X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 109

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 109

เช้าวันถัดมา ลู่เหิงมารับหวังเหยียนชิงด้วยตนเอง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวังหลวง

ระหว่างทางลู่เหิงยังคงอ้างว่าบาดเจ็บจึงไม่ขี่ม้าและหันมานั่งรถม้าแทน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตอนจับกุมวอโค่วเขาเคลื่อนไหวอย่างไร รถม้าแล่นกึงกังไปข้างหน้า ลู่เหิงอาศัยช่วงเวลานี้บอกวิธีการสืบคดีในวันนี้กับหวังเหยียนชิง

“เริ่มจากหยางจินอิงก่อน สืบดูว่าช่วงเวลานี้นางไปมาหาสู่กับใครบ้าง ทางหนึ่งตรวจสอบคน ทางหนึ่งตรวจสอบสิ่งของ โดยเฉพาะข้าวของล้ำค่าในห้องนาง แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าเครื่องประดับ รวมถึงของกระจุกกระจิกที่มิใช่ของภายในวังล้วนต้องตรวจสอบทั้งหมด องครักษ์เสื้อแพรในวังไม่สะดวกที่จะค้นและไม่สะดวกที่จะถาม จึงได้แต่พึ่งพาเจ้าแล้ว ข้าขอกำลังคนมาจากสำนักบูรพาและสำนักประจิม ส่วนการซักถามเจ้าจัดการเอง แต่งานที่ใช้แรงอย่างการรื้อค้นข้าวของ ให้พวกเขาคอยช่วยเจ้า”

หวังเหยียนชิงแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ลู่เหิงสามารถกระทำได้ “ท่านยังเชิญคนของสำนักบูรพาและสำนักประจิมมาด้วยหรือ”

ฮ่องเต้มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการตรวจสอบวังหลวงให้ลู่เหิง แม้องครักษ์เสื้อแพรจะไม่สะดวกตรวจสอบสตรีในวัง แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว กระนั้นลู่เหิงกลับแบ่งงานนี้ให้สำนักบูรพาและสำนักประจิม มีคุณงามความชอบทุกคนแบ่งปันกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเบิกบานกันถ้วนหน้า เหล่าขันทีเองก็รับน้ำใจจากลู่เหิง

อย่างไรเสียขันทีก็เป็นคนที่ใกล้ชิดฮ่องเต้มากที่สุด การผูกมิตรกับคนกลุ่มนี้ไว้มีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอนนี้ลู่เหิงเป็นฝ่ายหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ วันหน้าพวกขันทีย่อมพูดจาเข้าข้างลู่เหิงมากหน่อย พบเจอเรื่องราวยังเป็นฝ่ายกระซิบบอกเขา ประโยชน์ที่ลู่เหิงจะได้รับย่อมมิอาจประมาณได้

ลู่เหิงเชี่ยวชาญการเดินหมาก นักเดินหมากที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง สิ่งที่ใส่ใจมิใช่ผลแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว แต่เป็นการวางแผนระยะยาว

หวังเหยียนชิงชื่นชมในใจว่าลู่เหิงช่างรู้จักวางตัวอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงยืนอยู่ในแวดวงขุนนางได้อย่างมั่นคงไม่ล้มลง สภาขุนนางเปลี่ยนราชเลขาธิการมาสี่คนแล้ว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรกลับยังคงเป็นเขามาโดยตลอด หวังเหยียนชิงถูกเขาวางกับดัก ยอมรับปากเงื่อนไขของเขาอย่างเลอะเลือนก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้

“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้า “พวกเขายังคงคุ้นเคยกับตำหนักในมากกว่า ทุกคนเงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ต้องพบกัน ไม่มีความจำเป็นต้องแย่งชิงอาณาเขตกับผู้อื่น ตำหนักในให้พวกเขาเป็นคนตรวจสอบ ส่วนข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องครอบครัวและพื้นเพของพวกหยางจินอิงทั้งสิบหกคน ข้าจะส่งองครักษ์เสื้อแพรจำนวนหนึ่งคอยติดตามเจ้าตลอดเวลา สำนักบูรพาและสำนักประจิมก็จะส่งคนมาด้วยเช่นกัน เจ้าใช้สอยพวกเขาอย่างวางใจได้ ไม่ต้องระแวง วันนี้ทั้งวันข้าจะอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ มีเรื่องอะไรเจ้าให้คนมาแจ้งข่าวที่วังอี้คุน ไว้ตอนกลางคืนข้าจะส่งเจ้าออกจากวัง”

การสืบข่าวต่างหากคืองานหลักขององครักษ์เสื้อแพร พวกเขาถนัดการสืบหาข่าวนอกวังมากกว่า หวังเหยียนชิงผงกศีรษะรับ มีลู่เหิงอยู่ นางไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองแม้แต่น้อย หากแม้แต่คนที่ฉลาดอย่างลู่เหิงยังป้องกันไม่ได้ เช่นนั้นหวังเหยียนชิงระวังตัวไปก็ไร้ประโยชน์

หวังเหยียนชิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักในสืบคดีลอบปลงพระชนม์ที่รับมือยากที่สุดด้วยจิตใจที่คิดว่าเป็นตายแล้วแต่ชะตา ลาภยศสรรเสริญแล้วแต่ฟ้ากำหนด รถม้าหยุดหน้าประตูวัง หน้าประตูมีขันทีจำนวนมากมารออยู่แล้ว ผู้เป็นหัวหน้าเห็นลู่เหิงก็รีบก้าวเข้ามาทักทาย “คารวะใต้เท้าลู่”

ลู่เหิงยิ้มพลางพยักหน้า “คารวะจ้าวกงกง กงกง นี่คือภรรยาของข้า วันหน้ารบกวนกงกงช่วยดูแลนางมากๆ ด้วย”

จ้าวกงกงย่อมรับคำอยู่แล้ว เรื่องของหน้าตานั้นต้องต่างฝ่ายต่างไว้หน้าจึงจะยิ่งให้ยิ่งได้รับมาก ลู่เหิงให้เหตุผลว่า ‘ไม่คุ้นเคยกับตำหนักใน’ จึงขอให้สำนักบูรพาและสำนักประจิมช่วยเหลือ องครักษ์เสื้อแพรเป็นฝ่ายให้เกียรติขันที จ้าวกงกงย่อมต้องรับไมตรีจากลู่เหิง

สำนักบูรพาส่งขันทีรับใช้มาหลายคน โดยให้จ้าวกงกงจากสำนักประจิมเป็นหัวหน้า จ้าวกงกงทักทายปราศรัยกับลู่เหิงอีกสองสามคำ ก่อนที่สองคนจะอำลากันด้วยความปรองดอง ลู่เหิงไปวังอี้คุนเฝ้าฮ่องเต้ ส่วนจ้าวกงกงยิ้มประสานมือให้หวังเหยียนชิง “คารวะลู่ฮูหยิน ฟังว่าลู่ฮูหยินมีเนตรไฟตาทอง* วินิจฉัยเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง ผู้น้อยต้องพึ่งพาลู่ฮูหยินแล้ว”

หวังเหยียนชิงไม่เหมือนลู่เหิงที่แค่อ้าปากก็พูดไปเรื่อยได้ ฟังแล้วเพียงยิ้มน้อยๆ ปฏิเสธ จ้าวกงกงจึงผายมือออกไป เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ “ลู่ฮูหยิน เชิญ”

เขตพระราชฐานชั้นในแม้จะกว้างใหญ่ แต่มิใช่นางกำนัลขันทีทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในนี้ เฉพาะนางกำนัลขันทีจำนวนน้อยที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดสนมชายาเท่านั้นจึงจะได้พักอยู่ในห้องด้านข้างกับเจ้านาย ส่วนคนอื่นๆ ล้วนพักอยู่ในเขตวังนอกพระราชฐานชั้นใน หกวังประจิมมีพื้นที่น้อย แค่สนมชายายังไม่พออยู่อาศัยจึงรองรับนางกำนัลได้ไม่มาก

พวกหยางจินอิงทั้งสิบหกคนล้วนอาศัยอยู่ด้านนอก พวกนางแบ่งเป็นสามผลัด แต่ละผลัดทำงานสี่ชั่วยาม ถึงเวลาก็ออกจากวัง คืนวันที่ยี่สิบเจ็ดเป็นเวรของหยางจินอิงและคนอื่นๆ เฝ้าวังอี้คุนยามค่ำคืน

หยางจินอิง จางจินเหลียน และนางกำนัลที่เหลืออีกสิบหกคนล้วนอยู่ผลัดเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรวมตัวกันได้ หวังเหยียนชิงไปตรวจสอบที่ฝ่ายงานนางกำนัลในวังโดยมีจ้าวกงกงไปเป็นเพื่อน

ที่พักของหยางจินอิงถูกปิดไว้แล้ว ภายในรกเละเทะเพราะถูกรื้อค้นหลายครั้ง หวังเหยียนชิงเห็นภาพนี้แล้วในใจไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก ทว่านางยังคงก้าวเข้าไปในเรือน ตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัยโดยละเอียด

ด้วยระดับความรู้ของนางกำนัล หากมีผู้บงการเบื้องหลังจริงเกินครึ่งน่าจะถ่ายทอดคำสั่งด้วยปากเปล่า การใช้จดหมายสั่งการพวกนางไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นหวังเหยียนชิงจึงค้นดูทรัพย์สินเป็นหลัก ทว่าที่พักของหยางจินอิงเรียบง่ายมาก ในห้องเล็กๆ มีคนเบียดเสียดอยู่ด้วยกันถึงแปดคน นอกจากเตียงหนึ่งหลังกับหีบหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีข้าวของส่วนตัวอื่นใดอีก

ขันทีมิกล้าให้ลู่ฮูหยินลงมือด้วยตนเอง สายตาของหวังเหยียนชิงกวาดมองไปที่ใด ขันทีต่างแย่งกันเข้าไปทันที ช่วยนางขยับสิ่งของออก เรือนพักของหยางจินอิงถูกค้นแทบทุกซอกทุกมุม แม้แต่ช่องด้านในของเสื้อผ้าเก่ายังถูกเลาะออกมา แต่ข้างในหาได้มีเงินทองซุกซ่อนอยู่ไม่

ไม่ผิดจากที่หวังเหยียนชิงคาดไว้ เวลาผ่านมาหลายวัน ต่อให้มีหลักฐานสำคัญก็ถูกฟางฮองเฮาและองครักษ์เสื้อแพรนำไปหมดแล้ว หวังเหยียนชิงหยุดตรวจสอบสิ่งของอย่างรวดเร็ว หันไปตรวจสอบคนแทน

มีจ้าวกงกงจากสำนักประจิมอยู่ด้วย การเรียกคนมาซักถามของหวังเหยียนชิงราบรื่นอย่างยิ่ง นางเริ่มจากเรือนพักอาศัยของหยางจินอิง เรียกนางกำนัลที่อยู่ในห้องรอบๆ เข้ามาตามลำดับ ซักถามทีละคนเป็นการส่วนตัว นางกำนัลแต่ละคนที่เข้ามาต่างกล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าตนเองพูดผิดคำเดียวจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ หวังเหยียนชิงพยายามถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อพบถ้อยคำสำคัญก็จดลงในกระดาษ ขันทีน้อยด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบพูด “จะรบกวนลู่ฮูหยินลงมือด้วยตนเองได้อย่างไร ท่านอยากจดบันทึกอะไรก็พูดมาเถอะ ผู้น้อยจะเขียนลงไปให้ท่านเองขอรับ”

หวังเหยียนชิงปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ให้ขันทีจรดพู่กันแทนเป็นสิทธิ์เฉพาะของฮ่องเต้ นางไม่มีวาสนาเช่นนั้น ยังคงเขียนเองจะดีกว่า หวังเหยียนชิงสอบถามนางกำนัลติดต่อกันห้าคน หลังจากส่งคนที่ห้าจากไปแล้ว นางก้มหน้าลง จดบางสิ่งเพิ่มเติมในกระดาษ จ้าวกงกงมองดูตัวอักษรบนกระดาษของหวังเหยียนชิงจากที่ไกลๆ ถามหยั่งเชิงว่า “ลู่ฮูหยิน ฟังว่าท่านมองแค่ปราดเดียวก็แยกแยะได้ว่าใครกำลังโกหก นางกำนัลเมื่อครู่นี้มีคนโกหกหรือไม่ขอรับ”

หวังเหยียนชิงเขียนตัวอักษรบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จ พลิกสมุดพลางพูด “กงกงชมเกินไปแล้ว หาได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นไม่ ข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้นเอง นางกำนัลชุดนี้ไม่มีปัญหา เรียกชุดต่อไปเข้ามาเถิด”

เวลาหนึ่งวันของหวังเหยียนชิงล้วนอยู่ที่ฝ่ายงานนางกำนัล ซักถามคนหลายสิบคนจนสุดท้ายลำคอแหบแห้ง คนทั่วไปหากต้องซักถามนานถึงเพียงนี้ สมองต้องพองขยายเป็นแน่ ทว่าช่วงท้ายๆ ความคิดของหวังเหยียนชิงกลับกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น

ผู้อื่นปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะในหัวถูกยัดเรื่องที่ไร้ประโยชน์เข้ามามากเกินไป แต่หวังเหยียนชิงสามารถแยกแยะได้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดตั้งใจบิดเบือน และเรื่องใดเป็นเพียงการคาดเดาของผู้พูดเท่านั้น นางดึงเอาเรื่องที่มีประโยชน์ออกมา ยิ่งถามคนมากภาพในหัวนางก็ยิ่งแจ่มชัด

คำพูดของแต่ละคนไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ภาพที่บรรยายออกมาส่วนใหญ่ล้วนคล้ายคลึงกัน หยางจินอิงครอบครัวยากจน นิสัยชอบเอาชนะ แรกพบจะรู้สึกว่าคนผู้นี้แข็งกร้าว แต่อยู่ร่วมกันนานเข้าจะรู้ว่านางเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ส่วนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ทุกคนต่างบอกว่าไม่เคยเห็นหยางจินอิงสวมเงินใส่ทอง ชีวิตความเป็นอยู่ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากในอดีต

อีกสิบห้าคนที่เหลือมีกลุ่มคนรู้จักทับซ้อนกับหยางจินอิงเป็นส่วนมาก หวังเหยียนชิงซักถามปะปนกันไปก็ไม่พบจุดที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว จ้าวกงกงฟังอยู่ด้านข้างทั้งวัน ทั้งที่ไม่ได้ให้เขาเป็นคนถาม เขากลับฟังจนรู้สึกเวียนศีรษะ จ้าวกงกงคิดในใจ สมแล้วที่เป็นสตรีของลู่เหิง นิสัยกัดไม่ปล่อยเวลาสืบคดีเหมือนกันราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน

จ้าวกงกงลอบยืดเส้นยืดสาย ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ลู่ฮูหยิน ใกล้จะยามโหย่วแล้ว ท่านว่าวันนี้…”

หวังเหยียนชิงก็ตั้งใจจะยุติการซักถามแล้วเหมือนกัน นางตรวจสอบกลุ่มคนรู้จักของนางกำนัลทั้งสิบหกคนเกือบหมดแล้ว ถามต่อไปก็ไร้ความหมาย หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างคล้อยตาม เอ่ยว่า “ข้าซักถามพอสมควรแล้ว วันนี้ขอบคุณกงกงมาก”

“ลู่ฮูหยินเกรงใจแล้ว” จ้าวกงกงปั้นยิ้มร่าบนใบหน้าอย่างเสแสร้ง “ผู้น้อยต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอบคุณลู่ฮูหยิน วันนี้ติดตามข้างกายลู่ฮูหยิน ทำให้ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตามากทีเดียว”

จ้าวกงกงส่งหวังเหยียนชิงออกจากวัง ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปแจ้งข่าวกับลู่เหิง ตอนหวังเหยียนชิงมาถึงประตูตงหวา ลู่เหิงรออยู่ที่นั่นแล้ว หวังเหยียนชิงพูดมาทั้งวัน ตอนนี้ไม่อยากเอ่ยปากโดยสิ้นเชิง นางคร้านจะลงจากรถจึงนั่งอยู่ในรถฟังลู่เหิงทักทายกับจ้าวกงกง ไม่ง่ายเลยกว่าจะพูดคุยตามมารยาทจนเสร็จ จ้าวกงกงพาคนจากไป ม่านรถขยับไหว ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดปะทะใบหน้า ลู่เหิงขึ้นมาบนรถม้าแล้ว

ลู่เหิงนั่งลงข้างกายหวังเหยียนชิงอย่างคล่องแคล่ว เขาเห็นนางมีท่าทางไม่สดชื่น จึงเอ่ยว่า “ข้าได้ยินจ้าวกงกงบอกว่าวันนี้เจ้าซักถามคนไปสี่สิบกว่าคน เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”

หวังเหยียนชิงส่ายหน้า มิได้เหนื่อยถึงขั้นนั้น แค่ไม่มีความรู้สึกอยากจะพูดเลยก็เท่านั้นเอง ลู่เหิงถนัดการฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าคนจึงเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เขายื่นมือไปโอบไหล่นาง หวังเหยียนชิงพลันลืมตาขึ้น จ้องมือเขาเขม็ง “ท่านคิดจะทำอะไร”

ลู่เหิงกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะให้เจ้าพิงสักครู่”

“ไม่ต้อง”

“เช่นนั้นข้านวดจุดชีพจรให้เจ้าดีหรือไม่”

“มิกล้ารบกวนใต้เท้าลู่”

“แต่เมื่อวานพวกเราตกลงกันแล้วนี่ ภายในสามเดือนนี้ข้าจะทำอย่างไรก็ได้ เจ้าห้ามหลบเลี่ยง”

หวังเหยียนชิงเลิกคิ้ว มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “เมื่อวานพวกเราตกลงกันอย่างนี้หรือ”

“เจ้าไม่ได้บอกว่าไม่ได้เสียหน่อย” ลู่เหิงทำสีหน้าจริงจัง “ข้ามีเวลาแค่สามเดือน ย่อมต้องพยายามแสดงข้อดีของตนเอง การนวดผ่อนคลายก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของข้าเหมือนกัน”

ลู่เหิงเห็นนางไม่คัดค้านจึงถือว่านางอนุญาตแล้ว เขาประคองไหล่หวังเหยียนชิงให้นางพิงซบตนเอง “ใต้หล้านี้ไม่มีกฎห้ามมิให้บุรุษนวดจุดชีพจรให้สตรีเวลาตามเกี้ยวพานอีกฝ่ายเสียหน่อย ปล่อยตัวตามสบายเถอะ ยังอีกสักพักเลยกว่าจะถึงบ้าน”

หวังเหยียนชิงยังไม่ทันคิดหาเหตุผลปฏิเสธก็ถูกเขากดให้เอนกายลงเสียแล้ว นิ้วมือเขากดลงบนจุดไท่หยางของนาง ออกแรงนวดคลึงคลายเส้นให้ หวังเหยียนชิงเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้จึงผ่อนคลายร่างกายอย่างไม่เต็มใจนัก ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ลู่เหิงทางหนึ่งสัมผัสกับความรู้สึกยามร่างอันหอมกรุ่นอยู่ในอ้อมกอดซึ่งไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ทางหนึ่งถามนาง “ทางด้านหยางจินอิงสืบพบเบาะแสใดหรือไม่”

หวังเหยียนชิงหลับตาลง ส่ายหน้านิดๆ ลู่เหิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ถอนหายใจเบาๆ “ครอบครัวนางก็ไม่พบความผิดปกติเช่นกัน ไม่ได้เดินทางไปต่างถิ่น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทางนครหลวง ดูแล้วเป็นครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือมีคนชิงลงมือก่อน ทำลายหลักฐานทั้งหมดจนเกลี้ยงและบงการนางกำนัลเหล่านี้ให้ลอบปลงพระชนม์ อย่างที่สองคือเรื่องนี้เป็นความคิดของหยางจินอิงและพรรคพวกเอง ไม่เกี่ยวกับคนนอกวัง”

ลู่เหิงมีการเรียบเรียงความคิดดีเลิศ ใคร่ครวญได้เป็นขั้นเป็นตอนและมีความเชื่อมโยงกัน จุดที่ไม่สมเหตุสมผลล้วนไม่อาจเล็ดลอดสายตาเขา หวังเหยียนชิงจึงปล่อยสมองให้ว่าง วางใจฟังเขาแจกแจง

ลู่เหิงมิได้แสดงความเอนเอียงของตนเอง ยังคงวิเคราะห์สถานการณ์ไปตามลำดับขั้นตอน “ลองคาดเดาว่าเป็นแบบที่หนึ่ง ผู้บงการเบื้องหลังทุ่มเทวางแผนถึงเพียงนี้แสดงว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากเรื่องนี้แน่ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับฝ่าบาทจริงๆ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจะเป็นใคร”

หวังเหยียนชิงนึกคำตอบได้ทันที “เป็นองค์ชายทั้งสามหรือ”

“องค์ชายทั้งสามอายุยังน้อย เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นฝีมือของมารดาบังเกิดเกล้าของพวกเขาเท่านั้น หากในวังมีการสวรรคตโดยไม่มีพระราชโองการ ตามธรรมเนียมประเพณี ขุนนางจะแต่งตั้งองค์ชายที่มีอายุมากที่สุด ดังนั้นในบรรดาพระชายาทั้งสาม มารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายรองหวังกุ้ยเฟยจึงน่าสงสัยมากที่สุด”

เวลาฮ่องเต้ส่งต่อบัลลังก์ล้วนพิจารณาจากความชื่นชอบและความสามารถ แต่ขุนนางจะเลือกพระโอรสองค์โตเสมอ ดังนั้นหากหยางจินอิงกระทำการสำเร็จจริง องค์ชายรองจูไจ่รุ่ยจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป

หวังเหยียนชิงพูด “หากเป็นเช่นนี้หวังกุ้ยเฟยก็น่าสงสัยมากทีเดียว ต่อไปพวกเราต้องตรวจสอบหวังกุ้ยเฟยหรือ”

ลู่เหิงไม่ได้ตอบ นิ้วมือนวดคลึงจอนผมของหวังเหยียนชิง พูดเนิบช้า “หวังกุ้ยเฟยน่าสงสัยมาก แต่ก็เป็นการเปรียบเทียบกับมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายทั้งสามเท่านั้น หากตอนนี้องค์ชายรองอายุสิบห้าสิบหก ผลประโยชน์ที่จะได้ย่อมคุ้มค่าให้หวังกุ้ยเฟยเสี่ยงอันตราย ทว่าองค์ชายรองยังอายุไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ ต่อให้ได้รับการสถาปนาเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จำเป็นต้องให้ขุนนางช่วยปกครองบ้านเมือง ถึงเวลานั้นอำนาจย่อมตกอยู่กับสภาขุนนาง หวังกุ้ยเฟยจะได้อะไร”

หวังกุ้ยเฟยมีโอกาส แต่นางไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย แค่นางรอให้บุตรชายเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย นางก็จะเป็นคนที่มีโอกาสชนะมากที่สุด ไยต้องเสี่ยงลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ด้วยเล่า

หวังเหยียนชิงถาม “ความหมายของท่านคือสภาขุนนาง?”

“บรรดาราชบัณฑิตในสภาขุนนาง ซย่าเหวินจิ่น ไจ๋หลวน นับรวมจิ้งจอกเฒ่าเหยียนเหวยอีกคน พวกเขาล้วนมีความสามารถที่จะติดสินบนหยางจินอิงได้ แต่ซย่าเหวินจิ่นเพิ่งนั่งตำแหน่งราชเลขาธิการ รากฐานยังไม่มั่นคง เขาต้องการการสนับสนุนจากเบื้องบน ตามหลักแล้วไม่น่าจะอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลานี้ ไจ๋หลวนเป็นรองราชเลขาธิการ ต่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางใหญ่ที่ช่วยจัดการงานแผ่นดิน ข้างหน้าก็ยังมีซย่าเหวินจิ่นขวางอยู่ พระราชกิจมิได้ขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด เป้าหมายหลักของเขาควรจะเป็นการโค่นล้มซย่าเหวินจิ่นมากกว่า มิใช่การปลงพระชนม์ ส่วนเหยียนเหวยยิ่งไม่สมเหตุสมผลเลย เขาเพิ่งเข้าสู่สภาขุนนาง ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์หรือชื่อเสียงบารมี การช่วยจัดการงานแผ่นดินก็ไม่มีทางตกมาถึงเขาได้ คนดีที่ตีหลายหน้าอย่างเขาจะกระทำเรื่องสุดโต่งเช่นนี้ได้อย่างไร”

หวังเหยียนชิงถอนหายใจ เอ่ยถามตรงๆ “เช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นใคร”

“หลังจากคิดคำนวณมารอบหนึ่ง คนที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดดูเหมือนจะเป็นข้า” ลู่เหิงจุปาก เผยสีหน้าเหลือเชื่อ “หรือว่าไส้ศึกภายในจะเป็นข้าเอง”

 

* เนตรไฟตาทอง เป็นคำที่ใช้บรรยายลักษณะดวงตาของซุนหงอคงซึ่งสามารถจำแนกแยกปีศาจได้ ภายหลังอุปมาถึงผู้ที่มีสายตาแยกแยะดีชั่วได้อย่างกระจ่างแจ้ง

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกันยายน 66)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: