บทที่ 2
เพื่อนรักที่หายไป
‘…มองเผินๆ อาจเป็นการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ดีเยี่ยม สมกับเป็นเอเจนซี่โฆษณาอันดับต้นๆ
แต่อย่าลืมไปว่าเหตุการณ์แบบนี้เด็กอมมือยังอ่านออกว่าอะไรเป็นอะไร
ความเคลือบแคลงสงสัยยังคงมีอยู่ต่อไป…ว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นคนส่งพวงหรีดมา ‘ร่วมยินดี’ ที่งาน 3 ทศวรรษเอเจนซี่แอดดิกต์
คงได้แต่รอ ‘ความจริงอีกครึ่งหนึ่ง’ ถูกเปิดเผย!’
จบสกู๊ปข่าวได้ยอดเยี่ยม ชวนสงสัยยิ่งกว่าอ่านนิยายสืบสวนสอบสวน
ศักดาขยำหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดังแล้วปาลงพื้นห้องประชุมด้วยความรู้สึกเจ็บใจเกินกว่าจะยั้งไหว
ให้ตายเถอะ…ข่าวดีลงตะกร้า ข่าวร้ายลงฟรีชัดๆ ตลอดห้าสิบห้าฝนที่ผ่านมา ไม่มีใครหน้าไหนกล้าลูบคมและทำให้เขารู้สึกอับอายถึงเพียงนี้
ยิ่งปีย์รกา หัวหน้าแผนกเออีรายงานให้ที่ประชุมหัวหน้าทุกแผนกทราบว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีลูกค้าใหม่สามรายโทรศัพท์มาขอชะลอเซ็นสัญญาทำโฆษณากับเอเจนซี่แอดดิกต์ของเขา ยิ่งทำให้ศักดาเครียดจัด จนรู้สึกได้ถึงเส้นเลือดที่กำลังปูดขึ้นกลางขมับ
“รั้งไว้ให้ได้ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง” ศักดาย้ำนัยใต้บรรทัดประโยคคำสั่งกับปีย์รกา และบารมี หัวหน้าแผนกวางแผนกลยุทธ์ ด้วยน้ำเสียงเรียบราบฉาบความรู้สึกชวนขนลุก
“นอกจากลูกค้าแล้ว คุณศักดาน่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากพนักงานด้วยนะครับ” ตระการเสนอ
ศักดายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วถอนใจ “ให้ตายเถอะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง”
ตระการเป็นคนเดียวที่กล้าเอ่ยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา คอยเป็นคู่คิดและช่วยเสนอทางออกในยามมีปัญหา ความภักดีต่อเอเจนซี่ของตระการเป็นสิ่งหาได้ยากยิ่งจากคนรุ่นเดียวกัน จนศักดารู้สึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจดึงตระการมาปักหลักที่แอดดิกต์เมื่อสิบปีก่อน
การประชุมระดับผู้บริหารเสร็จสิ้นในช่วงสาย ศักดายังพอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนเวลานัดหมายรวมตัวพนักงานทุกคนช่วงสิบเอ็ดโมงที่โถงกลางออฟฟิศเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืน เจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวจึงเดินกลับไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อวานอย่างอดไม่ได้
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ศักดาพินิจเบอร์แปลกบนหน้าจอ ไม่แน่…อาจเป็นลูกค้าที่ต้องการคุยกับเขาโดยตรง คิดได้อย่างนั้นก็รีบกดรับสาย ฉายน้ำเสียงเป็นมิตรทันที
“สวัสดีครับ”
“เป็นข่าวดังกรอบใหญ่เลยนะครับวันนี้ แหม…ยินดีด้วยจริงๆ มีเงินหลายแสนก็ซื้อพื้นที่ข่าวดีๆ แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว” สำเนียงปลายสายส่อแววเย้ยหยัน ศักดาเดาออกทันควันว่าหมอนี่ต้องอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดแน่
“แก-เป็น-ใคร?!”
“นึกแล้วเชียวว่าคุณต้องถามแบบนี้”
“อย่ามายอกย้อน!”
แม้ว่าศักดาจะตอกกลับอย่างฉุนจัดแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าคู่สนทนาหาได้สนใจตอบคำถามนั้นไม่ “เป็นไงบ้างครับ…ของขวัญที่ส่งไปให้ น่าจะถูกใจจนเนื้อเต้น เมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่เสียมารยาทไม่ได้ไปแสดงความยินดีด้วยตัวเอง”
“แกมันขี้ขลาด แน่จริงก็ออกมาเจอกันให้รู้แล้วรู้รอดสิ!”
บุรุษปริศนาแค่นหัวเราะอย่างพึงใจ “ผมออกไปให้คุณเจอแน่ครับคุณศักดา แต่ยังไม่ใช่เวลานี้”
“แก…ต้องการอะไร”
“ยังไงก็…สุขสันต์วันเกิดครบรอบสามทศวรรษเอเจนซี่แอดดิกต์นะครับ หวังว่าจะชอบของขวัญที่ส่งไปให้ แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำไมล่ะครับ ผมว่ามันเป็นของขวัญที่มีความหมายดีมากๆ เลยนะครับ…มีเกิดย่อมมีดับ…คุณน่าจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี พอเห็นคุณมัวแต่หลงระเริงกับความสำเร็จจอมปลอมผมก็อดสมเพชไม่ได้ เลยขออนุญาตส่งมาให้เป็นเครื่องเตือนใจสักนิด เผื่อจะคิดได้…ว่าเคยทำอะไรกับใครไว้บ้าง”
ดวงตาศักดาวาวโรจน์ คับแค้นใจรุนแรงเมื่อต้องมาสนทนากับคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน “แก…ต้องการอะไรกันแน่?!”
“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมครีเอทีฟยุคนี้ถึงได้หลงผิดยกย่องคุณเป็นศาสดากันนัก ให้ตายเถอะ…ผมชักจะอดใจรอวันคุณดับจากวงการไม่ไหวแล้ว เผื่อพวกนั้นจะตาสว่างขึ้นมาบ้าง”
ไม่มีเหตุผลต้องทนฟังต่อ ศักดากดตัดสาย รับไม่ได้กับพฤติกรรมจงใจปั่นประสาทของอีกฝ่าย
ไอ้เลวนี่เป็นใคร เขาต้องรู้ให้ได้!
กระดาษถนอมสายตาของสมุดเย็บกี่ปกสีน้ำตาลอ่อนเบื้องหน้าพริมายังคงว่างเปล่า หญิงสาวรู้สึกได้ว่าใบหน้าของเธอนั้นหม่นแสงลงเพียงใด ไม่มีกะจิตกะใจคั้นไอเดียโฆษณาเลยสักนิด เอาแต่หวนคิดถึงตอนศักดาเปิดอกชี้แจงพนักงานทุกคนถึงเหตุการณ์พวงหรีดปริศนาเมื่อวานที่โถงกลางออฟฟิศว่าเขาไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนส่งพวงหรีดบ้าบอนั่นมา ระหว่างนั้นพริมากลับได้ยินพนักงานหญิงบางคนทำเสียงกระซิบกระซาบพูดถึงเธอว่า
‘เมื่อวานก๊อปปี้ไรเตอร์ที่ชื่อพริมทำอวดเก่งเอาหน้าอีกแล้ว’
‘ลืมไปแล้วเหรอว่ายายนี่ลูกใคร ซีอีโอใหญ่แห่งวันเดอร์ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจเลยนะ คุณศักดาปลื้มจะตาย แต่จะว่าไปก็น่าแปลกนะ ลูกสาวทำงานเป็นครีเอทีฟที่นี่ แต่เอเจนซี่เราไม่ยักได้สินค้าในเครือวันเดอร์ฟู้ดฯ มาดูสักตัว’
พริมาได้แต่ถอนหายใจ เมื่อตระหนักรู้ว่าเธอเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่อาจห้ามความคิดกับคำพูดของใครได้ จึงได้แต่ปล่อยวางความรู้สึกชวนปวดหัวไว้ คนพวกนั้นอยากพูดอะไรก็เชิญ เชิญพูดได้เลยตามสบาย เพราะเธอรู้เจตนาตัวเองดีว่าทุกอย่างที่ทำลงไปเพราะต้องการช่วยกู้สถานการณ์ตรงหน้าจริงๆ ไม่ได้หวังผลเรื่อง ‘หน้าตา’ อย่างที่พวกนั้นนินทา
“น้อง-พริม-คะ”
เสียงกระชากวิญญาณครีเอทีฟดังขึ้น พริมาเห็นผู้อำนวยการแผนกเออีเดินลัดเลี้ยวตามหัวมุมโต๊ะทำงานพุ่งตรงมาหาเธอ ครีเอทีฟหนุ่มหลายคนยกให้ปีย์รกาเป็นเจ้าแม่ผู้ฉีกกฎ…ฉีกกฎทุกข้อของความเป็นเออี ว่าต้องสาว สวย และเสน่ห์แรงอย่างที่ครีเอทีฟหนุ่มวาดไว้
ทุกคนที่นี่นิยมเรียกปีย์รกาว่า ‘เจ๊ไก่’ จากอุปนิสัยการตามจิกงานนั่นเอง
“ตัวสปอตเรดิโอของหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพที่ลูกค้าอยากให้น้องพริมเขียนหลายๆ แบบ ไม่ทราบว่าทำเสร็จรึยังเอ่ย”
พริมาทำได้แค่ระบายยิ้มแห้ง “ยังไม่เสร็จเลยค่ะเจ๊ไก่”
“แต่จันทร์หน้า เจ๊ต้องส่งงานให้ลูกค้าดูแล้วนะ”
พริมาหันไปสบตาขอความช่วยเหลือจากสามหนุ่มเพื่อนร่วมทีม ชินทรคงเห็นเธอกำลังตกที่นั่งลำบาก จึงรุนหลังคู่หูเจ้าของแว่นหนากับผมแสกกลางมาเป็นทูตเจรจาชนิดเจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว
“โธ่ เจ๊ไก่ เลิกเหอะนิสัยตามจิกๆๆๆๆๆ แบบนี้ ไอ้พริมมันทำเสร็จทันเดดไลน์อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า เชื่อผม ไอเดียนี่…บทมันจะมาก็มาเหมือนท่อแตก”
ปีย์รกาได้ยินอย่างนั้นจึงเท้าเอวพลางถอนหายใจหันไปเล่นงานวอแวแทน
“น้องวอแวคะ อย่าคิดนะว่าจะรอด คอนเซ็ปต์โฆษณามอเตอร์ไซค์รุ่นบอร์นทูบีฟรีนี่ จะเสร็จชาตินี้หรือชาติหน้า?!”
พริมาเห็นชินทรใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางคลึงขมับเมื่อคู่หูดันโดนหางเลขไปด้วย “ไอ้แวเอ๊ย เป็นครีเอทีฟเสียเปล่า โน้มน้าวไม่ได้เรื่องเลย”
“เจ๊ไก่…” หนุ่มเรียกผู้อำนวยการแผนกเออีด้วยเสียงนุ่มทุ้มชวนฝัน ก่อนยื่นแบบร่างโฆษณาสิ่งพิมพ์ให้หล่อนดู “นี่เป็นร่างล่าสุดครับ”
“สวรรค์ทรงโปรด” แววตาปีย์รกาทอประกายระยับ “มีแต่หนุ่มเท่านั้นที่เข้าใจหัวอกเออีตัวเล็กๆ อย่างเจ๊”
พริมาเห็นวอแวและชินทรลอบกลอกตาแล้วอดขำนิดๆ ไม่ได้ สองคนนั้นคงคิดในใจทำนองว่าแล้วปีย์รกาล่ะ…เคยเข้าใจหัวอกครีเอทีฟอย่างพวกเขาบ้างหรือเปล่า จะว่าไปแล้ว…วีรกรรมของปีย์รกานั้นแสนจะมากมาย พริมาเองยังเคยโดนหล่อนโทรจิกงานตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่
เมื่อเห็นว่าปีย์รกาเปลี่ยนเป้าหมาย ย่างกรายไปจิกงานครีเอทีฟทีมอื่นต่อ บรรยากาศเหนือกลุ่มโต๊ะทำงานทีม A จึงสงบลงจากลมกระโชกแรงที่กรมอุตุนิยมวิทยาไม่ยอมพยากรณ์ล่วงหน้าให้คนในทีมรู้ ก๊อปปี้ไรเตอร์สาวหันมาจดจ้องกระดาษเปล่าตรงหน้าอีกครั้งเพื่อครุ่นคิดไอเดียโฆษณาต่อ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามตกผลึกก้อนความคิดหาวิธีนำเสนอสปอตวิทยุรูปแบบใหม่ไว้ให้ลูกค้าเลือกมากมายเพียงใด กลับพบว่าภายในหัวของเธอนั้นอัดแน่นไปด้วยความว่างเปล่า
พริมารู้ตัวว่าไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งบีบสมองเพื่อเค้นไอเดียอีกต่อไป จึงวางปากกาแล้วปิดสมุดลง หันไปเปิดจอคอมพิวเตอร์อ่านบทความและความคิดเห็นมากมายที่มีต่อเรื่องการทำแท้งในสื่อสังคมออนไลน์ แต่แทนที่พริมาจะได้ความในใจชั้นเยี่ยมของผู้คนมาพัฒนาวิธีการเล่าเรื่องต่อ เธอกลับเอาแต่คิดถึงเขาคนนั้น…คนที่ปรากฏตัวหน้าประตูลิฟต์โรงแรมเมื่อวาน
ในตอนนั้น…จะไม่ให้พริมาตัวแข็งทื่อได้อย่างไร ในเมื่อเขาคือ ‘รักแรก’ ของเธอสมัยเรียนมัธยมปลาย
ชื่อของเขาคือ ‘ฌานนท์ ศิริธาดา’
พริมาจำได้ว่าจู่ๆ มือไม้ของเธอดันไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ควรจะกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ แต่หญิงสาวกลับยืนนิ่ง ได้แต่มองเขาหายลับไปกับตา
กว่าจะได้สติและรีบตามขึ้นมาที่ชั้นเดิมของโรงแรมก็พบว่าเขาหายไปแล้ว
พริมาแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด สิบปีที่ผ่านมาเธอพยายามติดต่อฌานนท์ทุกวิถีทาง ทว่าไม่เป็นผล แต่พอเขากลับมาไทย เหตุไฉนจึงไม่คิดติดต่อมาหาเธอบ้างเลย
อาจเป็นเพราะเขายังโกรธเกลียดเธออยู่ พริมาคิดอย่างนั้น มิน่าล่ะ ขนาดเธอตามไปถึงบ้านหลังเก่า รัวนิ้วกดกริ่งหน้ารั้วบ้านซะขนาดนั้น เขายังปฏิเสธการมีอยู่ของตัวตน ปล่อยให้เพื่อนบ้านอย่างป้าแหวนออกมารับหน้าแทน
และแล้วพริมาก็ฉุกคิดขึ้นได้ เพียงแพรจะรู้หรือเปล่านะว่าฌานนท์กลับมาแล้ว ในตอนนั้นหญิงสาวยังไม่ทันมองหาโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ เสียงเรียกเข้าเครื่องเธอพลันดังขึ้น ชื่อของเพียงแพรปรากฏบนหน้าจอราวกับรู้ใจ
“กำลังจะโทรหาอยู่พอดี…”
“ถามเรื่องงานคืนนี้น่ะเหรอ”
พริมาฉงน ไม่เข้าใจว่าเพียงแพรหมายถึงงานอะไร ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยปากกาสีแดงบนปฏิทินตั้งโต๊ะ วงชัดตรงวันที่ว่ามีงานเลี้ยงรุ่นห้อง ม.6/2 ที่ร้านอาหารกึ่งผับแถวเอกมัยในช่วงค่ำ
“แกมีชุดรึยัง แวะเข้ามาเอาชุดที่ร้านฉันก่อนสิ แล้วค่อยออกไปงานพร้อมกัน”
“ไม่มี และกำลังคิดว่าอาจจะไม่ได้ไปแล้วด้วย”
“เฮ้ย ได้ไงไอ้พริม นี่มันงานเลี้ยงรียูเนียนในรอบสิบปีเลยนะ กว่าจะรวมตัวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเว้ย” เพียงแพรเริ่มโวยในฐานะแม่งาน
“งานยังไม่เสร็จเลย จะไปได้ยังไง”
“ไม่รู้ล่ะ ร้านปิดตอนตีสอง ยังไงฉันก็จะรอ อยากรู้เหมือนกันว่าแกมีแรงทำถึงเวลานั้นรึเปล่า”
พอเจอบทดื้อรั้นของเพื่อนสนิทเข้าให้พริมาทำได้แค่ถอนหายใจ ตอบไปสั้นๆ ว่า
“ขอดูก่อนละกัน”
แต่กลับถูกเพียงแพรสวนทันควัน “เกลียดประโยคกึ่งยิงกึ่งผ่านพวกนี้ชะมัด ขอดูก่อน…เดี๋ยวดูอีกที…ค่อยว่ากัน…ปฏิเสธกันชัดๆ”
จนพริมาคิดว่าอาจเป็นเรื่องยาก หากจะถามเพียงแพรเรื่องฌานนท์ผ่านโทรศัพท์ในประโยคถัดไป จึงเปลี่ยนใจบอกเพียงแพรว่า
“เออ ไปก็ไป”
แต่กว่าพริมาจะร่างสปอตวิทยุเสร็จบางส่วนเพื่อให้ทันส่งตามเดดไลน์ของปีย์รกาก็ปาเข้าไปสองทุ่ม เธอยืดแขนขยับเส้นขยับสาย ไล่ความเมื่อยล้าออกจากกล้ามเนื้อ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง พบว่าวอแวกับชินทรกลับไปแล้ว เหลือเพียงหนุ่มที่ยังนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์วุ่นกับการจัดหน้าโฆษณาชิ้นอื่น หญิงสาวจึงเอ่ยกับหนุ่มว่าต้องขอตัวกลับก่อน แล้วออกจากออฟฟิศ นั่งรถไฟฟ้าไปที่ร้านขายเสื้อผ้าของเพื่อนรักซึ่งตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองทันที ร้านของเพียงแพรชื่อ ‘PA-RE’ ออกเสียงว่า ‘ปา-รี’ ไม่ใช่ ‘แพร’ อย่างที่พริมาเคยอ่านครั้งแรก
เพียงแพรจัดเตรียมเดรสสั้นเกาะอกสีแดงเพลิงให้พริมาใส่ไปงานเลี้ยงรุ่นไว้พร้อมแล้ว แต่พริมาเห็นแล้วกลับส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร
“ใส่ชุดเดิมไปก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเปลี่ยนชุดให้เปลืองเลย”
คนเป็นดีไซเนอร์มองพริมาอย่างไม่เข้าใจ “พริม แกต้องลองใส่เสื้อผ้าสีอื่นบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ใส่สีขาวดำคุมโทนแบบนี้ แกนี่นะ…ไม่เคยใช้ประโยชน์จากความเป็นดีไซเนอร์ของฉันเลย”
พริมาทำได้แค่ยิ้มบาง เธอไม่เคยสงสัยเรื่องรสนิยมและฝีมือการออกแบบเสื้อผ้าของเพื่อนรักเลยสักนิด เพราะทันทีที่เพียงแพรเรียนจบสาขาแฟชั่นดีไซน์จากนิวยอร์กก็ตัดสินใจกลับมาเปิดร้านที่กรุงเทพฯ ตั้งหน้าตั้งตาออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ปา-รีจนโดดเด่นเข้าตานิตยสารแฟชั่นทั้งหัวในหัวนอก ต่างรุมขอสัมภาษณ์และนำเสื้อผ้าไปถ่ายขึ้นปกหลายต่อหลายเล่ม
“แล้วเพื่อนๆ จะมากันเยอะไหม” พริมาเลียบๆ เคียงๆ ถามก่อนเข้าประเด็นที่เธออยากรู้มากที่สุด
“ก็น่าจะมากันเกือบครบนะ ยกเว้นก็แต่…” เพียงแพรหยุดพูดกะทันหัน ราวกับฉุกคิดได้ว่าไม่สมควรพูดชื่อของ ‘เพื่อนอีกคน’ ให้พริมาได้ยินอย่างยิ่ง
“ฌานน่ะเหรอ” พริมาอาสาต่อจนจบประโยค ทำเอาเพียงแพรชะงักกึก
“อืม”
พริมาเห็นแววระริกในดวงตาเพื่อน “แก…ได้ข่าวฌานบ้างไหม”
“ไม่เลย…ไม่เลยจริงๆ”
ในเมื่อเพียงแพรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขนาดนี้ พริมาก็ไม่มีความจำเป็นต้องยิงคำถามอื่นต่อ ทั้งที่เรื่องของฌานนท์เปรียบเหมือนตะกอนขุ่นข้นรบกวนจิตใจเธอมาตลอดสิบปี
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามขึ้นมาล่ะ” นัยน์ตาคู่สวยของเพียงแพรฉายชัดถึงความอยากรู้
พริมาอึกอักอยู่นาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “ฉัน…เพิ่งเห็นฌานเมื่อวานนี้เอง”
“แน่ใจนะ…ว่าเป็นฌาน?!”
เพียงแพรดูตกใจมาก มองพริมาเหมือนไม่อยากเชื่อ อาจเพราะเพียงแพรสนิทกับฌานนท์มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม เรียกได้ว่าแค่มองตาก็รู้ใจ พริมาเองก็เคยให้นิยามความสัมพันธ์ระหว่างเพียงแพรกับฌานนท์ไว้เช่นนั้น เพราะไม่ว่าฌานนท์จะคิดหรือรู้สึกอย่างไร คนที่มักอ่านใจเขาออกเสมอก็คือเพียงแพร
ทว่าสายตาเพียงแพรในตอนนี้กลับฉายชัดว่าไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดๆ ของฌานนท์เลยแม้แต่นิด พริมาเห็นอย่างนั้นจึงเป็นฝ่ายตัดจบบทสนทนาชวนเครียดนั้นทิ้งไป ก่อนจะสะกิดบอกเพียงแพรว่าได้เวลาไปงานเลี้ยงรุ่นแล้ว
รถสปอร์ตสีแดงของเพียงแพรใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะฝ่ารถติดพาพริมาถึงจุดหมายย่านเอกมัย อันเป็นที่ตั้งของร้านอาหารกึ่งผับสองชั้นซึ่งถูกกันพื้นที่ในส่วนของชั้นล่างสำหรับงานเลี้ยงรุ่นครั้งใหญ่ในรอบสิบปีของสมาชิกห้อง ม.6/2
แต่ละก้าวย่างของพริมาไร้ซึ่งความกระตือรือร้น จนเพื่อนสาวต้องเข้ามากระซิบข้างหูราวกับทนดูไม่ไหว ขอให้เธอช่วยปั้นสีหน้าพร้อมรับความสนุกสนานครึกครื้นกับงานสักนิดหน่อยได้ไหม พริมาจึงฝืนยิ้มเล็กน้อยแทนคำตอบว่าจะพยายาม ก่อนจะหันไปเห็นก้องภพ อดีตหัวหน้าห้องซึ่งผละจากวงสนทนาเพื่อนอีกกลุ่มเดินปรี่เข้ามาทักทายเธอกับเพียงแพรทันที
“กว่าจะมาได้นะพวกแก คนอื่นเขามากันเกือบครบแล้ว”
ก้องภพใช้คำว่า ‘เกือบครบ’ นั้นถูกต้องแล้ว พริมามั่นใจว่าฌานนท์ไม่มีทางมางานนี้แน่นอน
“คิดถึงว่ะ ขอกอดที” ก้องภพอ้าแขนกอดเธอกับเพียงแพรแน่น “อยู่ใกล้กันแค่นี้ กลับไม่ค่อยได้เจอกันเลย”
“แกนั่นแหละที่ไม่ค่อยมาเจอฉันกับแพร ติดบินตลอด” พริมาต่อว่าอาชีพนักบินของก้องภพ แต่เพียงแพรกลับเห็นต่าง
“ติดบินน่ะไม่เท่าไหร่ ติดหญิงนี่สิน่าเป็นห่วง เวลงเวลาให้เพื่อนเลยไม่ค่อยจะมี”
ก้องภพค้อนใส่เพียงแพร ส่งสายตาวาววับราวกับจะบอกว่าอย่ามาทำเป็นรู้ทันหน่อยเลย “แกอย่าติดผู้ชายให้ฉันเห็นบ้างละกัน”
“ฝันไปเถอะย่ะ คนอย่างเพียงแพรไม่เคยติดผู้ชาย มีแต่ผู้ชายมาติดมากกว่า” เพียงแพรยักคิ้วย้ำชัยชนะ จนก้องภพเห็นแล้วถึงกับกลอกตา
“จ้ะ ชิงกันเซนชนกันแล้วจะขำไม่ออก”
พริมานึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ในสมัยเรียนตอนเพียงแพรกับก้องภพต่อปากต่อคำกันแล้วอดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยการเจอเพื่อนเก่าในวันนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกยินดีกับการรำลึกถึงอดีตอยู่บ้าง
“โอ้โห พริม…แพร…ไม่เจอกันนาน สวยขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”
พริมาหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มแล้วประหลาดใจนิดๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งในวันนี้
“ได้ข่าวว่าแกไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้ปอนด์” ก้องภพเป็นฝ่ายทักทายตอบ ส่วนเพียงแพรผู้ไม่กินเส้นกับปอนด์มาแต่ไหนแต่ไรหันไปมองทางอื่นราวกับปอนด์ไม่มีตัวตน
“เมื่อเดือนก่อนนี่เอง”
“จำได้ว่าสมัยเรียน…แกนี่ตัวพ่อเรื่องใช้กำลัง” ก้องภพพูดกลั้วหัวเราะขณะขุดความทรงจำอันไม่น่าพิสมัยของปอนด์ขึ้นมา พริมาจับสังเกตเห็นแววตาปอนด์ก็พอจะดูออกว่าเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจนิสัยในอดีตนัก
“เฮ้ย เรื่องมันก็นานมาแล้ว ลืมๆ ไปบ้างเหอะน่า ฉันเป็นคนใหม่แล้วนะโว้ย…ไม่มีแล้วนิสัยชวนหาเรื่อง”
“หึ พูดออกมาได้” เพียงแพรหัวเราะคล้ายเยาะ ก่อนจะหันมามองปอนด์ด้วยสายตาที่พริมาเห็นแล้วรู้สึกหวาดหวั่น “ถ้าคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้นก็คงดี”
ในที่สุดเพียงแพรก็พูดมันออกมา แววตาเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ แวบแรก…พริมากลัวเหลือเกินว่าจะจุดชนวนอารมณ์ร้อนร้ายของปอนด์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คำพูดของเพียงแพรนั้น…กลับย้อนศรทิ่มแทงเธอ
ใช่…ถ้าเธอคิดได้และรีบขอโทษฌานนท์ตั้งแต่ตอนนั้น อย่างน้อยได้เป็นเพื่อนกันก็ยังดี
เสียงคีย์บอร์ดบนเวทีดังขึ้น คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นท่อนอินโทรเพลง Imagine ของ John Lennon หนึ่งในสมาชิกวง The Beatles ที่พริมาชื่นชอบ
ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมากลับมีเสียงกีตาร์ไฟฟ้าและกลองดังแทรก ผสมโรงกลายเป็นอีกเพลงที่พริมาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินมันอีกครั้ง
“Slip inside the eye of your mind
Don’t you know you might find
A better place to play
You said that you’d never been
But all the things that you’ve seen
Will slowly fade away”
พริมาตัวแข็งทื่อ เธอจำเนื้อเพลงท่อนแรกได้ขึ้นใจ
เพราะมันคือเพลง ‘Don’t Look Back in Anger’ ของ ‘Oasis’ วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกยุค ’90s ชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษที่ฌานนท์และเธอเคยค่อนขอดว่าเต็มไปด้วยคำฟุ่มเฟือย ถอดความลำบากเสียยิ่งกว่าเพลงวงอื่น แต่เธอและเขากลับหลงใหลสไตล์การเล่นกีตาร์และการแต่งเพลงของ ‘Noel Gallagher’ มากกว่าศิลปินคนไหนๆ
พริมาหันไปมองนักร้องหนุ่มบนเวทีอย่างช้าๆ ดวงตาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงเจ้าของกรอบแว่นหนาเผยน้ำเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์จดจ้องมาที่เธอ
หญิงสาวแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่กำลังร้องเพลงอยู่นั้นจะเป็นฌานนท์จริงๆ เธอลองหลับตาเพื่อรวบรวมสติแล้วลืมตา จ้องไปที่ใบหน้านักร้องหนุ่มบนเวทีอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอตาฝาด ภาพหลอนเมื่อครู่ทำเธอแทบบ้า พริมานึกต่อว่าจิตตัวเองที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง เธอคิดไปได้อย่างไรว่านักร้องชายคนนั้นคือฌานนท์
ไม่อยากเชื่อเลยว่าการปรากฏตัวของเขาเมื่อวานจะสร้างความวุ่นวายใจให้เธอมากถึงเพียงนี้
บทที่ 3
แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
คนเคยชื่อ ‘ฌานนท์’ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่มุมอับภายในสวนเขียวครึ้มแทบจะกลืนกับความมืดนอกตัวร้านอาหารกึ่งผับอย่างสมบูรณ์ เขายกเบียร์ดำมาดไอริชขึ้นจิบพลางทอดสายตาผ่านผนังกระจกใสบานใหญ่ จ้องเพื่อนเก่าเกือบสี่สิบคนภายในร้านด้วยความรู้สึกสมเพช
โดยเฉพาะคนประเภทพริมา ไม่น่าเชื่อเลยว่ายิ่งได้เห็นแววตาสะท้อนความรู้สึกปั่นป่วนในใจเธอยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เมื่อครู่เขาเป็นคนกระซิบบอกเด็กเสิร์ฟให้ช่วยส่งสารถึงนักร้องหนุ่มบนเวทีเองว่ามี ‘ลูกค้าคนพิเศษ’ ในร้านอยากฟังเพลง ‘Don’t Look Back in Anger’ ของวงโอเอซิส ไม่คิดเลยว่าทั้งนักร้องและนักดนตรีจะถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมาได้ดีขนาดนี้ ดูสิ…พริมาน่าจะชอบมากจนปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง กลายเป็นคนบื้อใบ้ทำอะไรไม่ถูกไปเลย
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าพริมาจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเธอได้เข้ามาพลิกนิยามของคำว่า ‘ความรัก’ ในทัศนคติของเขาไปตลอดกาล
นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาเคยเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าความรักคือการอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคร้ายแรงแค่ไหนก็พร้อมจะฝ่าฟันและร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
แต่เธอกลับย่ำยีความหมายดีๆ เหล่านั้นจนหมดสิ้น
ให้ตายเถอะ…พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่สามารถฝืนกล้ามเนื้อมุมปากซึ่งกำลังวาดยิ้มเยียบเยาะอดีตอันปวดร้าวได้เลย ทำได้เพียงปล่อยกระแสสำนึกไหลคืนสู่เหตุการณ์หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน…
วันที่ปอนด์ตราหน้าเขาว่าเป็น ‘ไอ้-ลูก-ขี้-ขโมย’
ทุกคำจากปากหมอนั่นจงใจเน้นย้ำทำให้อับอาย และแทนที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ จะแยกย้ายไปโรงอาหารในช่วงพักกลางวันอย่างที่ควรจะเป็น กลับล้อมวงรอชมความขัดแย้งระหว่างเขากับปอนด์ปะทุราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
เขาจำได้ว่าโกรธมากเพียงใด…โกรธจนพูดอะไรไม่ออก บอกตัวเองว่าอย่าสนใจคำพูดของคนปากพล่อย แต่ปอนด์กับพรรคพวกกลับไม่ยอมหยุด เห็นความทุกข์คนอื่นเป็นเรื่องสนุก เอาแต่ประสานเสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยง
‘ไอ้ฌาน…มึงนี่ก็แปลก พ่อมึงจะโดนฟ้องอยู่รอมร่อ ยังมีหน้ามาโรงเรียนอีก โอ๊ย!!!’
เขาตัดสินใจปล่อยหมัดออกไปเต็มแรงจนปอนด์เซล้มไปกองกับพื้นในที่สุด หมอนี่…หมอนี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าพ่อเขา เขาอดทนกับสายตาที่คอยหยามเหยียดมาตั้งแต่เช้าแล้ว หลังมันกับเพื่อนคนอื่นรู้ข่าวเรื่องพ่อเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยความลับสินค้าตัวใหม่ของลูกค้าไปขายให้กับบริษัทอื่น
เขาทนไม่ไหว ตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อปอนด์ที่ยังนอนบนพื้น ‘ถ้ามึงไม่หยุดพล่าม กูจะฆ่ามึง!’
‘ดูมัน…ดูมันขู่กู’
คนล้มชี้หน้ามาที่เขาพลางหันไปเรียกร้องความสนใจจากคนมุงนับครึ่งร้อย ทว่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เตรียมกำนัลหมัดใส่หน้าปอนด์เพิ่ม แต่มือนุ่มของใครคนหนึ่งเข้ามาคว้ากำปั้นเขาไว้ได้ทัน เขาหันไปมองเจ้าของมือนั้นด้วยความรู้สึกฉุนเฉียว อีกเพียงนิดเดียว…หมัดหนักของเขาก็จะพุ่งใส่หน้าปอนด์ ไม่เข้าใจ…ทำไมต้องเข้ามาห้ามด้วย
‘ใจเย็นฌาน อย่าไปแลกกับมัน’ เพียงแพรจ้องเขาด้วยแววตาขอร้อง
‘แพรจะให้เราใจเย็นได้ไง ไอ้เวรนี่มันว่าพ่อเรา!’ เขาหมดสิ้นซึ่งความอดกลั้น นอกจากปอนด์แล้ว สายตาของเพื่อนร่วมห้องยังดูคล้ายรังเกียจและเหยียดหยันเขาเต็มกำลัง เพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
‘การใช้กำลัง…ไม่ทำให้แกเอาชนะไอ้ปอนด์ได้หรอก’ เพียงแพรพยายามพูดโน้มน้าวเขาให้กลับมามีสติ ไม่ว่าจะวันนี้หรือเวลาไหน…เธอเปรียบดั่งมิตรแท้ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
แม้เพียงแพรจะยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าคนคนเดียวที่เขาเฝ้ามองหา ณ ห้วงเวลานั้นคือพริมา…
พริมาหายไปไหน ทำไมไม่โผล่มาปกป้องเขาเหมือนที่เพียงแพรกำลังทำ เขากวาดสายตาไปทั่วด้วยใจอันร้อนรน กระทั่งเห็นเธอยืนจ้องเขาจากอีกฟากฝั่งของระเบียงห้องเรียน เขาเพียรวิงวอนพริมาผ่านสายตา พยายามย้ำความจริงอย่างหนักแน่นกับเธอว่าเขาไม่ใช่ไอ้ลูกขี้ขโมย…พ่อของเขาไม่มีวันทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นแน่นอน เธอก็น่าจะรู้
แต่แววตาของพริมากลับสะท้อนจัด มองเขาเหมือนคนไม่เคยรู้จัก เจ็บเสียยิ่งกว่ามีดปักลงกลางใจ
อย่าไป…อย่าไปจากเขา… ความเศร้าแผดเผากลางอก แต่พริมากลับไม่สะทกสะท้านต่อคำร้องขอผ่านดวงตาของเขาเลย
เขารีบผละจากวงล้อมเพื่อนนักเรียน วิ่งเข้าไปคว้ามือเรียวทั้งสองของเธอมากุมแน่น แต่พริมากลับสะบัดทิ้งคล้ายรังเกียจ ไม่สนใจฟังรายละเอียดจากปากเขาเลยสักนิด ก่อนจะเดินจากไปราวกับไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เขาจมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความรู้สึกสูญสิ้นพร้อมหัวใจที่แหลกสลาย น้ำตาพานเอ่อรื้นอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้
ยิ่งหันไปมองรอบๆ กาย สายตาหลากคู่ยังคงพุ่งตรงมาที่เขาเป็นทางเดียว สมัครสมานกลมเกลียวเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
พร้อมใจลงทัณฑ์ว่าเขาและพ่อนั้นเป็นคนเลว!
พริมาไม่อาจหยั่งลึกถึงก้นเหวที่ฌานนท์พลัดตกลงไปได้
ความจริงอันโหดร้ายคอยหลอกหลอน บั่นทอนสำนึกเธอมาตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่เขาหายตัวไป ฌานนท์ลาออกจากโรงเรียนทั้งที่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมหกด้วยซ้ำ และนับตั้งแต่วันนั้นพริมาก็เอาแต่พร่ำโทษว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือเธอ…
เธอเป็นคนผลักไสเขาอย่างเห็นแก่ตัว
พริมาเงยหน้ามองภาพถ่ายสุดท้ายฉายชัดบนจอโปรเจ็กเตอร์ภายในร้าน เป็นภาพถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในช่วงชีวิตวัยรุ่นของเธอจะเกิดขึ้น
วันนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของชั้นมัธยมหก ความยินดีมากมายมาพร้อมกับความรู้สึกใจหาย เหลือเพียงปีเดียวเท่านั้น สมาชิกของห้องต้องถึงคราวแยกย้ายกันไปตามฝันในรั้วมหาวิทยาลัย ก้องภพเป็นต้นคิดอยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จึงนัดแนะทุกคนในห้องให้อยู่กันพร้อมหน้าที่สนามหญ้าหน้าเสาธงก่อนเข้าเรียนคาบแรก
ปกติแล้วฌานนท์เป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไร แต่วันนั้นเขายิ้มเพราะเธอขอไว้
“ฉัน…ไม่น่าพูดอย่างนั้นกับไอ้ฌานเลย”
น้ำเสียงของปอนด์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด สะกิดแผลเป็นของพริมา ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิบปีที่ผ่านมา…เธอยังจำคำพูดของปอนด์ที่กล่าวหาฌานนท์ว่าเป็นไอ้ลูกขี้ขโมยได้ดีจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นพวกเรายังเด็กเกินไป ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกไอ้ฌานเลย” ก้องภพทอดถอนใจ มือขวาซึ่งกำไมโครโฟนค่อยๆ ตกลงข้างลำตัว ขณะยืนจ้องจอโปรเจ็กเตอร์บนเวที
อีกสิ่งหนึ่งที่พริมายังจำได้ขึ้นใจ ไม่ว่าสายตาของคนทั้งห้องจะมองฌานนท์อย่างไร เพียงแพรกลับเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดเคียงข้างเขา
ยิ่งเพียงแพรเอาแต่ยืนนิ่งถอนหายใจไม่พูดไม่จายิ่งทำให้พริมารู้สึกเหมือนตัวเองถูกเพื่อนรักตบหน้ากลางงานจนชาไปหมดทั้งร่าง วินาทีนั้น…เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพียงแพร
“ไอ้ก้องนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ เสียแรงที่เป็นถึงพิธีกรงานโรงเรียน”
เพียงแพรตำหนิก้องภพด้วยสุ้มเสียงเหนื่อยหน่าย คล้ายทนเห็นบรรยากาศงานเลี้ยงอันควรจะรื่นเริงแปรเปลี่ยนเป็นงานเศร้าสลดไม่ไหว หลังความเงียบขับไสเสียงหัวเราะไปหมดสิ้น พริมาได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเพื่อนรักดังชัดในโสตสัมผัสขณะก้าวขึ้นบนเวที พอเธอเงยหน้าอีกทีก็เห็นว่าเพียงแพรยึดไมโครโฟนไปจากก้องภพแล้ว
“กลับเข้าสู่บรรยากาศแห่งความครึกครื้นอีกครั้ง ไหนๆ วันนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เป็นโอกาสดีที่ฉันจะประกาศข่าวดีให้ทุกคนทราบ”
เพียงแพรเท้าสะเอวเรียกความมั่นใจ ไม่ว่าจะยืนท่าไหนก็น่ามองไปหมดสำหรับพริมา ริมฝีปากอวบอิ่มเผยยิ้มกริ่มซ่อนความนัย ราวกับอยากเปิดเผยให้ใครต่อใครทราบข่าวดีที่ว่านั้นเต็มทน
“ฉัน-ขาย-ออก-แล้ว”
“ขายออก?” ก้องภพถึงกับพูดไม่ออก “อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่ เข้าใจถูกแล้ว ฉัน…กำลังจะแต่งงาน”
การแก้ไขสถานการณ์ของเพียงแพรได้ผล อดีตสมาชิกห้อง ม.6/2 ต่างตกตะลึง หันมาสนใจคนที่เพิ่งประกาศออกไปว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว
ในฐานะที่คบหากันมานานพริมาประหลาดใจอย่างมาก เหตุใดเพียงแพรไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ล่วงหน้า แม้จะรู้ดีว่าเพียงแพรกำลังคบหากับใคร แต่อีกใจเธอกลับคิดว่าดีไซเนอร์สาวตั้งใจพูดเล่นเพื่อดึงบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่นกลับคืนสู่ปกติมากกว่า
“พูดเป็นเล่นน่า” ก้องภพพูดแทนใจพริมา หัวเราะร่าเหมือนไม่อยากเชื่อ “ใครจะเอาแกวะไอ้แพร”
แต่เพียงแพรกลับหันขวับจ้องก้องภพราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ไอ้นี่ มีก็แล้วกันน่า”
“มีตัวตนจริงรึเปล่าเนี่ย” ก้องภพเย้าต่อ “ไม่ควงมาโชว์เพื่อนโชว์ฝูงหน่อยวะ”
ก้องภพสบประมาทได้ไม่ทันไร เพียงแพรก็เชิดหน้าใส่คล้ายเป็นผู้กำชัยชนะ พยักพเยิดไปที่ประตูร้าน ส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมห้องหันไปมองใครบางคน
พริมาฉงนว่าเพียงแพรจะมาไม้ไหน แต่พอหันไปมองกลับพบว่าร่างสูงคุ้นตากำลังยืนท้าทายสายตาคนครึ่งร้อย
“กริช” พริมาพึมพำชื่อเขาออกมา
ว่าที่เจ้าบ่าวของเพียงแพร…คือผู้ชายคนนี้ไม่ผิดแน่
แม้จะน้อยใจเพียงแพรนิดๆ ที่ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้เป็นคนแรก แต่สุดท้ายพริมาก็อดยินดีกับเพื่อนรักไม่ได้ ในที่สุดเพียงแพรก็ได้มีความสุขกับคนที่เธอรักและรักเธออย่างหมดหัวใจเสียที จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้ ‘ผู้ชายบางคน’ ที่เห็นเธอเป็นของไร้ค่าอีกต่อไป
“จะไม่มีงานแต่งบ้าบออะไรทั้งนั้น!”
เสียงห้าวลึกของใครอีกคนดังขึ้น เรียกความสนใจจากทุกสายตารวมถึงพริมา
ใครกันอีกล่ะคราวนี้ หญิงสาวสับสนมึนงงไปหมด ตกลงแขกรับเชิญของเพียงแพร…ไม่ได้มีแค่ว่าที่เจ้าบ่าวเพียงคนเดียวหรอกหรือ
“เราไม่มีทางให้แพรแต่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น!” ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าคมคายเดินเข้ามาใกล้เวที
สุ้มเสียงถือดีของผู้มาใหม่ก่ออคติในใจพริมา เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือ…
“แทน…”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของเขาจากปากเพียงแพร พริมาก็ถึงบางอ้อ ผู้ชายคนนี้คือคนรักเก่าของเพียงแพรไม่ผิดแน่…คนที่เห็นเพียงแพรเป็นแค่ของตาย
ชื่อจริงของเขาคืออินทัช เธอจำได้แม่นทีเดียว
พริมาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขามากพอสมควร เมื่อสี่ปีก่อน…เพียงแพรไปเรียนต่อสาขาแฟชั่นดีไซน์ไกลถึงนิวยอร์ก และได้พบกับอินทัชซึ่งทำงานในวงการออกแบบเช่นกัน แต่เป็นวงการใดนั้นพริมาไม่ได้ใส่ใจจำนัก ทันทีที่เพียงแพรและอินทัชต่างรู้ว่ามีใจให้กัน ทั้งสองจึงขยับความสัมพันธ์จากคนรู้จักมาเป็นคนรู้ใจภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
ความรักของทั้งคู่ดูราบรื่นดี ทันทีที่เรียนจบ…เพียงแพรปฏิเสธคำชวนของผู้อำนวยการแฟชั่นแบรนด์ดังในอเมริกาให้ไปร่วมงานในฐานะดีไซเนอร์ ตัดสินใจบินกลับมาเปิดร้านสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นตามความฝันของตัวเองที่กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าอินทัชคัดค้านความคิดของเพียงแพรอย่างหนัก และอยากให้อยู่ด้วยกันที่นิวยอร์ก เพียงแพรเล่าให้พริมาฟังอย่างนั้น จนพริมาอดชังคนรักของเพื่อนสนิทไม่ได้ ผู้ชายอะไร…ขัดขวางความฝันของคนรัก ทุกครั้งที่ได้ยินชื่ออินทัช พริมามักรู้สึกได้ว่ามีกำแพงหนากั้นกลางระหว่างเธอกับเขา ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน
ทว่าระยะทางอันห่างไกลทำให้ความสัมพันธ์ของเพียงแพรและอินทัชอยู่ในภาวะลุ่มๆ ดอนๆ กระทั่งเพียงแพรปั้นแบรนด์ปา-รีจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เธอตัดสินใจบินไปเซอร์ไพรส์อินทัชกลางงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จเรื่องงานที่อพาร์ตเมนต์ของเขาในนิวยอร์กเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่กลับเป็นเพียงแพรเสียเองที่โดนเซอร์ไพรส์ ถูกอินทัชสวมเขาให้ไม่รู้ตัว
เพียงแพรกลับมาเล่าให้พริมาฟังทั้งน้ำตา เพราะภาพบาดตาที่เพียงแพรเห็นนั้น…คือภาพอินทัชกำลังกอดจูบกับผู้หญิงคนอื่นอย่างดูดดื่มบนเตียงในห้องนอน!
“แพร…เรากลับมาคบกันได้ไหม”
พริมาไม่เข้าใจ ทำไมอินทัชถึงพูดจาเว้าวอนด้วยน้ำเสียงเห็นแก่ได้แบบนี้ เพียงแพรต้องทนเจ็บช้ำน้ำใจเพราะความไม่รู้จักพอของเขามากแค่ไหน เขาลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าทำอะไรกับเพื่อนสนิทเธอไว้บ้าง
กำปั้นของกริชว่องไวได้ดั่งใจพริมา เขาเหวี่ยงหมัดหนักไปที่ปลายคางอินทัชจนล้มลงไปกองกับพื้น พริมาไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงได้สะใจเล็กๆ เมื่อเห็นกริชฉุนขาด ขณะเข้าไปกระชากคอเสื้ออินทัชอย่างไม่พอใจ
“ไอ้แทน…แกมันเห็นแก่ตัว!”
พริมาเห็นด้วยกับทุกคำที่กริชเปล่งออกมา ถึงน้ำเสียงของอินทัชจะฟังดูหนักแน่นและจริงจังแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น เพราะคนที่เพียงแพรกำลังจะแต่งงานด้วยคือกริช…ไม่ใช่เขา!
อินทัชขบกรามแน่น จ้องกริชด้วยสายตาขุ่นขวาง แกะมือหนาที่กำคอเสื้อเขาแน่นออกอย่างเหลืออดแล้วผลักไปให้พ้นตัว ก่อนยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น
“เรื่องของฉันกับแพร แกอย่ามายุ่งไอ้กริช”
“คุณต่างหากที่อย่าเข้ามายุ่ง!” ถึงคราวที่พริมาต้องออกโรงปกป้องเพียงแพรกับกริชบ้าง หลังจากทนมองอินทัชมาได้สักพัก หญิงสาวเห็นเจ้าของดวงตาคมกริบหันมาจ้องเธออย่างคาดโทษ ประกายตากรุ่นโกรธอัดแน่นไปด้วยคำถามมากมาย
“คุณเป็นใคร” น้ำเสียงของอินทัชราบเรียบแต่เอาเรื่อง
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นใคร” พริมาตอกกลับพลางเอาตัวเข้าไปขวางเพียงแพร ไม่ให้อินทัชเข้าใกล้ “กลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคุณ”
“หลีกไป”
พริมาถอนหายใจ “ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้กับเพื่อนฉันบ้าง เลิกกันแล้วจะมายุ่งกันอีกทำไม จำไว้ซะ…คนที่แพรรักคือกริช ไม่ใช่คุณ!”
ดูเหมือนอินทัชจะไม่สนใจคำพูดของพริมาเลยแม้แต่นิด เขาผลักเธอจนเซแล้วเข้าไปคว้าข้อมือเพียงแพร แต่เพียงแพรขืนข้อมือไว้ ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง แถมยังมองตอบอินทัชด้วยสายตารังเกียจ ไม่กี่อึดใจ…กริชปราดเข้ามาประคองร่างว่าที่เจ้าสาวไว้แน่น แสดงความเป็นเจ้าของให้อินทัชเห็นเต็มสองตา
“แทน…ฟังนะ เรากับกริชกำลังจะแต่งงานกันจริงๆ และกริชคือคนที่เราจะรักตลอดไป เพราะเราเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เหมือนอย่างที่แทนเคยทำกับเรา”
อินทัชจ้องเพียงแพรราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน พริมาเห็นริมฝีปากหยักลึกของเขาสั่นระริก เฝ้าพึมพำคำเดิมซ้ำๆ
“ไม่จริง…ไม่จริง…ไม่จริง…”
หลังจากเหตุการณ์อินทัชบุกร้านอาหารกึ่งผับหมายชิงตัวเพียงแพรคืนจากกริชเมื่อสัปดาห์ก่อน พริมาไม่คิดเลยว่าเธอจะได้กลับมานั่งที่ร้านนี้อีกครั้ง เพื่อรับฟังเรื่องจริงชวนประหลาดใจจากปากอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หู
“โทษทีนะพริม” หนุ่มยิ้มแห้งให้เธอ “พอดีพี่ต้องไปเรียนต่อกราฟิกดีไซน์ที่แคลิฟอร์เนียน่ะ”
พักหลังพริมาชักจะเกลียดเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ตั้งหลักรับมือกับมันล่วงหน้า คราวก่อนเพียงแพรเพิ่งประกาศว่าจะแต่งงานกับกริชไปแท้ๆ แล้วนี่อะไร…อาร์ตไดเร็กเตอร์คู่ใจกำลังจะจากเธอไปอีกคนหรือนี่
“หมายความว่าพี่หนุ่มจะอยู่ทำงานกับเราไม่ถึงสองสัปดาห์งั้นเหรอ” วอแวนั่งนับนิ้วคำนวณเวลา ก่อนจะตระหนักรู้ว่าการลาออกของหนุ่มมีผลในสิ้นเดือนนี้ “อะไรกันพี่ คิดจะไปก็ไป ไม่ถงไม่ถามเรื่องสุขภาพซ้ากคำ”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ” หนุ่มยิ้มอย่างรู้สึกผิดอีกครั้งที่เพิ่งบอกข่าวนี้ให้คนในทีมรู้
ภูมิคุ้มกันเรื่องการลาจากอย่างกะทันหันของพริมานั้นบกพร่องมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะเข้าใจดีว่าโลกเรานี้มีพบก็ย่อมมีจาก แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ “ขอโทษทำไมพี่หนุ่ม โรงเรียนออกแบบโฆษณาที่แคลิฟอร์เนียคือความฝันของพี่เลยนะ”
“สงสัยกลับมาอีกที…ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าครีเอทีฟเหมือนพี่ตระการแน่” ชินทรยอจนหนุ่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว ยกมือไหว้บอกสาธุ ขอให้เป็นอย่างที่ครีเอทีฟรุ่นน้องว่าด้วยเถิด
“แล้วงานนี้ใครจะมาเป็นอาร์ตไดฯ คู่ไอ้พริมแทนพี่หนุ่มฮะ” คำถามของวอแวสุดแสนจะตรงใจพริมา พนันได้เลยว่าไม่มีใครอยากรู้เรื่องนี้ไปมากกว่าเธออีกแล้ว
พี่ตระการยิ้มราวกับรู้แจ้งแก่ใจ แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ กลืนความลับลงคอไปพร้อมกับเบียร์รสนุ่ม พริมาจึงหันไปสบตาขอคำตอบจากหนุ่มแทน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จริงๆ
หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจ จินตนาการไม่ออกว่าอาร์ตไดเร็กเตอร์ใหม่ที่จะเข้ามาเป็น ‘คู่ชีวิต’ เรื่องงานนั้นเป็นคนแบบไหน จะทำงานเข้าขากับเธอได้ดีหรือไม่ เธอขอรู้ล่วงหน้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ
“โทษที พี่แค่อยากเซอร์ไพรส์พวกเรานิดหน่อย”
เซอร์ไพรส์? เซอร์ไพรส์อีกแล้ว พริมาไม่ชอบคำพูดนี้ของคนเป็นหัวหน้าทีมเลย
“แต่วางใจเรื่องฝีมืออาร์ตไดฯ คนใหม่ได้เลย งานนี้ไม่มีคำว่าผิดหวังแน่นอน” พี่ตระการรับรอง
“พูดให้อยากแล้วจากไปอีกแล้ว” ท่าทีวอแวดูอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างจากเธอ “เดี๋ยวผมจัดการมอมพี่ตระการเองคืนนี้ แล้วความลับ…จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป”
ชินทรร้องถุยสรรเสริญน้ำใจของวอแว “แหม กล้าพูดนะไอ้แว แกเนี่ยนะจะมอมพี่ตระการ? ไอ้บ้า ดื่มให้ถึงห้าแก้วก่อนเหอะ แล้วค่อยมาพูดกัน”
พริมาพึมพำ “มีหวังชาตินี้ไม่ได้รู้กันพอดี” เธอรู้ดีว่าก๊อปปี้ไรเตอร์หนุ่มรายนี้ครองตำแหน่งคออ่อนไร้ผู้ท้าชิงมาหลายสมัยแล้ว วอแวทำเสียงจุปาก ส่งสายตามาที่พริมาอย่างขัดใจ สื่อความนัยว่าไม่เห็นต้องซ้ำเติมกันเลย
และแล้วครีเอทีฟทั้งห้าก็เริ่มขุดเรื่องชวนหัวในวันเก่าๆ ขึ้นมาเล่าอย่างออกรส โดยเฉพาะความเอาแต่ใจของ ‘ลูกค้าผู้น่ารัก’ จนต่างคนต่างต้องงัดกลยุทธ์ออกมารับมือสารพัด ชั่วโมงนั้น…เสียงร้องพ่นไฟของนักร้องหญิงเสียงดีบนเวทีแทบไร้ความหมาย ไม่มีใครสนใจฟังด้วยซ้ำ มัวแต่นั่งขำเหมือนคนบ้า พริมายกมือขึ้นกรีดน้ำตา เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมทีม…หญิงสาวรู้สึกได้ว่าช่างมีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เธอหัวเราะอย่างคนมีความสุข ปล่อยให้เรื่องทุกข์ใจหลับใหลไปชั่วขณะ
เบียร์สดรสนุ่มพร่องไปสามทาวเวอร์แล้ว พี่ตระการชวนชินทรกับหนุ่มออกไปรับลมเย็นดูดบุหรี่สักมวนสองมวนตรงสวนนอกร้าน ทิ้งวอแวให้ฟุบหลับไปกับโต๊ะหลังดื่มเบียร์หมดไปเพียงสามแก้ว
พริมาได้แต่มองวอแวอย่างอ่อนใจก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ คืนนี้เธอดื่มไปเยอะเหมือนกัน หนุ่มเล่นรินเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าส่งให้ไม่ยั้ง เพราะรู้ดีว่าเธอนั้นเป็นหญิงแกร่ง คอแข็งไม่เป็นสองรองใคร
เป็นไปได้ไหมว่าเธอเริ่มมึนนิดๆ แล้ว พริมาพยายามพาตัวเองเดินไปห้องน้ำหลังร้าน ทว่าเดินพ้นโต๊ะไปได้ไม่กี่สิบก้าว หญิงสาวกลับรู้สึกได้ถึงแรงปะทะของใครคนหนึ่งจากด้านหลัง…ใครคนนั้นทิ้งน้ำหนักทั้งตัวมาที่เธอราวกับหมดแรง จนพริมาเซล้มลงไปกองกับพื้น
อย่างแรกที่พริมารู้ในตอนนี้คือ…เจ้าของร่างหนักน่าจะเป็นผู้ชาย เขานอนคว่ำหน้าเหมือนคนหมดสติทับแขนซ้ายของเธอ กลิ่นเหล้าและบุหรี่แรงจัดจนอยากจะอาเจียน พริมาใช้มือขวาดันร่างอันหนักอึ้งออกจากแขนอย่างยากลำบาก แล้วยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น หันไปเรียกเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะ แต่ลืมไปเสียสนิทว่าวอแวกำลังหลับลึกขั้นสุด ใช้วิธีปลุกด้วยการผลักจนล้มจากเก้าอี้เพื่อให้แรงโน้มถ่วงทำงานแบบในภาพยนตร์เรื่อง ‘Inception’ ก็ไม่น่าจะตื่น ยังดีที่เด็กเสิร์ฟสองคนรีบวางขวดเบียร์และจานกับแกล้มบนโต๊ะใกล้ๆ ตรงเข้ามาช่วยเธออย่างรวดเร็ว ผิดกับลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งหันมามองเธอด้วยประกายตาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้ล้มตึงลงไปจูบพื้น
เด็กเสิร์ฟทั้งสองช่วยกันประคองร่างสูงโปร่งไร้สติจนคอพับไปยังโต๊ะที่เขาน่าจะนั่งอยู่ การจัดแสงไฟของร้านชนิดที่เรียกว่าอีกนิดเดียวก็เข้าขั้นมืดทำให้พริมาไม่ใส่ใจพินิจใบหน้าคนเมาอย่างละเอียดนัก ไม่มีทางใช่คนรู้จักแน่นอน…เธอคิดอย่างนั้น กระนั้นพริมาก็ไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงยังเดินตามเขามาที่โต๊ะ แทนที่จะไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจแรก อาจเพราะเธอห่วงเด็กเสิร์ฟทั้งสอง เนื่องจากคนเรา…เวลาเมาจนขาดสติน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจนกลายเป็นภาระของคนช่วยประคองได้
“ไม่จริง…ไม่จริง…”
พริมามองแผ่นหลังของร่างสูงซึ่งกำลังถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เสียงละเมอของเขาเจือรอยร้าวเหมือนคนผจญเรื่องเศร้าเคล้ายากเย็นเข็ญใจ เขาไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้ วิสกี้ขวดใหญ่บนโต๊ะเหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าเขาดื่มส่วนที่หายไปทั้งหมดนั้นเพียงคนเดียว
“ไม่เอา…แพร…อย่าไป…”
พริมาประหลาดใจเข้าไปอีกขั้น มีคนตั้งมากมายใช้ ‘แพร’ เป็นชื่อเล่น เขาคงไม่ได้หมายถึงเพียงแพรเพื่อนของเธอใช่ไหม แล้ววลีขอร้องว่า ‘อย่าไป’ เล่า…หมายความว่าอย่างไร
เป็นไปได้ไหมว่าความบังเอิญจะเล่นตลกร้ายกับเธอเข้าแล้ว
เด็กเสิร์ฟทั้งสองค่อยๆ วางร่างสูงของคนเมาบนโซฟาหนังตัวยาวแล้วเดินพ้นไป ทันทีที่เห็นใบหน้าเขาเต็มตาพริมาถึงกับขนลุกไปทั่วร่าง ก่อนจะสบถในใจว่านี่มันวันซวยอะไรของเธอ ถึงได้มาเจอเขาอีกครั้งที่นี่!
เปลือกตาอินทัชค่อยๆ ขยับเปิด เผยดวงตาคมอมทุกข์ พริมาบอกตัวเองให้รีบหมุนตัวออกไปจากตรงนี้ทันที ก่อนที่เขาจะเห็นเธอ
“แพรเหรอ”
ไม่ทันแล้ว เขาเห็นเธอเป็นเพียงแพรเข้าแล้ว ยังไม่ทันที่พริมาจะหนี หญิงสาวพลันรู้สึกได้ถึงมือหนาของอินทัช เขาคว้ามือเธอไว้ แล้วกระชากเต็มแรงจนเธอเซลงไปนั่งบนโซฟาข้างกาย กลิ่นเหล้าซัดเต็มจมูกเธอจนแทบทนไม่ไหว
“แพรจริงๆ ด้วย”
“ฉันไม่ใช่แพร!”
อาจเป็นเพราะพริมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด อินทัชจึงหรี่ตาพิจารณาดวงหน้าของเธอเป็นพิเศษ กระทั่งตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เพียงแพรอย่างที่บอก ใบหน้าคมคายที่สัปดาห์ก่อนยังดูหล่อสะอาดตากว่าวันนี้จึงสลดลง ความหม่นหมองคืบคลานทุกพิกัดบนนัยน์ตาสีน้ำตาล
“แพรล่ะ…แพรอยู่ไหน” สุดท้ายเขาก็ไม่วายถามถึงเพื่อนเธอ
“ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
“แพร…ต้องส่งคุณ…มาง้อผมแน่ๆ”
ไปกันใหญ่แล้ว พริมาลอบกลอกตา ชักระอาเสียงพูดคางยานนั่น “เพ้อเจ้อ ฉันแค่บังเอิญมาเจอคุณที่นี่ อีกอย่าง…แพรเขาไม่สนหรอกว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่ที่ไหนกับใคร”
“ไม่จริง แพรยังรักผมอยู่”
“นี่…รู้ตัวหรือเปล่าว่าเมาหนักขนาดไหน?!”
อินทัชนิ่งไปราวกับเริ่มประเมินตัวเองอย่างที่พริมาถาม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ฉุดความสามารถในการตอบคำถามของเขาให้ช้าลงต่างหาก คงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพริมาถามอะไร แถมยังมีหน้ามาถามต่ออีกว่า
“แล้วนี่คุณ…ตามผมมาทำไม”
พริมาไม่สนใจอธิบาย เธอพยายามขืนข้อมือตัวเองจากมือหนาของเขา แต่อินทัชกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ
“นี่ ปล่อยนะ!”
“ไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะยอมรับว่าแพรส่งคุณมา”
พริมาชักโมโห เธอรวบรวมพลังกายทั้งหมดสลัดข้อมือจนหลุดจากการเกาะกุม แล้วลุกพรวดจากโซฟาทันที จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น เพียงแพรไม่พูดชื่อเขาให้เธอได้ยินเลยสักครั้ง สิ่งที่พริมารับรู้เกี่ยวกับเพื่อนรักมีแต่เรื่องการจัดเตรียมงานแต่งงานซึ่งจะมีขึ้นภายในเร็ววันนี้ ช่วยกริชออกแบบการ์ดเชิญแขกมาร่วมงาน ขณะที่ชุดเจ้าสาวและเจ้าบ่าว…เพียงแพรหมายมั่นปั้นมือลงแรงออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเอง
“ผม…ไม่มีวันยอมแพ้เรื่องแพรง่ายๆ แน่” อินทัชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนพริมาชะงักทั้งที่ยังไม่ทันก้าวออกจากตรงนั้นด้วยซ้ำ
“แพรไม่มีวันกลับมาหาคุณแน่นอน คืนนั้นคุณก็เห็น…ว่าแพรกับกริชเขารักกันมากแค่ไหน”
พริมาสัมผัสได้ว่าแววตาอินทัชฉายชัดถึงความปวดร้าวเพียงใด บางทีเขาอาจจะเสียใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะรักเพียงแพรมากกว่าที่เธอคิดก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าพริมาจะพยายามคิดเข้าข้างเขาเพียงใด…หญิงสาวกลับสงสารเขาไม่ลง เพราะสิ่งที่เขาเคยทำกับเพียงแพรนั้น มันโหดร้ายเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว
“คุณเลิกหวังในตัวแพรเถอะ”
“…”
“ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ก็พยายามหน่อยละกัน”
“ผมก็แค่…อยากได้โอกาส”
พริมานิ่งงัน เพราะสิ่งที่อินทัชต้องการนั้นคือสิ่งเดียวที่เธอต้องการจากฌานนท์เช่นกัน
ในตอนนั้นพริมาได้แต่หวังว่าสักวัน…อินทัชจะเจอผู้หญิงคนใหม่ที่เขารักจริง
เพราะนี่อาจเป็นความห่วงใยเดียวที่เธอพอจะมอบให้เขาได้
Comments
comments
No tags for this post.