บทที่ 6
เราสองคน…ไม่เคยมีอดีตร่วมกัน
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อินทัชผู้พร่ำบ่นกับพริมาตั้งแต่วันเริ่มงานว่าอยากเปลี่ยนคู่ใจจะขาดจำต้องยอมสงบศึกกับเธอชั่วคราวเพื่อให้การผลิตไอเดียโฆษณาลุล่วงไปด้วยดี แต่ทั้งคู่ก็ไม่วายมีปากเสียงกันลั่นห้องจนเป็นที่ตกตะลึงของเพื่อนร่วมแผนกครีเอทีฟ
ประเด็นคู่หูข้าวใหม่ปลามันไม่ลงรอยกันนั้นร้อนไปถึงหูนายใหญ่ คุณศักดาจึงตัดสินใจเรียกพริมากับลูกชายของเขามาตำหนิพร้อมยื่นคำขาด หากยังทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นขอแยกทาง จะไล่ให้ไปเตะฝุ่นหน้าตึกโชว์ทุกคน ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู พริมาจึงได้แต่เหลือบมองอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มด้วยหางตา เห็นทีจำต้องยอมรับสภาพถูกคลุมถุงชน…อยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมกับอินทัชต่อไป
กระทั่งวันแข่งขันนำเสนอแคมเปญโฆษณารถไฟฟ้าของบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เดินทางมาถึง พริมาและอินทัชเข้ามานั่งรอในห้องประชุมได้พักใหญ่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นตอนสิบโมง หญิงสาวสังเกตเห็นความเคร่งเครียดปรากฏบนใบหน้าอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่ม โดยเฉพาะหัวคิ้วขมวดมุ่นเหนือดวงตาคมขรึมซึ่งอัดแน่นไปด้วยความกังวลใจขณะจ้องหน้าจอแท็บเลตทบทวนเนื้อหาแคมเปญที่ตระเตรียมมาอย่างดี
จะว่าไปแล้วพริมาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างกัน เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอต้องนำเสนองานคู่กับอินทัชตามคำสั่งของคุณศักดาซึ่งกำลังยืนสนทนาด้านหน้าเวทีกับประธานเอเจนซี่ไฟน์เดย์…หนึ่งในคู่แข่งบนสังเวียนพิชิตใจลูกค้าเจ้าใหม่
หญิงสาวสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจ ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ เธอไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวใช่ไหมว่าเวลามันเดินเร็วผิดปกติ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า…ทุกอย่างจะเริ่มขึ้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบทสรุปของความเหนื่อยยากตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ของเธอกับอินทัชจะจบลงเช่นไร เป็นความหอมหวานที่เธอเฝ้าภาวนาหรือไม่ ใครนะจะพอบอกใบ้ล่วงหน้าได้บ้าง
ขณะที่พริมาพยายามระงับความฟุ้งซ่านในหัว เธอกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูบานหนักของห้องประชุม เมื่อเห็นว่าเป็นร่างสูงของผู้บริหารเอเจนซี่คุ้นตารุ่นราวคราวเดียวกับคุณศักดาเดินนำลูกทีมอีกห้าคนอย่างองอาจ พริมาสังหรณ์ใจประหลาดว่าไม่แคล้วเกิดการฟาดฟันทางวาจาชนิดเลือดสาดระหว่างเขาคนนั้นกับคุณศักดาเป็นแน่
“ว้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็ศาสดานี่เอง!” น้ำเสียงประชดประชันของผู้มาใหม่เปิดฉากเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องเป็นตาเดียว
“แน่ล่ะ งานน่าสนใจขนาดนี้ แอดดิกต์จะพลาดได้ยังไง ไม่ยักรู้ว่านอกจากไฟน์เดย์แล้ว จะมีแอคต์แพลเน็ตร่วมแข่งด้วย ไม่ได้ยินชื่อเอเจนซี่นี้มานานเหมือนกันแฮะ นึกว่าล้มหายตายจากไปแล้วเสียอีก” คุณศักดากระตุกยิ้มเยียบข่มอีกฝ่าย
“นานทีเดียวกว่าแอคต์แพลเน็ตจะกลับมายืนได้อีกครั้ง ความรู้สึกของการตายแล้วเกิดใหม่เป็นแบบนี้นี่เอง แอดดิกต์น่าจะลองดูบ้างนะ จะได้รู้ว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน”
“กว่าจะถึงวันนั้น แอคต์แพลเน็ตอาจจะตัดหน้าเป็นฝ่ายลงหลุมก่อนอีกรอบก็ได้ ใครจะไปรู้”
“แหม อดใจรอให้ถึงวันนั้นแทบไม่ไหว” ประธานแอคต์แพลเน็ตที่ชื่อธนาทำปากคว่ำเหยียดการตอกกลับของคุณศักดา “อ้อ พอดีเพิ่งนึกออก ต้องขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปงานวันเกิดแอดดิกต์ เสียดายจริงๆ ได้ยินมาว่ามีของดีของเด็ดโชว์ในงานด้วยนี่”
คุณศักดาชะงักค้าง นัยน์ตาพญาเหยี่ยวขุ่นขวางขึ้นทันที แม้จะกัดฟันเอ่ยเสียงเบาเท่ากระซิบ แต่พริมาก็พอได้ยินว่าเขาพูดอะไร “หรือว่า…คนส่งของพรรค์นั้นมาที่งานจะเป็นแก…ธนา”
เจ้าของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่าย เลือกเดินเลี่ยงไปนั่งตรงกลางโซฟายาวซึ่งจัดเตรียมไว้รับรองผู้บริหารเอเจนซี่หน้าเวทีด้วยสีหน้าสบายล้ำในอารมณ์ บีบให้คุณศักดาเลือกว่าจะนั่งฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาของเขา
จนถึงตอนนี้พริมาพอจะรับรู้ได้ว่าทั้งสองไม่น่าจะผิดใจกันเหมือนลิ้นกับฟันทั่วๆ ไป
แต่จู่ๆ หญิงสาวกลับคิดเตลิดไกล บางที…อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน
ยิ่งอดีตเหล่านั้นคอยตามหลอกหลอน พริมายิ่งรู้สึกคล้ายจะวิงเวียน ไม่อาจควบคุมภาพเก่าๆ ที่เอาแต่ตีกลับสลับไปมาในหัวเหมือนม้วนวิดีโอเก่าใกล้พัง ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเรื่องราวเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดทุกความรู้สึก เธอพยายามฝืนตัวเองไม่ให้นึกถึงใบหน้าอันเศร้าสลดของฌานนท์ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่อเขายังคงเวียนวนก่อตัวเป็นวงกตแน่นหนามองไม่เห็นทางออก ได้แต่บอกตัวเองว่าสิ่งเดียวที่คนไร้ความสามารถอย่างเธอทำได้ดีคือการยอมแพ้… ปล่อยให้ฌานนท์รังแกด้วยการฝังตัวตน เอาคืนเธอในความทรงจำต่อไปเถิด
เพราะนี่คือหนทางเดียวที่เธอพอจะชดใช้ให้เขาได้
ยังไม่ทันที่พริมาจะสลัดความรู้สึกหดหู่ไปจากใจ บานประตูห้องประชุมใหญ่พลันถูกเปิดกว้างอีกครั้ง คนแรกที่เดินนำเข้ามานั้นพริมาจำได้ดีว่าคือวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ หลังเธอทำการบ้านเปิดเว็บไซต์ค้นหาศึกษาประวัติเขาเมื่อวาน ส่วนผู้บริหารระดับรองอีกสองคนที่เดินตามวิวัฒน์มา หนึ่งในนั้นคือพงษ์เทพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด พริมาได้ยินจากบารมีว่าเขานี่แหละที่เป็นคนเลือกทั้งสามเอเจนซี่มาร่วมแข่งขันกันในวันนี้
“มากันครบทุกฝ่ายแล้วนะครับ ทั้งผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์และเอเจนซี่ทั้งสาม หลังจากผมได้บรีฟโจทย์ให้ทุกท่านทราบไปแล้วก่อนหน้านี้ หวังว่าทุกท่านจะเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อนำเสนอแคมเปญดีๆ ให้เราพิจารณา และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขออนุญาตเริ่มการพิตชิ่งนำเสนอแผนโฆษณารถไฟฟ้านับตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ…” พงษ์เทพถือโอกาสเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ “โดยเราจะจับสลากเพื่อจัดลำดับว่าเอเจนซี่ไหนจะได้นำเสนอเป็นลำดับที่หนึ่ง สอง และก็สามนะครับ”
พนักงานสาวคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ถือโถแก้วไปให้ผู้บริหารเอเจนซี่ทั้งสามจับลูกบอลขนาดเท่าลูกเทนนิสคนละลูก แล้ววางลงบนแท่นที่เตรียมไว้เพื่อความยุติธรรม พริมารู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องชวนระทึกใจอย่างยิ่ง ราวกับมีมือกลองอาชีพกำลังใช้ไม้รัวกลองชุดข้างๆ เธอ
“และเอเจนซี่ที่จะได้พรีเซนต์เป็นทีมที่สาม คือ…”
แอดดิกต์…แอดดิกต์…แอดดิกต์…พริมาภาวนาให้เป็นชื่อนั้น
“ไฟน์เดย์!” พงษ์เทพขานชื่อนั้นออกมาก พริมาถอนหายใจ ความหวังได้นำเสนอเป็นทีมที่สองยังพอมี “และเอเจนซี่ที่จะได้พรีเซนต์เป็นลำดับที่สอง คือ…”
อาการลุ้นตัวโก่งเป็นอย่างนี้นี่เอง พริมาเข้าใจวลีนี้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“แอดดิกต์!”
เสียงกู่ร้องด้วยความดีใจดังก้องอก พริมาหันไปสบตาอินทัชแล้วยิ้มให้เขา แต่พอรู้ตัวว่าเผลอยิ้มให้คนข้างๆ มากเกินไป และดูเหมือนรอยยิ้มบนใบหน้าเขาค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน พริมาจำต้องแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนเผื่อแผ่ไปถึงวอแวกับชินทรซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเธอด้วย
“ดังนั้นเอเจนซี่แรกที่จะออกมานำเสนอคือแอคต์แพลเน็ตนั่นเองนะครับ ขอเชิญได้เลยครับ เรามีเวลาให้แต่ละเอเจนซี่ยี่สิบห้านาที กรุณาตรงต่อเวลาด้วยนะครับ” พงษ์เทพบรรยายกติกา
พริมาได้ยินเช่นนั้นจึงเหลือบมองไปที่ธนา ท่าทีของเขาดูร้อนรนนิดๆ เอาแต่จ้องหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามนาที ไม่มีลูกทีมคนไหนของแอคต์แพลเน็ตลุกจากเก้าอี้ไปนำเสนองานแม้แต่คนเดียว สร้างความฉงนแก่ทุกคนในห้องเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ทีมผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ โดยเฉพาะวิวัฒน์ที่เริ่มกอดอกแสดงอาการไม่พอใจ
“เราให้เวลายี่สิบห้านาทีก็จริง แต่ถ้าแอคต์แพลเน็ตไม่เริ่มพรีเซนต์ภายในห้านาทีแรก เราจะขอตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันนะครับ นี่คือกฎการพิตช์งานของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์…”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ…”
บานประตูห้องประชุมถูกเปิดกว้างอีกครั้ง ร่างสูงของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องดุจฉากเปิดตัวละครเวทีโรงใหญ่ ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดดีไซน์เท่ แบกเป้เหมือนนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ชาวต่างชาติ แถมยังถือกีตาร์โปร่งกับเก้าอี้ชายหาดแบบพกพาสะดวกมาด้วย สร้างความประหลาดใจให้กับผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์และคนจากอีกสองเอเจนซี่อย่างมาก
คนพูดประโยคดึงความสนใจเมื่อครู่คือกริชไม่ผิดแน่ พริมาจำใบหน้าและเสียงเขาได้แม่น อินทัชเองก็น่าจะประจักษ์ความจริงข้อนี้เช่นกัน
“ถ้าตัดสิทธิ์พวกเราไป งานนี้คงกร่อยน่าดู…” ประโยคถัดมาหาใช่เสียงของกริช
แต่เป็นเสียงทุ้มลึกของผู้ชายอีกคนที่เพิ่งก้าวมาสมทบแล้วหยุดตรงธรณีประตู ทำเอาพริมาได้ยินแล้วถึงกับชะงักงัน นั่นเพราะเธอจำเจ้าของเสียงได้ดี แม้วันเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม
ยิ่งตอนเขาคนนั้นค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดเผยดวงตาหยามโลก ส่งข้อความทักทายถึงเธอโดยตรง ยิ่งทำให้พริมาอึ้งค้างราวกับหยุดหายใจ รู้สึกได้ถึงดวงตาเบิกกว้างทั้งสองข้างของตัวเองขณะจ้องมองผู้มาใหม่ล่าสุดอย่างเต็มตา
ไม่ได้เจอเป็นสิบปี ดูเธอมีความสุขดีนี่พริมา…
ริมฝีปากของพริมาเริ่มสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีวันตีความผิดแน่ เขาประชดประชันด้วยข้อความผ่านดวงตาคมฉาน เชือดเฉือนใจเธออย่างนิ่มนวล ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวลึกๆ ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
“เรามาเริ่มกันเลยนะครับ” น้ำเสียงราบเรียบของเขาขณะเอ่ยกับผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เคลือบด้วยนัยแอบแฝงจนพริมาไม่กล้าถอดความ…ว่าเขาหมายถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งใดกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวรู้แน่ในตอนนี้คือเสียงสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกอย่างแรงของอินทัช พริมาหันไปมองใบหน้าคมคายที่บัดนี้เผือดสีลงทันตา เนื้อตัวของเขาสั่นเทา กรามขบแน่นราวกับพยายามควบคุมสติอย่างยากเย็น เป็นไปได้ไหมว่าอินทัชกำลังไม่พอใจหลังเห็นกริชปรากฏกาย
ทว่าเป้าสายตาของอินทัชกลับไม่ใช่ผู้ชายที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับเพียงแพร…
แต่เป็นฌานนท์…คนจ้องเขม็งมาที่เธออย่างชิงชัง!
ในวังวนแห่งความหลัง วาริศคิดว่าช่างเป็นเรื่องน่าขันปนอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อเห็นนักโฆษณาสังกัดเอเจนซี่แอดดิกต์ที่เขา ‘รู้จักดี’ ถึงสามคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องประชุมนี้
คนแรกคือ ‘ศักดา’ การพบกันระหว่างเขากับเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวคราวนี้อาจไม่ตื่นเต้นเหมือนวันที่เขาเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเป็นวันแรก วาริศยังคงจดจำใบหน้าซีดเผือดของศักดาในวันนั้นได้ดี และรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างยิ่ง…เสียใจที่น่าจะสั่งให้เมสเซนเจอร์ขนพวงหรีดไปมากกว่านั้นสักสิบเท่า เอาไว้คราวหน้าเขาจะคิดให้รอบคอบกว่านี้ก็แล้วกัน วาริศบอกตัวเองเช่นนั้น จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายภายหลังกับสิ่งที่เลยผ่านไป
ส่วนคนที่สองไม่ใช่ใครที่ไหน…เพื่อนเก่าของเขาเอง วาริศไม่ได้เจอ ‘อินทัช’ มาสักหนึ่งปีเห็นจะได้ ดูสีหน้าอินทัชตอนนี้สิ คงดีใจน่าดูที่เห็นเขาปรากฏตัวต่อหน้า ให้ตายเถอะ…นี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกเลยหรือ
วาริศยังคงจำวันแรกที่พบอินทัชได้ดี ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญจงใจหรือโชคชะตาลิขิตไว้ให้เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่ฝันอยากเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์สองคนและต่างมีพ่อเป็นนักโฆษณา…นั่งเรียนวิชาออกแบบโฆษณาในห้องเดียวกันที่นิวยอร์ก
สารภาพตามตรง ในตอนนั้นวาริศไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านคนนั้นจะเป็นลูกของศักดา
จนกระทั่งวันหนึ่งวาริศเก็บกระเป๋าหนังฟอกฝาดใส่เอกสารบนสนามหญ้าเขียวชอุ่มตาภายในมหาวิทยาลัยได้ จึงถือวิสาสะเปิดค้นเอกสารระบุตัวตนก่อนนำส่งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศหาคนเป็นเจ้าของ
ทว่าวินาทีที่ได้เห็นชื่อบนหนังสือเดินทาง…หัวใจวาริศกลับพองโตอย่างประหลาด เขาบอกตัวเองชัดว่าต้องเป็นคนคืนกระเป๋าถึงมืออินทัชให้ได้ จะได้รู้กันไปข้างว่าอินทัชเป็นญาติฝ่ายไหนของศักดากันแน่
หลังจากนั้นวาริศกับอินทัชก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาเคยเลียบๆ เคียงๆ ถามอินทัชเหมือนกันว่าที่บ้านทำอาชีพอะไร อินทัชจึงเล่าให้ฟังว่ามีพ่อเป็นสุดยอดนักโฆษณาของเมืองไทย
‘เคยได้ยินชื่อนี้มั้ย…ศักดา เจนนุรักษ์’
วาริศจึงตอบไป ‘รู้จักสิ พ่อแกเป็นไอดอลของฉันเลยนะเว้ย’
ยิ่งวาริศกับอินทัชถลำลึกสู่ห้วงบทสนทนามากเท่าไหร่ อินทัชยิ่งเปิดใจเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อให้วาริศฟังมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นเรื่องราวของพ่อผู้เอาแต่ใจ อยากเห็นลูกเด่นดังเหมือนตัวเอง โดยไม่ได้ดูศักยภาพของคนเป็นลูกเลยว่ามีความสามารถมากพอในการออกไปสู้รบกับคนอื่นหรือไม่
อินทัชไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร เขามีความสนใจงานสร้างสรรค์โฆษณาก็จริง แต่ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนที่วาริศมี อินทัชมักจะขอให้วาริศช่วยวิจารณ์งานโฆษณาอย่างตรงไปตรงมาบ่อยครั้ง และไม่ลืมยกยอว่าวาริศเป็นนักศึกษาสาขาโฆษณาที่เก่งที่สุดในรุ่น เรื่องนี้วาริศพอจะยอมรับได้ เพราะเมื่อดูคะแนนผลงานแต่ละชิ้นแล้ว เขาทำออกมาได้ดีที่สุดในชั้นปีจริงๆ
วาริศถามพ่อในใจ…ป่านนี้พ่อคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงยอมสนิทสนมและช่วยเหลืออินทัชโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เพราะความจริงแล้ว…นี่คือสิ่งเดียวที่วาริศพอจะทำให้อินทัชได้ ขณะรอเวลาอันเหมาะสมในการตีตัวออกห่าง ก่อนจะค่อยๆ เผยธาตุแท้ให้อินทัชเห็นว่าจริงๆ แล้วคนอย่างวาริศไม่เคยเห็นเขาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าอินทัช มันพานให้วาริศนึกถึงใบหน้าของศักดาเสมอ
ใช่ เขารู้ดีว่าอินทัชไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อินทัชก็ไม่ควรปัดความรับผิดชอบที่มีพ่อเลวๆ อย่างศักดา ที่สำคัญ…วาริศไม่ได้ขออะไรมาก ขอแค่อินทัชมีชีวิตอยู่ร่วมว่ายเวียนในวังวนความแค้นข้นของเขาต่อไป
…เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
คนสุดท้าย… ‘พริมา’
วาริศมีโอกาสรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอในวันที่ตัวเองโดนตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ลูกขี้ขโมย!’
มีคนเคยพูดไว้ว่าหากวันใดเราเจอสถานการณ์เลวร้าย อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าใครคือคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างเรา และใครคือคนที่พร้อมจะทิ้งเราไปได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่าพริมาจัดอยู่ในคนกลุ่มหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอสอนให้เขารู้ว่าอย่าได้หลงไว้ใจใครง่ายๆ ไม่เช่นนั้น…เขาอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!
เวลาเพียงน้อยนิดก่อนเริ่มนำเสนองานโฆษณาต่อหน้าผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์นั้นมากพอสำหรับการขุดหลุมความทรงจำเลวร้ายของเช้าวันหนึ่งที่ลานหน้าเสาธงโรงเรียน
ในตอนนั้นวาริศเกลียดเพื่อนร่วมชั้นเหลือทน ขณะที่ปากพร่ำท่องบทสวดมนต์ สายตาพวกมันกลับจดจ้องมาที่เขา…
พร้อมแล้วสำหรับการสวมบทเป็นผู้พิพากษา
‘ไอ้-ลูก-ฆาตกร!’
เจ้าของน้ำเสียงเยาะหยันคนเดิมโพล่งขึ้นขณะแยกย้ายขึ้นชั้นเรียน เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนครั้งที่มันเคยตราหน้าเขาว่าเป็นไอ้ลูกขี้ขโมย ยกเว้นใจความและน้ำเสียงที่รุนแรงขึ้น
ในตอนนั้นวาริศพยายามข่มความรู้สึกโกรธอย่างถึงขีดสุด ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ระบุชัดว่าพ่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยเท่านั้น แต่พวกมันกลับสรุปกันเสร็จสรรพว่าพ่อเป็นฆาตกร และเขาซึ่งเป็นลูกของพ่อก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกฆาตกร!
‘พ่อแกนี่อำมหิตจริงๆ ว่ะ ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ’
เขาเกลียดทุกครั้งที่ปอนด์แย้มริมฝีปาก ไม่เคยมีเรื่องดีๆ หลุดออกมาจากปากมันเลยสักครั้ง
‘คนที่ตายไปเขาเป็นคนชุบเลี้ยงพ่อแกจนได้ดิบได้ดีเป็นครีเอทีฟระดับยอดฝีมือของวงการนี่ ถามจริง…พ่อแกอยากได้บริษัทเขาจนตัวสั่นเหมือนอย่างที่ข่าวเขียนไว้รึเปล่า พอเขาไม่ให้ก็ลงมือฆ่ากันเลยเหรอ แม่งน่ากลัวฉิบหาย’
เขานับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างช้าๆ แสร้งทำเป็นหูทวนลม
‘แหม ทำเป็นนิ่ง ทีคราวก่อนมันยังชกกูอยู่เลย สงสัยครั้งนี้จะยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงว่ะ’ ปอนด์หันไปเอ่ยกับพวกของมัน เสียงหัวเราะนั่นทำเขาแทบคลั่ง ได้แต่บอกตัวเองว่าในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง อย่าได้ชิงตอบโต้ใครทั้งสิ้น
‘ไอ้ฌาน มึงแม่งหนีความจริงไม่พ้นหรอกเว้ยว่าพ่อมึง…เป็นฆาตกร!’
พรรคพวกที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้นิ้วสะกิดปอนด์ให้รู้ตัวทันทีที่เขาหันขวับจ้องมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
สนุกนักหรือ การได้ป่าวประกาศว่าพ่อคนอื่นเป็นฆาตกรเป็นเรื่องสนุกนักหรือ หากตอนนั้นเขามีมีดในมือ คงวิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ปลายมีดปักเข้าที่อกซ้าย แล้วค่อยๆ กรีดจากอกจนถึงท้องอย่างช้าๆ ให้เลือดคนปากพล่อยไหลหลากจนหมดตัว เขาเลือดเย็นกว่าที่พวกมันคิดไว้เยอะ ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ไม่มีมีดในมือ
‘มองกูแบบนี้ ในใจมึงคงกำลังฆ่ากูให้ตายคามือเหมือนอย่างที่พ่อมึงฆ่าคนอื่นอยู่สิท่า น่ากลัวจังเลย จริงมั้ยวะพริม’ ปอนด์หันไปถามพริมาที่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นเผือดสีทันควัน ริมฝีปากสั่น ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น
ตั้งแต่วันที่เรื่องของพ่อเขาตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับและโทรทัศน์ช่องหลัก เขากับพริมาก็ไม่ได้คุยกันเป็นเดือน เพราะพ่อของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย พริมาหลุบตามองพื้นทันทีเมื่อเห็นสายตากระด้างของเขา ปอนด์ก้าวเข้าไปหาพริมา เท้าแขนบนไหล่บางของร่างระหง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวังดีระคนเยาะหยัน
‘พริม แกต้องระวังให้ดีนะเว้ย วันดีคืนดี ไอ้ฌานมันอาจจะฆ่าแก เหมือนอย่างที่พ่อมันฆ่าคนในข่าวก็ได้ แถมเรื่องนี้พ่อแกยังมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไอ้ฌานมันไม่ปล่อยแกไว้แน่’
พริมาค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง แววตาของเธอนั้นหลากหลายจนเขาไม่แน่ใจนักว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่
สับสน…กลัว…
หรือว่าเกลียดชัง!
ในตอนนั้นเพียงแพรเป็นคนเดียวที่ปรารถนาดีต่อเขาไม่เสื่อมคลาย เธอพยายามดึงเขาออกมาจากจุดนั้น แต่เขาขืนข้อมือไว้ แล้วจ้องกลับทุกสายตาที่ยังคงยืนล้อมวงมองเขาเหมือนสัตว์ประหลาด
ใครทำอะไรไว้ จำไว้ให้ดีก็แล้วกัน
เพราะเขาจะกลับมาเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ตั้งตาดูไว้ได้เลย!
“สงสัยใช่มั้ยครับว่าเราสองคนเอากระเป๋าเดินทางกับเก้าอี้ชายหาดมาด้วยทำไม แล้วมันเกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ยังไง…”
ร่างสูงหันไปนำเสนองานโฆษณากับทีมผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ทันทีที่กริชพยักหน้ายืนยันความพร้อม รอยยิ้มอ่อนน้อมของเขาพานกระตุกหัวใจพริมาหล่นวูบ เมื่อสัมผัสได้ว่าเขาให้สัญญาณนกหวีดเริ่มเกมลับลวงพรางอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจคาดเดากติการวมถึงผลแพ้ชนะได้
“คำตอบก็คือ…กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการดึงมาใช้บริการมากที่สุดคือกลุ่มนักท่องเที่ยวนั่นเองครับ ดังนั้นรถไฟฟ้าที่ทำหน้าที่แค่ย่นระยะเวลาการเดินทางสู่กลางใจเมืองก็เป็นได้แค่รถไฟฟ้าเท่านั้น…” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มลึกวาดลีลาโน้มน้าวทีมผู้บริหารให้เชื่อในความคิดของเขาอย่างเต็มที่ “แต่ถ้ารถไฟฟ้าหรือสถานีรถไฟฟ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาล่ะ แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยครับ ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าภายในสถานีเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ คอนเสิร์ต เดี่ยวไมโครโฟน มุมถ่ายภาพเจ๋งๆ หรือแม้แต่มุมนั่งพักผ่อนสุดชิลแบบนี้…”
กริชซึ่งกำลังนั่งชิลบนเก้าอี้ชายหาดเริ่มบรรเลงท่อนอินโทรทำนองเพลงคุ้นหูด้วยกีตาร์โปร่งเสียงใสกังวาน มีเขาคนนั้นคอยสอดประสานเสียงร้องเพลงเที่ยวละไมของวงเฉลียง ขับกล่อมอารมณ์ผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ให้เคลิบเคลิ้ม
“เที่ยวไปตามตะวัน บุกบั่นไปตามลม สนุกสุขสม หัวใจหงายคว่ำ ชีพที่ยาวนาน หรือสั้นแต่เพียงคำ เอาตูดแช่น้ำแล้วเดินต่อไป เพื่อเสาะหานภาคลุมครอบ สายลมคงรอบไว้ สายใจไหลลู่สู่สวรรค์…”
“พอจะมองเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับว่าบรรยากาศแบบนี้จะช่วยให้สถานีรถไฟฟ้าของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์น่าเที่ยวมากขนาดไหน แค่นี้ก็สามารถดึงดูดทั้งคนไทยและต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการได้มากขึ้นแล้วครับ ดังนั้นไอเดียของแอคต์แพลเน็ตก็คือ อยากจะเสนอให้มีการปรับโฉมสถานีรถไฟฟ้าอย่างน้อยสองสถานี โดยเฉพาะสถานีต้นทางกับสถานีปลายทาง ยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ให้สมกับที่กรุงเทพฯ…เป็นสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวระดับโลก”
ไม่ถึงห้านาทีที่เขาเริ่มนำเสนอรายละเอียดแผนงานโฆษณาด้วยซ้ำ พริมารู้สึกได้ถึงความอื้ออึงภายในหูทั้งสองข้าง ความเครียดแผ่ซ่านไปทั่วร่างชนิดไม่อาจควบคุมไหว สิ่งเดียวที่พริมาสัมผัสได้คือท่วงท่าการนำเสนอที่เป็นธรรมชาติราวกับทุกคำพูดของเขานั้นพรั่งพรูออกมาเองโดยไม่ต้องอาศัยการเตรียมการหรือซักซ้อมแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือสิบปีก่อน เธอมักอิจฉาพรสวรรค์ด้านการเล่าเรื่องรวมถึงความสามารถในการโน้มน้าวใจคนของเขาเสมอ
พริมาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเห็นวิวัฒน์…กรรมการผู้จัดการคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ลุกขึ้นปรบมือให้กับการนำเสนอแผนงานโฆษณาของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตด้วยสีหน้าและแววตาพออกพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะเริ่มยิงคำถามด้วยท่าทีสนอกสนใจไม่ยั้ง แน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นใช้ปัญญาและลีลาการตอบคำถามน่าฟังหว่านล้อมด้วยความน่าจะเป็นมากมายจนวิวัฒน์และลูกทีมไม่รู้จะถามสิ่งใดต่อ
พริมาหันไปมองอินทัช งานหนักตกมาอยู่ที่เธอและเขาซึ่งต้องออกไปนำเสนอแผนงานโฆษณาต่อจากแอคต์แพลเน็ตที่ทำไว้ดีมาก หญิงสาวเห็นชัดว่าใบหน้าของอินทัชซีดเผือดเหมือนตกตะลึงไม่หาย คล้ายเฝ้าถามตัวเองว่าชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของวาทศิลป์แยบคายนั้นเป็นใคร
และมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
กระทั่งเวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมง การนำเสนอแผนโฆษณาของทั้งสามเอเจนซี่ก็สิ้นสุดลง วิวัฒน์บอกกับทุกคนในห้องว่าขอเวลาประชุมกับผู้บริหารอีกสองคนเพื่อหาข้อสรุปว่าเอเจนซี่ไหนจะคว้างานนี้ไปครอง
พริมาเห็นร่างสูงของผู้ชายคนนั้นกำลังเดินนำกริชและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง หลังธนาบอกให้ลูกทีมไปนั่งรอที่ห้องรับรองของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต เธอจึงรีบก้าวฉับเข้าไปใกล้ร่างสูงทันที ส่งสายตาเผยคำถามต่างๆ นานา หวังให้เขารับรู้ว่าเธอทั้งตกตะลึงและประหลาดใจเพียงใดเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าเธอนาทีนี้ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ก่อนจะเดินผ่านเธอไปราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนพริมาต้องค่อยๆ กลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากเย็นเมื่อเห็นปฏิกิริยาเมินเฉยของคนเคยมีอดีตร่วมกัน
“ไอ้พริม ไปกันเว้ย”
พริมาได้ยินเสียงของวอแวเรียกให้ไปที่ไหนสักแห่ง ทว่าผ่านไปหลายอึดใจทีเดียวกว่าเธอจะถามกลับว่า “ไปไหน” เหมือนคนสติหลุดลอย
“นี่ก็อีกคน…แกกับไอ้แทนเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึงดูอึ้งๆ เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ข้อสังเกตของชินทรฉุดความสนใจของพริมาไปที่ใบหน้าอินทัชอีกครั้ง เธอเห็นเขาค่อยๆ หลับตา เลียริมฝีปากแห้งผาก สูดหายใจและผ่อนออกแรงแล้วลุกพรวดออกไปจากห้องประชุมทันที ส่วนจะไปหลบที่ใดนั้น พริมาไม่อาจหยั่งรู้ได้
คุณศักดามองตามแผ่นหลังลูกชายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเบนสายตาพญาเหยี่ยวมาที่พริมาอย่างผิดหวัง เขาคงอยากถามเธอและอินทัชเต็มทนว่าเป็นอะไรไป ทำไมตอนนำเสนองานโฆษณา…มือไม้และปากของเธอกับอินทัชถึงได้สั่นราวกับเจ้าเข้าขนาดนั้น ทุกอย่างที่ทั้งทีมสู้อุตส่าห์อดหลับอดนอนตระเตรียมช่วยกันมา กลับถูกอินทัชและพริมาทำพังต่อหน้าต่อตา เมื่อคิดได้เช่นนั้น ขาทั้งสองข้างของพริมาพานไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ ความรู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนเป็นอย่างนี้นี่เอง ดีที่เธอยังเกาะขอบพนักเก้าอี้ไว้แน่น นานทีเดียวกว่าหญิงสาวจะก้าวพ้นห้องประชุมสำเร็จ ผิดกับคนอื่นๆ ที่เดินลับตาไปแล้ว
ทว่าทันทีที่เสียงประตูห้องรับรองห้องใกล้ที่สุดถูกเปิด ตามด้วยเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง…จังหวะก้าวอันแสนเนิบช้ากระตุกความสนใจของพริมาจนต้องเงยหน้ามองร่างสูงเจ้าของแว่นกันแดดบนกรอบหน้าชวนมองอย่างเต็มตา เขาจงใจเดินผ่านเธอไป ไร้ซึ่งคำทักทาย สะกิดต่อมความรู้สึกผิดระลอกใหญ่ในใจเธอ
“ฌาน!”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ชำเลืองมองเธอด้วยหางตาคล้ายไม่แยแสแล้วเดินหน้าต่อ พอเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะหยุด พริมาจึงฮึดก้าวยาวเข้าไปคว้าข้อมือหนาของเขาไว้ เรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฌาน…ฌานใช่มั้ย”
“คุณเรียกผมว่าไงนะ”
“ฌาน…ฉันเรียกคุณว่าฌาน” ริมฝีปากเล็กสั่นสะท้าน
“คุณจำผิดคนแล้วล่ะ” เขาดึงข้อมือตัวเองกลับเต็มแรงจนพริมาเซ น้ำเสียงเย็นเยียบปนราบเรียบของเขาทำเอาพริมาชาวาบไปทั่วร่าง อึ้งจนพูดไม่ออก ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด นี่เขาจะปฏิเสธตัวตนไปเพื่ออะไรกัน
หรือเป็นเพราะเขายังโกรธเธออยู่
“ฌาน…ฟังเราก่อน เราแค่อยากจะขอโทษเรื่อง…”
“นี่ ฟังนะ…”
พริมานิ่งไปเมื่อเห็นเขาถอดแว่นกันแดด นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้เห็นนัยน์ตาคมฉานระยะประชิดเช่นนี้ เธอจะลืมดวงตาคู่ตรงหน้าลงได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบปี
ทว่าน้ำเสียงราบเรียบที่ดูไม่ยี่หระต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกกลับดังก้องในโสตสัมผัส “…อย่างแรก ผมไม่ได้ชื่อฌานอะไรนั่น และอย่างที่สอง ผมกับคุณ…เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“…”
“เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น หญิงสาวงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก นี่เขากำลังล้อเธอเล่นใช่ไหม
ทว่าร่างสูงไม่สนใจอธิบายคำใดเพิ่ม เขาผละจากพริมาที่ยืนตัวชาจนก้าวขาไม่ออก หญิงสาวทำได้แค่ค่อยๆ หันไปมองแผ่นหลังของเขาขณะไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วเอ่ยความรู้สึกอัดอั้นมานานออกไป หวังให้เสียงและความในใจเหล่านั้นดังไปถึงเขา
“สิบปี…สิบปีมาแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเพื่อนคนนั้น ถ้าฉันได้เจอเขาอีกสักครั้ง ฉันอยากจะบอกเขาว่าฉันขอโทษ ขอโทษกับทุกๆ เรื่อง ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับเขาไว้มาก…มากจนให้อภัยตัวเองไม่ได้”
ฝีเท้าของเขาชะงักกึกในทันใด ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเธออีกครั้ง ทว่าสายตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนไป…จากเรียบเฉยกลับกลายเป็นแข็งกระด้าง
“ขอโทษนะ ผมไม่ได้มีเวลามาฟังคุณคร่ำครวญถึงอดีตของคุณกับคนที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ ผมว่าผมบอกคุณชัดแล้วนะว่าคุณกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ใช่เพื่อนคนนั้นของคุณ เพราะฉะนั้น…หยุดพล่ามเสียที”
“ฉันไม่มีทางจำผิดแน่!” พริมายืนยัน แต่เขากลับถอนหายใจยาวยืด
“ในเมื่อคุณยืนกรานขนาดนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
“คุณคือฌาน…ฌานนท์ ศิริธาดา ฉันจำแววตาคุณได้ ถึงเวลาจะผ่านไปกี่สิบปี ถึงคุณจะพยายามปกปิดมันแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันลืมคุณได้…”
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ชื่อของผมคือวาริศ อิสรา ไม่ใช่ฌานนท์อะไรนั่นที่คุณกำลังยัดเยียดให้ผมเป็น อ้อ…แล้วก็จำไว้อีกอย่างด้วยนะว่าผมกับคุณเจอกันที่นี่เป็นครั้งแรก”
“…”
“เราสองคน…ไม่เคยมีอดีตร่วมกัน”
บทที่ 7
ตัวละครลับ
สิ้นเสียงวิวัฒน์ประกาศผลการแข่งขันพิตช์งานโฆษณา ใบหน้าของธนาพลันระรื่นขึ้นทันตา ต่างจากศักดาซึ่งพยายามฝืนยิ้มแสร้งยินดีแก่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดพล่านเมื่อพบว่าไม่อาจต้านทานความพ่ายแพ้ได้ นัยน์ตาพญาเหยี่ยวฉายชัดว่ารู้สึกเจ็บใจเพียงใด แต่จำต้องเก็บกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้ แล้วเดินไปขอบคุณวิวัฒน์กับพงษ์เทพและผู้บริหารอีกคนหน้าเวทีที่เชิญเอเจนซี่แอดดิกต์มาร่วมแข่งขันในวันนี้
อินทัชรู้ดีว่าพ่อคาดหวังกับผลการแข่งขันครั้งนี้มากเพียงใด ถึงขั้นต่อสายหาพงษ์เทพเพื่อขอนัดทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารหรูแห่งหนึ่ง พร้อมมอบ ‘กล่องขนมเค้ก’ รสชาติหอมหวานให้เจ้าของตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์กลับไปทานต่อที่บ้าน แต่สุดท้าย…ผลการแข่งขันกลับพังไม่เป็นท่า ในใจของพ่อคงเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ คอยเวียนวน ยากเหลือทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มไม่อาจควบคุมความรู้สึกแน่นหน้าอกได้เลย เขาหลับตาลงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน แต่กระแสความคิดของเขากลับไม่เชื่อฟัง ย้อนศรไปยังช่วงบ่ายสองโมงของวันนั้นจนได้
ในตอนนั้นเขาปลีกตัวจากผู้คนในแผนกครีเอทีฟ หลบมาอยู่ที่ห้องประชุมย่อยคนเดียวตั้งแต่ทานมื้อเที่ยงเสร็จ หมายเค้นไอเดียโฆษณารถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ให้ได้ อินทัชใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในห้องนั้น บีบคั้นทุกอย่างที่มีอยู่ออกมาจนสารเคมีในสมองฟ้องว่าเขากำลังเหนื่อยล้า จึงตัดสินใจเก็บรวบรวมกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความและภาพร่างต่างๆ เตรียมออกไปจากห้อง แต่มือขวาของเขาดันปัดไปโดนกล่องเก็บอุปกรณ์วาดเขียนร่วงลงพื้น ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มลงเก็บปากกาหลากสีที่นอนเกลื่อนใต้โต๊ะยาวรูปทรงตัวยู
ทว่าจังหวะกำลังตั้งท่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อินทัชพลันได้ยินเสียงร้อนรนปนกังวลของคนเป็นพ่อขณะผลักบานประตูเดินเข้ามาในห้อง
นาทีนั้น…เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงนิ่งงันในท่านั่งชันเข่าข้างหนึ่งเช่นนั้น แถมยังกลั้นหายใจราวกับอยากจะหายตัวไปจากห้องนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าพ่อ และพ่อเองก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขาเช่นกัน โชคดีเหลือเกินที่ใต้โต๊ะนั้นเป็นมุมอับ พ่อจึงไม่ทันสังเกตเห็นการมีตัวตนอยู่ของลูกชายภายในห้อง
แต่สิ่งที่อินทัชได้ยินจากบทสนทนาระหว่างพ่อกับเจ้าของเสียงคุ้นหูอย่างพี่ตระการที่เพิ่งเดินตามเข้ามา กลับเปลี่ยนเขาเป็นตะลึงค้างราวกับถูกตอกตะปูตรึงทั้งร่างไว้กับพื้น ไม่อาจย่างกรายไปไหนได้
‘ส่งกล่องขนมไปให้พงษ์เทพแล้วใช่มั้ย’
‘ครับ’
‘แล้วพงษ์เทพว่าไง’
‘คุณพงษ์เทพบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แอดดิกต์ได้งานนี้แน่นอนครับ’
‘ดี…ค่อยคุ้มกับ ‘ค่าขนม’ ที่จ่ายไปหน่อย’
‘แต่คุณศักดาครับ…ผมว่าเจ้าแทนเองก็เป็นคนมีความสามารถ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย…’
‘แต่ฉันต้องการความมั่นใจ’ น้ำเสียงแหบพร่าสวนทันควัน ‘แทนมันเป็นลูกฉัน ฉันรู้ดีว่ามันอยู่ระดับไหน’
พอได้ยินเช่นนั้นหัวใจของอินทัชพลันแหลกสลายจนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ทำไม…ทำไมเขาต้องเกิดมาเป็นลูกคนเก่งๆ อย่างพ่อ ทำไมพ่อต้องทำให้เขาเกิดมาด้วย ในเมื่อไม่เคยคิดจะมั่นใจในตัวเขาเลยสักครั้ง
วาริศอีกคน…ทำไมหมอนั่นต้องโผล่หัวมาในเวลาแบบนี้
นิวยอร์กคือที่ของหมอนั่นไม่ใช่หรือ เขาอุตส่าห์หนีจากที่นั่น โกหกตัวเองว่าเหตุผลของการบินกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นเพราะบัญชาของคนชื่อศักดาแล้วแท้ๆ แต่วาริศก็ยังตามมา อินทัชรู้ดีว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าต้องการหนีให้พ้นเงาของหมอนั่นที่คอยบดบังเขาอยู่เสมอ
ตลอดทางกลับเอเจนซี่แอดดิกต์ อินทัชไม่อาจสลัดความคิดเกี่ยวกับพ่อและวาริศออกไปได้เลย เขาตระหนักซึ้งถึงแรงกระเพื่อมจากทั้งสองคนที่ส่งตรงมาถึงเขา ไม่ว่าจะออกแรงเสียดทานสักเพียงใดก็ไม่อาจต้านอำนาจครอบงำจิตใจที่เต็มไปด้วยแผลช้ำในของเขาได้
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
น้ำเสียงเย็นเยียบของพ่อฉุดเขาตื่นจากภวังค์ อินทัชหันไปมองคนอื่นๆ ในทีม…พี่ตระการ วอแว และชินทรโค้งศีรษะรับคำสั่งพ่อเขาแล้วเดินออกจากล็อบบี้ของเอเจนซี่ตรงไปที่ห้องทำงานแผนกครีเอทีฟทันที รวมถึงพริมาซึ่งก้าวตามไปเป็นคนสุดท้าย
“ยกเว้นแทนกับพริม…ตามฉันมาที่ห้อง”
พ่อตวัดนัยน์ตาเหยี่ยวมาที่เขา ก่อนจะกระแทกส้นรองเท้าหนังลงบนขั้นบันไดมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานบนชั้นสองราวกับขัดใจ อินทัชกับพริมาทำได้เพียงเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม ในตอนนั้น…ชายหนุ่มอยากรู้เหลือเกินว่าก๊อปปี้ไรเตอร์สาวจะมีสีหน้าเช่นไรจึงค่อยๆ หันไปมอง กระทั่งพบว่าแววตาของพริมาเต็มไปด้วยความกังวล ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาและเธอ
“เป็นไง ผิดหวังล่ะสิ…”
พ่อทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังสีดำขลับทันทีเมื่อถึงห้องทำงานคลุมโทนสีดำน่าเกรงขาม อินทัชได้แต่ยืนคอตกหน้าโต๊ะทำงาน จึงไม่รู้ว่าพริมาเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขา
พอเห็นเขาและคู่หูไม่ยอมตอบคนเป็นทั้งนายและพ่อจึงพูดจาแดกดันต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ฉันเองก็ผิดหวังเหมือนกัน…อุตส่าห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันทั้งอาทิตย์ แต่พอขายงานไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากขยะ พอจะบอกได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเธอสองคนถึงพรีเซนต์ไม่ได้เรื่อง จนแอดดิกต์ต้องแพ้อย่างทุเรศแบบนี้!”
อินทัชสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกอย่างแรง เขาช้อนสายตามองพ่อ ในใจอัดแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย พ่อเอาแต่โทษเขาได้อย่างไร นี่ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าได้ทำลายความมั่นใจของเขาจนพังยับเยิน ทั้งที่เขาสู้อุตส่าห์กู้มันกลับมาได้หลังโดนใครบางคนทำลายไปแล้วที่นิวยอร์ก
“พริมขอโทษค่ะ พริมสัญญา…ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“อย่างงั้นเหรอ” ศักดาทำเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงเยาะคล้ายไม่อยากเชื่อ “มันไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ” น้ำเสียงข่มขวัญกับแววตาคุกรุ่นของพ่อทำเอาคู่หูสาวของเขาละล่ำละลักเสียงสั่น
“พริม…ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
ยิ่งอินทัชคิดถึงตอนพรีเซนต์บนเวทีต่อจากเอเจนซี่แอดดิกต์ เขายิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองจนไม่น่าให้อภัย ทั้งๆ ที่พยายามข่มใจไม่ให้นึกถึงเรื่องที่พ่อส่งกล่องขนมหวานไปให้พงษ์เทพแล้วแท้ๆ แต่การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของวาริศกลับทรงอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการควบคุมร่างกายและจิตใจของเขาอย่างรุนแรง นาทีนั้น…เขาพยายามข่มกลั้นความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายเขาต้องพ่ายให้กับคนอย่างวาริศอีกครั้ง
เดี๋ยวนะ จะว่าไป…ตอนที่เขาและพริมาขึ้นพรีเซนต์ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่สั่นไปทั้งร่างเหมือนเจ้าเข้าอย่างที่พ่อตำหนิ
แต่ยังมีพริมา…ซึ่งเขามั่นใจมากว่าไม่น่าจะใช่เพราะความตื่นเต้นระคนประหม่าอย่างแน่นอน
หรือว่าเธอ…จะรู้จักวาริศ
“กลับไปทำงานได้แล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉียบของพ่อขัดจังหวะความคิดของเขา “ไปทบทวนให้ดีว่าตัวเองทำอะไรผิด แล้วก็จำใส่หัวไว้ซะ!”
พ่อพูดจบก็หมุนเก้าอี้มองออกไปนอกหน้าต่างทันทีราวกับไม่อยากเห็นหน้าเขากับพริมาอีกต่อไป อินทัชจึงทำได้แค่หันมาสบตาพริมา ส่งสัญญาณว่าเขาและเธอควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลังจากนั้น อินทัชและพริมาก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย ต่างคนต่างนั่งทำงานที่โต๊ะใครโต๊ะมันจนเวลาล่วงถึงช่วงแดดร่มลมตก อินทัชจึงตัดสินใจปลีกตัวตรงไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารสำนักงาน มองเห็นแสงตะวันย้อมสีท้องฟ้าจนเป็นส้มอ่อน ชายหนุ่มได้แต่ตัดพ้อโชคชะตาในใจที่ชักพาให้เขากลับมาพบวาริศอีกครั้ง
“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”
อินทัชสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูเปี่ยมความรู้สึกคาใจ เขาหันไปมองพริมา เธอขึ้นมาที่ดาดฟ้าแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ก่อนนิ่วหน้าถามกลับด้วยความฉงนพิกล “คุณหมายถึงใคร”
“ฌาน…เอ่อ ฉันหมายถึง ครีเอทีฟของแอคต์แพลเน็ตที่ชื่อวาริศ”
อินทัชฉุนกึกเมื่อได้ยินชื่อหมอนั่นอีกครั้ง “อยากรู้ไปทำไม”
เธอไม่ตอบ เอาแต่ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น เขาจึงลองหยั่งเชิงถามเธอกลับไปอีกครั้ง “รู้จักหมอนั่นเหรอ”
คราวนี้ดูเธออึ้งไปกว่าเดิม
“หรือว่า…นึกสนใจหมอนั่นขึ้นมา?”
“นี่คุณ…ถ้ารู้จักก็ช่วยบอกฉันดีๆ หน่อยได้มั้ยว่าเจอเขาครั้งแรกที่ไหน แล้วก็เมื่อไหร่”
“ผมไม่มีหน้าที่ตอบคำถามคุณ รู้แล้วนี่ว่าหมอนั่นทำงานที่ไหน อยากรู้อะไรก็ไปถามเอาเองไป”
“…”
“ที่สำคัญ…อย่าพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยินอีก!”
พริมาย่นหัวคิ้วสงสัย ดูเหมือนเธอจะอึ้งหนักกับน้ำเสียงกระด้างจัดของเขาที่ไม่ยอมเปิดช่องให้เธอซักต่อ
ช่วยไม่ได้นี่ เธออยากเป็นฝ่ายเซ้าซี้เขาก่อนทำไมเล่า
ยิ่งเห็นปฏิกิริยาของอินทัช พริมาก็พอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาริศไม่ใคร่จะสู้ดีนัก
ว่าแต่ทั้งสองไปรู้จักกันตอนไหน หรือจะเป็นตอนอินทัชทำงานโฆษณาที่นิวยอร์ก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเพียงแพรจะเคยพบกับคนที่เธอเชื่อหมดหัวใจว่าคือฌานนท์มาก่อน
เหตุผลก็คือเพียงแพรเคยเรียนที่นิวยอร์กและคบหากับอินทัชในฐานะคนรัก ส่วนกริชซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับเพียงแพรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…ก็เคยร่ำเรียนด้านโฆษณาที่มหานครแห่งนั้นเช่นกัน แถมท่าทีระหว่างกริชกับคนที่พยายามบอกเธอว่าชื่อวาริศนั้นยังดูสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน ไม่น่าใช่แค่ครีเอทีฟที่เพิ่งได้ร่วมงานกันแน่นอน เธอสังเกตเห็นตอนพวกเขานั่งคุยกันในห้องประชุมบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ขณะที่ตัวแทนจากเอเจนซี่ไฟน์เดย์กำลังนำเสนองาน
ด้วยเหตุผลและความน่าจะเป็นทั้งหมดทั้งมวล พริมาจึงใคร่ครวญได้ว่าเพียงแพรกับวาริศน่าจะเคยเจอกันในช่วงที่ฌานนท์หายหน้าหายตาไปเป็นสิบปี แต่ที่เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยคือถ้าเป็นอย่างสันนิษฐานจริง ทำไมเพียงแพรถึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
พริมาไม่รอช้า เธอรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรหาเพียงแพรทันที อยากฟังความจริงจากปากเพื่อนเต็มทนว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เพียงแพรกลับไม่ว่างรับสาย ปล่อยให้เธอฟังเสียงสัญญาณรอสายซ้ำๆ ถึงสี่ห้าครั้ง
โชคดีที่พี่ตระการไม่ได้นัดประชุมลูกทีมเพิ่มในช่วงเย็นหลังเลิกงาน พริมาจึงรีบคว้ากระเป๋าเป้คู่กายออกไปจากออฟฟิศ มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งก่อนไปร้านเสื้อปา-รีของเพียงแพรในห้างสรรพสินค้า
ระหว่างทางเดินไปสถานีรถไฟฟ้า หญิงสาวค้นหาที่ตั้งของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตบนจอโทรศัพท์ กระทั่งรู้ว่าพิกัดของเจ้าถิ่นผู้เพิ่งเอาชนะการแข่งขันนำเสนองานโฆษณาเมื่อช่วงเช้าของวันอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าเพียงห้าสถานี ไม่ถึงยี่สิบนาทีรวมระยะเวลาเดินเท้าผ่านถนนสายเล็กเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าและอาหารริมทางสำหรับพนักงานออฟฟิศย่านนั้น พริมาก็มายืนอยู่หน้าโฮมออฟฟิศของแอคต์แพลเน็ตเป็นที่เรียบร้อย
หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ อาณาบริเวณบ้านปูนเปลือยขัดมันสองชั้น พนักงานชายหญิงสามสี่คนหย่อนกายบนม้านั่งยาวตัวเก่าใต้ไม้ใหญ่ดูดบุหรี่อย่างผ่อนคลาย ดูเหมือนบรรยากาศภายในเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตยังคึกคักอยู่ทั้งที่เวลาเลิกงานล่วงผ่านไปนานเกือบชั่วโมงแล้ว ตรงห้องประชุมชั้นบนยังมีคนนั่งถกไอเดียโฆษณากันอยู่…เธอมองเห็นความเคลื่อนไหวเหล่านั้นผ่านหน้าต่างบานกว้าง ส่วนล็อบบี้ออฟฟิศตรงชั้นล่างถูกห้อมล้อมไปด้วยกระจกใสแผ่นหนา พริมาเห็นใครบางคนที่เธอกำลังมองหาได้อย่างชัดเจนแม้ยืนอยู่นอกรั้ว เขากับกริชกำลังนั่งคุยกับผู้หญิงอีกคนตรงเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม
พริมารวบรวมลมหายใจ บอกตัวเองว่าต้องเข้าไปคุยกับเจ้าของร่างสูงผู้ยืนกรานว่าเขาคือวาริศ…หาใช่ฌานนท์อย่างที่เธอยัดเยียดให้รู้เรื่อง แต่พอก้าวเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าของพริมาพลันเปลี่ยนไปเป็นชะงัก เมื่อเห็นกริชโอบกอดและกดจมูกลงบนเส้นผมยาวสลวยของผู้หญิงคนนั้นก่อนผละจากวงสนทนา เธอผู้นั้นหันมายิ้มหวานให้กริช เผยใบหน้าสวยอันแสนคุ้นเคยเต็มสองตาพริมา
นี่มันอะไรกัน?!
พริมาไม่อยากเชื่อเลยว่าสมมติฐานของเธอจะเป็นจริง หญิงสาวพาตัวเองไปหลบที่มุมหนึ่งหน้ารั้วโฮมออฟฟิศทันที ความสงสัยต่างๆ นานาประเดประดังเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์พัดเธอจมหายไปกับวังวนความสับสน
เพียงแพร…เพียงแพรติดต่อกับฌานนท์มาตลอด แต่ไม่ยอมบอกให้เธอรู้อย่างนั้นหรือ
เมื่อนึกได้ว่าไม่ควรยืนนิ่งเหมือนก้อนหินแข็งทื่อ พริมาจึงเรียกสติบอกตัวเองว่าควรทำอะไรสักอย่าง เธอจัดการโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในห้องกระจกนั้น นานทีเดียวกว่าคนคนนั้นจะรับสาย
“อืม ว่าไงพริม”
“แก…ทำอะไรอยู่”
“ฉันยุ่งอยู่น่ะ ที่ร้านลูกค้าเยอะมากเลย”
“ฉันกำลังไปหาแกที่ร้านนะ อีกสิบนาทีน่าจะถึง”
“ว่าไงนะ?!” พริมามองเห็นเพียงแพรสะดุ้ง เหยียดกายนั่งตัวตรง ตกใจกับประโยคบอกเล่าของเธอ “แกจะมาทำไม มีอะไรด่วนรึเปล่า คุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
“อยากคุยแบบเจอหน้ามากกว่า” พริมาบอกความต้องการอันชัดเจน ถ้าฟังไม่ผิด เธอได้ยินเสียงเพียงแพรถอนหายใจคล้ายกลัดกลุ้ม
“เอางี้ ถ้าแกไปถึงร้านแล้วไม่เจอฉันก็นั่งรอก่อนละกัน เพราะตอนนี้ฉันติดธุระต้องออกไปคุยกับสไตลิสต์นิตยสารแฟชั่นก่อน”
“อืม ฉันรอได้” พริมาปั้นเสียงอย่างยากเย็น เพราะทุกอย่างที่เห็นล้วนขัดแย้งกับวาจาของเพื่อนรัก ผู้ชายคนนั่งตรงข้ามเพียงแพรน่ะหรือ…คือสไตลิสต์นิตยสารแฟชั่นที่เธออ้าง “โอเค ไว้เจอกัน”
พริมากดวางสาย ชะโงกหน้าออกจากมุมอับหน้ารั้ว จากที่เห็น…สีหน้าของเพียงแพรดูตื่นตระหนกปนกังวลนิดๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยบางอย่างกับวาริศพลางยื่นซองสีชมพูให้ เขารับซองนั้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เพียงแพรส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่เป็นไร ตามด้วยยิ้มเปี่ยมไมตรีจิตเหมือนมีให้กันมานานกว่าสิบๆ ปี
ยิ่งเพียงแพรมาพบวาริศถึงที่นี่ ยิ่งทำให้พริมามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือฌานนท์ไม่ผิดแน่
ทั้งสองคุยกันต่อไม่ถึงสองนาที เพียงแพรก็ลุกจากเก้าอี้แล้วหยิบกระเป๋าสะพายบนเคาน์เตอร์เดินออกมาจากล็อบบี้ มีวาริศตามมาส่งถึงรถสปอร์ตสีแดงตรงลานกว้างหน้าอาคาร พริมาพยายามเงี่ยหูฟัง เผื่อเพียงแพรจะพลั้งปากเรียกเขาว่าฌานนท์สักครั้ง แต่เพียงแพรกลับไม่หลุดชื่อนั้นออกมาเลยสักคำ
เมื่อเห็นว่าเพียงแพรติดเครื่องยนต์ พริมาจึงรีบก้าวยาวไปหลบตรงมุมหนึ่งของรั้วบ้านหลังข้างๆ เธอรอจนกระทั่งรถยนต์พาเพียงแพรเคลื่อนหายไปจากสายตา ถึงได้จังหวะก้าวออกมาจากมุมลับตา ทว่าร่างสูงของวาริศกลับยืนกอดอกราวกับรอคอยการปรากฏตัวของเธออยู่แล้ว
“คุณ…มาทำอะไรที่นี่” นัยน์ตาคมฉานฉายแววประหลาดใจ
“ฉัน…คือฉัน…”
“มาดักรอผมเหรอ ถ้าอยากเจอทำไมไม่ไปนั่งรอที่ล็อบบี้ล่ะ หรือว่าชอบที่ลับตาคนแบบนี้” แววตาหยันโลกของเขาเริ่มคุกคามเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย”
“งั้นมาทำอะไรกันแน่ อ๋อ หรือว่าเจ้านายคุณสั่งให้มาสืบราชการลับ ด้วยการเข้ามาตีสนิทผม ทำเป็นรู้จักผม ทั้งๆ ที่เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน เอ…หรือว่าเปลี่ยนใจอยากจะมาทำงานที่แอคต์แพลเน็ต ทำไมล่ะ แอดดิกต์เลี้ยงดูปูเสื่อคุณไม่ดีหรือไง”
“ฉันก็แค่…อยากมาถามคุณให้แน่ใจ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่คุณหาว่าผมเป็นคนคนเดียวกับที่ชื่อฌานอะไรนั่นล่ะก็ กลับไปได้เลย ผมจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมกับเขาไม่มีทางเป็นคนคนเดียวกัน!”
“ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมรับว่าคุณคือฌานนท์”
ร่างสูงเบนสายตามองไปทางอื่น เม้มริมฝีปากแล้วคลี่รอยยิ้มอ่านยาก
“ผมไม่มีเวลามากพอให้คุณเล่นสนุกสวมหมวกตัวละครลับบนหัวผมหรอกนะ กลับไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าคมสันเข้าใกล้ ลมหายใจอุ่นจัดของเขารดผิวแก้มเธอจนเกร็งไปทั่วร่าง กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา
“ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะคิดว่าคุณหลงเสน่ห์ผมจนแทบทนไม่ไหว ผมไม่อยากตกเป็นขี้ปากคนในออฟฟิศเท่าไหร่ว่าล่อลวงครีเอทีฟสาวต่างค่ายมาหาถึงที่นี่”
พริมามองเขาด้วยประกายตาขุ่นขวาง เขาใช้วาจาคุกคามปนดูถูกจนเธอแทบทนไม่ไหว หญิงสาวได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ข่มอารมณ์โกรธระคนน้อยใจไว้ภายใน
“ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมรับว่าคุณคือฌานนท์”
วาริศถอนหายใจเมื่อเห็นเธอพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆ “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะผมกับเขา…ไม่มีวันเป็นคนคนเดียวกัน”
“…”
“ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะสำคัญสำหรับคุณมาก ถึงได้ลงทุนมาอ้อนวอนผมถึงที่นี่ แต่น่าเสียดายจริงๆ คุณจำผิดคนแล้วล่ะ”
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคุณปิดบังฉันทำไม”
“จะบอกอะไรให้นะ ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนพูดถึงผู้ชายอื่นต่อหน้าเท่าไร น่าเสียดาย…ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะติดใจผมจริงๆ เสียอีก” วาริศกระตุกยิ้มเยียบที่มุมปาก “กลับไปซะ แล้วอย่ามาวุ่นวายกับผมอีก”
เขาหันหลังให้ทันที ไม่มีแม้กระทั่งคำลา ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นปราดจับหัวใจพริมา ถึงจะอึ้งกับคำพูดเขามากเพียงใด หญิงสาวได้แต่บอกตัวเองว่าไม่มีวันกลับไปมือเปล่าแน่นอน เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกเต็มแรง ก่อนเชิดคางอย่างท้าทาย
“ถ้าอย่างงั้น ช่วยบอกฉันทีได้มั้ยว่าคุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเพียงแพรได้ยังไง”
ร่างสูงชะงักค้าง ก่อนจะหันมาจ้องพริมาด้วยแววตาค้นหา เผยรอยยิ้มเปี่ยมเลศนัย
“รู้อะไรมั้ย ถ้าคุณเป็นโฆษณา…ถือว่าเปิดตัวได้น่าสนใจมาก”
“…”
“ผมชักจะสนใจคุณขึ้นมาซะแล้วสิ”
นอกเหนือจากคุณอาธนากับป้าแหวนแล้ว เพียงแพรถือเป็นอีกคนที่ช่วยวาริศปกปิดอีกหนึ่งตัวตนของเขาเป็นอย่างดี แม้เพื่อนคนนี้จะกังขากับการกระทำของเขามากเพียงใดก็ตาม
เมื่อแน่ใจว่าพริมากลับไปแล้ว วาริศจึงรีบต่อสายถึงเพียงแพรทันทีว่าพริมาตามมาพบเขาถึงออฟฟิศ แล้วดันเห็นเขากับเธอสนทนากันพอดี
ดูเหมือนเพียงแพรจะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเธอกับพริมาไม่เคยมีความลับต่อกัน ยกเว้นก็แต่เรื่องนี้…เรื่องที่เขาตั้งใจขุดหลุมฝังตัวตนนามฌานนท์อย่างเลือดเย็น นาทีนั้น…ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าค่อนข้างเป็นห่วงพอสมควร เขาจินตนาการไม่ถูกจริงๆ ว่าเพียงแพรจะงัดคำลวงใดมารับมือความสงสัยของพริมา แต่ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นว่าเพียงแพรจะผ่านทุกคำถามของผู้หญิงคนนั้นได้…ไม่ยากเย็น
เพียงแพรปล่อยให้วาริศนั่งจมในหลุมบ่อแห่งความกังวลไม่ถึงชั่วโมงก็โทรศัพท์กลับมาหาเขา บอกเล่าว่าพริมาโผล่ไปหาเธอที่ร้านเสื้อในห้างสรรพสินค้าจริงๆ พร้อมคาดคั้นถามถึงเรื่องเขาไม่หยุด
‘เราก็เลยเล่าให้พริมฟังว่าตอนไปเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์ที่นิวยอร์ก ได้เจอแกครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกับที่พริมมันรู้สึก และเราก็พยายามเซ้าซี้ถามแกอยู่เป็นเดือนๆ จนรู้ว่าแกกับฌานนท์ก็แค่คนหน้าเหมือนกันเท่านั้น’
‘ไม่รู้จะขอบคุณแกยังไงจริงๆ แพร’ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยคำโป้ปดของเพียงแพรก็ดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง อีกทั้งเพียงแพรยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเล่นละครปิดบังพริมาว่าเธอเองก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดรอดไปจากความสงสัยง่ายๆ เช่นกัน
‘แล้วนี่ใจคอจะไม่บอกความจริงให้พริมรู้จริงๆ เหรอ พริมมันไม่ใช่คนโง่นะเว้ย วาริศกับฌานนท์หน้าเหมือนกันยังกะแกะขนาดนี้ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว’
วาริศนิ่งงัน เขาเองก็คิดอย่างนั้น เพียงแต่… ‘มันยังไม่ถึงเวลา’
‘แล้วเวลาที่ว่ามันคือตอนไหน’
วาริศเงียบไป เรื่องนั้น…เขาบอกเพียงแพรไม่ได้จริงๆ
‘ไม่ใช่อะไร เราแค่กลัวว่าเรื่องระหว่างแกกับพริมมันจะสายเกินแก้’
‘เราไม่ได้อยากกลับไปญาติดีกับผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย’
ชายหนุ่มได้ยินชัดถึงเสียงระบายลมหายใจของปลายสายคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ‘เรากับแกเป็นเพื่อนกันมาสิบยี่สิบปี แกรู้สึกยังไง ทำไมเราจะไม่รู้’
วาริศรู้สึกจุกที่หน้าอกอย่างรุนแรง เพียงแพรรู้ใจเขาทุกอณูจนน่ากลัว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นประเด็นอื่นพลางมองซองการ์ดสีชมพูในมือที่เธอเพิ่งยื่นให้เขาเมื่อชั่วโมงก่อน ‘งานแต่งแกกับไอ้กริชเดือนหน้า เราคงไปไม่ได้ แกรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร’
‘อืม เราเข้าใจ’ เพียงแพรไม่รบเร้าให้มากความ นั่นเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าอดีตเพื่อนร่วมห้องชั้นมัธยมหกที่อาจยกโขยงมาร่วมแสดงความยินดีที่งานเลี้ยง ‘ที่เราไปหาวันนี้ เพราะอยากเจอแกมากกว่า ไม่ได้เจอกันตั้ง…ปีนึงได้แล้วมั้งเนี่ย’
ในห้วงคำนึงนั้น วาริศไม่แน่ใจนักว่าเพียงแพรจะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนที่นิวยอร์กเหมือนอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า
ช่างเถอะ ในเมื่อเขายืนยันเหตุผลกับตัวเองไปแล้วว่าทำไปเพราะต้องการปกป้องเพียงแพรจากอินทัช แม้จะทำให้เพื่อนที่เขารักและไว้ใจมากที่สุดเจ็บปวดจากความรักมากก็ตาม แต่ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี เพียงแพรกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับกริช…คนที่เขาเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าจะรักและดูแลเธอได้ดี
…ดีกว่าลูกชายของศักดาแน่นอน
“ขอนั่งด้วยคนนะคะ”
เสียงหวานนุ่มของผู้มาเยือนปลุกอินทัชตื่นจากภวังค์ความคิดขณะนั่งเอนกายบนโซฟาเดี่ยวจิบกาแฟรสเข้ม เขาจำต้องละสายตาจากภาพพนักงานออฟฟิศทยอยเดินออกจากประตูลิฟต์อาคารสำนักงานแห่งนี้ในช่วงเลิกงาน หันมามองร่างบางในชุดเดรสสีเทาเข้มเรียบหรู ฉับนั้นดวงตาคู่คมพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผี
ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอ ‘เธอคนนี้’ อีกครั้งที่นี่
“เจน…”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แทนสบายดีนะ”
ใบหน้าเรียวสวยกับรอยยิ้มหวานบาดตาของคนตรงหน้าพลันกระตุกความทรงจำก้อนเก่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นิวยอร์กเมื่อหนึ่งปีก่อน…เหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียเพียงแพรไป ไร้หนทางได้เธอคืน อินทัชทำได้เพียงลอบกลืนความรู้สึกฝืดเคืองลงคออย่างยากเย็น เมื่อเห็นเจนปรากฏตัวต่อหน้าชนิดไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว
เธอต้องการอะไรจากเขากันแน่
“เจนเพิ่งกลับจากนิวยอร์กเมื่อเดือนก่อน ทำงานฝ่ายการตลาดที่บริษัทแถวสาทร วันนี้มีประชุมกับบริษัทคู่ค้า ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอแทนอีกครั้งที่นี่”
“ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้วนี่ จะเข้ามาทักให้เสียอารมณ์ทำไม” น้ำเสียงอินทัชกระด้างจัด บอกชัดถึงความรู้สึกไม่สบอารมณ์ หากมองไม่พลาด สีหน้าของเจนเปลี่ยนไปเป็นขื่นขมเหมือนคนสำนึกผิด
“แทน…ยังโกรธเจนอยู่ใช่มั้ย”
เขามองร่างบางราวกับไม่เคยเห็น เธอพูดออกมาเช่นนั้นได้อย่างไร ลืมไปแล้วหรือไรว่าเป็นส่วนสำคัญทำให้เขากับเพียงแพรต้องเลิกกัน
“ถ้าเราตอบว่าใช่ล่ะ”
เจนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ถือโทษโกรธเขาเลยสักนิด ราวกับยอมรับว่าเธอสมควรได้รับการตอบโต้ด้วยวาจารุนแรงจากเขา
“อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก” อินทัชยื่นคำขาด ทุกคำที่เปล่งออกมาสะท้อนจากใจจริง นั่นเพราะที่ผ่านมา…เขาเลือกทิ้งเจนไว้ข้างหลัง และพยายามแก้ปัญหาด้วยการขอคืนดีเพียงแพรด้วยตัวเอง แต่การมาเยือนของเจนในวันนี้ทำให้เขาตัดสินใจโยนความผิดทั้งหมดลงที่เธอ ทั้งที่เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่งเช่นกัน
“แทน ที่ผ่านมา…เจนขอโทษจริงๆ เจนไม่ได้ตั้งใจ” ริมฝีปากอิ่มของเจนเม้มแน่นราวกับสะกดความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ก่อนจะรั้งมือเขาไว้ด้วยมือเรียวทั้งสองข้าง “เจนอยากไถ่บาปที่เคยก่อ”
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงของอินทัชราบเรียบทว่าเฉียบขาด เขาขืนข้อมือจากการเกาะกุม แต่เจนไม่ละความพยายาม
“แทน…ได้โปรด ให้เจนช่วยแทนเถอะนะ ที่แทนต้องเลิกกับแพร ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจน เจนจะช่วยให้แพรกลับมารักแทนอีกครั้งนะ ได้ยินมาว่าแพรกำลังจะแต่งงานกับกริชนี่ อยากให้เจนช่วยมั้ย”
อินทัชชะงักกึกในทันใดเมื่อได้ยินข้อเสนอของเธอ ความคิดในหัวพลันตีกันยุ่งเหยิง ความรู้สึกเห็นแก่ตัวคืบคลานเข้ามาอย่างไม่อาจห้ามได้ จริงอย่างที่เจนว่า…ถ้าเจนไม่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาในคืนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพียงแพรคงไม่มีทางแตกสลายเฉกเช่นวันนี้
“รีบตัดสินใจนะ เจนอยากช่วยแทนจริงๆ” เธอก้มหน้าหาสิ่งของบางอย่างในกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังแล้ววางบนมือเขา สิ่งนั้นคือนามบัตรบอกชื่อ นามสกุล และหน้าที่การงานปัจจุบันของเธอ อินทัชไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงจ้องเบอร์โทรศัพท์มือถือและอีเมลของเจนนานขนาดนั้น ทั้งที่เพิ่งบอกไปแท้ๆ ว่าไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว
เจนส่งยิ้มบางให้ เธอไม่รอให้อินทัชเป็นฝ่ายไล่ ตัดสินใจเดินไปจากเขาทันทีที่เข้ามาบอกเจตนาของตัวเองเสร็จ ทว่าหญิงสาวก้าวไปได้เพียงสี่ห้าก้าวเท่านั้น ก็เป็นอันต้องถอยกลับมายืนตรงหน้าอินทัชอีกครั้งราวกับภารกิจของเธอยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี
“เจนลืมบอกอีกเรื่อง…”
อินทัชหรี่ตามองเธออย่างรอคอย “อะไร”
“เรื่องคืนนั้น…จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ความคิดเจนหรอกนะ”
“…”
“แต่เป็นแผนของวาริศต่างหาก”
อินทัชไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังรู้สึกกับคำบอกเล่าใหม่นั้นอย่างไร ตกตะลึง…อึ้งค้าง…หรือชาไปทั่วร่าง “วะ…ว่าไงนะ?!”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก เรื่องคืนนั้นเป็นแผนของวาริศ…เพื่อนที่แทนไว้ใจมากที่สุดยังไงล่ะ”
ความรู้สึกหนักอึ้งทับถมท่วมอกจนยากจะรับมือ เจนรู้ตัวหรือเปล่าว่าได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางใจเขาแล้ว
“เจนไม่เข้าใจ ทำไมวาริศถึงได้เลือดเย็นทำกับแทนขนาดนี้ แต่ก็พูดลำบาก…ตอนนั้นเจนเองก็หูหนวกตาบอดเพราะรักแทนมาก เลยยอมทำทุกอย่างตามที่วาริศบอก”
“แล้วแพร…รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
“คิดว่าไม่” น้ำเสียงของเธอหนักแน่นพอๆ กับสายตา
วาริศมีเหตุผลกลใดถึงทำกับเขาขนาดนี้ เขาเคยทำให้วาริศไม่พอใจเรื่องอะไร
ยิ่งคิดมากเท่าไรอินทัชก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น
Comments
comments
No tags for this post.