บทที่ 104
เนื่องจากนครหลวงมีกลุ่มคนร้ายที่ไม่รู้ที่มา การเฉลิมฉลองในเทศกาลซั่งหยวนจึงถูกยกเลิกไป วันที่สิบสี่ถึงวันที่สิบหกสามวันยังคงประกาศใช้กฎห้ามออกจากเคหสถานยามวิกาล
บนท้องถนนเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทั่วทุกหนแห่งมีองครักษ์เสื้อแพรเข้าออก ชาวบ้านล้วนอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าส่งเสียงหรือเคลื่อนไหว หวังเหยียนชิงก็เป็นเช่นเดียวกัน นางไม่ยึดติดกับการฉลองเทศกาลสักเท่าไร ในจวนแม้กระทั่งโคมยังไม่ได้แขวนด้วยซ้ำ
วันเทศกาลซั่งหยวน หวังเหยียนชิงพักผ่อนอย่างสงบเหมือนเช่นทุกวัน เพิ่งถึงยามเซินคนเฝ้าประตูก็วิ่งเข้ามากะทันหัน บอกว่ามีคนส่งของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้หวังเหยียนชิง ถามนางว่าจะจัดการอย่างไร
หวังเหยียนชิงได้ยินคำว่า ‘ของขวัญ’ ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร นางอยากดูว่าลู่เหิงคิดจะทำอะไรจึงสั่งให้คนเฝ้าประตูนำเข้ามา คนเฝ้าประตูประคองกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งเข้ามาโดยเร็ว เปิดออกแล้วพบว่าข้างในเป็นโคมไฟดวงหนึ่ง
โคมไฟทำเป็นรูปเสือ ด้านนอกปิดกระดาษสีแดง บนหน้าผากเขียน ‘อักษรหวัง’* เอาไว้ โคมไฟดวงนี้ทำขึ้นอย่างประณีตทีเดียว เสือดูเหมือนมีชีวิตจริง ทว่ามองอย่างไรก็ไม่น่ากลัวแม้แต่น้อยกลับน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
เหล่าสาวใช้ต่างล้อมวงเข้ามาแย่งกันพูดว่าโคมไฟดวงนี้ช่างน่ามอง ทันใดนั้นมีคนตาแหลม ชี้ไปที่ก้นกล่องพลางพูด “ตรงนี้มีจดหมายฉบับหนึ่งด้วย”
คนข้างๆ ลอบหยิกนางหนึ่งที สาวใช้จึงตระหนักว่าตนพูดผิดเสียแล้ว พวกนางต่างมองหน้ากัน วางโคมเสืออย่างเบาไม้เบามือและถอยออกไปเงียบๆ
หวังเหยียนชิงถอนหายใจ สุดท้ายยังคงหยิบจดหมายขึ้นมาแล้วเปิดดูข้อความข้างใน
ตัวอักษรบนกระดาษเรียบง่ายอย่างเหนือคาด
‘วันนี้สืบหาไส้ศึก บังเอิญผ่านริมทางที่ขายโคมไฟ เห็นแล้วคิดถึงเจ้า จึงทำโคมเสือดวงหนึ่ง อวยพรชิงชิงจากที่ไกลให้สุขสมบูรณ์ในวันเทศกาลซั่งหยวนปีเหรินอิ๋น*’
หวังเหยียนชิงพลิกกระดาษไปอีกด้าน นอกจากคำพูดประโยคนี้ก็ไม่มีเนื้อหาอื่นใดอีก นางวางกระดาษจดหมาย มองโคมไฟรูปเสือดวงนี้อย่างเหม่อลอย
ความจริงตั้งแต่เปิดกล่องนางก็แยกแยะได้แล้ว ‘อักษรหวัง’ ที่เขียนอยู่บนหน้าผากเสือเป็นลายมือของลู่เหิง ปีนักษัตรมีมากมายเขากลับเลือกส่งเสือมาให้นาง เหตุผลมิใช่เพราะปีนี้เป็นปีเสือ แต่เพราะนางแซ่หวัง
บอกไม่ถูกว่าเขามีเจตนาอย่างไร แต่เขาทำให้หวังเหยียนชิงจิตใจว้าวุ่นสำเร็จ
สำหรับลู่เหิงการมอบเพชรพลอยเครื่องประดับ หรือแม้แต่มอบที่ดินคฤหาสน์ล้วนไม่นับเป็นอะไร ด้วยตำแหน่งของเขามีหนทางในการหาเงินมากมายเหลือเกิน ข้าวของต่อให้ล้ำค่าเพียงใดสำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงตัวเลขหนึ่งเท่านั้น เขาถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงคิดเองด้วยซ้ำ แค่สั่งคำเดียวพ่อบ้านก็เลือกของขวัญมาให้แล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาทุ่มเทเวลาได้จึงจะเรียกว่าล้ำค่าอย่างแท้จริง แม้จะเป็นเพียงโคมไฟรูปเสือริมทาง แต่เขาเขียนอักษรตัวหนึ่งลงบนนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่รอด้วยตนเองจนกระทั่งโคมทำเสร็จ จากนั้นค่อยจรดพู่กันลงไป
สองสามวันนี้เป็นช่วงเทศกาลซั่งหยวน แรงกดดันในการจับกุมวอโค่วของพวกเขามีมากเป็นพิเศษ ระหว่างทำภารกิจเขาหยุดข้างทางกะทันหันเพียงเพราะคิดว่านางน่าจะชอบโคมไฟเช่นนี้ ตอนเขาทำเช่นนี้ในใจมีความคิดใดอยู่กันแน่
สาวใช้เข้ามาเปลี่ยนน้ำชา นางเห็นหวังเหยียนชิงจ้องโคมไฟนิ่งไม่ขยับจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ฮูหยิน โคมไฟดวงนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หวังเหยียนชิงดึงความคิดกลับมา เดิมทีนางไม่อยากรับของจากลู่เหิง แต่เห็นเสือน้อยท่าทางทึ่มทื่อน่าเอ็นดูแล้ว สุดท้ายก็แข็งใจโยนทิ้งไปไม่ได้ จึงตอบเสียงเรียบ “อย่าให้ฝีมือของคนทำโคมต้องเสียเปล่าเลย นำไปแขวนเถอะ”
สาวใช้ดีอกดีใจ รีบรับคำ “เจ้าค่ะ”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทีละน้อย โคมไฟรูปเสือสีแดงดวงหนึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคา แค่เงยหน้าก็มองเห็นได้ ความจริงหวังเหยียนชิงเข้าใจเจตนาของลู่เหิง ลู่เหิงนิสัยไม่ดี แต่ช่างฝีมือมิได้ผิดอะไร การพานโกรธโคมไฟไปด้วยออกจะน่าเสียดาย เดิมทีหวังเหยียนชิงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่สนใจลู่เหิงอีกเด็ดขาด ไม่ยอมตกหลุมพรางของเขาอีกแน่นอน แต่ความคิดบางอย่างใช่ว่านางจะสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อเหนือศีรษะมีโคมเสือที่สะดุดตาแขวนอยู่ คอยย้ำเตือนถึงตัวตนของเขาอย่างเงียบๆ ทำให้แม้กระทั่งหลับฝันตอนกลางคืนนางก็ยังเห็นเขา
ในฝันนางอายุเพียงสิบขวบ กำลังคัดอักษรตามแบบที่อาจารย์ทิ้งไว้ ไม่รู้เพราะเหตุใดแบบอักษรนี้จึงคัดไม่หมดเสียที ขณะที่นางลนลานไม่รู้จะทำเช่นไร พี่รองก็ปรากฏตัวกะทันหัน บอกว่าเขาเลียนแบบลายมือของนางได้ และสั่งให้หวังเหยียนชิงออกไปถ่วงเวลาอาจารย์ไว้ เขาจะปลอมลายมือให้นางเอง
หวังเหยียนชิงตื่นขึ้นมาในวันต่อมา ฟังเสียงลมนอกหน้าต่างพลางสงบสติอารมณ์อยู่นาน ยังคงรู้สึกเหลวไหลสิ้นดี
ในความเป็นจริงนางไม่เคยทำการบ้านไม่เสร็จและไม่เคยหลอกลวงอาจารย์ ในความเป็นจริง ‘พี่รองของนาง’ ก็มิใช่ลู่เหิง
ไม่รู้เหตุใดนางจึงถอนหายใจเบาๆ
หลังจากหวังเหยียนชิงรับโคมไฟไว้ คนข้างนอกก็เหมือนได้รับกำลังใจ หลังจากนั้นก็ส่งของมาให้นางไม่หยุด ทว่าทุกครั้งของที่เขาส่งมากลับมิใช่ของขวัญล้ำค่าอะไร ดังเช่นครั้งนี้เขาส่งกิ่งเหมยมากิ่งหนึ่ง
จดหมายสั้นๆ ที่แนบติดกับดอกไม้มาด้วยเขียนว่า
‘พวกวอโค่วซ่อนตัวอยู่ในคณะงิ้วคณะหนึ่ง ด้านนอกคณะงิ้วปลูกต้นเหมยไว้มากมาย กิ่งนี้ผลิบานงดงามเป็นพิเศษ ดอกเหมยเดิมทีไร้มลทิน ทิ้งไว้ที่นี่ย่อมถูกเหยียบย่ำทำลาย จะย้ายไปปลูกในจวนของพวกเราดีหรือไม่’
หวังเหยียนชิงอ่านปราดเดียวก็โยนจดหมายไปที่ไส้เทียนและเผาทิ้ง ฉกฉวยของผู้อื่นยังมีหน้าพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ จะย้ายหรือไม่ย้ายเป็นเรื่องของเขา มี ‘จวนของพวกเรา’ ที่ใดกัน
หวังเหยียนชิงไม่ไว้หน้าจดหมายที่ลู่เหิงส่งมาสักนิด ส่งมาหนึ่งฉบับก็เผาทิ้งหนึ่งฉบับ แต่กับดอกเหมยกิ่งนี้นางกลับรู้สึกปวดหัว
ดอกเหมยผลิบานอย่างงดงามจริงๆ สะพรั่งตระการตาเหมือนโลหิตสีแดงที่แผดเผาในเหมันต์อันหนาวเหน็บ โยนทิ้งบนพื้นออกจะน่าเสียดายเกินไป หวังเหยียนชิงจนปัญญา ได้แต่สั่งให้สาวใช้นำแจกันมาและปักกิ่งเหมยนั้นไว้
ลู่เหิงมารบกวนบ้างเป็นครั้งคราวเช่นนี้ ต่อให้คนไม่โผล่หน้า ตัวตนของเขาก็ไม่เคยหายไป ในเรื่องนี้หวังเหยียนชิงยังคงไร้เดียงสาเกินไป เจอเฒ่าเจ้าเล่ห์ในกลุ่มขุนนางอย่างลู่เหิงจึงถูกเขาจูงจมูกเดินโดยไม่รู้ตัว
ลู่เหิงผาดโผนอยู่ในวังหลวงและราชสำนัก กระจ่างแจ้งในหลักการของการมอบของขวัญนานแล้ว การมอบของขวัญจะมอบของกินไม่ได้เด็ดขาด ไม่เพียงเกิดเรื่องได้ง่าย กินหมดแล้วยังจบกัน ผู้รับจำไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทั้งไม่อาจมอบแก้วแหวนเงินทอง เพราะของเหล่านี้สามารถนำออกไปใช้ได้ทุกเมื่อ มิอาจแยกแยะได้ ไม่สามารถสร้างความทรงจำอันลึกซึ้งให้แก่ผู้รับ
ดังนั้นของขวัญที่ลู่เหิงมอบให้จึงเป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะ ทั้งยังสามารถตั้งวางไว้ได้เป็นเวลานานอย่างโคมไฟและกิ่งเหมย เหมยแดงกิ่งหนึ่งปักไว้ในเรือนให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกสิ่ง สะดุดตาอย่างยิ่ง ขอเพียงนางมองมาก็จะต้องคิดถึงเขา
เช่นนี้มิใช่มีประโยชน์ยิ่งกว่าการมอบภูเขาเงินภูเขาทองหรือ
เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว เพียงพริบตาก็ถึงวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ถึงเวลากลับไปทำงานแล้ว ลู่เหิงทำเหมือนเดิมคือส่งคนนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้หวังเหยียนชิงและบ่นกับนางในจดหมาย
‘ตาเฒ่าพวกนั้นไม่สนใจสักนิดว่าที่ไหล่ข้ายังมีแผลอยู่ การประชุมขุนนางช่วงเช้าบรรยากาศตึงเครียด ไม่ง่ายเลยกว่าจะรับมือกับคนพวกนั้นเสร็จ กลับจวนแล้วยังต้องเผชิญหน้ากับความอ้างว้าง’
หากบอกว่าจดหมายหลายฉบับก่อนหน้าเขายังสวมอาภรณ์ไว้ชั้นหนึ่ง บัดนี้ก็คือเปิดเผยเจตนาอย่างโจ่งแจ้ง หวังเหยียนชิงอ่านจดหมายฉบับนี้แล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฮ่องเต้อย่างน่าประหลาด
หากลู่เหิงอาศัยปากของสาวใช้บอกใบ้เป็นนัยว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเพียงใด รับมือกับความคลางแคลงใจทั้งในและนอกราชสำนักตามลำพังอย่างยากลำบากเพียงใด ในใจหวังเหยียนชิงจะต้องรู้สึกต่อต้านแน่นอน ทว่าหากเขาพูดออกมาด้วยตนเอง ใช้เรื่องบาดแผลมาขอความเห็นใจจากนางอย่างเปิดเผย หวังเหยียนชิงกลับมิได้ขุ่นเคือง
หญิงสาวเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาทันใด นางลืมหลักการต้มกบในน้ำอุ่น* ไปได้อย่างไรกัน หยางถิง หยางอิ้งหนิง และจางจิ้งกง ราชเลขาธิการทั้งสามคนยังเอาชนะเขาไม่ได้ แล้วนางเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่าจะหนีพ้นหลุมพรางของลู่เหิงได้
นางเพิ่งก้าวออกจากกรงขังสกุลฟู่ แล้วจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในกรงทองอีกใบที่ลึกยิ่งกว่า ใหญ่ยิ่งกว่า และชวนฝันมากยิ่งกว่าอย่างนั้นหรือ
หวังเหยียนชิงคิดในใจว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ นางรวบรวมของขวัญที่ลู่เหิงส่งมาให้ เรียกคนเฝ้าประตูมา ตีหน้าขรึมเอ่ยว่า “ส่งของพวกนี้กลับคืนไปให้ใต้เท้าลู่ วันหน้าหากจวนสกุลลู่ส่งของมาอีก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดล้วนไม่ต้องเอาเข้ามา”
คนเฝ้าประตูเห็นสีหน้าของหวังเหยียนชิงก็ตระหนักถึงความร้ายแรง เขารับคำอย่างพินอบพิเทา อุ้มกล่องของขวัญขึ้นมา ไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว หวังเหยียนชิงตามพ่อบ้านมาแล้วถาม “สองวันนี้ที่ทำการต่างๆ เปิดทำการแล้วกระมัง”
พ่อบ้านได้ยินดังนั้นเดาไม่ถูกว่าหวังเหยียนชิงคิดจะทำสิ่งใด จึงตอบอย่างระวังรอบคอบ “ที่ทำการในนครหลวงน่าจะเปิดแล้วขอรับ แต่ประตูเมืองยังมีการควบคุมอยู่ หากจะออกไปทำธุระนอกเมืองเกรงว่าคงยังไม่ได้”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า “ดีเลย เจ้าไปสอบถามที่ว่าการนครซุ่นเทียนดู การทำเรื่องถอดทะเบียนทาสให้บ่าวไพร่ช่วงนี้สามารถทำได้หรือยัง”
พ่อบ้านรับคำ เขามองหวังเหยียนชิงและทำท่าจะท้วงติงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายยังคงหุบปากอย่างรู้กาลเทศะ ออกไปทำธุระตามที่หวังเหยียนชิงมอบหมาย
ทั้งที่เพียงแค่นางเอ่ยปากกับลู่เหิงคำเดียว ทุกอย่างก็สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง หวังเหยียนชิงกลับเลือกที่จะไปสอบถามที่ว่าการนครซุ่นเทียนและจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
ราชสำนักกำลังถกเถียงกันเรื่องการปราบปรามวอโค่ว ทว่าเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองหาได้ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านไม่ ราษฎรในนครหลวงยังคงสนใจเรื่องใกล้ตัว ประตูเมืองจะเปิดเมื่อใดยังสำคัญกว่าเรื่องที่ราชสำนักจะเปิดศึกกับวอโค่วหรือไม่ด้วยซ้ำ
หวังเหยียนชิงไม่ใส่ใจวอโค่วเช่นกัน หลายวันนี้นางหมดเวลาไปกับที่ว่าการนครซุ่นเทียนทั้งหมด นางไม่ได้เปิดเผยฐานะของตนเอง เพียงบอกว่าตนแซ่หวัง อยากจะถอดทะเบียนทาสให้บ่าวรับใช้เก่า การถอดทะเบียนทาสให้บ่าวไพร่มิใช่ไม่เคยมีมาก่อน ระเบียบขั้นตอนจึงกำหนดไว้แต่แรกแล้ว ทว่าครั้งนี้การทำงานของที่ว่าการนครซุ่นเทียนกลับราบรื่นเหนือความคาดหมาย จัดการเรื่องถอดทะเบียนทาสให้เฝ่ยชุ่ยเสร็จอย่างฉับไว
เรื่องนี้มีลู่เหิงมาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ หวังเหยียนชิงไม่อยากจะคิด วันที่ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อย หวังเหยียนชิงเรียกเฝ่ยชุ่ยมาพบและยื่นหนังสือทางการให้นางฉบับหนึ่ง
เฝ่ยชุ่ยเห็นหนังสือที่ประทับตราของทางการฉบับนั้นแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ หวังเหยียนชิงดันเอกสารให้นางพลางพูด “นี่คือสัญญาขายตัวและเอกสารถอดทะเบียนทาสของเจ้า ก่อนหน้านี้เกรงว่าจะกระทบต่อจิตใจเจ้า ข้าจึงไม่ได้บอก บัดนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าดูว่ายังติดขัดตรงที่ใดหรือไม่”
เฝ่ยชุ่ยหยิบขึ้นมาดู นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของเจ้านาย พอรู้ตัวอักษรบ้างผิวเผิน นางไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวอักษรทุกตัวบนนั้น แค่แยกแยะลายพิมพ์นิ้วมือสีแดงและตราประทับของทางการบนสัญญาขายตัวได้ก็เพียงพอแล้ว
เฝ่ยชุ่ยถูกขายเป็นทาสตั้งแต่เล็ก เมื่อเป็นสาวใช้ก็ต้องต้อยต่ำกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง ต้องอดทนกับความเหนื่อยยากลำบาก ตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นบ่าวอยู่ตลอดเวลา มิเพียงต้องปกป้องเจ้านายยังต้องทุ่มเทชีวิตปกป้องทรัพย์สินของเจ้านายด้วย เฝ่ยชุ่ยเคยชินกับชีวิตเช่นนี้นานแล้ว จู่ๆ วันหนึ่งกลับมีคนบอกนางว่า ‘เจ้าเป็นอิสระแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่มีใครตีราคาเจ้าหรือเอาเจ้าไปขายต่อได้ตามใจชอบอีก’
เฝ่ยชุ่ยรู้สึกงุนงงชั่วขณะ นางเงียบงันเนิ่นนานถึงถามว่า “แม่นาง ท่านไม่คิดจะกลับจวนโหวจริงๆ หรือเจ้าคะ”
สัญญาขายตัวของเฝ่ยชุ่ยอยู่ในจวนเจิ้นหย่วนโหว ฟู่ถิงโจวมอบมันให้หวังเหยียนชิง บัดนี้หวังเหยียนชิงปล่อยนางให้เป็นอิสระ หนึ่งแสดงให้เห็นว่าหวังเหยียนชิงเห็นนางเป็นคนคนหนึ่งจริงๆ ไม่เหมือนคุณหนูพวกนั้นที่ปากบอกว่ารักใคร่ผูกพันกับสาวใช้ดุจพี่น้อง แต่กลับยึดสัญญาขายตัวของพวกนางไว้ในมือแน่น ไม่เคยพูดถึงการปล่อยคนเลย อีกทางหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่าหวังเหยียนชิงตั้งใจจะไปแล้ว
ฉะนั้นก่อนไปหวังเหยียนชิงจึงจัดการเรื่องของเฝ่ยชุ่ยให้เรียบร้อยก่อน
หวังเหยียนชิงพยักหน้านิดๆ จนแทบมองไม่เห็น น้ำเสียงสงบราบเรียบ “ใช่”
สองคนตกอยู่ในความเงียบงัน เฝ่ยชุ่ยชะงักชั่วครู่ก่อนจะพูดเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียท่านโหวก็ต้องแต่งงานกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ฐานะทัดเทียมกัน มิใช่จวนหย่งผิงโหวก็ต้องมีผู้อื่น ต่อให้ท่านโหวมีใจก็ไม่อาจดูแลเรือนหลังได้ตลอดเวลา นายหญิงกับฮูหยินผู้เฒ่าจะกลั่นแกล้งคนย่อมต้องคิดหาหนทางได้แน่ แทนที่จะถูกเหยียบย่ำไปทั้งชีวิต มิสู้จากไปอย่างบริสุทธิ์”
ความจริงครั้งก่อนตอนฟู่ถิงโจวมาหาหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยก็มีลางสังหรณ์อยู่แล้ว สายตาที่หวังเหยียนชิงมองท่านโหวไม่หลงเหลือประกายเฉกเช่นในอดีต ในใจนางไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียด ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธแค้น
เฝ่ยชุ่ยจึงรู้ว่าระหว่างท่านโหวกับแม่นางเป็นไปไม่ได้แล้ว
ช่วงเวลานี้เฝ่ยชุ่ยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ รับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่ลู่เหิงมีต่อหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยเติบโตมาในเรือนหลัง เห็นการฟาดฟันกันอย่างลับๆ ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ การแย่งชิงความรักใคร่ระหว่างภรรยากับอนุ ตลอดจนเหตุการณ์ที่สาวใช้แอบปีนขึ้นเตียงเจ้านายจนชาชิน เรื่องภายในเรือนไม่อยู่ในการดูแลของบุรุษ แต่ทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับบุรุษ เจ้าบ้านฝ่ายชายใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ ความจริงเดาไม่ยากเลยแม้แต่น้อย
เฝ่ยชุ่ยเคยสนับสนุนให้หวังเหยียนชิงอยู่ในจวนเจิ้นหย่วนโหวต่อไป เหตุผลมิพ้นฟู่ถิงโจวใส่ใจหวังเหยียนชิง แม้การพูดเช่นนี้จะโหดร้ายมาก แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างหวังเหยียนชิง การอยู่ข้างนอกยากเหลือเกินที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและพึ่งพาตนเองได้อย่างที่นางวาดฝันไว้ ไม่ช้าก็เร็วนางต้องถูกบุรุษที่มากด้วยตัณหาหมายปอง ในเมื่อล้วนเป็นการบังคับแต่งงานเหมือนกัน มิสู้แต่งให้ฟู่ถิงโจว ดีร้ายอย่างไรฟู่ถิงโจวก็เคยมีไมตรีในวัยเยาว์กับนาง มีความรักและความจริงใจให้
…น่าเสียดายที่ความจริงใจเหล่านี้ยังคงถูกวางอยู่หลังผลประโยชน์ของจวนเจิ้นหย่วนโหว
แต่บัดนี้ดูเหมือนจะมีบุรุษอีกคนที่เห็นหวังเหยียนชิงสำคัญกว่าวงศ์ตระกูลและผลประโยชน์ เฝ่ยชุ่ยรู้ดีว่าที่ตนสามารถถอดทะเบียนทาสได้แท้จริงแล้วเป็นเพราะอาศัยบารมีของลู่เหิง ในมุมมองของเฝ่ยชุ่ย ต่อให้เลือกได้อีกครั้งตนก็ยังจะบอกความจริงกับหวังเหยียนชิงเหมือนเดิม แต่จากความคิดของลู่เหิง การกระทำของเฝ่ยชุ่ยกลับเป็นการทำลายงานแต่งงานของเขาอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นเช่นนี้ลู่เหิงยังคงยินดีเมตตา ยอมดีต่อเฝ่ยชุ่ยถึงสามส่วน ซึ่งมิพ้นเห็นแก่หน้าหวังเหยียนชิงนั่นเอง ดังคำที่ว่า ‘รักคนผู้หนึ่งย่อมรักอีกาบนหลังคาบ้านเขาด้วย’*
ตอนนี้หวังเหยียนชิงฟื้นฟูความทรงจำแล้ว นางยังคงเลือกที่จะไปจากฟู่ถิงโจว ตัดขาดกับสกุลฟู่โดยสิ้นเชิง หากนี่เป็นการตัดสินใจของหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยก็ทำได้เพียงอวยพรให้นาง
ทว่าเฝ่ยชุ่ยยังคงไม่มีทางพูดเข้าข้างลู่เหิง นี่เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ว่าตอนนี้ลู่เหิงจะเสแสร้งได้น่าสงสารเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นคนเลว
อย่างไรเสียจวนเจิ้นหย่วนโหวก็มีบุญคุณต่อหวังเหยียนชิง หากไม่มีสกุลฟู่ นางจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างราบรื่นหรือไม่ยังไม่แน่ หวังเหยียนชิงจึงไม่ได้ว่าร้ายจวนเจิ้นหย่วนโหว แต่ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าถูกขายเพราะภัยธรรมชาติ ผ่านมาหลายปีแล้วไม่รู้บ้านเกิดเจ้ายังมีญาติพี่น้องอยู่หรือไม่ ข้าเตรียมสินเจ้าสาวไว้ให้เจ้าห้าสิบตำลึง หากเจ้าอยากกลับบ้านเกิด ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับไป เจ้าไปซื้อที่นาที่นั่นสักหลายหมู่ หาคนดีๆ ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบ แต่หากเจ้าไม่อยากกลับบ้านเกิดก็หาซื้อร้านรวงในนครหลวงและทำการค้าเล็กๆ”
เฝ่ยชุ่ยส่ายหน้า “นครหลวงมีผู้สูงศักดิ์มากเกินไป บ่าวไม่อยากอยู่ที่นี่ เวลาผ่านมานานเพียงนี้บ่าวจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเกิดหน้าตาเป็นอย่างไร จดจำได้เพียงที่นั่นมีนาข้าวเยอะมาก ในตัวอำเภอเจริญรุ่งเรืองทีเดียว บ่าวอยากกลับไปที่บ้านเกิดดูสักครั้ง หากหาคนในครอบครัวพบ ลงหลักปักฐานสักแห่งบริเวณใกล้ๆ ตัวอำเภอก็คงจะดีเช่นกัน”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า ไม่ได้ก้าวก่ายการตัดสินใจของนาง เงินห้าสิบตำลึงอยู่ในนครหลวงไม่นับเป็นอะไร อาจจะเทียบกับเงินค่าอาหารมื้อหนึ่งของคนอย่างลู่เหิงไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไป เงินจำนวนนี้เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขาไม่ต้องลำบากเรื่องปากท้องไปชั่วชีวิต
เงินห้าสิบตำลึงพอที่จะเลี้ยงดูเฝ่ยชุ่ยไปชั่วชีวิตได้พอดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นชักนำภัยถึงตายมาสู่ตัว หากให้มากกว่านี้ย่อมเป็นการทำร้ายนาง
บางทีจุดอ่อนของคนเราก็อยู่ตรงนี้กระมัง เฝ่ยชุ่ยถูกคนในครอบครัวขาย แต่พอนางได้รับอิสระยังคงอยากกลับไปหาคนในครอบครัว หวังเหยียนชิงไม่แสดงความเห็นในเรื่องนี้ เพียงแต่เตือนนางว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าเจ้ามีเงินอยู่เท่าไร ต่อให้เป็นญาติใกล้ชิดทางสายเลือดก็ไม่ได้”
เฝ่ยชุ่ยผงกศีรษะ “ขอบคุณแม่นาง บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หวังเหยียนชิงรู้สึกเศร้าใจอย่างยากจะอธิบาย แต่ยังคงฉีกยิ้มออกมา บอกนางว่า “นับแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องแทนตนเองว่า ‘บ่าว’ อีกแล้ว ความเคยชินเหล่านี้ต้องค่อยๆ แก้ไขเสียล่ะ”
เฝ่ยชุ่ยยิ้มรับคำ แสงตะวันสาดส่องตรงหน้าต่างราวกับเวลาได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่พวกนางสองคนอยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนม พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เฝ่ยชุ่ยเก็บสัญญาขายตัวและเอกสารเรียบร้อยแล้ว ลังเลอยู่หลายครั้งสุดท้ายยังคงรวบรวมความกล้าถามออกไป “แม่นาง หลังจากนี้ท่านวางแผนว่าอย่างไรหรือ”
“หลังจากนี้?” หวังเหยียนชิงมองประกายสีทองที่ขยับไหวใต้แสงแดด แววตาเหม่อลอยอยู่บ้าง “ไม่รู้สิ แต่ได้ยินว่าสองวันนี้ประตูเมืองเปิดแล้ว บางทีข้าอาจจะกลับไปเยือนบ้านเกิดเหมือนกันกระมัง”
เฝ่ยชุ่ยทำท่าจะพูดและเงียบไป สุดท้ายก็ถามเสียงค่อย “แม่นางจะไม่อยู่ที่นี่หรือ”
หวังเหยียนชิงยิ้มพลางส่ายหน้า หลุบตาจ้องลวดลายบนกระโปรงที่งดงามจนดูไม่เหมือนจริง ตอบเสียงแผ่ว “เวลาสองปีข้ายังดูไม่ออกว่าเขาหลอกข้าอยู่ ใครจะรู้ว่าการกระทำในตอนนี้ของเขาเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงเล่า”
เฝ่ยชุ่ยขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่คำพูดมาถึงปากแล้วยังคงล้มเลิกความคิด นางเผยสีหน้าเบิกบาน จงใจเอ่ยกับหวังเหยียนชิงด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แม่นาง ท่านเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดีงาม หนักแน่นเฉลียวฉลาด บุรุษคนใดได้แต่งท่านเป็นภรรยานับเป็นบุญวาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาสามชาติ ท่านจะต้องได้พบบุรุษที่ท่านถูกใจอย่างแน่นอน”
เฝ่ยชุ่ยเอ่ยชมหวังเหยียนชิงโดยไม่ได้ใช้ถ้อยคำไพเราะสละสลวยอะไร นางรู้ว่าสิ่งที่หวังเหยียนชิงให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือสิ่งใด หวังเหยียนชิงเพียงระบายยิ้มเท่านั้น มิได้ตอบคำ
รอจนเฝ่ยชุ่ยจากไปแล้ว รอยยิ้มในดวงตาของหวังเหยียนชิงก็หายวับไปโดยเร็ว นางเดินไปตรงหน้าต่าง เหมยแดงเมื่อหลายวันก่อนกิ่งนั้นเหี่ยวแห้งแล้ว ปักอยู่ในแจกันอย่างโดดเดี่ยว หวังเหยียนชิงแค่แตะเบาๆ ก็มีเศษเล็กเศษน้อยร่วงลงมามากมาย
หวังเหยียนชิงถอนหายใจในใจ เงยหน้าขึ้นมองไปยังแสงตะวันเจิดจ้านอกหน้าต่าง
ฟู่ถิงโจวไปแล้ว เฝ่ยชุ่ยก็จะไปแล้ว ต่อไปก็เหลือนางเพียงคนเดียว
เฝ่ยชุ่ยดีร้ายอย่างไรก็ยังกกกอดความหวังในการไปตามหาญาติพี่น้อง ทว่าหวังเหยียนชิงเล่า นางจะไปหาใครได้
สายสืบรายงานสถานการณ์ล่าสุดของหวังเหยียนชิงกลับมายังจวนสกุลลู่ ลู่เหิงพลิกดูบทสนทนาระหว่างนางกับเฝ่ยชุ่ย ยิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งหนักอึ้ง
รอจนอ่านข้อความทั้งหมดจบ เขากดหว่างคิ้วเผยสีหน้าปวดหัวอย่างที่ไม่ได้พบเห็นมานานแล้ว
โลกนี้มีน้อยสิ่งนักที่จะทำให้เขารู้สึกลำบากใจ ไม่รู้จะจัดการเช่นไร กำจัดฟู่ถิงโจวไปแล้วไม่ได้หมายความว่าตัวเขาเองจะปลอดภัย
เดิมทีลู่เหิงคิดว่าหวังเหยียนชิงแค่วู่วามชั่วขณะ รอให้นางหายโกรธเมื่อไร เรื่องราวยังคงแก้ไขได้แน่นอน ทว่านางกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจากไป
แน่นอนว่าลู่เหิงไม่อาจปล่อยให้นางจากไปได้ เขารู้ดีทีเดียวว่าระยะห่างส่งผลต่อความสัมพันธ์อย่างไรบ้างเมื่อพ้นไปจากสายตา ต่อให้ความรักลึกซึ้งเพียงใดก็ต้องถูกลืมเลือนไปทีละนิด ทว่าลู่เหิงไม่อาจออกหน้าขัดขวางได้ หาไม่แล้วละครที่เขาแสดงมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ย่อมสูญเปล่า
ถึงขั้นได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม…
ลู่เหิงขบคิดเรื่องของหวังเหยียนชิงตลอดทั้งคืน จนกระทั่งดึกดื่นจึงเข้านอน แต่เขาเพิ่งดับไฟได้ไม่นาน ข้างนอกก็พลันมีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนลอยมา องครักษ์ไม่สนใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ ทุบประตูดังปังๆ “ใต้เท้า เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”
* อักษรหวัง (王) มีลักษณะคล้ายลายบนหน้าผากเสือ
* เหรินอิ๋น คือปีขาลธาตุน้ำ ใช้การนับปีโดยแผนภูมิสวรรค์ คือระบบเลขฐาน 60 แบบวนรอบที่เขียนด้วยอักษรจีน ซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน ได้แก่ ภาคสวรรค์ เรียกว่า ‘ราศีบน’ มี 10 ตัวอักษร และภาคปฐพี เรียกว่า ‘ราศีล่าง’ มี 12 ตัวอักษร อักษรภาคสวรรค์และภาคปฐพีสามารถนำมาจับคู่กัน จะได้เป็นอักษรคู่ทั้งหมด 60 คู่ ซึ่งแสดงถึงปีนักษัตรและธาตุได้
* ต้มกบในน้ำอุ่น เป็นการอุปมาว่าคนเรามักไม่ตระหนักถึงภัยคุกคามหรืออันตรายที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ดังเช่นกบเมื่อถูกนำไปต้มในน้ำที่ไม่ร้อนและค่อยๆ เพิ่มความร้อนทีละนิด กบจะถูกต้มจนสุกโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้กระโดดหนีออกมา
* รักคนผู้หนึ่งย่อมรักอีกาบนหลังคาบ้านเขาด้วย เป็นสำนวนจีน หมายถึงเมื่อรักคนผู้หนึ่งแล้วก็จะรักและใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.