บทที่10
จูบเตือนความจำ
“ครีเอทีฟนี่…เวลาเอาคืนน่ากลัวฉิบหายเลยว่ะ” เจ้าของร้านไบรเทนเอ่ยขึ้นขณะนั่งดื่มกับวาริศที่เคาน์เตอร์บาร์ในร้านย่านทองหล่อ “แกต้องเห็นสีหน้าสองคนนั้นเว้ย ซีดยังกะไก่ต้ม”
“ขอบคุณพี่วิทย์มากนะครับที่ช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี”
“ใจจริงฉันก็สงสารสองคนนั้นนะ แต่ก็รู้สึกชอบเวลาเห็นแกเล่นสงครามจิตวิทยา” แสงวิทย์สารภาพความรู้สึกย้อนแย้งภายใน “ถามจริง…ฉันช่วยแกขนาดนี้แล้ว จะบอกกันสักนิดไม่ได้รึไงว่าทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังพริมากับอินทัชนัก”
“ผมบอกไม่ได้จริงๆ” วาริศยิ้มพราย ไม่อาจเปิดเผยถึงรายละเอียดที่แท้จริงว่าเหตุใดเขาถึงขอร้องให้แสงวิทย์เข้ามารับบทเป็นมือปืนในครั้งนี้
ไม่ถึงกับต้องสังหารคร่าชีวิต แค่พิชิตเป้าหมายที่ขา แล้วยิงสกัดขวางทางความมั่นใจของอินทัชกับพริมาก็พอ
“ถ้าให้ฉันเดาเล่นๆ นะ ผู้หญิงนี่…น่าจะเคยหักอกแกมาก่อน ส่วนผู้ชาย…”
“…”
แสงวิทย์นิ่งไปชั่วอึดใจคล้ายตกในภวังค์แห่งการคาดเดา “…ยากว่ะ รู้แค่ว่าไม่น่าใช่เรื่องเกาเหลาทั่วไป น่าจะมีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านั้น”
เจ้าของร้านไบรเทนคาดเดาถูกต้องจนน่ากลัว โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพริมา วาริศไม่อาจทำใจยอมรับได้เลยว่าเป็นอย่างที่แสงวิทย์ว่าไว้ ทั้งที่ไม่เคยเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังให้ฟังเลยว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมาเขาต้องผจญเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางจิตใจใดมาบ้าง ชายหนุ่มได้แต่บอกไปเพียงสั้นๆ ว่าเป็นเหตุผลที่แสงวิทย์สามารถเข้าใจและยอมรับได้อย่างแน่นอน หากแสงวิทย์มาขอให้เขาช่วยด้วยเหตุผลเร้นลับเช่นนี้ เขาก็พร้อมอ้าแขนช่วยแสงวิทย์ไม่ต่างกัน
โชคดีที่แสงวิทย์เบนความสนใจไปที่นักร้องสาวกับกีตาร์คลาสสิกเสียงหวานปนเหงาบนเวทีเสียก่อน จึงไม่ทันมองเห็นแววตาร้าวลึกยามรู้สึกถึงอดีตกัดกร่อนใจจนเจ็บปวด วาริศเคยคิดเหมือนกันว่าอยากกลายร่างเป็นคนความจำเสื่อม หรือตายไปพ้นๆ จากโลกนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอนึกทบทวนอย่างละเอียดถึงรู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าตัวเองเวลาทำสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างการยอมแพ้มากแค่ไหน
“พี่วิทย์ไม่ต้องห่วงเรื่องจ่ายค่าปรับให้แอดดิกต์นะครับ” วาริศเสเปลี่ยนไปคุยประเด็นใหม่ หวังเห็นคนเป็นลูกค้าเอเจนซี่แอดดิกต์ไม่ซักไซ้เขาต่อให้เคืองรำคาญ
“ทำไม แกจะเป็นคนจ่ายให้ฉันแทนเหรอ”
วาริศพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ผมจะไปเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายแทนพี่”
“แล้วทำไมแกถึงได้มั่นใจนัก”
“เพราะผมเชื่อว่าแอดดิกต์จะยื่นข้อเสนอน่าสนใจให้พี่วิทย์แน่นอน” วาริศบอกแค่นั้น ปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่นิ่วหน้าสงสัย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าข้อเสนอที่ว่านั้นคืออะไร แต่ที่มั่นใจคือ…มันต้องสนุกมากสำหรับแกแน่ๆ”
วาริศขยับยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเป็นต่อ ขนาดแสงวิทย์ยังรู้ทันถึงความหฤหรรษ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แล้วใจเขาล่ะจะลิงโลดปรีดาขนาดไหน
คืนนั้นวาริศกับแสงวิทย์แยกย้ายกันไปตอนห้าทุ่มกว่าๆ จนกระทั่งเวลาเที่ยงของวันถัดมา วาริศแทบทนไม่ไหวเมื่อตระหนักว่านี่คือเวลาที่แสงวิทย์นัดหมายให้พริมากับอินทัชมาพรีเซนต์งานโฆษณาร้านขายโคมไฟแบรนด์ไบรเทนอีกรอบก่อนแสงวิทย์บินไปดูงานที่ญี่ปุ่นตอนหัวค่ำ
ไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ โทรศัพท์มือถือของวาริศถึงคราวสั่นครางเรียกความสนใจเขาให้ละสายตาจากอาร์ตเวิร์กโฆษณาบนจอคอมพิวเตอร์แม็กภายในออฟฟิศแอคต์แพลเน็ต ชายหนุ่มจึงกดรับสายทันทีเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา
แสงวิทย์เล่าให้เขาฟังเป็นฉากๆ ว่าอินทัชกับพริมาเพียรโน้มน้าวแสงวิทย์ด้วยไอเดียสดใหม่มากมายเพียงใด แต่ก็ต้องจำใจทำตามที่วาริศขอ ยืนกรานต่อหน้าสองคนนั้นว่าไม่ถูกใจเลยสักไอเดีย เมื่อผลงานไม่เข้าตา แสงวิทย์คงต้องเป็นฝ่ายผิดสัญญากับเอเจนซี่แอดดิกต์อย่างที่เคยพูดเอาไว้
และหันไปใช้บริการกับแอคต์แพลเน็ตแทน
แน่นอนว่าอินทัชกับพริมานิ่งอึ้งไปหลายอึดใจราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนจะถามซ้ำเพื่อตอกย้ำความมั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม พอแสงวิทย์พยักหน้ายืนยันอีกครั้งว่าใช่ ทั้งอินทัชและพริมาต่างผนึกพลังค้านหัวชนฝา พยายามสรรหาเหตุผลต่างๆ นานามาโน้มน้าวอย่างเต็มกำลังว่าพร้อมกลับไปแก้ไขงานแล้วกลับมาพรีเซนต์ใหม่จนกว่าแสงวิทย์จะพอใจ ส่วนความคิดเรื่องการเปลี่ยนไปใช้บริการเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตแทนนั้นอยากให้แสงวิทย์ลืมไปเสีย ราวกับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“สุดท้ายฉันเลยบอกสองคนนั้นไปว่าพวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนใจฉันได้ เพราะฉันตัดสินใจไปแล้ว ถึงจะส่งหัวหน้าทีม หัวหน้าเออี หรือแม้แต่ประธานเอเจนซี่มาฉันก็ไม่สน นี่ฉันพูดตามที่แกเขียนสคริปต์ไว้ให้เลยนะไอ้ริศ”
“ดูเหมือนพี่วิทย์จะลืมบทพูดส่งท้ายที่ผมไฮไลต์ไว้”
“ใครบอก…ฉันท่องได้จนขึ้นใจเลยล่ะ จะให้พูดอีกรอบก็ยังได้” แสงวิทย์ตั้งท่าร่ายบทสำคัญให้ฟังอีกครั้ง “วันก่อนคุณพริมได้เจอแล้วนี่ครับที่หอศิลป์ฯ…ครีเอทีฟที่ชื่อวาริศไงครับ รายนั้นเขาเก่งนะ ผลงานเขาถูกใจผมหลายชิ้นเลยล่ะ ถ้าผมรู้ว่าวาริศกลับมาทำงานที่ไทยเร็วกว่านี้สักนิด พวกคุณคงไม่ต้องเสียเวลาขายงานผมหลายรอบแบบนี้”
“แล้วปฏิกิริยาสองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” วาริศอยากรู้ใจแทบขาด
“เหมือนมีไฟปะทุในดวงตาอินทัช”
ถ้าให้เดา…อินทัชคงหน้าชา หันขวับไปมองพริมาราวกับไม่เคยเห็น และคงกังขาว่าทำไมก๊อปปี้ไรเตอร์สาวถึงไม่ยอมเล่าเรื่องที่เธอเจอเขาพร้อมแสงวิทย์ที่หอศิลป์ฯ ให้ฟัง
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่แกคาดไอ้ริศ พออินทัชได้ยินชื่อแกเท่านั้นแหละ ก็ประกาศลั่นห้องเลยว่ามีข้อเสนอที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้”
“และข้อเสนอที่ว่านั้นก็คือ…” วาริศกระตุกยิ้มเหนือมุมปากรอฟังด้วยใจจดจ่อ
“แอดดิกต์ยินดีทำโฆษณาให้ฟรี ได้โปรดเป็นลูกค้าเราต่อไปด้วยครับ”
“จริงเหรอพี่” วาริศแสร้งทวนถามไปอย่างนั้น ทั้งที่แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ว่าอินทัชสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง ไม่นึกเลยว่ายอมช่วยแกครั้งนี้ส้มจะหล่นใส่ฉัน ไม่รู้หมอนั่นจะอธิบายเรื่องนี้ให้ออฟฟิศฟังยังไง”
“คืนนี้ไปดื่มกันอีกมั้ย ร้านเดิมแถวทองหล่อก็ได้ ผมเลี้ยงเอง ตอบแทนที่พี่ยอมช่วยผม”
“ไปได้เหรอวะ ฉันต้องไปญี่ปุ่นคืนนี้ตามที่แกเขียนบทไว้นี่”
วาริศได้ยินแล้วถึงกับหัวเราะชอบใจ แสงวิทย์ไม่ได้มีธุระด่วนบินไปญี่ปุ่นอย่างที่บอกอินทัชกับพริมาแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นเพียงการโป้ปดเพื่อช่วยเหลือเขาเอาคืนครีเอทีฟคู่นั้นอย่างแสบสัน…ก็เท่านั้นเอง
แค่ได้ยินชื่อวาริศ…จิตของอินทัชก็แตกกระเจิง
พริมามองเห็นเพลิงแห่งความไม่พอใจคุกรุ่นในดวงตาคมกริบ อินทัชนั่งกุมขมับตรงเคาน์เตอร์บาร์ มองแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างคนเลื่อนลอยมาค่อนชั่วโมงแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพ่ายแพ้จู่โจมหัวใจเขา หลังได้ยินแสงวิทย์ประกาศชัดว่าอยากได้แอคต์แพลเน็ตมาทำโฆษณาแทน เพราะเอเจนซี่แห่งนี้มีวาริศ…คนที่พริมาเพิ่งพบหน้าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ถึงอินทัชจะเจ็บปวดมากแค่ไหน เขาก็ควรมีสติบ้าง ให้ตายเถอะ…พริมาทำได้แค่สบถในใจ อินทัชเอาสมองส่วนไหนคิด ถึงได้บุ่มบ่ามตัดสินใจยื่นข้อเสนอทำโฆษณาให้แสงวิทย์ฟรีๆ เช่นนั้น เขาน่าจะหันมาปรึกษาเธอสักนิดก็ยังดี
“หยุดดื่มได้แล้ว”
พริมายั้งมือหนาของคนนั่งข้างๆ ขณะยกแก้วกระดกวิสกี้รสเข้มกลืนความอ่อนแอลงคอ
“ทำไมหมอนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เรื่อย” น้ำเสียงห้าวลึกของอินทัชอัดแน่นด้วยความรู้สึกตัดพ้อ เขาทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้อยใจในโชคชะตาที่มักส่งวาริศมาแย่งความสำเร็จไปจากเขาอยู่เสมอ “ที่ผ่านมา…ผมพยายามมาตลอด แต่กลับต้องแพ้หมอนั่นทุกครั้ง ไม่มีสักครั้งที่ผมจะชนะมัน คุณมันซวยเองที่ต้องมาทำงานคู่ผม”
พริมาได้ยินอย่างนั้นก็ชักข้องใจว่าทำไมอินทัชต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับวาริศทุกครั้ง เหตุแห่งทุกข์ที่เขากำลังเผชิญนั้นเกิดจากการเห็นวาริศเด่นกว่าทุกกระเบียดมิใช่หรือ หากเขาปล่อยวางได้ อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น
“มีอยู่ทางเดียวที่คุณจะเอาชนะเขาได้…”
อินทัชได้ยินเช่นนั้นถึงกับนิ่งงัน เบนสายตาจากแก้ววิสกี้ตรงหน้าหันมาสบตาเธออย่างรอคอย
“เลิกสนใจวาริศซะ สนใจแต่ตัวคุณเองก็พอ อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาสร้างเงื่อนไขในชีวิตคุณอีก” น้ำเสียงของพริมาฉายแววจริงจัง ทั้งที่อีกใจหนึ่งรู้สึกเห็นต่าง
บางทีเป้าหมายที่แท้จริงของวาริศ…อาจไม่ใช่เขา
…แต่เป็นเธอ
“ผมทำไม่ได้”
“…”
“ไม่ใช่ไม่พยายามนะ แต่ผมไม่เคยทำได้จริงๆ”
“นั่นเป็นเพราะคุณยังพยายามไม่มากพอ”
“บางทีคุณอาจจะอินกับการเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์มากไปหน่อย เลยพยายามสรรหาคำพูดสวยหรูมาปลอบขวัญผม แต่ขอโทษนะที่ต้องบอกว่ามันไม่ได้ผล ผมมันอ่อนแอกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ”
อารมณ์อินทัชดิ่งลงสู่หลุมบ่อแห่งความหดหู่ขั้นสุดจนพริมาไม่รู้จะพูดอย่างไร หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นเขายอมแพ้อะไรหลายๆ อย่างง่ายเกินไป แต่ไม่รู้ทำไม…พริมาถึงได้มีความรู้สึกร่วมกับอินทัชมากมายขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเธอเองก็มีวาริศเป็นเงื่อนไขสำคัญของชีวิต และไม่อาจสลัดเขาไปจากความคิดได้เลยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
นี่เธอกล้าสอนอินทัช ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้หรือนี่ น่าละอายชะมัด หากอินทัชรู้เรื่องในอดีตของเธอเข้า เขาคงแสยะยิ้มคล้ายเยาะหยันให้เธอ
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีหน้ามาปลอบขวัญอินทัชต่อ พริมาจึงลุกจากเก้าอี้บาร์ปลีกตัวออกไปสูดอากาศข้างนอก ทิ้งอินทัชจมอยู่ใต้คลื่นแซกโซโฟนสำเนียงเหงาเคล้าเศร้าภายในร้านเพียงลำพัง
ทว่าพริมาเดินพ้นธรณีประตูได้ไม่ทันไร สายตาของเธอพลันประสานเข้ากับร่างสูงเจ้าของดวงตาคู่หยันโลกที่เพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่พอดี
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาคนนั้นจะปรากฏตัวต่อหน้าเธอเวลานี้
“บังเอิญจัง” วาริศขยับยิ้มคล้ายชื่นชมโลกที่หมุนเขามาพบเธออีกครั้ง ผิดกับพริมาซึ่งเปลี่ยนไปเป็นชะงักงัน
เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรก…ที่เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะมาที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาดักรอผม” คำถามนั้นเข้าข้างตัวเองอย่างรุนแรง
“เปล่า ฉันมาของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“งั้นเหรอ เห็นครั้งก่อนๆ ชอบทำแบบนั้น” ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้
“แต่ครั้งนี้ไม่ใช่”
“ว้า เสียดายจัง” สำเนียงนั้นจงใจล้อเลียน
“คุณทำไปทำไม”
“ผมทำอะไร”
“รู้อยู่แก่ใจยังจะถามอีก” คำตอบของพริมาจงใจยอกย้อน
“ด้วยความสัตย์จริง การพบกันของเราที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญ” เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร แต่กลับเสพูดถึงเรื่องอื่น
“ถ้างั้นเรื่องที่คุณแสงวิทย์บอกว่าจะให้คุณทำโฆษณาแทนแอดดิกต์ ก็คงเป็นมากกว่าเรื่องบังเอิญทั่วๆ ไป”
“คุณพูดเรื่องอะไร” สุ้มเสียงวาริศตั้งเค้าไม่พอใจ
“แต่บังเอิญว่าอินทัชใจป้ำมากพอ ยื่นข้อเสนอทำโฆษณาให้ฟรี เรื่องนี้คุณคงรู้จากปากคุณแสงวิทย์แล้วเหมือนกัน” หากมองไม่ผิด เธอเห็นมุมปากวาริศกระตุกเพียงนิด
“คุณนี่ถนัดเดาไปเรื่อย ผมล่ะนับถือจริงๆ”
“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันเดารึเปล่า”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”
“คุณโกหก!”
เขาปล่อยให้เธอพูดแค่นั้น พลันฉวยข้อมือเธอลากไปยังมุมอับข้างร้านไร้ผู้คนทันที
“นี่ ปล่อยฉันนะ คุณจะทำอะไร” ใจของพริมาเริ่มหวาดหวั่นเมื่อเขาดันร่างเธอชิดผนังร้าน
“รู้ไว้ซะ ว่าผมกำลังโกรธคุณ”
“…”
“และก็โกรธมากๆ ด้วย”
วาริศโน้มใบหน้าคมสันทาบริมฝีปากบางเฉียบอุ่นจัดครอบครองเรียวปากไหวระริกของพริมาอย่างอุกอาจ หญิงสาวพยายามขืนใบหน้าหนีการคุกคามของเขาอย่างสุดความสามารถ ยันอกกว้างด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างแต่ไม่เป็นผล นาทีนั้น…หญิงสาวพบว่ายิ่งออกแรงดันเท่าไร วาริศยิ่งเบียดกายแกร่งแนบชิดจนเธอรู้สึกถึงเขาทุกอณู ริมฝีปากคู่นั้นทาบทับบดเบียดรุนแรงไม่ยอมหยุด มือหนาของเขาเคลื่อนขึ้นมาสอดใต้เรือนผมเส้นเล็กนุ่มลื่น ประคองท้ายทอยไม่ยอมให้เธอเบือนหน้าหนี ก่อนจะส่งปลายลิ้นหมายเกี่ยวกระหวัดดูดดื่มกลืนความหวานจากเธอให้หนำใจ จนหัวใจของพริมากระตุกรัวแทบระเบิดเป็นจุณ จูบของเขาแสนร้ายกาจ…อัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายเกินกว่าจะต้านทานไหว
วาริศไม่อาจยอมรับได้เลยว่าส่วนลึกของจิตใจโหยหาพริมามากเพียงใด
เขาติดใจความหวานล้ำของเรียวปากคู่นี้นับตั้งแต่จุมพิตเธอครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน จนอยากครอบครองสัมผัสอุ่นละมุนของพริมาไปตลอดกาล ทว่าชายหนุ่มปล่อยให้ความหวั่นไหวก่อตัวได้ไม่นาน สำนึกด้านดิบพลันแล่นปราดเข้ามาขวาง ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องเกลียดเธอสิถึงจะถูก ตอบแทนเธอที่เป็นฝ่ายทิ้งเขาไป จะดีแค่ไหนหากเธอได้รับรู้รสชาติของการถูกทอดทิ้งเหมือนเช่นที่เขาเคยรู้สึก อย่าเผลอหลงลืมความเจ็บปวดร้าวลึกนั้นไปอีกเชียว
วาริศตัดใจถอนริมฝีปากก่อนความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของเรียวปากเล็กเรื่อจะบานปลาย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายหยักยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อพริมาหายใจหอบ เขาเห็นหยาดน้ำอุ่นเอ่อรื้นขอบตาคู่สวยหม่น แต่จำต้องฝืนทน ห้ามมือทั้งสองข้างเอาไว้ทั้งที่อยากยื่นออกไปประคองแก้มนวล ปล่อยให้พริมาใช้นิ้วเรียวกรีดน้ำในตาออกด้วยตัวเอง
วูบนั้นวาริศอยากดึงพริมาเข้ามากอดไว้ราวกับไม่ต้องการให้เธอหนีหายไปไหนเหลือเกิน แต่พอตระหนักได้ว่าช่างเป็นความคิดแสนตื้นเขิน จึงตะโกนบอกตัวเองในใจให้รีบแปรเปลี่ยนแววตาเป็นหมางเมินเสีย แค่เผลอใจดึงเธอมาจูบ พริมาก็รู้แน่แก่ใจว่าเขามีอีกหนึ่งตัวตนซ่อนภายใต้ร่างวาริศ ไม่จำเป็นต้องซักไซ้ให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว
ทว่าเวลาผ่านไปร่วมนาที ร่างระหงในอ้อมแขนของเขายังคงตัวแข็งทื่อ ริมฝีปากเธอสั่นระริกราวกับไม่อยากเชื่อว่าวาริศจะมอบจูบรื้อฟื้นความทรงจำทั้งดีปนร้ายของเขาและเธอให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พริมาคงประเมินศักยภาพตัวเองแล้วว่าไม่สามารถรับมือการเผชิญหน้าเขาในมุมอับแห่งนี้ได้ จึงผละจากเขากลับเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาอีกเลย
ร่างสูงยืนเฉยเช่นนั้นนานนับห้านาที กว่าจะรู้ตัวว่าควรโทรหาแสงวิทย์เพื่อขอเปลี่ยนไปนัดเจอกันที่ร้านอื่นแทน ไม่เช่นนั้นความอาจแตกได้ พอเจ้าของร้านไบรเทนเข้าใจสถานการณ์จึงบอกชื่อร้านอาหารกึ่งผับมีชื่ออีกแห่งในย่านทองหล่อสำหรับเป็นจุดนัดพบใหม่ สักครึ่งชั่วโมงค่อยไปเจอกันก็ได้ ราวกับรู้ดีว่าวาริศมีเรื่องอยากสนทนากับพริมาต่อ
ไม่รอช้า วาริศก้าวยาวเข้าไปข้างในบาร์นาม ‘รีดีม’ บรรยากาศภายในดูอบอุ่นด้วยเหล่าผู้รักสันโดษกระหายการร่ำสุราอย่างโดดเดี่ยว เขาเพิ่งรู้จักบาร์แสนสงบแห่งนี้จากการนัดหมายเจอแสงวิทย์เมื่อสองครั้งก่อนหลังกลับมาถึงเมืองไทย ครั้งแรก…เขามาเพื่อขอร้องให้หนุ่มรุ่นพี่ช่วยกลั่นแกล้งสองครีเอทีฟจากเอเจนซี่ของศักดา ครั้งที่สอง…เขามาเพื่อติดตามความคืบหน้าว่าปฏิกิริยาของอินทัชกับพริมาเป็นอย่างไร หลังถูกสั่งให้ไปทำโฆษณามานำเสนอใหม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเหมือนที่วาริศกำกับไว้ตั้งแต่แรก
มือแซกโซโฟนยังคงขับกล่อมลูกค้าด้วยเพลงเหงาทำนองหดหู่ วาริศสอดส่ายสายตาไปทั่วร้าน ท่ามกลางผู้คนทั้งพนักงานออฟฟิศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมมานั่งดื่มคนเดียว เขาเห็นอินทัชกับพริมานั่งเคียงข้างกันตรงเคาน์เตอร์บาร์ วาริศจึงก้าวยาวเข้าไปประชิดทั้งสอง แล้วถือวิสาสะนั่งเก้าอี้บาร์ข้างเจ้าของริมฝีปากเล็กเรื่อที่เขาเพิ่งครอบครองเมื่อครู่ พริมาหันมามอง ดวงตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นเบิกค้าง จ้องนานราวกับเห็นผี แต่เขาทำทีไม่สนใจ หันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มแทน
“เตกีล่าชอตนึงครับ”
อินทัชคงรู้ตัวแล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ถึงได้ชะงักไปเช่นนั้น ก่อนจะตวัดนัยน์ตาคมปลาบมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญอย่างเขาด้วยประกายขุ่นขวาง
“แก…”
“ใช่ ฉันเอง” เขาตอบกลับด้วยปฏิกิริยาอื่นไม่ได้ นอกจากขยับยิ้มอย่างเป็นต่อให้ ‘อดีตเพื่อนรัก’ ผู้ถูกเขาหักเหลี่ยมคมอยู่ร่ำไป
“แกมาที่นี่ทำไม” สำเนียงคนขี้แพ้ซ่อนโทสะคุกรุ่นไว้ไม่มิด
“แกก็รู้ว่างานพวกเรามันเครียดแค่ไหน ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องออกมาระบายบ้าง”
บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟแก้วชอตเตกีล่าตรงหน้า วาริศเลียผิวนิ้วหัวแม่มือแล้วแตะลงบนเกลือในถ้วยเล็กที่เสิร์ฟพร้อมมะนาวหนึ่งซีก ก่อนโรยลงบนหลังมืออย่างคนรู้ลึกถึงวิธีดื่มเมรัยสัญชาติเม็กซิกันสไตล์คนอเมริกัน จะว่าไปแล้วก็อดนึกถึงตอนไปนั่งดื่มกับอินทัชที่บาร์แห่งหนึ่งในนิวยอร์กไม่ได้ ในตอนนั้น…เขากับอินทัชยังเป็น ‘เพื่อนที่ดี’ ต่อกันอยู่เลย
“แก…รู้จักคุณแสงวิทย์?”
ในที่สุดอินทัชก็เอ่ยคำถามค้างคาใจผ่านหน้าพริมาส่งตรงมาถึงเขา วาริศจัดการลิ้มเกลือบนหลังมือแล้วยกชอตเตกีล่ากลิ่นหอมฉุนขึ้นซดจนหมดภายในอึกเดียว ความร้อนแรงของเหล้ารสเฝื่อนแผ่ซ่านบาดทั่วคอจนต้องกัดมะนาวตาม
“แสงวิทย์…ที่เป็นเจ้าของร้านไบรเทนน่ะเหรอ” เขาพูดขึ้นเมื่อควบคุมความร้อนในลำคอได้ สายตาจ้องตอบอินทัชอย่างคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แกทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันทำอะไร” คนถูกถามตอบหน้าเฉย
“จงใจ…แย่งลูกค้าฉัน”
คำกล่าวหาของอินทัชไม่ได้ทำให้วาริศสะทกสะท้านนัก เขาแสร้งนิ่งทำไขสือราวกับไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคู่หูครีเอทีฟสุดอ่อนแอเลยสักนิด ทว่าวาริศชักไม่แน่ใจว่าเขาเผลอยกมุมปากยิ้มหยันอย่างเป็นต่อหรือเปล่า ความอดกลั้นของอินทัชถึงได้ลดวูบจนเหลือศูนย์ ลุกจากเก้าอี้เข้ามาคว้าคอเสื้อเขาฉับพลัน กำหมัดแน่นเงื้อค้างพร้อมเล็งเป้ามาที่ใบหน้าของเขาอย่างเหลืออดจนวาริศรู้สึกได้ถึงสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านที่ต่างหันมามองภาพของหนึ่งหญิงสองชายเป็นทางเดียว
“ทำไม…ฉันไปทำอะไรให้แกนักหนา แกถึงได้จองล้างจองผลาญฉันไม่เลิกแบบนี้!” อินทัชขบกรามแน่นข่มโทสะอันพลุ่งพล่าน ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะดื่มไปมาก แต่เชื่อเถอะว่าสติของหมอนี่จะแจ่มชัดทุกครั้งที่เห็นเขาปรากฏตัว เหมือนเช่นตอนนี้
“อยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ” วาริศสวนกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง วูบนั้นเขาเกิดอยากเล่าทุกอย่างให้อินทัชรู้ขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจ ยั้งปากเก็บความลับทั้งหมดไว้ในลิ้นชักตามเดิม
ฉับพลันนั้นหมัดของอินทัชที่กำแน่นค้างรออยู่แล้วก็ลอยมาตามคาด โชคดีที่วาริศหลบทัน แรงเหวี่ยงหมัดพลาดผนึกกับฤทธิ์วิสกี้หลายแก้วถ่วงตัวอินทัชเซไปกองกับเคาน์เตอร์บาร์จนแก้วเตกีล่าของวาริศหล่นแตกบนพื้น
“แทน หยุด!” ดูเหมือนพริมาจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก วาริศเห็นเธอรีบเข้ามาขวางก่อนที่เหตุวิวาทจะบานปลายไปมากกว่านี้
“คุณอย่ามายุ่ง นี่มันปัญหาของผมกับมัน!” อินทัชชี้หน้าเขา ดวงตาจ้องเขม็งไม่ลดละ
“แทน คุณฟังฉันนะ…”
พริมาก้าวประชิดร่างสูงของอินทัช ประคองใบหน้าของหมอนั่นแล้วโน้มเข้าใกล้พลันกระซิบกระซาบข้อความบางอย่างข้างหู
วาริศจ้องภาพนั้นตาค้าง เขาไม่ได้ยินสิ่งที่พริมาเอ่ยกับอินทัชเพราะเสียงแซกโซโฟนเศร้าสลดบนเวทีดังกลบ แต่พอเห็นท่าทีของอินทัชอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด วาริศพลันรู้สึกถึงความหึงหวงปะทุร้อนรุนแรงในอกเสียยิ่งกว่าฤทธิ์เตกีล่าเป็นไหนๆ เมื่อตระหนักว่าอินทัชกับพริมามีความลับที่รู้กันแค่สองคนบนโลก ส่วนเขาถูกถีบกระเด็นออกมาจากทั้งคู่ราวกับเป็นส่วนเกิน!
“เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย”
น้ำเสียงของพริมากลับมาดังในระดับปกติอีกครั้ง อินทัชค่อยๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะหลับตาถอนหายใจยาวยืดอย่างช่วยไม่ได้
“ดี งั้นเรากลับกันเถอะ”
หญิงสาวโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์คิดค่าเครื่องดื่ม แล้วเดินจูงมืออินทัชออกไปจากร้าน
ไม่คิดชายตามองกลับมาที่วาริศอีกเลย
‘ลืมที่ฉันบอกไปแล้วเหรอ…อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาสร้างเงื่อนไขในชีวิตคุณอีก’
‘…’
‘เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย’
ในตอนนั้นอินทัชไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพยักหน้ารับคำไปเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่จดจำได้อย่างแม่นยำคือประกายดาวในดวงตาของพริมา กับสัมผัสจากมือนุ่มทั้งสองข้างที่คอยประคองใบหน้าเขาเพื่อเรียกสติกลับคืน พร้อมย้ำประโยคอัศจรรย์ว่าอย่าปล่อยให้คนอย่างวาริศเข้ามาสร้างเงื่อนไขและมีอิทธิพลเหนือจิตใจเขาอีก
อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่วันนี้เขาเอาแต่คิดถึงห้วงเวลาไม่กี่วินาทีของคืนวาน นับเป็นห้วงเวลาที่ทำให้อินทัชคิดว่ามีเพียงเขาและพริมาแค่สองคนบนจักรวาล และเป็นห้วงเวลาที่วาริศหลุดไปจากวงโคจรระหว่างเขากับพริมาอย่างสมบูรณ์
เหมือนเช่นตอนนี้…ทั้งที่ห้องทำงานของแผนกเต็มไปด้วยครีเอทีฟจากหลากหลายทีม แต่อินทัชกลับไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย เหตุใดสายตาของเขาถึงเอาแต่จับจ้องไปที่พริมาซึ่งกำลังวุ่นวายกับการอ่านข้อมูลออนไลน์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนเผลอปล่อยให้ฟองนมคาปูชิโนร้อนเลอะเหนือริมฝีปากเล็กอิ่มคู่นั้น หญิงสาวจะรู้ตัวบ้างไหมว่าฉุดเขาตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง จนนึกอยากจะจับเก้าอี้หมุนเธอมามองให้เต็มตา และเอื้อมมือไปเช็ดร่องรอยของฟองนมให้อย่างทะนุถนอม
ทว่าจังหวะนั้นพริมากลับหันมาทางเขาพอดี เธอคงไม่คิดว่าเขาเฝ้ามองเธอมาตลอดจึงมองตอบด้วยแววตาแปลกใจนิดๆ “มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันเหรอ”
อินทัชกะพริบตาปริบๆ ทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นนิ่งใบ้ไปเสียดื้อๆ ก่อนจะรวบรวมสติกลับไปสนใจภาพร่างโฆษณาบนจอคอมพิวเตอร์ต่อ ทิ้งพริมาไว้กับความงุนงงปนสงสัยในอาการแปลกๆ ของเขา ทว่าไม่กี่อึดใจ อินทัชก็ค่อยๆ หันมาเอ่ยกับพริมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฟองนม…”
“ฮึ?”
อินทัชถอนหายใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะขืนพูดดังไปกว่านี้อาจเป็นการเรียกความสนใจจากครีเอทีฟรอบข้าง เขาไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครเท่าไหร่ จึงตัดสินใจคว้ากระดาษทิชชูจากกล่องบนโต๊ะทำงานพริมาแล้วเลื่อนล้อเก้าอี้เข้าไปเช็ดฟองนมเจ้าปัญหาจากเรียวปากเล็กอย่างอ่อนโยน
ดูเหมือนพริมาจะตกตะลึงกับการกระทำของเขาราวกับโดนไฟช็อต หญิงสาวนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นไปหลายวินาที สายตาของเธออัดแน่นไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อเจือตำหนิอยู่กลายๆ โชคดีที่มีแค่เขาและเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงเวลาอันแสนสั้น พริมาหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ราวกับสำรวจให้ทั่วว่ามีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่หรือไม่ โดยเฉพาะวอแวกับชินทร…บุคคลผู้ไม่น่าไว้วางใจที่สุด กระทั่งสายตาสะดุดที่คู่หูจอมเพี้ยนซึ่งยังคงง่วนกับการถกเถียงกันเรื่องสตอรี่บอร์ดงานภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นภายใต้แนวคิดบอร์นทูบีฟรี พริมาก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกระซิบกระซาบกับเขาด้วยประโยคกึ่งถามกึ่งต่อว่า
“ทำอะไรของคุณ?!”
“เอ่อ…” เขาต่อจิ๊กซอว์คำตอบแบบข้างๆ คูๆ “ก็แค่เช็ดให้ ทำไมเหรอ”
อินทัชเห็นคิ้วเรียงสวยของพริมาขมวดเข้าหากัน ในใจเธอคงคิดว่าเขาจงใจกวนประสาทเป็นแน่ ให้ตอบคำถามแท้ๆ ดันมาถามกลับเสียอย่างนั้น
“แทน…”
น้ำเสียงคุ้นหูของพี่ตระการดังขึ้นพร้อมจังหวะก้าวฉับจากประตูบานหนาตรงมาหาเขา ดุจกรรมการห้ามมวยปราดเข้ามาให้สัญญาณหมดยก
“คุณศักดามีเรื่องจะคุยด้วย”
ได้ยินเพียงแค่นั้นอินทัชพลันตระหนักดีว่าคือเรื่องอะไร อันที่จริงเขาพอจะเตรียมใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นับตั้งแต่ตกปากรับคำกับแสงวิทย์ว่าจะทำโฆษณาให้ฟรี ขอเพียงอย่างเดียวคือแสงวิทย์ไม่เปลี่ยนใจไปเลือกใช้บริการเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตเป็นพอ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม พยายามรวบรวมความกล้าสู่การเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินตามพี่ตระการออกไปจากห้อง
อินทัชก้าวพ้นขอบประตูได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังไล่หลัง ยังไม่ทันหันไปมองด้วยซ้ำ แต่กลับมั่นใจอย่างมากว่าเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์สาวไม่ผิดแน่
“ขอพริมไปด้วยนะคะพี่ตระการ” พริมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายอ้อนวอนแต่ซุกซ่อนความตั้งใจไว้เต็มที่ เธอคงรู้ดีว่าเขาถูกเรียกไปห้องเย็นด้วยเหตุผลใด
“คุณอยู่ที่นี่เถอะ มันเป็นการตัดสินใจของผม ผมควรรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมดเพียงคนเดียว” เขาวิงวอนเธอผ่านสายตา
“ได้ไง เราเป็นคู่หูกันนะ”
แววตาของพริมามุ่งมั่น สะกดอินทัชราวกับต้องมนตร์ จนใจของเขาไพล่นึกไปถึงบทสนทนาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ‘เราสองคน…น่าจะลองเปลี่ยนคู่ดู’ เขาเคยพูดอย่างนั้นกับพริมา น่าขันตัวเองเสียจริง ในวันนั้นทั้งเขาและเธอต่างรู้สึกไม่ต้องชะตากันและกันเลยด้วยซ้ำ พริมาคงเห็นว่าเขาสนใจแต่เรื่องเพียงแพรจนทิ้งงานทิ้งการ ส่วนเขาเองก็เอาแต่มองว่าพริมาคอยกีดกันความรักที่เขามีให้เพียงแพรไม่เลิก
ทำไมความรู้สึกตอนนั้นช่างแตกต่างจากตอนนี้ อินทัชไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงเร่งรัดสรุปในใจว่าน่าจะเป็นเพราะพัฒนาการความสัมพันธ์ฉันเพื่อนร่วมงานที่ดีขึ้น…เขาบอกตัวเองอย่างนั้น ทั้งที่ความรู้สึกพิลึกบางอย่างเริ่มก่อตัวในใจ สร้างความสงสัยและยากแก่การไขปริศนายิ่ง
“ไม่เป็นไร ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นครั้งแรกเสียหน่อย ผมชินซะแล้วล่ะ อีกอย่าง…ตอนนั้นผมไม่ได้หันไปปรึกษาคุณด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว ในเมื่อคุณไม่เกี่ยวกับความผิดบ้าบอนี่ ก็ควรกลับไปนั่งทำงานตามเดิมซะ อย่าเข้ามายุ่งให้เสียเวลาเลย”
อินทัชโน้มน้าวพริมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่อยากให้เธอต้องมาเจ็บตัวเพราะการตัดสินใจไม่ได้เรื่องของเขา แต่คนอย่างพริมาไม่ใช่ประเภทยอมฟังใครง่ายๆ ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งของหญิงสาว อินทัชพบว่าเธอเป็นเด็กหัวรั้นและดื้อเงียบ ยากแก่การรับมือพอสมควร รู้ตัวอีกที…ร่างระหงของคนหัวรั้นก็ก้าวนำหน้าเขากับพี่ตระการตรงไปที่ห้องของคนเป็นทั้งนายและพ่อเขาเสียแล้ว
“พริม…กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้” พ่อสั่งพริมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดทันทีที่เห็นเธอปรากฏตัวในห้องทำงาน
“ไม่ค่ะ” เธอดึงดันขอร่วมฟังกระบวนการไต่สวนในห้องเป็นเพื่อนเขา “พริมอยากช่วยแทนอธิบายเรื่องทั้งหมด เพราะคิดว่าถ้าปล่อยแทนมาที่นี่คนเดียว เขาคงเล่าความจริงแค่ครึ่งเดียวแน่นอน”
อินทัชชะงักไปชั่วขณะ สมองค่อยๆ ทบทวนคำพูดของพริมาอย่างถ้วนถี่ จนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าที่เธอพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเธอห่วงเขาจริงๆ ใช่ไหม
ถ้าไม่ใช่ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่
“พริม…นี่เป็นเรื่องที่ฉันต้องคุยกับแทนเท่านั้น” นัยน์ตาพญาเหยี่ยวของพ่อฉายแววไม่พอใจ “ทำตามที่ฉันบอก กลับไปทำงานต่อซะ”
“แต่คุณศักดาคะ ที่แทนตัดสินใจทำโฆษณาให้ไบรเทนฟรีๆ พริมเองก็มีส่วนผิด ถ้าพริมช่วยแทนโน้มน้าวได้ดีกว่านี้ คุณแสงวิทย์ต้องซื้อไอเดียเราแน่นอน…”
“คุณออกไปเถอะ” อินทัชสบตาอ้อนวอนขอให้เธอหยุด…หยุดเปลืองตัวเพื่อปกป้องเขาเสียที เพราะเพียงแค่นี้เขาก็ซาบซึ้งน้ำใจเธอมากพอแล้ว
“…”
“ได้โปรดพริม…ผมขอร้อง”
แต่พริมากลับส่ายหน้า “ไม่ ฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ ถึงฉันจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ แต่คุณก็น่าจะบอกไปตามตรงว่าที่คุณพูดไปแบบนั้น เพราะคุณแสงวิทย์บอกว่าจะยกเลิกสัญญา ไปจ้างเอเจนซี่อื่นมาทำแทนเรา!”
“ว่าไงนะ?!” พ่ออุทานลั่น ราวกับยังไม่รู้ข้อมูลเรื่องนี้มาก่อน
พริมาเห็นอย่างนั้นจึงสูดหายใจลึกตั้งท่าเล่าต่อ “ค่ะ เขาบอกว่าจะให้…”
มือหนาของอินทัชเข้าไปกระตุกข้อมือพริมาอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าเป็นนัยขอร้องให้เธอหยุด อย่าได้หลุดชื่อเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตออกมาเชียว ไม่เช่นนั้นเธอได้เห็นระเบิดลูกใหญ่ลงกลางห้องแน่
พริมามองตอบด้วยแววตาสะท้อนจัด จนอินทัชเผลอคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งว่าเธอกำลังเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ ทำไมเขาต้องห้ามเธอไม่ให้พูดอยู่เรื่อย จนเธอชักจะเหนื่อยจนอยากทรุดกายลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง
ยังไม่ทันที่ใครสักคนจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดใจจนอินทัชคาดเดาไม่ถูกว่าบทสนทนาต่อจากนี้จะดำเนินไปในทิศทางไหน เสียงเคาะประตูบานใหญ่กลับดังขึ้น อินทัชมั่นใจว่าไม่มีใครในเอเจนซี่แอดดิกต์กล้าเคาะห้องทำงานพ่อด้วยจังหวะรัวเร็วแบบนี้ ไม่กี่อึดใจประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดกว้าง ไร้การส่งสัญญาณเพื่อขออนุญาต จนสายตาเจ้าของห้องเปลี่ยนเป็นขุ่นขวาง แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น…ความปีติยินดีพลันเดินทางมาแทนที่ เมื่อพ่อเห็นผู้มาใหม่ปรากฏตัวหน้าประตู
“เซอร์ไพรส์ค่ะพ่อ!”
เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมานานหลายเดือนลอยมาจากด้านหลัง อินทัชหันไปมองเจ้าของเสียงทันควัน
ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องสาวคนเดียวของเขาจะอยู่ที่ห้องนี้…เวลานี้…
อินทร์แก้วกลับมาแล้ว
วาริศทราบความเคลื่อนไหวนี้หลังเปิดดูหน้าโซเชียลมีเดียของอินทร์แก้วบนจอโทรศัพท์มือถือ ภาพถ่ายคู่ศักดาเผยใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ช่างเป็นครอบครัวที่มีความสุขกันเหลือเกิน
“ดูอะไรของแกวะไอ้ริศ” กริชถามด้วยน้ำเสียงแกล้งเย้าขณะเดินถือถ้วยกาแฟร้อนออกมาจากบ้านปูนเปลือยสองชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตความคิดสร้างสรรค์นามเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต แล้วตรงมาหาเขาซึ่งนั่งพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาวบนม้านั่งตัวเก่าใต้ร่มไม้ใหญ่ด้านหน้า “อย่าบอกนะว่ากำลังเหล่สาว”
วาริศรีบกดล็อกหน้าจอมือถือทันที ก่อนที่เพื่อนคนนี้จะรู้ว่าเขากำลังเหล่สาวคนไหน
“รีบปิดเชียวนะแก บอกมาเหอะน่าว่ากำลังเล็งใครอยู่”
“เปล่านี่”
“ไอ้นี่ โกหกหน้าตายตลอด ก็เห็นๆ อยู่ว่ากำลังส่องสาวในเฟซบุ๊ก”
เมื่อเห็นว่ากริชชักจะรู้มากเกินไป วาริศจึงรีบเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องคนใกล้ตัวอีกฝ่ายแทน
“แพร…หายโกรธฉันยังวะ”
แม้เพียงแพรจะไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวหลังรู้ความจริงว่าเขาเป็นคนจัดฉากให้เธอเข้าใจอินทัชผิด แต่วาริศก็รู้ดีว่าเธอยังขุ่นเคืองเขาอยู่ และเลือกที่จะเมินเฉยแทนการตวาดสาดโทสะร้อน อันที่จริง…หากเพียงแพรเลือกทำอย่างหลัง เขายังจะรู้สึกดีเสียกว่าที่เธอเงียบหายไปแบบนี้
“แพรไม่พูดถึงแกเลยว่ะ”
ลึกๆ แล้วกริชคงรู้สึกเคืองเขาอยู่เช่นกัน เมื่อรู้ว่าความรักของตัวเองกับเพียงแพรนั้นเริ่มต้นจากความสัมพันธ์อันบูดเบี้ยวระหว่างเขากับอินทัช
“แม้แต่แกเองก็ยังโกรธฉัน” น้ำเสียงของวาริศเบาเรียบ ปลอบใจตัวเองว่าที่ทำไป…เพราะหวังดีกับเพียงแพรจริงๆ “แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นลืมๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ทำไงได้วะ ถึงโกรธ แต่ก็เกลียดไม่ลง แพรเองก็น่าจะคิดเหมือนฉัน” กริชถอนหายใจ “อีกอย่าง…ฉันกับแพรคุยกันแล้วว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของเรา”
“ได้ยินอย่างงั้นฉันก็สบายใจ ที่ฉันทำไปเพราะอยากให้แกสองคนได้รักกันจริงๆ นะเว้ย”
กริชฝืนยิ้มแห้งอย่างช่วยไม่ได้ “ว่าแต่แกเถอะ ตอนแรกเห็นบอกจะไม่มางานแต่งฉัน ทำไมถึงนึกเปลี่ยนใจกะทันหัน”
“ก็แค่สังหรณ์ใจว่าหมอนั่นจะมาพังงานแกกับแพร”
กริชพยักหน้าราวกับยอมรับว่าการให้เหตุผลของเขาเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ “แล้วแก…ได้ข่าวเจนบ้างรึเปล่า”
วาริศส่ายหน้าแทนคำตอบ ด้วยความสัตย์จริง…นับตั้งแต่วันนั้นเขาไม่ได้ข่าวคราวของเจนอีกเลย คงหมดหน้าที่ของเจนแล้ว หล่อนเลือกมาปรากฏตัวที่งานเพราะต้องการช่วยอินทัชเพื่อล้างตราบาปในใจ ก่อนจากไปพร้อมกับความเจ็บปวด
“เอ้อ เกือบลืมบอก พ่อฉันให้มาตามแกไปเจอที่ห้องหน่อย เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
วาริศพยักหน้ารับทราบ ในใจเดาว่าเรื่องที่คุณอาธนาอยากหารือด้วยนั้นไม่น่าใช่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว เขาบอกกริชว่าขอเวลานั่งทอดอารมณ์อัดบุหรี่ให้หมดมวนพลางชมนกชมไม้ต่อสักห้านาที แล้วจะรีบขึ้นไปพบเจ้าของเอเจนซี่ตามคำสั่ง
กระทั่งเข็มนาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่อยากเอนกายเพลิดเพลินกับชั่วโมงผ่อนคลายพาตัวเองหลีกหนีจากงานเป็นการชั่วคราว วาริศจำต้องลุกจากม้านั่ง กลับเข้าไปในอาคารปูนเปลือยสองชั้นอีกครั้ง มุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของคุณอาธนาบนชั้นสอง
“งานประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมปีนี้ อาตั้งใจจะให้เราช่วยทำโฆษณาเพิ่มให้ลูกค้าเก่าสักสามราย ไว้ใช้ส่งประกวดที่จะหมดเขตส่งอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า” คุณอาธนาเอ่ยขึ้นทันทีที่วาริศหย่อนกายนั่งบนโซฟากลางห้อง
“คุณอาจะให้ผมทำงานสแกม*?”
“ก็ไม่เชิง…” คนสูงวัยกว่าเว้นช่วงหยิบถ้วยชาร้อนบนโต๊ะกลางขึ้นจิบ “เราจะทำเพื่อเสนอลูกค้าเพิ่มเติมจากแคมเปญเดิม ถ้าลูกค้าชอบและสนใจซื้อไอเดียสำหรับส่งประกวด เราจะใช้เป็นโฆษณาจริงด้วย”
“ก็ดีครับ จะได้ไม่เสียแรงทำเพียงเพราะอยากส่งประกวดเฉยๆ”
เพราะสิ่งที่เอเจนซี่โฆษณาขายให้ลูกค้าคือไอเดียซึ่งหยิบจากอากาศมาปั้นเป็นตัว ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนสบู่หรือยาสีฟัน ในโลกโฆษณา…รางวัลจึงถือเป็นหลักประกันความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าเอเจนซี่นั้นๆ สามารถผลิตไอเดียคุณภาพป้อนพวกเขาได้อย่างแน่นอน เห็นได้จากลูกค้าหลายรายตัดสินใจเลือกเอเจนซี่ที่อยากร่วมงานด้วยจากคุณภาพของงานและปริมาณของโล่รางวัล
“ทุกไอเดียที่ส่งประกวดของแอคต์แพลเน็ตจะต้องเป็นผลงานที่ลูกค้าเอาไปใช้ต่อได้จริง”
คุณอาธนายืนยัน แล้วจัดการแจกแจงรายละเอียดสินค้าที่ต้องการให้วาริศช่วยทำโฆษณาประกวด เขาและคุณอาใช้เวลานั่งคุยเรื่องงานเกือบชั่วโมงในการทำความเข้าใจโจทย์ต่างๆ
ก่อนปล่อยเขากลับไปทำงานต่อ เจ้าของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตไม่ลืมเบนทิศบทสนทนาแวะเวียนไปยังฝั่งแอดดิกต์เหมือนเช่นทุกครั้ง
“ได้ข่าวมาว่ามีคนส่งพัสดุประหลาดไปให้ศักดากับลูกชาย”
“ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ”
คุณอาธนาหัวเราะร่วนอย่างรู้ทันว่าใครเป็นคนส่งมันไป แล้ววกกลับมาที่หัวข้องานประกวดรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมประจำปีต่อ “ทุกๆ ปีจะมีการมอบรางวัล ‘สุดยอดคนโฆษณาแห่งปี’ แก่คนที่ได้ทำคุณงามความดีให้กับวงการ”
“…”
“อาพอจะได้ข่าวแล้วล่ะว่าใครได้รางวัลที่ว่าในปีนี้”
* Scam AD คือโฆษณาที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งประกวดโดยไม่มีผู้ว่าจ้าง ไม่เคยนำเสนอต่อสาธารณชนมาก่อน หรืออาจเป็นงานที่เจ้าของสินค้าไม่ซื้อไอเดียนั้นๆ แต่ต้องการส่งประกวดเพราะเอเจนซี่เห็นว่าเป็นไอเดียที่แรง สแกมแอดจึงเปรียบเหมือนพื้นที่ปล่อยจินตนาการสำหรับครีเอทีฟ
บทที่ 11
บุตรสาวของศาสดา
รอยยิ้มปลื้มปีติบนใบหน้าพ่อมลายหายไปสิ้น อินทัชสัมผัสได้ถึงความร้อนและความโกรธพุ่งมาแทนที่ ทันทีที่ลูกสาวคนเล็กสารภาพความจริงหลังปกปิดมาตลอดห้าปี
“ทำแบบนี้ทำไม?!” พ่อย้อนถามอินทร์แก้วอย่างฮึดฮัดขัดใจ
“แก้วขอโทษค่ะพ่อ แก้วรู้ว่าแก้วผิดที่ไม่ได้ขออนุญาตพ่อตั้งแต่แรก…” อินทร์แก้วพยายามอธิบายให้คนเลือดขึ้นหน้าเข้าใจการตัดสินใจของเธอ “แต่แก้วไม่อยากเรียนการตลาดอย่างที่พ่ออยากให้เรียนจริงๆ อีกอย่าง…การที่แก้วเปลี่ยนไปเรียนทำหนังก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน”
ดวงหน้าของอินทร์แก้วซีดลงจนเห็นได้ชัด อินทัชสงสารเธอจับหัวใจ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนเคียงข้างและกุมมือเย็นเฉียบของน้องสาวอย่างให้กำลังใจ ทั้งที่ใจจริงอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้อินทร์แก้วรอดพ้นจากอาณาเขตความโกรธของพ่อ แต่อินทัชกลับนึกกลัว ใจสั่นระรัวทุกครั้งที่อยากเปล่งวาจาปกป้องการตัดสินใจของอินทร์แก้ว
“ผมเชื่อว่าแก้วคิดดีแล้ว…” อินทัชพูดได้เพียงแค่นั้น จนรู้สึกอดสูในหัวใจอย่างรุนแรง
“แกเองก็รู้เรื่องนี้?” พ่อตวัดนัยน์ตาเหยี่ยวคู่ขวางมาที่เขา “ในเมื่อรู้แล้วทำไมไม่รู้จักห้ามน้อง นี่แก…ยังหลงเหลือความเป็นพี่อยู่รึเปล่าเจ้าแทน?!”
อินทัชถอนหายใจ ไม่ว่าใครทำอะไรผิด พ่อมักดึงเขาไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเหล่านั้นเสมอ
“พ่อคะ เรื่องนี้เป็นความผิดของแก้วคนเดียว พ่ออย่าดึงแทนเข้ามาเกี่ยวเลยนะคะ แทนห้ามแก้วแล้ว แต่แก้วดึงดันจะเปลี่ยนไปเรียนทำหนังเอง”
พ่อได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับบีบขมับอย่างกลัดกลุ้ม “แล้วไง คิดว่าจะหนีงานที่เอเจนซี่นี้พ้นเหรอ” น้ำเสียงของพ่อเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ฉันมีสองอย่างให้เลือก เออี…หรือว่าแพลนเนอร์”
“แก้วไม่เลือก จะเออีหรือว่าแพลนเนอร์ แก้วก็ไม่เลือก”
“อินทร์แก้ว!”
“ที่แก้วกลับมาจากอเมริกา เพราะแก้วอยากบอกความจริงให้พ่อรู้ พ่อไม่ต้องเข้าใจแก้วก็ได้ แค่ยอมรับการตัดสินใจของแก้วก็พอ”
อินทร์แก้วเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา อาจเพราะเธอเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดีเสมอมา จึงคิดว่าพ่อน่าจะยอมรับการตัดสินใจของเธอได้ไม่ยากเย็น
แต่อินทร์แก้วอาจหลงลืมอะไรบางอย่างไปว่าพ่อเกลียดคนโกหกมากแค่ไหน ยิ่งปิดบังความจริงมานานหลายปี แล้วค่อยมาสารภาพทีหลังเช่นตอนนี้ ยิ่งทำให้พ่อรู้สึกเหมือนคนโง่ไม่ผิดเพี้ยน
พ่อนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ ชวนให้อินทัชรู้สึกกระวนกระวายใจแทนน้องสาวอย่างยิ่ง เพราะนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก พ่อน่าจะกำลังครุ่นคิดหาทางออกสักทาง และแน่นอนว่าไม่ใช่ทางออกที่อินทร์แก้วต้องการ
“ไก่ นี่ฉันเอง…” พ่อกรอกเสียงลงหูโทรศัพท์ภายใน ปลายสายคือปีย์รกาหัวหน้าแผนกเออี “ฉันจะให้พนักงานใหม่เข้ามาช่วยงานที่แผนกเออี…ชื่ออินทร์แก้ว…ใช่ ลูกสาวคนเล็กฉันเอง เพิ่งกลับจากอเมริกามาหมาดๆ ยังไงฝากโอนลูกค้าใหม่มาให้อินทร์แก้วดูแลด้วยนะ…โอเค ขอบใจมาก”
“พ่อคะ!” น้ำใสๆ รื้นขอบตา ความหวังดีของพ่อ…เธอไม่อยากรับไว้เลยสักนิด
“มีลูกสองคน ไม่มีคนไหนได้ดั่งใจเลยสักคน” พ่อพึมพำอย่างนั้นราวกับต้องการระบายความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
แต่จะรู้บ้างไหมว่าเขากับอินทร์แก้วได้ยินแล้วรู้สึกเช่นไร
เจ็บปวด…น้อยใจ…เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย
ตะวันคล้อยต่ำหลบหลีกผู้คนไปนานแล้ว แต่ดวงหน้าของอินทร์แก้วยังคงหม่นหมอง เข้ากันดีกับทำนองหดหู่ของเสียงเปียโนภายในบาร์บริเวณโถงล็อบบี้โรงแรมห้าดาว ขณะเข็มนาฬิกาล่วงสู่ช่วงเวลาสามทุ่มเป็นที่เรียบร้อย
วาริศไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือความบังเอิญที่ชอบเล่นกล ชักใยให้ลูกค้าเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตนัดเขามาทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารไทยเลื่องชื่อในโรงแรม จนได้มาพบอินทร์แก้วหลังแยกย้ายจากลูกค้าซึ่งขอตัวกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว
เขาจำอินทร์แก้วได้ตั้งแต่แรกเจอ อาจเป็นเพราะทำการบ้านมาดี อาศัยการจดจำรูปร่างและใบหน้าจากบรรดาภาพถ่ายในโซเชียลมีเดีย ประกอบกับอินทร์แก้วมักเผยให้เห็นถึงบุคลิกร่าเริงสดใส ควรค่าแก่การมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำได้ขึ้นใจ โดยเฉพาะดวงตากลมโตสุกใส เข้ากันดีกับจมูกโด่งและปากอิ่มบนใบหน้าขาวเนียน แม้จะไม่สวยหมดจดเท่าพริมา แต่วาริศลงความเห็นในใจว่าอินทร์แก้วมีเสน่ห์ชวนมองไม่แพ้ผู้หญิงคนไหนๆ
แต่เหตุไฉนบุตรสาวของศาสดาโฆษณาไทยถึงได้มีใบหน้าอมทุกข์ราวกับโลกทั้งใบจะถล่มลงตรงหน้า ทั้งที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ เป็นวันแรก
วาริศหย่อนกายลงบนโซฟาบุหนังสีดำไม่ใกล้ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์บาร์ที่อินทร์แก้วนั่งอยู่ เขาเห็นเธอชัดทุกอากัปกิริยา ทั้งสีหน้าและแววตา รวมถึงมือเรียวขณะล้วงโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังส่งเสียงร้องออกจากกระเป๋ากางเกง อินทร์แก้วจ้องหน้าจอมือถือได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ตัดสายไป ไม่ทันไรน้ำตาพานไหลอาบแก้มเนียน เขาจับสังเกตเห็นเธอพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดกำลัง แล้วยกแก้วกระดกวิสกี้รสเข้มจนหมด และเป็นเช่นนั้นไปอีกหลายแก้ว
หนึ่งชั่วโมงถัดมา อินทร์แก้วคงรับรู้ว่าเผลอดื่มเกินลิมิตตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวจึงกวักมือเรียกพนักงานคิดค่าเสียหาย แล้วค่อยๆ ยันตัวเองจากเคาน์เตอร์บาร์ สะพายกระเป๋าหมายออกไปจากล็อบบี้โรงแรม ฤทธิ์แอลกอฮอล์คงปั่นหัวอินทร์แก้วอย่างหนักหน่วงจนเดินเซไปชนกับขอบโซฟาหรูตัวยาวหน้าเคาน์เตอร์เช็กอินเข้า ไม่ถึงอึดใจ…สติของร่างบางพลันดับวูบ
โชคดีที่วาริศเข้าไปประคองร่างบางไว้ได้ทัน
ความจริงเขาเดินตามมาติดๆ ตั้งแต่เธอลุกจากเก้าอี้บาร์ ชนิดที่หญิงสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใครคนหนึ่งคอยสังเกตการณ์มาตลอด
“คุณแก้ว…คุณแก้ว…”
เขาเรียกชื่อเธอซ้ำๆ คล้ายหวังดึงสติเธอกลับคืน แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการแสดงฉากบังหน้าให้พนักงานโรงแรมเข้าใจว่าเขากับเธอต่างรู้จักกันดี ก่อนจะจัดการกระชับร่างบางให้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แล้วพาไปยังอาคารจอดรถ จังหวะที่วาริศสตาร์ตเครื่องยนต์ เขาได้ยินโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายของอินทร์แก้วสั่นคราง ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะเปิดดู พบว่าเจ้าของสายที่โทรเข้ามานั้นคืออดีตเพื่อนรัก
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่าอินทัช ไว้ ‘พี่ชายแปลกหน้า’ คนนี้จะดูแลน้องสาวของแกเป็นอย่างดีเอง
เผลอๆ อินทร์แก้วอาจติดใจ ไม่อยากอยู่ห่างเขาตลอดไปเลยก็ได้
กระทั่งช่วงสายของวันรุ่งขึ้น สิ่งที่วาริศคำนวณไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพลันเดินทางมาถึง ขณะเปิดประตูห้องนอนบนชั้นสองของบ้านป้าแหวน ร่างบางของอินทร์แก้วยังนอนขดใต้ผ้าห่มผืนหนาก็จริง แต่เปลือกตาจากที่เคยหลับสนิทมาตลอดทั้งคืนเปลี่ยนเป็นค่อยๆ ลืมขึ้น สำรวจภาพข้าวของเครื่องเรือนภายในห้องอย่างพิจารณา ก่อนสายตาจะประสานเข้ากับเขาพอดี อินทร์แก้วถึงตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของศักดาหรือคอนโดมิเนียมของอินทัช
หญิงสาวเด้งตัวลุกขึ้นนั่งโดยทันทีเมื่อสติคืนสู่ร่างอย่างสมบูรณ์ วาริศสังเกตเห็นลมหายใจอินทร์แก้วถี่รัว แววตานิ่งไปราวกับกำลังสาวเชือกดึงเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดมาปะติดปะต่อ เธอดื่มไปมากจนไม่อาจจำได้แม้แต่เสี้ยวเดียวเลยด้วยซ้ำว่าหมดสติไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ในห้องนอนคนแปลกหน้าแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอครับ” วาริศคลี่ยิ้มบางทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
ดวงตากลมโตของอินทร์แก้วแทบเหลือกถลน เมื่อก้มลงมองตัวเองใต้ผ้าห่มแล้วเห็นเสื้อยืดสีเทากับกางเกงเลสลับกับใบหน้าเขา จินตนาการของเธอคงเตลิดไกลไปถึงไหนต่อไหนว่าทำไมเธอถึงอยู่ในชุดนี้ นี่ไม่ใช่ชุดที่เธอใส่เมื่อคืนนี่
“คุณเป็นใคร?!” เธอร้องถาม ปากสั่นละล่ำละลัก
“ใจเย็นคุณ…ฟังผมก่อน”
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร?!”
อินทร์แก้วรีบลุกจากเตียงเมื่อเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้ แต่ดูเหมือนร่างบางจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่จนถอยกรูดชิดผนัง กวาดสายตาทั่วห้องนอนมองหาอาวุธ แต่กลับไม่มีอะไรช่วยปกป้องเธอได้ดีไปกว่าหมอนข้าง เพราะห้องนี้เป็นห้องนอนที่ป้าแหวนจัดเตรียมไว้สำหรับรับรองแขกหรือเวลาญาติจากต่างจังหวัดเดินทางมาเยี่ยม
“อย่าเข้ามานะ คนเลว คนฉวยโอกาส แกมันเลวที่สุด แกทำกับฉันแบบนี้ได้ไง!” ไม่น่าเชื่อว่าจินตนาการของเธอบัดนี้จะขยายใหญ่จนไร้ขอบเขต
“ไปกันใหญ่แล้วคุณ”
“…”
วาริศถอนหายใจ ยกมือทั้งสองข้างแทนนัยขอให้เธอใจเย็น “ผมไม่ใช่คนเลวอย่างที่คุณคิดหรอกน่า”
“โกหก!” น้ำใสๆ เอ่อรื้นดวงตากลมโต
“ผมไม่ได้โกหก”
“อย่าเข้ามานะ!” อินทร์แก้วกรีดร้องลั่นบ้าน ท่าทางตื่นตระหนกถึงขีดสุด สุดท้ายความชุลมุนเล็กๆ ระหว่างเขากับเธอก็ถึงคราวสิ้นสุดลง เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเหยียบขั้นบันไดไม้ขึ้นชั้นสองตรงมาที่ห้องนี้ทันที
“เกิดอะไรขึ้น” ป้าแหวนกุลีกุจอแววตาตื่น
“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า เธอแค่ตกใจ ปัญหาคือผมพยายามอธิบาย แต่เธอไม่ยอมฟัง” วาริศหันไปทางอินทร์แก้วอีกครั้ง “นี่คุณ…ผมไม่ใช่พวกบ้ากามอย่างที่คุณคิดหรอกน่า”
“แล้วทำไมฉัน…ถึงอยู่ในชุดนี้ได้”
“ป้าเป็นคนเปลี่ยนให้หนูเองจ้ะ เมื่อคืนหนูอาเจียนรดชุดตัวเองเต็มไปหมดเลย”
“คุณดื่มหนักมากเลยนะรู้ตัวบ้างมั้ย” วาริศสำทับ “ผมเห็นคุณเมาสลบที่ล็อบบี้โรงแรม เราสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน ผมเลยไม่รู้จะไปส่งที่บ้านคุณยังไง แถมแบตฯ มือถือคุณดันมาหมดอีก ผมเองก็ไม่กล้าทิ้งคุณไว้แถวนั้น เพราะเห็นว่ามาคนเดียว”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงอินทร์แก้วอ่อนลง ทว่าความรู้สึกเคลือบแคลงใจยังคงปรากฏในดวงตา
“จริง” วาริศยืนยันหนักแน่น
“ป้าเป็นพยานได้” ป้าแหวนส่งยิ้มให้อินทร์แก้วอย่างเอ็นดู “หลานป้าไม่ใช่คนร้ายที่ไหนหรอก หนูเชื่อใจพวกเราได้”
กว่าจะเกลี้ยกล่อมอินทร์แก้วให้สงบลงได้ เล่นเอาวาริศกับป้าแหวนแทบไม่ต้องทำงานทำการอย่างอื่น หญิงสาวหายตัวไปในห้องน้ำราวครึ่งชั่วโมง ก่อนกลับมาอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อคืนซึ่งป้าแหวนจัดการซักล้างพร้อมปั่นแห้งผึ่งแดดแรงยามเช้าให้เรียบร้อย
ป้าแหวนชวนอินทร์แก้วมาร่วมโต๊ะอาหารทานข้าวต้มปลาร้อนๆ ด้วยกัน ร่างบางปฏิเสธเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามวาริศ พร้อมกล่าวขอบคุณเขากับป้าแหวนที่ช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ป้าแหวนบอกไม่เป็นไร รีบกินมื้อเช้าเถิดจะได้กลับบ้าน ป่านนี้ครอบครัวเธอคงเป็นห่วงแย่ แต่สีหน้าของอินทร์แก้วกลับสลดลง จนวาริศอดฉงนไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ เขาจึงเลือกเงียบไปก่อน หากเธอพร้อม…คงเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเอง
“สภาพฉันเมื่อคืน…คงดูไม่ค่อยได้” อินทร์แก้วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้าแหวนลุกจากโต๊ะหลังจัดการข้าวต้มปลาเสร็จ กลับเข้าไปสาละวนกับงานในครัวต่อ
“ก็นิดหน่อยครับ”
วาริศตอบเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เขาเห็นอินทร์แก้วทำหน้าเหยเก ราวกับไม่อยากนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อคืนเอาเสียเลย
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้ แล้วก็…ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณผิดไป”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย”
“ว่าแต่…คุณมีสายชาร์จไอโฟนมั้ยคะ แบตฯ มือถือฉันน่าจะหมดตั้งแต่เมื่อคืน”
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมลืมสายชาร์จไว้ที่ทำงาน ส่วนของป้าผมเป็นมือถือแอนดรอยด์ ใช้กับไอโฟนไม่ได้ซะด้วย”
คราวนี้สีหน้าของอินทร์แก้วเปลี่ยนไปเป็นครุ่นคิด “ถ้าอย่างงั้น…ฉันรบกวนขอยืมมือถือคุณโทรหาที่บ้านหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้สิครับ” เขายื่นมือถือซึ่งแบตเตอรี่เหลืออยู่เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ให้
สงสัยเสียจริงว่าเธอจะใช้โทรศัพท์เขาโทรเข้าเครื่องใครกัน
ศักดา…สราลี…หรือว่าอินทัช
“ฮัลโหลแทน” อินทร์แก้วทักทายปลายสายพลางสบตาค้อมศีรษะให้เขาแทนคำขอบคุณ “โทษที พอดีแบตฯ มือถือหมดน่ะ…ตอนนี้แก้วอยู่บ้าน…เพื่อน แทนแวะมารับแก้วที่บ้านเพื่อนก่อนได้มั้ย เอากระเป๋าเดินทางแก้วมาด้วยนะ เมื่อวานโกรธพ่อมากเลยลืมลากออกมาด้วย…ที่ไหนน่ะเหรอ เอ่อ แป๊บนึงนะ…” อินทร์แก้วเอ่ยเสียงกระซิบถามวาริศ “ขอที่อยู่หน่อยได้มั้ยคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กและดินสอแท่งสั้นบนชั้นวางข้างจอโทรทัศน์ เขียนที่อยู่ด้วยลายมือยุกยิกแล้วยื่นให้ อินทร์แก้วเห็นแล้วถึงกับย่นหัวคิ้วพยายามแกะลายมืออ่านยากของเขาบอกให้อินทัชรู้ ก่อนจะกำชับให้พี่ชายรีบมารับโดยด่วน
“ลายมือคุณอ่านยากมากเลยค่ะ” เธอยิ้มพลางยื่นมือถือคืน
“จริงเหรอครับ มีคนเคยบอกว่าลายมือสะท้อนตัวตนคนเขียน แต่ผมว่า…ผมไม่น่าใช่คนอ่านยากขนาดนั้นนะ” เขายิ้มตาพราวให้เธอ “ความจริงผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านได้นะครับ ไม่เห็นต้องให้ที่บ้านขับมารับเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีฉันจะให้พี่ขนกระเป๋าเดินทางมาให้ด้วย อีกสักครึ่งชั่วโมงน่าจะมาถึง”
“คุณเพิ่งกลับจากเที่ยวเหรอครับ”
“ฉันเพิ่งเรียนจบค่ะ”
“ยินดีด้วยนะครับ” เขารู้ดีว่ากำลังส่งยิ้มบาดตาให้เธอ “ว่าแต่…ขอโทษนะครับที่ต้องถาม เมื่อคืนผมเห็นคุณร้องไห้ทั้งตอนนั่งรถแล้วก็ตอนนอน มีอะไรรึเปล่าครับ เผื่อผมจะช่วยคุณได้”
รอยยิ้มในดวงตาอินทร์แก้ววูบลงทันใด วาริศเองพลันนิ่งงันไปอย่างรู้งานว่าควรแสดงออกทางสีหน้าและแววตาอย่างไร ก่อนจะพร่ำขอโทษอินทร์แก้วเป็นการใหญ่ที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวทั้งที่เจอกันเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดี…ฉันทะเลาะกับพ่อมานิดหน่อย”
“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณกับพ่อทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ลองคิดในแง่ดีสิครับว่าโชคดีแค่ไหนที่ยังมีพ่อให้ทะเลาะด้วย…”
จนถึงตอนนี้อินทร์แก้วคงจับได้ถึงร่องรอยความเศร้าในดวงตาเขาเต็มทน
“พอดี…พ่อผมเสียไปหลายปีแล้วน่ะครับ พอเห็นใครทะเลาะกับพ่อ ผมจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
“คุณกับพ่อคุณ…คงสนิทกันมาก”
วาริศยิ้มรับ สบตาเธออย่างซาบซึ้งในน้ำใจใสซื่อ อินทร์แก้วคงไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาเอ่ยปลอบใจคนไม่มีพ่ออย่างเขา
พอเห็นเขาซึมไปถนัดตาอินทร์แก้วจึงพยายามชวนคุยเรื่องอื่น เธอดึงเขาเข้าสู่บทสนทนาว่าด้วยเรื่องประสบการณ์การท่องเที่ยวหลังเรียนจบ หญิงสาวสวมบทเป็นแบ็กแพ็กเกอร์ท่องไปในเอเชียและยุโรปมาแล้วหลายต่อหลายประเทศด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่หามาได้ขณะเรียน พอเขาถามว่าเธอชอบประเทศไหนมากที่สุด อินทร์แก้วตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไต้หวัน เขาถามต่อว่าทำไมถึงชอบไต้หวัน อินทร์แก้วจึงเล่าว่าไม่อาจบอกเหตุผลได้ รู้แค่ว่าชอบมากๆ ก็เหมือนคนเราเวลาชอบใครสักคน ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยว่าเป็นเพราะเหตุใด รู้อีกทีก็ชอบคนคนนั้นชนิดถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
แม้คำพูดคำจาของอินทร์แก้วจะดูพยายามโรแมนติกเกินไปหน่อย แต่อาจเป็นเพราะเธอได้เชื้อชอบพูดคำคมจากศักดา จึงนับว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้
รีวิวท่องเที่ยวของอินทร์แก้วจบลงภายในสามสิบนาที เมื่อเสียงเรียกเข้ามือถือของวาริศดังขึ้น หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอคงเป็นของอินทัชไม่ผิดแน่ วาริศจึงยื่นให้อินทร์แก้วรับสาย
“มาถึงแล้วเหรอ…” อินทร์แก้วหมุนคอมองออกไปนอกหน้าต่างเหล็กดัด “โอเค ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พอเห็นอินทร์แก้วกดวางสายเขาจึงไม่พลาดส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ จนหญิงสาวนิ่งค้างไปราวกับมีความรู้สึกบางอย่างสะกิดเข้าที่หัวใจ
“เอ่อ ขอตัวกลับก่อนนะคะ กวนคุณกับคุณป้ามานานมากแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ คราวหน้าคราวหลังก็…อย่าไปเมาแบบนี้ที่ไหนอีกนะครับ ผมเป็นห่วง”
อินทร์แก้วกะพริบตาปริบๆ แววตาสะท้อนชัดว่าไม่กล้าตีความหมายประโยคท้ายนัก “เป็นห่วงคนอื่นใช่มั้ยคะ เดี๋ยวจะมาซวยเหมือนคุณเข้า”
วาริศได้ยินอย่างนั้นพลันหัวเราะร่วนให้กับไหวพริบของเธอ
“ไปก่อนนะคะ ขอบคุณคุณมากจริงๆ” เธอโบกมือลา ดวงตากลมโตสารภาพว่ารู้สึกใจหายวาบประหลาด “ว่าแต่…เราสองคนยังไม่รู้จักชื่อกันเลย บอกได้มั้ยคะว่าคุณชื่ออะไร”
“ขอไม่บอกตอนนี้ได้มั้ยครับ”
“…”
“ไว้ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง บอกตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“หายไปไหนมาทั้งคืน ทำไมติดต่อไม่ได้เลย”
อินทร์แก้วนั่งยังไม่ทันติดเบาะรถดี คนเป็นพี่ก็เริ่มกระบวนการสอบสวนขณะกลับรถหน้ารั้วสีขาวของบ้านอีกหลังซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ บ้านที่อินทร์แก้วเพิ่งออกมาเมื่อครู่
“ก็…ออกไปดื่มนิดหน่อย เห็นคนบางคนชอบดื่มตอนเป็นทุกข์บ่อยๆ ก็เลยจำมาทำตาม”
อินทัชโดนย้อนจนสะอึก ไม่นึกเลยว่าคนเป็นน้องสาวจะลอกเลียนแบบวิธีแก้กลุ้มไปจากเขา
“แล้วนั่นบ้านใคร” อินทัชถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องในทันใด
“ก็…บ้านเพื่อนไง”
“เพื่อนคนไหน” เขาจำได้แม่นว่านี่ไม่ใช่บ้านของ ‘ปลา’ เพื่อนสนิทอินทร์แก้วที่เขารู้จักแน่นอน
“เพื่อนของยายปลาอีกที แทนไม่รู้จักหรอก”
“ให้มันจริงเหอะ อย่าให้รู้นะว่าซุกหนุ่มไว้แล้วไม่ยอมเล่าให้ฟัง”
“บ้าเหรอ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานเองนะ จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำแบบนั้น”
“เมื่อคืน…แม่โทรหาแก้วทั้งคืนเลยนะรู้มั้ย”
อินทร์แก้วถอนหายใจเมื่อนึกได้ว่าการหายตัวไปตลอดทั้งคืนทำให้ใครบางคนวุ่นวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่นั่งกังวลว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร “แก้วนี่แย่จริงๆ ทำให้แม่เป็นห่วงตลอดเลย”
“พ่อเองก็ห่วงแก้วนะ”
อินทร์แก้วนิ่งไป หันมามองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจเต็มกำลัง “แทนรู้ได้ยังไง พ่อฝากมาบอกเหรอ”
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ พ่อคนไหนไม่ห่วงลูกบ้าง” เขาพูดออกมาอย่างนั้นราวกับปลอบใจตัวเองในคราวเดียว
“แทนนี่ก็แปลกคน พ่อดุแทนบ่อยขนาดนี้ยังจะปกป้องอีก ไม่รู้ล่ะ ยังไงแก้วก็ไม่ยอมเป็นเออีที่แอดดิกต์เป็นอันขาด”
“จะต้านได้สักกี่น้ำเชียว” อินทัชพึมพำ เขามองไม่เห็นทางออกเลยว่าอินทร์แก้วจะปฏิเสธคำสั่งผู้บัญชาการได้
ขณะนึกหาหนทางช่วยเหลือน้องสาว อินทัชปล่อยให้ความคิดเตลิดไปถึงเรื่องอื่น…เรื่องที่เขายังไม่ได้เริ่มทำงานโฆษณาส่งเวทีประกวดโฆษณายอดเยี่ยมระดับประเทศที่กำลังจะหมดเขตส่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากพริมารู้เข้าว่าในหัวของเขากลวงโบ๋แค่ไหน เธออาจจะเรียกเขาขึ้นไปคุยลำพังบนสวนลอยฟ้า ร่ายยาวถึงคุณสมบัติการเป็นครีเอทีฟที่ดีชุดใหญ่จนหูของเขาชาก็เป็นได้
“ยิ้มอะไรน่ะ”
“…”
“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแบบนี้ คิดถึงใครอยู่แน่ๆ”
“เปล่าสักหน่อย” อินทัชไม่ค่อยเข้าใจหางเสียงขึ้นสูงของตัวเองนัก ให้ตายเถอะ…เขาเผลอยิ้มออกไปจริงๆ หรือนี่
“จริงอ่ะ” อินทร์แก้วเย้าไม่เลิก
“ก็เออน่ะสิ ถามได้”
พริมากับอินทัชจำต้องทำงานด้วยกันที่ออฟฟิศจนดึกดื่นหลายคืน หลังฤดูกาลเผางานโฆษณาส่งประกวดเวทีระดับประเทศหมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ไหนจะงานลูกค้าเจ้าประจำพร้อมใจประเดประดังดุจมรสุมกำลังแรง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพ บริษัทประกันชีวิต น้ำอัดลมยี่ห้อดัง และร้านขายโคมไฟไบรเทน โดยเฉพาะรายหลัง แสงวิทย์นับเป็นลูกค้าสายโหดกว่าที่พริมาประเมินไว้มาก เขาโยนไอเดียของเธอกับอินทัชทิ้งไปหลายชิ้นกว่าจะตัดสินใจได้ว่าเลือกชิ้นไหนเพื่อไปผลิตเป็นผลงานจริง เล่นเอาทั้งคู่แทบหมดพลังทั้งกายและใจ
อินทัชอาสาไปส่งพริมาที่บ้านริมน้ำขณะขับรถผ่านย่านเกาะรัตนโกสินทร์ เขาบอกเธอว่าวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน อยากดื่มเบียร์สักกระป๋องให้ชื่นใจ พริมาจึงบอกเขาไปว่ากระป๋องเดียวน่ะพอไหว แต่ถ้าถึงขั้นดื่มจนเมาเธอไม่ขอเอาด้วย
เมื่อได้รับอนุญาตจากพริมาว่าดื่มได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขว่าห้ามเกินหนึ่งกระป๋องเป็นอันขาด อินทัชจึงแวะร้านสะดวกซื้อข้างหน้าทันที ร่างสูงลงจากรถแล้วหายไปในร้านราวห้านาที ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงพลาสติกสีขาวบรรจุเบียร์สองกระป๋องต่างยี่ห้อแล้วยื่นให้เธอช่วยถือ พริมามองอย่างงุนงง นี่เขาคงไม่ได้ซื้อมาเผื่อเธอใช่ไหม
ลมแม่น้ำเจ้าพระยาหอบไอเย็นพาดผ่าน พริมาและอินทัชเลือกหย่อนกายนั่งเหนือขอบปูนริมตลิ่งในสวนสาธารณะบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านพริมา เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังขึ้นสองครั้งไล่เลี่ยกัน หญิงสาวอดค่อนขอดเขาไม่ได้ที่เลือกเบียร์อีกยี่ห้อให้เธอ แทนที่จะเลือกยี่ห้อเดียวกันกับเขา เพราะรสชาติของมันแสนจะบางเบาจนไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังดื่มเบียร์อยู่ พออินทัชเสนอให้เปลี่ยนกับกระป๋องในมือเขา พริมากลับส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร เธอไม่ใช่คนประเภทคิดเล็กคิดน้อย ถึงจะไม่ประทับใจกับการร่ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังกล่าวมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้เสียเลย
“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากดื่มขึ้นมา” สุดท้ายพริมาก็อดถามอินทัชไม่ได้
“อาจเป็นเพราะเหนื่อยมั้ง” อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มยกกระป๋องขึ้นกระดกอีกอึก “พอกลับถึงคอนโดฯ ผมสั่งตัวเองให้เลิกคิดงานไม่ได้เลย แม้แต่ในฝัน ผมยังเก็บไปคิดต่อ หนีไม่พ้นจริงๆ”
รอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนก็จริง แต่กลับแฝงไปด้วยไฟอันลุกโชนในดวงตาที่พริมาปรารถนาจะสัมผัสมันมาตลอดตั้งแต่แรกเริ่มทำงานด้วยกันจากคู่หูเธอ
“ดูจากที่เล่าแล้ว ก็น่าสนุกดีนี่” เธอรู้สึกเช่นนั้นอย่างที่พูด
“ใช่ ผมฝันว่าได้คิดไอเดียที่สุดยอดมากๆ ด้วยล่ะ แต่พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็หายวับไปกับตา”
“น่าเสียดาย ไม่แน่นะ ไอเดียที่ว่าอาจคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ปีนี้ก็ได้”
อินทัชหันมามองพริมาด้วยแววตาประหลาดจนเธอรู้สึกว่าเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาเธอ
“รู้อะไรไหม แม้แต่ในฝัน…คุณยังตามไปอยู่ในนั้นเลย”
เบียร์รสบางที่พริมาเพิ่งจิบไปกลับกลืนลงคออย่างยากลำบาก หญิงสาวไม่แน่ใจนักว่านัยที่เขาต้องการสื่อคืออะไร เธอจึงทำได้เพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อนความอึดอัดใจอันน่าพิศวงจนหายใจไม่ทั่วปอด หลังได้ยินคำยืนยันความรู้สึกบางอย่างจากปากอินทัชว่าผู้หญิงอย่างเธอนั้น…ตามไปอยู่ถึงในฝันของเขา
“คุณจะบอกว่า…ฉันตามไปวุ่นวายถึงในฝัน ทำให้คุณรำคาญมากสิท่า” เธอพยายามฉีกประเด็นไปอีกทิศ หลีกเลี่ยงบทสนทนาอันนำไปสู่เรื่องบางเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ
อินทัชเองดูเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรแปลกๆ ออกมา เธอเห็นเขาลอบถอนหายใจอย่างไม่อยากเชื่อ ความเงียบค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนเขาและเธอต่างได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน พริมาจึงหันมายกเบียร์ขึ้นจิบต่อ อย่างน้อยก็ช่วยขจัดอาการทำอะไรไม่ถูกไปได้บ้าง
“น้องสาวคุณ…ตกลงจะไม่มาเริ่มงานที่แอดดิกต์จริงๆ เหรอ” โชคดีที่เธอนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ทัน ความเงียบที่ก่อตัวคั่นกลางระหว่างเธอกับเขาจึงสลายไป
“ทำไงได้ ก็แก้วเขาไม่อยากทำจริงๆ นี่”
“คุณโชคดีกว่าน้องคุณมากนะ อย่างน้อยงานที่คุณกับพ่อคุณชอบก็เป็นงานเดียวกัน”
“ในความโชคดีอาจมีโชคร้ายปะปนอยู่” กระแสเสียงห้าวลึกของเขาสะท้อนความกดดัน คล้ายมีกระจกเงาแผ่นหนารายล้อมทุกทิศทางชวนให้รู้สึกอึดอัดเหมือนมีคนจ้องจับผิดตลอดเวลา
“เรื่องน้องสาวคุณ ฉันว่าคุณลืมอะไรไปอย่าง” พริมาวกกลับมาเรื่องอินทร์แก้วอีกครั้ง “น้องคุณเรียนจบภาพยนตร์มาใช่มั้ย”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบ
“พ่อคุณสนิทกับเจ้าของแกรนด์ไทม์นี่” พริมาหมายถึงโปรดักชั่นเฮ้าส์รับผลิตภาพยนตร์โฆษณาอันดับต้นๆ ของเมืองไทย “อย่างน้อยน้องสาวกับพ่อคุณก็ได้พบกันครึ่งทาง…เนื้องานที่นั่นอาจไม่ใช่ภาพยนตร์จ๋าแบบที่น้องคุณชอบ แต่อย่างน้อยก็ได้คลุกคลีกับคนในวงการทำหนัง เดี๋ยวนี้มีผู้กำกับโฆษณาผันตัวไปเขียนบททำหนังฉายในโรงเยอะจะตายไป”
อินทัชยิ้มกว้างเมื่อเห็นพริมาชี้ทางสว่าง “ยายแก้วรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ”
คืนนั้นทั้งคู่ดื่มเบียร์กันไปเพียงคนละกระป๋อง จริงๆ แล้วอินทัชเองก็ถามพริมาว่าอยากดื่มต่ออีกสักกระป๋องไหม เขาจะได้ไปซื้อมาให้ แต่เธอเลือกโบกมือปฏิเสธบอกไม่เป็นไร ขืนดื่มไปมากกว่านี้มีหวังหลับลึกจนไม่อยากตื่นมาทำงานตอนเช้าแน่ และที่สำคัญ…เขาต้องเป็นฝ่ายขับรถด้วย
พักหลังอินทัชยืนยันจะมาส่งพริมาถึงบ้านให้ได้ เขาอ้างว่าเพราะเธอต้องนั่งทำงานล่วงเวลาจนรถไฟฟ้าปิดให้บริการเกือบทุกคืน จนพริมาได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจ เธอบอกไปว่าเรียกรถแท็กซี่กลับเองได้ แต่อินทัชไม่ยอม ยืนกรานจะไปส่งเธอแทบทุกครั้ง
พริมาไม่รู้ว่าทำไมพักหลังๆ พฤติกรรมของอินทัชถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาดูสุขุมขึ้น ต่างจากวันแรกที่พบกัน เธอกับเขามีปากเสียงเรื่องงานน้อยลงและทำงานเข้าขากันได้ดีขึ้นจนเธอเองยังประหลาดใจ
แน่ล่ะ…ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอย่อมต้องดีขึ้นอยู่แล้ว จะให้กลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม งานก็ไม่เดินหน้าน่ะสิ
พริมาบอกตัวเองเช่นนั้น ทั้งที่ใจหนึ่งเห็นค้านว่าเหตุผลแท้จริงมีมากกว่าหนึ่งแน่นอน เพียงแต่เธอไม่อาจยอมรับได้ว่าความรู้สึกบางอย่างที่อินทัชมีต่อเธอนั้นมีอยู่จริง
และกำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
พริมาหายหน้าไปหลายวัน ทำเอาวาริศใจหายไม่น้อย
อาจเพราะหญิงสาวเป็นถึงครีเอทีฟมือรางวัล น่าจะกำลังง่วนกับการทำงานส่งประกวดอยู่ก็เป็นได้ ศักดาคงหมายมั่นให้เธอกับอินทัชช่วยกันขนรางวัลกลับเอเจนซี่แอดดิกต์
ผิดกับวาริศที่รู้สึกเฉยๆ เขาชินชากับรางวัลหลังกวาดมาได้มากมายตั้งแต่สมัยทำงานที่นิวยอร์ก หากธนาไม่ขอให้เขาช่วยทำงานส่งประกวดเพื่อสร้างชื่อให้เอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตอย่างสุดความสามารถ เขาคงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งแก้ไขงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
พูดถึงอินทัชเพื่อนรักของเขาแล้ว หลังขับรถมารับอินทร์แก้วที่หน้าบ้านป้าแหวนได้ไม่กี่วัน หมอนั่นก็โทรศัพท์มาหาเขา ดูเหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมายเลขนี้เป็นของใคร วาริศไม่คิดจะรับสายตั้งแต่แรก อินทัชคงแค่อยากเอ่ยขอบคุณกระมังที่เอื้อเฟื้อห้องหับให้อินทร์แก้วนอนหลับพักผ่อน สงสัยน้องสาวหมอนั่นคงไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังว่าเธอนั้นไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของพี่ชายแปลกหน้าคนนี้ด้วยซ้ำ
ไม่กี่วันต่อมา อินทร์แก้วเป็นฝ่ายโทรศัพท์หาเขาหลังเลิกงาน เธอเอ่ยชวนขอให้เขาไปชมภาพยนตร์ด้วยกันในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึง แล้วต่อด้วยการเลี้ยงมื้อค่ำตอบแทนเขา วาริศแสร้งอิดออดบอกไม่เป็นไร เขาทำไปเพราะอยากช่วยเธอจริงๆ แต่ถ้าอยากให้เขาไป เธอต้องเปลี่ยนใจเป็นฝ่ายให้เขาเลี้ยงมื้อค่ำแทน ยิ่งวาริศพูดอย่างนั้นเขายิ่งสัมผัสได้จากสำเนียงของปลายสายว่ากำลังประทับใจในตัวเขามากเพียงใด
วาริศนั่งรออินทร์แก้วในร้านกาแฟแบรนด์ดังหน้าโรงภาพยนตร์ได้ไม่นาน ร่างบางในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนยาวเหนือเข่าเล็กน้อยพลันก้าวเข้ามา กวาดสายตามองหาชายหนุ่ม พอเธอเห็นเขาลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างที่มุมในสุดของร้านขณะส่งยิ้มบางให้เธอ วาริศก็รู้ได้ในทันทีว่าใจของอินทร์แก้วกำลังหลอมละลายอย่างไม่อาจรับมือได้
“หวังว่าคุณจะทำตามสัญญานะคะ” อินทร์แก้วนั่งลงตรงหน้าเขา
“สัญญาอะไรเหรอครับ”
“คุณลืมแล้วเหรอคะ เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นพลันเผยรอยยิ้มกระชากวิญญาณ “ผม…วาริศครับ”
“อินทร์แก้วค่ะ เรียกแก้วเฉยๆ ก็ได้นะคะ” เธอยิ้มรับไมตรี
“น่าแปลกนะครับ ทั้งที่เพิ่งพบกันแค่สองครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกถูกชะตาคุณแก้วเอามากๆ” เขารู้ดีว่าวาจาที่เอ่ยไปนั้นแสนหวานเลี่ยน
“คุณริศคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ”
“ครับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกผมอย่างนั้น”
อินทร์แก้วอมยิ้ม แม้วาริศไม่ใช่พวกชอบคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าอินทร์แก้วกำลังรู้สึกดีมากเพียงใด
“ทานอะไรมารึยังครับ”
“แก้วทานมื้อเที่ยงกับที่บ้านมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ที่บ้าน…” เขาทวนคำสั้นๆ ใจไพล่นึกถึงศักดาเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวอย่างอดไม่ได้
“วันนี้คุณพ่อของแก้วอารมณ์ดีเป็นพิเศษค่ะ ชวนทุกคนในบ้านออกไปทานมื้อเที่ยง ครอบครัวเราไม่มีเวลาดีๆ แบบนี้ร่วมกันมานานแล้ว อ้อ แก้วเกือบลืมไปเลย นี่ค่ะ” เธอยื่นตั๋วหนังสัญชาติเยอรมันให้ “แก้วอยากให้คุณริศลองดูเรื่องนี้ค่ะ เพื่อนแก้วที่เรียนฟิล์มมาด้วยกันแนะนำว่าต้องดูให้ได้”
“คุณแก้วเรียนฟิล์มมาเหรอครับ แล้วตอนนี้ทำงานที่ไหน”
ดวงตาของอินทร์แก้วอ่อนแสงลงเล็กน้อย “แก้วกำลังจะไปทำที่โปรดักชั่นเฮ้าส์แกรนด์ไทม์ตามคำแนะนำของพ่อกับพี่ค่ะ แต่จริงๆ แล้วแก้วอยากเป็นคนเขียนบทหนังแบบฉายในโรงมากกว่า”
“แล้วตอนนี้เขียนไว้บ้างรึเปล่าครับ ยังไงส่งมาให้ผมช่วยอ่านได้นะ ผมมีเพื่อนเขียนบทอยู่ค่ายหนัง จะได้ช่วยแนะนำผลงานคุณแก้วให้”
คราวนี้อินทร์แก้วถึงกับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตทอแสงเป็นประกาย ในใจเธอคงคิด…การได้รู้จักกับคนอย่างวาริศช่างเป็นเรื่องโชคดีอะไรเช่นนี้ “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
หลังชมภาพยนตร์เนื้อหาชวนหดหู่มาดเยอรมันจบ อินทร์แก้วก็ชวนวาริศไปร้านอาหารไทยบรรยากาศดีต่อ ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน สายตาของวาริศพลันจับที่ร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าถวิลหาอยากเจอหน้าเธอมาหลายวัน แต่ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกข้างในให้ใครรู้ได้ แม้แต่เขาเอง…ยังยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้เลย
พริมากำลังนั่งเคี้ยวอาหารบนโต๊ะคล้ายจำใจ คนที่นั่งตรงข้ามเธอไม่ใช่ใครอื่นไกล คือภาสกร พ่อของเธอนั่นเอง
ใช่ วาริศจำหน้าภาสกรได้แม่นทีเดียว เขาเป็นถึงคนดังในแวดวงธุรกิจ ด้วยตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งวันเดอร์ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ บริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายยักษ์ที่มียอดซื้อพื้นที่สื่อโฆษณาติดห้าอันดับแรกของเมืองไทย
“ไม่อร่อยเหรอ” ภาสกรถามคนเป็นลูกอย่างใส่ใจ
พริมาไม่ทันสังเกตเห็นวาริศกับอินทร์แก้วที่เพิ่งเดินเข้ามา ชายหนุ่มจับจองโต๊ะว่างตัวใกล้ๆ ซึ่งพริมานั่งหันหลังให้เขา จึงได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างถนัดหูทีเดียว
“พ่อมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าค่ะ”
ภาสกรวางช้อนส้อม ดื่มน้ำกลืนความรู้สึกฝืดเคืองลงคอ แล้วเข้าประเด็นอย่างที่ลูกสาวรอคอย “มาทำงานกับพ่อที่บริษัทเถอะนะ”
“…”
“นี่มันก็ห้าปีแล้วที่ลูกทำงานเอเจนซี่ ถ้าลูกยังอยากทำโฆษณา พ่อก็จะให้ลูกมาอยู่ฝ่ายสื่อสารการตลาดอย่างที่ลูกชอบ”
“พ่อคะ หนูไม่ได้อยากเป็นลูกค้า หนูอยากเป็นครีเอทีฟ”
“เอางี้…หลังหมดสัญญากับเอเจนซี่ที่บริษัทเราจ้างอยู่ พ่อจะให้ลูกคุมงานโฆษณาทั้งหมดเลยดีมั้ย ถ้าลูกอยากผลิตมันขึ้นมาเอง พ่อก็จะไม่ห้ามเลยสักคำ” ภาสกรพยายามหว่านล้อมทุกทาง
“มันไม่เหมือนกันค่ะ” คำตอบของเธอราบเรียบ
วาริศลอบมองสองพ่อลูกในจังหวะอินทร์แก้วกำลังพลิกเมนูพิจารณาอาหารไปมา ก่อนที่เสียงหวานของคนตรงหน้าจะดึงเขาให้หันมาสนใจเธออีกครั้ง
“ทานอะไรดีคะ”
“ตามใจคุณแก้วเลยครับ”
อินทร์แก้วพินิจเมนูต่อแล้วหันไปสั่งอาหารกับบริกร วาริศนั่งนิ่ง เงี่ยหูฟังบทสนทนาของโต๊ะข้างๆ ต่ออย่างตั้งใจ
“หนูจะทำที่เดิม” พริมายืนยันความต้องการด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อย่าให้พ่อรู้สึกไม่สบายใจเลยพริม”
“หนูไม่เข้าใจที่พ่อพูด”
วาริศเห็นภาสกรเอาแต่นั่งอ้ำอึ้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นกับใบหน้าเผยความยุ่งยากใจบอกชัดว่าไม่อาจเอ่ยเหตุผลที่แท้จริงให้พริมาฟังได้
“ในเมื่อพ่อไม่บอก หนูก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออก”
ภาสกรกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก ชั่งใจอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องสำคัญให้เธอรู้ดีหรือไม่ “มีจดหมายส่งมาถึงพ่อ…”
“จดหมาย?”
“ใช่ จดหมาย…”
“…”
“จากคนที่ตายไปแล้ว”
“คนที่ตายไปแล้ว?”
ริมฝีปากภาสกรสั่นระริกราวกับนึกกลัวอะไรบางอย่าง เขาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะพึมพำทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร “ช่างมันเถอะ”
“พ่อคะ?!”
“พ่อขอล่ะพริม ลาออกจากที่แอดดิกต์ซะ ไปทำเอเจนซี่อื่นก็ได้ ไปอยู่เมืองนอกได้ยิ่งดี”
“…”
“พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”
Comments
comments
No tags for this post.