแย้มด้วยเช่นกัน

ฉู่เฮิ่นเทียนนอนหงายอยู่บนคานเสากระโดงเรือใหญ่ ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกด้านล่างบนดาดฟ้าเรือ เพียงมองดวงดาวเต็มท้องฟ้า ฟังเสียงคลื่นทะเลแผ่วเบา รู้ว่าตนเองถูกลิขิตให้ต้องอยู่บนทะเลชั่วชีวิต…

ยามเรือดำออกจากท่า โม่เอ๋อร์ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงท่าเรือแล้ว

‘เอ๋? ลูกพี่ ท่านดู แม่นางใบ้น้อยคนนั้นก็มาด้วยนะ’ เหวยเจี้ยนซินกำลังยิ้มตาหยีโบกมือให้คนบนฝั่งที่มาส่งอยู่ตรงท้ายเรือ ได้เห็นโม่เอ๋อร์ที่ออกมาพบผู้คนน้อยมากจึงทั้งตะลึงและประหลาดใจ

ฉู่เฮิ่นเทียนซึ่งอยู่ตรงหัวเรือได้ยินก็หันกลับมามอง แต่กลับเห็นโม่เอ๋อร์กระโดดลงทะเลกะทันหัน ว่ายน้ำมาทางเรือดำที่ออกจากท่าแล้ว

‘หา?!’

คนบนฝั่งและคนบนเรือต่างร้องเสียงหลง ยังไม่ทันรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร นางก็พลันจมลงไปแล้ว

‘เสี่ยวเหวย ลูกธนู!’ ฉู่เฮิ่นเทียนตะโกน ขณะเอ่ยปาก ตัวคนก็กระโดดพุ่งออกไปนอกเรือแล้ว

เหวยเจี้ยนซินตอบสนองว่องไว น้าวธนูยิงออกไปโดยพลัน เขาย่อมรู้ว่าลูกพี่ไม่ได้ต้องการให้เขายิงโม่เอ๋อร์ในทะเล แต่เป็นยิงขึ้นไปกลางอากาศ

เห็นเพียงลูกธนูขนนกสีขาวแหวกอากาศขึ้นไป เชิดหัวไล่ตามฉู่เฮิ่นเทียน ปลายเท้าเขาแตะคันธนู ยืมแรงพุ่งตัวออกไปด้านหน้าอีก กระทั่งถึงบริเวณที่โม่เอ๋อร์จมลงไปถึงค่อยร่วงดิ่งลงตรงๆ ดัง ‘ซูม’

ในทะเลสีน้ำเงิน ร่างเล็กผอมของนางไม่สะดุดตาสักนิด ชุดกระโปรงที่เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเมื่อเปียกน้ำดึงนางลงไปในทะเล นางคล้ายกำลังดิ้นรนคิดจะถอดชุดกระโปรงที่รัดพันมือเท้าตัวเองออก น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล แต่ก็เพราะนางขยับตัวส่งเดชเช่นนี้ ฟองอากาศที่มาจากในเสื้อผ้าของนางทำให้เขาหาตำแหน่งของนางเจอ

เขาว่ายลงไปอย่างรวดเร็ว คว้าตัวนางแล้วส่งขึ้นสู่ผิวน้ำ

เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำ ลูกธนูของเหวยเจี้ยนซินก็มาถึงข้างกาย ครานี้บนธนูมัดเชือกไว้ด้วย เขาทั้งดึงทั้งลากพาโม่เอ๋อร์ขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศและร่วงลงบนดาดฟ้าเรือเงียบๆ

เมื่อขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือแล้ว ฉู่เฮิ่นเทียนก็ปล่อยนาง

โม่เอ๋อร์เข่าอ่อน คุกเข่าสำลักน้ำในกระเพาะออกมา

ทุกคนล้วนมองแม่นางน้อยคนนี้อย่างตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงทำเรื่องโง่ๆ อย่างกระโดดลงทะเลว่ายน้ำตามเรือ

‘เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร’ ฉู่เฮิ่นเทียนสองมือกอดอก ถามอย่างเย็นชา

โม่เอ๋อร์เช็ดน้ำทะเลบนหน้า หอบหายใจน้อยๆ ถึงค่อยเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็ชูมือขวาที่กุมกระบี่ขึ้นสนิมไว้แน่น!

ฉู่เฮิ่นเทียนถึงเพิ่งเห็นกระบี่ที่นางถือไว้ในยามนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากด่าคนขึ้นมา เจ้าสมองนิ่มคนนี้ถึงกับพกกระบี่เหล็กกระโดดลงทะเล มิน่านางถึงจมลงไป!

นางมองดูเขา ในมือยังคงกุมกระบี่

เขาทนต่อความพลุ่งพล่านที่อยากจับนางโยนกลับลงทะเลไปอีกรอบเอาไว้ ตะคอกเสียงเย็น

‘อาอ้วน! หันเรือกลับไป!’

นางเบิกตาโต ในดวงตาสีดำเผยความโกรธ จู่ๆ พลันลุกยืนแล้วเขวี้ยงกระบี่ขึ้นสนิมใส่ร่างเขา จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปข้างกราบเรือ อีกนิดก็จะกระโดดลงทะเลไปอีกรอบแล้ว

ฉู่เฮิ่นเทียนถูกนางเขวี้ยงกระบี่ใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว แทบจะถูกกระแทกเข้าให้แล้ว โชคดีที่หลบทัน ครั้นเห็นการกระทำของนาง เขาก็โมโหจนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ยื่นออกไปโอบเอวนางดึงกลับเข้ามาจากกราบเรือได้ทันท่วงที

นางคล้ายเด็กน้อยซุกซน ดิ้นรนอยู่ในอกเขา ทั้งเตะทั้งต่อยใส่เขา ประเดี๋ยวก็แทงศอกประเดี๋ยวก็เตะขา ทำเอาเขาแทบจับนางไว้ไม่อยู่

‘สมควรตาย! พอแล้ว เจ้าผีน้อย! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!’ เขาถูกหมัดน้อยๆ ของนางต่อยเข้าตาขวาจนเดือดดาลคำรามขึ้นมา

นางไม่ยอมฟัง ยังคงดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเกือบโดนต่อยอีกครั้ง จนได้แต่บิดสองมือของนางไว้ด้านหลังแล้วตะคอกดุดัน

‘ถ้าขยับอีกข้าจะแขวนเจ้าไว้บนเสากระโดงเหมือนตากเสื้อผ้า!’

นางตัวแข็งทื่อ หยุดนิ่งโดยพลัน

ฉู่เฮิ่นเทียนถึงค่อยผ่อนลมหายใจในยามนี้ จับนางหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างฉุนเฉียว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน ถามอย่างไม่พอใจ

‘เจ้าคิดทำบ้าอะไรกันแน่!’

นางจ้องตอบเขา จากนั้นก็หันไปมองกระบี่ขึ้นสนิมที่นอนราบอยู่บนดาดฟ้าเรือ

เขามองตามสายตานางไปเห็นกระบี่เล่มนั้น ในสมองผุดความคิดหนึ่ง เมื่อหันกลับมามองนางอีกคราก็เห็นความเด็ดเดี่ยวไร้ใดเปรียบในดวงตาของนาง

น่าตายนัก!

เขาลอบด่าเสียงหนึ่ง เข้าใจจุดประสงค์ของนางแล้ว เจ้าใบ้น้อยนี่อยากเรียนวิชากระบี่ อยากเรียนอย่างยิ่ง!

นางถึงกับพกกระบี่ขึ้นสนิมเล่มนั้นกระโดดลงทะเล เพียงเพราะต้องการเรียนวิชากระบี่โดยไม่รู้เหตุผล แต่คนบนเกาะกลับไม่มีใครสอนนาง!

เขาเป็นคนเดียวที่ชี้แนะนาง ดังนั้นนางจึงพกกระบี่กระโดดลงทะเล ไล่ตามเรือ…

เพื่อเรียนกระบี่!

บทที่สอง

เพื่อเรียนกระบี่!

รุ่งอรุณหลังคืนพายุกระหน่ำ อากาศและแสงแดดสดชื่นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

เสียงคลื่น เสียงลม เสียงนกนางนวลร้อง…

ฉู่เฮิ่นเทียนถลึงตาจ้องกระบี่ขึ้นสนิมเล่มนั้นที่ข้างผนังอย่างเหี้ยมโหด สีหน้าทะมึนไปทั้งหน้า ปีนั้นนางไม่ยอมทิ้งมันอยู่ตลอด แม้ว่าภายหลังเขาจะให้กระบี่เล่มใหม่กับนางเล่มหนึ่งแล้ว นางก็ยังดึงดันเก็บกระบี่พังเล่มนี้เอาไว้

…ข้างหมอนไร้คน

เขาเปลือยกายกึ่งนั่งอยู่บนเตียง กล้ามเนื้อทั้งร่างเกร็งแน่นเพราะความเดือดดาล

สายตายังคงจดจ่ออยู่กับกระบี่ขึ้นสนิมข้างผนังเล่มนั้น เขาถลึงตาจ้องมันด้วยความโมโหจัด เบื้องหน้าสายตาปรากฏภาพนัยน์ตาดำเป็นประกายเด็ดเดี่ยวของเจ้าใบ้น้อยคนนั้นเมื่อสิบสี่ปีก่อน

สตรีที่น่าตายนัก!

เขาลงจากเตียง ขว้างผ้าห่มใส่ผนังที่แขวนกระบี่ขึ้นสนิมอย่างเกรี้ยวกราด

‘ฟึ่บ! เคร้ง!’ เสียงทึบหนักดังขึ้นสองเสียง ผ้าห่มหนาหนักกวาดกระบี่ขึ้นสนิมลงพื้นไปด้วยกัน

เพื่อเรียนกระบี่!

เขากำหมัดแน่น แค้นที่สตรีสมควรตายผู้นั้นมิได้อยู่ตรงหน้าในยามนี้ เขาอยากแก้ไขความผิดพลาดในวันนั้นของตน จับนางโยนกลับไปในทะเล ให้นางเป็นตายไปตามยถากรรม!

นางกระโดดลงทะเลเพื่อเรียนกระบี่! นางไล่ตามเรือเพื่อเรียนกระบี่! นางรั้งอยู่ในเรือโจรสลัดเพื่อเรียนกระบี่!

สิบสี่ปีมานี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำ ทั้งหมดล้วน…เพื่อเรียนกระบี่!

ฉู่เฮิ่นเทียนขึงตาขุ่นข้องจ้องมองกองผ้าห่มนั่น สีหน้าดุดัน แทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่รอมร่อ ทว่าในดวงตานอกจากโทสะที่ลุกโหมแล้ว กลับยังมีความรู้สึกปราชัยที่ลึกล้ำยิ่งกว่า

ตลอดมาเขาล้วนรอคอยให้นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกเหตุผลที่นางเรียนวิชากระบี่ บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดกับเขา แต่นางไม่เคยเอ่ยถึง สักคำก็ไม่มี!

และยามนี้นางก็ตบก้นจากไปแล้ว แม้แต่กล่าวลาสักคำก็ไม่ทำ จากไปในคืนพายุฝนกระหน่ำทั้งอย่างนั้น!

เดินออกไปจากชีวิตของเขา…

ฉู่เฮิ่นเทียนจ้องผ้าห่มซึ่งยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของนาง เพลิงโทสะในอกยิ่งแผดเผารุนแรง!

ดี นางอยากไป เขาก็จะให้นางไป!

เขาจะไม่ไปตามหานางเด็ดขาด! ในเมื่อนางรู้สึกว่านางแข็งแกร่งพอแล้ว ร้ายกาจพอแล้ว สามารถไปแก้แค้นคนเดียวได้ เขาก็จะคอยดูว่าสตรีที่หัวเดียวกระเทียมลีบแบบนางจะมีชีวิตอยู่ในยุทธภพซึ่งเต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือดได้นานสักเท่าใด!

 

เลือด เลือดสีแดงสด เลือดสดลอยคลุ้งเต็มฟ้า!

เด็กหญิงตัวน้อยซ่อนอยู่ใต้โต๊ะใหญ่ที่มืดมิด สามารถมองเห็นได้เพียงภาพน่ากลัวใต้ผ้าปูโต๊ะที่ลู่ลงมา ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้คน แต่ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย

ฉับพลันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างพลันสงบเงียบลง…

ไม่ ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแค่ไม่มีเสียงปะทะแลกดาบกระบี่เท่านั้น

นางยังไม่กล้าขยับตัว ตั้งแต่เมื่อครู่ที่ท่านแม่ยัดนางมาอยู่โต้โต๊ะ นางก็ไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด เพราะท่านแม่บอกนางว่าห้ามขยับ ห้ามส่งเสียง!

ปึง!

คนผู้หนึ่งถูกโยนลงบนโต๊ะที่นางซ่อนตัวอยู่ เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงที่ดังกะทันหัน นางหน้าซีดขาว กอดหัวเข่าตัวเองแน่น พริบตาเดียวก็พบว่ารองเท้าปักที่ลู่ลงมาจากโต๊ะซึ่งมีเลือดหยดอยู่ใกล้ตรงหน้าคือของท่านแม่!

เด็กดี อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา ห้ามมอง ห้ามฟัง และห้ามส่งเสียงด้วย เข้าใจหรือไม่

นางอยากพุ่งออกไป แต่กลับนึกถึงคำสั่งของท่านแม่ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงหดมือเท้ากลับมา เดิมทีนางก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากมอง แต่ต่อให้อุดสองหูอย่างไร เสียงร้องแหลมโหยหวนนั้นก็ยังแทรกเข้ามาในหูอยู่ดี และสองตายามที่ไม่ระวังลืมตาขึ้นมาเห็นหยดเลือดสีแดงสดนั้นก็หวาดผวาจนลืมว่าต้องปิดมันลงอีก!

หน้าโต๊ะยังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนยืนอยู่ ห่างออกไปอีกนิดเป็นชุดคลุมยาวของท่านพ่อ เขาถูกคนกดตัวคุกเข่าลง จากมุมของนางมองไปเห็นถึงแค่เข็มขัดของท่านพ่อเท่านั้น แค่จากหัวเข่าถึงช่วงเอวก็เต็มไปด้วยเลือดแดงสดแล้ว

‘คนแซ่เหริน ถ้าฉลาดหน่อยก็รีบส่งแผนที่จิ๋นซีออกมา! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราพี่น้องไม่เกรงใจ!’ โจรชั่วคนนั้นหัวเราะอย่างหยาบโลน ‘ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร พวกเราจะดูแลพี่สะใภ้ให้ดีเอง! ฮ่าๆๆๆ…’

‘ปล่อยนางนะ! ปล่อยนาง…’

นางเห็นท่านพ่อดิ้นรนอยากจะพุ่งขึ้นหน้า ได้ยินเสียงร้องคับแค้นเศร้าโศกของท่านพ่อ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด

‘เจ้าเดรัจฉาน! ปล่อยนางนะ…’

‘พูด! แผนที่จิ๋นซีอยู่ที่ไหน!’ คนผู้นั้นตะคอกเสียงดัง ถามซ้ำอีกครั้ง

‘ข้าไม่รู้!’

‘เฮอะ ไม่รู้จักดีชั่ว!’ เสียงฮึเย็นชา คนร้ายที่ใส่รองเท้าดำมีลายปักแมวภูเขาเดินไปข้างกายท่านพ่อ สะบัดมือตบหน้าท่านพ่อไปทีหนึ่งแล้วเอ่ยกับลูกน้อง ‘เจ้ารอง จัดการ!’

‘ขอบคุณพี่ใหญ่’ คนผู้หนึ่งหัวเราะลามกตอบกลับมา แล้วพลันเดินมาหน้าโต๊ะ

เด็กน้อยที่คู้ตัวกอดเข่ายังไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น กางเกงของคนผู้นั้นเบื้องหน้าก็ร่วงลงมากองกับรองเท้าหุ้มข้อ จากนั้นโต๊ะเหนือหัวก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง นางทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นกำลังทำอะไร แต่รู้ว่าเขากำลังทำร้ายท่านแม่

‘เจ้าพวกเดรัจฉาน! ปล่อยนางซะ!’

ท่านพ่อที่ถูกกดให้คุกเข่าตะคอกขึ้นมาอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเขาก็ตีฝ่าจุดชีพจรที่ถูกปิดกั้นไว้ได้ ดิ้นหลุดจากคนที่กดตัวเขาอยู่ กระบี่ยาวพุ่งทะยานฟันออกไป โต๊ะที่สั่นไหวอย่างรุนแรงหยุดลงทันที แล้วศีรษะหนึ่งก็กลิ้งลงมา ตรงคอที่ถูกตัดยังมีเลือดทะลัก จากนั้นคนที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางก็พลันล้มลงไปข้างหลัง นางถึงเพิ่งพบในยามนี้ว่าเขาไม่มีหัว หัวของเขาร่วงลงมาก่อนแล้ว

นางยังไม่ทันกรีดร้องก็เห็นท่านพ่อถูกคนต่อยลอยไปชนผนัง คนไม่น้อยโอบล้อมโจมตี ทุกคนล้วนปิดใบหน้าด้วยผ้าดำ

ไม่ทันไรเลือดสดก็สาดกระเซ็น พุ่งออกมาจากคอของท่านพ่อ นางถึงขนาดได้ยินเสียงเลือดพ่นขึ้นไปในอากาศ นางมองดูท่านพ่อล้มลง มองดูท่านพ่อล้มตึงกับพื้นด้วยสองตาแดงก่ำเบิกโพลง ปากแผลบนลำคอของเขามีเลือดไหลออกมา ไหลนองออกมาเรื่อยๆ จนถึงใต้โต๊ะ ไหลมาถึงข้างเท้านาง ย้อมสีแดงบนรองเท้าคู่ใหม่ที่ท่านแม่เพิ่งเย็บให้นางเมื่อวันก่อน

นางเบิกตาโต มองดูท่านพ่อที่ห่างไปไม่ไกล มองเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของเขา มองเห็นความไม่ยินยอมในดวงตาเขา มองเห็นความเคียดแค้นในดวงตาเขา มองเห็นว่าในนัยน์ตาดำที่เบิกโตของเขาสะท้อนเงาร่างของนางที่หดตัวอยู่ใต้โต๊ะ…

นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่ได้กรีดร้องออกมา คล้ายเป็นเพียงคนที่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างไรอย่างนั้น ไม่อาจเปล่งเสียง ไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่เบิกตามองบิดาที่ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

ในความเลือนราง นางได้ยินเสียงคนร้ายนั่นด่าว่าลูกน้องอย่างโมโหที่ลงมือฆ่าท่านพ่อ เพราะทำให้ร่องรอยของแผนที่จิ๋นซีขาดหายไป แต่ว่าเสียงนั้นเหมือนว่าจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

นางจ้องมองดวงตาของท่านพ่อ ฉับพลันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งแถบ นางถึงได้พบว่าเลือดจากบนโต๊ะไหลร่วงลงมา เริ่มจากย้อมสีแดงให้ผ้าปูโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มหยดลงพื้นเหมือนกลายเป็นน้ำตกเลือดก็ไม่ปาน ไหลทะลักลงมาจากโต๊ะสี่ทิศแปดทาง นางรู้สึกเพียงตนเองถูกสีแดงสดจนน่ากลัวนั้นล้อมรอบ คล้ายจมลงในบึงสีแดงเลือด…

นางไม่กล้าขยับ ไม่สามารถขยับ ถึงขนาดไม่อาจหายใจ นางคว้าจับลำคอของตน พยายามอ้าปากอยากสูดหายใจ ทว่ายามที่อ้าปากออกก็ราวกับมองเห็นเลือดแดงสดพวกนั้นไหลนองท่วมปากและจมูกของนาง นางหายใจไม่ออกโดยพลันและสลบไป

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ยามนางฟื้นขึ้นมาภายใต้น้ำเลือดที่แห้งกรังนั้น นอกผ้าปูโต๊ะก็ไม่มีรองเท้าดำน่ากลัวพวกนั้นแล้ว พวกคนร้ายจากไปในที่สุด

นางไม่ได้ตรวจดูเลือดที่เปื้อนบนร่าง ถึงขนาดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ไม่ชัดนัก เพียงปีนออกมาจากใต้โต๊ะอย่างแข็งทื่อ ทว่าหลังจากเห็นมารดาที่ถูกคนแหวกอกผ่าท้องนอนแผ่อยู่บนโต๊ะ ความทรงจำทุกอย่างพลันถั่งโถมเข้าสมองอย่างชัดเจน!

‘อ๊าก…อ๊าก…อ๊าก…อ๊าก…อ๊าก…อ๊า…’

นางพังทลาย ณ ที่นั้น ได้แต่เบิกสองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด ใช้สองมือเล็กเปื้อนเลือดกุมหัว อ้าปากออก ส่งเสียงร้องโหยไห้รุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเสียงแหบแรงหมด จนกระทั่งลำคอแห้งเหือด จนกระทั่งคอที่แหบแห้งไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้อีก นางยังคงชุ่มเลือดทั้งตัว อ้าปากกรีดร้อง…

โม่เอ๋อร์ที่ชุ่มเหงื่อทั้งตัวสะดุ้งตื่นฉับพลันในความมืด

นางตัวเกร็งไปทั้งร่าง หอบหายใจคำโต จนกระทั่งอาการคลื่นเหียนนั้นผ่านพ้นไปถึงค่อยเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ยามนางหันกายกลับมาคิดจะเสาะหาความอบอุ่นที่เขามอบให้ แต่กลับหาคนไม่เจอ ถึงเพิ่งระลึกได้กะทันหันว่านางไม่ได้อยู่บนเรือแล้ว นึกได้ว่านางจากเขามาแล้ว และที่นี่คือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหลิ่งหนาน

มือเล็กที่หดคืนเย็นเฉียบ นางงอตัวกอดหัวเข่าอยู่ที่มุมเตียง จ้องห้องที่มืดมิดด้วยดวงหน้าซีดขาว

สิบวันแล้วนับจากจากเรือดำมา นางอ้อมไปอ้อมมาหลายครั้ง ไม่ง่ายกว่าจะมาถึงหลิ่งหนาน มาถึงสถานที่ที่คนชั่วนั่นอยู่

ปีนั้นเพราะนางทำตามคำสั่งของท่านแม่จึงรอดพ้นการเข่นฆ่านั้นมาได้ ทว่ากลับถูกโจรอีกกลุ่มที่เร่งมาจับตัวได้ จะส่งนางไปทางเหนือ ระหว่างทางนางอาศัยการสะเดาะกุญแจที่ท่านแม่เคยสอนนางเล่นๆ หนีออกไปได้สองสามครั้ง แต่เพราะไม่เป็นวิชายุทธ์ ทุกครั้งหนีไปได้ไม่นานก็ถูกจับกลับมาแล้ว

ภายหลังโจรพวกนั้นไม่กล้าดูถูกนางอีก ไม่เพียงเปลี่ยนเป็นเดินทางทางน้ำ ยังสวมตรวนมือเท้าให้นางด้วย ขังนางไว้ในกรงไม้ใต้ท้องเรือ เตรียมการป้องกันไว้หลายชั้น ถ้าไม่ใช่ภายหลังคุณหนูใหญ่สกุลจั้นมาพบและช่วยนางไว้ นางคงถูกคนทรมานจนตายไปตั้งนานแล้ว

แผนที่จิ๋นซี

เพื่อแผนที่จิ๋นซีแผ่นหนึ่ง ครอบครัวของนางต้องเผชิญกับเคราะห์ถูกฆ่ายกตระกูล ที่น่าหัวเราะก็คือก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น นางถึงขนาดไม่เคยได้ยินคำว่าแผนที่จิ๋นซีนี้เลยด้วยซ้ำ บิดาของนางเป็นอาจารย์กระบี่ที่พอมีชื่อเสียงในหลิ่งหนาน ส่วนมารดานางเป็นเพียงบุตรสาวของช่างทำกุญแจเท่านั้น

ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงคิดว่าแผนที่จิ๋นซีอยู่ในมือบิดามารดานาง พวกเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาๆ เท่านั้น!

โม่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างแน่น ในดวงตาเคลือบประกายน้ำตาและความเคียดแค้น

หลายปีมานี้นางขอให้คุณหนูใหญ่ช่วยสืบหามาตลอด แต่เพราะเมื่อปีนั้นนางซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ มองเห็นเพียงรองเท้าดำที่ปักลายแมวภูเขาคู่นั้น เบาะแสน้อยเกินไปจึงยากจะหาพบ มาถึงตอนนี้ไม่ง่ายกว่าจะหาเจอ ในที่สุดนางก็รู้ว่าศัตรูที่พาคนมาฆ่าล้างครอบครัวนางเมื่อปีนั้นเป็นใคร นางจะต้องแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ ให้เดรัจฉานพวกนั้นชดใช้หนี้เลือด!

 

ท้องฟ้าสีคราม กลีบเมฆสีขาว ใบเรือยังไม่ชักขึ้น เรือดำยังคงจอดนิ่งริมฝั่ง

มังกรดำฉู่เฮิ่นเทียนมีผมยาวดำ เป็นเส้นผมที่ทั้งดำทั้งตรง

ในอาณาเขตทะเลต้าถังนี้ เทียบกับพวกโจรสลัดที่เสื้อผ้าสกปรกผมสยายยุ่งเหยิงแล้ว ฉู่เฮิ่นเทียนมังกรดำผู้เป็นตำนานคนนี้ก็เรียกว่าสะอาดสะอ้านมากแล้ว

ความสะอาดของเขายิ่งเพิ่มความเป็นตำนานให้กับตำนานไร้พ่ายของเขา

เขาเป็นโจรสลัด โจรสลัดที่ฆ่าคนชิงสมบัติ เป็นโจรสลัดในหมู่โจรสลัด!

เขาคือมังกรดำ โจรสลัดมังกรดำไร้คู่ต่อสู้ที่อาละวาดไปทั่วทิศ!

มังกรดำฉู่เฮิ่นเทียนสวมชุดดำ ขับเรือดำ เชี่ยวชาญการกลืนกินความชั่วร้ายด้วยความชั่วร้าย!

เรือทุกลำบนทะเลล้วนรู้ว่าไม่สามารถหาเรื่องเรือดำได้ โจรสลัดทั้งหมดบนทะเลขอเพียงเห็นเรือดำที่ไร้คู่ต่อสู้ลำนี้จากไกลๆ ก็จะหันหัวเรือหนีทันที ไม่มีใครกล้าเดิมพันโชคชะตาของตน เพราะเรือที่เคยลองล้วนจมลงใต้ก้นทะเลตลอดกาล!

แต่ยามนี้เส้นผมยาวที่สะอาดและเรียบร้อยอยู่เป็นนิจของฉู่เฮิ่นเทียนกลับยุ่งเหยิงเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ…

เหวยเจี้ยนซินจ้องปอยผมสีดำที่หาญกล้ากระดกตัวขึ้นมา อ้าปากอยากจะเอ่ยคำพูด

“ลูกพี่ โม่…”

เพิ่งอ้าปาก เขาก็ได้รับสายตาเย็นเยียบทันที ทำเอาหวาดกลัวจนหุบปากโดยพลัน

ฉู่เฮิ่นเทียนมองเส้นขอบทะเลไกลๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หลายวันมานี้มักมีคนมาขอร้องแทนโม่เอ๋อร์บ่อยๆ ต่อให้ไม่กล้าเอ่ยปากก็จะมองเขาตาปริบๆ หวังว่าเขาจะช่วยนาง และหนึ่งในนั้นคนที่พูดมากที่สุดก็คือเหวยเจี้ยนซิน

ผ่านไปไม่นาน เหวยเจี้ยนซินก็พยายามเอ่ยปากอย่างไม่กลัวตายอีก

“ลูกพี่ หรือท่านทนไม่สนใจได้จริง…”

ฉู่เฮิ่นเทียนสีหน้าเย็นชา มือข้างหนึ่งวางอยู่บนกราบเรือ เอ่ยเสียงเย็น

“หญิงผู้นั้นจะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวกับข้า! เข้าใจหรือไม่”

ทุกคนรวมทั้งเหวยเจี้ยนซินที่สอดปากโหวกเหวกต่างเงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ฉู่เฮิ่นเทียนปล่อยมือจากกราบเรือแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโดยสาร สายลมพัดมา กราบเรือจุดที่เขาวางมือเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเศษผงไม้ ทุกคนเห็นดังนั้นยิ่งหนังหัวชาหนึบกว่าเดิม

ผีพนันจางขนลุก พูดอุบอิบในคออย่างเป็นกังวล

“แย่ละ ครานี้โม่เอ๋อร์ทำลูกพี่โมโหจริงๆ แล้ว”

“อมิตาภพุทธ” หลันเซิงถือโอกาสสวดภาวนาเสียงเบา

“พระปลอมอย่างเจ้ายังมีอารมณ์มาสวดมนต์อีก รีบช่วยคิดหาวิธีสิ!” อาอ้วนกลอกตาใส่ เอ่ยปากอย่างหงุดหงิด

“ท่านให้เขา…หาวิธี?” เหวยเจี้ยนซินลากเสียงเกินจริง ร้องเสียงประหลาดออกมา “ถ้าจะให้เจ้าไก่อ่อนกินพืชนี่หาวิธี ไม่สู้ให้ข้าคิดหาวิธียังดีเสียกว่า!”

หลันเซิงประนมสองมือ โค้งตัวลงให้เหวยเจี้ยนซินแล้วยิ้มบางๆ

“อมิตาภพุทธ ประสกเหวยสละตนเพื่อผู้อื่น ช่างหาได้ยากยิ่งแล้ว”

“หือ?” เหวยเจี้ยนซินปากอ้ากว้าง มองหลันเซิงอย่างโง่งม

ผีพนันจางตบบ่าเหวยเจี้ยนซินพลางหัวเราะหึๆ

“ล้วนพึ่งเจ้าแล้ว น้องเหวย!”

“เอ๋?” เหวยเจี้ยนซินเสียงสูงขึ้นแล้ว เบิกตาโตมองผีพนันจางอย่างคาดไม่ถึง

อาอ้วนยิ้มหยีถูฝ่ามือไปมา

“ในเมื่อน้องชายมีน้ำใจเปี่ยมล้นเช่นนี้ พวกเราก็ขอรับไว้อย่างยินดีแล้ว”

“อื๋อ?” เหวยเจี้ยนซินยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ เอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ขอถามหน่อย เมื่อครู่ที่นี่เกิดเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้หรือ”

อาอ้วนเห็นดังนั้นก็ฉีกยิ้มแป้นอย่างใจดี ดูประหนึ่งพระศรีอาริยเมตไตรย แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับทำให้เหวยเจี้ยนซินหนาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…

“ให้เวลาเจ้าสามวัน สามวันเจ้าต้องคิดวิธีออกมาให้ข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ลงจากเรือไปหานางหนูโม่เอ๋อร์ของพวกเรา”

“หา?!” เหวยเจี้ยนซินกระโดดโหยงร้องเสียงหลง เพิ่งรู้เอาตอนนี้ว่าตนโยนตาข่ายครอบตัวเอง ถูกพี่น้องสามคนนี้ทำให้กลายเป็นแพะรับบาปไปเสียแล้ว “เดี๋ยวๆๆ! นี่ๆๆ…เข้าใจอะไรผิดหรือไม่”

เจ้าโจรเฒ่าอ้วน พระปลอม และผีพนันตรงหน้าดันตอบกลับมาด้วยเสียงเจือหัวเราะพร้อมกัน

“ไม่เลย”

เหวยเจี้ยนซินได้ยินพลันร้องเสียงหลง

“นี่นับเป็นอะไร?! หากข้าคิดวิธีการคนเดียว แล้วพวกเจ้าทำอะไรกันเล่า”

“นอนหลับ”

“เล่นพนัน”

“ท่องคัมภีร์”

พวกเขาตอบคนละประโยค แต่ละคำตอบเอ่ยออกมาอย่างผ่าเผยเป็นเหตุเป็นผลยิ่ง

“หา?” เหวยเจี้ยนซินกะพริบตาปริบๆ อึ้งงันไปอีกรอบ

“เอาล่ะ ยังมีคำถามหรือไม่” อาอ้วนตบมือ ไม่ให้เวลาเหวยเจี้ยนซินได้ทันมีปฏิกิริยาก็ไล่ทุกคนที่อยู่รอบๆ สลายตัวไปโดยไว “ไม่มีคำถามแล้วใช่หรือไม่ ในเมื่อไม่มีคำถามแล้วเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายเถอะ!”

“อะไรนะ?! ข้า…” เหวยเจี้ยนซินที่ตอบสนองไม่ทันเพิ่งจะยกมือขึ้นคัดค้าน แต่คนบนดาดฟ้าเรือกลับหนีหายไปอย่างว่องไวภายในพริบตาเดียว

มือที่ยกขึ้นมาครึ่งหนึ่งของเขาชะงักกึกกลางอากาศ ปากยังคงอ้าออก ลมทะเลพัดเข้ามา พาให้รู้สึกวังเวงโดยพลัน…

แปะ!

ของเหลวอุ่นๆ เหนียวๆ ตกลงมาบนหน้าผาก เขามองขึ้นไปด้านบน และเห็นนกโง่น่ารังเกียจที่ปล่อย ‘ขี้’ ลงมาตัวนั้นเหินถลาจากไปในท้องฟ้า

“อ๊าก…บัดซบ! ธนูของข้าเล่า เจ้านกโง่ อย่าหนีนะ!” เขาตะโกนเสียงดัง ปาดขี้นกบนหน้าผาก คว้าธนูกับลูกศรออกมาอย่างดุร้าย ทั้งกระทืบเท้าและกระโดดเหยง ตวาดก้องใส่นกทะเลที่บินจากไปไกลแล้วตัวนั้น

ประกายกระบี่วาววับในป่า

ไม่ทันไรนางก็ทำเอาโจรภูเขาสองคนที่เข้ามาปล้นชิงทรัพย์วิ่งหนีไป ที่ไม่ได้เอาชีวิตพวกเขาเพราะถ้าไม่ถึงที่สุดนางก็ไม่อยากฆ่าใคร ไม่อยากเพิ่มฝันร้ายอันน่าหวาดกลัวอีก

ปลายกระบี่ยังมีเลือดหยด หยดเลือดแดงสดเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์แล้วมีความงดงามแวววาวผิดธรรมดา

นางจ้องมองเลือดหยดนั้น นึกถึงเหตุการณ์ยามทำร้ายคนเป็นครั้งแรกตอนอายุสิบหกขึ้นมาได้อย่างไม่รู้สาเหตุ…

เสียงปะทะของดาบและกระบี่ดังไม่หยุดบนดาดฟ้าเรือ นางอยู่ในห้องโดยสารเรือได้ยินเสียงตะโกนและต่อสู้เหนือศีรษะ ยามนางกุมกระบี่พุ่งออกไป เรือโจรสลัดสองลำต่อสู้เข่นฆ่ากันชุลมุนไปนานแล้ว พาให้คนแยกแยะไม่ออกว่าใครมิตรใครศัตรู

เพิ่งโผล่ออกไป ดาบใหญ่ก็ฟันลงมาเหนือศีรษะแล้ว นางยกกระบี่ต้านรับพร้อมกับหนีขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ใช้กระบวนท่ากระบี่ที่เขาสอนโดยไม่ได้คิดมากความ ยามนางใช้ถึงกระบวนท่าที่สอง ชายฉกรรจ์คนนั้นก็ถูกนางตัดแขนขาดไปแล้วข้างหนึ่ง

มองดูช่วงไหล่ขวาที่ไร้แขนของอีกฝ่ายมีเลือดสดๆ ทะลักไหลออกมา สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันใด คนผู้นั้นส่งเสียงร้องราวกับเสียงสัตว์ป่า ไปไล่เก็บแขนของตนอย่างแตกตื่น

นางตกใจนิ่งอึ้งไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางต่อสู้กับคนนอก นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ากระบวนท่าที่ฉู่เฮิ่นเทียนสอนให้จะเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ ฝ่ามือของนางยังรู้สึกถึงชั่วขณะที่กระบี่ยาวฟันเนื้อตัดกระดูก น่าขยะแขยงนัก น่าขยะแขยงยิ่ง…

คิดมาถึงตรงนี้มือของนางก็อ่อนลง แทบจะกุมกระบี่ยาวในมือไม่อยู่ ถึงขนาดลืมว่าตนเองอยู่ในใจกลางการต่อสู้…

‘ระวัง!’ เหวยเจี้ยนซินยิงธนูออกไป จัดการสารเลวด้านข้างที่ลอบจู่โจมแทนนาง

เห็นพี่เหวยช่วยนางเด็ดชีวิตโจรสลัดด้านข้างที่จะฟันนาง นางถึงคืนสติกลับมาทันใด ทันทีที่เงยหน้ากลับสบเข้ากับนัยน์ตาดำโมโหเดือดดาลของฉู่เฮิ่นเทียน

‘มัวเหม่ออะไรอยู่!’ เขาวาดกระบี่สกัดดาบซึ่งฟันมาจากทางซ้าย คว้าแขนนางอย่างแรงแล้วตะคอก ‘อยากตายนักก็ไสหัวลงไปจากเรือ อย่ามาขวางมือขวางเท้าที่นี่!’

กระบี่ยาวของเขาโบกไกว ปลิดชีพคนรนหาที่ตายอีกคนอย่างง่ายดาย

นางมองเห็นบนลำคอคนผู้นั้นมีเลือดสาดกระเซ็นออกมา ร่างกายพลันแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่ได้ แต่ยามนี้ไหนเลยจะมีเวลาให้นางได้ชะงักงัน เห็นเพียงซ้ายขวาหน้าหลังมีดาบอีกสี่เล่มฟันเข้ามา

‘โง่นัก!’ ฉู่เฮิ่นเทียนดึงนางไปด้านหลังอย่างโมโห แล้วตีโต้ศัตรูเบื้องหน้าให้ล่าถอยไปอีกครั้ง แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นด้านหลังมีอีกหนึ่งคนหนึ่งดาบฟาดฟันไปทางนางที่กำลังเหม่อลอยอยู่ ด้วยไม่อาจดึงกระบี่กลับมาสกัดขวางไว้ทัน เขาได้แต่ปล่อยแขนนางแล้วใช้ฝ่ามือรับดาบ แม้หลบตัวดาบได้ทันเวลา แต่มือของเขาก็ยังคงถูกคมดาบบาดได้รับบาดเจ็บ

เลือดบนมือเขาทำให้นางได้สติกลับมาในที่สุด เห็นเบื้องหลังเขามีคนจู่โจมเข้ามาอีกคน นางพลันยกกระบี่ต้านรับอย่างแทบจะเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เมื่อสำแดงกระบวนท่ากระบี่ คนรอบด้านหากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ

นางหน้าซีด รู้ว่าไม่มีเวลาลังเลและไม่อาจใจอ่อน ทุกคนรอบด้านล้วนอยู่ในศึกเป็นตาย สังหารอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนกระทั่งยามนี้นางถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเรือลำนี้คือสนามรบ ล้วนเป็นมาตลอด

ในที่แห่งนี้หากไม่ใช่ทำร้ายผู้อื่น ก็เป็นถูกทำร้าย ไม่มีตัวเลือกที่สาม นางอยากมีชีวิตอยู่ก็ได้แต่ต้องเลือกตอบโต้กลับไป

นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

เลือดสดเต็มฟ้าสาดกระจายกลางอากาศ นางคล้ายผีเสื้ออาบเลือดที่กำลังร่ายระบำ นางมองเห็นความหวาดกลัวในดวงตาคนพวกนั้น รับรู้ได้ถึงเลือดของอีกฝ่ายที่ซ่านเซ็นใส่ใบหน้านาง นางกลัวยิ่งนัก มือที่ถือกระบี่กลับแน่วนิ่งผิดปกติ รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงแรงสะเทือนยามเฉือนเนื้อตัดกระดูกจากตัวกระบี่

การต่อสู้จบลงภายในเวลาครึ่งเค่อ พวกเขาเป็นฝ่ายชนะแล้ว

วันนั้นแสงอาทิตย์ก็เป็นประกายเช่นนี้ หยดเลือดที่ปลายกระบี่แวววาว สีแดงสดเช่นนั้นงดงามผิดธรรมดาจนพาให้คนใจสั่น…

โม่เอ๋อร์เช็ดหยดเลือดบนกระบี่แล้วพันกระบี่อ่อนไว้ที่เอวดังเดิม

หลายปีมานี้นางจำคำพูดพวกนั้นที่เขาเคยพูดไว้อยู่ตลอด

‘บนเรือลำนี้ไม่มีพวกไร้ประโยชน์! ถ้าเจ้าได้แต่เหม่อลอยให้คนอื่นมาฟันก็ไสหัวลงไปจากเรือ!’

‘ที่นี่เจ้าต้องรู้จักดูแลตัวเอง ข้าไม่ใช่แม่นม!’

‘อย่านึกว่าเจ้าเป็นหญิงก็จะได้สิทธิพิเศษ อยากอยู่ต่อมีข้าวกินก็ต้องทำงาน!’

‘นี่คือเรือโจรสลัด ไม่ใช่เรือพ่อค้า อยากอยู่สบายๆ เจ้าก็กลับสกุลจั้นไป!’

ทุกประโยคที่เขาพูด นางล้วนจดจำไว้ หลายปีมานี้นางได้ยินเขาเน้นย้ำอยู่ตลอด พวกเขาคือโจรสลัด พวกเขาใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ที่นี่ไม่สามารถใจอ่อน ไม่สามารถลังเล เพราะต่อให้อยู่ในสภาพที่พื้นทะเลคลื่นลมสงบ มันก็ยังคงแฝงไว้ด้วยพละกำลังบดขยี้ฟ้าดินดังเดิม

ในทะเลกว้าง มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด

นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสดใสหมื่นลี้ สูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง ยามนางหลับตาลงทบทวนคำพูดของเขาที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง ดวงตาพลันเย็นชาไร้ใดเปรียบ

“ข้าคิดวิธีออกแล้ว”

คืนวันที่สอง เหวยเจี้ยนซินเรียกพวกพี่น้องที่ใจร้ายใจดำพวกนั้นมาที่ห้องของตนแล้วประกาศอย่างเคร่งเครียด

“วิธีอะไร” ผีพนันจางเล่นลูกเต๋าในมือ พิงข้างผนังถามออกมา

“ให้ลูกพี่ยอมไปหาโม่เอ๋อร์กลับมาเอง” เขามั่นใจ ยิ้มหยีพูดออกมา

“ชิ! ข้ายังนึกว่าเจ้าจะมีวิธีดีๆ อะไร” ผีพนันจางกลอกตาถากถาง

“เป็นไปไม่ได้ๆ!” อาอ้วนได้ยินก็ส่ายใบหน้าอ้วนแรงๆ เช่นกัน “ถ้าจะให้ลูกพี่ไปตามหาสตรีเอง มีแต่ฟ้าถล่มเท่านั้นล่ะ!”

หลันเซิงไม่ได้พูดอะไร แต่คิ้วก็ขมวดขึ้นมาแล้ว

“นี่พวกเจ้าไม่เข้าใจ โม่เอ๋อร์เป็นสตรีของลูกพี่ คิดว่าเรื่องนี้ทุกคนคงรู้ดี ใช่หรือไม่” เหวยเจี้ยนซินยิ้มกว้างถาม

ทุกคนพยักหน้า ไม่มีความเห็นอื่นต่อเรื่องนี้

“เช่นนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกพี่ชอบโม่เอ๋อร์มากขนาดไหน” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ชี้จมูกตัวเองแล้วกล่าวอย่างได้ใจ “ข้ารู้!”

“เจ้ารู้อะไร” อาอ้วนขมวดคิ้ว

“ข้ารู้ว่าทุกครั้งที่ลูกพี่ลงจากเรือก็จะเอาตลับผงชาดสองสามอันกลับมาด้วย ข้ารู้ว่าลูกพี่วานให้คุณหนูใหญ่ที่หยางโจวหาคนสั่งทำกำไลหยกปิ่นปักผมเป็นพิเศษ ข้ายังรู้ว่าตั้งแต่ห้าปีก่อนลูกพี่ก็เริ่มตรวจสอบชาติกำเนิดของโม่เอ๋อร์อย่างลับๆ แล้ว!” พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาก็จริงจังขึ้นมา เอ่ยถาม “พวกเจ้าลองคิดดู ติดตามลูกพี่มาหลายปีขนาดนี้ มีแม่นางคนไหนเคยทำให้ลูกพี่ของพวกเราต้องเปลืองความคิดถึงขนาดนั้นบ้าง”

ทั้งสามสบสายตากัน ออกจะตกตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่อยู่บ้าง หลายปีมานี้พวกเขาไม่เคยเห็นลูกพี่ใส่ใจแม่นางคนไหนมาก่อนจริงๆ

พวกเขารู้ตั้งแต่สามสี่ปีก่อนหน้าแล้วว่าโม่เอ๋อร์กับลูกพี่นอนร่วมห้องกัน แต่ก็เพียงเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ล้วนมองไม่ออกว่าลูกพี่ปกป้องหรือปฏิบัติต่อโม่เอ๋อร์ดีเป็นพิเศษ โม่เอ๋อร์เหมือนกับคนอื่นๆ บนเรือ จำเป็นต้องทำงาน

ปกติยามออกทะเล ทุกคนบนเรือต้องผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืนบนหอสังเกตการณ์ที่เสากระโดงเรือหลัก บนนั้นทั้งเล็กแคบทั้งหนาวเย็น ถ้าเจอฝนตกหรือเป็นฤดูหนาวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เดิมทุกคนคิดว่าโม่เอ๋อร์เป็นสตรีสามารถงดเว้นได้ แต่ลูกพี่กลับยังให้นางทำตามกฎ ใจที่รักถนอมของมีค่าไม่มีอยู่แม้แต่น้อย

เรื่องอื่นๆ ทำนองนี้ยังมีอีกมาก

ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่มีใครรู้ว่าลูกพี่ใส่ใจโม่เอ๋อร์ถึงเพียงนี้จริงๆ จนกระทั่งได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเหวยเจี้ยนซิน ทั้งสามพลันตื่นตะลึง ทว่า…

อาอ้วนคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็หรี่ตาเล็กลงเอ่ยถาม

“ข้าว่านะน้องเหวย เรื่องที่พวกเราพี่น้องไม่รู้ เหตุใดเจ้าจึงรู้มากขนาดนั้น”

“เอ่อ…หา? แหะๆ…” เหวยเจี้ยนซินได้ยินก็แกล้งโง่หัวเราะแห้งๆ สองครั้ง

“พูดมา!” ผีพนันจางเองก็เร่งเร้าพลางจ้องเขาอย่างสงสัย

“นี่…คือว่า…ที่จริงแล้ว…ทุกคนก็รู้ดีว่าข้าขยันฝึกยิงธนูมาก…” ลูกตาของเหวยเจี้ยนซินกลอกไปทั่วซ้ายขวาบนล่าง สุดท้ายถึงค่อยยิ้มโง่ๆ มองทุกคนแล้วเอ่ยอย่างยอมรับชะตากรรม “ฝึกไปฝึกมา บางครั้งไม่ระวังก็…เอ่อ ยิงถูกพิราบสื่อสารบ้าง”

“อะไรนะ!?” อาอ้วนได้ยินก็หน้าเขียวแล้ว โกรธจนเข้าไปบีบคอเหวยเจี้ยนซินเขย่าแรงๆ ร้องเสียงดัง “สารเลว! ที่แท้นกน้อยของข้าพวกนั้นล้วนถูกเจ้าทำร้าย! เจ้าระยำนี่ คืนชีวิตเหล่านกน้อยของข้ามานะ! ข้าจะบีบคอเจ้า จะบีบคอเจ้า…”

“อ๊า…แค่กๆ…ชะ…ช่วยด้วย…แค่กๆๆ…หลันเซิง…เหล่าจาง…” เหวยเจี้ยนซินถูกบีบจนหน้าแดงเถือก รีบยื่นลิ้นออกมา ส่งเสียงขอความช่วยเหลือไปทางอีกสองคน

หลันเซิงกับผีพนันจางเห็นว่าเขาชีวิตจะหาไม่แล้วก็รีบเข้าไปคว้าแขนอาอ้วนคนละข้าง

“พวกเจ้าอย่ามาดึงข้า! ให้ข้าบีบคอมัน!” อาอ้วนสองตาแดงก่ำ ตะคอกอย่างดุร้าย

“อาอ้วนเจ้าใจเย็นหน่อย เรื่องราวมีหนักเบารีบเร่ง ก่อนเจ้าบีบคอเขา ก็ให้เจ้านี่แก้ปัญหาเรื่องโม่เอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน” หลันเซิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยปลอบ

ผีพนันจางยิ้มยิงฟัน กล่าวเสริมว่า

“ใช่แล้ว รอเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าอยากเอาเจ้านี่ไปต้มยำทำแกง พวกเราก็จะไม่ขัดขวางเลย”

“เฮือก…แค่กๆ…” เหวยเจี้ยนซินหลุดออกมาจากมืออาอ้วนได้ก็ไปหอบหายใจที่ด้านข้างทันที ครั้นได้ยินก็ร้องเสียงหลงอีก “พวกเจ้าสองคนมีใจเมตตาบ้างหรือไม่?!”

ผีพนันจางขึงตา ปล่อยมือที่จับอาอ้วนออกแล้วชี้จมูกตัวเอง

“บอกว่าข้าไม่มีเมตตา? เจ้าเด็กหน้าเหม็นที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณนี่!”

พอไม่มีพันธนาการของผีพนันจาง มือขวาของอาอ้วนที่เป็นอิสระก็ยื่นไปหาเหวยเจี้ยนซินอีกครั้ง แยกเขี้ยวระบำกรงเล็บราวกับวิญญาณร้ายก็ไม่ปาน ทำเอาเหวยเจี้ยนซินกลัวจนร้องโหวกเหวก

“เหล่าจาง ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้ว! อาอ้วน ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ให้อภัยข้าเถอะ! ข้ามีวิธีให้โม่เอ๋อร์กลับมาจริงๆ นะ ขอร้องท่านผู้อาวุโสให้โอกาสข้าทำความดีชดใช้ความผิดสักครั้ง เป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณบนสวรรค์ของเหล่านกน้อยไง!”

ประโยคสุดท้ายทำให้อาอ้วนหยุดลงในที่สุด เขาจ้องเจ้าสารเลวเหวยเจี้ยนซินอย่างโมโหเดือดดาล เนิ่นนานกว่าจะระงับโทสะได้ ถึงค่อยตบโต๊ะไม้กล่าว

“ยังไม่รีบพูดอีก!”

“ได้ๆๆ!” เหวยเจี้ยนซินเห็นดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจลง รีบยิ้มกล่าว “เป็นอย่างนี้ท่านอาอ้วนที่รัก วันนี้ข้าได้รับข่าวมาว่าโม่เอ๋อร์นาง…”

เขางึมๆ งำๆ พูดแผนการยาวเป็นพรวนออกมา อีกสามคนที่เหลือยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเข้าที จึงเริ่มปรึกษากันขึ้นมา ดังนั้นในห้องของเหวยเจี้ยนซินจึงเห็นศีรษะดำสี่หัวสุมอยู่ด้วยกัน ปรึกษาแผนใหญ่ทำร้ายฉู่เฮิ่นเทียน…

บทที่สาม

บนถนนสายหลักกลางป่าเขา

ใบไม้เขียวให้ร่มเงา แสงแดดสีทองส่องลอดใบไม้ แมลงตัวเล็กดุจเมล็ดข้าวบินร่อนอยู่กลางแมกไม้ประดุจฝุ่นผง

นางในชุดเขียวน้ำทะเลมือคล้องห่อสัมภาระ เดินออกจากทางเล็กบนเขามุ่งหน้าไปยังถนนหลัก

บนถนนใหญ่พลันมีเสียงกีบเท้าม้าดังมา ไม่ทันไรคนสี่คนก็ควบม้าทะยานเข้ามา จากที่ไกลๆ ทั้งสี่เห็นแม่นางที่กำลังเดินอยู่ข้างถนนหลักจู่ๆ ก็หมดสติไป เดิมทีทั้งสี่สามารถห้อทะยานผ่านเลยไปตรงๆ ได้ แต่คนตรงกลางในชุดผ้าแพรหรูหราที่เห็นชัดว่าเป็นเจ้านายกลับร้องสั่งหยุดกะทันหัน

เขาบังคับม้าให้หยุด พยักพเยิดต้องการให้ใครไปดู

“ไปดูหน่อย”

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งลงจากม้าไปยังข้างกายสตรีชุดเขียวแล้วจับนางพลิกตัวขึ้นมา เจ้านายอายุน้อยผู้นั้นครั้นเห็นใบหน้างดงามของนางก็พลันตกตะลึง ลงจากม้าเดินเข้าไปทันทีแล้วเอ่ยถาม

“นางเป็นอะไรไป”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นจับชีพจรนางครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า

“นายน้อย แม่นางผู้นี้เพียงร่างกายอ่อนแอสลบไปเท่านั้น”

เหตุใดนางดูแล้วคุ้นหน้าถึงเพียงนี้

นายน้อยในชุดแพรขมวดคิ้วมองดูแม่นางชุดเขียว ผ่านไปครู่หนึ่งก็คุกเข่าลงโดยพลัน ยื่นมืออุ้มนางขึ้นมาจากพื้นแล้วขึ้นคร่อมม้าอีกครั้ง พุ่งทะยานออกไปอย่างว่องไว

 

“ฟื้นแล้วหรือ”

ดวงตาเรียวชี้ดั่งพญาหงส์ดูคล้ายเย็นชา ในนั้นกลับมีความเร่าร้อนที่ปิดไม่มิด ผู้พูดใบหน้าขาวจัด มือขาวมาก ลำคอก็ขาวมาก ขาวจนคล้ายไม่มีสีเลือด

นางมองดูเขา ไม่ได้เอ่ยปาก

“เจ้าชื่ออะไร” เขาถามอีก

นางยังคงไร้คำพูด เพียงผินหน้าไปมองดูการตกแต่งรอบด้าน

“หิวหรือยัง” เขาชี้อาหารบนโต๊ะ “ตรงนี้มีของกิน”

นางเคลื่อนสายตาอีกครั้ง ในที่สุดก็มองเห็นของที่นางต้องการบนโต๊ะอีกตัว นางไม่สนใจอาหารที่คนผู้นั้นประคองเข้ามา เพียงลงจากเตียงไปข้างโต๊ะ ฝนแท่งหมึกแล้วหยิบพู่กันแต้มหมึกเล็กน้อย ก่อนจะเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระดาษเซวียนจื่อ*

เด็กหนุ่มในชุดแพรเห็นดังนั้นก็เดินตามนางไป อ่านตัวอักษรบนกระดาษ

“เจ้าชื่อโม่เอ๋อร์?”

นางหันกลับมามองเขา พยักหน้าเล็กน้อย

“เจ้าพูดไม่ได้หรือ” เขาถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

นางเพียงมองเขา ไม่พยักหน้าหรือส่ายหัว

อันที่จริงในใจเขาตั้งมั่นไว้แน่ชัดนานแล้ว ใช้จังหวะที่นางยังไม่มีปฏิกิริยาใด เพียงถามเรื่องที่ตนอยากรู้

“เจ้าเป็นคนที่ใด”

นางถือพู่กันเขียนอักษร ‘หลิ่งหนาน’ ลงไปสองตัว

เขาเห็นแล้วในใจพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาระลอกหนึ่ง ยื่นมือจับสองไหล่ของนางกะทันหัน กลั้นหายใจถามนางอย่างรอคอย

“ในบ้านเจ้ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่”

โม่เอ๋อร์หน้าซีดไปเล็กน้อย เบิกตามองเขา

“ขอโทษด้วย” เขาถึงเพิ่งพบว่าตนเองตื่นเต้นเกินไปจึงรีบปล่อยมือ แต่ยังคงถามซ้ำอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว “แม่นางโม่เอ๋อร์ ที่บ้านเจ้ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่”

นางถอยหลังก้าวหนึ่ง ออกห่างจากระยะสองแขนของเขาถึงค่อยส่ายหน้าช้าๆ

“เช่นนั้นหรือ” เขาคล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็น สีหน้าตื่นเต้นหดหายไป ปรากฏเป็นความหดหู่อย่างเด่นชัดอยู่บ้าง

โม่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงหน้าม่อยคอตกเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วงาม ยื่นมือออกไปแตะแขนเสื้อเขาเบาๆ

เห็นนางทำหน้าสงสัย เขาถึงฉีกยิ้มมุมปากกล่าว

“ขออภัยด้วย ข้าเพียงนึกว่าเจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่ข้ารู้จักในสมัยก่อน”

นางนิ่งเงียบ ไม่ถามอะไรอีก

มองดูใบหน้าที่คล้ายกับคนผู้นั้นถึงเพียงนี้ของนาง เขาแทบจะนึกไปว่านางคือคนคนนั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงไล่คนอื่นออกไป อยากจะถามนางเป็นการส่วนตัว แต่คาดไม่ถึงว่านางกลับไม่ใช่

ตั้งแต่เล็ก ในความทรงจำของเขามีแม่นางคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอมา แต่ว่าความทรงจำนั้นเลือนรางยิ่งนัก อีกทั้งทุกครั้งที่เขาถือโอกาสถามยามท่านพ่ออารมณ์ดี ท่านพ่อเดี๋ยวก็ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ บ้างก็ว่าเด็กหญิงคนนั้นคือเสี่ยวชุ่ยหลานสาวของท่านแม่ ถ้าเขายังเซ้าซี้ถามอีกก็จะถูกโบยชุดหนึ่ง แต่ว่าเขาเคยเจอเสี่ยวชุ่ย เขารู้ว่าเด็กหญิงคนนั้นไม่ใช่เสี่ยวชุ่ย ทว่าความทรงจำช่วงก่อนอายุห้าขวบของเขาคล้ายมีม่านหมอกสีหม่นปกคลุม ทำให้ไม่ว่าเขาจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก…

เขาพลันได้สติกลับมา และเห็นว่าแม่นางตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาตรงๆ เขาถึงเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้แนะนำตนเองจึงรีบกล่าว

“ที่นี่คือปราสาทเขากระบี่เทพ ข้าแซ่กู้ ชื่อคำเดียวว่าอี้ เป็นนายน้อยของที่นี่ เมื่อวานยามข้ากับพวกท่านอากลับปราสาทเขา เห็นแม่นางสลบอยู่ข้างทางถนนหลัก จึงถือวิสาสะพาแม่นางกลับมาด้วยกัน ขอแม่นางอย่าได้ถือสา”

นางได้ยินแล้วเพียงกลับไปเขียนบนกระดาษ

 

โม่เอ๋อร์ขอบคุณนายน้อยยิ่งนัก

 

“ไม่ต้องเกรงใจ” เขายิ้มตอบบางๆ มองใบหน้าคุ้นเคยของนางนี้ ในใจคล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังกระโดดโลดเต้น เขาโพล่งถามออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ “แม่นางร่างกายอ่อนแอ หากไม่รังเกียจก็พักที่นี่สักสองสามวันเป็นอย่างไร”

นางจ้องมองเขา เนิ่นนานถึงค่อยพยักหน้าให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ใบหน้าขาวซีดของเขาเผยรอยยิ้มเบิกบานแล้ว แต่งแต้มสีสันบนใบหน้าไร้ชีวิตชีวาของเขา

นอกหน้าต่างลมพัดโชย ใบเหลืองบนกิ่งไม้ร่วงลงมาหลายใบ บินตลบอยู่กลางอากาศ…

เมื่อฉู่เฮิ่นเทียนขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ พวกลูกเรือที่รุมล้อมอยู่ด้วยกันพลันหยุดบทสนทนาทันทีแล้วแยกย้ายกันไป แสร้งทำเป็นยุ่งง่วน

“เจ้าหนู เงื่อนนั่นไม่ได้มัดเช่นนั้น มาๆๆ ข้าจะสอนเจ้าอีกครั้ง” อาอ้วนตะโกน จับไหล่ลูกเรือใหม่คนหนึ่งแล้วปะปนไปยังท้ายเรือ

“อ๋า ผีพนันเฒ่า เจ้าไม่ได้บอกว่าจะช่วยข้าทำลูกธนูสักหลายดอกหรือ” เหวยเจี้ยนซินเองก็พูดกับผีพนันจางเสียงดัง

“จริงด้วยๆ ไปใต้ท้องเรือกันเถอะ” ผีพนันจางตอบคล้อยตาม “พวกเราไปดูข้างล่างกัน เจ้าลองดูหน่อยว่าใช้ได้หรือไม่”

“ดีสิๆ” เหวยเจี้ยนซินร้องรับ ทั้งสองหนึ่งนำหน้าหนึ่งตามหลังเดินลงไปยังห้องโดยสารด้านล่าง

ไม่ทันไรเหล่าคนที่เดิมรวมตัวอยู่ด้วยกันก็เหลือเพียงหลันเซิงคนเดียว

เจ้าพวกนี้กำลังทำบ้าอะไรกันอยู่

ฉู่เฮิ่นเทียนหน้าตาเย็นชา มองหลันเซิงที่หน้าตานิ่งเฉยสุขุม อ้าปากจะถาม แต่ก็ปล่อยผ่านไปทันใด เพราะกลัวว่าในปากเขาจะพ่นคำสวดภาวนาไม่มีหัวไม่มีหางออกมาอีก ถึงตอนนั้นจะยิ่งทำให้เขาปวดหัวสมองบวมมากกว่าเดิม

เขาหันหน้าไปมองอาอ้วนที่แสร้งทำเป็นสอนคนมัดเงื่อนที่ท้ายเรือ อันที่จริงในใจรู้ดีว่าเมื่อครู่พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ เพราะหัวข้อต้องห้ามบนเรือมีเพียงอย่างเดียว…โม่เอ๋อร์!

พอคิดถึงสตรีผู้นั้น ใบหน้าเขาก็เย็นเยียบลงไปอีก หมัดกำแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้

ยี่สิบวัน

ยี่สิบวันแล้ว นางยังไม่กลับมา!

แม้ว่าปากเขาจะพูดเสียน่าฟังว่าเรื่องของนางไม่เกี่ยวกับเขา แต่เรือกลับจอดนิ่งอยู่ที่เฉวียนโจวมายี่สิบวันแล้ว เดิมเขาคิดว่าสิบวันนางก็คงกลับมา ดังนั้นหลังนางจากไปเขาก็ไม่ได้ออกเรือ ไม่ได้ไปจากที่นี่ ด้วยเกรงว่ายามนางกลับมาแล้วจะหาเรือดำไม่เจอ แต่ว่านางกลับไม่ได้กลับมา!

หญิงน่าตาย!

เขามองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าทะมึน เปลวเพลิงแผดเผาอยู่ในอก

บนเรือลำนี้ล้วนมีเงาของสตรีผู้นั้นอยู่ทุกที่ บนเสากระโดง บนเชือกโยงเรือ ในห้องโดยสาร บนดาดฟ้า!

ไม่ว่าเขาไปที่ใดล้วนมองเห็นเงาร่างของนางเสมอ สิบกว่าปีมานี้นางอยู่เงียบๆ ถึงเพียงนั้น อยู่อย่างเงียบๆ และจริงแท้บนเรือลำนี้ เขาเกือบคิดว่านางจะเป็นเหมือนเรือลำนี้ กลายเป็นเลือดและกระดูกของเขา ข้ามผ่านทิวาราตรีนับพันบนทะเลแห่งนี้ด้วยกันกับเขา…

สายตากวาดผ่านเสากระโดงเรือ นัยน์ตาเขายิ่งอึมครึมลง คิดถึงว่านางมักชอบอยู่ข้างบน มองดูจุดที่ท้องฟ้าและผืนทะเลบรรจบกันไกลๆ ในวันที่อากาศแจ่มใส ราวกับนกทะเลสะโอดสะองตัวหนึ่ง สายลมจะพัดเส้นผมยาวของนาง นางจะหลับตาลงแหงนเงยรับลม กลีบปากสีชมพูจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ อันสมบูรณ์แบบ

เขาแทบจะนึกว่าตนเองหาสตรีที่สามารถเคียงคู่กันไปทั้งชีวิตเจอแล้ว แต่นางกลับตีจากเขา!

นางน่าตายนัก!

ความอึดอัดในอกพุ่งสูง เขามองท้องทะเลราบเรียบกว้างใหญ่ แต่ภายในนัยน์ตากลับเดือดพล่านเชี่ยวกราก

พวกเขาก็สมควรตายเช่นกัน!

แม้เขาเคยสั่งห้ามทุกคนเอ่ยถึงนาง พวกเขาก็ทำตามแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจหยุดคิดถึงนาง ถึงขนาดที่ว่าสองวันนี้ทุกครั้งที่เห็นคนบนเรือรวมตัวกันก็จะอดไม่อยู่ อยากรู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร อยากรู้ข่าวคราวของนาง

เขารู้ว่าลูกน้องสองสามคนนั้นของเขาจะต้องส่งคนตามนางไป พวกเขาต้องรู้แน่นอนว่านางอยู่ที่ใด รู้ว่านางปลอดภัยดีหรือไม่ แต่เขากลับไม่อาจปลดหน้ากากไปสอบถามได้ อีกทั้งยามพวกเขาเห็นตนก็จะหุบปากไม่กล่าวอันใดทันที

เขาโมโหนาง และโมโหลูกน้องที่ลับๆ ล่อๆ พวกนั้น ยิ่งโมโหความขัดแย้งของตน!

สารเลว!

ฉู่เฮิ่นเทียนสบถด่าเงียบๆ คำหนึ่ง สองตากวาดไปรอบด้าน เห็นว่าแม้ทุกคนกำลังทำงาน แต่กลับลอบมองมาทางเขาเป็นระยะ เขาอดหน้านิ่วลงไม่ได้ ไปจากดาดฟ้ากลับห้องโดยสารเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด

คนในห้องใต้ท้องเรือได้ยินเสียงคนลงบันใดมา ผีพนันจางรีบทำไม้ทำมือให้เหวยเจี้ยนซิน จากนั้นก็เริ่มเอ่ยถาม

“นี่เจ้าเหวย เมื่อกี้ตอนอยู่บนดาดฟ้าเรือเจ้าบอกว่าอะไรแย่แล้วนะ”

“อ๋า ผีพนันเฒ่า เจ้าไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ข้าไม่ใช่บอกหรือว่าโม่เอ๋อร์สลบไปบนถนนหลัก สุดท้ายเป็นนายน้อยปราสาทเขากระบี่เทพช่วยกลับไป”

เสียงฝีเท้าบนทางเดินหยุดชะงักไป สองคนในห้องสบตากันแล้วกระซิบกระซาบด้วยเสียงไม่เบานักต่อ

“ใช่น่ะสิ แต่เจ้าไม่ใช่บอกหรือว่านางไม่ได้เป็นอะไรมากน่ะ เช่นนั้นมีอะไรแย่เล่า”

“ไม่เป็นอะไรมากก็จริงอยู่ ปัญหาคือนายน้อยปราสาทเขากระบี่เทพอะไรนั่นดูเหมือน…ดูเหมือน…” เหวยเจี้ยนซินทำเป็นกระวนกระวาย ยึกๆ ยักๆ

ฉู่เฮิ่นเทียนที่นอกประตูได้ยินมาถึงตรงนี้ หัวใจกลับแขวนลอยอยู่ครึ่งหนึ่งอย่างไม่รู้สาเหตุ

“ดูเหมือนอะไร เจ้ารีบพูดออกมาสิ!” ผีพนันจางช่วยเร่งเร้าแทนคนข้างนอก

“นายน้อยคนนั้นดูเหมือนต้องการแต่งโม่เอ๋อร์น่ะ”

ฉู่เฮิ่นเทียนได้ยินก็แข็งทื่อไปหมด หน้าเขียวง้ำ

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ผีพนันจางขมวดคิ้วซักไซ้

เหวยเจี้ยนซินถอนหายใจ

“เพราะระยะนี้มีคนเห็นปราสาทเขากระบี่เทพติดโคมประดับผ้าแพร ท่าทางเหมือนจะจัดเรื่องมงคล อาอ้วนจึงให้คนเข้าไปสอบถามดู ถึงได้รู้ว่านายน้อยปราสาทเขากระบี่เทพเกิดรักแรกพบกับโม่เอ๋อร์ของเรา วันที่สิบห้าเดือนหน้าก็จะแต่งงานแล้ว”

“เป็นไปได้อย่างไร?! โม่เอ๋อร์จะแต่งให้ผู้อื่นจริงๆ หรือ” ผีพนันจางส่งเสียงไม่อยากเชื่อออกมา

“ผีพนันเฒ่า ข้าว่าลูกพี่เองก็ไม่ได้ใส่ใจโม่เอ๋อร์เท่าไร ในเมื่อนายน้อยอะไรนั่นถูกใจโม่เอ๋อร์ นั่นก็เป็นความสุขของนางแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกเราเป็นโจรสลัดนะ นางไปเป็นฮูหยินน้อยของปราสาทเขากระบี่เทพ อย่างไรก็ดีกว่าอยู่บนเรือไม่มีตำแหน่งฐานะอะไร เจ้าว่าจริงหรือไม่เล่า”

“เฮ้อ ว่าไปก็จริง”

‘ปัง!’ ประตูพลันมีเสียงกระหึ่มดังขึ้น

ผีพนันจางกับเหวยเจี้ยนซินตกใจจนรีบก้มหัวลง เมื่อหันไปมองเห็นเพียงประตูห้องถูกฉู่เฮิ่นเทียนต่อยทะลุเป็นรูโหว่หนึ่งช่องแล้ว

ทั้งสองไม่กล้าขยับ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจากไป เหวยเจี้ยนซินถึงค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เขาสอดศีรษะลอดรูโหว่บนประตูออกไปมองด้านนอก เห็นเพียงรองเท้าที่หายไปในช่องดาดฟ้าของลูกพี่

เขาหดหัวกลับมา ลูบรูโหว่บนประตูพลางรำพัน

“ท่านแม่ของข้า โชคดีที่พวกเราหลบไว ไม่อย่างนั้นหัวต้องถูกระเบิดอเนจอนาถแน่”

ผีพนันจางยังคงคุกเข่าอยู่ข้างประตูลอบยิ้ม

“วางใจได้ หัวเล็กๆ ของเจ้ายังอยู่ ต่อไปพวกเราก็รอดูละครสนุกเถอะ!”

เขาเพิ่งพูดจบ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงของลูกพี่ดังมาจากด้านบน

“ถอนสมอ! กางใบเรือ!”

“หา?” อาอ้วนที่ท้ายเรืออึ้งไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยถาม “ลูกพี่ พวกเราจะออกเรือแล้วหรือ”

ฉู่เฮิ่นเทียนตะคอกตอบด้วยใบหน้าเย็นเยียบ

“เร่งไปให้ถึงก่วงฝู่ภายในสามวัน!”

คนบนเรือได้ยินคำสั่งก็ขยับตัวทันที คนที่ดึงเชือกโยงก็ดึงเชือก คนที่ถอนสมอก็ถอนสมอ ไม่ทันไรใบเรือพลันถูกดึงลงมากางออกต่อเนื่อง รับลมทะเลจนพองนูน เรือดำออกจากท่าอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือก่วงฝู่ที่อยู่ทางใต้ลงไป

ฉู่เฮิ่นเทียนยืนอยู่บนหัวเรือ เดือดพล่านแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

น่าชังนัก! สตรีน่าตายคนนั้น เพื่อแก้แค้นแล้วดันเลือกแต่งเข้าตระกูลศัตรู!

เดิมเขานึกว่าหลังจากนางรู้ความจริงแล้วจะล้มเลิกความคิดต่อสู้กับปราสาทเขากระบี่เทพที่เรืองอำนาจในหลิ่งหนาน แล้วหันกลับมาขอความช่วยเหลือ ใครจะรู้ว่านางดันโง่จนนึกว่าสามารถอาศัยกำลังของนางเพียงลำพังงัดข้อกับจิ้งจอกเฒ่ากู้หย่วนต๋านั่นได้!

น่าตายนัก! ถ้านางคิดว่ากู้หย่วนต๋าจะให้บุตรชายแต่งกับสตรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไปคนหนึ่งได้อย่างไม่ระแวงสงสัยสักนิด นั่นก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

สมควรตาย! สมควรตาย! สมควรตาย!

ตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เขาเริ่มใส่ใจนาง เขาก็ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นอย่างที่แล้วมาได้อีก เขาถึงขนาดไปถามจั้นชิงเป็นพิเศษ สืบหาชาติกำเนิดที่ราวกับปริศนาของนาง เพียงเพราะไม่อาจทนรับการร่ำไห้อย่างไร้เสียงยามราตรีของนาง ไม่อาจทนเห็นนางถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกค่ำคืน ไม่อาจเห็นนางทุกข์ตรมเช่นนี้…

เขากำลังรอให้นางเอ่ยปาก แต่นางไม่เพียงไม่เอ่ยกับเขา ยังไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาด้วย นอกจากเรียนกระบี่แล้ว นางไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากเขาทั้งสิ้น!

แรกเริ่มเขายังนึกว่านางจะพูด จะขอให้เขาแก้แค้นแทนนาง เขารอคอยนางอยู่ตลอด แต่นางไม่เคย ไม่เคยเอ่ยปากสักครั้ง

หญิงผู้นั้นเพียงคิดจะพึ่งพาตัวเองอย่างน่าตาย!

ฉู่เฮิ่นเทียนจ้องมองไปทางใต้อย่างเดือดดาล เขาสงสัยว่าตัวตนของเขาในใจนาง นอกจากเป็นอาจารย์ที่สอนวิชากระบี่ให้นางแล้วก็ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น!

ดอกชาภูเขามักส่งกลิ่นหอมออกมาในยามที่ผู้คนไม่ทันรู้ตัว

บนกลีบดอกไม้สีแดงบอบบางเป็นชั้นๆ มีหยดน้ำค้างใสแวววาว เมื่อลมพัดผ่าน ดอกไม้สั่นไหวเบาๆ หยดน้ำร่วงหล่น กลิ่นหอมก็จะแผ่กระจายตามลมออกมา

สีแดงสดที่บานสะพรั่งเต็มที่นี้งดงามเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นการตัดกันอย่างรุนแรงกับผักดอกตากแห้งที่หดลีบแห้งเหี่ยวซึ่งอยู่ด้านข้างห่างไปสองชุ่น* เหมือนกับหญิงสาวงดงามวัยแรกแย้มกับหญิงแก่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างไรอย่างนั้น

โม่เอ๋อร์ยืนอยู่หน้าพุ่มชาภูเขา มองดูความแตกต่างอันน่าตกตะลึงนี้ ไม่รู้ว่าตนเองจะโรยราเช่นชาภูเขาที่แห้งเหี่ยวเมื่อไร บางที…นางอาจปล่อยกลิ่นหอมไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ได้แต่รอวันโรยร่วงเท่านั้น

หนึ่งเดือนแล้ว แต่นางกลับเหมือนผ่านวันเวลาไปหนึ่งปี

ความเหนื่อยล้าเช่นนี้นางไม่ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก…หรือบางทีนางอาจคาดเดาไว้แล้ว เพียงแต่อยากลองเดิมพันดู? บางทีอาจเป็นอย่างหลังกระมัง…

นี่คือการเดิมพัน นางมิได้โง่งม และมิได้โง่เง่าจนนึกว่าเข้าปราสาทเขากระบี่เทพแล้วก็สามารถทำลายที่นี่ได้อย่างง่ายดาย กู้หย่วนต๋าเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง เบื้องหน้าคือจอมยุทธ์คุณธรรม ในที่ลับกลับกระทำการชั่วช้า สิบกว่าปีมานี้เขาสวมหน้ากากคนดีสร้างชื่อเสียง ทุกคนล้วนถูกหน้ากากมีเมตตาธรรมของเขาหลอกหมดแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะนางจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้อย่างลึกล้ำเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะนางจำเสียงหัวเราะจอมปลอมพาให้คนขนลุกของเดรัจฉานตัวนั้นได้แม่นยำ ถ้าไม่ใช่เพราะนางจดจำรองเท้าดำปักลายแมวภูเขาคู่นั้นได้อย่างชัดเจนในสมอง ถ้าไม่ใช่เพราะนางเห็นภาพปัก ‘ธาราขุนเขาหมื่นลี้’ ที่ท่านแม่ปักเองกับมือในห้องโถงใหญ่ปราสาทเขากระบี่เทพ นางเองก็คงสงสัยเช่นกันว่าท่านผู้เฒ่าที่ดูใจดีมีเมตตาคนนั้นไม่ใช่เดรัจฉานในคืนนั้น

ใบหน้างามของโม่เอ๋อร์เย็นเยียบ กำหมัดแน่นทั้งสองมืออย่างอดไม่อยู่ ยามนางเห็นภาพปักขนาดใหญ่ยาวหนึ่งจั้ง แปดฉื่อ กว้างห้าฉื่อ ปักลายทิวทัศน์กำแพงเมืองยาวหมื่นลี้ในห้องโถงใหญ่ นางพลันเบิกตากว้าง สะท้านสะเทือนจนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!

เขากล้าดีอย่างไร โจรชั่วนั่นกล้าดีอย่างไรถึงเอาภาพปักของท่านแม่มาแขวนไว้ในห้องโถงอย่างโจ่งแจ้งหน้าด้านๆ

ตอนนั้นนางต้องพยายามระงับความปวดร้าวและเคียดแค้นของตนสุดความสามารถ ถึงมิได้เผยพิรุธต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่านั่น

กู้หย่วนต๋าคงจะคิดว่าไม่มีใครรู้จักภาพปักนั้น เพราะนี่เป็นภาพปักที่ท่านแม่เพิ่งทำเสร็จก่อนตาย มีเพียงนางกับท่านพ่อรวมทั้งสาวใช้คนสนิทของท่านแม่เท่านั้นที่เคยเห็น ดังนั้นเขาถึงกล้าเอาภาพปักที่ขโมยมาแขวนไว้ในห้องโถงอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนที่นางแสร้งทำเป็นถามถึงที่มาของภาพปักนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เดรัจฉานนั่นถึงขนาดพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่าภาพ ‘ธาราขุนเขาหมื่นลี้’ นี้เป็นงานปักจากฝีมือตระกูลใหญ่ในสมัยราชวงศ์สุย!

นางแสร้งยิ้มรับ รู้ว่ากู้หย่วนต๋ามิได้ยอมรับภูมิหลังที่นางตระเตรียมไว้อย่างดีเพราะบุตรชายของเขามีความรู้สึกดีต่อนาง แต่เป็นเพราะเขาถือดีว่าไม่มีใครกล้ามากระตุกหนวดเสือ

สิ่งที่นางเดิมพันก็คือความถือดีของกู้หย่วนต๋า บางทีด้วยความสามารถของนางในตอนนี้คงไม่อาจเอาชนะเขาได้ แต่ถ้าลอบจู่โจม อัตราความสำเร็จก็จะสูงขึ้นมาก

นางมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ยามกราบไหว้ฟ้าดิน

ในโถงพิธีแต่งงาน…

โม่เอ๋อร์แววตาหม่นลง เดิมควรคิดถึงว่าที่สามีที่หน้าซีดขาวคนนั้น แต่เบื้องหน้าสายตากลับปรากฏเงาร่างสูงใหญ่โอหัง

นางเดิมพันกับกู้หย่วนต๋า และกำลังเดิมพันกับตัวเองด้วย ยิ่งกำลังเดิมพันกับเขา

สิ่งที่เดิมพันคือชีวิต คือความรักของนาง

การเดิมพันครั้งนี้ ถ้าชนะ นางจะทวงคืนสิ่งที่สมควรทวงกลับคืนมา หากแพ้ ก็แค่ตายเท่านั้น

บุปผาร่วงโรยลงมากลีบหนึ่ง นางมองมันพลิกพลิ้วโรยร่วง กลีบดอกไม้สีแดงเปื้อนดินโคลน

มองดูจุดแดงบนพื้นโคลนนั้น มุมปากของโม่เอ๋อร์ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองออกมา

นางเปรอะเปื้อนโคลนแล้ว แต่ว่านาง…ยังไม่อยากตาย

ยังมีโอกาสอยู่หรือไม่นะ ยามนางฝังกลบทุกสิ่งกับมือแล้ว ยังสามารถกลับไปอยู่ข้างกายเขาได้หรือไม่

เขาจะมาหรือไม่ เขาจะใส่ใจหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือไม่นะ

ได้? ไม่ได้?

“อากาศเย็นแล้ว”

เสื้อคลุมกันลมห่มลงบนร่าง นางหันกลับไปเห็นกู้อี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงหา

นางหมุนตัว เขาช่วยผูกเชือกคล้องให้นาง

“ข้าให้คนต้มโจ๊กหวานไว้แล้ว เจ้ามากินสักหน่อย” พูดจบก็จูงมือเล็กเย็นเฉียบของนาง พาเดินทะลุสวนอ้อมประตูโถงไป

โม่เอ๋อร์ปล่อยให้เขาจูง สายตาเคลื่อนไปยังมือที่เกาะกุมมือนางเอาไว้อย่างห้ามไม่อยู่ มือของเขาผอมมาก ขาวมาก ขาวจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวใต้นั้น

เขาดีต่อนางมาก ดีต่อนางมาตลอด

ไม่รู้ว่ายามที่เขารู้ว่านางมาเพื่อสังหารบิดาของเขา เขาจะยังดูแลนางเช่นนี้หรือไม่

ยากจะคิดได้ว่าเดรัจฉานต่ำช้าหน้าไม่อายอย่างกู้หย่วนต๋านั่น จะสามารถมีบุตรชายที่จิตใจดีเช่นนี้อย่างกู้อี้ได้

โม่เอ๋อร์หลุบตาลง มองรองเท้าปักของตนที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าบนพื้นหินติดตามเขา

นางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน

รู้สึกได้ว่านางหยุดเท้า กู้อี้ก็หยุดตามไปด้วย เขาหันกลับมามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน เอ่ยถามเบาๆ

“เป็นอะไรไป”

โม่เอ๋อร์คว้ามือของเขาขึ้นมาแล้วเขียนลงไปในนั้น

 

เหตุใดจึงดีต่อข้าเช่นนี้

 

กู้อี้เห็นดังนั้นก็กระดกมุมปากยิ้มบางๆ

“ข้าเองก็ไม่รู้ พอข้าพบเจ้าก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมา มักรู้สึกว่าข้าสมควรดูแลเจ้า”

สมควร?

คิ้วโก่งของนางขมวดน้อยๆ จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวซีดของเขา บนใบหน้าเผยความกลัดกลุ้มบางๆ อย่างอดไม่ได้

ครั้งแรกที่เห็นเขา นางก็รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมอย่างน่าประหลาด นางเกลียดบิดาเขา แต่กลับไม่สามารถเกลียดเขา ใช้ประโยชน์จากความใจดีของเขา หลอกลวงความรู้สึกของเขา ในใจนางไม่ใช่ไม่ละอาย ต่อให้บิดาของเขาจะสมควรตายจริงๆ นางก็ยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างที่ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของกู้อี้ แต่นางจะไม่วางมือเพราะความรู้สึกไม่สงบนี้เด็ดขาด

นางไม่คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจ และไม่คาดหวังให้เขาให้อภัย เพราะอยู่ในนรกแห่งความแค้นมาสิบสี่ปีแล้ว นางก็ยังไม่สามารถเรียนรู้การให้อภัย ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าเขาจะสามารถทำได้

พวกเขาจะเป็นศัตรูกัน ที่โถงพิธีในคืนแต่งงาน…

บทที่สี่

กลิ่นของน้ำทะเล

นางได้กลิ่นเค็มที่คุ้นเคยจากที่ไกลๆ จากเดินเนิบนาบ นางเปลี่ยนเป็นเร่งเร็ว จนกระทั่งวิ่งเหยาะๆ ทะลุผ่านสวน ผลักประตูเรือนในปราสาทเขากระบี่เทพที่นางอาศัยอยู่ชั่วคราวอย่างร้อนรน

ในความมืด เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ แทบจะกลมกลืนไปกับความมืดมิด

นางปิดประตูลง พิงประตูหายใจหอบ สองตาจับจ้องมองเขาในความมืด

มาแล้ว มาแล้ว! เขามาแล้ว…

จู่ๆ ได้เห็นคนที่คะนึงหา นางยินดียิ่งนัก ทั้งยินดีทั้งไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อว่าเขาจะมาจริงๆ

หลังจากมานางถึงรู้ว่าเขาครอบครองพื้นที่ใหญ่ขนาดไหนในใจนาง มองดูใบหน้าดุดัน แววตาเย็นเยียบของเขา นางใช้สองตาจับภาพเงาร่างของเขาอย่างละเอียด สลักเขาไว้อีกครั้งในใจ

นางไม่แน่ใจว่าตนเองในใจของเขานั้นที่แท้แล้วอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ เป็นคล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มี หรืออาจเป็นไม่สลักสำคัญ หรือจะเป็นมีความสำคัญอยู่บ้างสักนิด?

แต่ตอนนี้ เขามาแล้ว เพื่อนาง…

หากบอกไม่ลิงโลดก็เป็นการโกหก ต่อให้เขาจะสีหน้าเย็นชาก็ไม่อาจทำลายความยินดีในอกนางได้

“มานี่” น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่นางรู้ว่าเขากำลังโกรธ

ตั้งแต่เด็ก ขอเพียงมีแสงบางๆ นางก็สามารถมองเห็นในความมืดได้ ดังนั้นนางจึงมองเห็นสีหน้าในยามนี้ของเขาอย่างชัดเจน มองเห็นความบึ้งตึงบนใบหน้าเขา แม้กระทั่งความเดือดดาลที่กดเก็บไว้ในดวงตา

แต่นางก็ยังคงเดินเข้าไป แม้สองแขนจะขนลุกชันเพราะความโกรธที่เกาะตัวแข็งของเขา

ฉู่เฮิ่นเทียนมองเงาร่างแน่งน้อยและสีหน้าสงบนิ่งมั่นคงของนาง ปลายคางพลันหดรัดอย่างอดไม่อยู่

นางมาถึงเบื้องหน้า นำพากลิ่นธูปหอมมาด้วย

เห็นนางสวมชุดผ้าไหมใบหน้าเปล่งปลั่งเขาก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่!

หลายวันมานี้เขาเป็นกังวลเพราะนาง นางกลับคล้ายไม่ได้รับผลกระทบสักนิด ราวกับว่าการมีอยู่ของเขาไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น

ไม่มีเขา นางก็ยังอยู่ได้อย่างดี นางไม่ต้องการเขา…อย่างน้อยก็ไม่ได้ต้องการดั่งที่เขาต้องการนาง!

โมโหการไม่ให้ความสำคัญของนาง โมโหที่นางส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เพลิงโกรธของเขาจึงยิ่งลุกโหมหนักขึ้น!

ฉู่เฮิ่นเทียนเกี่ยวเอวนางเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า จับนางมาอยู่เบื้องหน้าสายตาตน บีบปลายคางจิ้มลิ้มของนางแล้วกล่าวเสียงเย็น

“เจ้าช่างกล้านัก”

นางมิได้กลัวเขา ไม่กลัวความโกรธของเขา หลายปีมานี้เขาโมโหนางบ่อยมาก แต่กลับไม่เคยทำร้ายนางสักครั้ง

มุมปากยกเป็นรอยยิ้มบางๆ นางไร้คำพูด เพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขา ในดวงตามีประกายอ่อนเชื่อม

หญิงที่น่าชังคนนี้นี่!

มองดูรอยยิ้มอ่อนโยนของนาง ฉู่เฮิ่นเทียนยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ แต่กลับไม่อาจระบายโทสะกับนางได้ ผู้มีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่อาจลงมือตี ยิ่งกว่านั้นบนใบหน้านางยังมีความอ่อนโยนพาให้หวั่นไหวอีกด้วย

“เจ้ามันสมควรตาย!” นัยน์ตาดำเข้มขึ้น เขาผรุสวาทคำหนึ่ง ก้มหน้าลงย่ำยีกลีบปากเย็นเฉียบของนาง

ตีนางไม่ลง ฉู่เฮิ่นเทียนได้แต่เปลี่ยนวิธีลงโทษมาระบายโทสะของเขา

ระหว่างที่ริมฝีปากและลิ้นรัดพัน เขาก็อุ้มนางขึ้นไปบนเตียงอย่างง่ายดาย ฉีกเสื้อผ้า ดึงเครื่องประดับผมของนางออกอย่างหยาบคาย เขาไม่อยากให้บนร่างนางมีสิ่งของของผู้อื่น นางเป็นของเขา เป็นได้แค่ของเขา!

มือของเขากอดไล้เรือนร่างงาม จุดไฟปรารถนาขึ้นมา

ในราตรี เรือนกายร้อนผ่าวเกาะเกี่ยวกัน เม็ดเหงื่อและเสียงหายใจลอยวนอยู่บนผิวที่รุ่มร้อน อบอวลอยู่ในบรรยากาศ เขารู้จักร่างกายนางเป็นอย่างดี เหมือนดั่งที่นางรู้จักร่างกายของเขา ยามเขาแทรกเข้าไปในกายนาง นางหลับตาลงสูดหายใจคำหนึ่ง มองดูสีแดงบนใบหน้านาง เขารู้ดีว่าตนยังส่งอิทธิพลถึงนาง อย่างน้อยก็ในด้านนี้ ร่างกายของพวกเขาดึงดูดกันและกัน ปีนั้นยามพบว่านางเติบโตเป็นแม่นางแช่มช้อยนางหนึ่ง เขาไม่ทันได้คิดมากก็ล่อลวงนางแล้ว

ฉู่เฮิ่นเทียนจูบซับเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาบนไหล่ขาวราวหิมะ เขาจับเอวบาง มือข้างหนึ่งกุมอยู่บนเนินเนื้อของนาง ก้มตัวลงเอ่ยข่มขู่ข้างหู

“ลืมตาขึ้นมา มองดูข้า”

ขนตานางขยับไหว จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้น

เรือนกายแข็งแกร่งมีพลังของเขาเป็นประกายท่ามกลางแสงจันทร์ นางรู้ว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างเขาสะสมพละกำลังที่สามารถทำให้ผู้อื่นถึงตายได้ไว้ นางเคยเห็นเขาใช้พละกำลังนั้นต่อสู้กับลมฝนอันรุนแรงและคลื่นทะเลที่โหมคลั่งท่ามกลางพายุ

เมื่อมองขึ้นมาอีก นางเห็นมือเล็กขาวกระจ่างของตนเกาะเกี่ยวอยู่บนไหล่คล้ำเข้มแข็งแกร่งของเขา กลายเป็นความแตกต่างอย่างรุนแรง

สายตาเคลื่อนมาด้านบนอีก นางมองเห็นนัยน์ตาดำเร่าร้อนของเขา และร่วงหล่นลงไปในระลอกคลื่นความปรารถนานั้นในพริบตา

เขามองเห็นตัวเองในดวงตาของนาง ไม่มีความโกรธ มีเพียงความปรารถนา เป็นเช่นนี้เสมอมา

ขอเพียงเขาสัมผัสนาง ความโกรธเคืองทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นความต้องการ เขาเริ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ จับจ้องเรือนร่างบิดเร่าของนาง สีหน้าเคลิบเคลิ้มแดงก่ำบนใบหน้านาง

แรกเริ่มเขาเพียงต้องการร่างกายนางเป็นค่าเล่าเรียนกระบี่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าใบ้น้อยเมื่อปีนั้นจะส่งผลกระทบต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ไม่เคยคิดเลยว่ายิ่งนานไปเขายิ่งไม่อาจพึงพอใจ ไม่ได้ต้องการเพียงร่างกายของนางเท่านั้น ยังต้องการหัวใจของนางด้วย

เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรหนอ เขาไม่รู้ จำได้แค่ครั้งแรกที่เขาพบว่านางร้องไห้ในความฝัน แต่เขากลับปลุกนางไม่ตื่น เขาไม่อาจทนได้ถึงเพียงนั้น ไม่สามารถทนเห็นนางดิ้นรนอยู่ในฝันร้ายเพียงลำพัง ไม่สามารถทนเห็นนางร่ำไห้โดยไร้เสียงได้

เขารู้สึกปวดหัวใจ

ยามได้ยินเสียงนางเป็นครั้งแรก เขาตกใจยิ่งนัก เพราะหากจะบอกว่าเป็นเสียงคน นั่นกลับเหมือนเสียงครวญครางแหบพร่าซึ่งเปล่งออกมาจากอกของสัตว์ตัวน้อยที่บาดเจ็บมากกว่า…

ยามนั้นเขาถึงรู้ว่านางมีเสียง นางไม่ได้เป็นใบ้ นางเพียงไม่พูดเท่านั้น

นางไม่ชอบเปล่งเสียง ถึงขนาดในยามที่พวกเขาสองคนมีสัมพันธ์กันก็ยังยอมกัดริมฝีปากล่างแต่ไม่ยอมเปล่งเสียง แต่เขากลับชอบฟังเสียงครางของนาง มักหาวิธีมาทำให้นางส่งเสียง ก็เหมือนเช่นยามนี้

เขาซุกหน้าลงในความอวบอิ่มตรงหน้าอกของนาง ใช้ปลายลิ้นไล้เล็มเชื่องช้า ละเลียดชิมรสชาติของนาง บีบให้นางต้องหยัดกายขึ้นรับเขา เขาถอนกายออกช้าๆ แล้วพลันฝังร่างลึกอย่างรุนแรงอีกครา

“อา…”

เสียงของนางเหมือนผ้าโปร่งบาง แต่เรือนร่างนุ่มนวลร้อนชื้นกลับเหมือนผ้าแพรต่วน

โม่เอ๋อร์ได้ยินตนเองหลุดเสียงครางออกมาก็กัดหัวไหล่เขาหยุดเสียงร้องราวกับเป็นการแก้แค้น เคืองที่เขาจงใจ

เขากลับคล้ายไม่เจ็บปวดอย่างไรอย่างนั้น เพียงลิ้มเลียใบหูนางเบาๆ หยอกเย้าตีตราบนร่างนาง ความแข็งแกร่งร้อนเร่าครอบครองเรือนร่างอ่อนโยนอุ่นร้อนของนางครั้งแล้วครั้งเล่า นำพานางไปยังจุดสูงสุด จนกระทั่งนางคลายลมหายใจ ลืมเลือนว่าควรระงับเสียงครางแหบพร่า…

 

ราตรีดึกสงัด ในบรรยากาศยังคงอบอวลไอหวาน

นางนอนอย่างสงบอยู่ในอกเขา จ้องมองรอยฟันบนหัวไหล่เขา ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เลียเลือดจางๆ ที่ซึมออกมาราวกับสัตว์ตัวน้อย

มองดูหัวเตียงมืดมิด เขากอดเอวนาง นิ้วโป้งลูบไล้ไฝแดงที่ข้างเอวของนาง

ศีรษะสวยหนุนอยู่บนอกเขา มือเล็กของนางลูบแผลเก่าเมื่อเนิ่นนานมาแล้วบนหน้าอกเขา

เขาคว้ามือน้อยนั้นเอ่ยว่า

“ผีพนันจางกับพี่เหวยยังรออยู่ด้านนอกเรือน” นางลูบเช่นนี้ต่อไป เขาจะต้องควบคุมตัวไม่อยู่กอดนางอีกครั้งแน่

โม่เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อไป หยัดกายขึ้นมองเขาโดยพลัน ผ้าห่มแพรเลื่อนหลุดจากร่างนาง เผยผิวขาวกระจ่างออกมา

เห็นนางสีหน้าแปลกไป เขาถึงรู้ว่านางไม่อยากไปจากที่นี่

“เรื่องกู้หย่วนต๋าข้าจะจัดการเอง” ฉู่เฮิ่นเทียนลุกนั่ง ยื่นมือลูบแก้มของนาง ในน้ำเสียงแฝงด้วยความพ่ายแพ้และการเย้ยหยันอย่างยอมรับชะตา

นางเม้มปาก นัยน์ตาดำวาวจ้องมองเขาตรงๆ เนิ่นนานกว่าจะส่งเสียงแหบพร่าออกมา

“ข้าไม่ไป”

ดียิ่งนัก หญิงผู้นี้ยากนักกว่าจะพูดออกมา แต่พอเอ่ยปากกลับเพื่อต่อต้านเขา!

“ข้ามาแล้ว เจ้าชนะแล้ว เจ้ายังไม่พอใจอะไรอีก” ฉู่เฮิ่นเทียนสีหน้าทะมึน ความขุ่นข้องกลับมาอยู่ในดวงตาอีกครา

“เรื่องของข้า ข้าจะจัดการเอง” นางลูบลำคอเอ่ยเสียงเบา…แม้เสียงจะแหบและเบามากแต่กลับแน่วแน่

ฉู่เฮิ่นเทียนได้ยินปลายคางพลันเกร็งแน่น ตอบอย่างขึ้งเคียด

“ข้าจะไม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่”

โม่เอ๋อร์มองดูใบหน้าฉุนเฉียวของเขา เอ่ยเสียงแหบพร่า

“ข้าไม่ใช่สิ่งที่ท่านตัดสินใจได้” นางหยุดไปครู่หนึ่ง เคลื่อนสายตาไปจากใบหน้าของเขามองไปยังเงาบนพื้น ถึงค่อยเอ่ยเรียบๆ อีกประโยค “ห้าวันให้หลังคือวันมงคลของข้า ข้าจะอยู่ที่นี่”

ฉู่เฮิ่นเทียนคล้ายคนที่ถูกเหยียบเท้าที่บาดเจ็บ ตัวแข็งเกร็งไปทั้งร่าง ไม่กล้าเชื่อว่านางคิดจะแต่งให้ผู้อื่นจริงๆ เดิมนึกว่าเป็นเพียงแผนการที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ยามนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากจะช่วยนางแก้แค้นแล้ว นางกลับไม่รับน้ำใจ?!

เพราะเหตุใด เพราะนางหลงใหลในอำนาจและความร่ำรวยของปราสาทเขากระบี่เทพ หรือเพราะชายหนุ่มในสวนเมื่อครู่คนนั้น เจ้าหน้าขาวที่เอาใจใส่ เกลี้ยกล่อมให้นางกินโจ๊กหวานคนนั้น?

ความหึงหวงกราดเกรี้ยวรุนแรงในอกแทบจะห้อทะยานออกไป จนถึงตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตนถือสาเรื่องนี้เพียงไหน

นางเป็นของเขา ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนเป็นของเขา! เขาจะไม่ให้ชายอื่นแตะต้องนาง ไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสนางหรือแม้แต่มองเรือนร่างขาวกระจ่างของนาง เขาจะไม่ยอมให้นางนอนอยู่ในอ้อมอกชายอื่น เผยความอ่อนโยนของนาง เสียงครางแผ่วของนาง ความปรารถนาเร่าร้อนของนางเด็ดขาด!

เขาจะไม่ให้นางแต่งให้ผู้อื่น!

“ข้าจะฆ่าเขา” เขาหน้าตาอึมครึม เอ่ยเสียงเย็น

“เช่นนั้นข้าจะเกลียดท่าน” นางเงยสบสายตาเขา เน้นย้ำ “ข้าจะเกลียดท่านไปชั่วชีวิต”

นางจริงจัง เขารู้

มองดูท่าทางตั้งมั่นของนาง เขาก็กลืนศักดิ์ศรีของตนลงไป กัดฟันยื่นข้อเสนออย่างยอมถอยก้าวหนึ่ง

“อยากแก้แค้นยังมีวิธีอื่น!”

“วิธีนี้ไวที่สุด” โม่เอ๋อร์ยึดมั่นไม่ยอมวาง

เห็นความแน่วแน่ของนาง ฉู่เฮิ่นเทียนนึกถึงภาพที่เห็นนางกับชายผู้นั้นในสวนก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้อย่างไม่มีสาเหตุ นึกถึงคำพูดเปรียบเทียบระหว่างกู้อี้กับเขาของพี่เหวยและผีพนันจางวันนั้น…

นางต้องการแก้แค้นจริงๆ หรือว่าเพราะเบื่อหน่ายเขาแล้ว ต้องการชีวิตที่ร่ำรวย หรืออาจถึงขนาดรักเจ้าบัณฑิตอ่อนแอนั่นไปแล้ว? เพียงชั่วขณะเดียวความหึงหวงเดือดพล่านก็พุ่งขึ้นสมอง คำพูดทำร้ายจิตใจพลันหลุดโพล่งออกมาจากปาก…

“แก้แค้นไวที่สุดหรือปีนขึ้นเตียงเขาไวที่สุด”

นางอึ้งงันไปทั้งร่าง หน้าซีดเผือดในพริบตา เอ่ยเพียง

“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของท่าน”

ใช่ ไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องของเขาจริงๆ! แต่เหตุใดยามเขาได้ยินกลับเหมือนถูกนางฟันใส่หนึ่งดาบ เขาเร่งมาจากที่ห่างไกลเพื่อความปลอดภัยของนาง ทว่ากลับได้มาซึ่งประโยคนี้?

เขาอยากบีบคอนางให้ตายนัก ยิ่งอยากบังคับเอาตัวนางไป…เขาสามารถทำได้ แต่นางกลับจะเกลียดเขาชั่วชีวิต!

“เจ้ามันน่าตายนัก!” เขารู้สึกราวกับถูกคุมขังไว้ ด่าอย่างกราดเกรี้ยวราวกับสัตว์ป่าที่เดือดพล่าน

โม่เอ๋อร์หน้าซีดขาวยิ่ง เพียงจ้องมองเขาที่กำลังเดือดดาล ย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ

“ห้าวันให้หลัง ข้าจะแต่งงาน”

เขาคว้าแขนนาง เส้นเลือดปูดบนหน้าผาก ขู่ตะคอกเสียงต่ำ

“อย่าทดสอบข้า!”

นางไม่เอ่ยปากอีก เพียงมองเขา

ฉู่เฮิ่นเทียนถลึงตาใส่นางอย่างโมโห ผ่านไปครู่ใหญ่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่เอ่ยอะไร

เขาจะไม่ให้นางมาล้อเล่น! นางอยากอยู่ ได้! นางอยากแก้แค้น ได้! นางอยากแต่งให้ผู้อื่น ย่อมได้!

เขาจะไม่สนใจ เขาจะไม่สนใจอย่างน่าตายอีก!

ประตูเปิดออกแล้วปิดลง ทิ้งไว้เพียงลมหนาวบาดกระดูกระลอกหนึ่ง

โม่เอ๋อร์มองดูเงาหลังที่จากไปอย่างสิ้นเชิงของเขา ปวดหัวใจจนยากจะทานทน รู้ดีว่าด้วยนิสัยของเขา เมื่อจากไปครานี้ก็จะไม่ย้อนกลับมาอีก นางหอบหายใจเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ อยากระงับความเจ็บปวดในหน้าอก คาดไม่ถึงว่ามุมปากกลับหลุดเสียงร่ำไห้แหบพร่าออกมาเสียงหนึ่ง…

สองมือเล็กกุมลำคออีกครั้ง นางปิดปากแน่น หลับตาลง ทว่ายังคงหยุดเสียงร่ำไห้เสียดหูนั้นไม่ได้ นางซุกหน้าลงบนผ้าแพรเหนือเข่า ไม่อยากฟังเสียงสะอื้นบาดหูของตัวเอง นางไม่ชอบเสียงของตัวเองมาตลอด เสียงแหบพร่านั่นเสมือนเป็นการเตือนนางถึงค่ำคืนน่าหวาดหวั่นนั้นตลอดเวลา

เสียงของนาง คือตราประทับของคืนนั้น…

 

ที่ผิดแผนก็คือเขามาเร็วเกินไป

นางเดิมพันแพ้แล้ว แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง…

ปลาห้าสีแหวกว่ายอยู่ในสระ ใบไม้ร่วงพลิ้วลง ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ

แน่นอน ที่นางทำเช่นนี้เพราะต้องการทดสอบ

ตั้งแต่ลงจากเรือมา นางรู้มาตลอดว่ามีคนติดตามนาง และรู้ว่าคนพวกนั้นคือลูกน้องของอาอ้วน ดังนั้นยามนางตัดสินใจเรื่องแผนการนี้ในโรงเตี๊ยม นางก็ตัดสินใจเดิมพันกับเขาครั้งหนึ่ง

เพราะวิชายุทธ์ของกู้หย่วนต๋าสูงเกินไป มีเพียงเวลากราบไหว้ฟ้าดินนางจึงจะได้เข้าใกล้เขา และมีเพียงเวลากราบไหว้ฟ้าดินที่เขาไม่ได้ระแวดระวังมากที่สุด แต่ต่อให้นางฆ่าเขาแล้วก็หนีไปจากปราสาทเขากระบี่เทพไม่ได้ นี่เป็นวิธีที่เข้ามาได้แต่ออกไปไม่ได้ แต่ก็เพราะเสี่ยงถึงเพียงนี้ จึงไม่มีใครคาดคิดว่านางจะจู่โจมยามกราบไหว้ฟ้าดิน

ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ นางล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าเขาไม่มา นางก็แค่ตายเท่านั้น แต่ถ้าเขามาแล้ว จะต้องไม่ยอมให้นางตายอยู่ที่นี่ สิ่งที่นางเดิมพันก็คือจุดนี้ สิ่งที่นางทดสอบก็คือฐานะของนางในใจเขา

นางรู้ว่าข่าวจะต้องไปถึงบนเรือ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่ เดิมนึกว่าต่อให้เขารีบมาเพียงใดก็น่าจะมาถึงในวันแต่งงานพอดี คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาเร็วถึงเพียงนี้

เขาไม่เข้าใจว่านางจำเป็นต้องกลบฝังความแค้นนี้ด้วยมือตัวเอง นางจำต้องสังหารศัตรูด้วยมือตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้น

ใบไม้เหนือผิวน้ำจมลงไปแล้ว ในดวงตาของโม่เอ๋อร์เผยความรวดร้าวออกมา

เมื่อวานยามจากไปเขาโมโหถึงเพียงนั้น ดูท่านางคงไม่สามารถพบหน้าเขาได้อีกแล้ว

โม่เอ๋อร์หลับตาลงช้าๆ บางทีนางควรดีใจ ดีใจที่ก่อนตายยังสามารถเจอเขา

“คุณหนูโม่เอ๋อร์ ช่างจากโรงเย็บปักเจ็ดสีมาแล้วเจ้าค่ะ รอท่านไปลองชุดแต่งงานอยู่ที่ห้อง” สาวใช้คนหนึ่งอ้อมสวนมาหานางแล้วรีบเข้ามาเชิญ

โม่เอ๋อร์ลุกยืน เดินลงมาจากศาลารับลม สายลมพัดพลิ้ว พัดพาใบไม้สีเหลืองร่วงลงมาหลายใบ

นางยืนอยู่กลางสายลม มองดูใบไม้ร่วงที่หมุนวนกลางอากาศ เผยรอยยิ้มบางเศร้าสร้อย

ช่างเถอะ บางทีบุพเพของชาตินี้คงจบสิ้นแล้ว…

สุราหนึ่งจอก เหลือเพียงหนึ่งจอก

บนโต๊ะเหลือเพียงหนึ่งจอก และนั่นคือจอกที่เขาส่งไปแรกสุด เหวยเจี้ยนซินมองไหสุราว่างเปล่าที่นอนแอ้งแม้งบนพื้น จากนั้นก็หันมองผีพนันจางที่นั่งยองบนม้านั่งจ้องสุราจอกสุดท้ายนั้น ต่างฝ่ายต่างไร้คำพูด

ผ่านไปครู่หนึ่งผีพนันจางถึงเอ่ยปาก

“จะทำอย่างไร”

เหวยเจี้ยนซินเหลือบมองเขาคราหนึ่งแล้วหันมองจอกสุราอีกครั้ง

“เราสองคนหนึ่งคนหนึ่งคำ แบ่งกันดื่มให้หมดแล้วกัน”

ผีพนันจางด่าออกมา

“ชิ ใครถามเจ้าเรื่องนี้! ที่ข้าถามคือจะทำอย่างไรกับเรื่องของลูกพี่กับโม่เอ๋อร์”

เหวยเจี้ยนซินไหวไหล่ ชี้ไหเปล่าบนพื้นอย่างจนใจ

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร เจ้าดูไหแตกนี่สิ เหล้าวสันต์ฟ้าลั่นจากหมิ่นจงยี่สิบสี่ไหถูกลูกพี่จัดการเกลี้ยงไปแล้ว เหลือแค่จอกเดียวบนโต๊ะเท่านั้น ตอนนี้ข้าไม่กล้าเข้าไปยั่วเขาหรอก”

“ล้วนเป็นเจ้าออกความเห็นไม่ได้เรื่อง!” ผีพนันจางถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างกล่าวหา

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!” เหวยเจี้ยนซินร้องอย่างเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่ง “ตอนนั้นพอข้าได้ยินว่าโม่เอ๋อร์จะแต่งให้ผู้อื่น ก็นึกไปว่านางกำลังเดิมพันกับลูกพี่ ใครจะรู้ว่า…”

“ใครจะรู้ว่าลูกพี่มาแล้ว นางกลับยังจะแต่งให้ผู้อื่นอีกใช่หรือไม่” ผีพนันจางเบะปากด่า “นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรือ ถ้านางจะเดิมพันจริง จำเป็นต้องวิ่งมาแต่งงานที่หลิ่งหนานให้ลูกพี่ตามมาด้วยหรือ หาใครสักคนที่เฉวียนโจวมาแต่งไม่ได้หรือไร”

“เฮอะ! ตอนนั้นเจ้ายังเห็นด้วยกับความคิดข้าเลยนี่!” เหวยเจี้ยนซินร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

“นั่นมัน…มัน…” ผีพนันจางจนคำพูดชั่วขณะ หัวสมองแล่นโดยไว ฝืนอธิบาย “ข้าคิดว่าโม่เอ๋อร์ชอบลูกพี่จริงๆ ถ้านางจะแต่งให้ผู้อื่นย่อมต้องมีเหตุผล ข้าคิดว่าพอลูกพี่มา นางก็อาจจะคิดได้ไง! ถึงได้สนับสนุน”

“นั่นปะไร! อย่างไรเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว ใช่หรือไม่ เชอะ!” เหวยเจี้ยนซินกลอกตาใส่ เบ้ปากด่ากลับไป

ผีพนันจางหน้าหมองไป ได้แต่ฝืนทำหน้าด้าน

“โอ๊ย เราอย่ามาพูดเรื่องนี้เลย เอาเป็นว่าตอนนี้ปัญหาอยู่ที่โม่เอ๋อร์ เจ้ายังไม่รีบคิดว่ามีวิธีใดอีก!”

“วิธีใด?” เหวยเจี้ยนซินหน้าง้ำแล้ว “นายท่าน ข้าไม่มีวิธีแล้ว! ใครจะรู้ว่าในใจสตรีคิดอย่างไรกันแน่ ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจชอบเจ้าหน้าขาวในปราสาทเขากระบี่เทพนั่นก็เป็นได้ ข้าว่าพวกเราเร่งกลับไป…ว้าก!”

เขายังพูดไม่จบก็เห็นว่านอกประตูมีไหสุราใบหนึ่งลอยพุ่งเข้าใส่ศีรษะเขาตรงๆ!

เหวยเจี้ยนซินร้องเสียงหลงรีบก้มหลบ ผลคือเสียสมดุล เท้าที่นั่งยองอยู่บนม้านั่งลื่นพรืด จึงหกคะเมนลงพื้น ล้มอย่างอเนจอนาถ กินโคลนเข้าไปเต็มปาก

“ฮึๆ ปกติสอนเจ้าแล้วว่าให้พูดน้อยๆ หน่อยเจ้าไม่รู้จักฟัง ตอนนี้เจอกรรมตามสนองแล้วล่ะสิ” ผีพนันจางนั่งยองอยู่ที่ม้านั่งอีกตัว หน้าตามีความสุขที่เห็นผู้อื่นประสบภัย

เหวยเจี้ยนซินได้ยินก็หงุดหงิดเป็นที่ยิ่ง มือยันพื้นกระโดดขึ้นมาแล้ววาดขาใส่ม้านั่งของผีพนันจาง

ผีพนันจางกระโดดขึ้นโต๊ะพร้อมถือโอกาสกวาดสุราวสันต์ฟ้าลั่นจอกสุดท้ายนั้นกระดกลงคอ หัวเราะฮี่ๆ พลางเดาะลิ้นพูด

“เหล้าดี เหล้าดี! เจ้าเหวย ขอบใจมาก!”

“เหล้าของข้า! เจ้าเฒ่าสมควรตาย อย่าหนีนะ คายเหล้าของข้าออกมา!” เหวยเจี้ยนซินร้องตะโกนและออกกระบวนท่าอีกครั้ง

ผีพนันจางหลบซ้ายหลบขวาอยู่บนโต๊ะ ทั้งสองสู้กันตุบๆ ตับๆ อยู่ในห้อง

นอกห้อง ฉู่เฮิ่นเทียนนั่งอยู่บนต้นไม้ ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกภายในห้อง กระดกไหสุราลงคออีกคำใหญ่อย่างเลื่อนลอย ในสมองล้วนเป็นนาง…

โม่เอ๋อร์ของเขา โม่เอ๋อร์ที่ดื้อรั้นของเขา

เขายังคงจำเจ้าใบ้น้อยที่อยากเรียนวิชากระบี่เมื่อปีนั้นได้ จำได้ว่านางมีศีรษะเล็กและสูงเพียงเอวของเขา ทว่ากลับหัวแข็งเสียยิ่งกว่าก้อนหิน

“ไม่น่ารักเลยสักนิด…” เขากอดไหสุรา งึมงำกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์

นางไม่น่ารักเลยสักนิด รู้จักแต่กอดกระบี่สนิมกินเล่มนั้นฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งวัน ใบหน้าเล็กๆ แข็งทื่อ เคยเห็นนางยิ้มแค่ไม่กี่ครั้ง นางไม่รู้จักการออดอ้อน ไม่รู้จักการเอาใจ เพียงเบิกตาดำแวววาวที่ราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งคู่นั้นของนางจ้องมองผู้อื่นตรงๆ ไม่รู้จักมารยาทสักนิด

นางเป็นเด็กน้อยที่ไม่น่ารักมาตลอด หลังจากนั้นนางก็เติบโตขึ้น จากเด็กไม่น่ารักเปลี่ยนเป็นแม่นางที่อ้อนแอ้นงดงาม แต่ก็ยังไม่น่ารักสักนิดดังเดิม

ทว่าเขากลับต้องการนาง

ทุกครั้งที่ขึ้นฝั่ง เขากกกอดหญิงอื่น ในใจกลับคิดถึงสตรีไม่น่ารักบนเรือคนนั้น

คืนหนึ่งเขาได้ยินเสียงร้องแผ่วเบาขณะกำลังหลับ เมื่อตามเสียงไปถึงในห้องนาง เห็นเพียงนางตัวสั่นหดตัวอยู่ที่มุมห้องราวกับสัตว์ตัวน้อยก็ไม่ปาน บนร่างมีเพียงชุดตัวใน ใบหน้าซีดขาว

‘เจ้าทำอะไร’ เขาเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่

นางเงยมองเขา อารมณ์บนใบหน้าอ่อนแอถึงขีดสุด เขารู้สึกเพียงว่านางใกล้ร้องไห้ออกมาเต็มที ดวงตาดำโตคู่นั้นกลับไม่หลั่งน้ำตาออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงเบิกตาโตมองเขา เขามองเห็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนกจากในดวงตานาง สีหน้าที่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตานั้นคล้ายกำลังวิงวอนให้เขาช่วยเหลือนาง

เมื่อพบว่านางไม่ปกติ เขาจึงยื่นมือออกไปอุ้มนางกลับขึ้นไปบนเตียง เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายอ่อนหวานของนางกำลังสั่นเทาอยู่ในอกเขา นางขึ้นมาบนเตียงแล้ว แต่มือที่คล้องคอเขาอยู่กลับไปยอมปล่อย

กลิ่นหอมของสตรีลอยวนอยู่ตรงจมูกเขา เรือนร่างเติบโตเต็มที่ของนางแนบชิดเขา ปลายยอดกลมกลึงทั้งสอง เอวบางที่มือสามารถโอบรอบ…เขามองดูท่าทางอ่อนแอของนาง นึกเหตุผลที่ไม่ต้องการนางไม่ออก นางต้องการอะไรมาทำให้นางลืมความหวาดกลัว แม้เขาไม่รู้ว่านางกำลังกลัวอะไรกันแน่ แต่เขารู้อยู่พอดีว่าอะไรจะช่วยนางได้

คืนนั้นเขาครอบครองนาง นับแต่นั้นก็ราวกับต้องพิษ ลุ่มหลงในร่างกายของนาง จากนั้นก็เป็นลักษณะดึงดูดคนของนาง จนกระทั่งเขาไม่สามารถละสายตาไปจากสตรีที่ไม่น่ารักสักนิดคนนี้ได้อีก

ฉู่เฮิ่นเทียนกระดกสุราอีกคำ สุราเก่าแผดเผาลำคอเขา กระเพาะเขา หน้าอกเขา พาให้เลือดเดือดพล่าน พุ่งปะทะสมองที่สลัวรางร้อนผ่าวของเขา ในความพร่าเลือน เขาดันเห็นใบหน้าป่วยกระเสาะกระแสะของมารดาบนฟ้าครามเมฆขาว…

 

ใบหน้าขาวซีดซูบตอบ นางที่นอนอยู่บนเตียงยื่นมือผอมแห้งมาลูบใบหน้าเขา ในดวงตามีความเศร้าสลดรวดร้าวรุนแรง ‘เทียนเอ๋อร์ ถ้าทำได้ อย่าได้รักใคร เพราะนั่นมันเจ็บปวดเกินไป ทุกข์เกินไป ทรมานเกินไป…’

ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย ฟังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าเป็นท่านพ่อผิดต่อท่านแม่ ดังนั้นหลังจากท่านแม่จากไป เขาก็สวมต่างหูมังกรสมุทรที่ท่านแม่ทิ้งไว้ที่หูขวา ขึ้นเรือสลัดเป็นโจรสลัด ปล้นชิงสินค้าของสกุลจั้นโดยเฉพาะ

เขากับจั้นเทียนต่อสู้กันมาหลายปี จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาได้พบจั้นเทียนอยู่บนฝั่งเพียงลำพัง เขาลงมืออย่างอดใจไม่อยู่ ระหว่างต่อสู้ เขาฟันถูกเสื้อของจั้นเทียน แต่กลับเห็นถุงผ้าปักดอกโบตั๋นสีซีดจางใบหนึ่งร่วงมาจากในเสื้อของอีกฝ่าย

เพื่อเก็บถุงผ้าใบนั้นจั้นเทียนไม่หลบกระบี่ยาวของเขาด้วยซ้ำ ยามเลือดสาดออกมาจากไหล่ของจั้นเทียน เขาเห็นอักษร ‘เหลียน’ เล็กๆ ตัวหนึ่งที่มุมถุงผ้า

ถุงผ้าปักของท่านแม่? เพราะเหตุใด

เขานิ่งงันไป กระบี่ยาวหยุดลง

‘เจ้าคือเทียนเอ๋อร์?’

จั้นเทียนเก็บถุงผ้าขึ้นมาและมองเห็นต่างหูมังกรสมุทรบนหูของชายหนุ่มตรงหน้า ต่างหูข้างนั้นเคยเป็นของเขา เขามอบให้สตรีผู้หนึ่ง สตรีผู้มีนามว่าฉู่เหลียน

‘เพราะเหตุใด’ ฉู่เฮิ่นเทียนกุมกระบี่แน่น ซักไซ้ด้วยเสียงเย็นชาอย่างเคียดแค้น ‘ในเมื่อท่านจากไปแล้ว เหตุใดยังเก็บถุงผ้าของท่านแม่ไว้’

จั้นเทียนมองดูคนหนุ่มที่น่าจะเป็นบุตรชายของเขา เอ่ยตอบช้าๆ

‘ข้าไม่ได้จากไป ผู้ที่จากไปคือนาง เพราะคนที่นางรักไม่ใช่ข้า’

‘ท่านพูดเหลวไหล!’ เขาตวาดเสียงดัง

‘ข้ากับแม่เจ้าเป็นสหายที่โตมาด้วยกัน นางกลับรักชายอีกคนตอนอายุสิบหกปี แต่คนผู้นั้นตายไปในสงคราม ดังนั้นเหลียนเอ๋อร์จึงแต่งให้ข้าตามการจัดการของที่บ้าน สองปีให้หลัง คนที่น่าจะตายไปแล้วผู้นั้นกลับหวนกลับมา’ จั้นเทียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ในแววตาปรากฏอารมณ์ยากอธิบายวูบหนึ่งถึงค่อยกล่าวต่อ ‘นางไม่อาจเลือกระหว่างเราสองคน เหลียนเอ๋อร์รู้สึกผิดต่อเขา และรู้สึกผิดต่อข้า ดังนั้นนางจึงจากไป’

ฉู่เฮิ่นเทียนสะท้านไปทั้งร่าง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยใบหน้าขาวซีด

‘ภายหลังข้าถึงได้รู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว ข้าหานางมาหลายปี ยามข้าหาหมู่บ้านที่พวกเจ้าเคยอาศัยอยู่พบ นางก็ตายไปแล้ว ในหมู่บ้านไม่มีใครรู้ว่าเจ้าไปที่ใด ข้ารู้ว่านางตั้งชื่อให้เจ้าว่าเฮิ่นเทียน ข้าไม่โทษที่นางเกลียดข้า’

ฉู่เฮิ่นเทียนก้าวถอยหลังอีกก้าวอย่างสะท้านสะเทือน พลันนึกถึงคำพูดของท่านแม่ยามเยาว์วัยขึ้นมาได้

‘ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงตั้งชื่อข้าว่าเฮิ่นเทียน’

‘เพราะว่า…บนโลกนี้มีเรื่องไม่เป็นธรรมมากเกินไป สวรรค์เบื้องบนอยุติธรรมต่อข้าเกินไปแล้ว…’

ยามเขารู้ว่าบิดาของตนคือจั้นเทียน เขาก็นึกมาตลอดว่าท่านแม่เกลียดท่านพ่อ ถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้ ยามนี้ถึงเพิ่งตระหนักว่าท่านแม่มิได้เกลียดท่านพ่อ เป็นเกลียดสวรรค์ต่างหาก เกลียดที่สวรรค์กลั่นแกล้งนาง ชิงชังสวรรค์ที่อยุติธรรมต่อนาง!

เพราะว่า…สวรรค์เบื้องบนอยุติธรรมต่อข้าเกินไปแล้ว…

ในหูก้องสะท้อนด้วยคำพูดของมารดา ฉู่เฮิ่นเทียนหน้าซีดเผือดถอยหลังไปอีกก้าวอย่างห้ามไม่อยู่

หลายปีมานี้เขากำลังทำอะไรอยู่?!

เขามองชายที่ตนเกลียดมาตลอดหลายปีแล้วถอยไปอีกก้าวโดยไม่รู้ตัว

พริบตาต่อมา เขาพลันเก็บกระบี่และใช้วิชาตัวเบาหมุนตัวจากไป!

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้ปล้นชิงเรือสินค้าสกุลจั้นอีก พเนจรอยู่บนทะเลตลอดปี เขาพาลูกน้องเดินทางไปยังหมู่เกาะบนทะเลตะวันออกเฉียงใต้ ท่องไปทั่วทุกหัวระแหง สามปีต่อมายามเขากลับมาถึงต้าถัง จั้นเทียนก็จากโลกนี้ไปแล้ว

เขากลับหมู่บ้านไปไหว้มารดา เพื่อนบ้านกลับนำของสิ่งหนึ่งมาให้เขา

นั่นเป็นจดหมายหนึ่งฉบับ กับหยกดำที่สลักเป็นมังกรหนึ่งชิ้น

เขาสามารถอาศัยหยกดำชิ้นนั้นไปสืบทอดมังกรสมุทรตระกูลจั้นได้ แต่เขาไม่ได้ทำ เพียงพกหยกดำชิ้นนั้นไว้ หลังกลับมาที่เรือ เขาเริ่มออกปล้นโจรสลัด ช่วยเก็บกวาดเส้นทางเดินทะเลให้ใสสะอาดเพื่อสกุลจั้น

เขาเคยไปดูจั้นชิง น้องสาวที่จะสืบทอดมังกรสมุทรตระกูลจั้นสองสามครั้ง นางดูแลกิจการของสกุลจั้นอย่างดี นางแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนทำให้เขาอยากแกล้งนาง แต่ก็แข็งแกร่งจนทำให้เขารู้สึกภาคภูมิอยู่หน่อยๆ เช่นกัน

ที่น่าหัวร่อก็คือในปีที่เขาพอนับได้ว่ากลับตัวกลับใจนั้น กลับถูกทางการดักซุ่มโจมตีบนฝั่ง จับตัวโจรสลัดชั่วที่ชื่อเสียงเลวร้ายอย่างเขาและขังไว้ในคุกเกือบหนึ่งปี

ในที่สุดพวกอาอ้วนและเหวยเจี้ยนซินก็ช่วยเขาออกมาได้ก่อนการประหารในฤดูใบไม้ร่วง แต่เพราะเขาอยู่ในคุกนานเกินไป จึงเกิดความหวาดกลัวต่อห้องเปล่าที่มืดทึบ…

จากนั้นเขาก็พบนางที่เกาะมังกรสมุทร

เป็นโม่เอ๋อร์ของเขาที่ทำให้เขาละความสนใจในยามค่ำคืนได้ เป็นเสียงฝึกกระบี่อย่างเงอะงะทุกคืนของโม่เอ๋อร์ของเขา ที่ทำให้เขารู้ชัดว่าตนเองสามารถผลักประตูออกไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกลัวเกรงผนังที่ไม่อาจเคลื่อนไหวรอบด้าน

และเป็นนางที่ทำให้เขาอยู่ในห้องได้อย่างสงบ ไม่รู้สึกหายใจลำบากอีก

แต่ไรมาเขาไม่ยอมรับว่านางช่วยให้เขาผ่านวันเวลาที่หวาดกลัวความมืดพวกนั้นมาได้ แต่ความจริงก็คือเขาดีใจที่เจ้าใบ้น้อยคนนั้นมักกอดกระบี่ขึ้นสนิมมาเคาะห้องเขากลางดึก

เขารู้ว่านางจงใจเลือกช่วงเวลานั้น เพราะนางรู้ถึงความกลัวของเขาดี

ในความเลือนราง เขามองเห็นใบหน้าเล็กไร้สีเลือดปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงพึมพำชื่อนางอย่างไม่รู้ตัว

“โม่เอ๋อร์ โม่เอ๋อร์…”

“ลูกพี่?” เหวยเจี้ยนซินปีนขึ้นไปอีกกิ่งหนึ่ง มองหัวหน้าที่เมามายอย่างเป็นกังวล

หลังดื่มสุราวสันต์ฟ้าลั่นหมดไปแล้วยี่สิบห้าไห ฉู่เฮิ่นเทียนก็เมาจนเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว

“ลูกพี่ ท่านยังดีอยู่หรือไม่” เหวยเจี้ยนซินเห็นฉู่เฮิ่นเทียนใกล้จะลื่นตกจากต้นไม้เต็มทีก็รีบดึงเขาไว้ พยุงเขาลงจากต้นไม้

ฉู่เฮิ่นเทียนมองเหวยเจี้ยนซินอย่างเลื่อนลอย จู่ๆ ก็ยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อเขาไว้ เมามายถามอย่างไม่พอใจ

“เพราะเหตุใด ทำไมนางไม่ยอมพูดกับข้า แค่เพียงประโยคเดียว แค่ประโยคเดียวข้าก็จะช่วยนางล้างแค้น นางกลับไม่เอ่ยอะไรสักนิด! เพราะเหตุใด ทำไมทั้งที่ข้าถอยให้แล้ว นางกลับยังยืนยันว่าจะแต่งงาน”

ข้าจะรู้ได้อย่างไร?!

เหวยเจี้ยนซินลอบถอนใจในความโชคร้ายของตน ตอบส่งๆ ออกไปอย่างหน่ายใจ

“การแก้แค้นต้องจัดการด้วยตัวเอง! ถ้ายืมมือคนอื่น เช่นนั้นยังจะแก้แค้นทำไม!”

ฉู่เฮิ่นเทียนได้ยินพลันสะท้านไหว ทั้งตัวราวกับถูกฟ้าผ่า

ฉับพลันนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่ตนเคยพูดออกมาในหลายปีนี้ได้…เขาสอนนางมาตลอดว่าต้องสนองแค้นด้วยแค้น ต้องใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องไม่เลือกวิธีการ ต้องจัดการเรื่องยุ่งยากของตัวเอง!

นางฟังคำพูดของเขาทั้งหมด เพื่อแก้แค้น นางไม่เลือกวิธีการ ยอมแต่งงานกับบุตรชายศัตรู ถึงขนาดยอมเสี่ยงแต่ไม่ยอมขอร้องเขา!

ความหนาวเยือกสายหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วแขนขาเขา ความทรงจำถั่งโถมใส่สมองที่มึนงงราวกับน้ำหลาก…

นางอาเจียน หลังจากศึกในทะเลครั้งนั้น สองมือเปื้อนเลือดของนางจับอยู่บนกราบเรือ ตะกายตัวอาเจียนลงทะเลอยู่ข้างลำเรือ ที่อาเจียนออกมามีเศษอาหารที่ตกค้างอยู่

เขาเห็นนางกำลังอาเจียน เห็นนางตัวสั่น เห็นใบหน้าซีดเผือดของนาง เขากลับไม่ได้สนใจ ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นห่วงนาง เพียงด่าว่าความยุ่งยากที่นางเพิ่มเข้ามา

สวรรค์ ที่แท้แล้วข้าทำอะไรกับนางไปกันแน่

“ข้าไม่ควรสอนวิชากระบี่ให้นาง…ข้าไม่ควรให้นางรั้งอยู่บนเรือ…” สีหน้าเขาขาวซีด หลับตาลงพึมพำอย่างเจ็บปวด ชิงชังความโง่เขลาและเหี้ยมโหดของตน

พลาดไปแล้ว ทั้งหมดล้วนผิดพลาดไปแล้ว…

เขายอมรับช้าเกินไปว่าตนเองใส่ใจนาง สืบหาชาติกำเนิดของนางช้าเกินไป ยามเขาหาสาเหตุของฝันร้ายในทุกคืนของนางพบ เขาก็ได้กระทำเรื่องที่ไม่อาจเรียกคืนไปมากมายตั้งนานแล้ว

เขาสอนนางจับกระบี่ เขาบีบนางให้ทำร้ายคน เขาบอกนางว่านั่นคือหนทางในการมีชีวิตอยู่!

ที่นางฝันร้ายไม่หยุดหย่อน เขาเองก็ถือว่ามีส่วนด้วย!

ในสิบกว่าปีมานี้ เขาเพิ่มฝันร้ายให้นางมากยิ่งขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้สองมือของนาง…แปดเปื้อนเลือด

บทที่ห้า

กระบี่ แป้งชาด ชุดแต่งงานสีแดง

นางม้วนผมยาวขึ้น พันกระบี่อ่อนไว้รอบเอว ริมฝีปากสีอ่อนแต้มชาด

สาวใช้เคาะประตูแล้วเข้ามาส่งชุดแต่งงาน ลำแขนเรียวของนางสวมชุดแต่งงานช้าๆ เริ่มจากหนึ่งชิ้น จากนั้นก็อีกหนึ่งชิ้น

นางสวมชุดแต่งงานแล้ว

ตาข่ายไข่มุก กำไลหยก ต่างหู สร้อยทอง แต่ละชิ้นถูกสวมลงบนลำคอ ข้อมือ และติ่งหูขาวผ่องของนาง

กระจกอยู่เบื้องหน้า

คนในกระจกมองกลับมาทางนาง…

แก้มขาวซีดไม่มีสีเลือด ดวงตาคมที่หลุบลงไม่มีประกายยินดีแม้แต่น้อย

ในห้องอบอวลกลิ่นหอม ห่างออกไปสามารถได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของแขกที่โถงได้ เพราะนางบอกทุกคนว่าตนไร้ญาติมิตร จึงแต่งออกไปจากตรงนี้เลยตรงๆ

มองดูตนเองในกระจก นางสูดหายใจลึก จากนั้นก็ให้สาวใช้ช่วยนางสวมผ้าคลุมหน้า

ทุกอย่างเบื้องหน้ากลายเป็นสีแดงเลือด นางคล้ายเห็นผ้าปูโต๊ะที่ถูกเลือดของท่านแม่ไหลเปื้อนเป็นสีแดงอีกครา ตัวนางเกร็งแน่นไปหมด ลมหายใจเปลี่ยนเป็นกระชั้นอย่างอดไม่อยู่ นางสูดหายใจเข้าคำโต พยายามบังคับให้ตนเองสงบนิ่ง

ปีนั้นนางไม่กล้าเลิกผ้าปูโต๊ะออกไปดูหน้าศัตรู แต่วันนี้นางจะสะบัดผ้าแดงออกไปอย่างไม่ลังเล ยามม่านสีเลือดเลิกขึ้น นางจะล้างแค้น ส่งเดรัจฉานนั่นลงนรก

นางกำหมัดแน่น จ้องสีเลือดทั้งแถบตรงหน้า

แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต นางก็ไม่เสียใจ!

 

เสียงกู่ร้อง เสียงฆ้องกลองดังก้อง

นายน้อยปราสาทเขากระบี่เทพแต่งงาน วันนี้ประตูเรือนจึงเปิดกว้างเป็นพิเศษ ทั้งในเรือนและด้านนอกตั้งโต๊ะรับแขกไว้หกร้อยตัว เชิญจอมยุทธ์มีชื่อเสียงในยุทธภพ ขุนนางท้องที่ รวมถึงผู้มีอำนาจแถบข้างเคียงและชาวบ้านทั่วไป

ในฐานะที่กู้หย่วนต๋าเป็นจอมยุทธ์ผู้กุมอำนาจในหลิ่งหนาน เมื่อวันนี้เขาแต่งลูกสะใภ้ คนที่รู้ความหน่อยย่อมต้องรีบมอบของขวัญชิ้นโต ฉวยโอกาสนี้ผูกสัมพันธ์กับปราสาทเขากระบี่เทพ ผู้คนในรอบรัศมีร้อยลี้ที่ควรมาล้วนมาแล้ว ที่ไม่ควรมาก็ยังมาชมความคึกคักไม่น้อย

อย่างไรก็เป็นงานมงคลนี่นา ขอเพียงไม่ก่อเรื่อง คนของปราสาทเขากระบี่เทพก็ไม่สร้างความลำบากใจให้

และเพราะเป็นเช่นนี้ ทั้งภายในและภายนอกปราสาทเขากระบี่เทพจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่นั่งอยู่ข้างในแน่นอนว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจ ส่วนที่นั่งด้านนอกคือพ่อค้าและชาวบ้านที่ฐานะด้อยกว่า

คนมามาก ของขวัญอวยพรย่อมมีไม่น้อย เห็นเพียงของขวัญสีแดงวางเต็มสองฝั่งของโถงใหญ่ ถึงขนาดวางกองยาวไปถึงระเบียงด้านนอกด้วยซ้ำ

กู้หย่วนต๋าเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ก็พึงพอใจอย่างถึงที่สุด

ยามเขาเดินเข้ามาในโถง รอบด้านก็บังเกิดเสียงแสดงความยินดีเซ็งแซ่

“ใต้เท้าผู้ตรวจการมาถึงแล้ว!” ที่ประตูมีเสียงดังมา ในน้ำเสียงแฝงด้วยความตื่นเต้น

“ท่านกู้ ขอแสดงความยินดีด้วย!”

กู้หย่วนต๋าเห็นขุนนางใหญ่มาก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง หัวเราะกล่าว

“ใต้เท้ามาด้วยตัวเอง ช่างเป็นเกียรติของผู้น้อยยิ่งนัก!”

“ท่านกู้ ท่านเกรงใจไปแล้ว” ใต้เท้าผู้ตรวจการประสานมือตอบ

เขาเพิ่งพาขุนนางผู้นี้ไปหน้าโต๊ะ ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังขึ้นอีก

“นักพรตหลัวจากสำนักเหิงซานมาถึงแล้ว!”

กู้หย่วนต๋าสีหน้ายินดี รีบกลับไปที่หน้าโถงก้าวเข้าไปต้อนรับ

“พี่กู้ ยินดีด้วยๆ” นักพรตหลัวคิ้วขาวหนวดยาว ผอมจนกระดูกโปนออกมา มือถือแส้หางม้าสีตุ่น ดูมีบรรยากาศของเซียนอยู่หลายส่วน

“ขอบคุณท่านนักพรตที่อวยพร”

ต่อมาก็มีขุนนางใหญ่โตรวมทั้งจอมยุทธ์ชื่อดังของยุทธภพมากันอีกไม่น้อย ทว่ามีเพียงนักพรตจากเหิงซานกับใต้เท้าผู้ตรวจการเท่านั้นที่จะเห็นกู้หย่วนต๋าสนทนาพาทีด้วยดี

ในโถงนี้ส่วนมากเป็นชาวยุทธ์มีชื่อในยุทธภพ เหวยเจี้ยนซินติดหนวดสองเส้นไว้เหนือริมฝีปาก ฉวยโอกาสที่คนเยอะแจ้งชื่อไปว่าเป็นหัวหน้าพรรคอัสนีแล้วปะปนเข้าไปด้วย ส่วนผีพนันจาง เพราะเดิมทีเขามีลักษณะเหมือนผู้อาวุโสในยุทธภพอยู่แล้ว จึงเดินตามคนข้างหน้าเข้าไปโดยไม่แจ้งแม้แต่ชื่อ และก้าวเข้าไปทั้งอย่างนั้น คนเฝ้าประตูยังนึกว่าเขากับคนข้างหน้าเป็นกลุ่มเดียวกันด้วยซ้ำ

แต่ว่าตำแหน่งนั่งของทั้งสองห่างจากโต๊ะประธานมาก เบียดแน่นอยู่ที่ข้างประตู อีกนิดเดียวก็จะถูกเบียดออกไปด้านนอกแล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ที่นั่งสองสามที่ด้านข้างก็ไม่ได้มีตำแหน่งฐานะอะไร อย่างมากก็เป็นพวกเจ้าสำนักหรือหัวหน้าพรรคเล็กๆ เท่านั้น และก็หมายความว่าคนส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้จักกัน

“นี่ พี่ชาย เจ้าสาวเล่า เหตุใดไม่เห็นเลย” ผีพนันจางพอเข้าประตูมาก็มาอยู่ด้านหลังเหวยเจี้ยนซิน ถองใส่อีกฝ่ายที่กำลังแอบกินอาหารเรียกน้ำย่อยบนโต๊ะ แสร้งทำเป็นมองไปอีกด้านแล้วเอ่ยถาม

การถองศอกนี้ของผีพนันจางแทบจะทำให้เหวยเจี้ยนซินหน้าทิ่มลงไปในจานอาหาร เขารีบยันไว้แล้วหยิบไก่แช่เหล้าเข้าปากอีกชิ้นอย่างว่องไว ถึงค่อยยอมหันกลับมาพูด

“ขอล่ะ ยังไม่เริ่มพิธีเลยนะ เจ้าสาวย่อมยังไม่ออกมาอยู่แล้ว!”

“ชิ ที่แท้ยังไม่เริ่มพิธีหรอกหรือ ยังไม่เริ่มแล้วเจ้าหนูอย่างเจ้ากินทำไม ทำเอาข้าตกใจหมด นึกว่าพวกเรามาช้าไปแล้ว”

“เหอะ อาหารเรียกน้ำย่อยนี่ก็เพราะกลัวว่าทุกคนจะรอนานเกินไป ถึงได้ยกขึ้นโต๊ะมาก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่กินก็เสียเปล่าแย่” เหวยเจี้ยนซินกระดกมุมปาก เคี้ยวไก่แช่เหล้าอย่างเปี่ยมสุข เขาหันไปกวาดมองโดยรอบ แต่กลับหาร่องรอยหัวหน้าในโถงพิธีไม่เจอก็อดเอ่ยเสียงกระซิบไม่ได้ “ผีพนันเฒ่า ลูกพี่เล่า เหตุใดไม่เห็นเขา”

ลูกพี่คงไม่ใช่ยังไม่ตื่นหรอกกระมัง?! วันนั้นเขาพยุงลูกพี่ลงจากต้นไม้ หลังจากลูกพี่ถามประโยคแปลกๆ นั่นกับเขา ไม่นานเท่าไรก็พูดอะไรประหลาดๆ ที่เขาฟังไม่เข้าใจ จากนั้นก็เมาพับหลับไป อย่างเดียวที่เขาฟังเข้าใจก็คือลูกพี่สั่งเขาว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามโม่เอ๋อร์แต่งงานเด็ดขาด!

ในเมื่อลูกพี่สั่งมาแล้ว เขาย่อมมาทำลายงานอย่างยินดี เขาให้ผีพนันเฒ่าดูแลลูกพี่ ส่วนตัวเองวิ่งไปเป็นเสี่ยวเอ้อร์ชั่วคราวตามหอสุราในเมืองบ้าง โรงเตี๊ยมบ้าง พอมีของจะส่งไปที่ปราสาทเขากระบี่เทพ เขาเป็นต้องอาสาทันที สองวันนี้เขาเข้าๆ ออกๆ ปราสาทเขากระบี่เทพมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้จึงคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ราวกับเป็นสวนบ้านตน

แต่ว่าสุราวสันต์ฟ้าลั่นนั่นแรงเอาเรื่อง ลูกพี่กรอกไปหลายไหถึงเพียงนั้น ถ้าตอนนี้ยังไม่ตื่น เช่นนั้นความเหนื่อยยากในสองวันที่ผ่านมานี้จะไม่เสียเปล่าเอาหรือ?!

ผีพนันเฒ่าบุ้ยปากไปที่โต๊ะประธาน

“นั่นไง ไม่ใช่อยู่ข้างหน้าแล้วหรือ”

“ตรงไหน ข้าไม่เห็นเลย!” เหวยเจี้ยนซินขมวดคิ้ว หรี่ตามองหาอยู่นานก็ยังหาเงาร่างของลูกพี่ไม่เจอ

“เฮ้อ ในเมื่อเขามาแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าได้ดูละครสนุกแล้วอย่าลืมสกัดองครักษ์ไล่ตามด้วยล่ะ” ผีพนันเฒ่าหรี่ตาลงมองไปทั่วโถงรอบหนึ่ง “ที่นี่ก็มีสองสามคนที่ใช้การได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาโทษว่าท่านปู่อย่างข้าไม่เตือนเจ้าเล่า”

เหวยเจี้ยนซินหยิบไส้กรอกห้ารสอีกหลายชิ้นยัดใส่เต็มปาก โบกมือชุ่มน้ำมันกล่าวอย่างมั่นใจ

“อ้องงำ อ้องงำ! อ้าอัดอานไว้ละ!”

“หา?” ผีพนันเฒ่าได้ยินแต่ฟังไม่เข้าใจ หันกลับมาก็เห็นเจ้าหนูนี่มีอาหารเต็มปาก ทำเอาเขาสะดุ้งโหยงอดด่าไม่ได้ “ให้ตายเถอะ เจ้าหนูอย่างเจ้านี่เป็นผีอดอยากหรืออย่างไร”

เหวยเจี้ยนซินกลืนอาหารในปากลงไปถึงค่อยกล่าว

“ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการไว้นานแล้ว! สองวันมานี้ข้าขุดจนสองมือจะหักอยู่แล้ว รับรองว่าถึงตอนนั้นไม่มีใครกล้าตามมาแน่! อีกเดี๋ยวผู้เฒ่าอย่างเจ้าจำไว้ว่าต้องวิ่งให้ไวหน่อย อย่าชักช้ายืดยาด” เขาเรอออกมาทีหนึ่ง แล้วเกี่ยวเอาจอกสุรามาดื่มอีกจอกถึงค่อยเสริมอีกประโยคด้วยรอยยิ้มหยีอย่างพึงพอใจ “สองวันมานี้ข้าก็ลงแรงไปกับอาหารพวกนี้อยู่ไม่มากก็น้อย แค่มองก็หิวแล้ว ตอนนี้ย่อมต้องกินให้อิ่ม ยิ่งกว่านั้นต่อไปพวกเราก็ไม่ได้กินแล้ว ไม่กินให้พอก่อนจะได้อย่างไร”

ผีพนันเฒ่าค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ ขณะกำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงประทัดเสียงฆ้องกลองดังลั่น ในบรรยากาศชื่นมื่น เจ้าสาวในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงให้แม่สื่อและนายน้อยปราสาทเขากระบี่เทพพยุงเข้ามาภายในโถง

“นี่ นั่นใช่โม่เอ๋อร์จริงหรือ” มองผ้าคลุมหน้าสีแดงของเจ้าสาว กระทั่งปลายคางยังมองไม่เห็น ผีพนันเฒ่าก็อดเกิดความสงสัยไม่ได้

“ใช่แล้วๆ สองวันก่อนข้าเพิ่งเห็นนางลองชุดแต่งงาน แต่ว่าพูดจริงๆ นะ วันนั้นบนหน้านางไม่มีความเบิกบานยินดีของเจ้าสาวสักนิด หน้าขาวซีดไปหมด” เหวยเจี้ยนซินชี้หน้าตัวเองแล้วกล่าวต่อ “นางบอกคนอื่นว่านางกินของผิดสำแดงจนท้องเสีย คนพวกนั้นก็ยังเชื่อ ช่างน่าหัวเราะจริงๆ นี่ๆๆ จะเริ่มพิธีแล้วนะ ลูกพี่เล่า” เห็นบ่าวสาวกำลังจะกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว แต่ยังไม่เห็นลูกพี่ปรากฏกาย เขาก็ร้องเสียงหลงเบาๆ พลางดึงแขนเสื้อผีพนันเฒ่า

“เจ้ากังวลอะไร ลูกพี่ย่อมมีแผนการน่า!” ผีพนันเฒ่าเหล่มองเขาอย่างรำคาญ “เตรียมกลักไฟของเจ้าให้พร้อมเป็นพอ”

เขาเพิ่งพูดจบ ผู้ดำเนินพิธีด้านหน้าก็ส่งเสียงดัง

“หนึ่ง กราบไหว้ฟ้าดิน…”

บ่าวสาวในชุดแดงเพลิงทั้งตัวหันกายกลับมาหน้าประตูใหญ่แล้วโค้งคารวะ

คนผู้หนึ่งในโต๊ะประธานจ้องเจ้าบ่าวที่ประคองเรือนร่างแบบบางของเจ้าสาวเขม็ง หัวใจหดรัด แม้จะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขาก็แทบไม่อาจควบคุมไฟหึงหวงเต็มฟ้านั้นได้! บางทีจนกระทั่งถึงเมื่อครู่ ในใจของเขายังคงนึกว่านางเพียงพูดไปเท่านั้น จะไม่กราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกับเจ้าหน้าขาวที่ยิ้มแย้มยินดีคนนี้จริงๆ จนกระทั่งตอนนี้เห็นนางกำลังกราบไหว้ฟ้าดินกับอีกฝ่าย เขาก็แทบโมโหเดือดดาลแล้ว!

ทว่าแม้ไฟโกรธจะปะทุแค่ไหน เขาก็ไม่ได้มองข้ามมือขวาของนางที่วางอยู่ข้างเอวยามลุกขึ้น

บ่าวสาวลุกยืนมั่นแล้ว ผู้ทำพิธีก็กล่าวต่อ

“สอง กราบไหว้บิดามารดา…”

ปลายคางเขาเกร็งขมึง กำหมัดไว้ข้างตัว รู้ว่าตนจะไม่อภัยให้ความกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ของนางเด็ดขาด

เจ้าบ่าวประคองเจ้าสาวให้โค้งตัวคารวะกู้หย่วนต๋าที่อยู่ในตำแหน่งด้านบน ยามทั้งสองกำลังจะหยัดกายขึ้น ลูกกลมสีดำลูกหนึ่งพลันถูกคนโยนเข้ามาในงาน เพราะกะทันหันเกินไป ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงจ้องมองลูกกลมดำที่ขนาดเท่าไข่ไก่ลูกนั้น มันกลิ้งไปสองรอบจากนั้นก็หยุดลง จู่ๆ เสียง ‘ปัง’ พลันระเบิดออก ควันขาวเหม็นกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะเดียวก็ปกคลุมทั่วโถง

เพราะสายตาทุกคนไปอยู่ที่ลูกกลมดำนั้นหมด จึงไม่มีใครเห็นว่าพริบตาที่หยัดกายขึ้นเจ้าสาวกระชากผ้าคลุมหน้าออกแล้วชักกระบี่อ่อนออกมาจากเอว พุ่งทะยานแทงใส่ตำแหน่งประธานพิธีเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว!

กู้หย่วนต๋าเห็นประกายกระบี่ในพริบตา ระหว่างที่กำลังตกตะลึงจึงได้แต่ฝืนทำลายเก้าอี้ด้านหลังแล้วถอยหลบอย่างลนลาน โม่เอ๋อร์ฟันกระบี่ยาวลงไป ยามใกล้จะฟันใส่หน้าโจรเฒ่ากู้ จอกสุราใบหนึ่งกลับพุ่งมาจากด้านข้าง กระทบตัวกระบี่ของนางดัง ‘เคร้ง’

จอกสีเขียวขาวมีสุราอยู่เต็ม จึงกระแทกกระบี่ยาวของโม่เอ๋อร์ออกไป ล่าช้าเพียงเท่านี้ ยามนางพลิกมือกลับจะฟันอีกครั้ง กู้อี้ที่ข้างกายนางก็ได้สติกลับมาแล้ว เขาพุ่งเข้าไปผลักโม่เอ๋อร์ออกแล้วขวางอยู่เบื้องหน้าบิดา

โม่เอ๋อร์พลิกกายกลางอากาศ เห็นผู้มาเป็นเขา สีหน้าก็เย็นเยียบ ใจแข็งฟันกระบี่เงินตามเข้าไป!

กู้อี้คล้ายไม่กล้าเชื่อว่านางจะทำเช่นนี้ ถึงกับเหม่อมองกระบี่ยาวฟันลงมาที่ศีรษะ…

ในระยะห่างอีกเพียงนิ้วมือเดียวกู้อี้ก็จะต้องสิ้นชีพ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนั้นกลับมีคนกระโดดเข้ามาขวาง เขาทะยานพลิ้วมาถึงด้านหลังโม่เอ๋อร์ มือข้างหนึ่งโอบเอวนาง อีกข้างจับข้อมือที่ถือกระบี่ของนาง เพียงพริบตาเดียวก็ควบคุมตัวนางได้อย่างง่ายดาย กู้หย่วนต๋าซึ่งอยู่ด้านหลังกู้อี้เห็นนางถูกจับตัวไว้แล้วก็ซัดฝ่ามือออกมาจากด้านหลังบุตรชาย หมายจะสังหารนางให้สิ้น!

คาดไม่ถึงว่าคนที่กุมตัวโม่เอ๋อร์ไว้กลางอากาศกลับปล่อยมือของนางแล้วพลิกมือมารับฝ่ามือของเขา

เสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น กู้หย่วนต๋าถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง กระอักออกมาเสียงหนัก คิ้วขมวดเลิกขึ้น

คนผู้นั้นกลับถือโอกาสนี้พาตัวโม่เอ๋อร์ถอยห่างออกมาครึ่งจั้ง แล้วลงยืนมั่นบนพื้นอย่างปลอดภัย

“ใต้เท้า ท่าน…” กู้หย่วนต๋าหน้าแดงก่ำ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดใต้เท้าผู้ตรวจการต้องปกป้องนางโจรไม่รู้ดีชั่วนั่นด้วย

โม่เอ๋อร์เองก็ไม่เข้าใจ นางหันมองคนที่หลังจากเก็บฝ่ามือแล้วก็จับกุมมือขวาของนางทันที ครั้นเงยมองก็สบเข้ากับนัยน์ตาดำเย็นยะเยือก นางรู้ว่าเป็นเขา ต่อให้นั่นเป็นใบหน้าที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ทว่าดวงตาคู่นั้นเป็นของเขา นางรู้ดี

เพราะเหตุใด โม่เอ๋อร์ใช้สายตาถามเขาอย่างสั่นสะท้าน แต่มองเห็นเพียงความมืดมิดลึกล้ำในดวงตาเขาเท่านั้น

นางตกตะลึง ถึงกับไม่ดิ้นรนอีก

ฉู่เฮิ่นเทียนมองดูโม่เอ๋อร์แล้วส่งเสียงฮึเย็นชา ถึงค่อยเงยมองกู้หย่วนต๋า ยกริมฝีปากขึ้นกล่าวเย้ย

“ใต้เท้า? ข้าไม่กล้าเป็นหรอก” พูดจบเขาก็หัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็สะกิดเท้าพาตัวโม่เอ๋อร์ทะยานข้ามควันขาว ถอยออกไปนอกประตู

“อะไรนะ?!” กู้หย่วนต๋าตกตะลึง เพิ่งรู้เอายามนี้ว่าตนหลงกลเข้าแล้ว

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วลมหายใจเดียว ยามแขกในห้องที่เต็มไปด้วยควันขาวได้ยินเสียงของกู้หย่วนต๋า ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาก็เห็น ‘ใต้เท้าผู้ตรวจการ’ หนีบตัวเจ้าสาวจากไปต่อหน้าต่อตาอย่างว่องไว

คนนอกห้องล้วนไม่รู้ว่าภายในเกิดเรื่องใดขึ้น เห็นเพียงคนผู้หนึ่งพาตัวเจ้าสาวพุ่งออกมา พวกที่นึกว่ามีคนชิงตัวเจ้าสาวก็อาศัยวิชายุทธ์ของตนเข้าสกัดขวาง ฉู่เฮิ่นเทียนกระทั่งสู้ยังคร้านจะสู้ เพียงพาโม่เอ๋อร์ทะยานสูงขึ้นไปอีกหลายชุ่น จากนั้นก็เหยียบลงบนศีรษะคนพวกนั้นยืมแรงส่งพุ่งออกไปจากปราสาทเขากระบี่เทพ

คนที่มีฝีมือหน่อยสองสามคนไล่ตามไปทันที คาดไม่ถึงว่าคนที่เร็วที่สุดกลับไม่ใช่กู้หย่วนต๋า แต่เป็นกู้อี้ที่หน้าซีดขาวจนน่าตกใจ

กู้อี้เพิ่งไล่ตามออกมาจากห้องโถงใหญ่ก็ถูกผีพนันเฒ่าที่ข้างประตูขวางไว้

ผีพนันเฒ่าประมือกับเจ้าหน้าขาวคนนี้สองกระบวนท่า หางตาเหลือบเห็นว่าเหวยเจี้ยนซินประจำที่เรียบร้อยแล้ว จุดกลักไฟแล้ว ก็พลันหัวเราะเสียงดัง

“ฮี่ๆ เจ้าหน้าขาว ท่านปู่เจ้าอย่างข้าไม่เล่นด้วยแล้ว”

พอเขายิ้มยิงฟันเหลืองและซัดฝ่ามือหนึ่งใส่กู้อี้แล้วก็พลิกตัวไปด้านหลังไล่ตามลูกพี่ไป

“โม่เอ๋อร์!” กู้อี้ร้องตะโกน ไล่ตามไปเบื้องหน้าต่อ ด้านหลังมีคนในยุทธภพตามติดมาเป็นพรวน

เวลานี้เองประตูใหญ่ปราสาทเขากระบี่เทพพลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ประตูใหญ่ยักษ์สูงตระหง่านบานนั้นก็ถูกระเบิดลอยขึ้นฟ้าดังตูมตามต่อหน้าต่อตาทุกคน จากนั้นก็ร่วงลงมาลุกไหม้บนพื้น พาให้เกิดควันโขมงเต็มฟ้า

เพราะไม่เคยเจอพลังทำลายรุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ทุกคนจึงหวาดผวานิ่งงันอยู่กับที่

เวลาเดียวกันนั้นในปราสาทเขากระบี่เทพดันมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาพร้อมกันสิบจุดและเผาไหม้อย่างรวดเร็ว

ต่อให้ยามนี้กู้อี้อยากข้ามประตูไล่ตามไปแค่ไหน ฉู่เฮิ่นเทียนกับโม่เอ๋อร์ก็จากไปไกลแล้ว แม้แต่ชายเสื้อของผีพนันเฒ่าก็ไม่เห็นแล้ว

ทุกคนด้านหลังรีบดับไฟ กู้อี้ยืนนิ่งงันอยู่นอกประตูที่กำลังมีไฟลุก มองไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอย…

เหวยเจี้ยนซินที่เหนือริมฝีปากยังติดหนวดสองเส้นปะปนไปกับพวกชาวบ้านที่ถูกไฟทำให้ตื่นตระหนก หนีออกมาได้อย่างง่ายดาย

ก่อนจากไปเขาเห็นกู้อี้ยังเหม่อมองไปไกลๆ ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ เฮ้อ ใครใช้ให้เขาไม่รักคนอื่น ดันไปรักสตรีของลูกพี่เล่า

ต้องบอกว่าต่างคนต่างมีชะตาชีวิตของตัวเอง!

เหวยเจี้ยนซินไหวไหล่ ลูบหนวดเหนือริมฝีปากแล้วหมุนตัวไปสมทบกับลูกพี่

ไม่ง่ายกว่าจะดับไฟสิบจุดนั้นได้ ปราสาทเขากระบี่เทพไม่เสียหายมากเท่าไร แต่กลับทุลักทุเลอย่างถึงที่สุด

ใบหน้าชราของกู้หย่วนต๋าเก็บสีหน้าไม่อยู่ รอยยิ้มมีเมตตาเปลี่ยนเป็นใบหน้ากราดเกรี้ยวเหี้ยมโหดนานแล้ว ยามพบใต้เท้าตัวจริงถูกมัดยัดลงในหีบของขวัญที่ ‘ใต้เท้าผู้ตรวจการ’ ตัวปลอมนำมา กู้หย่วนต๋าก็ยิ่งเดือดดาลจนแทบอาละวาด ณ ตรงนั้น

ล้วนเป็นเพราะกู้อี้ไม่รู้จักตรวจสอบให้ดี ชักศึกเข้าบ้าน! นางสารเลวนั่นหลังจากลอบจู่โจมเขาแล้วยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย ปราสาทเขากระบี่เทพของเขากระทั่งสตรีผู้หนึ่งยังรั้งไว้ไม่อยู่จะใช้ได้ที่ไหน เพื่อรักษาหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่พูดออกมาว่าสตรีผู้นั้นเป็นมือสังหาร เพียงบอกกับคนอื่นว่าเป็นศัตรูของตระกูลลักพาตัวเจ้าสาวไป

ทว่าชื่อเสียงเกรียงไกรของปราสาทเขากระบี่เทพยังคงสลายไปหมดสิ้นภายใต้เหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ คราวนี้เขาขายหน้าอย่างแท้จริงแล้ว!

“เจ้าระยำ!” ในห้องหนังสือโถงชั้นใน กู้หย่วนต๋าตบฉาดใส่กู้อี้แล้วด่าทอ “เจ้าบอกกับข้าว่าอย่างไร บอกว่านางไม่มีปัญหา นางไม่เป็นวิชายุทธ์? ตาสุนัขเจ้ามันบอดหมดแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าหลบได้ไว ป่านนี้คงลงไปนอนในโลงแล้ว!”

มุมปากกู้อี้ถูกตบจนเลือดออก ทว่ากลับทำเพียงก้มหน้าไม่เอ่ยคำ

“เจ้าอย่าลืมล่ะ ตอนนั้นเป็นข้าช่วยชีวิตเจ้าจากมือโจรชั่ว ยังรับเจ้าเป็นลูก เจ้ามันไม่รู้จักบุญคุณ ดันพาศัตรูเข้าบ้าน!” เขาถีบออกไปด้วยใบหน้าดุร้าย

กู้อี้ไม่หลบหลีก ถูกถีบเข้าเต็มๆ จนตัวงอหมอบกับพื้นเพราะความเจ็บปวด

กู้หย่วนต๋ายังไม่หายโมโห หยิบแส้ม้าที่ด้านข้างมาแล้วตีส่งเดชบนตัวเขาพลางด่า

“ข้าให้อาหารเจ้า ให้ที่อยู่เจ้า เพื่อให้เจ้าเนรคุณหรือ!”

“ไม่ใช่” กู้อี้ทนความเจ็บปวดหยัดเอวขึ้นมา ปล่อยให้แส้ม้าโบยตีจนเกิดรอยเลือดเป็นแถบๆ บนร่าง

กู้หย่วนต๋าไม่ตีอีกฝ่ายที่หน้า ตีเพียงร่างกายเท่านั้น เพราะถ้าใบหน้ากู้อี้ปรากฏรอยแผล ผู้คนก็จะสงสัยว่าเขาทารุณบุตรชาย แต่เขาคือเจ้าปราสาทเขากู้แห่งปราสาทเขากระบี่เทพ เป็นคนใจบุญที่ต่อสะพานสร้างถนน เขาย่อมไม่สามารถโบยตีบุตรชายตนเองอย่างรุนแรงเช่นนี้ได้

ปกติขอเพียงเขาเห็นผิวที่ขาวราวกับผิวสตรีของเจ้าเด็กนี่เกิดรอยแดงหรือรอยเลือด เขาก็รู้สึกคึกคักนัก ประหนึ่งย้อนกลับไปในสมัยยังหนุ่มที่เป็นหัวหน้าโจรป่า พาลูกน้องฆ่าคนเผาหมู่บ้าน

ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนที่เขาแฝงตัวอยู่ในหลิ่งหนาน สร้างปราสาทเขากระบี่เทพขึ้นมา และแสร้งทำเป็นคนใจบุญมีเมตตาเพื่อสมบัติในแผนที่จิ๋นซี เขาก็ต้องอดทนซ่อนนิสัยเหี้ยมโหดกระหายเลือดของตนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ทนไม่ไหวก็จะโบยตีเจ้าเด็กนี่เป็นการระบาย

ตอนแรกที่เขาไล่ตามไปถึงตัวบ่าวที่พาเจ้าเด็กสกุลเหรินหนีไป เขายังนึกว่าในที่สุดตนก็จะได้สมบัติในตำนานนั้นมาแล้ว ใครจะรู้ว่าบ่าวแก่นั่นแม้ต้องตายก็ไม่ยอมพูดอะไร เขาจึงฆ่าเจ้าเฒ่าที่ไม่มีประโยชน์คนนั้นแล้วเหลือเด็กไว้ เพราะคิดหาข้อมูลแผนที่จิ๋นซีจากบนตัวเด็ก เขาใช้ความพยายามถึงเจ็ดแปดปีแสดงเป็นคนดีต่อหน้าเด็กนี่ สุดท้ายถึงได้รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!

นับแต่นั้นเขาก็จะทำสีหน้าโอบอ้อมอารีกับเจ้าหนูนี่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น ลับหลังก็จะระบายความโกรธทุกอย่างกับร่างเจ้าเด็กนี่!

ถ้าไม่ใช่เพราะต่อมาเขาได้ข่าวว่าสกุลเหรินยังมีบุตรสาวอีกคน การเก็บเจ้าเด็กนี่ไว้ยังพอมีประโยชน์อยู่ เขาคงฆ่ามันทิ้งไปตั้งนานแล้ว!

แส้โบยตีลงมาอย่างหนักอีกครั้ง หน้าอกกู้อี้มีเลือดซึมออกมานานแล้ว เขาเข่าอ่อนแทบยืนไม่มั่น แต่พริบตาสุดท้ายกลับหยัดเอวตรงขึ้นมาใหม่อีกครา

เห็นท่าทางอดสูของเด็กนี่แล้ว กู้หย่วนต๋าพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เขาหยุดโบยแล้วยื่นมือบีบคอกู้อี้ แก้มกระตุก หรี่ตาลง บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามเสียงเหี้ยม

“พูดมา! หญิงผู้นั้นเป็นเจ้าสั่งมาใช่หรือไม่”

“มะ…ไม่ใช่…” กู้อี้เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากจากคอที่ถูกบีบแน่น ใบหน้าซีดขาวขึ้นสีแดงเพราะถูกบีบคอ

กู้หย่วนต๋ามองเขาอย่างเยียบเย็น ครู่ใหญ่ถึงคลายมือออก กล่าวเสียงเย็นชา

“ให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วกัน อย่าลืมล่ะ ข้าให้เจ้ามีชีวิตได้ ก็ทำให้เจ้าตายได้เช่นกัน เจ้าเป็นนายน้อยของเจ้าต่อไปดีๆ ก็สามารถอยู่อย่างสุขสบายได้แล้ว ทางที่ดีอย่าได้คิดตุกติกอะไรทั้งนั้น!” พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

กู้อี้มือหนึ่งกุมคอ อีกมือยันพื้น คุกเข่าไออย่างเอาเป็นเอาตายบนพื้น ไม่ง่ายกว่าจะกลับมาหายใจได้คล่อง เลือดบนไหล่ไหลรินมาตามแขนขาวจนมาถึงหลังมือเขา

เขามองดูเลือดตัวเอง นัยน์ตาทึบทึม จู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ อย่างเจ็บปวด

เฮอะ สมควรดูแลนางอะไรกัน แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย

เขาคิดจะลุกขึ้น แต่รอยแส้บนหลังกลับปวดเสียจนทำให้เขาไม่อาจยืนตรงได้ เขาต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะไปนั่งบนเก้าอี้ได้

บางทีนี่คงเป็นกรรมตามสนอง…เขาหวังให้นางรั้งอยู่มากเกินไป ดังนั้นถึงได้เลือกเมินเฉยต่อสัญญาณเตือนในใจ รู้ทั้งรู้ว่าความจริงตนไม่สามารถปกป้องนางได้ กลับยังเลือกโกหกตัวเองว่าจะปกป้องนางภายใต้น้ำมือท่านพ่อ

ท่านพ่อ?

คนผู้นั้น…ยังเป็นท่านพ่อของข้าอยู่หรือ

กู้อี้มองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลแล้วเอ่ยถามตัวเอง ก่อนอายุสิบสาม ชายที่มีเมตตาปรานีคนนั้นไปอยู่ที่ใดแล้ว

แรกเริ่มเขานึกว่าเป็นตัวเองทำอะไรผิดไป ทำให้ท่านพ่อไม่พอใจ แต่เมื่อการลงโทษรุนแรงขึ้นทุกครั้ง ยามเขาพบว่าท่านพ่อปฏิบัติต่อเขาแตกต่างกันอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าและลับหลังคนอื่น เขาก็ไม่เข้าใจอะไรแล้ว ได้แต่พยายามหลบเลี่ยงชายที่เหมือนอสูรร้ายคนนั้น แต่ไม่ว่าเขาจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวขนาดไหน ก็มักหนีการโบยตีทุกสามวันห้าวันไม่พ้น

เพราะเขาถูกโบยตีหลายครั้งทำให้ล้มป่วยอยู่บนเตียงบ่อยๆ ต่อให้เรียนวิชายุทธ์ตั้งแต่เด็ก แต่ร่างกายเขาก็ยังอ่อนแอเพราะเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไปหาหมอมีชื่อมาไม่น้อย กินยาเทียบดังๆ มากมาย แต่ทุกครั้งที่ร่างกายเขาดีขึ้นมาหน่อยก็จะต้องถูกโบยอีกรอบเสมอ

ในปราสาทเขามีคนที่รับรู้เพียงไม่กี่คน แม้เขาจะสวมชุดแพรหรูหรา แต่ร่างกายใต้เสื้อผ้ากลับมีรอยแผลอยู่ตลอด

เขาทั้งสับสนทั้งอ่อนล้า คนผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา เป็นบิดาของเขา เขาบอกตัวเองไม่ให้เกลียดอีกฝ่าย แต่ทว่าวันนี้ยามเขาเห็นโม่เอ๋อร์แทงกระบี่จู่โจมคนผู้นั้น ในใจกลับมีความฮึกเหิมสายหนึ่ง รู้สึกว่า…หนีรอดภัยร้ายแล้ว? เขาควรรู้สึกละอายต่อความคิดต้องการสังหารบิดาพรรค์นี้ แต่กระทั่งตอนนี้ที่ย้อนคิดกลับไป เขาก็ยังไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อย

หลายปีมานี้เขาก็เคยคิดหนี แต่ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะต้องมีคนติดตามหน้าหลัง ยิ่งกว่านั้นเพราะเขาป่วยเรื้อรัง ทุกวันต้องกินยาตามกำหนด และในสมุนไพรสิบกว่าชนิดนั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘หญ้าหงส์ฟ้า’ แต่สมุนไพรชนิดนี้กลับมีแต่ในปราสาทเขากระบี่เทพเท่านั้น

เขาไม่กินหนึ่งวัน หน้าอกก็จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหว สามปีก่อนเขาเคยหนีไปครั้งหนึ่ง แต่ในวันที่ห้ากลับสลบไปเพราะไม่ได้กินยา และถูกคนของปราสาทเขากระบี่เทพหาตัวเจอ

ตั้งแต่นั้นเขาก็ล้มเลิกความคิดจะหนี

เขาหยิบผ้าบนโต๊ะขึ้นมา อดทนเช็ดรอยเลือดบนร่างตัวเอง

นอกหน้าต่างฝนตกแล้ว…

เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นดอกชาในสวนถูกฝนตกใส่ คิดถึงโม่เอ๋อร์ที่มักชอบมองดูดอกชาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

โม่เอ๋อร์…แม่นางที่เงียบเชียบคนนั้น คิดไม่ถึงว่านางจะมีวิชายุทธ์ที่เยี่ยมยอด

อยากแต่งงานกับนาง จะมากจะน้อยก็มีความเห็นแก่ตัว เพราะขอเพียงนางอยู่ข้างกาย เขาก็จะรู้สึกคุ้นเคยและวางใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดลืมการโบยตีบ่อยครั้งของท่านพ่อได้ชั่วขณะ

แต่ว่าเขาอยากดูแลนางจากใจจริง มักรู้สึกว่านางกับเขามีความเกี่ยวโยงที่ไร้รูปร่างบางอย่าง…

กู้อี้หยักมุมปากเย้ยหยันตัวเอง ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงแล้วอย่างไรเล่า

นางไปแล้วก็ดี เขาหนีไม่ได้แล้ว เหตุใดต้องให้นางมารับความทุกข์อยู่ที่นี่ด้วยกัน

เขาเพียงหวังว่าหลังจากนางถูกคนผู้นั้นพาตัวไปแล้วจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้น…

บทที่หก

สายฝนเม็ดบางพันสายหมื่นสาย เบาบางดุจขนนก นำพาความหนาวเย็นพร่างพรมลงบนใบหน้านาง ผมของนาง ร่างของนาง…

เขาห้อตะบึงอยู่กลางสายลม เห็นนางผมเปียกก็ยกมือขึ้นนำเสื้อคลุมกันลมห่อตัวนางในอ้อมอกไว้

กระบี่อ่อนถูกเขาเก็บไปนานแล้ว ม้วนเก็บไว้บนแขน

กระบี่เล่มนี้เดิมทีก็เป็นของเขา ยามนี้ก็แค่กลับคืนสู่ที่เดิมเท่านั้น

เขาไม่ควรมอบให้นาง ไม่ควรเพิ่มรอยเลือดพวกนั้นบนร่างนาง นับแต่ตอนนี้เขาจะไม่ให้สองมือของนางแปดเปื้อนเลือดอีก จะไม่ให้สองตาแวววาวของนางย้อมไปด้วยความทุกข์ตรมขัดแย้งอีก ทัณฑ์เลือดพวกนั้นให้เขารับก็พอ

เขารู้ดี ต่อให้นางสังหารศัตรูด้วยตัวเองแล้ว ฝันร้ายของนางก็จะไม่จบสิ้น นางเองก็จะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร มีแต่จะทำให้สองมือเปื้อนเลือดของนางเพิ่มฝันร้ายและความผิดที่คร่าชีวิตผู้อื่นอีกครั้งเท่านั้น เขารู้ว่านั่นไม่สามารถดึงนางออกมาจากฝันร้ายได้ มีแต่จะทำให้นางจมลึกลงไป ไม่อาจถอนตัวชั่วนิรันดร์

วิธีเดียวก็คือไม่ให้นางจับกระบี่ฆ่าคนอีก ไม่สามารถให้สองมือของนางเปื้อนเลือด ไม่สามารถให้นางแตะต้องคาวเลือดพวกนั้นอีก จากนั้นบางทีเวลาอาจสามารถช่วยให้นางลืมเลือนได้

และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้

หลายปีมานี้เขาเคยฆ่าคนไปมากมาย จิตวิญญาณของเขาโสมมไปนานแล้ว แต่ของนางยังไม่ใช่…

เขาเคยทำผิดต่อนาง ครั้งนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดอีก

อ้อมออกมาจากทางเล็กในป่า ฉู่เฮิ่นเทียนปลดหน้ากากออก กลับไปที่บ้านเล็กกลางเขาที่อาศัยอยู่ในสองสามวันมานี้

เขาปล่อยมือลงวางนางบนเก้าอี้

จุดชีพจรยังไม่ถูกคลาย โม่เอ๋อร์จ้องมองเขา ในดวงตามีความขุ่นข้อง คงเพราะได้สติกลับมาจากอาการตื่นตะลึงในคราแรกแล้ว

เขาไม่ได้คลายการสกัดจุดให้นาง เพียงมองนาง จ้องมองนางนิ่งๆ ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มองดูนางอย่างไรอย่างนั้น มองแน่วนิ่งอย่างละเอียด

บนผมดกดำเงางามของนางมีหยดน้ำเล็กๆ สีเงินวาว นัยน์ตาดำเคืองขุ่นฝังอยู่บนผิวหิมะที่ประหนึ่งหยกขาว กระจ่างใสจนพาให้คนสั่นสะท้าน คิ้วโก่ง ริมฝีปากอิ่มแดงดุจผลอิงเถา* นางที่แต่งแต้มแป้งชาดพาให้คนใจสั่น และทำให้คนเกิดโทสะด้วย

บนร่างของนางยังสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิง…เดิมนางจะแต่งงานวันนี้ แต่งให้ชายอีกคน!

ทุกครั้งที่คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็จะรู้สึกหน้าอกมีไฟกำลังแผดเผา

ฉู่เฮิ่นเทียนถอยไปก้าวหนึ่งแล้วนั่งบนเก้าอี้อีกตัว มองสบสองตาของนาง เริ่มไม่พอใจรางๆ สิ่งเดียวที่พอทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยก็คือในยามที่เจ้าหน้าขาวนั่นกระโดดออกมา นางมิได้เก็บมืออย่างลังเล แต่นี่ก็เป็นการเตือนเขาในเวลาเดียวกันว่าหลายปีมานี้เขาสอนนางดีขนาดไหน

นางไม่ใจอ่อนสักนิด เขาสอนนางดีเกินไปแล้ว!

เขามันโง่เง่า!

บนโต๊ะไม่มีสุราแล้ว เหลือเพียงชา

ฉู่เฮิ่นเทียนรินชาหนึ่งถ้วย นั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกดื่ม สายตาจับจ้องนางดังเดิม

นอกบ้านฝนยังคงตก…

ความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจ ปั่นป่วน ทบทวี เขาโมโหความดื้อด้านบ้าบิ่นของนาง ทว่าก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน มองนัยน์ตาดำกรุ่นโกรธของนางแล้ว เขาดันไม่รู้ว่าควรจัดการนางอย่างไรดี

เขาเก็บสายตาคืนมา ดื่มน้ำชาที่เย็นไปนานแล้วของตน

ด้านนอกลมกำลังพัด ฝนกำลังตก ผีพนันเฒ่าถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันปรากฏตัวบนทางเล็กกลางเขาไกลๆ เขามองสภาพภายในบ้านแล้วชะงักเท้าอย่างอดไม่ได้

ไม่นานเท่าไรเหวยเจี้ยนซินก็กลับมาแล้ว เขามุดเข้าไปในร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ปาดหยดน้ำบนผมแล้วถามอย่างแปลกใจ

“นี่ เหตุใดไม่เข้าไปเล่า”

ผีพนันเฒ่าเบ้ปาก เกี่ยวไหล่เขากล่าว

“เจ้าดูข้างใน”

เหวยเจี้ยนซินมองไปไกลๆ เห็นในห้องฉู่เฮิ่นเทียนมีสีหน้าซับซ้อน และเห็นโม่เอ๋อร์ที่หน้าตาโกรธเคืองถูกเมินอยู่บนเก้าอี้ เขาพลันรู้แจ้ง มองตาผีพนันเฒ่าเงียบๆ แล้วกล่าว

“ตอนข้าเพิ่งมา เห็นที่ตีนเขามีแผงขายไก่ต้ม ดูท่าทางน่ากินดี”

“งั้นหรือ เช่นนั้นพวกเรายังรออะไรล่ะ” ผีพนันเฒ่าร้องรับเสร็จก็คล้องคอเหวยเจี้ยนซินหมุนตัวลงเขาไป

สายฝนเม็ดบางดุจใยไหม เสียงฝนแผ่วๆ หลอมรวมกลายเป็นกำแพงไร้รูปร่าง กั้นบ้านน้อยหลังนี้ให้กลายเป็นอีกโลกหนึ่ง

ความโกรธแค้นของนางกำลังรวมตัว ขณะมองดูเขา นางทั้งไม่เข้าใจทั้งเดือดดาล!

เพราะเหตุใด ทำไมต้องขัดขวางการแก้แค้นของนาง เหตุใดต้องช่วยศัตรูของนาง ไม่ง่ายกว่านางจะได้ล้างหนี้เลือดนะ! ทำไม…

ความโกรธเกรี้ยวกลายเป็นพลัง ทะลวงทำลายการสกัดจุด แม้จะคลายจุดได้แล้วแต่นางกลับไม่ขยับ เพียงจ้องเขาดังเดิม มือกำเป็นหมัด เอ่ยถามเสียงแหบแห้งอย่างมีโทสะ

“ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นศัตรูของข้า”

เขายังคงมองชาที่เย็นชืดในมือ เมื่อแหงนหน้าดื่มมันลงไปแล้วถึงค่อยตอบเรียบๆ

“รู้”

นางได้ยินก็พลันยืนขึ้นอย่างโมโห หน้าขาวซีดถามต่ออีก

“ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาสังหารครอบครัวข้าทั้งหมดสิบสามชีวิต”

“รู้” เขารินชาอีกถ้วยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ท่านรู้หรือไม่ว่าสิบกว่าปีมานี้ข้าเรียนวิชากระบี่กับท่านเพื่ออะไร” นางก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ซักไซ้อีกอย่างฉุนเฉียว บนใบหน้าขาวกระจ่างนอกจากริมฝีปากสีแดงแล้วก็ไม่มีสีอื่นใดอีก

ฉู่เฮิ่นเทียนปลายคางขึงเกร็ง มือที่กุมถ้วยอยู่บีบแน่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

เขาย่อมรู้ว่านางทำเพื่ออะไร นางทำก็เพื่อแก้แค้น เพื่อทวงความยุติธรรมจากกู้หย่วนต๋านั่น แต่เขาไม่สามารถให้นางฆ่าคนอีก ต่อให้การทำเช่นนี้จะทำให้นางเกลียดเขาก็ตาม

เขาไม่ได้เอ่ยปาก ไม่ได้พยักหน้า แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว พอให้นางรู้ว่าเขาตั้งใจ ตั้งใจทำลายแผนการของนาง ตั้งใจไม่ให้นางล้างแค้น!

โม่เอ๋อร์ตาแดง ความโกรธปะทุออกมาจากอก นางกำหมัดแน่นถามอย่างเดือดดาล

“ในเมื่อท่านรู้ แล้วทำไมต้องทำกับข้าเช่นนี้”

เขานิ่งมองถ้วยชาในมือ ครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้ามองนาง ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ทำไม”

ไม่ทำไม? ไม่ทำไม! ไม่ทำไม?!

โม่เอ๋อร์มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ส่ายหน้าตัวสั่น พูดงึมงำด้วยเสียงแหบพร่า

“ข้าเห็น…เห็นท่านพ่อถูกคนฟันตายตรงหน้ากับตา ท่านแม่…ถูกคนแหวกอกผ่าท้องเหนือหัวข้า…” นางพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด สองตาเบิกโต ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง นางพูดพลางเดินมาทางเขาทีละก้าวๆ เสียงที่แหบพร่าเปลี่ยนเป็นสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “สิบกว่าปีมานี้ ทุกวันข้าล้วนฝันถึงคืนนั้น ในฝันมือของข้า ร่างของข้าจมอยู่ในเลือดพวกเขา ในหูยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องน่าสังเวชของพวกเขา ท่านรู้หรือไม่ ทั้งร่างของข้าล้วนเป็นเลือดของพวกเขา ทั้งร่าง!” นางแบสองมือออก ราวกับว่าบนมือนั้นยังเปรอะเปื้อนเลือดของบุพการี

นางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ถามเสียงเบาอย่างทุกข์ตรม “ในตอนที่ข้าสามารถล้างแค้นให้พวกเขาได้ในที่สุด ท่านกลับช่วยเดรัจฉานนั่น ขัดขวางข้า แล้วท่านยังบอกว่า ‘ไม่ทำไม’ อีกหรือ”

ได้ยินสิ่งที่นางประสบมา ฉู่เฮิ่นเทียนก็หัวใจหดรัด ทว่ากลับไม่อาจเอ่ยอะไรได้ ทำได้แค่นิ่งเงียบ

“ท่านทำได้อย่างไร ทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร?!” ความไม่พอใจทั้งหมดปะทุออกมาในยามนี้ โม่เอ๋อร์ตะโกนเสียงแหบออกมาเบื้องหน้าเขา มือขวาโบกออกไปโดยพลัน เขากันเอาไว้ได้ คล้ายคาดเดาไว้ล่วงหน้า นางไม่ยอม มือซ้ายเพิ่งปล่อยหมัดออกไป แต่กลับถูกเขารับเอาไว้อีกครั้ง นางเตะขาอีกก็ถูกเขาหลบพ้น พอถองศอกใส่เขาก็หดเอวไปก่อน

นางโจมตีเขาไม่หยุดยั้ง แต่ถูกเขาสกัดกั้นไปจนหมด จนกระทั่งสองมือของเขาจับมือนางที่ซัดกระบวนท่าออกมา

“ปล่อยข้า!” นางกรีดร้อง เท้าถีบไปที่เป้ากางเกงเขา

ฉู่เฮิ่นเทียนขมวดคิ้ว นิ้วมือหนึ่งจี้ลงบนจุดชีพจรที่เอวนาง นางพลันขาอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้นทั้งตัว เขาโอบรับนางแล้วอุ้มขึ้นมาบนขา

“ท่านปล่อยมือ! ปล่อยมือ!” นางตะโกนใส่เขา ร่างครึ่งบนที่ยังขยับได้อยู่ดิ้นรนไม่หยุด ในดวงตาล้วนเต็มไปด้วยเพลิงโกรธ “ฉู่เฮิ่นเทียน ข้าเกลียดท่าน! ข้าเกลียดท่าน…”

เขาพลันหน้าตึง แต่ยังคงจับกุมมือนางไว้แน่น

เห็นเขาไม่ยอมปล่อย โม่เอ๋อร์ก็พุ่งเข้าไปกัดคอเขาโดยพลันราวกับเสียสติไปแล้ว…

เขาไม่ขยับ ปล่อยให้นางกัด

นางออกแรงอย่างหนัก ออกแรงจนฟันนางฝังลึกเข้าไปในเนื้อเขา

เลือดไหลออกมาแล้ว ไหลเข้ามาในปากนาง นางได้รสเลือด นางรู้ว่าเขาเจ็บมาก นางรู้ว่าความจริงเขาสามารถหลบได้ นางรู้ว่าความจริงเขาไม่ให้นางกัดก็ได้ แต่เขาไม่ได้ทำ ปล่อยให้นางกัด

นางอยากกัดให้แรง แต่ฟันกลับไม่สามารถออกแรงหนักๆ ได้ ดวงตาที่แห้งเหือดมานานไม่รู้ว่ามีน้ำตามารวมกันตั้งแต่เมื่อไร นางปิดตาลง น้ำตาร้อนก็กลิ้งออกมาจากหางตา นางอ้าปากร้องไห้ออกมาแล้ว

โม่เอ๋อร์ซุกหน้าลงกับซอกคอเขา ร้องไห้เสียงดังอย่างหนัก

เป็นครั้งแรกตลอดหลายปีนี้ ในที่สุดนางก็ร้องไห้ออกมาแล้ว มีน้ำตา มีเสียงร่ำไห้ ปล่อยความทุกข์ทน ความเจ็บปวด ไม่ยินยอม ความโกรธเกลียดทั้งหมดออกมากับน้ำตา…

เสียงของนางแหบพร่า ร่างผอมเล็กของนางสั่นสะท้าน น้ำตาของนางเปียกซึมไหล่เขา นางร้องไห้เสียงดังประหนึ่งต้องการนำส่วนของหลายปีมานี้ร้องออกมาให้หมดสิ้นในคราเดียว

ฉู่เฮิ่นเทียนปล่อยมือนางแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอวนางแทน โอบกอดนาง ปล่อยให้นางร้องไห้

หัวใจเจ็บปวดยิ่งนัก ทั้งเจ็บปวดและโล่งใจ เขารอมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็รอจนนางมาปลดปล่อยในอกเขา ระบายทุกสิ่งออกมาจนหมดสิ้น…

 

เขาปวดใจแทนนาง ตอนนั้นนางยังเด็กถึงเพียงนั้น แต่กลับต้องมาพบเจอการเปลี่ยนแปลงของตระกูลที่น่าอนาถอย่างถึงที่สุด มิน่านางถึงฝันร้ายทุกค่ำคืน มิน่านางถึงมักปฏิเสธผู้คน มิน่านางถึงได้ฝึกกระบี่เอาเป็นเอาตายขนาดนั้น!

นางร้องไห้เหนื่อยจนหลับไปแล้ว

มองดูใบหน้าที่ยังมีน้ำตาบนเตียง เขาปวดใจอย่างที่สุด

นางอ่อนวัยถึงเพียงนี้ ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เข้มแข็งถึงเพียงนี้

หลังจากนางกลายเป็นสตรีของเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นรางเลือนไม่ชัดเจน สองสามปีมานี้เขายิ่งว้าวุ่นและกรุ่นโกรธได้ง่ายขึ้นทุกที นางก่อกวนความรู้สึกของเขา และเขาไม่รู้จะจัดการกับนางอย่างไรดี

จนกระทั่งยอมรับว่านางมีความสำคัญต่อเขา จนกระทั่งครั้งนี้เขาพบว่าตนไม่สามารถไม่สนใจนาง จนกระทั่งเขาหาสาเหตุของทุกเรื่องพบในที่สุด เขาถึงได้รู้ว่าตนควรทำอะไร

ที่น่าประหลาดก็คือหลังจากยอมรับเรื่องนี้แล้ว ความเยือกเย็นและมั่นใจในตัวเองอย่างที่คุ้นเคยของเขาก็คืนกลับมาเช่นกัน คล้ายปัดเป่าหมอกหนาบนทะเลและหาหนทางที่ถูกต้องพบแล้ว

เขายังคงกุมมือนาง บีบคลึงนิ้วมือเล็กเรียวในฝ่ามืออย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงรอยด้านบนนิ้วนาง บริเวณง่ามนิ้วโป้งของนาง รอยด้านหยาบแข็งนั้นประหนึ่งเป็นเสียงร้องในใจของนาง ความดื้อรั้นของนาง เสียงตะโกนของนาง ตะโกนว่านางต้องแก้แค้น…

เขาชิงชังรอยด้านบนมือนาง เพราะนั่นก็เหมือนกับตราบาปของเขา

เขาขึ้นเตียงดึงนางเข้ามากอด ประทับจุมพิตบนหน้าผากนาง สาบานว่าจะไม่ให้ความทรงจำพวกนั้นมีโอกาสเพิ่มพูนขึ้นอีกเด็ดขาด เขาจะทำให้นางมีมือเล็กที่อ่อนนุ่มอีกครั้ง เขาจะช่วยปลดปล่อยนางจากฝันร้ายอันยาวนานนั้น

เพียงแต่ว่าทุกอย่างต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นถึงจะได้ เขาจะสอนทุกสิ่งที่ควรรู้กับนางอีกครั้ง

ในดวงตาฉู่เฮิ่นเทียนมีประกายหนาวเยือกวาบผ่าน…ครั้งนี้สิ่งที่เขาจะสอนไม่ใช่วิชากระบี่ แต่เป็นวิธีเอาชนะโดยอาวุธไม่เปื้อนเลือด!

ยามโม่เอ๋อร์ตื่น เขาก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว

นางควรเกลียดเขา…นางลุกนั่งบนเตียง อยากบอกตัวเองให้เกลียดเขา แต่นางจนปัญญา เพราะแม้เขาจะทำลายโอกาสล้างแค้นของนาง ถึงขนาดช่วยศัตรูของนาง แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ช่วยนางไว้ด้วย

แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น นางรู้ดี เขามาเพื่อนาง…ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไม่ให้นางแก้แค้นก็ตาม

เครื่องประทินโฉมบนหน้าถูกน้ำตาซึ่งไหลพรากเมื่อคืนนี้ทำเอาลายพร้อยแล้ว มองดูสีชาดที่เปื้อนบนมือ นางรู้ว่าใบหน้าตนในยามนี้จะต้องน่ากลัวเป็นอย่างมากแน่

โม่เอ๋อร์ก้าวลงจากเตียง ในสมองว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด สิ่งเดียวที่รู้คือการแก้แค้นของนางล้มเหลวแล้ว และนางร้องไห้จนชะล้างเครื่องประทินโฉมเป็นทาง นางต้องล้างหน้าลายพร้อยนี้ให้สะอาด

ในห้องไม่มีอ่างน้ำ ดังนั้นนางจึงเดินออกไปด้านนอก เดินตามเสียงน้ำไปและหาบ่อน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลพบ มันหาไม่ยาก เพราะเสียงน้ำดังมาก

ที่นางคาดไม่ถึงก็คือเขากำลังเปลือยกายอาบน้ำอยู่ในบ่อน้ำตก

น้ำตกที่ไหลร่วงลงบ่อกระเซ็นเป็นวงกว้าง เขาหันหลังให้นาง ยืนอยู่ในบ่อน้ำที่สูงเพียงเอวของเขา เส้นผมที่ทั้งดำทั้งตรงของเขาเปียกไปนานแล้ว แผ่สยายเหยียดตรงอยู่บนหลังเขา หยดน้ำบนผมและบนร่างสะท้อนแสงยามอรุณรุ่งวิบวับ

นางชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว กลั้นหายใจมองเขาอยู่ใต้ต้นไม้อย่างนิ่งสงบ

แผ่นหลังแข็งแกร่งสูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยแผลเป็นเล็กใหญ่ รอยแผลซีดจางพวกนั้นเมื่อมาอยู่บนผิวคล้ำเข้มของเขาแล้วดูสะดุดตาเป็นพิเศษ ผิวเขาดำมาก ไม่เหมือนกับนางสักนิด เพราะทุกครั้งที่นางตากแดดนานๆ ก็จะเริ่มผิวลอก หลังจากทนความเจ็บปวดสองสามวันก็จะขึ้นชั้นผิวขาวกระจ่างใหม่

จู่ๆ นางก็นึกถึงฤดูร้อนในปีที่นางกลายเป็นสตรีของเขา นางตากแดดจนผิวไหม้ เจ็บจนไม่สามารถให้เขาสัมผัสได้ ต่อให้เป็นการสัมผัสเบาๆ ก็ยังทำให้นางเจ็บจนทนไม่ไหว เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก…

‘เป็นอะไร’ ในห้องโดยสารที่แสงไม่เพียงพอ ยามฉู่เฮิ่นเทียนพบว่าโม่เอ๋อร์เลี่ยงสัมผัสของเขาก็เลิกคิ้วขึ้นมา

นางส่ายหน้า

เขายื่นมือไปจับแขนนางอีก ดึงนางมาหน้าเตียง ครั้งนี้นางไม่หลบ ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏความเจ็บปวด

ฉู่เฮิ่นเทียนงุนงง เขาไม่ได้ออกแรงมากมาย นางกลับคล้ายถูกเขาจับจนปวด เขาก้มมองดูตามจิตใต้สำนึกถึงเพิ่งเห็นว่ามือนางแดงจนน่าตกใจ

‘เกิดอะไรขึ้น?!’ เขาตกตะลึง เงยหน้ามองนาง ครั้งนี้ถึงมองเห็นได้ชัดผ่านตะเกียงน้ำมันว่าใบหน้านางก็แดงอย่างเด่นชัดเช่นกัน เขายื่นมือออกไปจะแตะใบหน้า นางกลับหลบออกตามสัญชาตญาณ

‘เกิดอะไรขึ้นกับหน้าเจ้า’ เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด รู้ว่านางจะเจ็บถึงได้เก็บมือกลับมา

นางก้มหน้างุด

‘สมควรตาย เจ้าผิวไหม้หรือ’ เขาสังเกตผิวแดงของนางอีกครั้ง หลุดเสียงด่าไม่พอใจออกมาแล้วพลันลุกขึ้นเปิดประตูห้อง ตะโกนอยู่บนทางเดินประโยคหนึ่ง ‘หลันเซิง!’

ไม่ทันไรหลันเซิงก็ค่อยๆ เปิดประตูอีกบานหนึ่งออกมา ‘เกิดอะไรขึ้น’

‘เอายาทาผิวไหม้ออกมา!’ เขาตะคอกจบก็เดินกลับเข้ามาข้างเตียง

หลันเซิงกลับเข้าไปในห้อง ครู่เดียวก็นำยามาที่ห้องของลูกพี่คล้ายกับว่าเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เขาเดินตรงไปข้างโม่เอ๋อร์ มองดูระดับที่ถูกแดดเผาของนาง จากนั้นก็เปิดตลับยาขี้ผึ้งออกเตรียมทายาให้นาง

‘เจ้าทำอะไร?!’ เสียงตะคอกดังขึ้น หลันเซิงพบว่ามือของตนไม่ได้แตะโดนโม่เอ๋อร์ แต่กลับถูกลูกพี่คว้าไว้

‘ทายาให้นาง’ เขาตอบอย่างจริงจัง เมินสายตาเดือดจัดคู่นั้นของอีกฝ่าย

ฉู่เฮิ่นเทียนแย่งตลับยามาจากมือเขา เอ่ยเสียงเย็น

‘นางจะทาเอง’

‘ลูกพี่ ทุกปีโม่เอ๋อร์จะถูกแดดเผา ตอนนี้แค่เสื้อผ้าบนร่างเสียดสีก็ทำให้นางเจ็บแล้ว ไม่มีปัญญายื่นมือทาบริเวณที่ถูกแดดเผาด้านหลังหรอก’ หลันเซิงเพียงยืนนิ่งเอ่ยปากอยู่กับที่ ‘นางต้องให้คนอื่นช่วย’

ทุกปี? เหตุใดข้าไม่รู้ เพราะข้าไม่เคยสังเกตมาก่อนหรือ

ฉู่เฮิ่นเทียนถามเองตอบเองในใจอย่างหงุดหงิด เขามองดูใบหน้างามของหลันเซิง จู่ๆ ก็พลันเข้าใจขึ้นมา เจ้าหมอนี่ล้วนช่วยโม่เอ๋อร์จัดการส่วนที่ถูกแดดเผาทุกปี จู่ๆ ในใจเขาก็เกิดความคิดอยากถีบอีกฝ่ายลงจากเรืออย่างไม่รู้สาเหตุ!

‘ออกไป’

‘ลูกพี่…’ หลันเซิงมุ่นคิ้ว มองโม่เอ๋อร์ที่นิ่งเงียบอยู่อีกด้านอย่างเป็นกังวล

‘ข้าจะช่วยนางเอง!’ ฉู่เฮิ่นเทียนสีหน้ากรุ่นโกรธ ก้าวสวบเข้าไปขวางสายตาที่หลันเซิงมองโม่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

หลันเซิงนิ่งเงียบ จนกระทั่งสีหน้าฉู่เฮิ่นเทียนแย่ลงเรื่อยๆ เขาถึงถอยออกไปก้าวหนึ่ง เอ่ยเสียงอ่อนโยน

‘เอาเถอะ แต่จำไว้ว่าต้องระวังหน่อย อย่าออกแรงมากเกินไป เลี่ยงไม่ให้ดึงผิวนางลอกออกมาหมดทั้งตัว’

ฉู่เฮิ่นเทียนตอบกลับมาด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม หลันเซิงคล้ายมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น เพียงเดินกลับไปที่ห้องตัวเองอย่างเชื่องช้า

โม่เอ๋อร์จำได้ ภายหลังเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขายอมช่วยนางทายา นางรู้สึกได้ถึงการทะนุถนอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายอมฟังคำพูดหลันเซิงเลย มือใหญ่ของเขาอ่อนโยนจนเหมือนขนนก นางแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

หลายวันนั้นเขาปฏิบัติต่อนางอย่างระมัดระวังตลอด จนกระทั่งผิวไหม้ของนางหายดีหมดแล้วจึงสิ้นสุดลง

ดูเหมือนว่านับตั้งแต่นั้นโอกาสที่นางจะผิวไหม้ก็น้อยลงด้วย…

โม่เอ๋อร์ขมวดคิ้วฉับ ค้นพบกะทันหัน ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนนางไม่เคยถูกแดดเผาเลย นางพลันอึ้งงันไป ทบทวนความทรงจำอย่างละเอียด ถึงค่อยแน่ใจว่าหลังจากนั้นนางไม่เคยถูกแดดเผาอีกเลยจริงๆ ดังนั้นโอกาสที่จะผิวไหม้จึงคล้าย…หายไปในฉับพลัน

จู่ๆ นางก็นึกได้ว่าในวันที่แสงแดดแรงกล้า งานที่นางได้รับมอบหมายเหมือนจะไม่ได้อยู่บนดาดฟ้าเรือเลย ในยามกลางวันนางมักจะถูกเรียกไปอยู่ในห้องโดยสาร

โม่เอ๋อร์อึ้งงันไปแล้ว มองดูชายหนุ่มในบ่อน้ำตรงหน้า ในดวงตามีแววสับสนและสงสัย

เป็นไปได้หรือ เขาจะเป็นเหมือนอย่างที่นางคิดจริงๆ จงใจปิดโอกาสที่นางจะถูกแดดเผา?

ก่อนหน้านี้นางนึกว่าจะมากจะน้อยตนก็เข้าใจดี เข้าใจว่าในใจชายผู้นี้กำลังคิดอะไร แต่ว่าหลังจากผ่านช่วงเวลาหลายวันมานี้กับความทรงจำเมื่อครู่ นางพลันเริ่มสงสัยว่าตนเองไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด…

ทันใดนั้นเขาก็หมุนตัวมาและมองเห็นนางแล้ว

โม่เอ๋อร์หน้าแดงอย่างไม่รู้สาเหตุ นางไม่รู้ว่าเหตุใดป่านนี้แล้วนางถึงยังหน้าแดง นางกับชายตรงหน้ามีสัมพันธ์ชิดใกล้กันมานับครั้งไม่ถ้วน นางถึงขนาดลูบไล้กล้ามเนื้อทุกส่วนสัด ทุกรอยแผลเป็นบนร่างเขา แต่ว่ายามนี้ ยามนางมองเห็นเขาเปลือยอกจ้องนาง นางก็ยังหน้าแดงอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

เขาคล้ายไม่สะทกสะท้าน เผยเรือนกายผึ่งผายของตนออกมาภายใต้แสงอาทิตย์ทั้งอย่างนี้

โม่เอ๋อร์ไม่อาจไม่มองเขา ร่างกายของเขาไม่เหมือนชายแก่อายุสามสิบกว่าสักนิด ชีวิตที่อยู่ในทะเลมานานกับการต่อสู้สังหารอย่างยากเย็นมีแต่จะทำให้กล้ามเนื้อบนร่างเขายิ่งกำยำแข็งแกร่ง ไม่แพ้ให้พวกเด็กหนุ่มอายุยี่สิบเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งปลายเท้าสัมผัสน้ำเย็น นางถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองมาถึงข้างบ่อแล้ว นางตะลึงไปเล็กน้อย สีแดงบนหน้ายิ่งเข้มขึ้น นางอดชะงักเท้าไม่ได้ ก้มหน้าลงมองรองเท้าปักสีแดงที่เปียกน้ำ

คลื่นน้ำม้วนเคลื่อน โม่เอ๋อร์มองดูเงาสะท้อนรางๆ ของตน ครู่ต่อมาเขาก็มาถึงตรงหน้าแล้วยื่นมือเชยคางนางขึ้น สังเกตใบหน้านางครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ย

“แป้งชาดเลอะหมดแล้ว ล้างมันออกซะ”

สิ่งที่มองเห็นในพริบตาเมื่อครู่ยิ่งทำให้นางหน้าแดงกว่าเดิม นางเบี่ยงหน้าออกอย่างขัดเขิน ออกจากการจับกุมของเขา สายตาไม่กล้ามองต่ำลง ได้แต่เบี่ยงตัวไปด้านข้างเงียบๆ คุกเข่าลงวักน้ำล้างเครื่องประทินโฉมเลอะๆ บนหน้า

ฉู่เฮิ่นเทียนมองท่าทางไม่เป็นตัวเองของนางอย่างนึกขำ สองมือกอดอก เลิกคิ้วกล่าว

“เป็นอะไร ไม่เคยเห็นหรือ”

โม่เอ๋อร์ที่ก้มหน้าลงในน้ำได้ยินก็แทบสำลัก ภายใต้ความลนลาน นางรีบปล่อยมือออกให้น้ำไหลกลับไป จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าเล็กเปียกชุ่มขึ้น ลุกขึ้นถลึงตาใส่เขาโดยจงใจหลบเลี่ยงร่างกายท่อนล่างของอีกฝ่าย

นางนอนกับเขามาห้าปีแล้ว จะไม่เคยเห็นได้อย่างไร!

เขาไม่รู้สึกผิดสักนิด กลับเลิกคิ้วสูงขึ้นกว่าเดิม เอ่ยอย่างคิดเอาเอง

“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เขินอายแล้ว”

นางขึงตาใส่ใบหน้าถือดีของเขาอย่างฮึดฮัด ไม่ชอบให้เขาเอาเรื่องนี้มายั่วเย้านาง

มีใครกำหนดไว้ว่าเคยเห็นหลายครั้งแล้วก็จะไม่หน้าแดง? ต่อให้นางเปลี่ยนเป็นยายแก่ มองเห็นบุรุษที่ทั้งรูปงามทั้งองอาจเปลือยกายภายใต้แสงอาทิตย์ก็ยังจะหน้าแดงดังเดิม ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ปกปิด ท่าทางราวกับทนรอให้นางมองจนหมดสิ้นไม่ไหว

ฉู่เฮิ่นเทียนมองความไม่พอใจของนางออก แต่อารมณ์ของเขามิได้ขุ่นมัวเพราะเรื่องนี้ กลับเป็นไม่พอใจความอมพะนำของนาง เขานึกว่าหลังจากผ่านหลายวันมานี้ นางจะไม่ทำเป็นคนใบ้กับเขาอีก

เขาไม่ชอบให้นางนิ่งเงียบ เขาชอบฟังนางพูด ชอบฟังเสียงของนาง เพราะแบบนี้เขาจึงจะไม่ต้องคาดเดาความหมายของนาง ไม่ต้องรู้สึกไม่เป็นสุขเพราะนาง เขากอดเอวนางดึงเข้ามาเบื้องหน้า หรี่ตาลงเอ่ยปาก

“พูดกับข้า”

โม่เอ๋อร์ผินหน้ามาเล็กน้อย มองเขาอย่างแปลกใจ ยังคงเงียบไม่เอ่ยคำ

ฉู่เฮิ่นเทียนขมวดคิ้วแล้วรัดเอวนางแน่นขึ้น จนกระทั่งทั้งตัวนางแนบชิดกับร่างเขา จ้องมองนัยน์ตาดำของนางตรงๆ อย่างไม่พอใจ สำทับอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ

“พูดกับข้า!”

โม่เอ๋อร์สูดหายใจเฮือกหนึ่งเพราะถูกเขาทำเจ็บ แต่ก็ยังคงดื้อไม่ยอมเอ่ยปาก นางไม่ชอบเสียงตัวเอง เมื่อคืนเป็นเพราะโกรธเกินไปถึงได้พูดเยอะแยะถึงเพียงนั้น

ฉู่เฮิ่นเทียนประคองสะโพกของนางแล้วยกขึ้น จนกระทั่งนางกับเขาสูงเท่ากันแล้ว ถึงได้ใช้หน้าผากของตนกดหน้าผากของนางอย่างหงุดหงิด แต่นางยังคงขมวดคิ้วงาม ปิดปากแน่นสนิท

ในดวงตาเขามีแววกรุ่นโกรธ…นางนึกว่าเขาจะสั่งซ้ำอีกครั้งอย่างถือตนเป็นใหญ่ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากทั้งสองต่างไม่ยอมกันอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธในดวงตาเขากลับถดถอยลง เพิ่มอารมณ์พ่ายแพ้และยากอธิบายขึ้นมาไม่น้อย

“พูดกับข้า” เขาใช้ปลายจมูกโด่งของตนเสียดสีอย่างอ่อนโยนกับจมูกนางด้วยความกลัดกลุ้ม ครั้งนี้ไม่ใช่การออกคำสั่งอย่างถือตนเป็นใหญ่อีก แต่เป็นการร้องขอด้วยเสียงอ่อนโยน

เขาอ่อนลงแล้ว?

คนที่แข็งกร้าวคนนั้น? ราชาโจรสลัดคนนั้น? ฉู่เฮิ่นเทียนที่แต่ไรมาไม่ก้มหัวให้ใครคนนั้น?!

โม่เอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ แต่ชายตรงหน้าอ่อนลงแล้วจริงๆ

นางเบิกตาโตมองชายตรงหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อ แต่คนผู้นี้เป็นเขาจริงๆ เป็นชายผู้เย่อหยิ่งถือตนเป็นใหญ่ ทั้งยังเลือดเย็นไร้ความรู้สึกคนนั้นที่นางรู้จักมาสิบกว่าปี!

“พูด…อะไร” อาจเพราะตกใจเกินไป ยามนางได้ยินเสียงแหบพร่าของตนถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเอ่ยปากแล้ว

เมื่อได้ยินเขาก็ถอนหายใจ มุมปากยกโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ เอ่ยเสียงเบา

“อะไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าอยากฟังเจ้าพูด”

เขากำลังยิ้มหรือ

โม่เอ๋อร์สะท้านไหวกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ยากจะได้เห็นนั้น ยื่นมือออกไปแตะมุมปากหยักโค้งของเขากับส่วนที่บุ๋มลงไปบนแก้มเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

“นี่คือลักยิ้มหรือ”

รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น จูบริมฝีปากสีอ่อนของนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยตอบ

“ข้าคิดว่าใช่นะ”

นางรู้จักเขามานานถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเขามีลักยิ้ม…

โม่เอ๋อร์มองรอยยิ้มของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาด ความรู้สึกแปลกหน้านั้นมาอีกแล้ว นางรู้จักบุรุษตรงหน้านี้จริงๆ หรือ

มือของนางยังคงทาบอยู่บนใบหน้าเขา ทั้งตัวนางยังถูกเขากอด ชายตรงหน้าดูแล้วทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคย นางเพียงรู้สึก…ประหลาดอย่างยิ่ง…

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

 

หน้าที่แล้ว1 of 34

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: