X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 57

แม้หวังเหยียนชิงจะพยายามซักถามอย่างรวดเร็ว แต่เวลาที่อยู่ในนั้นยังคงนานเกินที่พวกนางคาดหมายไว้ ตอนพวกนางออกจากประตูจึงเจอเหตุไม่คาดคิด เวลานั้นหวังเหยียนชิงร้อนใจจะจากไปท่าเดียว ไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นใคร อีกฝ่ายก็ไม่ได้ไล่ตามมา เดาว่านางคงมิได้เผยพิรุธกระมัง

หวังเหยียนชิงลอบโล่งอก นางกลับมาที่เรือนของลู่เหิงเงียบๆ ลู่เหิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างนอก พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ประตูไม่ได้ลงดาล เข้ามาได้เลย”

หวังเหยียนชิงเปิดประตูและเบี่ยงตัวเข้าไป ลู่เหิงกำลังพลิกดูเอกสารใต้แสงไฟ ด้านข้างมีเอกสารกองเป็นตั้ง ในจำนวนนั้นมีหลายแผ่นถูกเขาดึงออกมาวางแยกไว้ต่างหาก ชายหนุ่มปิดเอกสารในมือแล้วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร ระหว่างทางราบรื่นหรือไม่”

หวังเหยียนชิงยังคงสวมชุดนางกำนัล นางไม่อยากให้เขาเป็นห่วงจึงตอบว่า “มีเรื่องน่าตกใจ ทว่าไร้อันตราย ยังนับว่าราบรื่น”

ลู่เหิงลุกขึ้นรินน้ำชาให้หวังเหยียนชิงถ้วยหนึ่ง วางลงข้างมือนาง “ดื่มน้ำชาให้คอชุ่มก่อน ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เล่า”

หวังเหยียนชิงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน รู้สึกกระหายน้ำจริงๆ นางหยิบถ้วยชาขึ้นมา น้ำอุ่นกำลังดี หญิงสาวจิบไปเพียงอึกเดียว บรรเทาความแห้งผากในลำคอได้แล้วก็วางถ้วยลง “พี่รอง หมู่บ้านเหอกู่อาจจะมีอะไรแอบแฝง”

ริมฝีปากนางเปื้อนน้ำชาเปล่งประกายแวววาวภายใต้แสงไฟ ประหนึ่งทาด้วยน้ำยาเคลือบเงาชั้นดี ลู่เหิงเห็นแล้วหัวใจคันยุบยิบ เขายื่นมือไปกดมุมปากนาง เช็ดหยดน้ำบนนั้นที่มิได้มีอยู่จริง อดถามอย่างใจลอยไม่ได้ “อย่างไรหรือ”

ความคิดจิตใจของหวังเหยียนชิงล้วนอยู่ที่รายละเอียดของคดีที่สืบมาได้เมื่อครู่นี้ทั้งหมด แม้มือของลู่เหิงจะซุกซนอยู่บนใบหน้านาง แต่นางก็ยังอารมณ์ดีอดทนไว้ไม่สนใจได้ จิตใจจดจ่อกับการบอกเล่าสิ่งที่ตนเองค้นพบ “หลังจากเข้าไปในห้อง ข้าหาโอกาสทำกล่องอาหารของพวกนางคว่ำ ท่าทีที่แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวมีต่อข้าวและอาหารดูจริงแท้อย่างมาก อากัปกิริยาก็สอดคล้องกับครอบครัวชาวนาทั่วไป ไม่เหมือนผ่านการฝึกฝนมาก่อน ภายหลังข้าค่อยๆ ถามถึงคดีคนหายสาบสูญ น้ำเสียงของพวกนางเจือแววขุ่นเคือง มีความไม่พอใจนายอำเภอหรือแม้กระทั่งเจ้าเมืองมากทีเดียว ดังนั้นวันนี้ช่วงหัวค่ำตอนตอบคำถามต่อหน้าเจ้าเมืองเฉิง พวกนางจึงอึกอักอ้ำอึ้ง ปกปิดบางอย่าง”

ลู่เหิงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ ด้วยนิสัยเกียจคร้านขี้ประจบของเฉิงโยวไห่ ชาวบ้านภายใต้ปกครองไม่พอใจเขาก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ลู่เหิงกลับสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง “เจ้าทำอาหารของพวกนางหกคว่ำ พวกนางยังยอมพูดความจริงกับเจ้าอีกหรือ”

“ใช่” หวังเหยียนชิงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าจงใจทำหกเอง เพราะอยากสร้างโอกาสให้พวกนางช่วยเหลือข้า”

ลู่เหิงเลือกปอยผมเส้นหนึ่งของหวังเหยียนชิงมาเล่น แม้มิได้เอ่ยอะไร แต่สายตาเขาสะท้อนความคิดออกมาอย่างชัดเจน

เพราะอะไร

ทุกครั้งเวลาเขาเผยแววตาเช่นนี้ออกมา นั่นหมายความว่าเขาจริงจังแล้ว หวังเหยียนชิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี จึงถาม “พี่รอง หากท่านเพิ่งรู้จักคนสองคน คนหนึ่งเคยช่วยเหลือท่าน คนหนึ่งท่านเคยช่วยเหลือเขา ท่านจะรู้สึกดีต่อใครมากกว่ากัน”

ลู่เหิงตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เคยช่วยเหลือข้า”

“ผิด” หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ในความเป็นจริง ท่านจะเอนเอียงไปทางคนที่ขอความช่วยเหลือจากท่านมากกว่า”

คำพูดนี้ฟังครั้งแรกประหลาดทีเดียว แต่ตรึกตรองอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ลู่เหิงซักถามอย่างหาได้ยาก “เพราะอะไรหรือ”

หวังเหยียนชิงแบมือตอบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจเป็นเพราะสันดานเดิมของมนุษย์นั้นชั่วร้ายกระมัง ของที่ได้มาอย่างง่ายดายมักจะไม่ทะนุถนอม สิ่งที่ตนเองเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้กลับใส่ใจอย่างยิ่ง”

ลู่เหิงฟังคำพูดนี้แล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาหลุบตา หัวเราะจนไหล่ไหวกระเพื่อมเล็กน้อย

“เจ้าพูดถูก”

ลู่เหิงเนื่องจากมักมีรอยยิ้มจอมปลอมประดับบนใบหน้าอยู่เสมอจึงถูกผู้คนเรียกขานอย่างลับๆ ว่า ‘เสือยิ้ม’ ยากนักที่เขาจะหัวเราะจากใจจริง แต่การหัวเราะจากใจจริงเพียงไม่กี่ครั้งในช่วงนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังเหยียนชิง

เขาหัวเราะพอแล้ว ส่วนลึกของดวงตาก็มีไอเย็นยะเยียบปกคลุมชั้นหนึ่ง คำพูดของหวังเหยียนชิงสรุปความรู้สึกในใจเขาได้อย่างแม่นยำ คนที่เคยมีบุญคุณต่อเขา ลู่เหิงยังคงระแวงอีกฝ่าย แต่หากเป็นคนที่เขารับกลับมาดูแลด้วยตนเอง ทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจลงไปไม่หยุดหย่อน กับคนผู้นี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็โกรธไม่ลง อีกฝ่ายจะแทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาด้วยความเร็วอันน่ากลัว

ตัวอย่างก็มีให้เห็นตรงหน้า

หวังเหยียนชิงพูดจบ พบว่าชายหนุ่มเงียบไปนาน จึงอดถามมิได้ “พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป”

ลู่เหิงก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขากลับต้องให้ตัวการเป็นฝ่ายเตือนสติเขาว่าเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว

เริ่มตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่าทีที่เขามีต่อหวังเหยียนชิงอันตรายถึงเพียงนี้

ลู่เหิงเก็บงำอารมณ์ความรู้สึก พูดทีเล่นทีจริงว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่ฟังคำพูดนี้ของชิงชิงแล้วทำให้ข้ารู้สึกอันตรายทีเดียว”

หวังเหยียนชิงจับต้นชนปลายไม่ถูก ถามอย่างแปลกใจ “เพราะเหตุใดเล่า”

“เจ้าความรู้สึกไวปานนี้ ขอเพียงเจ้าต้องการ อันที่จริงการทำให้บุรุษรู้สึกดีต่อเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายมาก”

ดวงตาเขาทอยิ้ม ภายในนั้นเปี่ยมด้วยประกายระยิบระยับคล้ายวักน้ำขึ้นมาจากธารดารา หวังเหยียนชิงประดักประเดิดเล็กน้อย แค่นเสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “พี่รอง มีคนพูดถึงน้องสาวอย่างท่านที่ใดกัน แล้วเหตุใดข้าต้องทำอย่างนั้นด้วย”

“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ” ลู่เหิงรีบปลอบประโลม “ข้าเพียงแต่กลัวว่าจะมีคนชอบเจ้ามากเกินไป ทำให้เจ้าถูกเขาหลอก”

“ไม่มีทาง” หวังเหยียนชิงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ในความดูแคลนยังเจือความหยิ่งทะนงมั่นใจอยู่เล็กน้อยด้วย “เรื่องที่บุรุษคิดมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง คำโกหกของพวกเขาไร้ชั้นเชิงเกินไป ข้าไม่มีทางถูกหลอกแน่”

“อย่างนั้นก็ประเสริฐ” ลู่เหิงพูดจบ ทำท่าถอนหายใจอย่างจริงจัง “แต่ข้ากลับเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”

หวังเหยียนชิงคล้ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าชะงักเล็กน้อย เอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเล่า”

ลู่เหิงกลับยิ้มมองนางโดยไม่ตอบอะไร เขาถาม “เจ้าใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ สืบอะไรมาได้บ้าง”

เขาเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยแสดงให้เห็นว่าต้องการหยุดเพียงเท่านี้ คุยต่อไม่ได้แล้ว หวังเหยียนชิงคล้อยตามคำพูดเขาแล้วเปลี่ยนประเด็น “พวกนางตำหนินายอำเภอและเจ้าเมือง หากมิใช่เพราะคนเหล่านี้บกพร่องต่อหน้าที่ พวกนางก็ไม่ถูกบีบคั้นจนถึงขั้นต้องบุกรุกที่ประทับ ยังมีอีกพวกนางบอกว่าก่อนที่ราชสำนักจะเกณฑ์ไพร่พลเคยมีคนหายตัวไปอย่างลึกลับ อีกทั้งในคืนวันหนึ่ง พวกนางได้ยินเสียงดังจากบนภูเขา ลักษณะคล้ายแผ่นดินไหว”

ลู่เหิงแววตากระตือรือร้น นี่เป็นเบาะแสที่สำคัญมาก เขาถาม “เป็นคนในหมู่บ้านพวกนางหรือที่หายตัวไป”

“ฟังจากคำพูดพวกนาง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนในหมู่บ้านของพวกนางเท่านั้น”

ลู่เหิงไปหยิบเอกสารบนโต๊ะ ตอนหัวค่ำองครักษ์เสื้อแพรนำเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องของเมืองเว่ยฮุยมาให้ ก่อนหวังเหยียนชิงจะกลับมา ลู่เหิงกำลังอ่านคดีคนหายในอดีต แต่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องมีมากเกินไป เขาพลิกหาอย่างไร้จุดหมาย ความคืบหน้าล่าช้าอย่างยิ่ง

ทว่าตอนนี้หวังเหยียนชิงบอกเบาะแสเรื่องเวลาที่สำคัญมากกับเขา…คือก่อนเกณฑ์ไพร่พล

หวังเหยียนชิงช่วยลู่เหิงหาเบาะแสจากในเอกสารด้วยเช่นกัน ทว่านางหาอยู่นานกลับไม่พบคดีที่มีเงื่อนไขสอดคล้องเลย นางโน้มตัวไปหาเขา “พี่รอง ทางท่านค้นพบอะไรบ้างหรือไม่”

ลู่เหิงไม่พูดไม่จา โยนม้วนเอกสารลงบนโต๊ะ ริมฝีปากกระตุกยิ้มที่ปราศจากความจริงใจ

เขาก็ไม่พบคดีคนหายที่น่าสงสัยเช่นกัน แต่นี่กลับเป็นจุดที่น่าสงสัยมากที่สุด

ตั้งแต่เดือนสิบสองปีที่แล้วเป็นต้นมา เมืองเว่ยฮุยก็ไม่มีคดีคนหายที่ค้างอยู่และคลี่คลายไม่ได้ การรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีถึงขั้นนี้เชียวหรือ

ทว่าลู่เหิงไม่ได้บอกหวังเหยียนชิง เขาปิดเอกสารพลางพูด “ในเมื่อหาไม่เจอก็ช่างเถอะ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปนอนดีกว่า”

หวังเหยียนชิงลังเล “แต่มีเวลาแค่สามวัน…”

“ยังทัน” ลู่เหิงยื่นมือออกไปบีบคางนาง “มั่นใจในตัวพี่ชายเจ้าหน่อย ในเมื่อข้ากล้ารับปากก็ต้องมีความมั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้”

หวังเหยียนชิงสบายใจทันที นางมักจะเชื่อลู่เหิงโดยไม่มีข้อแม้ และผลลัพธ์ของทุกครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาควรค่าที่จะเชื่อถือ หวังเหยียนชิงถามอย่างลังเล “เช่นนั้นท่านก็จะนอนแล้วหรือ”

ลู่เหิงพยักหน้า ตอบช้าๆ “กลางดึกคนงามถามเช่นนี้ ข้าจะหักใจปฏิเสธได้อย่างไร”

หญิงสาวหน้าแดง ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “อย่าเอาแต่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ พรุ่งนี้ท่านจะไปหมู่บ้านเหอกู่หรือ”

ลู่เหิงยังคงพยักหน้า หวังเหยียนชิงรีบพูดทันที “ข้าขอไปด้วย”

ลู่เหิงถอนหายใจ “หมู่บ้านเหอกู่ตั้งอยู่บนภูเขา การเดินทางไปเหน็ดเหนื่อยมาก อีกสองวันระดูของเจ้าน่าจะมาแล้ว เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะทำอะไรโลดโผน”

รูม่านตาของหวังเหยียนชิงขยายกว้าง ตกตะลึงอย่างแท้จริง ก่อนจะหาเสียงของตนเองเจออีกครั้ง “ไม่เป็นไร ข้าอยากช่วยท่าน”

นางพูดจบ อดใจไม่อยู่จริงๆ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยากจะบรรยาย “ท่านรู้ได้อย่างไร”

ระดูของหวังเหยียนชิงมาไม่สม่ำเสมอ แต่ครึ่งปีมานี้ค่อยๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมากภายใต้การบำรุงรักษาด้วยยา ทว่าเวลาหน้าหลังยังคงคลาดเคลื่อนไปมา หวังเหยียนชิงเองยังไม่แน่ใจว่าจะมาเมื่อไร แล้วลู่เหิงรู้ได้อย่างไร

สีหน้าของลู่เหิงราบเรียบทีเดียว เหมือนกำลังคุยว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นยามใดกระนั้น ตอบเหมือนมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด “ข้าจำวันที่ระดูของเจ้ามาในแต่ละครั้งตลอดครึ่งปีนี้ได้ อาศัยสิ่งนี้คาดการณ์ก็ไม่ยากสักเท่าไร”

ใบหน้าของหวังเหยียนชิงแข็งทื่อโดยสิ้นเชิง นางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อสักนิด รีบลุกขึ้นเปิดประตู “พี่รอง ข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้รอข้าด้วย ท่านอย่าได้แอบออกไปเงียบๆ คนเดียวเล่า”

ลู่เหิงจนปัญญา นางเห็นเขาเป็นอะไร โจรอย่างนั้นหรือ

“ข้ารู้แล้ว” ลู่เหิงรับคำ “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเชื่อฟังข้า เช่นนั้นก็ระวังตัวหน่อย ตอนนี้อยู่ข้างนอก ไม่สะดวกจะต้มยา เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้อาการปวดท้องกำเริบขึ้นมาอีก”

ปีที่แล้วตอนหวังเหยียนชิงมีระดูยังปวดจนหมดสติไป หลังจากดื่มยามาตลอดครึ่งปี อาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ช่วงหลายวันนั้นท้องยังคงปวดหน่วง แต่เปรียบเทียบกับตอนแรกแล้ว ความเจ็บปวดเช่นนี้แทบจะไม่น่าเอ่ยถึง

หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ วิ่งออกจากห้องของลู่เหิงเหมือนหนีอะไรบางอย่าง ลู่เหิงยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองนางหายเข้าไปในห้องของตนเอง ก่อนจะปิดประตูลงอย่างสงบ

ลู่เหิงไม่ได้โกหกหวังเหยียนชิง เขาตั้งใจจะนอนแล้วจริงๆ เอกสารพวกนี้อ่านแล้วไม่พบเบาะแสใดๆ ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาอีก มิสู้สะสมพละกำลังไว้ พรุ่งนี้ค่อยไปพบนายอำเภอที่ดูแลหมู่บ้านเหอกู่ผู้นั้นดีกว่า

ตอนนี้ลู่เหิงรู้สึกสนใจใคร่รู้ทีเดียว คนพวกนี้เล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่

ทุกคนต่างรู้ว่าลู่เหิงรับคดีใหม่มา ลู่เหิงจึงโยนหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในพระตำหนักชั่วคราวไปให้เฉินอิ๋นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่วนตนเองนำกำลังจากไปอย่างเอิกเกริก

ตอนนี้เขารับพระบัญชาจากฮ่องเต้มาสืบคดี ใครขวางเขาก็คือขัดรับสั่ง ผู้อื่นเห็นแล้วรู้สึกขัดลูกตา แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไร

หวังเหยียนชิงเก็บสัมภาระห่อเล็กอย่างง่ายๆ ออกเดินทางไปพร้อมกับลู่เหิง หมู่บ้านเหอกู่ลักษณะเป็นดังชื่อ* ตั้งอยู่ในหุบเขาต่ำๆ ที่มีภูเขารายล้อมทั้งสี่ด้าน แม่น้ำขนาดใหญ่สายหนึ่งไหลผ่านบริเวณไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก พื้นที่ในหมู่บ้านอิงภูเขาติดแม่น้ำ ทิวทัศน์งดงาม แต่การเข้าออกหมู่บ้านล้วนต้องใช้เส้นทางบนภูเขา การสัญจรไม่สะดวก

ในขบวนมีแต่บุรุษ หวังเหยียนชิงไม่สะดวกจะขี่ม้าจึงเปลี่ยนมาเป็นนั่งเกี้ยว เคราะห์ดีที่เจ้าเมืองเฉิงก็อาศัยเกี้ยวแทนการก้าวเดินเช่นกัน หวังเหยียนชิงปะปนอยู่ในนั้นจึงไม่สะดุดตามากเกินไป นายอำเภอของอำเภอฉีรออยู่หน้าหมู่บ้านนานแล้ว พอเขาเห็นขบวนม้าและผู้คนเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ก็มิกล้าอยู่เฉย รีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ “ผู้น้อยคารวะผู้บัญชาการลู่และเจ้าเมืองเฉิง”

คนหามเกี้ยววางเกี้ยวลง เจ้าเมืองเฉิงมุดออกมาจากเกี้ยว เขามองขุนเขารอบด้าน แม้จะไม่ต้องเดินเอง เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยไม่เบา

ลู่เหิงพลิกตัวลงจากอาชา ท่วงท่าคล่องแคล่วฉับไว ไม่เงอะงะงุ่มง่ามแม้แต่น้อย เปรียบเทียบกับเจ้าเมืองเฉิงซึ่งมีร่างท้วมข้างกายแล้วกลายเป็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจน เจ้าเมืองเฉิงเดินเข้าไป พูดอย่างสอพลอ “ใต้เท้าลู่ร่างกายเบาหวิวประหนึ่งนกนางแอ่น แข็งแรงไม่ธรรมดา ผู้น้อยเลื่อมใส”

ลู่เหิงปรายตามองเฉิงโยวไห่แวบหนึ่ง คร้านจะสนใจ สายตาเขากวาดมองคนกลุ่มใหญ่เบื้องหน้า ถามว่า “ใครคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเหอกู่”

ผู้ชราที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดีก้าวออกมา ประสานมืออย่างงกเงิ่น “ผู้น้อยหลี่หลิน คารวะผู้บัญชาการ”

ผู้ใหญ่บ้านอายุราวห้าสิบ ผมสีดอกเลา เอวเริ่มคดหลังเริ่มค่อม แต่เทียบกับคนในวัยเดียวกับเขา เขาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บและไม่ต้องเผชิญความลำบาก ใบหน้ามีเลือดฝาด นับว่าเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง

ลู่เหิงถาม “ครอบครัวหลิวซานกับหลิวโส่วฝูอยู่ในหมู่บ้านของเจ้าใช่หรือไม่”

ผู้ใหญ่บ้านรีบผงกศีรษะ “ขอรับ”

หลิวซานเป็นชื่อของสามีของหลิวต้าเหนียง หลิวโส่วฝูคือบุตรชายของพวกเขา ลู่เหิงพูด “นำทางไป ข้าจะไปตรวจดูบ้านพวกเขาหน่อย”

ผู้ใหญ่บ้านหรือจะกล้าปฏิเสธ รีบเดินนำลู่เหิง เจ้าเมืองเฉิงและนายอำเภอเถาอีหมิงไปยังบ้านของหลิวต้าเหนียง สายตาของทุกคนล้วนพุ่งไปที่ลู่เหิง ไม่มีใครสังเกตสตรีนางหนึ่งที่เดินลงมาจากเกี้ยวอีกหลัง นางรอให้พวกเจ้าเมืองเดินจากไปไกลแล้วจึงแฝงตัวไปกับกลุ่มคนที่มาชมความครึกครื้นและตามไปเงียบๆ

หลิวต้าเหนียงยังถูกขังอยู่ในพระตำหนักชั่วคราว ตอนนี้ที่บ้านไม่มีคน ผู้ใหญ่บ้านเปิดประตูเรือน ค้อมเอวเอ่ยกับลู่เหิง “ใต้เท้าลู่ นี่ก็คือบ้านของหลิวซานขอรับ”

ลู่เหิงก้าวเข้าไปในประตูไม้ฟืน กวาดตามองรอบด้านเงียบๆ ลานเรือนแม้จะไม่ใหญ่ แต่จัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้าน มุมกำแพงวางจอบ เคียว และเครื่องมือทำนาอื่นๆ ไว้ กำแพงอีกด้านแขวนแหจับปลา ลู่เหิงสังเกตเห็นว่ากำแพงดูใหม่ จึงเอ่ยถาม “พวกเขาเคยซ่อมแซมที่นี่หรือ”

“ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เมื่อก่อนบ้านของหลิวซานยากจนข้นแค้น ภายหลังแต่งลูกสะใภ้ที่มีความสามารถกลับมาคนหนึ่ง ตัวหลิวซานเองก็ขยันขันแข็ง ไม่มีงานในท้องนาก็ไปจับปลาในแม่น้ำ หาเงินให้ครอบครัว ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่จึงดีขึ้นตามลำดับ เมื่อสองสามปีก่อนพวกเขาเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งและซ่อมแซมกำแพง ต่อมาพวกเขาแต่งภรรยาให้บุตรชาย ใช้เงินที่มีจนหมด พวกเขายังคิดจะเก็บเงินอีกสองสามปีและสร้างบ้านใหม่ด้วย”

ลู่เหิงไม่เอ่ยอะไร เดินเข้าไปในบ้าน ก่อนออกจากบ้านมาแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประตูจึงคล้องกุญแจทองเหลืองไว้ ผู้ใหญ่บ้านถูมือพูดอย่างลำบากใจ “ใต้เท้าอย่าได้ขุ่นเคือง ข้าไม่มีกุญแจบ้านพวกเขา กุญแจนี้ข้าจึงเปิดไม่ได้”

ลู่เหิงหยิบรูกุญแจขึ้นมาดูปราดหนึ่งแล้วโยนทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่งสัญญาณให้คนข้างหลังไขเปิด องครักษ์เสื้อแพรก้าวขึ้นมา หยิบเหล็กเส้นเส้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หมุนไปมาในรูกุญแจไม่กี่ที กุญแจทองเหลืองก็เปิดออก

ผู้ใหญ่บ้านมองภาพนี้อย่างตะลึงงัน อ้าปากทว่าเอ่ยคำพูดไม่ออก องครักษ์เสื้อแพรเปิดประตูแล้ว ลู่เหิงปัดแขนเสื้ออย่างใจเย็น ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตู

กุญแจประเภทนี้ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด เขาเห็นแล้วยังรู้สึกไม่น่าสนใจ ลู่เหิงเดินตัดตัวบ้านไปช้าๆ เขาเดินไปที่ใด กลุ่มคนขนาดใหญ่ข้างหลังก็ตามไปที่นั่น เจ้าเมืองเฉิงไม่รู้ลู่เหิงดูอะไรอยู่ คอยตามติดด้านข้างพลางพูด “ใต้เท้าลู่ นี่เป็นบ้านซอมซ่อของชาวบ้านทั่วไปหลังหนึ่ง ให้ท่านอยู่ในนี้ลำบากท่านโดยแท้ ท่านว่าควรไปจัดโต๊ะเลี้ยงสุราในตัวอำเภอ…”

ลู่เหิงขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บ้านซอมซ่อของชาวบ้านเช่นนี้ มิใช่อยู่ภายใต้การปกครองของใต้เท้าเฉิงหรือ”

เจ้าเมืองเฉิงหยุดชะงักทันใด เอ่ยคำพูดไม่ออก ลู่เหิงกวาดตามองผนังทั้งสี่ด้าน ตอนเดินผ่านห้องโถง เขาปาดมือไปบนโต๊ะหนึ่งทีอย่างไม่ตั้งใจ

บนโต๊ะปรากฏรอยฝุ่นเป็นทางทันใด เจ้าเมืองเฉิงกระอักกระอ่วน รีบตวาดผู้ใต้บังคับบัญชาของตน “ไม่เห็นหรือว่ามือของใต้เท้าลู่สกปรกแล้ว ยังไม่รีบยกน้ำร้อนมาให้ใต้เท้าอีก…”

ลู่เหิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดนิ้วมือจนสะอาดพลางพูด “เจ้าเมืองเฉิง ข้าหาได้สูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นไม่ ท่านไม่ต้องยุ่งยาก นอกจากหลิวซานและหลิวโส่วฝูพ่อลูกแล้วยังมีผู้ใดประสบภัยอีกบ้าง”

เจ้าเมืองเฉิงงุนงง หันไปมองนายอำเภอของอำเภอฉี นายอำเภอมองผู้ใหญ่บ้านอีกที ผู้ใหญ่บ้านก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฉีกยิ้มแข็งทื่อ “ในหมู่บ้านมีทั้งหมดห้าสิบสองครัวเรือน แต่ละครัวเรือนส่งชายฉกรรจ์ออกมาสองคน คนทั้งหมดหนึ่งร้อยสองคนล้วนถูกสายน้ำพัดพาไปขอรับ”

ลู่เหิงถามทันที “แล้วอีกสองคนเล่า”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มประดักประเดิด “บุตรชายของข้าสอบติดซิ่วไฉ ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาระดับอำเภอขอรับ”

สอบติดซิ่วไฉก็นับว่ามีตำแหน่ง ต่อให้มิอาจเป็นขุนนางก็เพียงพอทำให้ครอบครัวได้รับยกเว้นจากการเกณฑ์ไพร่พลและเรียกเก็บภาษี ลู่เหิงพยักหน้านิดๆ “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง บริเวณที่เกิดเรื่องกับพวกเขาอยู่ที่ใด พาข้าไปดูหน่อย”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยอะไร ลู่เหิงก็ไม่เร่งรัด มองพวกเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เฝ้ารออย่างอดทน สุดท้ายเป็นเจ้าเมืองเฉิงที่รักษาหน้าไว้ไม่อยู่ ตวาดว่า “ไม่ได้ยินที่ใต้เท้าลู่พูดหรือ สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ใด!”

นายอำเภอเถาอีหมิงก้าวขึ้นมาประสานมือตอบ “เรียนผู้บัญชาการ แรงงานจากหมู่บ้านเหอกู่เสียชีวิตทั้งหมดระหว่างเดินทางไปยังตัวเมือง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาประสบภัยพิบัติที่ใด”

“อ้อ?” ลู่เหิงถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาถูกน้ำป่าพัดพาไป”

ในห้องเงียบสนิท ลู่เหิงมองเจ้าเมืองเฉิง ถามซ้ำช้าๆ “เจ้าเมืองเฉิง ท่านว่าอย่างไร”

เจ้าเมืองเฉิงสีหน้าเก้อกระดาก “อำเภอฉีรายงานมาเช่นนี้ ผู้น้อยก็ไม่ได้คิดมาก…เถาอีหมิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

เถาอีหมิงหลุบตาลง ชะงักครู่หนึ่งก่อนพูด “ผู้น้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ทางเมืองไม่ได้รับแจ้งว่าชาวบ้านจากหมู่บ้านเหอกู่เดินทางไปถึงแล้ว ช่วงเวลานั้นบนเขามักมีน้ำป่าไหลหลาก ผู้น้อยจึงคิดว่าพวกเขาน่าจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปขอรับ”

ลู่เหิงปรายตามองผู้ใหญ่บ้านอย่างเรียบเฉย “พื้นที่นี้ของพวกเจ้าเกิดน้ำป่าไหลหลากบ่อยๆ หรือ”

ผู้ใหญ่บ้านรับคำอึกอัก ผงกศีรษะนิดๆ

ลู่เหิงพูดต่อ “ในเมื่อพื้นที่นี้มีน้ำป่าไหลหลากบ่อยครั้ง คิดว่าผู้ใหญ่บ้านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี รบกวนผู้ใหญ่บ้านนำทางที ข้าอยากเห็นบริเวณที่เกิดน้ำป่าไหลหลากบ่อยที่สุด”

เจ้าเมืองเฉิงลังเล “ใต้เท้าลู่ เส้นทางบนภูเขาอันตราย…”

ลู่เหิงขัดจังหวะคำพูดของเจ้าเมืองเฉิงเรียบๆ “หากท่านเจ้าเมืองคิดว่าเหนื่อยยาก จะรออยู่ที่นี่ก็ได้”

คำพูดที่เหลืออีกครึ่งของเจ้าเมืองเฉิงถูกเก็บไว้ในท้องทันที ลู่เหิงมีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าพวกเขา เป็นคนโปรดข้างกายฮ่องเต้ ทั้งยังปกครององครักษ์เสื้อแพร สำหรับขุนนางฝ่ายพลเรือนในท้องถิ่นอย่างพวกเขา มิต้องสงสัยเลยว่าลู่เหิงกุมอำนาจชี้ขาดเป็นตายอยู่ แค่คำพูดประโยคเดียวของลู่เหิงก็ทำให้พวกตนถูกปลดจากตำแหน่งหรือเลื่อนขั้นได้ เหล่าขุนนางไม่กล้าพูดมากอีก รีบออกไปเตรียมการ

ชาวบ้านที่มุงดูความครึกครื้นอยู่นอกเรือนเห็นใต้เท้าเหล่านั้นเข้าไปพูดคุยในเรือนครู่หนึ่ง หลังจากออกมาคนของทางการบ้างจูงม้า บ้างหามเกี้ยว ทำท่าเหมือนจะออกไปอีกครั้ง

พวกชาวบ้านถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้างในมีเรื่องอะไรกันแน่”

“ไม่รู้สิ สกุลหลิวคงจะไปก่อเรื่องอะไรเข้ากระมัง”

“ต้องก่อเรื่องใหญ่โตเพียงใดกัน ไฉนนายอำเภอจึงมาด้วย”

“ใช่แค่นายอำเภอที่ใดเล่า เห็นหรือไม่ นั่นคือใต้เท้าเจ้าเมืองของพวกเรา คนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่น ได้ยินว่าเป็นขุนนางใหญ่จากนครหลวงเชียวนะ”

ฝูงชนที่มุงดูจุปากอุทาน ชั่วขณะหนึ่งเจ้าพูดคำข้าพูดคำ ดูครึกครื้นยิ่งนัก คนข้างหลังอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบียดมาข้างหน้าไม่หยุด หญิงชาวบ้านคนหนึ่งถูกเบียดจนซวนเซชนคนด้านข้าง พอยืนได้มั่นคงแล้ว นางก็ร้องด่า “เจ้าพวกนิสัยเสีย เบียดหาอะไรกัน!”

ตัวการเป็นเด็กโตกลุ่มหนึ่ง เด็กที่มีท่าทางเหมือนหัวโจกทำหน้าทะเล้นใส่หญิงชาวบ้าน ไม่นานก็ผลุบหายไป หญิงชาวบ้านบ่นกระปอดกระแปด หันกลับไปเห็นแม่นางคนหนึ่งจึงนิ่งงันไปทันใด พึมพำว่า “เมื่อครู่ข้าชนถูกเจ้าหรือไม่…ตายจริง ข้าขออภัย ต้องโทษเด็กกลุ่มนั้นที่ซุกซนเกินไป เจ้าเป็นสะใภ้บ้านใดหรือ ไฉนก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”

หวังเหยียนชิงผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย “ข้าติดตามใต้เท้าทั้งหลายมาจากในตัวเมือง มิใช่คนที่นี่หรอก”

หญิงชาวบ้านส่งเสียงอ้อ สีหน้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางว่าอยู่แล้วเชียว ในหมู่บ้านพวกนางไม่มีคนที่งดงามปานนี้หรอก หากมิใช่ตอนนี้เป็นตอนกลางวันแสกๆ เมื่อครู่ยังเกือบคิดว่าตนเองเจอปีศาจสาวเข้าเสียแล้ว

ลู่เหิงเดินออกมาโดยมีกลุ่มคนรายล้อม ครั้นเห็นหวังเหยียนชิงก็เดินตรงเข้าไปหา “ชิงชิง…”

พอลู่เหิงเข้ามาใกล้ ชาวบ้านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นฝ่ายถอยไปข้างหลังเสียเองราวกับเป็นสัญชาตญาณเมื่อพบเจออันตราย มือของชายหนุ่มเพิ่งจะแตะตัวหวังเหยียนชิง นางก็อุทานเบาๆ ทันที ขมวดคิ้วกุมท้อง

มือของลู่เหิงชะงักกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะประคองไหล่นาง เอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ “เจ้าเป็นอะไรไป”

ลู่เหิงเบี่ยงตัวประคองนาง บดบังสายตาคนข้างหลังไว้ น้ำเสียงเขาห่วงใย แต่ดวงตากลับฉายแววงุนงงอย่างปิดไม่มิด

นางกำลังทำอะไร ฝีมือการแสดงละครแย่เกินไปหน่อยแล้วกระมัง

หวังเหยียนชิงขยิบตาให้เขาพลางพูด “ใต้เท้า จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย…”

ลู่เหิงมองนางอย่างเงียบงัน ชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้เขายังคิดว่าระดูของนางมากะทันหันเสียอีก แต่บัดนี้เห็นสีหน้านางแล้วน่าจะไม่ใช่ เช่นนั้นก็ทำให้คนไม่เข้าใจมากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ไม่ได้นัดแนะล่วงหน้า ไฉนจู่ๆ นางจึงแสดงละครเช่นนี้เล่า

เคราะห์ดีที่ลู่เหิงเติบโตขึ้นมาข้างกายฮ่องเต้ เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่ความสามารถในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงและการคาดเดาจิตใจผู้อื่นของเขานับว่าไม่แย่ เขาจ้องตาหวังเหยียนชิงเหมือนจะเข้าใจเจตนาของนางแล้ว “ในเมื่อเจ้าไม่สบาย เช่นนั้นก็อย่าขึ้นเขาเลย มิสู้พักอยู่ในหมู่บ้านก่อนดีหรือไม่”

หวังเหยียนชิงโล่งอก นางยังกังวลว่าลู่เหิงจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนาง เคราะห์ดีที่เขาตอบสนองได้ทัน นางผงกศีรษะด้วยความละอาย “ได้ สร้างความยุ่งยากให้ใต้เท้าแล้ว”

เจ้าเมืองเฉิงได้ยินความเคลื่อนไหวทางนี้จึงหาจังหวะถาม “ใต้เท้าลู่ ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ…”

ลู่เหิงเอ่ยปาก “นางเป็น…”

ไม่รอให้ชายหนุ่มพูดจบ หวังเหยียนชิงรีบตอบเสียก่อน “สาวใช้”

ลู่เหิงชะงักเล็กน้อย กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ยิ้มพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นสาวใช้ของข้า วันนี้ติดตามข้ามาทำคดี ไม่คิดว่าร่างกายจะไม่สบายกะทันหัน ไม่ทราบว่าบ้านของใครสะดวกให้นางพักผ่อนได้บ้าง”

ใต้เท้าลู่เอ่ยปากแล้ว คนที่อยู่ ณ ที่นั้นมีหรือจะกล้าไม่ให้เกียรติ ทุกคนแย่งกันตอบรับ เข้าสู่ช่วงเวลาของการเดาใจแล้ว ลู่เหิงมองคนเหล่านี้ ลอบคาดเดาในใจว่าบ้านใดเป็นบ้านที่หวังเหยียนชิงอยากจะไป สุดท้ายเขาหยิกต้นแขนด้านในของหวังเหยียนชิงคล้ายต้องการลงโทษ “เช่นนั้นก็รบกวนผู้ใหญ่บ้านแล้ว”

บทที่ 58

ผู้ใหญ่บ้านพาลู่เหิงไปดูแม่น้ำโดยรอบ ใต้เท้าผู้บัญชาการมีความสนใจเช่นนี้ นายอำเภอกับเจ้าเมืองจะไม่ไปด้วยได้อย่างไร เจ้าเมืองเฉิงได้แต่ทำหน้าขมขื่น มุดเข้าไปในเกี้ยวที่ลมลอดเข้ามามิได้ มุ่งหน้าเข้าไปในป่าเขาท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า

ลู่เหิงและเจ้าเมืองพาผู้ติดตามส่วนใหญ่ไปด้วย พอพวกเขาจากไป หมู่บ้านเหอกู่ก็เงียบสงบ หมู่บ้านแห่งนี้เพิ่งจะมีห้าสิบเอ็ดครัวเรือนที่สูญเสียบิดา สามีหรือบุตรชายไป ทุกบ้านต่างแขวนธงขาวซึ่งกำลังโบกสะบัดอยู่กลางแสงอาทิตย์ร้อนแรงในเดือนเจ็ด ดูวังเวงทีเดียว

พิจารณาจากมุมนี้ หวังเหยียนชิงนับว่าโชคดี นางไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย สามารถนั่งอยู่ใต้ชายคาหลบร้อนได้อย่างสบายใจ นางคิดในใจ นางกับพี่รองโตมาด้วยกันจริงๆ ความรู้ใจหาใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะเทียบได้ นางยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ พี่รองก็เข้าใจความคิดของนางแล้ว

แม้จะถูกหยิกที่แขนหนึ่งทีจนตอนนี้ยังชาอยู่เล็กน้อยก็ตาม

บ้านของผู้ใหญ่บ้านต้องต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์กะทันหัน พานให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันตา ผู้ใหญ่บ้านไปนำทางให้ใต้เท้าทั้งหลาย ที่บ้านจึงเหลือเพียงเฉียนซื่อภรรยาสูงวัย อู๋ซื่อลูกสะใภ้ และหลี่เจิ้งเจ๋อหลานชายวัยห้าขวบ เฉียนซื่อเชิญหวังเหยียนชิงนั่งอย่างประหม่าอยู่บ้าง ร้องสั่งลูกสะใภ้ “ไปอุ้มเจิ้งเจ๋อมาเร็วเข้า มาโขกศีรษะให้ผู้สูงศักดิ์”

หวังเหยียนชิงได้ยินดังนั้นก็รีบพูด “อย่าเลยไท่ไท่ผู้เฒ่า ข้าเป็นเพียงสาวใช้ของใต้เท้าลู่ หาใช่ผู้สูงศักดิ์ไม่”

เฉียนซื่อกลับยืนกราน รับตัวหลานชายมาด้วยตนเองและพากันคารวะหวังเหยียนชิง เจ้าเมืองเป็นบุคคลที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาคนที่เฉียนซื่อรู้จัก แม้กระทั่งเจ้าเมืองยังเคารพนบนอบใต้เท้าผู้อ่อนเยาว์ท่านนั้น ฐานะและที่มาที่ไปของคนเหล่านี้หาใช่สิ่งที่เฉียนซื่อสามารถคาดเดาได้ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนเฝ้าประตูจวนอัครเสนาบดีมีตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด คนข้างกายคนใหญ่คนโตต่อให้เป็นเพียงสาวใช้ก็ทำจากทองคำ’

หวังเหยียนชิงรีบลุกขึ้นหยุดยั้งการกระทำของเฉียนซื่อ “ไท่ไท่ผู้เฒ่า ท่านทำอะไร รีบลุกขึ้นเถิด ทำให้เด็กตกใจหมดแล้ว”

หวังเหยียนชิงยกเอาหลานชายของพวกเขามาอ้าง ในที่สุดเฉียนซื่อจึงได้หยุด หวังเหยียนชิงลอบโล่งอก นางบอกให้เฉียนซื่อและอู๋ซื่อรีบนั่งลง หลังจากวุ่นวายอยู่นาน ในที่สุดพวกนางก็นั่งลงพูดคุยดีๆ

ยื้อยุดกันไปมารอบหนึ่ง ร่างกายของหวังเหยียนชิงมีเหงื่อบางๆ ซึมออกมาชั้นหนึ่ง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ อู๋ซื่อเห็นดังนั้นก็รีบพูด “แม่นางรอประเดี๋ยว ข้าจะไปหาพัดมาให้…”

อู๋ซื่อว่าพลางเลิกม่านวิ่งเข้าไปในห้องด้านใน รื้อหาของเสียงดังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบพัดผ้าไหมเล่มหนึ่งออกมา “แม่นาง นี่เป็นของที่บ้านเดิมของข้าส่งมาให้ เห็นว่าเป็นแบบที่ทางนครหลวงนิยมกัน แม้แต่ในตัวเมืองยังไม่มีของแบบใหม่นี้ ข้าไม่เคยนำออกมาใช้เลย ให้ท่านเอาไปใช้ก่อน”

หวังเหยียนชิงกล่าวขอบคุณและลุกขึ้นรับไว้ นางกวาดตามองลวดลายบนพัด เป็นแบบของนครหลวงจริงๆ ทว่าเป็นของปีที่แล้ว ปีนี้นิยมลวดลายอื่นแล้ว หวังเหยียนชิงมิได้เปิดโปง เพียงยิ้มพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เป็นแบบใหม่จริงๆ ด้วย บ้านเดิมของอู๋เหนียงจื่ออยู่ในนครหลวงหรือ ข่าวสารถึงได้ฉับไวปานนี้”

หวังเหยียนชิงเอ่ยคำพูดนี้เพื่อสร้างความสนิทสนม นางจะมาสืบข่าว คงมิอาจมาถึงก็ล้วงความลับของผู้อื่นทันที จะอย่างไรก็ต้องเอ่ยวาจาน่าฟังผูกสัมพันธ์กันก่อน บ้านเดิมและนครหลวงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก

อู๋ซื่อผลิยิ้มกระหยิ่มใจตามคาด เรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของหวังเหยียนชิงอยู่แล้ว แต่ที่เหนือความคาดหมายคือสีหน้าของเฉียนซื่อที่อยู่ด้านข้างกลับฉายความรู้สึกซับซ้อนขึ้นแวบหนึ่ง

เปลือกตานางหรี่ลงเล็กน้อย ตาขาวเหลือกขึ้นคล้ายจะเหยียดหยัน แต่ริมฝีปากนางกลับกระดกยิ้ม ทว่าเพียงพริบตาก็หายไป

การค้นพบนี้สร้างความประหลาดใจให้หวังเหยียนชิงอย่างมาก นางลอบสังเกตเฉียนซื่อ ขณะเดียวกันก็ได้ยินอู๋ซื่อเล่าด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะสำรวม แต่ยังคงไม่อาจปกปิดแววโอ้อวดเอาไว้ได้ “บ้านเดิมของข้ามีคนรู้จักอยู่ในนครหลวง ทำการค้าเล็กๆ มักจะเดินทางไปมา ข้าบอกไปหลายรอบแล้วว่าข้าไม่ได้ใช้ของเล่นจุกจิกพวกนี้ พี่ชายกลับเอามาให้ข้าอยู่เรื่อย”

หวังเหยียนชิงยิ้มผงกศีรษะ “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง บ้านเดิมของอู๋เหนียงจื่อช่างดีต่อท่านจริงๆ”

ตามคาด หวังเหยียนชิงเอ่ยคำพูดนี้จบ แววเหยียดหยันบนใบหน้าเฉียนซื่อยิ่งชัดเจนกว่าเดิม ในฐานะแม่สามี ไม่ชอบที่ลูกสะใภ้ยกยอบ้านเดิมของตนเป็นเรื่องปกติ แต่อารมณ์ที่แสดงออกมาควรจะเป็นขุ่นเคืองหรือรำคาญมากกว่า เหตุใดจึงเป็นความดูแคลนเล่า

ตามความเห็นของหวังเหยียนชิง ทรัพย์สินในบ้านของผู้ใหญ่บ้านยังมิได้มากพอที่จะดูถูกบ้านเดิมของลูกสะใภ้ที่เป็นพ่อค้าคนกลางซื้อขายสินค้าจากนครหลวงกระมัง อีกทั้งตอนที่เฉียนซื่อได้ยินลูกสะใภ้พูดว่าบ้านเดิมของนางมีเงิน ดวงตาฉายแววดูแคลน แต่มุมปากกลับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

นางยิ้มอะไรของนาง

หวังเหยียนชิงครุ่นคิดในใจเงียบๆ นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง ไม่น่าเชื่อว่าจะพบจุดสำคัญของเรื่องราวไวปานนี้

อู๋ซื่อเล่าถึงบ้านเดิมของตนอย่างลำพองใจ พูดไม่ถึงสองประโยคก็ถูกเฉียนซื่อขัดจังหวะ “เดือนเจ็ดแล้ว อีกสองเดือนฉีเอ๋อร์ก็ต้องสอบเคอจวี่แล้ว”

คำพูดนี้ของเฉียนซื่อแทรกเข้ามาอย่างชัดเจนยิ่งนัก อู๋ซื่อชะงัก หวังเหยียนชิงยิ้มถาม “ไท่ไท่ผู้เฒ่าหมายถึงคุณชายของพวกท่านหรือ ได้ยินว่าคุณชายเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาระดับอำเภอ ผลคะแนนยอดเยี่ยม การสอบชิวเหวยครั้งนี้คิดว่าคงติดอันดับต้นๆ เป็นแน่”

นี่เป็นหัวข้อสนทนาที่เฉียนซื่อชื่นชอบ นางคุยเรื่องของหลี่ฉีผู้เป็นบุตรชายไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋ซื่อชะงักค้างเหมือนดอกไม้กระดาษ เวลานี้หลี่เจิ้งเจ๋อวิ่งเข้ามาชวนมารดาเล่น อู๋ซื่อปัดมือเด็กน้อยออก ดุเสียงค่อย “อย่าซน ไม่เห็นหรือว่ามีแขกผู้สูงศักดิ์อยู่”

หลี่เจิ้งเจ๋อถูกมารดาปฏิเสธ วิ่งออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เฉียนซื่อทนเห็นหลานรักหมดสนุกไม่ได้ รีบร้องเรียก แล้วไล่ตามออกไป “คนดีของย่า”

เฉียนซื่อออกไปแล้ว อู๋ซื่อยิ้มให้หวังเหยียนชิงอย่างขออภัย “แม่นางอย่าได้ถือสา แม่สามีอายุมากแล้ว เจอใครก็ชอบคุยแต่เรื่องในอดีตไปเรื่อย”

ผู้ใหญ่บ้านกับเฉียนซื่อภาคภูมิใจในตัวบุตรชายผู้เป็นซิ่วไฉมาก แม้จะสอบไม่ติดอันดับหลายครั้ง แต่ปีนี้จะต้องสอบติดแน่นอน กระนั้นสำหรับอู๋ซื่อแล้ว นางกลับมองออกนานแล้วว่าหลี่ฉีมิได้มีหัวด้านการเล่าเรียน ชีวิตนี้ได้เป็นซิ่วไฉนับว่าสูงที่สุดแล้ว ถึงจะสอบต่อไปก็ไม่มีทางสอบติดขุนนาง แต่หลี่ฉีกลับลำพองตนยิ่งนัก ไม่ยอมกลับบ้านมาทำนาและไม่ยอมหางานทำในตัวเมือง เอาแต่ท่องกลอนคร่ำครึพวกนั้นทั้งวี่วัน อู๋ซื่อรู้สึกไม่พอใจสามีนานแล้ว

หวังเหยียนชิงยิ้มน้อยๆ รับฟัง ซักถามชวนคุยเป็นครั้งคราว แต่ไม่แสดงความเห็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลี่ พูดอย่างนี้อาจฟังดูไม่ดีนัก แต่การร่วมกันนินทาผู้อื่นเป็นวิธีกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคนได้ดีที่สุด ต่อให้หวังเหยียนชิงมิได้พูดต่อ อู๋ซื่อก็รู้สึกสนิทสนมกับนางอย่างรวดเร็ว

หวังเหยียนชิงใคร่ครวญว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงพูด “เหนียงจื่ออย่าร้อนใจไปเลย หลี่ซิ่วไฉมีตำแหน่งติดตัว ชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง อีกอย่างโชคดีที่เขามีตำแหน่ง หาไม่แล้วครั้งนี้บ้านของพวกท่านก็ต้องถูกเกณฑ์ไพร่พลไปใช้แรงงานด้วย ไม่แน่หลี่ฉีกับผู้ใหญ่บ้านอาจจะไม่ได้กลับมา”

อู๋ซื่อฟังถึงตรงนี้แล้วถอนหายใจ “ก็นั่นน่ะสิ นับว่าได้ลาภจากคราวเคราะห์กระมัง”

“เช่นนี้จะเรียกว่าได้ลาภจากคราวเคราะห์ได้อย่างไร” หวังเหยียนชิงพูดยิ้มๆ “นี่คือความบังเอิญที่ถูกลิขิตไว้แล้วต่างหาก”

หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าอู๋ซื่อเหยียดปากเล็กน้อยจึงหยิบพัดขึ้นมาโบกช้าๆ

“ก็จริง หลี่ฉีเรื่องอื่นไม่พูดถึง แต่เขามักจะโชคดีที่สุดเสมอ”

ฟังจากน้ำเสียงของอู๋ซื่อ ดูเหมือนจะไม่พอใจสามีและบ้านสามีพอสมควร หวังเหยียนชิงกลอกตาเล็กน้อย ชำเลืองมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เห็นว่าเฉียนซื่อพาหลานชายออกไปเล่นแล้วจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นหม่นหมองกลัดกลุ้ม ทอดถอนใจอย่างเจ็บปวด “เรื่องราวต่างๆ ในโลกก็มักไม่มีเหตุผลเช่นนี้เสมอ คนที่มีเงินก็มั่งคั่งร่ำรวยทุกรุ่น ส่วนคนที่โชคร้ายกลับโชคร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ อู๋เหนียงจื่อ สามีของท่านมีตำแหน่งติดตัว ทั้งยังมีบุตรชายที่ว่าง่ายเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ชีวิตต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องใดแล้ว หากเป็นสะใภ้บ้านอื่น ทั้งต้องจ่ายภาษี ครอบครัวยังสูญเสียบุรุษไป วันข้างหน้าจะหาเลี้ยงปากท้องอย่างไร”

หวังเหยียนชิงบ่นพล่ามยืดยาว แต่หางตากลับจับอยู่ที่อู๋ซื่อตลอดเวลา อู๋ซื่อฟังคำพูดเหล่านี้แล้วหลุบตาลง เม้มปากโดยไม่รู้ตัว

หวังเหยียนชิงแยกแยะได้ในทันที อู๋ซื่อกำลังรู้สึกละอาย ความละอายใจเป็นอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งเท่านั้น เมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกละอายย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะลงโทษตนเองด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแต่เป็นโทษต่อตนเอง

หวังเหยียนชิงใช้ประโยชน์จากความละอายใจของอู๋ซื่ออย่างแนบเนียน “แต่เคราะห์ดีที่พวกนางได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากที่ว่าการอำเภอ แม้จะสูญเสียเสาหลักที่สำคัญที่สุดของครอบครัวไปสองคน แต่ถ้าในมือมีเงิน มากน้อยอย่างไรก็สามารถต่อชีวิตได้อีกหลายปี เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเงินก้อนนี้หมดไป พวกนางจะทำอย่างไรต่อ”

อู๋ซื่อก้มหน้ามิได้ตอบคำ หวังเหยียนชิงกุมมือนาง ยิ้มแล้วพูด “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความโชคดีของพวกนางที่ได้พบผู้ใหญ่บ้านที่ดี ได้ยินว่าครั้งนี้บ้านของหลิวต้าเหนียงไปเรียกร้องความเป็นธรรมยังที่ว่าการอำเภอหลายครั้ง แต่ไม่มีคนสนใจ อีกทั้งพวกนางยังทำให้นายอำเภอโมโหจนเกือบจะถูกลงโทษ ยังคงเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยออกหน้า เรียกร้องเอาเงินทำศพมาให้ชาวบ้านได้ ดีร้ายอย่างไรก็ช่วยให้แม่ม่ายและเด็กกำพร้าเหล่านี้มีเงินประทังชีวิต ผู้ใหญ่บ้านจิตใจดีมีเมตตา ปรองดองเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน ดวงวิญญาณในยมโลกของพวกบุรุษที่ตายเพราะน้ำป่าหากรู้เข้าจะต้องซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ใหญ่บ้านแน่นอน บุตรของท่านมาเกิดในครอบครัวเช่นนี้ นับเป็นวาสนาจริงๆ”

“เกิดในบ้านพวกเขานับเป็นวาสนาอันใด!” อู๋ซื่อพูดอย่างโมโห นางสูดหายใจลึก ก้มหน้าเอ่ย “ขออภัย ข้าเสียกิริยาแล้ว”

“ท่านเป็นอะไรไป” หวังเหยียนชิงมองอู๋ซื่ออย่างเป็นห่วง “ท่านวางใจ ข้าก็เป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติผู้อื่นเหมือนกัน เข้าใจความขมขื่นเหล่านี้ดี พ่อแม่สามีของท่านสร้างความลำบากใจให้ท่านใช่หรือไม่”

คำพูดเหล่านี้เก็บอยู่ในใจอู๋ซื่อนานแล้ว วันนี้ไม่รู้เหตุใดนางจึงบังเกิดความหุนหัน อาศัยอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับนี้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดช่วงที่ผ่านมาออกมา “ไม่ถึงขั้นสร้างความลำบากใจอะไรหรอก ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านจะอย่างไรก็รักหน้าตา แต่พวกเขาไม่เคยเห็นข้าเป็นคนในครอบครัวเลยต่างหาก มีของดีอะไรก็มอบให้เจิ้งเจ๋อโดยไม่ผ่านข้า ทั้งยังกำชับเจิ้งเจ๋อไม่ให้บอกข้าอีก เพ้ย! ใครอยากได้ของของพวกเขากัน”

เมื่ออารมณ์หาช่องทางปลดปล่อยเจอ คำพูดต่อจากนั้นก็ยากจะสกัดกั้นอีกต่อไป หวังเหยียนชิงทำหน้าเหลือเชื่อ “จริงหรือ ข้าเห็นผู้ใหญ่บ้านเป็นคนเถรตรงจริงใจ เอาการเอางาน และมีความรับผิดชอบ ไท่ไท่ผู้เฒ่าก็เป็นคนตรงไปตรงมา จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ลับหลังท่านได้อย่างไร”

“พวกเขาเสแสร้งเก่งนัก” อู๋ซื่อเห็นหวังเหยียนชิงไม่เชื่อ ร้อนใจอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง คำพูดนินทาพ่อแม่สามีจึงพรั่งพรูออกมาประหนึ่งเทเมล็ดถั่ว “แม่นางหวัง เรื่องนี้ข้าเล่าให้ท่านฟังคนเดียวเท่านั้น ท่านอย่าเห็นว่าพ่อแม่สามีข้าภายนอกทำตัวเหมือนพระโพธิสัตว์ แต่ความจริงเงินค่าทำศพที่ทางอำเภอแจกจ่ายให้ชาวบ้านถูกพวกเขายักยอกไปก้อนโตเชียวล่ะ”

หวังเหยียนชิงปิดปากอย่างตื่นตระหนก ทางหนึ่งคิดว่านางแสดงละครมากเกินไปหรือไม่ ทางหนึ่งถามต่อด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“มีจริงๆ” อู๋ซื่อว่า “แม่สามีข้าตระหนี่ถี่เหนียวถึงเพียงนั้น หมู่นี้จู่ๆ กลับยอมควักเงินซื้อเนื้อมาทำกับข้าว ข้าไม่ระวังทำชามแตก นางกลับไม่ได้อาละวาด บอกว่าแตกก็เปลี่ยนชุดใหม่เสีย สองวันก่อนข้ายังเห็นนางแอบบอกเจิ้งเจ๋อว่าต่อไปเงินทองในบ้านล้วนเป็นของเขา กำชับเจิ้งเจ๋อซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามบอกข้า”

อู๋ซื่อเล่าพลางเหลือกตาขาว แค่นเสียงพูด “หากมิใช่ว่าได้ลาภลอย ยังจะเป็นอะไรได้อีก”

ขอเพียงอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่อให้ระมัดระวังเพียงใดก็เลี่ยงมิได้ที่จะเผยพิรุธ อีกอย่างเรื่องของการมีเงินนี้ ต่อให้ปากไม่พูด ความจริงก็สะท้อนออกมาผ่านการกระทำและท่าทีอยู่แล้ว

อู๋ซื่อพบว่าหมู่นี้พ่อแม่สามีดูเหมือนจะมีเงินเพิ่มขึ้นก้อนโต แต่บ้านพวกเขาไม่ได้มีรายรับอะไร สิ่งเดียวที่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงก็คือเร็วๆ นี้คนในหมู่บ้านตายไปจำนวนมาก หากมิใช่ทุจริตยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ตาย ยังจะเป็นอะไรได้อีก

หวังเหยียนชิงพลันกระจ่างแจ้ง ช่วงนี้บ้านของผู้ใหญ่บ้านร่ำรวยขึ้น พอคิดจะปิดบังลูกสะใภ้ ไม่คิดว่ากลับถูกอู๋ซื่อมาแอบได้ยินเข้า หากเป็นเช่นนี้การแสดงออกของแม่สามีกับลูกสะใภ้เมื่อครู่ก็สามารถเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง

อู๋ซื่ออึดอัดอยู่ในใจ จงใจโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่นว่าบ้านเดิมของตนร่ำรวย แต่เฉียนซื่อรู้ว่าตอนนี้บ้านตนมีเงินเก็บอยู่เท่าไร จึงดูแคลนสมบัติของบ้านเดิมที่อู๋ซื่อภูมิใจนักหนา มุมปากของเฉียนซื่อกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เพราะนางคิดว่าตนเองมีเงินเหนือกว่าอู๋ซื่อ แต่ไม่อยากจะเปิดโปง ดังนั้นจึงลอบหัวเราะ

ตอนนี้หวังเหยียนชิงได้เบาะแสที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านได้ลาภก้อนโตที่มิอาจบอกผู้ใดได้ อีกทั้งเงินจำนวนนี้ได้มาอย่างไรไม่รู้ แต่แน่ใจได้ว่าจำนวนต้องไม่น้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็มากกว่ารายรับของชาวบ้านทั่วไปมาก หวังเหยียนชิงครุ่นคิดและสอบถามอีกเรื่องหนึ่งอย่างช้าๆ “ข้าไม่รู้เลยว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย ผู้อาวุโสทั้งสองท่านดูไม่เหมือนคนประเภทนั้น ข้าได้ยินว่าละแวกใกล้เคียงมีคนหายสาบสูญ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครัวของคนที่หายไปไหว้วานผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยตามหาคนและมอบเงินให้เป็นค่าตอบแทน”

อู๋ซื่อแค่นเสียงอย่างไม่เห็นด้วย “คนที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียวหรือเป็นพ่อม่ายก็คืออันธพาลว่างงาน บ้านพวกเขาไม่มีคนอื่นแล้ว หายตัวไปก็ไม่มีใครคิดถึง แล้วใครจะยอมควักเงินตามหาพวกเขาเล่า”

หวังเหยียนชิงตกใจ “ล้วนเป็นคนที่อาศัยอยู่คนเดียว พ่อม่าย ผู้ชรา และคนอ่อนแอทั้งนั้นเลยหรือ ตายจริง เมื่อครู่ข้าเห็นเจิ้งเจ๋อดึงไท่ไท่ผู้เฒ่าวิ่งออกไป พวกเขาสองคนหนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์ อยู่ข้างนอกคงไม่เกิดอะไรขึ้นกระมัง”

อู๋ซื่อฟังแล้วก็เป็นกังวล นางลุกขึ้นมองออกไปข้างนอก “น่าจะไม่เป็นไรกระมัง ไม่เคยได้ยินว่าบ้านใดมีเด็กหรือสตรีหายตัวไป”

ครั้นเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายของตนเอง อู๋ซื่อก็นั่งไม่ติด เอ่ยอย่างร้อนใจ “แม่นาง ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะออกไปตามเจิ้งเจ๋อ ขอตัวสักครู่”

หวังเหยียนชิงรีบบอกว่า “ไม่เป็นไร” แล้วเร่งให้อู๋ซื่อรีบไป

พออู๋ซื่อออกไปแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงหวังเหยียนชิงคนเดียว นางกวาดตามองไปนอกหน้าต่างสองหน ก่อนลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วรื้อดูของภายในห้อง

นางค้นหาบริเวณที่อาจซุกซ่อนสิ่งของไว้อย่างเบามือ จากนั้นก็วางกลับลงที่เดิมอย่างระวัง เนื่องจากฝึกยุทธ์มาหลายปี หูของนางจึงไวกว่าคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าสับสนลอยมาจากข้างนอก นางก็วางข้าวของกลับคืนที่เดิมทันที นั่งลงตามเดิมและหยิบพัดขึ้นมาอย่างสุขุม

เพิ่งจะโบกพัดได้สองที เสียงของอู๋ซื่อก็ดังขึ้นนอกหน้าต่าง “บอกเจ้าตั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปริมแม่น้ำ ในแม่น้ำมีปีศาจ ระวังเถอะ เจ้าจะถูกปีศาจลากลงไปกิน!”

เฉียนซื่อแผดเสียงแหลมทันใด “เจ้าก็พูดให้มันดีๆ สิ จะดุเด็กด้วยเหตุใดกัน”

หวังเหยียนชิงฟังแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้เถียงกัน แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ

หวังเหยียนชิง ‘พักผ่อน’ อยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ใกล้เที่ยงวันแล้ว คนที่ออกไปยังไม่กลับมา หวังเหยียนชิงจึงได้แต่กินอาหารที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน เฉียนซื่อและอู๋ซื่อต้อนรับหวังเหยียนชิงอย่างกระตือรือร้น หลังกินข้าวเสร็จหวังเหยียนชิงเสนอตัวช่วยเหลือ แต่ถูกเฉียนซื่อห้ามไว้ “แม่นางเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ จะให้ท่านทำงานพวกนี้ได้อย่างไร ท่านนั่งพักอยู่ในห้องโถงก็พอ”

อู๋ซื่อพูดเช่นกัน “นั่นสิ แม่นางหวัง ท่านร่างกายไม่สบาย อย่าโดนน้ำเลย ข้าทำงานพวกนี้จนชินแล้ว ประเดี๋ยวก็เสร็จเรียบร้อย”

หวังเหยียนชิงไม่ดึงดันอีก ตอบว่า “ได้ เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”

อู๋ซื่อล้างชามเช็ดโต๊ะอยู่ข้างนอก เฉียนซื่ออุ้มหลานเข้าไปนอนในห้อง หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง พิงขอบหน้าต่างพลางโบกพัดช้าๆ นางมองแสงแดดข้างนอกที่สว่างเจิดจ้าจนแยงตา ใจอดคิดมิได้ว่าตอนนี้พวกพี่รองอยู่ที่ใดหนอ

เดินทางเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างนอกภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตอนเที่ยงพวกเขาจะกินอาหารกันอย่างไร

เฉียนซื่อกล่อมหลานให้นอนกลางวัน แต่เด็กห้าขวบมีพลังล้นเหลือกว่าคนสูงวัยมาก สุดท้ายเฉียนซื่อหลับไปแล้ว ดวงตาของหลี่เจิ้งเจ๋อยังคงกลอกไปมา หลี่เจิ้งเจ๋อคลานออกจากอ้อมอกของผู้เป็นย่าอย่างเบามือเบาเท้า ลงพื้นและสวมรองเท้าวิ่งเตาะแตะออกมาข้างนอก

ดูจากท่าทางเห็นชัดว่าทำเช่นนี้เป็นประจำ

อู๋ซื่อเก็บกวาดเสร็จ เห็นบุตรชายนั่งยองๆ เล่นคนเดียวอยู่มุมหนึ่งก็รีบไล่เขากลับไปนอน หวังเหยียนชิงพูด “อู๋เหนียงจื่อ ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะ ข้านอนไม่หลับ อยู่ตรงนี้ช่วยดูเขาได้พอดี”

อู๋ซื่อลังเลเล็กน้อย หวังเหยียนชิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยสำทับว่า “พอดีข้าเองก็ชอบเด็กมาก อยากรับไอมงคลเสียหน่อย”

ชาวบ้านมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง สตรีที่ยังไม่มีบุตรหากได้อุ้มเด็กชายบ่อยๆ วันข้างหน้าจะสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ อู๋ซื่อคาดเดาฐานะของหวังเหยียนชิงได้ตั้งแต่แรกแล้ว ฟังแล้วจึงไม่กังขาแต่อย่างใด เพียงกลับห้องไปนอนกลางวัน

นางกับหวังเหยียนชิงไม่เหมือนกัน นางตื่นแต่เช้าขึ้นมาเก็บกวาดบ้านเรือน ปรนนิบัติพ่อแม่สามี เมื่อครู่ทั้งต้องทำกับข้าวและทำความสะอาดครัว กว่าช่วงเช้าจะผ่านพ้นไปร่างกายก็เหนื่อยล้า

หลี่เจิ้งเจ๋อนั่งยองๆ เล่นก้อนหินอยู่ใต้ชายคา หวังเหยียนชิงพิงหน้าต่าง ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูด “เจ้าทำเช่นนี้ยิงไม่โดนหรอก”

หลี่เจิ้งเจ๋อปรายตามองหวังเหยียนชิงแวบหนึ่ง แต่ไม่สนใจนาง

หวังเหยียนชิงหยิบเมล็ดถั่วดำจากบนโต๊ะดีดออกไปเบาๆ กระแทกถูกก้อนหินของหลี่เจิ้งเจ๋ออย่างแม่นยำ

หลี่เจิ้งเจ๋อหันกลับไปมองนางอีกครั้ง ทำแก้มป่องพูด “แค่นี้มีอะไรร้ายกาจเล่า ข้าก็ทำได้”

หวังเหยียนชิงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเรามาประลองกันว่าใครดีดแม่นกว่า”

หวังเหยียนชิงเท้าคางด้วยมือข้างเดียว รังแกเด็กน้อยอย่างสบายใจ ผลลัพธ์ไม่เหนือความคาดหมายสักนิด หลี่เจิ้งเจ๋อเอาชนะนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่นานเขาก็เลื่อมใสหวังเหยียนชิงอย่างสุดจิตสุดใจ ขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ พลางถาม “ท่านทำได้อย่างไรกัน”

หวังเหยียนชิงถามอย่างใจเย็น “อยากหัดหรือไม่”

หลี่เจิ้งเจ๋อออกแรงพยักหน้า หวังเหยียนชิงพูด “อยากหัดก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายค่าวิชาก่อน”

“ค่าวิชา?”

“ก็คือเงินที่ใช้คารวะอาจารย์” หวังเหยียนชิงว่า “ข้าสอนวิชาให้เจ้า เจ้าก็ต้องมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดของตนเองให้กับข้า”

หลี่เจิ้งเจ๋อในวัยเพียงห้าขวบได้รู้จักความคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนเป็นครั้งแรก เขาขบคิดอย่างยุ่งยากใจก่อนพูด “ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะไปเอาถั่วเคลือบน้ำตาลของข้ามาให้ ท่านห้ามสอนผู้อื่นนะ!”

หลี่เจิ้งเจ๋อพูดพลางวิ่งออกไปข้างนอก หวังเหยียนชิงคิดในใจ ถั่วเคลือบน้ำตาลไฉนจึงต้องออกไปเอาข้างนอกด้วย นางเกรงว่าเขาเป็นเด็กคนเดียวออกไปข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรจึงรีบตามไป

หลี่เจิ้งเจ๋อวิ่งไปจนถึงริมแม่น้ำ เขานั่งยองๆ ข้างต้นหลิวต้นหนึ่งและออกแรงขุดเนินดิน หวังเหยียนชิงหยุดยืนข้างหลังเขาอย่างใจเย็น เฝ้ามองการกระทำของเด็กน้อยอย่างอดทน

หลี่เจิ้งเจ๋อขุดหลุมหลายหลุม ในที่สุดก็หา ‘ขุมสมบัติ’ ของตนพบ เขาขุดก้อนหินหลายก้อนออกมาจากในดิน เลือกก้อนใหญ่ที่สุดยื่นให้หวังเหยียนชิง “นี่คือของล้ำค่าที่สุดของข้า ข้าหาในแม่น้ำตั้งนานกว่าจะพบ ข้าจะมอบของสิ่งนี้ให้ท่าน แต่ท่านต้องสอนข้าดีดก้อนหินนะ”

หวังเหยียนชิงรับก้อนหินที่เปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัดมาพิจารณาดู อมยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้”

จิตใจของเด็กบริสุทธิ์และจริงใจ นางบอกว่าต้องการค่าวิชา เขาก็ขุดของที่สำคัญที่สุดของเขาออกมามอบให้หวังเหยียนชิง หวังเหยียนชิงจึงทำตามสัญญา สอนวิธีการดีดก้อนหินให้เขา

หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวริมแม่น้ำโดยไม่สนใจดินบนพื้น แข่งกับหลี่เจิ้งเจ๋อว่าก้อนหินของใครจะดีดได้แม่นกว่ากัน ลู่เหิงเดินทางกลับมาตามแนวชายฝั่ง ภาพแรกที่เห็นก็คือภาพนี้

เจ้าเมืองเฉิงเหน็ดเหนื่อยจนลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า เขาเห็นรางๆ ว่าใต้เงาต้นหลิวข้างหน้ามีคนอยู่จึงถาม “นั่นใครน่ะ”

ผู้ติดตามหรี่ตามอง “ดูเหมือนจะเป็นสตรีนางหนึ่งกับเด็กน้อยคนหนึ่งขอรับ กำลังเล่นก้อนหินกัน”

เจ้าเมืองเฉิงฟังแล้วประหลาดใจทีเดียว “อากาศร้อนมากถึงเพียงนี้ เด็กไม่รู้เรื่องก็แล้วไปเถอะ ผู้ใหญ่กลับพลอยเล่นไปกับเขาด้วย”

ผู้ติดตามเผยสีหน้ายากจะบรรยายและมิอาจชี้แจงให้กระจ่าง เพียงปรายตามองลู่เหิงอย่างคลุมเครือ “นั่นดูเหมือนจะเป็นสตรีที่ใต้เท้าลู่พามาขอรับ”

เจ้าเมืองเฉิงชะงัก นิ่งงันชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “ฮ่าๆๆ ลู่ฮูหยินช่างสดใสไร้เดียงสา มีจิตใจบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยโดยแท้”

เจ้าเมืองเฉิงกลัวลู่เหิงจะโมโหจึงจงใจพูดถึงฐานะของหวังเหยียนชิงอย่างเกินจริง สตรีผู้นี้บอกว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่ลู่เหิงออกมาทำคดีก็ยังไม่ลืมพานางมาด้วย เห็นได้ว่าเป็นที่รักใคร่อย่างมาก เจ้าเมืองเฉิงให้เกียรติลู่เหิง จึงเรียกนางอย่างยกย่องว่า ‘ฮูหยิน’ ได้แต่หวังว่าใต้เท้าลู่จะเห็นแก่ที่เขาเชิดชูสตรีผู้นี้ อย่าได้ถือสาหาความเขา

ลู่เหิงมองภูเขาสีครามกับต้นหลิวสีเขียวเบื้องหน้า แม่น้ำสีเงินระยิบระยับ ตลอดจนหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อนแต่กลับนั่งลงบนพื้นโดยไม่กลัวสกปรกผู้นั้นคล้ายไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าเมืองเฉิง เขายิ้มเอ่ย “บริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยจริงๆ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: