X
    Categories: ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่หก

หน้าที่แล้ว1 of 6

ตอนที่หก

 

จิ้งไท่เฟยกลับไม่รีบไม่ร้อน ทรงลุกขึ้นจากตั่งแล้วจัดปลายผมเส้นหนึ่งที่ไม่เรียบร้อย แย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนตรัสว่า “วาจานี้ได้ฟังกลับคุ้นหู เด็กน้อยปากกล้าเอ๋ย ความผิดเช่นนี้ยี่สิบปีก่อนข้าก็เคยกระทำ เอาใจเขามาใส่ใจข้าแล้ว ข้าก็ไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก เจ้ากลับไปเสียเถิด”

ไป๋อวี้ฉีมีเพลิงโทสะที่ยากระงับได้ แต่เพราะไม่อาจตบมือข้างเดียวนางจึงได้แต่สะบัดอาภรณ์จากไป ชายกระโปรงพลิ้วไหว ผมยาวดำขลับแผ่สยายดุจธารน้ำตก เงาด้านหลังงดงามราวเทพเซียนจุติลงมา

จิ้งไท่เฟยมองเงาหลังที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล อดนึกถึงตนเองเมื่อสามสิบปีก่อนไม่ได้ นางก็เคยงามพริ้งเพราเช่นนี้ ทั้งยังเคยสวมอาภรณ์งามเลิศเช่นนี้มาก่อน

จิ้งไท่เฟยพลันหดหู่ใจจนเกือบหายใจไม่ออก นางถูกกระตุ้นจนกระอักไอขึ้นมาทันที เฉิงหมัวมัวรีบเข้าไปประคองแล้วช่วยตบหลังนางอย่างชำนาญพลางพูดอย่างร้อนใจ “จะกริ้วอันใดกับเด็กคนหนึ่งเล่าเพคะ อย่าได้มีโทสะไปเลย!”

จิ้งไท่เฟยยิ้มขมขื่น นางไหนเลยจะมีโทสะ เพียงแค่รู้สึกใจหายก็เท่านั้น…

ไป๋เสวี่ยฝูเห็นว่าจู่ๆ จิ้งไท่เฟยก็ไออย่างรุนแรง มือไม้ทำอะไรไม่ถูก นางจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “จิ้งไท่เฟยทรงเป็นอะไรหรือเพคะ อยู่ดีๆ ก็ไอเช่นนี้ ต้องให้คนไปตามหมอหลวงหรือไม่เพคะ”

“ไม่เป็นอะไร นี่เป็นโรคเก่าโรคแก่น่ะ เจออากาศแห้งก็มักจะไอ” จิ้งไท่เฟยกล่าวจบก็ไออีกระลอก กว่าจะทุเลาลงก็ยากเย็น ทรงร้องโอดโอยครั้งหนึ่งก่อนจะกลับลงไปนอนบนตั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าที่แต่เดิมขาวซีดยิ่งดูซีดลงไปอีกขั้นหนึ่ง ชวนให้สงสารจับใจแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

ไป๋เสวี่ยฝูเมื่อได้ยินว่าเป็นโรคเก่าแก่พลันเงยหน้ามองดอกสาลี่ที่ซ้อนสลับเป็นชั้นๆ นอกเรือนปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จิ้งไท่เฟยอาจทรงลองใช้ดอกสาลี่แห้งชงดื่มกับน้ำได้นะเพคะ ทรงดื่มวันละถ้วย บางทีอาการไออาจดีขึ้นบ้างเพคะ”

จิ้งไท่เฟยกลับส่ายหน้า ตรัสอย่างอ่อนแรงอยู่บ้าง “ช่างเถิด ไม่นับว่าเป็นโรคร้ายแรงอะไร มิสู้สุขใจเท่าได้ฟังเจ้าบรรเลงเพลงพิณอีกสักเพลง”

ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินรับสั่งเช่นนี้ ทั้งยังเห็นพระองค์ทรงอ่อนแรงย่อมมิอาจไม่ทำตามพระประสงค์เล็กๆ นี้ ไม่พูดให้มากความอีก ไป๋เสวี่ยฝูก็ย่างเท้าเคลื่อนไปทางที่ตั้งพิณแล้วบรรเลงบทเพลงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นางเลือกอีกเพลงหนึ่ง ไม่นับว่าเบิกบานแต่ก็ไม่เศร้าโศก เสียงพิณหลั่งไหลจากมือที่สัมผัสสายพิณ ลอยละล่องไปยังทุกซอกทุกมุมภายในเรือน

แววตาบริสุทธิ์เบนไปหาจิ้งไท่เฟย ไป๋เสวี่ยฝูสัมผัสได้ว่าใบหน้าที่ไม่อ่อนเยาว์นั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากเศร้าโศกเป็นเรียบเฉย และสุดท้ายก็เย็นชา กระแสความเย็นชานั้นทำให้เรียวนิ้วของไป๋เสวี่ยฝูพลันสั่นระริก หลังจากดีดผิดไปจังหวะหนึ่งก็ผิดติดต่อกันซ้ำไปมา นางดีดต่อไม่ได้อีกแล้ว ในที่สุดไป๋เสวี่ยฝูก็เข้าใจสาเหตุที่สีหน้าของจิ้งไท่เฟยแปรเปลี่ยนรวดเร็วเพียงนั้น

ณ ประตูใหญ่ บุรุษที่นางเพิ่งได้พบเพียงสองครั้งหลังจากเข้าวังกำลังยืนอยู่ที่ข้างประตู และยังคงสวมชุดคลุมยาวสีแดงโลหิตปักดิ้นทอง ผมสีดำดุจหมึก ใบหน้าแข็งกร้าวมีความอบอุ่นอ่อนโยนที่ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยพบ แม้แต่แววตาที่เย็นชาอยู่เสมอในยามนี้ก็ยังเปล่งประกายอ่อนโยนน่าหลงใหล

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะจิ้งไท่เฟย?

หลังจากตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไป๋เสวี่ยฝูก็เยื้องกรายออกจากทะเลดอกไห่ถังทันที สาวเท้าเร็วไปถวายบังคมเบื้องหน้าเยวี่ยเยี่ย “เสวี่ยฝูถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญเพคะ” นางไม่เคยเรียกแทนตนเองว่าหม่อมฉัน เพียงเพราะในใจไม่เคยเห็นว่าตนเองเป็นสตรีของชายผู้อยู่เหนือคนมากมายผู้นี้ บางทีวันหนึ่งที่นางต้องตาย หรือต่อให้ต้องตายต่อหน้าเขา ยามนั้นนางก็คงเป็นเพียงเศษธุลีดินกองหนึ่ง กลายเป็นเมฆที่ลอยผ่านตาเขาไป

เยวี่ยเยี่ยยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูตั้งแต่ตอนนางเริ่มเล่นพิณอีกครั้งแล้ว ภายในลานดอกไห่ถังสีสดเช่นแพรไหม ดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะ กลีบดอกสาลี่สีขาวสะอาดขนาดเล็กเท่าเล็บมือลอยละล่องตามสายลม มีหลายกลีบที่เหมือนผีเสื้อร่วงลงบนจอนผมและอาภรณ์ของไป๋เสวี่ยฝูอย่างแผ่วเบา เป็นภาพที่งดงามยิ่ง ทั้งยังคุ้นตาเป็นที่สุด

หัวใจที่ปิดตายของเยวี่ยเยี่ยมีชั่วขณะหนึ่งที่อ่อนไหว แววตาจึงพลอยอ่อนโยนตามไปด้วย ราวกับสตรีในลานผู้นั้นมิใช่คนสกุลไป๋ที่เขาเคียดแค้น แต่เป็นคนที่อยู่ในใจเขา

กระทั่งเสียงพิณหยุดลง เยวี่ยเยี่ยจึงได้กลับมาเย็นชาเฉยเมยดังเช่นปกติ ไม่มองนางตรงๆ แต่เดินผ่านด้านข้างนางไปเบื้องหน้าจิ้งไท่เฟย โค้งกายเล็กน้อยก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความห่วงใย “ถวายบังคมเสด็จแม่ พระวรกายของเสด็จแม่ดีขึ้นบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

สิ่งนี้กลับทำให้ไป๋เสวี่ยฝูตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยเยี่ยจะมีด้านอ่อนโยนปานนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะเรียกจิ้งไท่เฟยว่าเสด็จแม่

จิ้งไท่เฟยเพียงชายตามองเขาอย่างเย็นชา ใบหน้าเรียบเฉยขณะตอบว่า “จิ้งเหนียนหาได้เป็นผู้ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูฝ่าบาทไม่ คำเรียก ‘เสด็จแม่’ จิ้งเหนียนย่อมรับไว้ไม่ได้ ฝ่าบาทโปรดเรียกผู้ชราเช่นหม่อมฉันว่าจิ้งเหนียนหรือจิ้งไท่เฟยเถิด” กล่าวจบก็หมุนพระวรกายหันหลังให้เขาประหนึ่งเด็กน้อยอายุสามขวบที่ถูกยั่วให้งอนแล้วเมินเฉยต่อผู้อื่น

เยวี่ยเยี่ยเคยชินกับถ้อยคำเย็นชาของจิ้งไท่เฟยแล้ว เขาจึงถอนใจอย่างอับจนหนทางเฮือกหนึ่ง เขาอ้อมไปตรงหน้าจิ้งไท่เฟยแล้วออดอ้อนว่า “ตั้งแต่เจ็ดขวบลูกก็ได้เสด็จแม่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เสด็จแม่เอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

จิ้งไท่เฟยเงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องเขาด้วยดวงตาที่โกรธขึ้งพลางดุด่าว่า “ลูกที่ข้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ตายไปตั้งนานแล้ว มิใช่จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยที่จิตใจโหดเหี้ยมตรงหน้าผู้นี้ ข้าเคยพูดแล้วว่าจะไม่รับลูกเนรคุณเช่นเจ้าอีกต่อไป!”

ฉุนกุ้ยเหรินเป็นผู้ให้กำเนิดเยวี่ยเยี่ย นางเติบโตในแคว้นเป่ยและได้รับขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแคว้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ตอนที่ฉุนกุ้ยเหรินอายุสิบห้าเจ้าแคว้นเป่ยจึงถวายนางเป็นบรรณาการแด่จักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ย แต่แม้ฉุนกุ้ยเหรินจะมีรูปโฉมงดงามดังบุปผาเพียงใด เมื่อมาอยู่ท่ามกลางตำหนักในที่มีหญิงงามมากมายดุจหมู่เมฆย่อมยากที่จะโดดเด่น ซ้ำในเวลานั้นแคว้นเป่ยเพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอวิ๋นเยวี่ย ระหว่างสองแคว้นต่างถือทิฐิของฝ่ายตน หากสัมผัสกันเพียงนิดก็อาจก่อเรื่องจนใหญ่โตได้ เพราะฉะนั้นสตรีที่แคว้นเป่ยส่งมาจึงไม่มีทางได้รับความโปรดปรานสักเท่าใด

และไม่เพียงจะไม่ได้รับความโปรดปราน ซ้ำยังถูกกีดกันจากสนมชายาทั้งหลายอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งถึงกับถูกใส่ร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ในท้องของฉุนกุ้ยเหรินมีเยวี่ยเยี่ย กอปรกับจิ้งกุ้ยเฟย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นหนึ่งช่วยออกหน้าให้จึงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้ แต่สุดท้ายก็ยังมิอาจหลีกหนีชะตาที่ต้องถูกส่งไปอยู่ยังตำหนักเย็นได้

เยวี่ยเยี่ยอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นกับฉุนกุ้ยเหรินตั้งแต่เกิด แต่ละวันก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเรือนอันหนาวเหน็บอ้างว้าง

บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตในตำหนักเย็นทุกข์ทรมานเกินไป ปีที่เขาอายุเจ็ดขวบ ฉุนกุ้ยเหรินก็ป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้ วันคืนผ่านไปนานเข้าอาการป่วยยิ่งรุนแรง ฉุนกุ้ยเหรินเห็นลูกชายที่เพิ่งอายุครบเจ็ดปีต้องมามีชีวิตทุกข์ระทมเช่นตนเอง ด้วยหมดสิ้นหนทางแล้วจึงตัดสินใจสละชีวิต จูงมือเยวี่ยเยี่ยหนีออกจากตำหนักเย็นมุ่งตรงไปยังตำหนักที่พำนักของจิ้งกุ้ยเฟย

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน วันนั้นจิ้งกุ้ยเฟยกำลังนั่งชมดอกไม้ จิบน้ำชาอยู่ในลาน หลังเห็นสองแม่ลูกก็ยังจับมือเยวี่ยเยี่ยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามมารยาท ทั้งยังพาเขามานั่งกินของว่างที่ข้างโต๊ะหิน

ตลอดมาจิ้งกุ้ยเฟยทรงให้กำเนิดธิดาเพียงสองพระองค์แล้วก็ไม่ทรงครรภ์อีก พระองค์จึงอิจฉาผู้ที่ให้กำเนิดโอรสได้เป็นพิเศษ

ฉุนกุ้ยเหรินเมื่อได้พบจิ้งกุ้ยเฟยก็คุกเข่าลงกับพื้นดังโครม วิงวอนทั้งน้ำตาว่า ‘จิ้งกุ้ยเฟยพระทัยเมตตาดังพระโพธิสัตว์ ขอทางรอดแก่อี้เอ๋อร์สักเส้นทางเถิด ฉุนฉินขอใช้ความตายตอบแทนพระคุณ จิ้งกุ้ยเฟย…’ ฉุนกุ้ยเหรินหมอบราบกับพื้น ร่างกายที่มีโรคภัยรุมเร้าสั่นสะท้านน้อยๆ

จิ้งกุ้ยเฟยตกพระทัยในการกระทำเหนือความคาดหมายของฉุนกุ้ยเหริน ด้วยความร้อนรนไม่ทันไตร่ตรองก็รับคำติดๆ กัน จิ้งกุ้ยเฟยย่อกายลงประคองแขนนางไว้พลางตรัสว่า ‘น้องหญิงลุกขึ้นเถิด พี่รับปากแล้วยังไม่พออีกหรือ รีบลุกขึ้นเร็วเข้า’

ฉุนกุ้ยเหรินปีติจนน้ำตาร่วงริน หลังขอบพระทัยก็เหลือบมองไปทางเยวี่ยเยี่ยอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ในชั่วจังหวะที่ทุกคนไม่ทันระวังก็พุ่งตัวไปชนมุมโต๊ะหิน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของจิ้งกุ้ยเฟย ร่างของฉุนกุ้ยเหรินที่ประหนึ่งใบไม้ร่วงในสารทฤดูก็ค่อยๆ ล้มลง โลหิตหลั่งรินลงมาไม่ขาดสายจากหน้าผากของนาง ไหลนองไปทั่วพื้น

โลหิตไหลไปที่ข้างเท้าของเยวี่ยเยี่ยซึ่งเพิ่งจะอายุครบเจ็ดปี ย้อมรองเท้าสีขาวของเขาจนกลายเป็นสีแดง ทว่าเขากลับมิได้ร้องไห้ เพียงยืนจ้องโลหิตสีแดงฉานที่หลั่งรินลงมาไม่ขาดสายอย่างเหม่อลอย โลหิตที่พรากชีวิตท่านแม่ผู้มีชะตาอาภัพของเขาไปทีละหยดๆ ขนมเปี๊ยะเหอเถา* ที่จิ้งกุ้ยเฟยยัดใส่มือเขาถูกบีบจนละเอียดกลายเป็นผงเล็ดลอดออกมาจากหว่างนิ้ว

‘อี้เอ๋อร์ เจ้าจะต้องมีชีวิตที่ดี จะต้องเคารพเชื่อฟังจิ้งกุ้ยเฟยให้ดี…’ นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เขา ชั่วพริบตานั้นเขามองเห็นความรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจในดวงตาที่ค่อยๆ เหลือกเป็นสีขาวของท่านแม่ เขารู้ดีว่าท่านแม่กลัวความตายมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพื่อเขาแล้วท่านถึงกับยินยอมผลักตัวเองเข้าสู่เส้นขอบของความตาย

หลังจากฉุนกุ้ยเหรินเสียชีวิตลง จิ้งกุ้ยเฟยก็รับอุปการะเยวี่ยเยี่ย ช่วงเวลานั้นเยวี่ยเยี่ยจึงเปลี่ยนจากชีวิตในตำหนักเย็นมามีวันเวลาที่มั่งคั่งสุขสบาย จิ้งกุ้ยเฟยหาอาจารย์ที่ดีที่สุดทั้งบุ๋นและบู๊มาฝึกฝนไม่ให้เขาด้อยไปกว่าองค์ชายองค์อื่นแม้แต่เศษเสี้ยว เยวี่ยเยี่ยเองก็เปลี่ยนจากเด็กขี้ขลาดที่ถูกคนอื่นรังแกมาแต่เล็กกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ในที่สุด

ด้านหนึ่งเพราะมีความสามารถที่โดดเด่น อีกด้านเพราะมีความเกี่ยวพันกับจิ้งกุ้ยเฟย ครั้นเยวี่ยเยี่ยอายุสิบสามจึงถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นอี้อ๋อง ได้รับแบ่งสันจวนอ๋องหนึ่งแห่งและที่นานับไม่ถ้วน กระทั่งอาจไปทำให้ผู้อื่นอิจฉาเข้า ในปีเดียวกันนั้นจิ้งกุ้ยเฟยยังถูกใส่ร้ายจากอัครมเหสี ในขณะนั้นจิ้งกุ้ยเฟยก็ถูกส่งไปอยู่ที่ตำหนักเย็นอย่างไร้ปรานี ทั้งฝ่าบาทยังมีราชโองการด้วยพระองค์เองห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้รวมไปถึงอี้อ๋องและองค์หญิงทั้งสองด้วย

ขณะกำลังกระวนกระวายอี้อ๋องก็ได้รับจดหมายที่เฉิงหมัวมัวแอบส่งออกมา จิ้งกุ้ยเฟยกล่าวในจดหมายว่านางเหนื่อยแล้ว อยากจะมีชีวิตที่สงบเงียบ ให้เขามีชีวิตที่ดี อย่าบาดหมางกับฝ่าบาทด้วยเรื่องของนาง

ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดกับท่านแม่บุญธรรมล้วนพูดประโยคเดียวกันกับเขา มีชีวิตที่ดี…อี้อ๋องยิ้มอย่างขมขื่น ได้แต่เชื่อฟัง

สี่ปีให้หลังในปีที่อี้อ๋องอายุสิบเจ็ด ฝ่าบาททรงพระประชวรจนเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน ราชสำนักอลหม่านวุ่นวาย คืนนั้นองค์รัชทายาทถูกจับตัว องค์ชายทั้งหลายตั้งตนเป็นฝักฝ่าย จ้องตะครุบตำแหน่งจักรพรรดิตาเป็นมัน อี้อ๋องแม้มีความสามารถโดดเด่นแต่เพราะมีโลหิตของแคว้นเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่งจึงไม่อาจร่วมชิงบัลลังก์ได้ และเพื่อให้มั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายในบัลลังก์นี้ องค์ชายแปดจึงส่งคนไปตามสังหารเขา ไล่ล่าเขาตลอดทางไปจนถึงเถิงโจวกระทั่งเขาแทบเอาชีวิตไม่รอด

ตั้งแต่ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดจากไป อี้อ๋องก็มีภาระหน้าที่เพียงแค่สองอย่าง คือมีชีวิตที่ดีกับเคารพเชื่อฟังจิ้งกุ้ยเฟยให้ดี แต่ท้ายที่สุดเขากลับเป็นดั่งราชสีห์ที่ถูกยั่วยุให้เดือดดาล เขาลุกขึ้นตอบโต้ด้วยการถือมีดโลหะเปล่งประกายวาววับเข่นฆ่าผู้คนมาตลอดทางที่กลับเมืองหนิงเฉิงเข้าสู่วังหลวง แม้องค์ชายแปดจะยกมือขอยอมแพ้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เลือดสดย้อมทับอิฐปูพื้นสีทองจนภายในวังหลวงกลายเป็นสีแดง

ส่วนองค์ชายอีกสามองค์ที่เป็นฝ่ายเดียวกับองค์ชายแปดล้วนมิอาจหลบพ้นมีดโลหะกระหายเลือดของอี้อ๋องได้ เขาขึ้นครองราชย์พร้อมทั้งกำราบองค์ชายที่เหลือให้ศิโรราบแทบเท้าตนเองได้สำเร็จ ทว่าตอนที่เขามุ่งไปยังตำหนักเย็นอย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า ตั้งใจจะรับจิ้งกุ้ยเฟยออกจากตำหนักเย็นนั้นเอง สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝ่ามือเหี้ยมโหดฉาดหนึ่งจากจิ้งกุ้ยเฟย และคำพูดอย่างเดือดดาลว่า ‘ไปให้พ้น!’

จวบจนบัดนี้ผ่านไปแล้วสามปี แม้จิ้งกุ้ยเฟยได้กลายเป็นจิ้งไท่เฟยแล้ว แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ยอมยกโทษให้เขา ต่อให้เยวี่ยเยี่ยจะชนะสงครามอย่างงดงามยิ่งอีกคราวหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีผู้ใดปรบมือให้เขา ท่านแม่ไม่อาจมองเห็น จิ้งกุ้ยเฟยไม่เห็นดีเห็นงาม ราษฎรก็ไม่ยอมรับ ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่เล่าลือว่าเขาโหดเหี้ยมกระหายเลือด เพื่ออำนาจแล้วเขาถึงกับสังหารได้กระทั่งพี่น้องในไส้ ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจ ไม่มีสายตาของใครเลยที่ก้าวผ่านหยาดโลหิตแล้วมองเห็นความจำยอมของเขา แม้แต่จิ้งไท่เฟยก็ยังไม่อาจเห็นได้

จู่ๆ เขาก็มองไม่เห็นว่าความหมายที่แท้จริงของชัยชนะนี้อยู่ที่ใด เพียงเพื่อจะได้เป็นองค์จักรพรรดิผู้อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดเท่านั้นหรือ

เดิมทีเขาสามารถสังหารอัครมเหสีผู้เคยใส่ร้ายจิ้งกุ้ยเฟยหรือส่งให้ไปอยู่ที่ตำหนักเย็นได้ แล้วก็ให้จิ้งกุ้ยเฟยขึ้นครองตำแหน่งพระพันปีอย่างชอบธรรม แต่หลังได้ยินคำว่า ‘ไปให้พ้น!’ จากจิ้งไท่เฟย ความคิดนี้ก็ตกไป มาวันนี้จิ้งไท่เฟยดื้อรั้นจนเขาหนักใจ ขอยอมอยู่ในเรือนอันห่างไกลอ้างว้าง แต่ไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางอาภรณ์และอาหารชั้นดีอีก

ชีวิตเจ็ดปีในตำหนักเย็น จิ้งไท่เฟยปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว นางไม่เคยคิดจะใช้ชีวิตเหนือคนนับหมื่นไปพร้อมกับจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยแม้แต่น้อย ความโหดเหี้ยมของเยวี่ยเยี่ยทำให้หัวใจของนางหนาวเหน็บ หากรู้แต่แรกว่าเขาจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ ในคราแรกนางคงไม่หาคนมาสอนเขาขี่ม้า ยิงธนู และฝึกวรยุทธ์แน่นอน

เยวี่ยเยี่ยเห็นว่าจิ้งไท่เฟยโกรธเกรี้ยวจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “เสด็จแม่ วันนี้ลูกเตรียมชาหลงชิงชั้นดีมาให้ เก็บจากเขาเทียนซานที่ชายแดน เป็นเครื่องบรรณาการชั้นยอดที่เพิ่งได้มาพ่ะย่ะค่ะ” เขายังคงยิ้มน้อยๆ อย่างอดทน ตอนตรัสก็ยกมือกวักไปทางประตู นางกำนัลคนหนึ่งถือชาหลงชิงเดินเข้ามา คุกเข่าตรงหน้าจิ้งไท่เฟย แล้วชูถาดขึ้นเหนือศีรษะให้จิ้งไท่เฟยได้มองเห็น

จิ้งไท่เฟยปราดมองชาหลงชิงอย่างเย็นชา ก่อนจะยกมือสะบัดแรงคราหนึ่ง ใบชาชั้นดีพลันตกกระจายไปทั่วพื้น ไป๋เสวี่ยฝูอดตะลึงไม่ได้ นางลอบมองไปทางเยวี่ยเยี่ย เห็นสีหน้าเขาเพียงสลดใจครู่เดียวก็กลับคืนเป็นปกติโดยไว ความอดทนที่เขามีต่อจิ้งไท่เฟยนั้นทำให้นางรู้สึกหลากหลายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความอดทนได้มากถึงเพียงนี้

“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด” จิ้งไท่เฟยปัดมืออย่างเย็นชา เสด็จไปด้านในโดยมีเฉิงหมัวมัวช่วยประคอง แต่แล้วก่อนจะเข้าไป จู่ๆ ก็หมุนพระวรกายกลับมา ตรัสกับไป๋เสวี่ยฝูที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น “เสวี่ยเฟยลุกขึ้นเถิด หากมีเวลาก็มาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งคนนี้ให้มาก” กล่าวจบก็หรี่ตามองเยวี่ยเยี่ยอย่างมีนัยวูบหนึ่ง

“เสวี่ยฝูขอบพระทัยจิ้งไท่เฟยเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูโขกศีรษะให้ประตูบานพับที่ปิดลงไปแล้ว นางมิได้ลุกขึ้นเพราะเยวี่ยเยี่ยยังอยู่ เงาร่างสีแดงเข้มนั้นหยุดอยู่ข้างทะเลบุปผาเนิ่นนาน กลมกลืนเป็นสีเดียวกันกับดอกไห่ถังสีแดงเข้มแถบนั้น ข้างพระบาทมีใบชาชั้นดีตกกระจายทั่วพื้นกำลังส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา

เพราะเยวี่ยเยี่ยหันหลังให้ ไป๋เสวี่ยฝูจึงมองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ได้ไม่ชัด แต่นางสามารถจินตนาการได้เลยว่าสีหน้าของอีกฝ่ายจะต้องจนใจและหดหู่ ในสถานการณ์ที่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้กลับถูกจิ้งไท่เฟยสาดน้ำเย็นใส่อย่างแรงเสียได้ นี่ต้องมิใช่ความรู้สึกที่ดีแน่นอน ขณะจับจ้องเงาร่างเขาทันใดไป๋เสวี่ยฝูก็รู้สึกเห็นใจ สมดังประโยคที่กล่าวว่า ‘คนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่าชิงชัง คนที่น่าชิงชังย่อมมีจุดที่น่าสงสาร’ จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้สูงส่งกลับไม่มีหนทางจัดการจิ้งไท่เฟยที่กำลังพิโรธได้เลยแม้สักนิด

เนิ่นนานเยวี่ยเยี่ยถึงได้หมุนตัวกลับมา เขาเดินเนิบช้าไปทางประตูใหญ่ ในชั่วพริบตาที่เดินผ่านข้างกายไป๋เสวี่ยฝูก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนโน้มตัวลงสั่งนาง “ดูแลจิ้งไท่เฟยให้ดี หากมีอะไรผิดพลาดล้วนเป็นโทษของเจ้าคนเดียว”

ไม่รอให้ไป๋เสวี่ยฝูรับคำเยวี่ยเยี่ยก็เดินผ่านนางต่อไปข้างหน้า เขาจำได้ว่าเมื่อครู่ตอนเข้ามานางกำลังดีดพิณ บนใบหน้าของจิ้งไท่เฟยเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เยวี่ยเยี่ยที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของจิ้งไท่เฟยมาแสนนานแล้วจึงหวังจะรักษาความสุขนี้ไว้ ในเมื่อสตรีผู้นี้มีความสามารถในการทำให้จิ้งไท่เฟยยิ้มได้ เขาก็จะไม่เอาความเรื่องที่นางบุกรุกสวนสาลี่ชั่วคราว

เงาร่างของเยวี่ยเยี่ยกลืนหายไปกับแถวของต้นดอกสาลี่สีขาวหิมะนั้นช้าๆ เรือนร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่ อาภรณ์สีแดงโลหิตพลิ้วไหว ไป๋เสวี่ยฝูประหนึ่งมองเห็นเด็กหนุ่มรูปงามที่อยู่ในวัยเลือดร้อนไม่กลัวตายผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผาเมื่อครานั้นอีกครั้งหนึ่ง

บุรุษเย็นชาอำมหิตผู้อยู่เหนือผู้คนทั้งแผ่นดิน ณ เวลานี้กลับมองเห็นแววเศร้าโศกโดดเดี่ยวจากเงาร่างสูงสง่านั้นได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางทิวทัศน์สีขาวโพลนเขาเดินจากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมองไม่เห็นแถบสีแดงรำไรนั้นอีก

ไป๋เสวี่ยฝูพลันหลุดจากภวังค์ นางลุกขึ้นใช้มือปัดฝุ่นบนอาภรณ์สีขาว

นึกถึงไป๋อวี้ฉีที่ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนแล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ไม่อยากกลับตำหนักเป็นอย่างยิ่ง นางยกมือที่แข็งจากความหนาวจนแดงก่ำสองข้างขึ้นป้องปากแล้วพ่นลมหายใจคราหนึ่ง วันที่หนาวเย็นเช่นนี้ไม่ควรเดินไปไหนมาไหนข้างนอกอย่างแท้จริง ถึงภายในห้องจะเย็นเยียบเช่นกันก็ตาม

นางเดินไปข้างหน้าช้าๆ พาตนเองไปอยู่ท่ามกลางดอกสาลี่ที่กำลังแย่งกันผลิบาน แต่แล้วก็พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เบื้องหน้าได้เปลี่ยนเป็นทะเลสาบใสสะอาด ไอน้ำลอยล่องคละคลุ้ง กลีบดอกไม้เล็กๆ แต่งแต้มผิวทะเลสาบเป็นผืนสีขาวบริสุทธิ์ มองเงาร่างตนเองที่ผสานกับกลีบดอกไม้กลางทะเลสาบแล้ว นางก็สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกสาลี่ที่พัดโชยระจมูกมาบ่อยครั้ง อดคิดถึงวันเวลาในอารามเมี่ยวเฟิงไม่ได้

ที่นั่นไม่มีการแก่งแย่งชิงอำนาจ ไม่มีการบีบบังคับ ทุกวันล้วนฝึกวรยุทธ์และสวดมนต์กับแม่ชีอวี้เจิน บ้างก็คัดลอกพระคัมภีร์ ครั้นถึงฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่ง ไป๋เสวี่ยฝูก็จะชอบหมกตัวฝึกเขียนอักษร ดีดพิณอยู่ท่ามกลางค่ายกลดอกสาลี่ตลอดทั้งวัน ทั้งที่วันเวลาเหล่านั้นไม่มีอะไรให้ต้องกังวลโดยแท้ ทว่ากลับถูกกำแพงวังชั้นหนึ่งขวางกั้นเอาไว้ ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว

พอคิดถึงฝ่าบาทผู้ทอดทิ้งตนเองให้อยู่ในตำหนักอวิ๋นเหอ ไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงวาสนาที่ได้พบเขาเพียงครั้งเดียวเมื่อสามปีก่อนขึ้นมาอีก ตอนนั้นเขายังมิใช่จักรพรรดิ แต่เป็นเพียงเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง จำได้ว่าตอนนั้นเขามีนัยน์ตาเฉียบคมและอบอุ่นเหมือนกับตอนอยู่ต่อหน้าจิ้งไท่เฟยเมื่อครู่ไม่มีผิด

เยวี่ยเยี่ยเมื่อสามปีก่อนเด็ดดอกสาลี่กิ่งหนึ่งอย่างนุ่มนวลมาปักที่จอนผมของนาง ทว่าสามปีต่อมา…เขากลับใช้นิ้วมือที่เห็นเค้าโครงได้ชัดเจนบีบกรามนางอย่างทารุณ

โดยไม่รู้ตัวไป๋เสวี่ยฝูก็ยื่นมือขึ้นไปเด็ดดอกไม้เหนือศีรษะลงมาช่อหนึ่งจากดอกไม้สีขาวมากมาย เลียนแบบท่าทางของเขาในความทรงจำปักช่อดอกสาลี่เข้าไปในเรือนผมอย่างแผ่วเบา

เขาเคยบอกว่าประดับเช่นนี้งามมาก งามอย่างนั้นหรือ

ไป๋เสวี่ยฝูหลุบนัยน์ตาลง คนในเงาที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบดูงดงามอย่างแท้จริง ผิวพรรณเนียนละเอียด อาภรณ์สีขาวราวหิมะ เรือนผมดกดำ ดอกสาลี่บนเรือนผมนั้นยิ่งสวยสดงดงาม

ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยถูกความงามของตนเองดึงดูด ตรงกันข้ามนางกลับตกตะลึงเมื่อเห็นเงาสะท้อนสีแดงโลหิตบนผิวน้ำ อาภรณ์สีแดงโลหิตปักดิ้นทอง ใบหน้าเรียบเฉยคมคาย ภายในวังหลวงบุรุษที่มีลักษณะเฉพาะสองข้อนี้พร้อมกันจะมีผู้ใดได้อีก

ร่างกายพลันสั่นสะท้าน ดอกสาลี่ที่จอนผมร่วงโปรยปรายลงบนผิวน้ำเกิดเป็นวงคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมออกไปวงแล้ววงเล่า

ไป๋เสวี่ยฝูพลันหมุนตัวไปถวายบังคม ก่อนจะล้มลงแทบเท้าเขา

สายตาของเยวี่ยเยี่ยย้ายจากดอกสาลี่ที่ไป๋เสวี่ยฝูบังเอิญทำตกลงไปในทะเลสาบกลับมาที่เหนือศีรษะนาง ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นชาดุจเดียวกัน “ลุกขึ้นเถิด”

ไป๋เสวี่ยฝูกล่าวทูลลาแล้วลุกขึ้น ทว่ายังไม่อาจจากไปได้เพราะเยวี่ยเยี่ยยังไม่ได้อนุญาตให้นางไป

ท่ามกลางความเงียบงัน สองคนล้วนไม่พูดจา ต่างมีเรื่องในใจของตนเอง ต่างคนต่างคาดเดาและสงสัยในความคิดของอีกฝ่าย

สุดท้ายเยวี่ยเยี่ยก็ถามขึ้นว่า “เสวี่ยเฟยชอบดอกสาลี่หรือ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้เย็นชาจนน่าพรั่นพรึงอีก

ตั้งแต่เข้าวังมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาสนทนากับนางในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจหรือสกุลไป๋ ในใจไป๋เสวี่ยฝูสงบลงเล็กน้อย พยักหน้าอย่างอ่อนโยน เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “ท่านแม่ของเสวี่ยฝูชอบดอกสาลี่ ทั้งยังปลูกไว้ในเรือนต้นหนึ่ง ท่านแม่บอกว่าดอกสาลี่ไม่เพียงภายนอกขาวราวหิมะ แม้แต่กลิ่นหอมของมันก็สะอาดบริสุทธิ์เฉกเช่นหิมะ ทั้งไม่เหิมเกริมและไม่ถือดีเพคะ”

เยวี่ยเยี่ยเลิกคิ้วพลางยิ้มหยอกเย้าแล้วเอ่ยว่า “อ้อ? เราเคยไปจวนอัครเสนาบดีในฤดูนี้มาสองครั้ง กลับไม่เห็นว่ามีดอกสาลี่บานมาก่อน”

ไป๋เสวี่ยฝูยังคงสงบนิ่ง ท่านแม่เคยปลูกต้นดอกสาลี่ไว้หน้าเรือนจริงๆ เพียงแต่ในปีแรกเมื่อถึงฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่งก็ถูกฮูหยินใหญ่ตัดถอนรากถอนโคนออกไป ถ้อยคำของฮูหยินใหญ่คือสีขาวไม่เป็นมงคล ทั้งยังไม่สูงศักดิ์ ไป๋เสวี่ยฝูรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง สิ่งที่ท่านแม่ปรารถนาแต่ไรมานั้นล้วนไม่เคยได้รับอยู่แล้ว

“ตอนเสวี่ยฝูอายุห้าปี เพราะท่านแม่ไม่ได้รับความโปรดปรานจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในห้องผุพังซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลที่สุดในเรือนหลัง เดิมทีดอกสาลี่ก็หาได้เป็นพืชพรรณโดดเด่นอันใด ฝ่าบาทย่อมมิอาจมองเห็นได้เพคะ”

ที่แท้นางก็เป็นสตรีคนหนึ่งที่ฟ้าดินไม่เห็นใจเช่นกัน เยวี่ยเยี่ยนึกถึงช่วงเวลาที่เคยถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเย็นตามท่านแม่ เรือนหนาวเหน็บอ้างว้าง แม้แต่บ่าวที่ส่งอาหารยังกล้าชี้หน้ากล่าวเย้ยหยันดูถูกเขา แม้ช่วงเวลาเช่นนี้จะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่กลับคล้ายฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอในห้วงความคิด

ทันใดนั้นเยวี่ยเยี่ยก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ไป๋เสวี่ยฝูมีสีหน้าเศร้าสลดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบแล้ว

เขารู้สึกเห็นใจนางขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

“เช่นนั้นฝ่าบาทเล่าเพคะ เหตุใดพระองค์จึงทรงชอบดอกสาลี่” ไป๋เสวี่ยฝูแหงนดวงหน้าเล็กน้อย จ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ นัยน์ตาใสกระจ่างประหนึ่งหยดน้ำเปล่งไอบางๆ ของการรอคอย

รอคอย? นางไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังรอคอยอะไรอยู่กันแน่ กับบุรุษตรงหน้านี้ยังมีอะไรให้รอได้อีก

และก็เป็นการรอคอยที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของไป๋เสวี่ยฝูนี้เองที่ทำให้เยวี่ยเยี่ยได้สติ สตรีผู้มีความคิดสลับซับซ้อนผู้นี้ ไยเขาถึงเห็นใจนางขึ้นมาได้ ซ้ำยังมาสนทนาสิ่งเหล่านี้ต่อหน้านางได้อย่างไรกัน

ประจบประแจงไท่เฟย จงใจโศกเศร้าใต้ต้นดอกสาลี่ เล่าเรื่องราวคล้ายคลึงกับช่วงวัยเด็กของเรา ที่นางมุ่งหวังมิใช่เพียงดึงดูดความสนใจของเราหรอกหรือ การเล่นละครเพื่อแย่งความโปรดปรานเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเสมอในตำหนักใน เราเห็นมาจนชาชินตั้งนานแล้ว!

เยวี่ยเยี่ยไม่ตอบคำถามของไป๋เสวี่ยฝู มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อยผุดรอยยิ้มที่นางคุ้นเคยที่สุด…เย็นชา น่ารังเกียจ

“ไป๋เสวี่ยฝู ดูแล้วเจ้าคงวางแผนจะหนีไปจากวันเวลาในเรือนหนาวเหน็บอ้างว้างนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วกระมัง เพียงแต่วิธีที่เจ้าเลือกกลับผิดถนัด เพราะว่า…” เขาสืบเท้าเข้ามาก้าวหนึ่ง หลุบตาลงมองนางด้วยท่าทางยโสจากเบื้องสูง “วังหลวงมิได้ดีไปกว่าจวนอัครเสนาบดีเท่าใดนัก ตำหนักในของเรามิใช่ที่ที่จะให้เจ้าขึ้นไปอยู่เหนือผู้อื่นได้ง่ายดายเหมือนที่เจ้าจินตนาการ”

เรือนหนาวเหน็บอ้างว้าง ผู้ใดบ้างไม่อยากหลีกหนี เราก็ปรารถนาจะได้ออกไป ปรารถนามาโดยตลอด

ทว่าตนเองกลับทำได้ คว้าตำแหน่งทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินมาได้สำเร็จ ได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งพวกสตรีตรงหน้าที่โถมเข้ามาพะเน้าพะนอและสรรหาสารพัดกลวิธีเพื่อทำให้เขาพึงพอใจ!

เยวี่ยเยี่ยมิได้มองเห็นความอับอายหรือความลำบากใจบนใบหน้าไป๋เสวี่ยฝู สตรีผู้นี้ไม่ว่าทำอะไรก็มักเย็นชาสงบนิ่ง แม้แต่ยามอยู่ต่อหน้าเขาก็ตาม

เยวี่ยเยี่ยยิ้มเย้ยหยันแล้วหมุนตัวจากไป แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักฝีเท้า นัยน์ตามองผ่านไปที่อาภรณ์บนร่างไป๋เสวี่ยฝู ก่อนจะตรัสขึ้น “ไป๋เสวี่ยฝู ต่อไปห้ามเจ้าสวมชุดสีขาวต่อหน้าเราอีกเป็นอันขาด”

นี่เป็นคำสั่ง…นี่เป็นราชโองการของจักรพรรดิ

สีขาวเหมาะกับไป๋เสวี่ยฝูมาก และก็เป็นเพราะเหมาะเช่นนี้จึงทำให้เขายิ่งรู้สึกเคียดแค้นมากขึ้น ในใจเขาสีขาวเป็นของนาง…หญิงที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตใจงดงาม ผู้ที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกสาลี่คนนั้น

เยวี่ยเยี่ยจากไปแล้ว ทิ้งให้ไป๋เสวี่ยฝูยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบเพียงคนเดียว ใบหน้านางยังคงสงบนิ่ง ประหนึ่งเยวี่ยเยี่ยไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน

มีเพียงไป๋เสวี่ยฝูที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน ความเจ็บแปลบในใจนั้นมีอยู่จริง แม้นางจะพร่ำเตือนตนเองว่าอย่าเห็นเยวี่ยเยี่ยเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเมื่อสามปีก่อนคนนั้นอีก อย่าถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยวาจาอันไร้หัวใจของเขา นางต้องคุ้นชิน ต้องปรับตัว ต้องรู้จักเรียนรู้การทำให้หัวใจสงบนิ่งดังสายน้ำอย่างแท้จริง

ทว่านางก็ยังมิอาจไม่ใส่ใจ

* เหอเถา หมายถึงวอลนัท

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Editor Jamsai: