X
    Categories: LOVEทดลองอ่านออดอ้อน... เพียงเธอ

ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทนำ-บทที่2

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทนำ

ฝังใจ

 

‘Please, love me’

หัวใจเขา…ออดอ้อนเพียงเธอ

 

“ที่จริงคุณท่านน่าจะค้างที่พัทยาก่อนนะครับ”

ในกลางดึกคืนหนึ่ง ‘วิชัย’ ขับรถฝ่าสายฝนเพื่อพาเจ้านายอย่าง ‘พิธาน วงศ์วรารมย์’ กลับกรุงเทพฯ หลังจากจบงานเปิดตัวโรงแรมหรูแห่งใหม่และร่วมทานอาหารเย็นกับลูกค้าเรียบร้อย แต่กว่างานจะจบก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้วทำให้ทั้งสองคนได้ออกจากพัทยาตอนเกือบห้าทุ่มครึ่ง

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องพลีสตื่นมาไม่เจอฉันก็งอแงอีก” ไม่ใช่พิธานไม่รู้ว่าเดินทางตอนกลางคืนในขณะที่ฝนตกหนักมันอันตราย แต่ก็เป็นห่วงลูกสาววัยสามขวบที่ติดท่านอย่างกับอะไร “นายขับรถระวังๆ ก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบก็ได้ มันอันตราย และถ้าไม่ไหวก็บอกฉัน จะได้สลับกันขับ”

“ครับคุณท่าน” วิชัยรับคำ

เมื่อได้ฟังเหตุผลของพิธานแล้วเขาก็เข้าใจอีกฝ่าย…นับแต่ ‘มาติกา’ ภรรยาสุดที่รักจากไปเพราะมีโรคภัยรุมเร้ามากมายเนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอ พิธานก็ทุ่มเทความรักให้กับ ‘พาขวัญ’ ผู้เป็นลูกสาวอย่างเต็มที่

แม้ว่าบริษัทออร์แกไนเซอร์ที่ท่านสร้างขึ้นมาจะงานหนักและกำลังรุ่งเรืองแค่ไหน แต่ท่านก็ไม่เคยละเลยและไม่เคยไม่ให้เวลากับลูกสาว อย่างน้อยๆ พาขวัญก็ต้องได้เห็นหน้าท่านในทุกเช้า

เอี๊ยดดด!

ทว่า…รับคำได้เพียงไม่กี่นาทีวิชัยก็ต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหันเพราะจู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งผลุนผลันออกมาจากข้างทาง แต่ยังโชคดีที่เขาเหยียบเบรกทันรถจึงไม่ได้พุ่งเข้าชนอีกฝ่าย

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้ระวัง” พิธานตำหนิ

“ผมขอโทษครับ” วิชัยยอมรับผิดอย่างไม่โต้เถียง

“ลงไปดูก่อนเถอะ ไม่รู้เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

เจ้านายเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อนก็ตัดบทแล้วรีบก้าวลงจากรถ ท่านคิดว่าตำหนิวิชัยไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจและคงเหนื่อยล้าจากการขับรถถึงได้ประมาทไปบ้าง

ท่ามกลางสายฝนทั้งสองคนเห็นว่าเด็กชายคนดังกล่าวล้มอยู่บนพื้นถนนข้างหน้ารถ และกำลังลุกขึ้นยืน ขาที่ซูบผอมทั้งสองข้างถลอกจนมีเลือดไหลซึ่งน่าจะเป็นผลจากการล้มลงบนถนนเอง ไม่ได้ถูกรถเฉี่ยวชนแต่ประการใด เพราะรถจอดอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเกือบเมตร ถึงกระนั้นท่านก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า” พิธานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มะ…ไม่เป็นไร” เด็กชายตอบเสียงสั่น

จากนั้นเด็กชายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพิธานด้วยความหวาดกลัวทำให้ท่านเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายมีส่วนผสมของเชื้อสายไทยและตะวันตก ดวงตาสีฟ้าที่มองมามีแต่ความหวาดระแวงราวกับกลัวว่าจะถูกทำร้าย ไม่เพียงเท่านั้นยังมองหน้ามองหลังอย่างตื่นตระหนกเหมือนเพิ่งจะวิ่งหนีใครมา

ตอนนั้นเองพิธานถึงได้สังเกตว่าตามตัวเด็กชายมีรอยฟกช้ำราวกับถูกทำร้ายร่างกายมา ที่มุมปากก็เป็นรอยเหมือนถูกต่อย สภาพของเด็กชายน่าเวทนาจนท่านถึงกับชะงักไปหลายวินาที

“ไม่รู้เป็นเด็กจรจัดที่ไหนหรือเปล่านะครับ”

วิชัยไม่ไว้ใจ เพราะจู่ๆ เด็กคนนี้ก็โผล่ออกมาจากข้างทางเปลี่ยวๆ จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายอายุไม่น่าจะเกินสิบสามปีและคงทำอันตรายเขากับเจ้านายไม่ได้ แต่อาจจะเป็น ‘นกต่อ’ ให้โจรก็ได้

พิธานไม่ได้ประมาท ท่านมองเด็กชายตรงหน้าอีกครั้งด้วยรู้ว่าวิชัยกำลังคิดอะไร และท่านคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะเป็นนกต่อให้โจร แต่ท่านก็เชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าเด็กคนนี้ไม่น่าจะนำอันตรายหรือภัยใดๆ มาให้ท่านได้ เพราะดวงตาคู่นั้นบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยกับใครได้

ที่สำคัญร่างกายที่ซูบผอมนั้นมีแต่รอยฟกช้ำ ใบหน้าก็บอบช้ำไม่ต่างกัน ท่าทางเหมือนเพิ่งถูกทำร้ายมาด้วยซ้ำ สภาพน่าสงสารขนาดนี้คงทำร้ายใครไม่ได้หรอก

“เราเป็นใคร มาจากไหน หลงทางมาเหรอ บ้านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวฉันให้คนไปส่ง”

พิธานถาม อันที่จริงท่านจะไม่สนใจแล้วขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ไปเลยก็ย่อมได้ แต่การทิ้งเด็กคนหนึ่งที่บาดเจ็บเอาไว้คนเดียวท่ามกลางสายฝนในตอนกลางดึกเช่นนี้ก็ดูจะใจร้ายเกินไป

“ไม่! ไม่! ผมไม่กลับบ้าน!”

เด็กชายตอบด้วยท่าทางหวาดกลัวพลางก้าวถอยหลังไปอย่างลนลานเพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ ราวกับว่าที่นั่นเป็น ‘ขุมนรก’ ที่เขาจะไม่มีวันหวนย้อนกลับไปเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาไปสถานีตำรวจก็แล้วกัน เดินอยู่แถวนี้คนเดียวมันอันตราย”

“ผมไม่ไปสถานีตำรวจนะ!” น้ำเสียงของเด็กชายร้อนรนยิ่งขึ้นไปอีก

“จะพาไปส่งบ้านก็ไม่ไป จะพาไปหาตำรวจก็กลัวจนลนลาน ไปทำความผิดอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าไปขโมยของของใครมา” วิชัยถามไปตามตรงเพราะท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

“ผมเปล่านะ ผมแค่ไม่อยากกลับบ้าน!” เด็กชายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วเราจะไปที่ไหน” พิธานถามต่อ

คราวนี้เด็กชายเงียบไป ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าลงอย่างไร้หนทาง พิธานมองหน้าวิชัยราวกับขอความเห็น ขณะนั้นเอง ดูเหมือนเด็กชายจะเริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้ใจจึงพยายามวิ่งหนี วิชัยเห็นว่ายังคุยกันไม่จบก็เลยวิ่งตามไปจับตัวไว้ก่อน

เผื่อว่าถ้าเป็นนกต่อให้โจรขึ้นมาจริงๆ จะได้จับไปส่งตำรวจ

“อย่า! อย่าทำอะไรผมนะ! ปล่อยผม!!!”

เด็กชายตะโกนลั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่เหมือนอมทุกข์มาเป็นปีเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตระหนกราวกับหวาดระแวงทุกคนที่เข้าใกล้ พอวิชัยเอื้อมมือออกไปจับมืออีกข้างไว้ เด็กชายก็ยิ่งตัวสั่นเทา ปากคอสั่นระริก และตกใจอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตาทั้งสองคน

 

บรรยากาศยามเช้าหลังฝนตกช่างแสนสดใส ภายในบ้านสีขาวหลังใหญ่สไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างขวางแห่งนี้เป็นเสมือนวิมานของนางฟ้าตัวน้อยอย่างพาขวัญที่ตื่นมารับความสดชื่น

เธอเดินเล่นไปทั่ว และเมื่อแม่บ้านกับสาวใช้ต่างวุ่นวายกับการเตรียมตั้งโต๊ะอาหารเช้าจนไม่มีคนเล่นด้วย เด็กหญิงวัยสามขวบที่กำลังซนก็เดินเรื่อยเปื่อยไปทางสวนหน้าบ้าน

“คุณพลีส! คุณพลีสอยู่ไหนคะ”

แม่บ้านวัยสามสิบเอ็ดปีส่งเสียงเรียกหานางฟ้าน้อยหลังจากสังเกตได้ว่าไม่เห็นเด็กหญิงในรัศมีสายตา ‘รุจาภา’ เป็นภรรยาของวิชัย ทั้งสองคนคอยรับใช้มาติกากับพิธานมาตั้งแต่พาขวัญยังอยู่ในท้อง

ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้รุจาภาสนิทกับมาติกาเหมือนเพื่อน การจากไปของมาติกาสร้างความเสียใจให้กับเธอไม่แพ้ใคร รุจาภาจึงตั้งใจว่าจะดูแลลูกสาวของเจ้านายอย่างดีที่สุด

“คุณพลีสคะ ไปเล่นซนที่ไหนคะเนี่ย”

ต่อให้รุจาภาส่งเสียงเรียกแค่ไหน แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะไม่สนใจเสียงนั้นเลยสักนิด ร่างจ้ำม่ำยังคงเดินไปทางสวนหน้าบ้านราวกับต้องการรับอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า กระทั่งดวงตากลมโตใสแป๋วมองเห็นใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าพิงประตูอยู่เพียงลำพัง เธอจึงหยุดมองเพราะเขาขวางทางที่จะออกไปยังสวน

“ครายอ่ะ”

คนตัวขาวเจ้าของแก้มกลมเป็นซาลาเปาถาม แม้จะพูดยังไม่ชัดมาก แต่อีกฝ่ายก็หันมามอง เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ขณะที่ดวงตากลมโตยังมองใบหน้าของคนที่เธอไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

“ครายอ่ะ”

พาขวัญถามคำเดิมแล้วจ้องหน้าอย่างเอาคำตอบ แต่อีกคนกลับไม่ยอมพูดอะไร

“ร้องห้ายเหรอ ร้องห้ายทามมาย ใครตีค้า”

คนที่กำลังร้องไห้ยังไม่ยอมตอบแต่เช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ทำให้เจ้าของบ้านยื่นมือน้อยๆ ออกไปช่วยเช็ดน้ำตาให้ แม้ว่านิ้วสั้นๆ ที่ทั้งอ้วนทั้งกลมนั้นจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม

“โอ๋ๆ ม่ายร้องน้าค้า”

พาขวัญปลอบเหมือนที่พิธานเคยปลอบเธอยามร้องไห้ จากนั้นก็มองหน้าเด็กชายตรงหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าท้องแล้วกำอะไรบางอย่างมายื่นให้

“จินหนมๆ อาหย่อย”

คนที่เพิ่งร้องไห้รับรู้ได้ว่าเด็กน้อยคงอยากปลอบถึงได้ชวนเขากินขนม

“จินหนมๆ”

พาขวัญยังคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายรับของที่ตัวเองยื่นให้ เด็กชายยื่นมือไปรับลูกอมเม็ดนั้นมาถือไว้ เขายิ้มทั้งน้ำตา…โดยเฉพาะในตอนที่คนตัวเล็กยื่นมือมาหยิกแก้มเขา

“ยิ้มแล้วๆ”

“คุณพลีส! มาอยู่นี่เอง”

รุจาภารีบเดินเข้ามาเมื่อมองเห็นพาขวัญ แต่พอเห็นว่านางฟ้าน้อยกำลังคุยอยู่กับเด็กที่พิธานเพิ่งพามาด้วยก็รีบอุ้มเธอขึ้นกอดแนบอกอย่างไม่ไว้ใจ เพราะยังไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่ายว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า…ต่อให้อีกฝ่ายจะหน้าตาบอบช้ำและร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้ายจนน่าสงสารก็ตาม

“คุณท่านบอกให้เธอไปหาที่ห้องรับแขกนะ”

ว่าจบรุจาภาก็รีบอุ้มพาขวัญออกไป เด็กชายมองตามหลังเธอไปอย่างเศร้าสร้อย แต่คนที่กำลังถูกรุจาภาอุ้มกลับหันหน้ามาทางเขาแล้วยิ้มให้อย่างใสซื่อ ริมฝีปากสีแดงจิ้มลิ้มพึมพำคำเดิม

“จินหนมๆ”

และรอยยิ้มของเธอก็ทำให้เด็กชายยิ้มออกอีกครั้ง…

 

 

บทที่ 1

หุ่นยนต์ของพ่อ

 

ยี่สิบสองปีต่อมา

“หมอว่ายังไงบ้าง”

พิธานถามภวิลที่กำลังขับรถพาท่านไปส่งยังบ้านวงศ์วรารมย์…บ่ายวันนี้ท่านเข้าไปฟังการประชุมที่บริษัทและขณะเข้าห้องน้ำก็มีอาการหน้ามืดจนหกล้มศีรษะฟาดพื้น

โชคดีที่ภวิลเข้าไปเจอเลยรีบพาท่านมาส่งโรงพยาบาล กว่าจะทำแผลและตรวจอาการเพิ่มเติมก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มจึงโทรไปบอก ‘กรกนก’ ผู้เป็นเลขาฯ ว่าเขาจะไม่เข้าบริษัทแล้ว

“ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ คุณท่านแค่ความดันต่ำก็เลยหน้ามืด”

แม้จะเป็นห่วงอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ภวิลก็ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนก ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบ มีเพียงดวงตาคมกริบสีฟ้าเท่านั้นที่บอกความรู้สึกได้อย่างชัดเจนและพิธานเองก็รับรู้ได้

“ปีนี้ฉันอายุหกสิบแล้วใช่มั้ย จะว่าไปฉันก็แก่ลงไปเยอะเหมือนกันนะภักดิ์”

พิธานพูดทีเล่นทีจริง และด้วยความที่อายุมากขึ้นนี่เอง สามสี่ปีมานี้ท่านถึงได้มอบหมายให้ภวิลดูแลงานในบริษัทแทน แต่ยังคอยตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ห่างๆ นานๆ ถึงจะเข้าไปร่วมประชุมด้วยสักที แต่วันนี้ไปประชุมด้วยก็เกิดเรื่องจนได้ ท่านคงไว้ใจสุขภาพตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ

“ไม่หรอกครับ คุณท่านยังแข็งแรงมาก”

ภวิลไม่ได้แค่ปลอบเพราะพิธานยังแข็งแรงและดูหนุ่มกว่าอายุจริง แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีปัญหาสุขภาพตามวัย ตัวเขาเองหากพักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวันก็ยังมีอาการหน้ามืดได้เลย

ฝ่ายพิธานพอได้ยินคำปลอบใจก็ยิ้มบางๆ…ภวิลเป็นเช่นนี้เสมอ เขาไม่ได้เป็นแค่มือขวาที่ทำทุกอย่างแทนท่าน แต่ยังคอยให้กำลังใจท่านด้วย หลายปีที่ผ่านมาเขาเปรียบเสมือนแขนขาของท่านก็ไม่ปาน

ประมุขบ้านวงศ์วรารมย์นึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อยี่สิบสองปีก่อนที่วิชัยเกือบจะขับรถชนภวิลเข้า และเขาก็เป็นลมไปต่อหน้าต่อตา…อาการหวาดกลัวจับจิตจับใจจนเป็นลมหมดสติของภวิลในตอนนั้นทำให้พิธานกับวิชัยมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นนกต่อให้โจร แต่น่าจะเพิ่งถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างหนักหน่วงมากกว่า

สภาพภายนอกที่น่าเวทนาทำให้ท่านตัดสินใจพาภวิลไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วโทรบอกรุจาภาให้ดูแลพาขวัญและพาเธอเข้านอนโดยไม่ต้องรอ จากนั้นก็รอฟังอาการของภวิลที่โรงพยาบาลต่อเพราะติดต่อญาติภวิลไม่ได้ ครั้นส่งถึงมือหมอแล้วจะทิ้งไปท่านก็รู้สึกว่าตัวเองดูจะใจร้ายใจดำไปหน่อย

หลังจากหมอเช็กอาการเรียบร้อยก็ออกมารายงานสภาพอาการของภวิล ความจริงที่ได้รู้ทำให้พิธานหดหู่ใจและสงสารภวิลจับใจ เมื่อเขารู้สึกตัวขึ้น ท่านจึงเข้าไปคุยกับเขาอย่างมีเมตตา ตอนแรกภวิลก็ยังหวาดกลัวท่าน แต่พอรู้ว่าท่านเป็นผู้หวังดีนำเขามาส่งโรงพยาบาล อีกทั้งยังน่าจะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ แม้จะเป็นคนแปลกหน้า เขาก็ยอมเสี่ยงเล่าเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตให้ท่านฟัง

ด้วยความเวทนาสงสารบวกกับถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก…เมื่อท่านรู้ว่าภวิลไม่มีที่ไปจึงพาเขาเข้ากรุงเทพฯ มาด้วยกันก่อน ทีแรกท่านยังไม่ได้คิดว่าจะรับอุปการะเขาไว้ เพียงแต่อยากให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ กระทั่งท่านได้เรียกอีกฝ่ายเข้ามาคุยอีกรอบ ท่าทางภวิลที่หมดสิ้นหนทางในชีวิตยิ่งทำให้ท่านเกิดความสงสาร และในที่สุดก็ตัดสินใจให้วิชัยกับรุจาภารับภวิลเป็นบุตรบุญธรรมเพราะวิชัยเป็นหมันทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ แต่ท่านจะเป็นคนดูแลส่งเสียเอง ขอแค่ทั้งคู่รับภวิลเป็นบุตรบุญธรรมในนามเท่านั้น

ทั้งนี้ท่านได้บอกภวิลตามตรงว่าคงให้ความสำคัญกับเขาทัดเทียมลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างพาขวัญไม่ได้ ภวิลเข้าใจดี เขายอมรับทุกเงื่อนไข เพราะแค่พิธานช่วยเหลือเขาก็เป็นบุญคุณมากแล้ว

“ภักดิ์บอกเรื่องที่ฉันล้มกับน้องพลีสหรือยัง”

“ยังครับ ผมคิดว่าคุณท่านปลอดภัยดีแล้วก็เลยไม่ได้บอกคุณพลีสเพราะกลัวว่าเธอจะเป็นห่วง ตอนนี้คุณวิชัยน่าจะไปรับเธอแล้ว คงจะถึงบ้านไล่เลี่ยกับคุณท่าน” ภวิลตอบ

วิชัยกับรุจาภาเป็นพ่อแม่บุญธรรมของภวิลเพียงแค่ในนาม ทั้งสองไม่ได้ใกล้ชิดกับภวิลมากเท่าพิธานด้วยซ้ำ แต่เขาก็เคารพนับถือจึงให้เกียรติด้วยการใช้คำนำหน้าว่า ‘คุณ’ เสมอ

ส่วนวิชัยกับรุจาภาก็นับถือภวิลที่ปฏิบัติตัวดี ทำงานเก่งจนเป็นมือขวาคนสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากพิธานและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัทซึ่งมีอำนาจรองจากท่าน

พิธานไม่ได้ทำงานมาสามสี่ปีแล้ว ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ อยู่ที่บ้าน ฉะนั้นหากจะพูดว่าตอนนี้คนที่บริหารงานทั้งหมดของตระกูลวงศ์วรารมย์คือภวิลก็คงจะไม่ผิดนัก

“ดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นน้องพลีสคงเป็นห่วงฉันจนไม่เป็นอันทำงาน”

‘งาน’ ของพาขวัญคือครูสอนการแสดงและดูแลโรงเรียนสอนการแสดงอย่าง ‘Leela Academy’ เธอจบจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการแสดง (Performing Arts) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานในบริษัทออร์แกไนเซอร์เท่าไหร่ แต่หากต้องการทำงานด้านนี้ก็สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้

ทีแรกพิธานไม่ค่อยเห็นด้วยที่หญิงสาวจะเลือกเรียนด้านนี้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรและจบออกมาจะทำงานอะไรได้บ้าง พาขวัญจึงอธิบายว่าสาขานี้อาจไม่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์มากเท่าสาขาอื่น แต่เรียนจบแล้วไม่ตกงานและยังสามารถทำงานได้หลากหลายด้วย

พาขวัญยกตัวอย่างให้ท่านฟังว่าอย่างรุ่นพี่ในสาขาแต่ละคนทำงานไม่ซ้ำกันเลยเพราะวิชาที่เรียนมีหลากหลาย สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายอาชีพ อีกทั้งยังสามารถเลือกวิชาโทจากสาขาอื่นในคณะเพื่อเสริมทักษะด้านอื่นได้อีกด้วย

อาชีพของรุ่นพี่ในสาขาแต่ละคนนั้นหลากหลายและน่าสนใจมาก ทั้งผู้ฝึกสอนบุคลิกภาพ นักเขียนบทละคร ครูสอนดนตรี ครูสอนหนังสือ แอ็กติ้งโค้ช ยูทูเบอร์ พิธีกร นักแสดง ผู้กำกับ ผู้จัดละครเวที แคสติ้งที่คอยคัดหาและดูแลนักแสดง และอีกมากมาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมบันเทิงเติบโตอย่างรวดเร็ว คนทำงานเบื้องหลังเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคนทำงานเบื้องหน้า เพราะมีทั้งช่องทางเผยแพร่สื่อทางอินเตอร์เน็ตอย่างโซเชียลเน็ตเวิร์ก และการออกอากาศก็ไม่ได้ผูกขาดไว้แค่สถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ช่องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

พิธานได้ฟังก็เห็นว่าอาชีพเหล่านั้นเหมาะกับพาขวัญ หากเธอตั้งใจจริงแล้วเรียนจบก็คงหางานหาการทำได้ไม่ยาก…ท่านอาจจะไม่ใช่พ่อที่บังคับลูกสาว แต่ตอนแรกท่านก็ยังหวังว่าเธออาจสนใจมาช่วยงานที่บริษัทอยู่บ้าง ทว่าพอพาขวัญเรียนจบก็มาขอท่านเปิดโรงเรียนสอนการแสดงโดยจะร่วมหุ้นกับ ‘ฤดี’ หรือ ‘ครูฤดี’ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคยสอนการแสดงให้กับเธอสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

หญิงสาวไม่ได้ขอเพียงปากเปล่าแต่ยังมีแผนงานในแต่ละขั้นตอนมานำเสนอจนท่านไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเห็นว่าเธอตั้งใจจริง

ครูฤดีถูกชะตากับพาขวัญ ท่านเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่มีอาชีพหลักคือการสอนการแสดงให้นักแสดงเพราะปัจจุบันนี้มีดารานักแสดงเกิดขึ้นมากมายและแต่ละคนก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลืมหรือถูกนักแสดงรุ่นใหม่ๆ แซงหน้าไปก่อน

ครูฤดีสั่งสมประสบการณ์มานาน ปัจจุบันจึงมีงานแน่นมาก ทั้งไปสอนการแสดงให้กับนักแสดงในสังกัดผู้จัดการส่วนตัวดาราดัง ทั้งไปดูแลนักแสดงประจำกองถ่ายละคร และนอกจากนี้ยังต้องไปสอนศิลปินให้กับค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงบางค่าย ทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลา

Leela Academy ก่อตั้งขึ้นเพราะครูฤดีมีลูกศิษย์เยอะ ใครๆ ก็อยากเรียนการแสดงกับท่าน และท่านเห็นว่านักศึกษาที่จบไปแล้วหลายคนก็สอนเก่งเพียงแต่ยังไม่มีชื่อเสียงและโอกาส

เมื่อพาขวัญมีความคิดอยากสร้างโรงเรียนเพื่อเป็นสื่อกลางให้ผู้สอนกับผู้เรียน ครูฤดีก็สนับสนุนและยินดีให้ใช้ชื่อท่านในการประชาสัมพันธ์โรงเรียน นอกจากนี้ท่านยังคอยดูแลแผนการสอน คัดกรองผู้สอน และควบคุมอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้เสียชื่อตัวเองด้วย

การมีคนที่ไว้ใจได้อย่างพาขวัญคอยดูแลโรงเรียนก็ช่วยท่านได้มาก หญิงสาวอาจจะดูเด็กกว่าอายุจริง แต่ในเวลาทำงานเธอจะเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล และทำงานอย่างรอบคอบเสมอ

ครูฤดีรู้จักเธอดี ท่านจึงไว้ใจให้เธอมาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ…

ปัจจุบันแม้โรงเรียน Leela Academy จะไม่ได้ใหญ่โตและเปิดมาได้เพียงแค่ไม่กี่ปี แต่ก็เป็นที่นิยมและได้รับความไว้วางใจจนมีคนเข้ามาสมัครเรียนไม่เคยขาด ทั้งนี้ก็เพราะที่โรงเรียนดูแลนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี ครูฤดีเองก็มีชื่อเสียงและมีดาราเป็นลูกศิษย์ลูกหามากมายอยู่แล้ว

“ทุกวันนี้ฉันก็ห่วงแต่น้องพลีสนั่นแหละ” น้ำเสียงของพิธานอ่อนโยนลง

ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมภวิลก็เข้าใจความรู้สึกท่านดี เขารู้ว่าพาขวัญเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของท่านและเธอไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากน้าชายอย่าง ‘อติกันต์’ ซึ่งดูจะพึ่งพาอะไรไม่ได้

ไม่อย่างนั้นพิธานคงให้อติกันต์บริหารงานในบริษัทและดูแลโรงแรมหลายแห่งที่ครอบครัววงศ์วรารมย์เป็นหุ้นส่วนไปแล้ว ไม่ใช่ให้เขาซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘คนนอก’ มาดูแลแทน

ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต…

ภวิลจำได้ว่าหลังจากหนีตายออกจาก ‘บ้านหลังนั้น’ เขาก็เกือบจะถูกรถของพิธานชนเข้า ท่านจะพาเขาไปส่งที่บ้านแต่เขาปฏิเสธ พอจะพาไปส่งตำรวจเขาก็ยิ่งปฏิเสธเป็นการใหญ่ เขาหวาดระแวงทุกคนจนคิดหนี เป็นเหตุให้วิชัยมาจับตัวเขาไว้และทำให้เขาหวาดกลัวจนหมดสติไป

พิธานนำเขาไปส่งโรงพยาบาล รอฟังอาการเขา และเมื่อรู้จากสภาพร่างกายว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง ท่านก็เข้ามาเยี่ยมและพูดคุยกับเขาอย่างมีเมตตาจนเขาเริ่มไว้ใจ และพอพิธานรู้ว่าเขาไม่มีที่ไป ท่านก็คงเวทนาเขาเพราะตอนนั้นสภาพเขาแย่มากทั้งร่างกายและจิตใจ ท่านจึงให้เขาเข้ากรุงเทพฯ มาด้วย

พิธานให้เขาพักอยู่กับวิชัยก่อน แล้ววันต่อมาก็สอบถามความเป็นมาของเขา ภวิลยอมรับว่าตอนนั้นเขายังมีอาการหวาดกลัวแม้กระทั่งกับพิธาน แต่เขาก็ยอมเล่าความจริงทุกอย่างให้ท่านฟัง เพราะอย่างน้อยพิธานก็ช่วยเหลือเขาไว้ด้วยความเมตตา และเขาไม่อยากถูกส่งตัวไปให้ตำรวจหรือถูกส่งกลับบ้าน

พิธานเห็นว่าเขาอับจนหนทางจริงๆ ก็ปรึกษากับวิชัยว่าจะอุปการะเขาไว้เพราะท่านมีลูกสาวแค่เพียงคนเดียว แต่…แม้ท่านจะรับเลี้ยงเขาไว้แค่ในฐานะเด็กอุปการะและยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของบริวารในบ้าน เขาก็ยอมรับเงื่อนไขนั้น และเข้าใจถึงความจำเป็นของท่านเป็นอย่างดี

ถึงกระนั้นพิธานก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยภวิลแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม…ท่านกลับดูแลอย่างดีราวกับเขาเป็นลูกชายแท้ๆ พอรับรู้ว่าเขาต้องการ ‘ตัดขาด’ กับอดีตที่วิ่งหนีมา ท่านก็ตั้งชื่อให้เขาใหม่และให้เขาใช้นามสกุล ‘วงศ์วรารมย์’ ซึ่งทุกอย่างดำเนินการได้ไม่ยากเมื่อมีเงินและอำนาจเป็นตัวช่วย

พอภวิลฟื้นฟูร่างกายจนแข็งแรง พิธานก็พาเขาไปหาหมอเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ เมื่อเขาดีขึ้นก็พาไปสมัครเรียน กระทั่งจบมัธยมต้นก็ให้เขาไปเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำเพราะหากอยู่บ้านเดียวกันกับพาขวัญคงไม่เหมาะนัก ยังไงทั้งสองคนก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ

ถึงกระนั้นช่วงที่อยู่ร่วมบ้านกันเขากับเธอก็ไม่ได้สนิทกัน เพราะมีเรื่องฐานะคั่นกลางระหว่างทั้งสองคน ตัวพาขวัญคงไม่คิดอะไร เธอยังเรียกเขาว่า ‘พี่ภักดิ์’ เหมือนเขาเป็นพี่ชาย แต่เขาเองต่างหากที่ไม่อยากทำตัวเทียบเสมอเธอ

ในช่วงเรียนมัธยม ทุกซัมเมอร์พิธานจะส่งภวิลไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ พอภวิลจบมัธยมปลายก็เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย พิธานให้เขาอาศัยอยู่ในคอนโดฯ ขนาดกลางที่ท่านซื้อเอาไว้ให้ แม้จะไม่ได้ทุ่มเทให้เขามากเท่ากับที่ทุ่มเทให้ลูกสาวอย่างพาขวัญ แต่ภวิลก็ซาบซึ้งในบุญคุณของท่านจริงๆ

พิธานติดต่อเขาเสมอ หาเวลามาเจอเขาหรือมาเยี่ยมเขาทุกสัปดาห์ ชวนเขาไปทานอาหารเย็นที่บ้านบ่อยๆ เพื่อให้เขาทำความรู้จักกับพาขวัญราวกับเห็นเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว

พิธานสั่งสอนภวิลเหมือนลูกเหมือนหลาน ให้ค่าใช้จ่ายจนเขามีชีวิตที่สุขสบาย ส่งเสียให้เขาร่ำเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดตามความสามารถ และให้เวลากับเขาเท่าที่ท่านจะให้ได้ ชายหนุ่มจำได้ดีว่าบางครั้งมีกิจกรรมพบผู้ปกครองที่โรงเรียน หากท่านมีเวลาท่านก็จะไปร่วมด้วย

แต่หากพิธานไม่มีเวลาก็จะบอกให้วิชัยหรือรุจาภาไปแทนซึ่งทั้งสองคนก็ให้ความเอ็นดูเขาแม้จะเป็นพ่อแม่บุญธรรมแค่เพียงในนามก็ตาม ภวิลจึงตั้งใจเรียนเพื่อให้ท่านภูมิใจ และคิดไว้ว่าหลังเรียนจบเขาจะตั้งใจทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเขาก็ได้ทำทุกอย่างตามที่คิดเอาไว้จริงๆ

การวางตัว ความสามารถ และบุคลิกที่สง่างามโดดเด่นของภวิลทำให้เขาได้รับการยอมรับนับถือโดยที่เขาไม่ต้องวางก้ามใส่ใคร แม้กระทั่งสื่อต่างๆ ก็ยังยกย่องเขาให้เป็นนักธุรกิจดีเด่นที่น่าจับตามอง เป็นหนุ่มโสดในฝันของผู้หญิงทั้งประเทศ และยังคงติดต่อมาขอสัมภาษณ์เขาอยู่เนืองๆ

น้อยคนนักจะรู้ที่มาจริงๆ ของภวิล กระทั่งอติกันต์และพาขวัญเองก็ยังไม่รู้เลย ทุกคนได้รับข้อมูลแค่เพียงว่าพิธานพบเขาในตอนที่เขากำลังลำบาก ด้วยความถูกชะตาจึงรับเขามาอุปการะ

‘อดีต’ ของภวิลก่อนหน้าที่เขาจะได้พบกับพิธานเหมือนถูกฝังกลบดินเอาไว้ พิธานเองก็เหมือนจะลืมมันไปแล้ว คงมีแต่ภวิลเท่านั้นที่ยังลืมไม่ได้แม้ว่าเขาจะพยายามลืมมันแค่ไหนก็ตาม ถึงกระนั้นความทรงจำเหล่านั้นก็ถูกเขาสะกดไว้ไม่ให้มันออกมาหลอกหลอนเขาได้อีกต่อไปแล้ว

“ภักดิ์รู้ใช่มั้ยว่าฉันไว้ใจภักดิ์มากที่สุด…”

พิธานพูดหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบไปนานนับนาที ต่อให้ภวิลจะปลอบใจ แต่ท่านก็รู้ว่าตัวเองอายุมากขึ้นทุกวัน ร่างกายอาจยังแข็งแรงและอยู่ได้อีกเป็นสิบปี แต่ท่านก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไรไปก่อน ดังนั้นท่านต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลดวงใจของท่านอย่างพาขวัญ

พิธานอยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่มีความสุข อยากเห็นเธอมีคนที่เข้มแข็งคอยปกป้องดูแล และถ้าเป็นไปได้ท่านก็อยากจะเห็นหน้าหลานตัวน้อยๆ ก่อนที่ท่านจะเป็นอะไรไป

“ฉันมีเรื่องสำคัญอยากขอร้องภักดิ์และฉันหวังว่าภักดิ์จะตอบตกลง”

พิธานตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุดทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากท้องถนนมาสบตาท่านเป็นครั้งแรก แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านก็รู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีทางปฏิเสธคำขอร้องของท่านแน่นอน

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

วันนี้เป็นวันหยุดของพาขวัญ เธออยู่ที่บ้านทั้งวันและไม่มีทีท่าว่าจะออกไปธุระที่ไหน แต่พิธานก็ยังไม่วายย้ำกับเธอว่าให้รอทานอาหารเย็นกับภวิลราวกับกลัวว่าเธอจะออกไปธุระจนคลาดกับเขา

ทีแรกพาขวัญก็ยังไม่รู้สึกผิดปกติ แต่พอพิธานพูดย้ำเธอก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงสองเดือนมานี้…นับตั้งแต่ก่อนพิธานจะเข้าโรงพยาบาลมาจนถึงตอนนี้…ภวิลมาทานอาหารเย็นที่บ้านบ่อยขึ้น จากเมื่อก่อนจะมาแค่เดือนละครั้ง แต่ช่วงหลังๆ เขาจะมาแทบทุกอาทิตย์เลย

“ช่วงนี้คุณพ่อชวนพี่ภักดิ์มาทานข้าวที่บ้านบ่อยจังเลยนะคะ งานที่บริษัทยุ่งมากจนต้องนัดปรึกษากันนอกรอบเลยเหรอ” ร่างบางทักขึ้นขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับภวิล

ชายหนุ่มดึงสายตาจากคู่สนทนาอย่างพิธานไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่ง พาขวัญมีใบหน้าอ่อนหวานงดงาม เครื่องหน้าหมดจดลงตัว ทั้งดวงตาสีดำกลมโตภายใต้กรอบขนตางอนยาว เรียวคิ้วโก่งงาม จมูกโด่งเรียวรับกับทุกส่วนของใบหน้า ริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อน่าสัมผัส และดวงหน้ารูปไข่ที่ค่อนไปทางกลมนิดๆ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลช่วยขับผิวขาวผ่องของเธอให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น…พาขวัญอาจไม่ได้สวยหยาดฟ้ามาดิน แต่เธอมีเสน่ห์ชวนมอง ยิ่งพิศยิ่งเพลิน และยิ่งมองยิ่งอยากมองมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างบอบบางที่น่าจะตัวเล็กกว่าภวิลราวๆ สามสิบเซนติเมตรอยู่ในชุดลำลองเรียบง่ายสีอ่อนดูสบายตาและกลมกลืนกับผิวขาวใสของเธอได้เป็นอย่างดี พาขวัญเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่รูปร่างได้สัดส่วน มีส่วนโค้งเว้างดงาม ทั้งแขนและขาเรียวสวยน่ามองจนชายหนุ่มละสายตาจากเธอได้ยาก เพราะไม่มีโอกาสได้พบเธอบ่อยนัก แต่…ถึงแม้ระยะหลังๆ เขาจะเจอเธอบ่อยขึ้นก็ยังอดมองไม่ได้อยู่ดี

“พ่อก็แค่อยากให้เราทำความรู้จักกับพี่เขาเอาไว้ เผื่อพ่อไม่อยู่แล้วทั้งสองคนจะได้ช่วยเหลือกัน” พิธานตอบพลางมองใบหน้าอ่อนหวานที่ปราศจากเครื่องสำอางของบุตรสาว

“คุณพ่ออย่าพูดอย่างนี้สิคะ พลีสไม่ชอบเลย” พาขวัญทำหน้ามุ่ย เธอรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่พิธานพูดเรื่องความเป็นความตาย “อีกอย่างพลีสกับพี่ภักดิ์ก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว…เนอะพี่ภักดิ์เนอะ”

ร่างบางพยักพเยิดหน้ากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เธอจำได้ว่าพิธานรับอุปการะภวิลตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กน้อย เขาอยู่ร่วมบ้านกับเธอได้สามปีก็ย้ายออกไปเรียนที่โรงเรียนประจำ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็อยู่คอนโดฯ แล้วกลับมาค้างที่นี่เป็นบางครั้งบางคราว ตอนที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านกันเธอกับเขาก็คุยกันนับครั้งได้ เพราะเขาจะชอบหลบหน้าเหมือนไม่กล้าคุยกับเธอ พอเขาย้ายออกไปทั้งสองคนก็ยิ่งเจอกันน้อยลง

แต่ยังถือว่าเธอคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่ง…

เวลาพบกันก็ทักทายกันได้ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่พาขวัญจะเป็นฝ่ายชวนคุยหรือเข้าไปทักทายก่อนตามประสาคนอัธยาศัยดี ส่วนภวิลค่อนข้างพูดน้อย แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจเธอ

“พี่ภักดิ์จะไม่รับคำพลีสสักหน่อยเหรอคะ พลีสหน้าแตกเลยนะเนี่ย” พาขวัญพูดเมื่อชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งปล่อยให้เธอเอออออยู่คนเดียว ภวิลที่เอาแต่มองเธอจนเพลินจึงดึงสติกลับมาได้

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ

“กินข้าวกันเถอะ พ่อหิวแล้ว” พิธานยิ้มขำกับความน่าเอ็นดูของลูกสาวก่อนจะชวนให้ทั้งสองคนเริ่มทานอาหารอย่างอารมณ์ดี “ช่วงนี้ที่โรงเรียนของน้องพลีสเป็นยังไงบ้าง งานหนักหรือเปล่า”

“ไม่หนักหรอกค่ะ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมาสักพักแล้ว อาทิตย์หนึ่งพลีสก็รับสอนแค่สองคลาสจะได้มีเวลาพักและดูแลภาพรวมแทนครูฤดีน่ะค่ะ ช่วงนี้ครูงานเยอะจนแทบไม่ได้แวะมาที่โรงเรียนเลย”

“ผมอยากเห็นเวลาคุณพลีสสอนเด็กๆ เหมือนกันนะ” ภวิลนึกภาพไม่ออกว่าผู้หญิงอย่างพาขวัญที่เขายังติดภาพเธอเล่นซนตอนเด็กๆ เวลาทำงานจะเป็นยังไง เธอจะทำหน้าแบบไหน

“ทำไมคะ พี่ภักดิ์เห็นว่าพลีสยังเป็นเด็กจนสอนใครไม่ได้เหรอ”

“เปล่าครับ ผมอยากเห็นคุณพลีสในมุมจริงจังเท่านั้นเอง”

พาขวัญฟังแล้วก็ยังรู้สึกทะแม่งๆ อยู่ดี ภวิลพูดราวกับว่าเห็นเธอไร้สาระตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ

“ถ้าพี่ภักดิ์ว่างจะแวะไปที่โรงเรียนของพลีสก็ได้นะคะ เผื่อพี่ภักดิ์ได้เจอนักเรียนของพลีสแล้วจะสนใจเรียกมาใช้งาน” พาขวัญถือโอกาสชักชวนชายหนุ่มอย่างมีแผน

หากงานอีเวนต์ที่ภวิลดูแลต้องการนักแสดงหรือหาเอ็กซ์ตราไปทำงานแล้วเขาสนใจจะติดต่อนักเรียนของเธอไปร่วมงานด้วยก็เท่ากับว่าเธอได้ป้อนงานให้นักเรียน เป็นการนำวิชาการแสดงที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ และการได้รับค่าตอบแทนก็เหมือนเป็นการคืนกำไรให้ผู้เรียนเช่นกัน

“ครับ แล้วผมจะหาโอกาสแวะไปดู”

พิธานปล่อยให้สองหนุ่มสาวคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป แต่ภวิลกับพาขวัญก็ดูจะเข้ากันได้ดีจนท่านเบาใจและมีกำลังใจที่หลังจากนี้จะคุย ‘เรื่องสำคัญ’ กับลูกสาวตามลำพัง

พอทานอาหารเย็นเสร็จทั้งสามคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ภวิลจะขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า ปัจจุบันภวิลย้ายออกจากคอนโดฯ ที่พิธานเคยซื้อให้ แล้วไปอาศัยอยู่ในคอนโดฯ หรูใกล้กับบริษัทที่เขาซื้อไว้เป็นสมบัติส่วนตัวซึ่งพิธานไม่ได้ว่าอะไร ท่านเข้าใจว่าภวิลก็ต้องมีชีวิตที่เป็นส่วนตัวบ้าง

“น้องพลีส…พ่อมีอะไรจะพูดด้วยหน่อย”

พิธานบอกลูกสาวหลังจากส่งภวิลกลับไปแล้ว และพาขวัญก็กำลังจะแยกตัวขึ้นห้อง หญิงสาวจึงหันมามองท่านอย่างแปลกใจ เธอรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ท่านต้องการจะพูดด้วยคงเป็นเรื่องสำคัญมาก

“ไปจิบชาชมสวนเป็นเพื่อนพ่อได้มั้ย คืนนี้อากาศดีเชียว”

“ค่ะคุณพ่อ”

จากนั้นประมุขของบ้านวงศ์วรารมย์ก็บอกให้สาวใช้นำชากับขนมออกไปที่ศาลาสีขาวในสวนหย่อมใกล้ๆ สระว่ายน้ำที่พาขวัญชอบมานั่งเล่นบ่อยๆ…ตอนกลางคืนที่นี่จะเปิดไฟสีส้มทำให้วิวในสวนและสระว่ายน้ำสวยงามราวกับอยู่ในรีสอร์ตดัง แต่ขณะเดียวกันก็เงียบสงบเหมาะจะคุยกันเป็นการส่วนตัว

“คุณพ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพลีสเหรอคะ” พาขวัญถามขึ้นเมื่อนั่งได้สักพักแล้วแต่ท่านยังไม่พูดอะไรราวกับว่าท่านกำลังเรียบเรียงคำพูดในใจซึ่งมันทำให้เธอพลอยลุ้นไปด้วย

“พ่อจะชวนลูกสาวมานั่งจิบชาชมวิวเล่นบ้างไม่ได้หรือไง” พิธานย้อนถามติดตลก

“ก็น้ำเสียงคุณพ่อไม่เหมือนจะคุยเรื่องเล่นๆ นี่คะ” พาขวัญตั้งข้อสังเกต

พิธานยิ้มให้กับความฉลาดของลูกสาวก่อนจะเอ่ยถาม

“ปีนี้น้องพลีสอายุเท่าไหร่แล้วนะ”

“ยี่สิบห้าแล้วค่ะ คุณพ่อถามทำไมคะ”

“แล้วมีหนุ่มๆ ที่คุยๆ อยู่บ้างหรือเปล่า ไม่เห็นน้องพลีสพามาให้พ่อรู้จักเลย”

“พลีสยังไม่มีแฟน ยังไม่มีคนคุย และยังไม่มีใครทั้งนั้นแหละค่ะ” พาขวัญตอบปนขำ “แหม! ตอนเรียนมหาวิทยาลัยพลีสก็ทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมหนักหน่วงอย่างกับอะไรดี จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟนล่ะคะ พอเรียนจบก็มาทุ่มเทให้กับโรงเรียนอีก ปีนี้ดีหน่อยที่อะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว”

“แสดงว่ายังไม่มีแฟนและยังไม่มีคนคุยเลยจริงๆ”

“ไม่มีค่ะ โธ่…ถามย้ำจังเลย คุณพ่ออย่าเร่งพลีสสิคะ พลีสเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเอง ผู้หญิงสมัยนี้อายุสามสิบปีแต่ยังไม่มีแฟนก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนะคะ บางคนยังสวยยังสตรองอยู่เลย”

“พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แล้วน้องพลีสว่าพี่ภักดิ์เขาเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีนะคะ แต่…เขาเหมือนหุ่นยนต์ของคุณพ่อไปหน่อย”

“ทำไมไปว่าพี่เขาอย่างนั้น”

“ก็มันจริงนี่คะ” พาขวัญหัวเราะ เธอแค่คิดขำๆ แต่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นข้อเสียของเขา “คุณพ่อสั่งอะไรหรือพูดอะไรพี่ภักดิ์ก็มีแต่ ‘ครับ’ แล้วทำตามคำสั่งของคุณพ่อทุกอย่างเลย เหมือนกับว่าคุณพ่อป้อนคำสั่งอะไรหรือตั้งโปรแกรมอะไรเขาก็ตอบสนองได้หมด นึกไม่ออกเลยนะคะว่าถ้าพี่ภักดิ์แต่งงานไปเขาจะเป็นยังไง คุณพ่อคงต้องคอยป้อนคำสั่งให้เขาดูแลภรรยาของเขาดีๆ ไม่งั้นคงน่าสงสารเธอแย่”

“น้องพลีส!” พิธานทำเสียงดุที่ลูกสาวไปวิพากษ์วิจารณ์ภวิลแบบนั้น พาขวัญคงไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ท่านก็กำลังจะตั้งโปรแกรมและป้อนคำสั่งให้ภวิลมาเป็นสามีของเธอนั่นแหละ

“พลีสขอโทษค่ะ พลีสไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่ภักดิ์ไม่ดีนะคะ” เธอรีบแก้ตัว

คุณงามความดีของภวิลมีมากแค่ไหนทำไมพาขวัญจะไม่รู้ในเมื่อพิธานชื่นชมเขาตลอดเวลา อีกทั้งเธอก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีเขาคอยช่วยงานที่บริษัทและดูแลโรงแรมที่ครอบครัววงศ์วรารมย์มีหุ้นส่วนอยู่อีกหลายแห่ง เธอคงไม่มีทางได้เปิดโรงเรียนสอนการแสดงอย่างที่ใฝ่ฝัน เพราะเธอเป็นทายาทเพียงคนเดียว

และแน่นอนว่าเธอต้องรับสืบทอดกิจการและบริหารงานทุกอย่างแทนท่าน

 

บทที่ 2

คู่ครอง

 

“ว่าแต่คุณพ่อถามพลีสแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ”

พาขวัญเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง…ที่ผ่านมาพิธานไม่เคยถามเรื่องคนรักของเธอเลย แต่จู่ๆ วันนี้ก็ถามถึง แถมยังถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับภวิลอีกต่างหาก

นี่อย่าบอกนะว่าท่านกำลังอยากจับคู่ให้เธอกับภวิล!

“พ่อแค่คิดว่าถ้าน้องพลีสลงเอยกับภักดิ์เขาได้ก็คงจะดี”

“คุณพ่อ!” พาขวัญเรียกบุพการีอย่างไม่เชื่อหู ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท่านจะคิดคลุมถุงชนเธอกับภวิล “พลีสกับพี่ภักดิ์ไม่ได้ชอบกันนะคะ จะลงเอยกันได้ไง อีกอย่างเราก็อายุห่างกันตั้งสิบปีแน่ะ”

“แค่สิบปีมันไม่มีปัญหาอะไรหรอกลูก พ่อกับแม่น้องพลีสก็อายุห่างกันเกือบสิบปี ทุกวันนี้พ่อก็ยังรักแม่น้องพลีสไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ” พิธานอธิบายอย่างใจเย็น

พอพูดถึงมารดาที่จากไปแล้ว พาขวัญก็เงียบลงเพราะรู้ว่าถึงท่านจะจากไปนานแค่ไหนบิดาเธอก็ยังรักและคิดถึงท่านเสมอ…หลังจากที่มาติกาเสียชีวิต มีผู้หญิงเข้ามาวนเวียนในชีวิตพิธานมากมาย แต่ท่านก็ไม่สนใจใครเลยและทุ่มเทความรักให้กับลูกสาวอย่างเธอเพียงคนเดียวมาโดยตลอด

“พ่อเองก็อายุมากแล้ว พ่ออยากเห็นน้องพลีสมีครอบครัว มีคนคอยดูแล และมีหลานตัวน้อยๆ ให้พ่ออุ้มก่อนที่พ่อจะเป็นอะไรไป” พิธานเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกสาวและมองด้วยความรัก

แม้สิ่งที่ท่านพูดจะดูเป็นการบังคับหญิงสาวเกินไปและเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิด แต่ท่านก็อยากให้เธอรู้ไว้ว่าท่านหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ และปรารถนาดีกับเธอที่สุดเสมอ

“พลีสบอกแล้วไงคะว่าพลีสไม่ชอบให้คุณพ่อพูดแบบนี้เลย”

“สังขารมันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงนะน้องพลีส…” น้ำเสียงพิธานอ่อนลงและทั้งคู่รู้ดีถึงความจริงข้อนี้ เพราะพวกเขาเคยสูญเสียมาติกาไปแล้ว “ที่พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อให้น้องพลีสมีความสุขนะ”

ในอดีตพิธานมาจากครอบครัวฐานะปานกลาง หลังเรียนจบมัธยมปลายก็รับจ้างทำงานเบื้องหลังในวงการบันเทิงจนได้พบมาติกาซึ่งอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีตอนที่อีกฝ่ายรับงานเป็นตัวประกอบในละคร ด้วยความถูกชะตาทั้งสองคนจึงทำความรู้จักกันเรื่อยมาและพัฒนาความสัมพันธ์จนเกิดเป็นความรัก

พิธานเป็นคนขยัน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบทำให้ได้รับความไว้วางใจให้จัดงานต่างๆ จนระยะหลังพิธานก็ออกมารับจัดงานด้วยตัวเอง ในตอนนั้นธุรกิจออร์แกไนเซอร์ยังไม่เฟื่องฟูเหมือนในปัจจุบัน ท่านจึงถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่รับงานด้านนี้ทำให้มีงานไม่เคยขาด

เมื่อธุรกิจเริ่มไปได้สวย พิธานกับมาติกาก็ตกลงใจแต่งงานกันและเปิดบริษัทออร์แกไนเซอร์อย่างเป็นทางการ พอธุรกิจเริ่มอยู่ตัวก็ตกลงใจที่จะมีลูกด้วยกันซึ่งก็คือพาขวัญ

ชีวิตช่วงนั้นมีความสุขราวกับความฝัน ครอบครัวสมบูรณ์ ความรักสุกงอม และธุรกิจก็เจริญรุ่งเรือง ทว่า…ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่ปีหลังจากคลอดพาขวัญ มาติกาก็จากไปอย่างที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว พิธานสงสารลูกสาวที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เสียใจที่คนรักจากไป นับตั้งแต่นั้นมาท่านก็ทุ่มเทหัวใจให้กับลูกสาวซึ่งเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ และท่านก็รักบริษัทมากเพราะเคยร่วมแรงร่วมใจสร้างมันมากับคนรัก

มันเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นและเป็นอนุสรณ์ความรักระหว่างท่านกับมาติกา…

“พลีสอาจจะคุ้นเคยกับพี่ภักดิ์ แต่เราไม่ได้รักกันและไม่เคยคบหาดูใจกันมาก่อนเลยนะคะ” พาขวัญพยายามต่อรอง เธอไม่รู้ว่าพิธานพูดจริงหรือพูดเล่น แต่เธออยากให้ท่านเปลี่ยนความคิด

ท่านเล่นจับคู่ให้แบบนี้จะทำให้เธอมองหน้าภวิลไม่ติดเสียเปล่าๆ

“ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยกะเกณฑ์ให้น้องพลีสแต่งงานกับพี่ภักดิ์มาก่อนเพราะพ่อยังรอดูอยู่ว่าน้องพลีสจะคบหากับใครหรือเปล่า พ่อให้โอกาสน้องพลีสได้เลือกเองแล้ว นี่น้องพลีสก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะลงเอยกับใครนี่นา” พิธานพูดต่อ คราวนี้พาขวัญถึงกับพูดไม่ออก

เธอดันบอกพ่อไปหมดแล้วนี่นาว่าเธอไม่มีคนรักและไม่มีแม้กระทั่งคนคุย!

“แต่ก็แค่ยี่สิบห้าปีเองนะคะ พลีสยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ”

“แต่ปีนี้พี่ภักดิ์เขาสามสิบห้าย่างสามสิบหกปีแล้ว ถ้าน้องพลีสไม่ลงเอยกับพี่ภักดิ์เร็วๆ นี้ พี่เขาอาจจะแต่งงานไปก่อน น้องพลีสก็น่าจะรู้ว่าพี่ภักดิ์เขาเป็นคนดูแลงานทุกอย่างแทนพ่อ”

พิธานตะล่อมและยังให้เหตุผลต่อว่าภวิลดูแลงานทุกอย่างแทนท่านมาหลายปีทำให้เขาแทบจะควบคุมกิจการทุกอย่างไว้ในมือ ทั้งบริษัทออร์แกไนเซอร์และโรงแรมอีกหลายแห่งที่ครอบครัววงศ์วรารมย์เป็นหุ้นส่วนอยู่ หากพาขวัญไม่อยากแต่งงานกับเขา เธอก็ต้องไปเรียนรู้งานแล้วสืบทอดกิจการทุกอย่างแทน

นอกจากภวิลแล้วพิธานก็ไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาดูแลกิจการแทนอีก แม้แต่อติกันต์ซึ่งเป็นน้าแท้ๆ ของพาขวัญเอง แต่ไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยให้โอกาสอติกันต์ ที่ผ่านมาท่านให้โอกาสมากจนเกินไปด้วยซ้ำ

น้าแท้ๆ ของพาขวัญนั้นแตกต่างจากมาติการาวฟ้ากับเหวจนเหมือนไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เพราะในขณะที่มาติกาอ่อนโยน ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ อติกันต์กลับเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่เป็นโล้เป็นพาย และเห็นแก่ตัวจนไม่นึกถึงคนอื่นเลย

พิธานจำได้ว่าหลังแต่งงานกัน มาติกาขอให้น้องชายมาอยู่ด้วยเพราะมีกันแค่สองคนพี่น้อง พิธานเห็นว่าตอนนั้นครอบครัวไม่ได้ลำบากอะไรแล้ว ท่านเองไม่มีญาติที่ไหน พ่อแม่ก็เสียไปแล้ว จึงยินดีต้อนรับอติกันต์มาอยู่ด้วยเพราะเห็นว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

ตอนนั้นอติกันต์เพิ่งเริ่มเป็นวัยรุ่น เขาอายุน้อยกว่ามาติกาสิบสองสิบสามปีเห็นจะได้ ท่าทางเป็นเด็กเกเรและเอาแต่ใจเพราะก่อนที่พ่อกับแม่จะเสียอติกันต์ก็ถูกตามใจจนเสียเด็ก พิธานคิดว่าอยู่ด้วยกันไปน่าจะพออบรมสั่งสอนกันได้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดจนมาติกาเองยังอ่อนใจ

ยิ่งมีชีวิตที่สุขสบายอติกันต์ยิ่งไม่สนใจการเรียน ติดเพื่อน และเที่ยวเตร่ ยิ่งหลังจากมาติกาเสียก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่มาติกาคงพอจะรู้ว่าน้องชายตัวเองเป็นยังไง หากไม่มีพิธานช่วยดึงไว้ก็คงไร้อนาคต ท่านจึงขอร้องให้พิธานเมตตาและสงสารอติกันต์ซึ่งพิธานก็รับปากว่าจะดูแลให้เพราะรักภรรยา

ช่วงมัธยมปลายอติกันต์เกเรหนักจนหลงเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดและเกือบจะถูกจับ เรื่องผู้หญิงก็มีปัญหาไม่เคยขาด พอจบมัธยมปลาย เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดซ้ำยังขอไปเรียนต่อเมืองนอก พอพิธานไม่อนุญาตก็ยกคำขอของมาติกามาพูด ท่านไม่อยากมีปัญหาจึงยอมตามใจอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้

กว่าจะเรียนจบมาได้อติกันต์ก็ผลาญเงินไปมากและใช้เวลาไปตั้งเกือบหกปี พอบินกลับมาเมืองไทยท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ดี

พออติกันต์กลับมาและเห็นว่าพิธานให้ภวิลไปช่วยงานที่บริษัท อติกันต์ซึ่งอายุมากกว่าภวิลเพียงสามปีก็ไม่อยากน้อยหน้าจึงขอเข้าไปทำงานด้วย แล้วหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ฝ่ายภวิลนั้นไม่อะไรกับอติกันต์อยู่แล้ว แต่อติกันต์คงไม่อยากให้ภวิลได้ดีกว่าจึงพยายามขัดแข้งขัดขาอยู่เสมอ ถึงกระนั้น ‘ผลงาน’ ก็เป็นเครื่องมือพิสูจน์คนได้ดีที่สุด

ภวิลได้รับความไว้วางใจจากพิธานมากจนท่านยินดีให้นั่งในตำแหน่งรองประธานบริษัทอย่างที่อติกันต์เถียงไม่ได้แม้จะไม่พอใจอยู่มากก็ตาม ส่วนอติกันต์ซึ่งถือหุ้นอยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์มีตำแหน่งผู้ช่วยรองประธานซึ่งตั้งขึ้นเพื่อรักษาหน้าของเขาเท่านั้น ไม่ได้ทำงานหรือมีหน้าที่จริงๆ จังๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพาขวัญก็น่าจะเห็นแล้วว่าพิธานไม่สามารถฝากอนาคตบริษัทเอาไว้กับคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนอย่างอติกันต์ได้เลย ทุกวันนี้แค่เอาตัวเองให้รอดอติกันต์ยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ ที่มีชีวิตร่ำรวยและสุขสบายในปัจจุบันก็เพราะได้ส่วนแบ่งจากบริษัทเท่านั้น

“แล้วคุณพ่อจะมั่นใจได้ยังไงคะว่าพอแต่งงานแล้วพี่ภักดิ์จะไม่ฮุบทุกอย่างเอาไว้เอง”

“ถ้าพี่ภักดิ์เขาจะทำ เขาก็คงทำไปนานแล้ว” ความซื่อสัตย์ของภวิลมีมากแค่ไหนพิธานรู้ดีที่สุด ตลอดเวลายี่สิบสองปีที่เฝ้ามองอีกฝ่ายมา เขาไม่เคยทำให้ท่านผิดหวังเลย “นี่คิดว่าพี่ภักดิ์เขาทำดีเอาใจพ่อเพื่อให้พ่อไว้ใจจนยกน้องพลีสให้เขาเพราะเขาอยากได้กิจการทุกอย่างของเราเหรอ”

“พลีสไม่ได้มองพี่ภักดิ์ไม่ดีนะคะ แต่เราก็ต้องมองหลายๆ ด้าน”

“ก็ดีแล้วที่รู้จักมองอะไรหลายๆ ด้าน แต่…มันจะง่ายกว่ามั้ยถ้าพี่ภักดิ์เขาไปเปิดบริษัทเอง ไม่ใช่คอยมาทำงานหนักแทนพ่องกๆ โดยที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพ่อจะยกอะไรให้เขาบ้าง อันที่จริงพี่ภักดิ์เขาจะขอพ่อไปเปิดบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อเขาสนิทกับพนักงานเก่งๆ หลายคน มีลูกค้าสำคัญอยู่ในมือมากมาย แถมยังมีทรัพย์สินส่วนตัวมหาศาลจนใช้ไปทั้งชาติแบบสบายๆ ก็ไม่หมด”

“เขาไปเอาเงินมาจากไหนคะ” เธอถามอย่างสงสัย

“ไม่ได้ยักยอกจากเราก็แล้วกัน” พิธานหัวเราะเพราะพาขวัญคงคาดไม่ถึงในเรื่องนี้ “พี่ภักดิ์เขาเป็นพนักงานคนหนึ่ง เขาได้เงินเดือนในตำแหน่งผู้บริหาร ได้โบนัส ได้คอมมิชชั่นตามผลงานตั้งเยอะ เพราะเขาทำงานเก่งมาตั้งแต่เข้าทำงานปีแรกๆ แล้ว เขาศึกษาเรื่องหุ้นมานาน พอมีเงินมากพอก็เอาไปลงทุนจนได้กำไรไม่รู้ปีตั้งเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีเงินเหลือไปซื้อคอนโดฯ ราคาตั้งห้าสิบหกสิบล้านหรอก”

“แต่…พลีสกับพี่ภักดิ์ไม่ได้รักกันนะคะคุณพ่อ” หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม ต่อให้ภวิลจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่หากทั้งสองแต่งงานกันโดยที่ไม่ได้รัก ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร

พิธานเลี้ยงพาขวัญมากับมือ ทำไมท่านจะไม่เข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร และในยุคปัจจุบันก็คงไม่เห็นด้วยกับการคลุมถุงชน แต่ท่านก็เชื่อว่าภวิลจะเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอมีความสุขได้แน่นอน

“น้องพลีสอาจจะไม่ได้รักพี่ภักดิ์ แต่พ่อดูออกว่าพี่ภักดิ์เขาแอบรักน้องพลีสมานานแล้วนะ” พิธานกุมมือลูกสาวราวกับจะเน้นย้ำกับเธอ “เขาอดทนและรอคอยน้องพลีสมานานแล้ว”

“อะ…อะไรนะคะ” พาขวัญถามอย่างไม่เชื่อหู

นี่เป็นอีกเรื่องที่หญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ภวิลจะรักเธอได้ยังไง เขาจะเอาเวลาที่ไหนมารักเธอในเมื่อทั้งสองคนไม่เคยใกล้ชิดกันเลย และเขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ กับเธอด้วย

“ถ้าพี่ภักดิ์ไม่มีใจให้น้องพลีสเขาก็คงตกลงใจไปกับคนอื่นนานแล้วเพราะมีผู้หญิงเพียบพร้อมหลายคนสนใจเขา แต่ที่เขาไม่กล้าแสดงออกกับน้องพลีสคงเพราะคิดว่าน้องพลีสเป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณอย่างพ่อและพ่อเชื่อว่าเขากำลังรอเวลาที่เหมาะสม” พิธานยังใจเย็นและพูดด้วยเหตุผล

“คุณพ่อคิดไปเองหรือเปล่าคะ พี่ภักดิ์อาจจะแค่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจก็ได้”

“พ่อดูออกน่า แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่คิดว่าพี่ภักดิ์เขาจะรอน้องพลีสไปตลอดชีวิต และถ้าเขาแต่งงานกับคนอื่น พ่อก็ไม่มั่นใจว่าในอนาคตเขาจะยังดูแลบริษัทที่พ่อรักต่อไปมั้ย พ่อถึงได้อยากให้น้องพลีสแต่งงานกับเขาเพราะมันจะช่วยให้พ่อมั่นใจว่าเขาจะซื่อสัตย์กับวงศ์วรารมย์อย่างเต็มร้อย”

“แต่ว่าพลีส…”

“คุยกันด้วยเหตุผลนะ พ่อไม่ได้บังคับให้น้องพลีสแต่งงานกับพี่ภักดิ์วันนี้หรือพรุ่งนี้นะลูก” พิธานพูดต่อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังลังเล แต่เมื่อพูดถึงบริษัทที่เธอรู้ดีว่าท่านรัก เธอก็มีท่าทีอ่อนลง “พ่อแค่พูดเพราะอยากให้ทั้งสองคนลองคบหาดูใจกันไปก่อน หากปรับตัวเข้าหากันไม่ได้จริงๆ พ่อก็จะไม่บังคับ แต่พ่อมั่นใจว่าพี่ภักดิ์เขาจะไม่ปฏิเสธ แค่พ่อเอ่ยปาก เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างตามที่พ่อบอกอยู่แล้ว”

“เห็นมั้ยคะ แล้วจะไม่ให้พลีสคิดว่าพี่ภักดิ์เป็นหุ่นยนต์ของคุณพ่อได้ยังไง”

พาขวัญเบ้ปากให้คนดีของพิธานอย่างอดไม่ได้ ความจริงหญิงสาวไม่ได้มีปัญหาเลยหากภวิลจะเป็นหุ่นยนต์ของท่านในเรื่องการทำงานหรือเรื่องใดๆ ก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอ แต่นี่…ท่านกำลังจะป้อนคำสั่งให้เขามาเป็นสามีเธอ แล้วเขาก็จะตอบตกลงง่ายๆ อย่างนั้นหรือ

“คุณพ่อถามพี่ภักดิ์เขาดูดีๆ เถอะค่ะ ถ้าเขามีคุณสมบัติเพอร์เฟ็กต์อย่างที่คุณพ่อพูดมาขนาดนั้นเขาก็คงมีตัวเลือกเยอะ คงไม่อยากแต่งงานกับเด็กกะโหลกกะลาอย่างพลีสหรอก”

“พ่อเกริ่นกับพี่ภักดิ์เขาแล้วและเขาไม่ได้ปฏิเสธ ในเมื่อน้องพลีสยังไม่มีใคร จะดูๆ พี่ภักดิ์เขาไว้ก็ไม่เสียหายนี่ลูก พี่ภักดิ์เขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ขาดตกบกพร่องอะไรเลยนะ” พิธานพูดทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้เธอเครียด “พ่อว่าเขาก็หล่อออกนะ ไปงานที่ไหนสาวๆ ก็มองเขาตาปรอย น้องพลีสไม่ชอบเหรอ”

“พลีสว่าก็…เฉยๆ ค่ะ”

“ไม่ม้างงง ระดับพี่ภักดิ์นี่หล่อเทียบนายแบบหรือดาราได้สบายเลยนะ”

พิธานมองลูกสาวเหมือนเธอเป็นเด็กปากแข็ง พาขวัญไม่ปฏิเสธว่าภวิลดูดีมาก และในสายตาท่าน เขาคงเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา ความสามารถ และนิสัย

ภวิลมีใบหน้าหล่อเหลาที่มีส่วนผสมของเอเชียกับตะวันตกได้อย่างลงตัว แต่จะค่อนไปทางตะวันตกมากกว่า ผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกของเขาโด่งมาก ริมฝีปากหยักลึกได้รูปสวย ดวงตาสีฟ้าคมกริบราวกับภาพวาดทำให้ค่อนไปทางดุแม้เขาจะทำสีหน้าเรียบเฉย ขนตาที่ยาวและหนากว่าผู้ชายทั่วไปทำให้ดวงตาเขามีเสน่ห์จนผู้หญิงหลายคนไม่สามารถสบตาเขาได้นานเกินสามวินาที ใบหน้าคมคายได้รูปชัดเจนประดับด้วยไรเคราอ่อนๆ ที่ถูกตกแต่งอย่างดีรับกับรูปหน้า แนวกรามเป็นเส้นคมส่งให้ภาพรวมของใบหน้าค่อนข้างดุดันมากกว่านุ่มนวล แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเซ็กซี่ และมีเสน่ห์แบบผู้ชายอย่างเข้มข้นจนคนมองสั่นสะท้าน

ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ เขาน่าจะสูงราวๆ หนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ การออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างดีทำให้เขามีรูปร่างที่ดีตามไปด้วย พาขวัญเคยเห็นชายหนุ่มถ่ายแบบลงนิตยสาร กล้ามเนื้อบนร่างกายเขาแน่นหนัด งดงาม และดูดีไม่แพ้บรรดานายแบบสากลเลย

แต่…มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยินดีที่ถูกพ่อขอร้องให้แต่งงานกับเขา!

“คุณพ่ออวยพี่ภักดิ์ขนาดนี้ พลีสเริ่มคิดแล้วนะคะว่าเขาประจบคุณพ่อหรือเปล่า”

“ไม่คิดว่ามันขัดกับบุคลิกของพี่ภักดิ์เขามากไปหน่อยเหรอ พ่อยังนึกภาพเวลาพี่ภักดิ์เขาประจบสอพลอใครสักคนไม่ออกเลยนะ” พิธานยิ้มขำ “นี่น้องพลีส…พ่ออายุมากขนาดนี้ เลี้ยงดูน้องพลีสมาขนาดนี้ สามารถสร้างฐานะให้ครอบครัวเราได้ขนาดนี้ น้องพลีสไม่ไว้ใจสายตาพ่อเลยเหรอ”

“เปล่าค่ะคุณพ่อ พลีสไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

ในสายตาของพาขวัญนั้นพิธานเป็นเหมือน ‘ฮีโร่’ ท่านเป็นคนเก่ง ขยันขันแข็ง มีเหตุผล มองคนขาด และน่าเชื่อถือมากที่สุดสำหรับเธอ ที่ผ่านมาท่านพูดอะไรไม่เคยผิดไปจากความจริงเลย

“พ่อเชื่อว่าพี่ภักดิ์เขาจะรักและดูแลน้องพลีสได้ดีไม่แพ้พ่อเลย ลองเปิดใจให้พี่เขาหน่อยนะลูก” พิธานโอบไหล่หญิงสาวเข้ามากอดไว้และลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน

พาขวัญพิงศีรษะกับแผ่นอกกว้างที่แสนอบอุ่นของบิดา เธอนึกย้อนไปถึงช่วงที่ผ่านมา…นี่แสดงว่าก่อนหน้านี้ภวิลก็รับรู้มาตลอดว่าพิธานให้เขามาที่บ้านบ่อยๆ เพราะอะไร แล้วเขาไม่รู้สึกอึดอัดใจบ้างหรือที่ต้องเผชิญหน้ากับเธอ ทำไมเขาถึงเก็บอาการได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

แม้ว่าพาขวัญดูจะไม่เห็นด้วยกับการถูกจับคู่ แต่หลังจากที่พิธานคุยเรื่องภวิลกับหญิงสาวแล้วเธอไม่ได้มีท่าทีต่อต้านจนเกินไป ท่านก็เบาใจในระดับหนึ่งว่าอย่างน้อยๆ ยังพอจะคุยกันได้ และหากพาขวัญได้ศึกษาดูใจกับภวิลจริงๆ เธอก็อาจมีใจให้เขาจนนำไปสู่การแต่งงานอย่างที่ท่านคาดหวังไว้

ทว่าพิธานรู้นิสัยพาขวัญกับภวิลดีว่าหากปล่อยให้ทั้งสองคนเรียนรู้กันตามธรรมชาติโดยที่ท่านไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเลยก็คงยากที่เธอกับเขาจะมีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะพาขวัญไม่มีทางเข้าหาภวิลก่อนแน่ และภวิลเองก็คงกลัวคนอื่นจะครหาจนไม่กล้าแสดงท่าทีต่อลูกสาวท่านดังเช่นที่ผ่านมา

ดังนั้นเมื่อสบโอกาสเหมาะพิธานก็มักจะโทรหาภวิลเสมอ ชวนเขามาทานอาหารเย็นด้วยกันเพื่อสร้างความสนิทสนม และพอถึงวันนัดหมายก็ไม่ลืมโทรไปย้ำอีกครั้งด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะทำงานจนลืมเวลา แม้จะรู้ดีว่าหากเป็นนัดของท่านกับพาขวัญแล้วไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะลืมเด็ดขาด

และแน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของใครอีกคนไปได้

จริงอยู่ว่าอติกันต์มักจะออกไปข้างนอกตอนสายๆ แล้วกลับมาอีกทีตอนเกือบตีสองเพราะไปตระเวนราตรีตามประสาหนุ่มโสดที่ยังรักสนุกและบางคืนก็ไม่กลับบ้าน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตอะไรเลย…ทุกครั้งที่ภวิลมาที่นี่สาวใช้ก็จะพูดถึงอยู่เสมอและมันไม่แปลกที่เขาจะได้ยิน

ช่วงแรกอติกันต์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทว่าระยะหลังๆ โดยเฉพาะหลังจากที่พิธานออกจากโรงพยาบาลครั้งล่าสุด ภวิลก็ดูจะมาที่นี่บ่อยขึ้นจนเหมือนเป็นแขกประจำไปแล้ว ทำให้เขาเริ่มเดาได้ว่าพิธานกำลังคิดจะทำอะไร ใช่! เขาเดาว่าพิธานกำลังเล่นเกมจับคู่เพราะอยากให้พาขวัญลงเอยกับภวิลเป็นแน่

ตลอดเวลาที่ผ่านมาอติกันต์รู้ดีว่าพิธานไม่เคยไว้ใจเขาเลย…

แม้เขาจะเป็นน้องชายของภรรยาที่พิธานรักมาก แต่เมื่อมาติกาเสียชีวิตตั้งแต่พาขวัญอายุได้เพียงสองขวบ สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพิธานก็ไม่แน่นแฟ้นดังเดิม เพราะแต่เดิมพิธานก็ไม่ชอบใจพฤติกรรมของเขาอยู่แล้ว พิธานหาว่าเขาชอบเที่ยวเตร่ ไม่สนใจการเรียนหรือการทำงาน อีกทั้งยังใช้เงินสิ้นเปลือง แต่ที่พิธานยอมส่งเสียเขาไปเรียนต่างประเทศและให้เขามีส่วนถือหุ้นในบริษัทเป็นเพราะมาติกาฝากฝังไว้

แต่อติกันต์ก็คิดว่าพิธานอคติกับเขาเกินไป ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ในเมื่อตอนนั้นเขายังเป็นวัยรุ่น เขามีสิทธิ์ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มแค่อยากลองหาประสบการณ์ชีวิตทุกรูปแบบ และพิธานกับมาติกาก็มีเงินทองตั้งมากมาย จะแบ่งให้เขาซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดใช้บ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

อย่างไรก็ตามอติกันต์ยังหวังว่าเขาจะได้สืบทอดกิจการต่างๆ ต่อจากพิธานมากกว่าคนที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันอย่างภวิล เพราะเขากับภวิลก็อายุไม่ห่างกันมาก เริ่มทำงานในบริษัทในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และระยะหลังๆ ถึงเขาจะยังสนุกกับการปาร์ตี้อยู่ แต่เขาก็ยังไปบริษัท

ดังนั้น…หากพิธานไม่อยู่แล้ว คนที่จะสืบทอดทุกอย่างก็ควรจะเป็นญาติแท้ๆ อย่างเขาไม่ใช่หรือ

ถึงกระนั้นอติกันต์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เขาเก็บความไม่พอใจเอาไว้ และไม่ให้พิธานรับรู้ว่าเขาล่วงรู้แผนการจับคู่แล้ว ไม่เช่นนั้นพิธานอาจหาทางขัดขวางไม่ให้เขาแก้เกมของพิธานได้ตั้งแต่เขายังไม่เริ่มลงมืออะไรด้วยซ้ำ กระทั่งวันหนึ่งโอกาสเหมาะของอติกันต์ก็มาถึง

“โห! วันนี้คุณอาตื่นเช้าจังเลยนะคะ”

พาขวัญทักทายขณะเดินลงบันไดมาชั้นล่างแล้วเห็นคุณน้ายังหนุ่มอย่างอติกันต์นั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาในห้องรับแขก และร่างสูงอยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปทำงาน

จะไปว่าแล้วอติกันต์ก็จัดได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง เขาเป็นคนตัวสูง หน้าตาดี และรู้จักดูแลตัวเองอย่างดี อายุที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้เขาดูดีน้อยลง แต่กลับทำให้เขามีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก หญิงสาวมักจะเรียกเขาว่า ‘คุณอา’ อย่างติดปากแม้ว่าตามศักดิ์แล้วเขาจะเป็นน้าแท้ๆ ของเธอก็ตาม

“พูดอย่างกับน้องพลีสไม่เคยเห็นอาตื่นเช้าไปได้”

“ไม่เคยเห็นจริงๆ นี่คะ อย่าว่าแต่ตื่นเช้าเลย อาทิตย์นึงพลีสได้เห็นหน้าคุณอาแค่ไม่กี่ครั้งเอง”

พาขวัญพูดตามความจริง ปกติเวลาเธอตื่นและออกไปที่โรงเรียนสอนการแสดงแต่เช้าเขาก็ยังไม่ตื่น ตอนเย็นเธอกลับมาเขาก็ยังไม่กลับ เรียกว่าวงโคจรชีวิตเจอกันได้ยากก็คงไม่แปลก จะมีแค่วันที่เธอไม่มีสอนและไม่ต้องไปจัดการความเรียบร้อยที่โรงเรียนสอนการแสดงนั่นแหละถึงจะมีโอกาสได้เจอเขา

“ถ้าอย่างนั้นสงสัยอาต้องตื่นแต่เช้ามาให้น้องพลีสเจอหน้าบ่อยๆ แล้วมั้ง”

“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ พลีสแค่แซวเล่นๆ คุณอาทานอาหารเช้าหรือยังคะ”

“ยังเลย น้องพลีสจะออกไปโรงเรียนเลยหรือทานอาหารเช้าก่อนล่ะ”

“พลีสว่าจะออกไปเลยค่ะ วันนี้พลีสมีคลาสเช้า”

“งั้นให้อาไปส่งนะ”

“เอ่อ…จะไม่รบกวนคุณอาเหรอคะ” พาขวัญถามอย่างแปลกใจ อติกันต์อาจจะชอบคุยเล่นและใจดีกับเธอก็จริง แต่เขาไม่เคยอาสาขับรถไปส่งเธอเลย แถมตอนนี้ก็ยังเช้ามากด้วย

“ไม่หรอก วันนี้อาไม่มีงานตอนเช้า”

“แต่…”

“ทำไมเหรอ หรือว่าน้องพลีสไม่อยากนั่งรถไปกับอา ฮึ?”

“เปล่าค่ะ งั้นก็ขอบคุณคุณอามากนะคะ”

พาขวัญบอกวิชัยว่าเช้านี้ไม่ต้องไปส่งเธอ แต่ให้เขาไปรับตอนเย็นแทน จากนั้นเธอก็เดินไปขึ้นรถยนต์คันหรูที่อติกันต์เปิดประตูรออยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยได้เจอหน้าและไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขา แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนอยู่ร่วมบ้านกันมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก จะห่างกันก็แค่ช่วงที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศ พอเขากลับมาก็มาอยู่ร่วมบ้านกันเหมือนเดิมก็ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมกับเขาพอสมควร

ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรู้สึกได้ว่าวันนี้เขามีอะไรบางอย่างที่แปลกไป…

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Editor Jamsai: