X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทที่ 10.5-10.6

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 10.5 สายลมเย็นที่เฮาหลี่

ปลายฤดูใบไม้ร่วง การสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วงก็ใกล้จะสิ้นสุดลง

วันสุดท้ายของการสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้ามีฝนตกปรอยๆ พื้นดินเดี๋ยวแห้งเดี๋ยวเปียก

หยางหวั่นถือร่มด้วยตนเอง ส่งองค์ชายอี้หลางไปเรียนหนังสือที่ตำหนักเหวินหวา

หลังจากองค์ชายอี้หลางเข้าไปข้างในแล้ว หยางหวั่นยังไม่ได้กลับไป แต่ไปยืนอยู่ตรงระเบียงมองม่านฝนที่นอกตำหนักเงียบๆ

ไม่นานนักหยางจิงก็เดินออกมาจากในตำหนักและทำความเคารพหยางหวั่น

หยางหวั่นหันกายมา “วันนี้ไม่เข้าเวรอยู่กับองค์ชายหรือ”

“ขอรับ เหตุใดพี่หญิงยังไม่กลับไป”

หยางหวั่นมองเข้าไปข้างในตำหนักคราหนึ่ง “ถึงอย่างไรที่ตำหนักเฉิงเฉียนก็ไม่มีเรื่องอะไร ข้าจึงอยู่รอองค์ชายเลิกเรียน”

หยางจิงบอกว่า “พี่หญิงหนาวหรือไม่ ข้าจะไปเอาเสื้อมาให้ท่านสักตัว”

“ไม่ต้อง ข้าไม่หนาว” นางพูดพลางเงยหน้ามองไปที่หยางจิง

หยางจิงกับหยางหลุนรูปโฉมไม่เหมือนกัน หยางหลุนรูปร่างสูงใหญ่ หยางจิงกลับรูปร่างผอมบางขาวผ่องหมดจด ท่วงทีเคร่งขรึมคล้ายเติ้งอิงอยู่ส่วนหนึ่ง

“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าถูกรองราชเลขาธิการจางด่าว่าติดต่อกันอยู่หลายวัน” นางใช้น้ำเสียงเช่นคนในครอบครัวเปิดประเด็นสนทนาขึ้นมา

“ขอรับ” หยางจิงก้มหน้า “เป็นเพราะข้ารุกถอยไม่มีขอบเขต ทำให้รองราชเลขาธิการจางไม่พอใจ โชคดีที่มีองค์ชายช่วยพูดขอร้อง”

หยางหวั่นบอกว่า “พูดถึงสาเหตุกับข้าได้หรือไม่”

หยางจิงพยักหน้า “หนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ฉบับฝ่ายในคิดว่าพี่หญิงคงเคยอ่านแล้ว”

ฉบับฝ่ายในที่เขาพูดคือฉบับที่พิมพ์จากแม่พิมพ์ของราชวงศ์ ผ่านการพิมพ์ซ้ำโดยการแกะแม่พิมพ์ของโรงพิมพ์พระคัมภีร์ เรียกว่าเป็นหนังสือของทางการ

หยางหวั่นไม่ได้ขัดจังหวะเขา พิงอยู่หน้าเสาสูงพลางฟังเขาพูดต่อไปอย่างจริงจัง

หยางจิงถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ…

“หลังพระชายาประชวรได้ไม่นาน เดิมทีข้าไม่อยากหยิบพู่กันเขียนหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นจึงบอกปัดรองราชเลขาธิการจางไปหลายครั้ง หวังว่าสำนักศึกษาหลวงหรือกองอาลักษณ์จะรับงานนี้ไปแทน สุดท้ายก็ถูกรองราชเลขาธิการจางด่าว่า ข้าจึงต้องเขียน แต่ตัวอักษรที่เขียนออกมาหาได้ออกมาจากใจข้า ถ้อยคำสำนวนดูจงใจไม่ลื่นไหล แม้จะส่งไปพิมพ์ที่โรงพิมพ์พระคัมภีร์แล้ว แต่ยังคงทำให้รองราชเลขาธิการจางไม่พอใจ”

หยางหวั่นตบบ่าเขา “เจ้าใส่ใจมากหรือ”

“ขอรับ” หยางจิงถอนหายใจอีกครั้ง “นี่เป็นหนังสือที่ทางการจัดพิมพ์ รองราชเลขาธิการจางให้ข้าเขียน ความจริงแล้วนับว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติ แต่ในใจข้ารู้สึกไม่สงบ…” เขาพูดแล้วเม้มปากอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายออก “ทั้งผิดต่อพี่สาวของตนและผิดต่อการประพันธ์”

หยางหวั่นฟังเขาพูดจบก็ยิ้มบางๆ “อายุยังน้อยก็ใคร่ครวญมากเพียงนี้”

หยางจิงบอกว่า “พี่หญิง ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว”

“ได้ ไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ถ้า…เจ้าต้องได้รับความลำบากเพราะหนังสือเล่มนี้…”

หยางจิงงงงัน “พี่หญิงหมายความว่าอย่างไร”

เขาเพิ่งกล่าวคำพูดนี้จบก็เห็นขันทีรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งขึ้นมาจากบันได “สหายร่วมเรียนหยาง คนขององครักษ์เสื้อแพรมีบางอย่างจะถามท่าน”

หยางจิงกับหยางหวั่นต่างก้มหน้ามองไปที่ด้านล่างของหน้ามุข

จางลั่วสวมชุดปกติสีดำ พาองครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนมาด้วย ยืนอยู่ห่างจากถนนในวังราวสิบก้าว

ตำหนักเหวินหวาเป็นสถานที่เล่าเรียนขององค์ชาย ถึงจะเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ถ้าไม่มีพระบัญชาจากฮ่องเต้ก็ไม่อาจบุกเข้ามาล่วงละเมิดสถานที่ต้องห้าม

“เป็นผีร้ายพวกนี้อีกแล้ว”

หยางจิงพูดพลางประสานมือให้หยางหวั่น “พี่หญิงโปรดรอ ข้าไปสักครู่แล้วจะกลับมา”

พูดจบก็ยกชายเสื้อเดินลงบันได หยางหวั่นรีบเอาร่มให้เขาแล้วเดินตามไป “เอาร่มไปด้วย อย่าถูกฝน”

จางลั่วเห็นหยางหวั่นก็ไม่แม้แต่จะมอง เพียงพูดกับเซี่ยวเว่ยที่อยู่ด้านหลังว่า “พาตัวหยางจิงไป”

“ช้าก่อน”

จางลั่วหันมาเผชิญหน้ากับหยางหวั่น “ถ้าเจ้าพูดมากแม้แต่คำเดียว ข้าก็จะเอาตัวเจ้าไปด้วย”

หยางหวั่นเดินเข้าไปใกล้จางลั่วหลายก้าว “ท่านจะพาน้องชายข้าไป แค่ถามข้าก็ยังถามไม่ได้หรือ”

จางลั่วยกมือขึ้นโบก เซี่ยวเว่ยสองคนก็เข้าไปจับแขนซ้ายขวาของหยางจิงทันที

“พวกเจ้าพาเขาไป ยังไม่ต้องไต่สวน รอข้ากลับไปก่อน”

“ขอรับ”

“ช้าก่อน” หยางจิงดิ้นหลุดจากมือองครักษ์เสื้อแพร “ข้าเอาร่มทิ้งไว้ให้พี่สาวข้าก่อน ข้าเดินไปเองได้”

เขาพูดจบก็ส่งร่มให้หยางหวั่น

หยางหวั่นรับร่มมาแล้วกล่าวกับหยางจิงเสียงเบา “พูดไปตามความเป็นจริงก็พอ ไม่ต้องกลัว”

จางลั่วรอหยางจิงไปแล้วจึงแสดงท่าทีให้ทุกคนถอยไปด้านหลัง จากนั้นก็ก้มหน้ามองหยางหวั่น

“อยากถามอะไรก็ถามมาตอนนี้เสีย”

หยางหวั่นยิ้ม “ข้าโกหกท่าน”

“อะไรนะ”

“ข้าไม่ได้อยากถามอะไร ข้ารู้กระทั่งว่าเพราะเหตุใดท่านถึงต้องพาน้องชายข้าไป”

“เจ้าพูดอะไร”

หยางหวั่นเงยหน้า “เถ้าแก่ร้านชิงปอก่วนเคยไปหาท่านที่กองเจิ้นฝู่เหนือใช่หรือไม่”

จางลั่วตกตะลึง จากนั้นก็บีบข้อมือหยางหวั่น “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

หยางหวั่นเจ็บจนเสียงสั่น แต่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว “เพราะข้าอยากให้ท่านตรวจสอบคดีที่อยู่ในมือท่านคดีนี้ให้ดี”

“เป็นเจ้าที่สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ร้านชิงปอก่วน”

“ใช่”

“จับตัวนางไว้”

เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้าเฉยเมย เซี่ยวเว่ยหลายคนก้าวเข้ามาทันที กดหัวไหล่หยางหวั่นให้นางคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่หัวเข่ากระแทกถูกพื้น นางก็เจ็บจนแทบร้องออกมา แต่นางไม่ได้ดิ้นรน เพียงหัวเราะออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองตาจางลั่ว

“ท่านคิดจะใช้ทัณฑ์ทรมานกับข้าอีกครั้งหรือ ด้วยสาเหตุอะไร สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพร จากนั้นเล่า ข้าฉกฉวยเงินทองหรือวางยาพิษเอาชีวิตผู้คนกัน ท่านจะตัดสินโทษข้าอย่างไร แล้วท่านมีพยานหรือไม่”

จางลั่วตัดบทหยางหวั่น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ไม่ทำอะไร” หยางหวั่นตอบเสียงเรียบ “แค่ให้ท่านทำเรื่องที่ท่านอยากทำ ใต้เท้าจาง ในมือท่านตอนนี้คงจะมี ‘คำนิยม’ ที่พี่สาวข้าเขียนแล้วกระมัง และคงจะทูลฝ่าบาทแล้ว จากนี้ก็เพียงตรวจสอบไปตามคำนิยมนี้ ใต้เท้าจาง ข้าจดจำมาโดยตลอด ท่านเคยบอกข้าว่าท่านจะไม่ปล่อยให้ฝ่าบาทถูกปิดบังอำพรางใดๆ ท่านจะต้องตรวจสอบจนถึงที่สุด ข้าหวังว่าเมื่อความจริงปรากฏ ใต้เท้าจะยังคงปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกับที่ท่านปฏิบัติต่อข้าในตอนนั้น”

จางลั่วกล่าวเสียงเยียบเย็น “อาศัยคำพูดเหล่านี้ของเจ้า ข้าก็สามารถเริ่มตรวจสอบจากเจ้าได้”

หยางหวั่นส่ายหน้า ยิ้มพลางบอกว่า “เมื่อก่อนข้าเป็นนางข้าหลวงของกองงานพิธีการ ท่านจะเอาตัวข้าไปไม่จำเป็นต้องแจ้งใคร แต่บัดนี้แม้ข้าจะยังคงเป็นบ่าว ทว่าแบกรับหน้าที่ปรนนิบัติดูแลองค์ชาย จัดการงานการในตำหนัก ก่อนท่านจะพาตัวข้าไปจำเป็นต้องทูลขอพระบัญชาจากฝ่าบาท จับตัวข้าไปคุมขังโดยไม่มีหลักฐาน ท่านเอาองค์ชายไปวางไว้ที่ใด”

นางกล่าวคำนี้จบพลันมีเสียงองค์ชายอี้หลางดังขึ้นมาจากบนหน้ามุข

“ผู้กำกับการจาง”

จางลั่วเงยหน้าขึ้น องค์ชายอี้หลางยืนจับราวกั้นอยู่ด้านข้างของหน้ามุข เขาไม่ได้เดินลงมา เพียงก้มหน้าลงกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ด้านล่างจากที่สูง สุดท้ายก็หยุดสายตาอยู่ที่ร่างจางลั่ว

“เพราะเหตุใดถึงปฏิบัติต่อท่านน้าของข้าเช่นนี้”

จางลั่วทำความเคารพและกำลังจะรายงาน แต่กลับได้ยินองค์ชายอี้หลางกล่าวขึ้นอีก

“ท่านเห็นข้าอายุยังน้อย ท่านน้าก็อ่อนแอ จึงกระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้ที่หน้าตำหนักเหวินหวาใช่หรือไม่”

จางลั่วฟังคำพูดประโยคนี้จบก็คุกเข่าลงแล้วบอกว่า “กระหม่อมมิกล้า”

“ท่านไม่กล้าก็ปล่อยท่านน้าของข้า หาไม่ข้าจะทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษท่านในความผิดฐานสร้างความวุ่นวายที่ตำหนักเหวินหวา”

จางลั่วไม่อาจลุกขึ้น ได้แต่ยกมือแสดงท่าทีให้คนที่อยู่ด้านหลังถอยออกไป

หยางหวั่นยันพื้นลุกขึ้นมา เงยหน้ามองไปที่องค์ชายอี้หลาง

สีหน้าองค์ชายอี้หลางไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด “ท่านน้ามาหาข้า” เขาพูดจบก็ชี้ไปที่จางลั่วแล้วบอกว่า “ก่อนที่ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อ ท่านไม่อาจลุกขึ้น”

จางลั่วคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ได้เอ่ยตอบ

องค์ชายอี้หลางมองเขาแล้วกล่าวเสริมอีก “เสด็จพ่อก่อตั้งกองเจิ้นฝู่เหนือเพื่อสยบคนที่กระทำความผิด ท่านทำเช่นนี้กับท่านน้าของข้า ข้ารู้สึกดูแคลนอย่างยิ่ง”

เป็นครั้งแรกที่หยางหวั่นได้เห็นองค์ชายอี้หลางเดินอยู่ข้างหน้านางเพียงลำพัง

เมื่อใดที่ร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มเติบโตขึ้นก็เหมือนกับหน่อไม้หลังฝนตก

หยางหวั่นอยู่ข้างกายเขามาโดยตลอดจึงยังรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อหวนนึกถึงตอนที่ตนเพิ่งเข้าวังมา เขายังเป็นเด็กที่แกว่งแขนนางพลางร้องจะดูนางเสกคนตัวเล็ก แต่มาวันนี้ร่างกายยืดสูงและผ่ายผอมลงแล้ว หัวไหล่และแผ่นหลังเหยียดตรง การเติบโตในชั่วพริบตานั้น ภายนอกปรากฏที่รูปร่าง ภายในปรากฏที่จิตใจ ทำให้คนตกตะลึงอย่างแท้จริง

“ท่านน้า”

“หืม?”

“เมื่อครู่ท่านถูกกระแทกใช่หรือไม่” เขาพูดพลางมองไปที่หัวเข่าของหยางหวั่นแล้วกล่าวกับขันทีรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง “ประคองนางเดิน”

พูดจบตนเองก็ถอยกลับมาหลายก้าว เดินเคียงข้างหยางหวั่น

หยางหวั่นมองหัวไหล่ขององค์ชายอี้หลางที่ถูกฝนจนเปียกโชก ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา

ถ้าเขาไม่ใช่องค์ชาย หรือจะพูดว่าถ้าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้จิ้งเหอในภายภาคหน้า เขาที่เป็นเด็กเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรักใคร่ชื่นชอบ

แต่เขารู้ความเร็ว เป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังมีภาระหน้าที่ที่ไม่สอดคล้องกับอายุ จึงไม่ควรถูกเลี้ยงดูภายใต้ปิ่นปักผมและชุดกระโปรง

ทว่าก็เป็นเพราะเช่นนี้ เขาจึงไม่มีวันมีความเมตตาเช่นที่หยางหวั่นปรารถนา

“จะไปทูลฝ่าบาทจริงๆ หรือเพคะ”

“ใช่” องค์ชายอี้หลางเงยหน้ามองหยางหวั่น “กองเจิ้นฝู่เหนือเอาตัวสหายร่วมเรียนของข้าไปแล้ว ทั้งยังข่มเหงลบหลู่ท่านน้า ถ้ามีเหตุผลข้าก็ไร้คำพูด แต่ถ้าเหตุผลไม่เหมาะสม ข้าจะทูลขอให้เสด็จพ่อลงโทษผู้กำกับการจาง”

หยางหวั่นก้มหน้า “เพราะเหตุใดต้องช่วยบ่าว องค์ชายทรงเห็นว่าบ่าวเคยทำเรื่องผิดมากมายไม่ใช่หรือ”

องค์ชายอี้หลางชะงักฝีเท้า ทุกคนก็พลอยหยุดตามเขาไปด้วย

ฝนตกลงบนร่มดังเปาะแปะ น้ำที่ไหลไปทั่วพื้นดินราวกับกระแสคลื่นทะเลในฤดูใบไม้ร่วง

องค์ชายอี้หลางเงยหน้าสบตาหยางหวั่น “ท่านน้า ท่านอาจเคยทำเรื่องผิด แต่ข้าไม่อยากเห็นท่านเสียใจจนเกินไป ดังนั้นข้าจะไม่ตำหนิเติ้งอิงอย่างโจ่งแจ้ง แต่ท่านน้า ข้าทำเช่นนี้กับท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“บ่าวเข้าใจ” หยางหวั่นไม่อยากให้เขาพูดต่อไป จึงก้มหน้าลงยิ้ม “ขอบพระทัยองค์ชาย”

 

หน้าตำหนักหยั่งซิน กระดาษปิดหน้าหนังสือของวันนี้เพิ่งส่งเข้ามา

ฝนตกค่อนข้างหนัก เพื่อที่จะปกป้องกระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกา ขันทีรับใช้ที่มาจากสภาขุนนางแต่ละคนจึงอยู่ในสภาพเปียกปอนทุลักทุเล

หูเซียงที่ยืนถือลูกปัดไม้จันทน์ข้างเติ้งอิงกล่าวเสียงเย็น “วันนี้สมควรถูกโบยตายให้หมด ไม่พูดถึงว่าล่าช้า ยังทำให้สิ่งของของฝ่าบาทเปียกปอนไปหมด”

เหล่าขันทีรับใช้ที่เอากระดาษปิดหน้าหนังสือมาส่งไม่กล้าส่งเสียงร้องขอความเมตตาที่นอกตำหนักหยั่งซิน พอได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะให้หูเซียง

มีอยู่คนสองคนที่ตกใจยิ่ง อีกทั้งรู้ว่าหูเซียงเป็นคนที่ไม่เมตตาใคร จึงหันไปคุกเข่าตรงหน้าเติ้งอิง

เติ้งอิงชูเทียนเล่มหนึ่ง เปิดผ้าน้ำมันสีเหลืองที่ปิดคลุมกระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกาออก พลิกดูหลายชั้นแล้วเอ่ยขึ้น

“ทุกคนลุกขึ้นก่อนเถิด” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในตำหนัก

หูเซียงตวาดอยู่ด้านหลังเขา “เติ้งอิง วันนี้คนพวกนี้ล้วนต้องถูกโบย นี่เป็นคำพูดของข้า!”

เติ้งอิงหยุดฝีเท้า “สำนักกิจการฝ่ายในหรือสำนักบูรพาเป็นผู้ควบคุมการลงโทษ”

ขันทีรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รีบบอกว่า “พวกบ่าวขอร้องท่านผู้บัญชาการโปรดให้ความเมตตา”

เติ้งอิงก้มหน้าลงบอกว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด”

“ขอรับ…”

หลายคนต่างไม่กล้ามองหูเซียง รีบลนลานถอยออกไปจากหน้ามุข

หูเซียงมองเงาด้านหลังที่ดูทุลักทุเลของคนเหล่านี้แล้วจึงบอกว่า “เจ้าในเวลานี้เป็นท่านบรรพชนคนที่สองของสำนักกิจการฝ่ายในไปแล้ว”

เติ้งอิงชะงักฝีเท้า ไม่ได้ตอบรับคำพูดนี้ เพียงม้วนแขนเสื้อขึ้นล้างมือที่หน้าประตูแล้วประคองถาดเข้าไปข้างในด้วยตนเอง

ในตำหนักเหออี๋เสียนกำลังปรนนิบัติเรื่องหมึกพู่กันให้ฮ่องเต้เจินหนิง หมึกช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงหนืดแข็ง เขียนได้ไม่ลื่น หลังโต๊ะทรงพระอักษรมีเตาเล็กๆ อยู่ใบหนึ่ง กำลังผิงแท่นฝนหมึกอยู่ เติ้งอิงทำความเคารพที่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร ฮ่องเต้เจินหนิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น

“รอเราเขียนตัวอักษรนี้เสร็จก่อน”

เหออี๋เสียนอยู่ที่ด้านข้างบอกว่า “ฝ่าบาท วันนี้ทรงเขียนอักษรมาทั้งเช้าแล้ว พักผ่อนสักครู่เถิด เสวยของว่างสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจินหนิงยกพู่กันขึ้น “เมื่อครู่ข้างนอกเอะอะอะไรกัน”

เติ้งอิงตอบว่า “ทูลฝ่าบาท กระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกาที่ส่งมาเปียกฝน บ่าวกับขันทีตรวจฎีกาหูหารือเรื่องลงโทษกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ” ฮ่องเต้เจินหนิงมองไปข้างนอก “ฝนตกแล้วหรือ”

เหออี๋เสียนหยิบหนังสือฎีกาออกมาจากถาดที่เติ้งอิงถืออยู่แล้วนำไปวางข้างมือฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “วันนี้ตั้งแต่เช้าท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ลมที่พัดมาก็หนาวเย็น เวลานี้ฝนตกแล้วก็ยิ่งหนาว”

ฮ่องเต้เจินหนิงแสดงท่าทีให้เติ้งอิงเปิดหนังสือฎีกา มองคราหนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่เห็นจะเปียกสักเท่าใด เหตุใดต้องหารือเรื่องลงโทษ”

เติ้งอิงค้อมกายบอกว่า “ฝ่าบาทมีพระเมตตา บ่าวละอายใจยิ่ง”

ฮ่องเต้เจินหนิงดึงกระดาษปิดหน้าหนังสือออก “ช่างเถิด จะลงโทษก็ลงโทษไปเถิด หลายวันนี้เราจิตใจอ่อนล้า ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้”

เหออี๋เสียนที่อยู่ด้านข้างบอกว่า “ฝ่าบาทต้องทรงรักษาจิตใจให้ดี ขอเพียงฝ่าบาทถามสักคำ บ่าวทั้งหลายก็ขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ฝ่าบาท พระองค์มีพระทัยของพระโพธิสัตว์ พวกเราล้วนอาศัยความเมตตาของฝ่าบาทจึงมีชีวิตอยู่ได้”

ฮ่องเต้เจินหนิงฟังคำพูดนี้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คำพูดส่วนใหญ่ล้วนประจบสอพลอเรา จุดนี้ไม่ดี” เขาพูดจบก็ชะงักพู่กัน “วันนี้ที่ตำหนักเหวินหวาบรรยายใหญ่หรือบรรยายเล็ก”

เติ้งอิงตอบว่า “บรรยายเล็ก แต่หัวข้อสภาขุนนางเป็นผู้กำหนด ดังนั้นรองราชเลขาธิการจางจึงอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจินหนิงตอบรับแล้วชี้ไปยังชุดคลุมขนสัตว์ข้างหลังตนเอง “เอาเสื้อตัวนี้ของเราไปมอบให้องค์ชายอี้หลาง บอกเขาไม่ต้องขอบพระทัย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เหออี๋เสียนปัดชุดคลุมให้เรียบด้วยตนเอง มอบให้ขันทีรับใช้แล้วเดินไปยังข้างกายฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงรักและทะนุถนอมองค์ชายใหญ่ บ่าวทั้งหลายเห็นแล้วละอายใจยิ่ง ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เย็นแล้ว องค์ชายทั้งหลายยังทรงเยาว์วัย เกรงว่าจะต้องลำบากอยู่บ้าง ได้ยินหมอหลวงเผิงบอกว่าองค์ชายรอง…”

“เจ้าละอายใจอะไร”

เหออี๋เสียนยังพูดไม่ทันจบ แต่กลับถูกฮ่องเต้เจินหนิงตัดบทแล้ว อีกทั้งพอฮ่องเต้เจินหนิงถามจบยังวางพู่กันรอเขาตอบอย่างจริงจัง

ทว่าคำถามนี้เกี่ยวพันถึงธรรมเนียมใหญ่ในวัง อีกทั้งความสัมพันธ์ด้านศีลธรรมจรรยาของมนุษย์และน้ำใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ตอบยากยิ่ง ชั่วขณะนั้นเหออี๋เสียนนิ่งอึ้งไป

ฮ่องเต้เจินหนิงเห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะแล้วก้มหน้าบอกว่า “เบื้องล่างมีคนมากมายเพียงนั้น ต่างหวังจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้า พวกเขาเรียกเจ้าว่าท่านบรรพชน เจ้าเองก็ขึ้นสวรรค์เพื่อพวกเขาไม่น้อย”

เหออี๋เสียนฟังคำพูดนี้แล้วก็รีบคุกเข่าค้อมกาย ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว

ฮ่องเต้ก้มหน้าลงมองเขาคราหนึ่ง “คำพูดนี้ของเราก็เพียงพูดในตำหนักเท่านั้น ตลอดชีวิตของเจ้าไม่ง่าย พอแก่ชราก็มีบุตรหลานที่ไม่อยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลจำนวนหนึ่งมากตัญญู เรายังจะดุด่ารุนแรงอะไรได้ เราเองก็อายุมากแล้ว อยากจะรักถนอมบุตรชายของตน และอยากให้บุตรชายนึกถึงเรา ความดีของบิดาผู้นี้ เพียงแต่มักจะมีคนบางคนไม่ยินดีเห็นเราเป็นบิดาเมตตาบุตรกตัญญู”

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกจากปาก ทุกคนในตำหนักรวมถึงเติ้งอิงต่างก็คุกเข่าลงทันที

ฮ่องเต้เจินหนิงเคาะโต๊ะแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ลุกขึ้น เราจะใช้ตราประทับ”

เติ้งอิงเห็นเหออี๋เสียนยังคงไม่กล้าลุกขึ้น จึงม้วนแขนเสื้อปรนนิบัติฮ่องเต้เจินหนิงใช้ตราประทับ คำสนทนาในตำหนักดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไป แต่คำพูดในช่วงท้ายสุดเผยให้รู้เป็นนัยถึงเรื่องหนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ทว่าเรื่องนี้เหออี๋เสียนยังไม่รู้ ยังเข้าใจว่าเมื่อครู่ตนพลั้งปากเอ่ยถึงองค์ชายรอง ทำให้ฮ่องเต้เจินหนิงไม่พอใจ จึงเพียงหมอบร่างอยู่บนพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา

“ฝ่าบาท บ่าวมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”

หูเซียงยืนอยู่หน้ากรอบช่องประตูสลักลาย เห็นเหออี๋เสียนไม่ได้ลุกขึ้น จึงนิ่งงันอยู่เป็นนานไม่กล้าเข้ามา

ฮ่องเต้เจินหนิงบอกว่า “พูดมาเถิด เราเห็นเจ้ายืนมาพักหนึ่งแล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ” ครานี้หูเซียงจึงได้เดินเข้ามาในตำหนัก “ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจินหนิงมองไปทางด้านนอกคราหนึ่ง “เราบอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบพระทัยไม่ใช่หรือ”

“ไฉนเลยจะเร็วเพียงนั้น คนไปส่งเสื้อคลุมยังเดินไม่พ้นตำหนักไท่เหอก็พบองค์ชายใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้องค์ชายใหญ่ทรงยืนรออยู่ข้างนอกมาพักหนึ่งแล้ว แต่บ่าวเห็นฝ่าบาททรงใช้ตราประทับอยู่จึง…”

“ตอนเราใช้ตราประทับเขาก็เข้ามาได้ เรียกตัวมาเถิด” พูดจบก็ก้มลงมองเหออี๋เสียนคราหนึ่งแล้วบอกว่า “ลุกขึ้นมาเถิด”

จากนั้นองค์ชายอี้หลางก็พาหยางหวั่นเดินเข้ามาในตำหนัก

ในตำหนักแสงเทียนสว่างไสว ส่องสว่างจนเห็นเงาของสิ่งของทุกชิ้นอย่างชัดเจน

องค์ชายอี้หลางคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร โขกศีรษะทำความเคารพฮ่องเต้เจินหนิง

ฮ่องเต้เจินหนิงวันนี้ดูอารมณ์ดีไม่น้อย แสดงท่าทีให้ทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามองค์ชายอี้หลาง “ตำหนักเหวินหวาวันนี้บรรยายเรื่องอะไร”

องค์ชายอี้หลางลุกขึ้นแล้วตอบว่า “ท่านอาจารย์จางบรรยาย ‘การเมืองสำคัญในสมัยเจินกวน’ พ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ มานี่” ฮ่องเต้เจินหนิงยื่นมือออกมา แสดงท่าทีให้องค์ชายอี้หลางมายังข้างกาย “ฟังเข้าใจหรือไม่”

“ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมฟังเข้าใจทั้งหมด”

“ดี” ฮ่องเต้เจินหนิงยกชายแขนเสื้อช่วยเช็ดน้ำฝนที่หน้าผากองค์ชายอี้หลางด้วยตนเอง “เปียกฝนแล้ว”

หยางหวั่นรู้สึกว่าสายตาของฮ่องเต้เจินหนิงจับนิ่งอยู่ที่ร่างของตนก็รีบเอ่ยขออภัย “เป็นบ่าวที่ไม่ได้ปรนนิบัติองค์ชายให้ดี”

ฮ่องเต้เจินหนิงยังไม่ได้พูดอะไร องค์ชายอี้หลางก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “เสด็จพ่อ เพื่อจะปกป้องกระหม่อม ท่านน้าเองเปียกโชกไปทั้งร่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เติ้งอิงมองไปที่หยางหวั่น มองดูแล้วนางยังนับว่าเรียบร้อยดี แต่ที่หัวไหล่แทบจะเปียกไปทั้งหมด

หยางหวั่นรู้ว่าเติ้งอิงกำลังมองนางอยู่ จึงทัดเส้นผมที่เปียกไปไว้หลังหูด้วยจิตสำนึก

ฮ่องเต้เจินหนิงปล่อยมือจากหัวไหล่องค์ชายอี้หลาง “ดูเช่นนี้แล้วนับว่าเจ้าทุ่มเทดูแลองค์ชายใหญ่อย่างเต็มที่”

หยางหวั่นหลุบตาพลางเอ่ยตอบ “บ่าวละอายใจยิ่ง”

ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไรกับหยางหวั่นอีก ก้มหน้าลงถามองค์ชายอี้หลาง “ฝนตกหนักเพียงนี้ เหตุใดถึงคิดจะมาที่นี่”

องค์ชายอี้หลางเดินออกจากโต๊ะทรงพระอักษรมาอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เจินหนิงแล้วประสานมือคารวะ “กระหม่อมมีคำพูดอยากจะทูลถามเสด็จพ่อ”

“พูดมาเถิด”

องค์ชายอี้หลางเหยียดกายขึ้นตรง “วันนี้จางลั่วผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือเอาตัวหยางจิงสหายร่วมเรียนของกระหม่อมไปจากตำหนักเหวินหวา กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุจึงมาที่นี่เพื่อทูลถามเสด็จพ่อ”

ธูปหอมบนโต๊ะทรงพระอักษรไหม้แล้วร่วงลงมา เถ้าธูปตกลงบนหลังมือของฮ่องเต้เจินหนิง

เหออี๋เสียนรีบก้มลงเป่าออกจากหลังมือฮ่องเต้เจินหนิงทันที

ฮ่องเต้เจินหนิงเก็บมือกลับมา เอียงหน้ามองไปที่องค์ชายอี้หลาง พูดเสียงไม่หนักไม่เบาออกมา “บังอาจ!”

ในตำหนักมีเพียงเหออี๋เสียนที่กล้าส่งเสียงไกล่เกลี่ยในเวลาเช่นนี้

“ฝ่าบาท องค์ชายยังทรงพระเยาว์…”

“บังอาจ!”

คำนี้กลับออกมาจากปากขององค์ชายอี้หลาง น้ำเสียงแทบจะเหมือนกับฮ่องเต้เจินหนิงไม่ผิดเพี้ยน

“เสด็จพ่อทรงตำหนิ ในฐานะขุนนางในฐานะบุตรสมควรต้องยอมรับ ไม่จำเป็นต้องให้บ่าวคนหนึ่งมาพูดมาก” เขาพูดจบก็ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลง “เสด็จพ่อ หยางจิงที่ตำหนักเหวินหวาเป็นสหายร่วมเรียนและเป็นท่านน้าชายของกระหม่อม หากเขามีความผิดจริง เช่นนั้นกระหม่อมก็คงถูกเขาล่อลวงไปนานแล้ว กระหม่อมประหวั่นใจยิ่ง ขอเสด็จพ่อโปรดทรงให้ความกระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจินหนิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้ามาวันนี้เพราะคิดจะช่วยพี่น้องของมารดาเจ้าให้หลุดพ้นจากความผิดหรือ”

องค์ชายอี้หลางเหยียดกายขึ้นตรง “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก ท่านอาจารย์ทั้งหลายต่างบอกว่ากฎหมายบ้านเมืองจะต้องทำให้ใต้หล้าประจักษ์ถึงความชอบความผิดอย่างชัดเจน แต่กองเจิ้นฝู่เหนือกระทำการโดยไม่ระบุสาเหตุ กระหม่อมเห็นว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”

หยางหวั่นยืนอยู่ข้างหลังองค์ชายอี้หลาง ตั้งใจฟังคำพูดเหล่านี้จนจบโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว

นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเติ้งอิง

เติ้งอิงไม่ได้ปริปาก แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่จางๆ

ยามนี้หยางหวั่นจึงเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเพราะเหตุใดเติ้งอิงถึงให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มากเพียงนี้

เหล่าแม่ทัพทหารปรารถนาให้ใต้หล้าสงบสุข ส่วนปัญญาชนปรารถนา ‘การเมืองที่มีกฎเกณฑ์มีระเบียบแบบแผน’

ความสงบสุขของใต้หล้าสามารถพึ่งพาแม่ทัพที่เก่งกาจ แต่ ‘การเมืองที่มีกฎเกณฑ์มีระเบียบแบบแผน’ จำเป็นต้องมีฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาพระองค์หนึ่ง

เขาไม่จำเป็นต้องมีความเมตตากรุณามากนัก เพียงต้องสังหารปราบปรามอย่างเหมาะสม ไม่โหดร้ายทารุณ แต่ก็ต้องไม่ใจอ่อนกับใครอย่างเด็ดขาด

“อี้หลาง”

“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรกับเรา”

“กระหม่อมทราบดี กระหม่อมล่วงละเมิดเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อโปรดทรงลงโทษ แต่ก็ขอให้เสด็จพ่อโปรดทรงให้ความกระจ่างแก่กระหม่อม กระหม่อมโตแล้ว ต้องการเป็นคนที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจินหนิงก้มหน้ามององค์ชายอี้หลางที่คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราอนุญาตให้เจ้าเรียกกองเจิ้นฝู่เหนือมาถาม”

“กระหม่อมขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

“ออกไปเถิด”

หยางหวั่นเดินตามองค์ชายอี้หลางออกจากตำหนักหยั่งซิน เพิ่งเดินลงมาจากหน้ามุข องค์ชายอี้หลางก็จับจูงมือหยางหวั่น

“ท่านน้า ต่อไปข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านถูกลบหลู่ข่มเหงอีก”

หยางหวั่นจูงมือเขาเดินไปทางตำหนักเฉิงเฉียน เดินไปพลางบอกไปพลาง “พระองค์ทรงยังเล็ก บ่าวจะปกป้องพระองค์ให้ดีเพคะ”

องค์ชายอี้หลางเงยหน้าขึ้นบอกว่า “ท่านน้าไม่เชื่อข้าหรือ”

หยางหวั่นหยุดฝีเท้า “บ่าวกลัวพระองค์จะทรงใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข”

องค์ชายอี้หลางบอกว่า “ตอนท่านกลับมาจากคุกหลวง เสด็จแม่เคยบอกข้าว่าท่านช่วยชีวิตข้าและเสด็จแม่เอาไว้ ข้าจดจำมาโดยตลอด ข้าถูกเสด็จพ่อคุมขังที่ตำหนักอู่อิง ในช่วงเวลานั้นท่านน้าก็คอยดูแลข้าตลอดเวลา ท่านน้า ข้าไม่ได้ปกป้องเสด็จแม่ให้ดี แต่ข้าจะต้องปกป้องท่านให้ได้ ท่านน้า รอข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่ให้ท่านเป็นบ่าวอีก”

หยางหวั่นยิ้มพลางเอื้อมมือไปจัดเสื้อด้านหน้าขององค์ชายอี้หลางให้เรียบร้อย

ในใจนางขัดแย้งอย่างที่สุด ด้านหนึ่งนางหวังให้เขาเติบโตเร็วสักนิด ทำให้ความปรารถนาของเติ้งอิงกับหยางหลุนเป็นความจริง

อีกด้านหนึ่งก็หวังให้เขาอย่าเติบโตขึ้น เพื่อให้คนผู้นั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

บทที่ 10.6 สายลมเย็นที่เฮาหลี่

หลังจากการสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสิ้นลง เมืองหลวงก็มีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ตลาดหนังสือที่อยู่ใกล้สำนักซุ่นเทียนกลับไม่ได้เงียบเหงาไปตามการสิ้นสุดของการสอบในฤดูใบไม้ร่วง ผู้เข้าสอบที่กำลังรอการประกาศผลสอบฉวยโอกาสที่สภาพอากาศกลับมาแจ่มใสจับกลุ่มกันสองคนสามคนออกมาเดินเล่นที่ตลาดหนังสือ

ชั่วขณะนั้นบนถนนตงต้าแน่นขนัดไปด้วยรถม้า ดูคึกคักอย่างยิ่ง

แต่ร้านชิงปอก่วนกลับปิดประตูใหญ่แน่นสนิท บนประตูมีแผ่นกระดาษปิดอยู่ ทำให้หลายคนหยุดลงแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์

ผู้เข้าสอบคนหนึ่งมองแผ่นกระดาษที่ปิดอยู่บนประตูพลางถามด้วยความประหลาดใจ

“เหตุใดถึงมีเพียงร้านชิงปอก่วนที่ถูกปิด”

คนที่อยู่ด้านข้างตอบว่า “ได้ยินว่ากองเจิ้นฝู่เหนือสั่งให้คนมาปิด ไม่เพียงปิดร้าน แม้แต่คนที่อยู่ข้างในก็เอาตัวไปด้วย”

“น่ากลัวว่าจะเป็นการสืบสวนวรรณกรรม* อีกแล้ว”

ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในแผงขายบะหมี่ที่ปากทางเข้าถนนตงกงด้วยกัน วางสัมภาระลงแล้วรินชาสองถ้วย ไอร้อนกรุ่นของน้ำชารมปลายจมูกของคนทั้งสองจนเปียกชื้น ทั้งสองถือถ้วยชามองน้ำค้างแข็งแห้งบนพื้น จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้น

“ยังอีกหลายวันกว่าผลการสอบจะปิดประกาศ เจ้าเอาเสื้อนวมมาเพียงพอหรือไม่”

“ห่วงอยู่ว่าจะไม่พอ อากาศเช่นนี้ต่อให้มีแดดก็ยังหนาว”

“ใช่ ทั้งยังแห้งมากอีกด้วย ฤดูหนาวปีนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”

“เฮ้อ…” ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

หนึ่งในนั้นวางถ้วยชาลงแล้วบอกว่า “ผลเก็บเกี่ยวไม่ดีติดต่อกันมาหลายปี สำนักศึกษาทางใต้ของเราแต่ละแห่งต่างประคับประคองต่อไปไม่ไหว เวลานี้แม้แต่ร้านหนังสือในเมืองหลวงบอกจะปิดก็ปิด ไม่รู้ว่าเงินที่จัดสรรให้การศึกษาท้องถิ่นเข้าปากสุนัขพวกใดไปแล้ว…”

“ชู่!” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบยับยั้งคำพูดของเขา “พอเถิด สอบให้ได้ลาภยศไม่ใช่เรื่องง่าย ระวังอย่าให้เกิดภัยจากปาก”

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก ต่างขอบะหมี่น้ำใสคนละชามจากเจ้าของแผง

ถานเหวินเต๋อนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เตาไฟมากที่สุด กินบะหมี่อย่างรวดเร็วจนหมดชามแล้วหันไปกล่าวกับเจ้าของแผง

“เอามาอีกชามหนึ่ง ไม่ใส่เครื่องเคียง”

บะหมี่น้ำใสเพิ่งจะตักออกจากหม้อ ทุกคนที่แผงบะหมี่ต่างเฝ้าดูเจ้าของแผงเอาบะหมี่ใส่ชามตรงหน้า

เจ้าของแผงฉวยจังหวะช่วงที่ลวกบะหมี่มองถานเหวินเต๋อคราหนึ่ง “หัวหน้ากองพันถาน วันนี้ท่านกินไปสี่ชามแล้ว”

พอได้ยินคำเรียกนี้ สองคนที่พูดคุยกันเมื่อครู่ก็คว้าห่อสัมภาระเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปทันที

“นี่ๆ! ไม่กินบะหมี่แล้วหรือ!”

เจ้าของแผงไล่ตามไปแต่ไม่ทัน จึงสะบัดผ้าเช็ดโต๊ะเดินกลับมา “โชคร้ายจริงๆ”

ถานเหวินเต๋อเอาเงินตบลงบนโต๊ะ พูดอย่างใจกว้าง “สองชามของพวกเขาเอามาให้ข้า”

เจ้าของแผงยิ้มอย่างอับจนปัญญา “ท่านช่วยดูแลการค้าของข้า ข้าย่อมดีใจ แต่ท่านอย่าเอาแต่นั่งกินอยู่ที่นี่ตลอดได้หรือไม่ แค่ท่านไปเดินเตร็ดเตร่ไปมาที่ด้านหน้าก็เหมือนว่าท่านกำลังทำงานแล้ว”

ถานเหวินเต๋อบอก “ท่านผู้เฒ่า ท่านพอเถิด ด้วยสถานะในเวลานี้ของข้ายังต้องไปจัดการงานการด้วยตนเองอีกหรือ”

เจ้าของแผงยิ้มพลางพยักหน้า ยกบะหมี่น้ำใสไม่ใส่เครื่องเคียงสองชามมาวางบนโต๊ะ “กินเถิดๆ”

ถานเหวินเต๋อกำลังจะหยิบตะเกียบ ทันใดนั้นก็มีเงาร่างคนผู้หนึ่งทรุดนั่งลงตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่งแล้วลนลานลุกขึ้นยืน ตะเกียบที่วางพาดอยู่บนชามร่วงหล่นลงบนพื้น

“ท่านผู้บัญชาการ”

เติ้งอิงก้มลงเก็บตะเกียบบนพื้นแล้ววางไว้ที่เดิม “นั่งลงเถิด”

ถานเหวินเต๋อเห็นเติ้งอิงหอบหนังสือกองหนึ่งไว้ในอ้อมแขน จึงรีบใช้มือเช็ดคราบน้ำมันบนโต๊ะ “ท่านผู้บัญชาการ ท่านวางตรงนี้”

“ได้”

เติ้งอิงวางหนังสือลง ม้วนชายแขนเสื้อรินชาถ้วยหนึ่ง

ถานเหวินเต๋อเอ่ยว่า “ท่านผู้บัญชาการซื้อหนังสือมากเพียงนี้เชียว”

“อืม ถือโอกาสซื้อมา”

เขาพูดพลางก้มหน้าลงดื่มชาคำหนึ่ง ถานเหวินเต๋อมองบะหมี่สองชามตรงหน้าตนแล้วรีบผลักชามหนึ่งมาให้เติ้งอิง

“ท่านกินบะหมี่สักชามเถิด”

เติ้งอิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อยกมาแล้วเจ้าก็กินเถิด”

ถานเหวินเต๋อบอกว่า “ผู้น้อยเฝ้าอยู่ที่นี่ กินไปสี่ชามแล้วขอรับ” พูดจบก็เรอออกมาทีหนึ่ง

เติ้งอิงเห็นแล้วส่ายหน้าหัวเราะ เลื่อนชามมาตรงหน้าตน ลุกขึ้นไปหยิบตะเกียบคู่หนึ่งจากโต๊ะที่อยู่ใกล้กันมา

ทางด้านเจ้าของแผงตักเครื่องเคียงมาให้กระบวยใหญ่ “ท่านผู้บัญชาการ ท่านกินเถิด ถ้าไม่พอข้าจะลวกมาให้ท่านอีก”

ถานเหวินเต๋อกินบะหมี่พลางหัวเราะ กดเสียงต่ำบอกว่า “ท่านผู้บัญชาการ ท่านเป็นคนอัธยาศัยดี แม้แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่เกรงกลัว”

เติ้งอิงคลุกเครื่องเคียงใส่บะหมี่ “คนที่จับตามองอยู่เป็นอย่างไรบ้าง”

“อ้อ” ถานเหวินเต๋อรีบวางตะเกียบแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ผางหลิงผู้นั้นเมื่อวานก็ออกจากวังครั้งหนึ่ง ไม่ได้ไปที่ใด เพียงมาที่ร้านชิงปอก่วน พอเห็นกองเจิ้นฝู่เหนือจับคนปิดร้านก็ตกใจปานดื่มปัสสาวะสุนัข กระทั่งตอนขี่ม้าก็เกือบจะร่วงตกลงไป วันนี้ตอนยามเฉินเขาก็มาดูอีกครั้ง ปะปนอยู่ในฝูงชนไม่กล้าเดินมาที่หน้าร้าน ท่านผู้บัญชาการ ร้านชิงปอก่วนแห่งนี้ถูกคนของกองเจิ้นฝู่เหนือล้อมไว้ราวกับถังเหล็ก ที่แท้ข้างในมีอะไรกันแน่”

เติ้งอิงกล่าวเสียงเบา “พวกเจ้าเพียงเฝ้าดูผางหลิงให้ดี อย่าให้เป็นเพราะเรื่องของร้านชิงปอก่วนทำให้ไปกระทบกระทั่งกับกองเจิ้นฝู่เหนือ”

ถานเหวินเต๋อบอกว่า “ว่ากันตามเหตุผลแล้วสำนักบูรพาเราควรตรวจตราพวกเขา แต่ท่านให้พวกเราหลบเลี่ยงการตรวจสอบและการปิดร้านชิงปอก่วนของกองเจิ้นฝู่เหนือในครั้งนี้ ทำให้กองเจิ้นฝู่เหนือคิดว่าพวกเรากลัวพวกเขา กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างกับอะไรดี”

เติ้งอิงยิ้มๆ “กินบะหมี่เถิด กินแล้วก็กลับสำนักบูรพา”

ถานเหวินเต๋อพุ้ยบะหมี่พลางบอกว่า “เหตุใดท่านต้องรีบกลับถึงเพียงนี้ เหล่าผู้น้อยได้ขนเครื่องเรือนเข้าไปในเรือนให้ท่านแล้ว ท่านไม่ฉวยโอกาสที่ยังมีเวลาอยู่ไปดูสักหน่อยหรือขอรับ”

เติ้งอิงมองท้องฟ้าคราหนึ่ง “วันนี้ไม่มีเวลาแล้ว”

ถานเหวินเต๋อคิดจนศีรษะจะแตกก็คิดไม่ถึง ที่เติ้งอิงรีบร้อนกลับวังก็เพื่อจะช่วยซ่อมหลังคาให้หยางหวั่น

 

ทางด้านตำหนักเฉิงเฉียนเพิ่งจะผ่านพ้นยามอู่ อากาศแม้จะหนาว แต่แดดกลับแรงยิ่ง

เหออวี้ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ใช้มือป้องตามองไปบนยอดหลังคา

เติ้งอิงสวมเสื้อตัวสั้นสีเทา ม้วนแขนเสื้อขึ้น กำลังพูดกับช่างฝีมือที่มุงหลังคา

ขันทีรับใช้ของตำหนักเฉิงเฉียนไปรับถ่านกลับมา เห็นเหออวี้ยืนเงยหน้าอยู่กลางลานกว้างก็เงยหน้ามองตามไปด้วย

“จุ๊ๆ…พี่อวี้ นั่นคือ…ผู้บัญชาการเติ้งไม่ใช่หรือ”

คอของเหออวี้เริ่มแข็งเล็กน้อยแล้ว คร้านจะพูดจา ได้แต่พยักหน้าอย่างทึ่มทื่อ

ขันทีรับใช้ผู้นั้นวางเข่งถ่านลงแล้วขยับเข้ามาพูดข้างหูเหออวี้ “ข้าได้ยินว่าขันทีทั่วไปของสำนักกิจการฝ่ายในเหล่านั้นเวลานี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าท่านผู้บัญชาการ แต่หยางกูกู* กลับให้ท่านผู้บัญชาการมาซ่อมหลังคาให้เราที่นี่”

เหออวี้พยักหน้าอีกครั้ง ตอนแรกที่นางเห็นเติ้งอิงพาคนจากฝ่ายตรวจสอบวังหลวงมาที่นี่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หยางหวั่นไปรับองค์ชายอี้หลางที่ใกล้จะเลิกเรียน นางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร ได้แต่เฝ้าดูอยู่ในลานกว้างด้วยตนเอง ใครจะรู้พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาแล้วก็ไม่ได้ลงมาอีก นางจึงต้องยืนอยู่ที่นี่มาครึ่งชั่วยามแล้ว

“ตำหนักเรามีแสงสีทองของพระพุทธองค์แผ่คลุมอยู่จริงๆ”

เขาพูดจบก็ถึงกับเอ่ยคำว่า ‘อมิตาภพุทธ’ ออกมา

“พี่อวี้ ท่านไม่รู้ วันนี้ข้าไปที่หน่วยถ่านฟืน หัวหน้าขันทีของที่นั่นยังปฏิบัติต่อข้าอย่างเกรงอกเกรงใจ”

คราวนี้เหออวี้จึงได้เอ่ยขึ้น “อย่าพูดจาเหลวไหล หยางกูกูไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้ อีกทั้งหัวหน้าเฉินผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนที่มีไมตรี ไม่เคยประจบผู้ที่สูงกว่าเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่า”

“ใครประจบผู้ที่สูงกว่าเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าหรือ”

คนในลานกว้างตกตะลึง รีบหันกายมาทำความเคารพ

องค์ชายอี้หลางจูงมือหยางหวั่นเดินเข้ามา เงยหน้าขึ้นมองหลังคาเรือนปีกข้างคราหนึ่งแล้วหันมากล่าวกับหยางหวั่น

“ท่านน้า ข้าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“ได้เพคะ”

หยางหวั่นแสดงท่าทีให้พวกเหออวี้ตามไป ส่วนตนเองเดินไปที่ใต้เสาระเบียงเงยหน้าขึ้นพูดกับเติ้งอิง “ยืนอยู่ข้างบนไม่กล้าทำความเคารพกระมัง”

“เวลาสัมผัสอิฐไม้ไม่ทำความเคารพ นี่เป็นกฎระเบียบ”

บนที่สูงมีลม วันนี้เติ้งอิงไม่ได้สวมหมวกถัง เพียงใช้แถบผ้าผูกผมไว้ ยืนอยู่ระหว่างสิ่งปลูกสร้าง ท่าทีสุขุมอ่อนโยน

หยางหวั่นชอบภาพนี้อย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดจากใจจริง “ถ้าท่านเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี มองพวกเราจากที่สูงลงมา”

เติ้งอิงฟังจบก็ก้มลงจับบันไดที่พาดอยู่บนโต่วก่งให้มั่น

“อยากจะขึ้นมาดูหรือไม่”

“ไม่ตกลงมากระมัง” นางถามไปเช่นนี้ แต่กลับปีนขึ้นไปอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว

“ช้าลงหน่อยเถิด เหยียบให้มั่น”

บรรดาช่างฝีมือต่างตามมาช่วยประคองบันได

หยางหวั่นเหยียบขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย แต่ไม่มีที่ให้ยึดเกาะจึงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ออกจะสูงอยู่…บ้าง ข้าจะเหยียบขึ้นไปได้หรือ”

เติ้งอิงงอเข่าลงครึ่งหนึ่ง ยื่นมือมาให้หยางหวั่น “เจ้ายื่นมือมา ข้าจะจับมือเจ้าไว้ เจ้าเองก็ลองใช้กำลังของตนเอง ช้าลงหน่อยเถิด”

เหมือนกับนิสัยเชื่องช้าของเขา เติ้งอิงมักพูดกับหยางหวั่นอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ช้าลงหน่อยเถิด’

หารู้ไม่ว่านางอยากเป็นคนที่ ‘ช้าลงหน่อย’ มากที่สุด

“มา เหยียบขึ้นมา”

หยางหวั่นใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนเติ้งอิงไว้ มืออีกข้างหนึ่งออกแรงยันกระเบื้องหลังคา ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาได้

เติ้งอิงก้มลงปัดฝุ่นที่หัวเข่าของนาง “ตอนลงไปอาจจะยากสักหน่อย”

หยางหวั่นก้มลงนั่งยองๆ “ท่านปีนขึ้นมาเองหรือ”

เติ้งอิงหัวเราะพลางบอกว่า “ใช่”

“ท่านปีนที่ที่สูงร้ายกาจเพียงนี้ได้ด้วยหรือ”

เติ้งอิงฟังคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะออกมา มองช่างฝีมือหลายคนที่อยู่โดยรอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อย

“ประคองเจ้าให้นั่งลงดีหรือไม่”

“อืม” หยางหวั่นนั่งลงข้างสันลาดของหลังคาแล้วกล่าวกับเติ้งอิง “เมื่อวานตอนฝนรั่วลงมาข้ายังเข้าใจว่าฝันไป คิดไปว่าตำหนักในวังหลวงจะมีฝนรั่วได้อย่างไร”

เติ้งอิงเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าออกมา ในวังหลวงมีสิ่งปลูกสร้างมากกว่าพันหลัง ไม่ใช่ทุกหลังจะได้รับการดูแลไปทั่วทุกด้านเหมือนตำหนักไท่เหอที่เราก่อสร้าง อย่างเช่นกระเบื้องบนหลังคาของตำหนักใหญ่ทั้งสามส่วนใหญ่ทำจากโรงกระเบื้องที่อยู่ชานเมืองหลวง แต่กระเบื้องหลังคาของเรือนปีกข้างตำหนักเฉิงเฉียนหลังนี้…”

เขาพูดแล้วก้มลงหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งยื่นมาถึงมือหยางหวั่น

หยางหวั่นก้มหน้าลงมอง เห็นบนนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า…

 

รัชศกเจินหนิงปีที่หนึ่ง โรงกระเบื้องหยวนอู่อู๋ เมืองผิงโจวทำถวาย

 

“โรงกระเบื้องแห่งนี้เป็นของสกุลอู๋กระมัง”

“ใช่ ข้าเองก็เพิ่งรู้วันนี้ ที่นี่เป็นที่ประทับของราชวงศ์และเป็นตำหนักที่ใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานซับซ้อนยิ่ง ข้าเองก็มีส่วนร่วมอยู่เพียงสิบปีเท่านั้น แม้แต่ท่านอาจารย์เองตอนที่บูรณะซ่อมแซมตำหนักต่างๆ ในวังจึงค่อยรู้ว่าอิฐและกระเบื้องในตอนนั้นมาจากที่ใด แล้วช่างฝีมือทั้งหลายคิดอย่างไร”

หยางหวั่นกอดเข่า รับลมในที่สูงพลางหลับตาลง

“อิฐหินดินไม้ก็สอนคนได้ ใช่ความหมายนี้หรือไม่”

“อืม คำพูดเช่นนี้ท่านอาจารย์ก็เคยพูดกับข้า”

หยางหวั่นพยักหน้า “ท่านอาจารย์จางช่างดีเสียจริง ถ้าเขายังอยู่ข้าจะต้องปรนนิบัติเขาให้ดี ขอให้เขาวางใจมอบศิษย์รักของเขาให้ข้า”

นางพูดจบก็ทุบหัวเข่าที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย จี้หยกฝูหรงที่เอวกระทบกันส่งเสียงดังกังวานขึ้นมา

นางบอกว่าจะไปขอให้ท่านอาจารย์มอบข้าให้นาง

เติ้งอิงคิดตามคำพูดนี้ก็พลันนึกถึงหยกประดับสีเขียวแกะลายดอกฝูหรงที่ไป๋ฮ่วนมอบให้เขาที่อารามก่วงจี้ขึ้นมา

หลังจากจางจั่นชุนเสียชีวิต เขาไม่กล้าดูหยกประดับชิ้นนั้นมาโดยตลอด นั่นเป็นความหวังที่จางจั่นชุนมีต่อเขา แต่เขาไม่กล้ารับ

“เติ้งอิง”

“หืม?”

“ท่านเห็นท่านอาจารย์จางเป็นบิดาของท่านใช่หรือไม่”

“ใช่”

“อืม ดี” หยางหวั่นพูดแล้วเม้มปากยิ้มนัยน์ตาโค้งให้เขา

เติ้งอิงอดถามไม่ได้ “ดีอะไรหรือ”

หยางหวั่นบอกว่า “ไม่รู้ วันหน้าท่านต้องพาข้าไปคารวะเขา”

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พลันได้ยินเหออวี้ร้องเรียกอยู่ข้างล่าง “หยางกูกู เหตุใดท่านก็ขึ้นไปด้วยเล่า”

“อ้อ…” หยางหวั่นชะโงกหน้าลงไป “ข้าขึ้นมารับลม”

เหออวี้กวักมือเรียกนางด้วยท่าทีอับจนปัญญา “ท่านลงมาเถิด จะตั้งอาหารแล้ว”

หยางหวั่นยืนขึ้นอย่างเงอะงะ “เจ้าปรนนิบัติองค์ชายเสวยก่อนเถิด”

“องค์ชายไม่ทรงยอม พระองค์ทรงรอท่านมากินด้วยกัน”

“อ้อ เช่นนั้นข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้”

เติ้งอิงรีบประคองหยางหวั่นพลางถามเสียงอ่อนโยน “องค์ชายทรงอนุญาตให้เจ้ากินอาหารด้วยกันกับพระองค์หรือ”

หยางหวั่นยืนอยู่ข้างชายคาย้อนนึกอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อก่อนไม่ทรงอนุญาต ภายหลัง…ไม่รู้อย่างไรก็ทรงอนุญาตแล้ว”

เติ้งอิงพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก

หยางหวั่นปัดฝุ่นบนจมูกของเติ้งอิง “เติ้งเสี่ยวอิง ท่านอย่าคิดอะไรเหลวไหลอยู่บนหลังคาห้องข้าเล่า”

“ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น”

“เป็นไปไม่ได้ ท่านดูแล้วไม่เบิกบานใจแม้แต่น้อย”

เติ้งอิงก้มหน้าหลบสายตาหยางหวั่น “หวั่นหวั่น ต่อไปภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ยิ่ง”

“ถึงกระนั้นข้าก็จะยังเคารพท่าน” นางพูดจบก็ไม่ให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด เพียงเอ่ยเสียงสูงขึ้น “วันนี้อยู่กินอาหารกับข้าเถิด อย่ากลับไปทุกข์ยากลำบากที่สำนักกิจการฝ่ายในเลย”

“ช้าก่อน…หวั่นหวั่น เมื่อยามกลางวันข้ากินบะหมี่แล้ว…” พูดจบก็รู้สึกว่าคำพูดนี้จะทำให้หยางหวั่นเข้าใจผิด จึงรีบกล่าวต่อ “แต่ข้าก็ยังอยากกินบะหมี่อีก”

หยางหวั่นมองท่าทางของเขาแล้วเอามือปิดปากหันหลังไปหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ ขณะที่เติ้งอิงกลับมีท่าทีไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“หวั่นหวั่น…”

หยางหวั่นหันกายมาโบกมือบอกว่า “วางใจได้ แต่อย่ากินบะหมี่ดีกว่า ท่านไปที่ห้องข้านั่งรอสักครู่ ข้าจะให้ห้องครัวต้มโจ๊กให้”

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนสิงหาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: