X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 108

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 108

ลู่เหิงพูดจบ ภายในตำหนักเงียบงันจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก ฮ่องเต้เอนกายอยู่บนเตียง ฟังอย่างเดียวโดยไม่เอ่ยอะไร ฟางฮองเฮาลนลานเล็กน้อย รีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนะเพคะ บ่าวชั่ว เจ้าช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าโกหกหลอกลวงข้าหรือ”

ฟางฮองเฮาพูดพลางหันไปตวาดสวีสี่เยวี่ย สวีสี่เยวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นิ่งงันไปพักหนึ่งจึงรู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน โขกศีรษะไม่หยุด ปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก ฟางฮองเฮาโบกมือไปที่ขันทีทันใด ตีหน้าขรึมเอ่ย “บ่าวต่ำช้าผู้นี้ถึงกับกล้าหลอกลวงข้า ใครก็ได้ ลากตัวนางไปขังไว้”

น้ำเสียงของฟางฮองเฮาทั้งร้อนรนและแหลมสูงแทบอยากจะพุ่งเข้าไปปิดปากสวีสี่เยวี่ยด้วยตนเอง คนในวังฉลาดเฉียบแหลม ปกติหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นย่อมมีขันทีออกมาทำตามคำสั่งของฟางฮองเฮานานแล้ว ทว่าครั้งนี้ฟางฮองเฮาตะโกนสั่งถึงสองครั้ง ในตำหนักกลับไม่มีใครขยับตัวสักคน

ลู่เหิงไม่แสดงท่าที องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่ฟังคำสั่งของฮองเฮาอยู่แล้ว ขันทีใหญ่ที่รับใช้เบื้องพระพักตร์จางจั่วก้มศีรษะไม่เอ่ยวาจา ขันทีทั้งในนอกใครบ้างจะกล้าขยับ

สีหน้าของฟางฮองเฮาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางกำมือแน่นพลางหันไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้ที่ไม่พูดอะไรสักคำ ยามนี้ในที่สุดก็เอ่ยปากเสียงเรียบ “สตรีผู้นี้ให้ร้ายสนมชายา หลอกลวงเบื้องสูงทรยศเจ้านาย ลากออกไปโบยให้ตาย”

ขันทีจึงได้เคลื่อนไหว จางจั่วรับคำ ส่งสัญญาณให้ขันทีเบื้องล่างรีบลากตัวนางกำนัลผู้นี้ออกไป สวีสี่เยวี่ยตระหนักว่าตนกำลังจะเผชิญชะตากรรมเช่นไร เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปากกลับถูกขันทีปิดปากไว้แน่น นางส่งเสียงดังอู้อี้พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ขันทีไม่เปิดโอกาสให้นางแม้แต่น้อย ลากตัวนางโยนออกไปเหมือนกระสอบป่านใบหนึ่ง

เสียงร่ำไห้ของสวีสี่เยวี่ยหายลับไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว วังอี้คุนคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ปลอกเล็บประณีตของฟางฮองเฮาประสานเข้าด้วยกัน นางลอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง มองฮ่องเต้อย่างสง่างามและจริงใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบเลยว่าบ่าวผู้นี้จะกล้าหลอกลวงเบื้องบนปิดบังเบื้องล่าง ให้ร้ายน้องหญิงตวนเฟยและน้องหญิงหนิงผิน หม่อมฉันเกรงว่าโจรกบฏจะหลบหนี ด้วยความร้อนใจชั่วขณะจึงสั่งให้คนคุมขังตวนเฟยกับหนิงผินไว้ แต่หม่อมฉันเพียงสั่งให้คนสอบปากคำพวกนางเท่านั้น หาได้คิดจะปองร้ายตวนเฟยกับหนิงผินไม่ คนเบื้องล่างกระทำการโดยพลการ หม่อมฉันไม่ทราบเรื่องโดยสิ้นเชิง”

ผู้คนทั้งในและนอกตำหนักต่างดูออกว่าฟางฮองเฮากำลังปัดความรับผิดชอบ ปัดความผิดเรื่องการใส่ความสนมชายาให้สวีสี่เยวี่ยก่อน จากนั้นก็ปัดความผิดเรื่องการลงทัณฑ์โดยพลการไปให้ขันที เอาเป็นว่าฟางฮองเฮาไม่มีทางทำผิด หากจะผิดนั่นก็เพราะถูกคนเบื้องล่างชักจูง

ทุกคนต่างก้มศีรษะเงียบๆ แม้กระทั่งลมหายใจยังจงใจผ่อนให้เบาลง ฮ่องเต้เอนกายอยู่บนเตียง เงียบงันครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ล่วงเกินเบื้องสูงก่อความวุ่นวาย ให้ร้ายสนมชายา บัดนี้ยังกล้าหลอกลวงฮองเฮาอีก เห็นทีไม่จัดระเบียบฝ่ายในคงไม่ได้แล้ว ลู่เหิง”

ลู่เหิงประสานมือ “พ่ะย่ะค่ะ”

“ตรวจสอบฝ่ายในให้ละเอียด กวาดล้างพวกกบฏให้สิ้น”

ลู่เหิงคิ้วตาไม่เปลี่ยนแปลง รับคำอย่างสงบ จางจั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างตกใจเล็กน้อย องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาและสำนักประจิมประชันขันแข่งกันทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่หยุดหย่อน แต่ที่ผ่านมามีเส้นแบ่งเส้นหนึ่งที่สองฝ่ายต่างยอมรับเงียบๆ นั่นคือเรื่องของฝ่ายในอยู่ในความดูแลของสำนักบูรพาและสำนักประจิม องครักษ์เสื้อแพรไม่เคยก้าวก่าย ทว่าบัดนี้แม้กระทั่งเรื่องราวของฝ่ายในฮ่องเต้ก็สั่งให้ลู่เหิงเป็นคนตรวจสอบ

ช่วงเวลานี้เนื่องจากมีผู้บัญชาการอย่างลู่เหิง องครักษ์เสื้อแพรจึงแข็งแกร่งกว่าสำนักบูรพาและสำนักประจิมมาโดยตลอด ขันทีเห็นองครักษ์เสื้อแพรแล้วยังต้องปั้นยิ้มให้ บัดนี้รับสั่งของฮ่องเต้ไม่ต่างจากการฉีกหน้าชั้นสุดท้ายของสำนักบูรพาและสำนักประจิมจนไม่เหลือ แม้แต่อาณาเขตผืนสุดท้ายขันทีก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว นี่เท่ากับเป็นการประกาศต่อเหล่าขุนนางว่านับแต่นี้ไปองครักษ์เสื้อแพรจะอยู่เหนือสำนักบูรพาและสำนักประจิมโดยสมบูรณ์

ฮ่องเต้สุ้มเสียงแหบพร่า แต่ยามเสียงนี้ลอยเข้าหูของทุกคนกลับหนักอึ้งเป็นพันจวิน* จวบจนบัดนี้หัวใจของฟางฮองเฮายังคงเต้นตึกตักไม่หยุด ฮ่องเต้มิได้สืบสาวเอาความเรื่องการตายของเฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินอีก เห็นได้ว่ายังคงเห็นแก่สายสัมพันธ์สามีภรรยาและบุญคุณที่ช่วยชีวิต น่าเสียดายทั้งที่นี่เป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้ควบคุมฝ่ายใน บัดนี้กลับถูกลู่เหิงสามีภรรยาคู่นี้ยื่นมือเข้าแทรกเสียแล้ว

หากฮ่องเต้มอบหมายเรื่องนี้ให้ขันที ฟางฮองเฮายังสามารถแทรกแซงได้ แต่หากมอบหมายให้องครักษ์เสื้อแพร นางก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายโดยสิ้นเชิง

เรื่องภายในวังเดิมทีสมควรให้นางที่เป็นฮองเฮาเป็นผู้ดูแลจัดการ ฮ่องเต้กลับข้ามหน้าข้ามตานาง มอบหมายเรื่องนี้ให้ขุนนางภายนอก นี่มิใช่การตบหน้าฟางฮองเฮาหรือ ฟางฮองเฮาไม่พอใจ แต่ไม่กล้าออกหน้าโต้แย้งอีกแล้ว

ว่ากันว่าลู่เหิงทำคดีไม่เคยผิดพลาด หากล่วงเกินลู่เหิงเข้า วันหน้าหากเขากัดนางไม่ปล่อย เช่นนั้นย่อมถึงคราวฟางฮองเฮานอนไม่หลับ อีกทั้งฮูหยินของเขาก็ร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ

ฟางฮองเฮาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่อาศัยเพียงการดูสีหน้าก็สามารถอ่านความคิดในใจผู้อื่นได้ กระนั้นคำพูดของหวังเหยียนชิงเมื่อครู่คล้ายยังดังอยู่ข้างหู ฟางฮองเฮารู้สึกขยาดเล็กน้อย ไม่กล้าทดสอบอีกแล้ว

ฟางฮองเฮารู้สึกคับแค้นใจ ไม่อยากเผชิญหน้ากับลู่เหิงและหวังเหยียนชิงอีก จึงเอ่ยว่า “ดึกมากแล้ว หม่อมฉันมิกล้ารบกวนการพักฟื้นของฝ่าบาท ขอทูลลาเพคะ”

ฮ่องเต้พยักหน้านิดๆ เป็นเชิงอนุญาต จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้วังหลวงวุ่นวาย องค์หญิงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”

ฟางฮองเฮาตระหนก รีบหันไปมองฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่หลับอยู่ในวังคุนหนิงเพคะ องค์หญิงใหญ่ยังเยาว์วัย มารดาบังเกิดเกล้าของนางก็เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย หม่อมฉันเกรงว่าเด็กจะได้รับความตกใจจึงสั่งให้หมัวมัวข้างกายดูแลองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างดี”

“ฮองเฮามีใจแล้ว” ฮ่องเต้พูด “นางเปลี่ยนสถานที่อาจจะนอนไม่หลับ อุ้มมาที่นี่เถอะ”

หัวคิ้วของฟางฮองเฮาขมวดเข้าด้วยกัน ฮ่องเต้มิได้ถือสาหาความเรื่องเฉาตวนเฟย แต่กลับเอาตัวองค์หญิงใหญ่กลับไป ฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไร ฟางฮองเฮาไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง นางเป็นภรรยาเอกและเป็นมารดาสายตรง อุตส่าห์รับตัวบุตรสาวของชายารองมาอยู่ข้างกายแล้ว หากต้องอุ้มกลับไปอีก ผู้คนในตำหนักในจะมองนางอย่างไร ฟางฮองเฮาไม่ยินยอม แต่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้แล้วนางก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก ได้แต่กัดฟันตอบอย่างขุ่นแค้น “เพคะ”

ฟางฮองเฮาจากไป จางจั่วตามไปที่วังคุนหนิงรับตัวองค์หญิงใหญ่ รอจนคนจากไปแล้ว ฮ่องเต้จึงเอ่ยกับลู่เหิงว่า “เรื่องเหลวไหลพวกนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจง กับภายนอกเจ้าประกาศไปว่าหยางจินอิงพร้อมพวกทั้งหมดสิบหกคนถูกองครักษ์เสื้อแพรประหารชีวิต ตัดหัวเสียบประจานในตลาด หยางจินอิงรับสารภาพว่าหวังหนิงผินเป็นคนวางแผน เฉาตวนเฟยรู้เรื่อง พระสนมหวังและพระชายาเฉาต่างสำนึกผิดจึงฆ่าตัวตาย”

ลู่เหิงรับคำอย่างสงบ นี่ก็คือประโยชน์ขององครักษ์เสื้อแพร ช่วยผู้มีอำนาจกระทำสิ่งที่ไม่อาจเปิดเผยต่อใต้หล้าได้ ในยามจำเป็นยังต้องช่วยฮ่องเต้และฮองเฮาแบกหม้อดำ อย่างไรเสียคนก็ตายไปแล้ว จะให้ประกาศกับใต้หล้าและคนรุ่นหลังว่าฮองเฮาอิจฉาริษยาจึงฆ่าสนมชายาอย่างโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ

บางครั้งความจริงก็อัปลักษณ์เสียจนผู้มีอำนาจเองยังไม่อยากจะยอมรับ

ลู่เหิงรับคำสั่งและออกไปเก็บกวาดร่องรอยต่างๆ ช่วยจัดการเรื่องภายหลังให้ฟางฮองเฮา ทั้งยังปลอมแปลงเอกสารและเบาะแสที่เกี่ยวข้อง บันทึกเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ใหม่โดยสิ้นเชิง หวังเหยียนชิงตามลู่เหิงจากไป ตอนกำลังจะเดินออกจากประตู ฮ่องเต้พลันถาม “ไม่ว่าผู้ใดโกหก เจ้าล้วนดูออกหรือ”

หวังเหยียนชิงหยุด เห็นทุกคนต่างมองมาที่นางจึงตระหนักว่าฮ่องเต้กำลังคุยกับนางอยู่จริงๆ หญิงสาวหันกลับมายอบกายให้พระองค์ ตอบอย่างสำรวม “ก็ไม่แน่เพคะ ต้องมีพิรุธหม่อมฉันจึงจะดูออก หากบางคนอุบายลุ่มลึก วางแผนยาวไกลไร้ช่องโหว่ ให้เวลาหม่อมฉันสองปีหม่อมฉันก็ยังดูไม่ออก”

ลู่เหิงรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ

ฮ่องเต้เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น มิได้สนใจหวังเหยียนชิงอีกกลับเผยท่าทีเหนื่อยล้าออกมา ขันทีเห็นดังนั้นก็รีบก้าวเข้าไปปรนนิบัติ ลู่เหิงทูลลาอีกครั้งและพาหวังเหยียนชิงจากไป

รอจนกระทั่งเดินออกจากวังอี้คุน หวังเหยียนชิงจึงระบายลมหายใจยาวออกมาในที่สุด ลู่เหิงเดินอยู่ข้างกายนาง ช่วยบังลมหนาวที่พัดมาจากตรอกในวังให้พลางพูด “ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านก่อน”

หวังเหยียนชิงเข้าใจว่าลู่เหิงยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย นางรู้ดีว่าในวังกำแพงมีหู ดังนั้นตลอดทางจึงไม่เอ่ยอะไร รอจนออกจากประตูวังแล้ว นางก้าวขึ้นรถม้า หันไปมองกลับเห็นชายหนุ่มตามขึ้นมาด้วย

หวังเหยียนชิงอึ้งงันไป อดถามไม่ได้ “ไฉนท่านจึงเข้ามาด้วย”

ลู่เหิงขึ้นนั่งบนรถม้า ตอบอย่างผ่าเผย “ไหล่มีแผลอยู่ ข้าขี่ม้าไม่สะดวก”

หวังเหยียนชิงชะงักไปเพราะข้ออ้างนี้ พูดอะไรไม่ออกจริงๆ รถม้าเคลื่อนที่ลัดเลาะไปในนครหลวงที่เงียบสงัด ล้อรถส่งเสียงดังกึงกัง หวังเหยียนชิงก้มหน้าจ้องนิ้วมือตนเอง ใจลอยโดยไม่รู้ตัว

นางคิดถึงวันงานแต่งงานที่ลู่เหิงถูกธนูยิง เขาหักก้านธนูประดับขนนกออกด้วยตนเองอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าหัวลูกธนูฝังลงไปลึกหรือไม่ หลังได้รับบาดเจ็บเขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ก่อนหน้านี้ไล่จับผู้ร้ายไปทั่วเมือง ตอนนี้ยังต้องจัดการกับเรื่องวุ่นวายในวังหลวง…

พูดไปแล้วหากมิใช่เพราะนาง ลู่เหิงก็ไม่มีทางถูกธนูยิง

พอลู่เหิงพูดถึงบาดแผลที่ไหล่ หวังเหยียนชิงก็รอให้เขาเอาเรื่องบาดแผลมาเป็นประเด็น แต่นอกจากเอ่ยถึงคำหนึ่งตอนแรกแล้ว หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดถึงแผลที่ไหล่อีกเลย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบหาเบาะแสจากคนรอบตัวของหยางจินอิง ยังต้องรบกวนเจ้าไปกับข้าด้วย วันนี้ข้าล่วงเกินฟางฮองเฮา วันหน้าไม่แน่นางอาจจะมาหาเรื่องเจ้า ข้าจะจัดองครักษ์มาคอยคุ้มกันเจ้าโดยเฉพาะ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เจ้าอย่าตามผู้อื่นไปที่ใดตามลำพังเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าไปที่หมู่ตำหนักเปลี่ยวร้างทางทิศเหนือของอุทยานหลวง”

หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาไม่ปกตินักจึงถาม “มีอันใดหรือ”

แต่ก่อนนางก็เคยเข้าวังมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจหลักการที่ว่าสำรวมวาจาระมัดระวังตน เหตุใดลู่เหิงต้องกำชับเป็นพิเศษด้วย ลู่เหิงถอนหายใจ “เป็นข้าที่หวาดระแวงไปเอง เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จึงอดกำชับเพิ่มเติมไม่ได้ แต่น่าจะไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เจ้าถือเสียว่าไม่ได้ยินแล้วกัน”

พอเขาพูดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็ยิ่งไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยิน นางขบคิดแล้วลองถามดู “เฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินเสียชีวิตอย่างไร”

ลู่เหิงมองนาง ทำท่าจะพูดและเงียบไป สุดท้ายก็ถอนหายใจก่อนตอบ “คนหนึ่งถูกประหารด้วยทัณฑ์หลิงฉือ คนหนึ่งถูกแขวนคอ”

หวังเหยียนชิงได้ยินแล้วสูดหายใจด้วยความตระหนกอย่างห้ามไม่อยู่ “ทัณฑ์หลิงฉือ?”

ลู่เหิงกุมมือนางและออกแรงบีบ “อย่าคิดอีกเลย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าเปิดโปงคำโกหกของนางกำนัลผู้นั้น คืนความบริสุทธิ์ให้พวกนาง นับว่าได้ช่วยเหลือพวกนางอย่างมากแล้ว”

หวังเหยียนชิงเคยได้ยินคำว่า ‘หลิงฉือ’ จากในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น อาศัยเพียงคำบรรยายไม่กี่คำในหนังสือ นางก็คลับคล้ายจะได้กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ไม่คิดว่าการลงทัณฑ์อันโหดเหี้ยมเช่นนี้จะเกิดขึ้นใกล้ตัวนางจริงๆ ทั้งยังเกิดกับสตรีที่นางรู้จัก

หวังเหยียนชิงคิดถึงพระชายาที่สดใสช่างยิ้มและเป็นที่โปรดปรานผู้นั้น หัวใจหนักอึ้งเกินบรรยาย “ทั้งที่พวกนางยังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนั้นแท้ๆ”

ลู่เหิงไม่เอ่ยอะไร เพียงกุมมือหญิงสาวแน่นเงียบๆ วันนี้ตอนลู่เหิงผลักประตูเข้าไปเห็นโลหิตแดงฉานเต็มพื้น ความคิดแรกของเขานอกจากคาดไม่ถึงแล้ว ที่มีมากกว่ายังเป็นความหวาดกลัว ฟางฮองเฮาไม่กล้าลงมือกับหวังเหยียนชิงเช่นนี้แน่นอน แต่ลู่เหิงกลับอดคิดมิได้ว่าหากวันหนึ่งเขาคาดการณ์ผิด หรือเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรูแล้วมีคนทำกับหวังเหยียนชิงเช่นนี้ เขาจะทำอย่างไร

แค่คิดเขาก็แทบเสียสติแล้ว

กัวเทาสะอิดสะเอียนจนไม่อยากจะกินเนื้อ ลู่เหิงด้านร่างกายไม่รู้สึกอะไร แต่จิตใจกลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เป็นครั้งแรกที่เขาใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าตำแหน่งหน้าที่ของเขา เส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่นี้อันตรายเกินไปหรือไม่

หวังเหยียนชิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ “ฟางฮองเฮาจะทรงทำเช่นนี้ไปไย”

นางเสียสติไปแล้วหรือ

ลู่เหิงไม่สนใจเรื่องราวของฝ่ายในพวกนั้นโดยสิ้นเชิง “ทองสิบตำลึงก็เพียงพอให้ผู้กล้าคนหนึ่งลงมือฆ่าคนได้ วังหลวงเป็นบ่อเกิดของอำนาจสูงสุดในใต้หล้านี้ สถานที่แห่งนั้นยังมีเรื่องใดที่ทำไม่ได้อีกเล่า”

หวังเหยียนชิงขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก เอ่ยถาม “ท่านหมายความว่านางทำเพื่อองค์หญิงใหญ่หรือ แต่ฝ่ายในยังมีองค์ชายอีกถึงสามพระองค์…”

ลู่เหิงส่ายหน้า เสียงหัวเราะเบายิ่งถูกเปล่งออกมาจากโพรงอก “มีองค์ชายสามพระองค์กลับมิอาจลงมือได้ อย่างไรก็คงไม่อาจกล่าวหาว่ามารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายทั้งสามเป็นกบฏกระมัง การทำเช่นนี้โจ่งแจ้งเกินไป องค์ชายทั้งสามใครจะเป็นอาชาพันหลี่ยังไม่อาจรู้ แต่องค์หญิงใหญ่กลับได้รับความโปรดปรานมากที่สุดอย่างแท้จริง ฝ่าบาทเองก็ทรงเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่จึงได้เสด็จไปวังของเฉาตวนเฟยบ่อยครั้ง หากสามารถอุ้มองค์หญิงใหญ่ไปได้ ไยต้องกังวลว่าตนเองจะให้กำเนิดพระโอรสไม่ได้เล่า”

หวังเหยียนชิงฟังเข้าใจแล้ว แต่เนิ่นนานที่มิอาจทำใจยอมรับ ฟางฮองเฮาฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮาแต่กลับไร้บุตร นางเป็นคนที่เข้าวังมาเป็นกลุ่มแรก หลายปีมานี้ได้เห็นคนข้างกายตั้งครรภ์คนแล้วคนเล่า มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่มีความเคลื่อนไหว จิตใจจะไม่บิดเบี้ยวได้อย่างไร ฮองเฮาทั้งสองพระองค์ก่อนหน้านี้ล้วนถูกปลดเพราะไร้บุตร ฟางฮองเฮาไม่มีทั้งความรักใคร่โปรดปรานจากฮ่องเต้ และไม่มีการสนับสนุนจากวงศ์ตระกูล หากนางไม่มีบุตรย่อมอยู่ไม่ไกลจากการถูกปลดแล้ว

บัดนี้ฮ่องเต้มีสามโอรสหนึ่งธิดา องค์ชายทั้งสามดูเหมือนจะสูงศักดิ์ แต่การวางเดิมพันในตอนนี้ยังเร็วเกินไป ต่อให้ฟางฮองเฮาโค่นล้มมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายองค์หนึ่งได้และอุ้มเด็กมาเลี้ยงดูเองก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นการตัดชุดแต่งงาน* ให้ลูกคนอื่น ในสถานการณ์นี้องค์หญิงใหญ่กลับมีประโยชน์มากที่สุด ฮ่องเต้รักใคร่เอ็นดูองค์หญิงใหญ่มาก หากมีองค์หญิงใหญ่อยู่ข้างกาย ฮ่องเต้เสด็จมาวังคุนหนิงบ่อยๆ ฟางฮองเฮายังต้องกลัวว่าตนจะไม่มีบุตรหรือ

ฉะนั้นฟางฮองเฮาจึงรีบร้อนสังหารเฉาตวนเฟยผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้าขององค์หญิงใหญ่อย่างทนรอไม่ไหว ทั้งได้กำจัดพระชายาคนโปรดและยังได้เด็กมาคนหนึ่ง หนึ่งการกระทำได้ผลลัพธ์ถึงสองอย่าง ส่วนหวังหนิงผินน่าจะเป็นเพราะในอดีตเคยบาดหมางกับฟางฮองเฮาจึงเป็นที่ระบายอารมณ์ของฟางฮองเฮาเท่านั้น

หวังเหยียนชิงจิตใจหนักอึ้ง ลู่เหิงตบๆ หลังมือนาง ปลอบว่า “ไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าเป็นคนพาเจ้าเข้าวังก็จะต้องรับเจ้าออกมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”

ลู่เหิงเบียดมาข้างกายหวังเหยียนชิงอย่างแนบเนียนอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกได้ แต่คำมั่นสัญญาในถ้อยคำของเขาจริงจังเกินไปจนทำให้นางมิอาจแข็งใจผลักเขาออก แม้ลู่เหิงมักบอกว่าตนเองไม่ใช่คนดี แต่ในแง่ของบุรุษ เขากลับไม่มีที่ติ

นี่คือคนเลวที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง

หวังเหยียนชิงแค่สงสัยเจตนาของเขาเท่านั้น แต่กลับไม่เคยสงสัยเรื่องความปลอดภัยของตนเอง นางเชื่อว่าลู่เหิงไม่มีทางทอดทิ้งไม่ไยดีนาง ย้อนคิดถึงสองปีที่ผ่านมา นอกจากโกหกนางตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เรื่องอื่นเขาไม่เคยผิดต่อนางมาก่อน

ทว่าเขาดีต่อนางได้ก็ย่อมดีต่อสตรีอื่นได้เช่นกัน แม้กระทั่งความจริงเขายังไม่ยอมพูดกับนาง แล้วนางจะกล้ามอบทั้งชีวิตให้เขาได้อย่างไร ตัวหวังเหยียนชิงเองไม่ได้มีสิ่งใดเหนือกว่าผู้อื่น วันข้างหน้าย่อมมีสตรีที่อ่อนเยาว์กว่า งดงามกว่านางอีกมากมาย หากเขามีใจเป็นอื่น แอบเลี้ยงดูคนไว้ข้างนอกก็จะสามารถหลอกนางจนสับสนได้เช่นกันใช่หรือไม่

หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นกบที่ถูกต้มในน้ำอุ่น ดิ้นรนแต่ในขณะเดียวกันก็ด้านชา นางถาม “วันนี้เหตุใดท่านจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับฟางฮองเฮา”

“มิใช่ตั้งตัวเป็นศัตรู” ลู่เหิงแย้ง “ข้ากำลังถามแทนฝ่าบาทต่างหาก เนื้อเน่าย่อมกลายเป็นหนอง พระทัยของฮ่องเต้ช้าเร็วก็ต้องเกิดความตะขิดตะขวง มิสู้พูดออกมาให้แจ่มแจ้งโดยเร็ว ดึงตัวข้าเองออกมาก่อน”

ดังนั้นตอนที่หวังเหยียนชิงถามถึงภูมิลำเนาของนางกำนัล ลู่เหิงจึงจงใจพูดว่านี่เป็นการหาเบาะแสอย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจของฟางฮองเฮากับสวีสี่เยวี่ยปั่นป่วน เมื่อพวกนางประหม่าย่อมเกิดข้อผิดพลาด พอเกิดข้อผิดพลาด หวังเหยียนชิงย่อมจับผิดได้

หวังเหยียนชิงก้มหน้าลง ใคร่ครวญคำว่า ‘เนื้อเน่าย่อมกลายเป็นหนอง’

ลู่เหิงรู้สึกได้ว่าความคิดของนางล่องลอยออกไป ไม่แน่ใจนักว่าจะพูดออกไปเลยดีหรือไม่ แต่สุดท้ายยังคงตัดสินใจทำตามความรู้สึกของตนเอง “ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มีความตะขิดตะขวงใจกับข้า ระหว่างพวกเราเพิ่งเกิดเนื้อเน่า หรือว่าเน่าเฟะจนกลายเป็นหนองไปแล้ว”

“มีอะไรแตกต่างกันเล่า”

“ไม่แตกต่างอันใด เพราะไม่ว่าใหญ่หรือเล็กข้าก็จะขูดเนื้อเน่าส่วนนั้นออกมาให้หมด” ลู่เหิงตัดสินใจเลิกเสแสร้ง กางแขนโอบกอดหวังเหยียนชิง วางคางบนศีรษะนาง “บางครั้งข้าก็เข้าใจความนึกคิดจิตใจของฟางฮองเฮาเหมือนกัน ความริษยาเป็นพลังที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่ง สามารถบงการคนให้ทำเรื่องที่คิดไม่ถึงได้มากมาย ข้าอยากเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่จนแล้วจนรอดข้าก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยเจ้าไป การหลอกเจ้าเป็นความผิดข้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลมากมายเพียงใด ทำแล้วก็คือทำลงไปแล้ว แต่ข้ายังอยากลองดูอีกสักครั้ง”

หวังเหยียนชิงเชิดลำคอเรียวยาว นั่งตัวตรง มิได้หลบเลี่ยงแต่ก็มิได้ตอบรับ ลู่เหิงกระชับวงแขนแน่น “เจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ให้ข้าได้ขอความรักและขอเจ้าแต่งงานอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้ามีความทรงจำแล้ว รู้หมดแล้วว่าข้าเป็นคนเช่นไร จากนั้นเจ้าค่อยตัดสินใจว่าจะแต่งให้ข้าหรือไม่”

ความจริงหวังเหยียนชิงเองก็รู้สึกว่าระหว่างพวกเขาจำเป็นต้องสะสางให้เด็ดขาด นางสามารถอวยพรให้ฟู่ถิงโจวอย่างสงบได้ แต่สำหรับลู่เหิงกลับรู้สึกขัดแย้งมาโดยตลอด นางไม่อาจให้อภัยที่เขาหลอกลวงนาง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจแข็งใจตัดขาดกับเขา บางทีโอกาสครั้งนี้อาจเป็นทั้งการมอบโอกาสให้เขาและมอบโอกาสให้ตัวนางเอง

หวังเหยียนชิงถาม “หากครั้งนี้ข้ายังคงไม่เต็มใจ ท่านจะปล่อยข้าจากไปจริงๆ หรือ”

ลู่เหิงบีบนิ้วเข้าด้วยกันแน่น เขาอยากเดิมพันกับความใจอ่อนของนาง แต่ไม่ได้คิดจะตั้งเดิมพันไว้สูงถึงเพียงนี้ สุดท้ายชายหนุ่มก็คิดว่าไม่ยอมเสียสละเด็กย่อมมิอาจล่อหมาป่าได้ กัดฟันตอบว่า “ใช่”

“ดี” หวังเหยียนชิงพยักหน้าทันทีเช่นกัน ถามต่อ “กำหนดเวลาเท่าใด”

ลู่เหิงเลิกคิ้ว รู้สึกเหลวไหลเหลือเกิน “ยังต้องมีกำหนดเวลาด้วยหรือ”

“หากท่านจะตามตอแยข้าไปแปดปีสิบปี ข้าก็ต้องเสียเวลากับท่านไปทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ” หวังเหยียนชิงเปิดโปงหลุมพรางที่เขาซุกซ่อนไว้ เอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ในเมื่อท่านเป็นคนเสนอ เช่นนั้นก็ให้ท่านเป็นคนกำหนดเวลา”

ฝ่ายที่ขอปรองดองต้องยื่นข้อเสนอก่อน นี่เป็นกฎ จุดอ่อนของลู่เหิงถูกผู้อื่นบีบไว้จึงได้แต่ข่มความเจ็บปวดยอมถอยก้าวใหญ่ ตอบอย่างกล้ำกลืนฝืนใจ “หนึ่งปี?”

หวังเหยียนชิงฟังแล้วแกะมือเขาออกทันที ลู่เหิงรีบโอบความอ่อนนุ่มหอมกรุ่นในอ้อมแขนเอาไว้แน่น พูดใหม่ “ครึ่งปี”

“ไม่ได้ อย่างมากที่สุดหนึ่งเดือน”

ลู่เหิงกอดคนไว้ไม่ยอมปล่อย “สามเดือน น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากยังน้อยกว่านี้อีก คำพูดก่อนหน้านี้ถือว่าข้าไม่เคยพูดแล้วกัน ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแล้ว”

ไฟโทสะพุ่งขึ้นในใจของหวังเหยียนชิง นี่เขากำลังทำการค้าที่ไม่มีต้นทุนอยู่หรือไร แต่คนเราเมื่อหน้าไม่อายย่อมไร้เทียมทานในใต้หล้า หวังเหยียนชิงแกะมือเขาไม่ออก เขากลับอาศัยช่วงที่นางดิ้นรนแนบชิดเข้ามามากกว่าเดิม หญิงสาวได้แต่รับปากอย่างจนใจ “ได้ ตกลงตามนี้ กำหนดเวลาคือสามเดือน หลังจากนี้จะแยกหรือจะอยู่ย่อมตัดสินได้ ผู้ใดก็ห้ามเสียใจภายหลังทั้งนั้น”

เป็นครั้งแรกที่ลู่เหิงรับภารกิจที่หนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้มา เมื่อมีกำหนดเวลา เขาจะล้มเหลวไม่ได้ ทั้งยังไม่มีโอกาสให้แก้ตัว แต่ช่วยไม่ได้ นี่เป็นผลจากเมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านเอาไว้เอง ชายหนุ่มได้แต่ยอมรับอย่างจำใจ “ตกลง”

หลังจากพวกเขาต่อรองกันเสร็จ หวังเหยียนชิงจึงพบว่ารถม้าหยุดลง ถึงคฤหาสน์แล้ว หญิงสาวกระทุ้งเขาหนึ่งทีด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “ปล่อยมือ ข้าจะลงจากรถแล้ว”

ลู่เหิงถอนหายใจ ในอดีตพวกเขาเกือบจะก้าวไปถึงขั้นตอนสุดท้ายอยู่แล้ว บัดนี้ทุกอย่างสูญเปล่าไม่พอ แม้กระทั่งกอดยังเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ลู่เหิงนึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรเขาก็ยังมียางอาย สุดท้ายจึงปล่อยมือจากหวังเหยียนชิงช้าๆ พลางพูด “พรุ่งนี้ต้องไปตรวจสอบคนข้างกายหยางจินอิง ข้าจะมารับเจ้ายามเฉิน”

การที่สวีสี่เยวี่ยโกหกบอกได้เพียงหวังหนิงผินและเฉาตวนเฟยรับเคราะห์อย่างไม่สมควร ส่วนเบาะแสเกี่ยวกับพวกหยางจินอิงทั้งสิบหกคนนั้นยังคงว่างเปล่า ฟางฮองเฮาทำลายหลักฐานทิ้งทั้งหมด หากพวกเขาอยากรู้ความจริงย่อมได้แต่หาเบาะแสนำมาประกอบกัน

หวังเหยียนชิงพยักหน้า หยิบชุดคลุมกันลมขึ้นมาและเดินออกไปข้างนอก ลู่เหิงส่งนางถึงประตูข้าง หยุดฝีเท้าที่นอกประตูอย่างรู้ตัวดี องครักษ์ถือโคมไฟคุ้มกันหวังเหยียนชิงเดินเข้าไปภายในจวน นางเดินไปหลายก้าว หยุดและหันกลับมามอง เห็นลู่เหิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ลู่เหิงคลี่ยิ้มให้นาง “รีบกลับไปเถิด จะได้รีบเข้านอน”

หวังเหยียนชิงรับคำว่า “อืม” แต่กลับมิได้ขยับ นางลังเลครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงค่อย “อย่าลืมใส่ยาด้วย”

 

* จวิน เป็นหน่วยชั่งของจีน 30 ชั่งเท่ากับ 1 จวิน

* มาจากสำนวน ‘ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น’ หมายถึงลำบากลำบนหรือเหนื่อยเปล่าเพื่อผู้อื่น แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อตนเอง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: