X
    Categories: LOVEทดลองอ่านวงกตลายตะวัน

ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่14-บทที่15

หน้าที่แล้ว1 of 2

 

บทที่ 14

ล้อเล่นกับหัวใจ

 

ใกล้ถึงเวลานัดหมายที่ร้านไวน์ย่านทองหล่อเต็มทน ทว่าอินทัชกับพริมายังคงนั่งจมกับก้อนความคิดหนาหนักบนสวนลอยฟ้า มองตะวันยามเย็นขณะเคลื่อนคล้อยอย่างคนเลื่อนลอย

เมื่อเช้าพี่ตระการเพิ่งแจ้งข่าวให้เขาและก๊อปปี้ไรเตอร์สาวคู่หูรู้ว่าต้องตระเตรียมคำพูดสำคัญเพื่อโน้มน้าวใจใครบางคนในค่ำวันศุกร์นี้ พออินทัชถามว่าเป็นลูกค้ารายไหน พี่ตระการกลับบอกเพียงว่าหาใช่ลูกค้าทั่วไป…แต่เป็นครีเอทีฟต่างค่าย อินทัชกับพริมาสามารถพูดหรือทำอะไรก็ได้ให้คนคนนั้นตกลงปลงใจ เพราะคุณศักดาอยากได้มาร่วมงานกับเอเจนซี่แอดดิกต์มากๆ

พอเขาถามเพิ่มว่าครีเอทีฟที่ว่านั้นเป็นใคร พี่ตระการกลับไม่ยอมบอกรายละเอียดอันใด อินทัชไม่ค่อยเข้าใจนักว่าแค่ชื่อของครีเอทีฟคนเดียวถึงกับต้องเก็บเป็นความลับระดับชาติขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายเป็นใคร เขากับพริมาจะช่วยกันสรรหาคำพูดโน้มน้าวใจได้อย่างไร ขนาดสินค้าทั่วไป…ครีเอทีฟยังต้องรู้จักและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นอันดับแรกๆ ก่อนผลิตงานโฆษณาเพื่อสนับสนุนการขายเลย

‘เอางี้ บอกได้แค่ว่าเป็นครีเอทีฟรุ่นใหม่ที่เก่งชนิดหาคนเทียบได้ยากมากๆ ยังไงแทนกับพริมช่วยเตรียมคำพูดเพื่อโฆษณาหรือชักชวนอะไรก็ได้ที่ได้ยินแล้วอยากเปลี่ยนใจมาทำงานกับแอดดิกต์ คิดซะว่าเป็นงานสนุกๆ แก้เครียดละกัน’

พี่ตระการบอกให้มองเป็นเรื่องสนุก ไฉนอินทัชกลับมองเป็นเรื่องทุกข์เสียยิ่งกว่าเดิม

“คุณคิดว่า…เป้าหมายที่แท้จริงของคนเป็นครีเอทีฟคืออะไรกันแน่” เขาหันไปขอคำตอบจากพริมา อยากขุดให้ลึกถึงก้นบึ้งความต้องการของคนสร้างสรรค์โฆษณา “…เงิน…รางวัล…ชื่อเสียง…หรือได้ทำในสิ่งที่รักก็เพียงพอแล้ว?”

วูบนั้นหากอินทัชมองไม่ผิด เหมือนมีอะไรดลใจให้พริมาคิดถึงบางอย่าง สีหน้าเธอถึงได้เปลี่ยนไปเป็นเครียดขรึมในทันตา ฉายชัดถึงความรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่งยวด

“บางที…อาจจะมากกว่าสี่อย่างที่คุณพูดมาก็ได้นะแทน”

หรือพริมาจะรู้แล้วว่าครีเอทีฟคนที่พ่อเขาหมายดึงตัวมาอยู่ใต้ชายคาแอดดิกต์เป็นใคร ถึงได้ตระหนักชัดถึงความต้องการของใครคนนั้นว่ามากกว่าสี่สิ่งสำคัญที่เขาเกริ่นมา

“คุณรู้แล้วเหรอว่าเป็นใคร”

เขาถามไป เพราะคิดว่าเธอคงยอมบอกเล่าถึงความเป็นไปได้ให้ฟังบ้าง แต่พริมากลับนิ่งเฉย ไม่พูดอะไรอีกเลย อย่างเดียวที่เธอยอมเฉลยคือสีหน้าหนักใจคล้ายคนแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว

เมื่อความมืดเคลื่อนเข้าห่อตัวผืนฟ้าอย่างเบ็ดเสร็จ อินทัชสัมผัสได้ถึงกลิ่นฝนโชยมา จึงชวนพริมาให้รีบเดินทางไปประจำการยังสถานที่นัดหมาย ชายหนุ่มแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้เจ้ารถยนต์มาดเยอรมันใต้อาณัติของเขาวิ่งไปบนถนนสายสุขุมวิทได้อย่างราบรื่น ทั้งที่เลื่องชื่อเรื่องความติดขัดระดับนรกช่วงหลังเลิกงาน ราวกับมีใครบันดาลปูทางสะดวกให้เขาและพริมาไปถึงร้านไวน์ย่านทองหล่ออย่างรวดเร็ว

อินทัชเดินนำพริมาเข้ามาที่มุมเงียบสงบของร้าน แสงไฟอุ่นตาถูกจัดวางตามจุดต่างๆ รับกับผนังและเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำแดง ตกแต่งสไตล์คลาสสิกผสมผสานโมเดิร์นขับบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยมและลงตัว ชั้นวางขวดไวน์ขนาดใหญ่ใกล้บาร์บอกยี่ห้อความเป็นแหล่งรวมไวน์ชั้นเลิศทั้งโลกเก่าและโลกใหม่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลูกค้าวัยทำงานถึงได้จับจองโต๊ะจนหนาตาขนาดนี้

“รายนั้นเล่นตัวน่าดู” พี่ตระการเอ่ยขึ้นขณะเขากับพริมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำดีไซน์หรูซึ่งมีอยู่ทั้งหมดห้าตัวล้อมรอบโต๊ะกลม

ความจริงอินทัชเองก็อยากจะตอบกลับไปว่าพี่ตระการเองก็เล่นตัวใช่ย่อย ไม่ยอมบอกให้เขากับพริมาล่วงรู้ถึงชื่อเสียงเรียงนามครีเอทีฟคนนั้นเช่นกัน ก่อนจะหันไปมองพริมาที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา สงสัยจะเครียดจัดเรื่องโจทย์ที่พี่ตระการสั่งให้คิดหาวิธีโน้มน้าวใจครีเอทีฟต่างสำนักให้เปลี่ยนใจมาร่วมงานกับแอดดิกต์

บริกรจัดการรินไวน์รสเยี่ยมจากเมืองบอร์โดซ์แห่งฝรั่งเศสลงแก้วทั้งสามใบเป็นการอุ่นเครื่อง อินทัชเห็นพี่ตระการตั้งท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยการปรากฏตัวของผู้มาใหม่

“นึกว่าคุณศักดาจะไม่มาแล้วเสียอีก”

“ได้ไงเล่า ครีเอทีฟคนนี้…ฉันเป็นคนเลือกเองกับมือ” พ่อหย่อนกายหลังวางสูทดำกลืนพนักเก้าอี้ “ไม่มาสัมภาษณ์ด้วยตัวเองคงเสียดายแย่ อีกอย่าง…ฉันไม่ค่อยไว้ใจโฆษณาที่ลูกชายฉันทำเท่าไหร่ เผลอๆ อาจจะไม่ได้เตรียมมาเลยด้วยซ้ำ”

หางเสียงพ่อประชดประชันคล้ายไม่ใส่ใจความรู้สึกคนเป็นลูกอย่างเขานัก ก่อนจะหันไปสั่งบริกรหนุ่มให้นำปลาค็อดอบกับไวน์ขาวมาเสิร์ฟ แล้วเอ่ยต่อไปว่า

“ฉันยังจำตอนเห็นเจ้าหนุ่มนั่นครั้งแรกได้อยู่เลย ทั้งบุคลิก…ดวงตา…ยังติดตาฉันมาถึงทุกวันนี้ บางทีแกกับเขาอาจจะเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนนะเจ้าแทน”

“อะไรนะครับ” อินทัชรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วของเขาเปลี่ยนไปเป็นขมวดมุ่น

“นี่แกยังไม่รู้อีกเรอะว่าครีเอทีฟคนนั้นเป็นใคร อ้อ…ฉันลืมไปว่าให้ตระการเป็นคนติดต่อโดยตรง แกกับพริมต้องทำใจหน่อย นี่เป็นสไตล์การเลือกคนของตระการ เขาไม่อยากให้เพื่อนร่วมทีมตั้งความหวังสูงหรือดูถูกตัวเองว่าเก่งน้อยกว่าอีกฝ่ายจนเกินไป”

นาทีนี้อินทัชพอจะเข้าใจวิธีการทำงานของพี่ตระการอยู่บ้าง แต่จุดที่ไม่เข้าใจเลยก็คือ…

“เมื่อกี้ที่พ่อบอกว่าผมกับครีเอทีฟคนนั้นอาจเคยเจอกันมาก่อน…หมายความว่ายังไง”

“ที่นิวยอร์กไง…”

เสียงทุ้มลึกคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นทันที อินทัชได้แต่ผ่อนลมหายใจพร่ำภาวนา ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย ทว่าสุดท้าย…ชายหนุ่มก็สำนึกว่าไม่อาจเปลี่ยนความจริงตรงหน้าได้ ร่างสูงของอดีตเพื่อนรักผู้เคยหักหาญน้ำใจเขากำลังยืนเด่นอยู่ด้านหลังพ่อ ส่งสายตาอวดดีระคนท้าทายตรงถึงเขา

“จำฉันไม่ได้เหรอ”

“วะ…วาริศ” อินทัชพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ

“ใช่ ฉันเอง ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะ” ริมฝีปากวาริศแย้มยิ้มคล้ายแสดงความจริงใจ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วหมอนั่นกำลังคิดอะไรกันแน่

“นั่งก่อนสิ” น้ำเสียงของพ่อที่มักจะแข็งกระด้างใส่อินทัชกลับตาลปัตรเป็นนุ่มนวลยามเอ่ยกับวาริศในพริบตา

วาริศกล่าวขอบคุณและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม จนอินทัชรู้สึกสะอิดสะเอียนเต็มกลืน เมื่อเห็นพ่อมองหมอนั่นด้วยสายตาชื่นชม พี่ตระการเริ่มต้นบทแนะนำสมาชิกบนโต๊ะทีละคน ไล่เรียงมาตั้งแต่พ่อ ตัวพี่ตระการเอง จนถึงตัวเขาและพริมาให้อีกฝ่ายได้รู้จักอย่างเป็นทางการ อินทัชจึงเลือกเมินเฉยเสมองไปยังโต๊ะอื่นภายในร้านผ่านใบหน้าซีดเซียวของพริมา เขาเห็นเธอค้อมศีรษะส่งสายตาตอบรับการทักทายจากวาริศ เอ่ยสวัสดีเสียงเบาเท่ากระซิบ ดวงตาสวยคู่หม่นสะท้อนจัดถึงความรู้สึกอึ้งปนตกตะลึง จนอินทัชไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดพริมาถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้

“เราไปรู้จักกับเจ้าแทนตอนไหนเหรอวาริศ” พ่อเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาบนเส้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหมอนั่นจนได้

“พอดีผมกับแทน…เรารู้จักกันที่นิวยอร์กตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ”

“จริงเหรอ นึกว่ารู้จักกันตอนทำงานแล้วเสียอีก”

“พอเห็นแทนตอนแข่งพิตช์งานคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ บอกตามตรง…ผมดีใจมากเลยครับ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้งที่นี่”

มุมปากอินทัชกระตุกทันที รู้ดีว่ามีแค่เขาที่อ่านสีหน้าและสายตาอันน่าเคลือบแคลงใจของวาริศออก “ฉันเองก็ดีใจจนพูดไม่ออกเลยล่ะ”

นี่สินะ นิยามของคำว่าเพื่อนรัก

ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาก็รู้ใจแล้ว

“แล้วพริมล่ะ คิดเห็นยังไงกับผลงานของวาริศ” พี่ตระการโยนคำถามไปยังคนที่นั่งนิ่งมานานบ้าง พริมาจึงค่อยๆ เงยหน้าสบตาคนนั่งฝั่งตรงข้าม แววตาอัดล้นด้วยประกายคำถามมากมาย

“ก็ดีค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “พริมประทับใจฝีมือของเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน หากได้ร่วมงานกัน คงเป็นเรื่องดีมากๆ เลยทีเดียว”

“จริงเหรอครับ” วาริศทวนถามด้วยสุ้มเสียงเปี่ยมเค้าสงสัย

“ค่ะ” เธอรับคำสั้นๆ เพียงแค่นั้นก็เรียกรอยยิ้มกินนัยประหลาดจากวาริศได้แล้ว

“จริงๆ ที่นัดวาริศมาวันนี้ เพราะอยากจะพูดคุยรายละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจว่ายังอยากทำที่เอเจนซี่เดิมต่อ หรือก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่ากับพวกเรา” พี่ตระการเป็นฝ่ายชักบทสนทนาเข้าประเด็นสำคัญ

อินทัชเห็นแล้วรู้สึกอึดอัดขัดใจเหลือทน ด้วยความสัตย์ซื่อ…เขาอยากจะล้มโต๊ะตรงหน้าเพื่อเลิกล้มการเจรจาหวังโน้มน้าวใจครีเอทีฟบ้าบอนี่ แต่เพราะมีพ่อนั่งร่วมวง เขาจำต้องระงับอารมณ์ ฝืนทนขบกรามแน่น บอกตัวเองให้นิ่งเงียบเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกพ่อตำหนิต่อหน้าวาริศคนที่ชอบกดขี่เขาด้วยสายตาว่าอ่อนด้อยกว่าตลอดเวลา

“เดี๋ยวก่อนนะครับ…” วาริศขัดขึ้น “พอดีผมมีสิ่งหนึ่งอยากถามให้แน่ใจ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาของพวกคุณทุกคน”

“ว่ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” น้ำเสียงพ่อช่างเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูอย่างเหลือล้น

“ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าแอดดิกต์ชวนผมมาทำงานในตำแหน่งอะไร”

“พอดีคุณศักดาอยากให้เราขยายทีม เลยตั้งใจชวนวาริศมารับตำแหน่งซีเนียร์อาร์ตไดเร็กเตอร์ที่แอดดิกต์ หากวาริศตัดสินใจมาทำงานด้วยกัน ทีมเราก็จะมีซีเนียร์อาร์ตไดเร็กเตอร์ทั้งหมดสามคน มีแทน ชินทร และก็ตัววาริศเอง ส่วนก๊อปปี้ไรเตอร์ที่ทำคู่กับวาริศ ตอนนี้เรากำลังมองหาเพิ่ม จากที่มีพริมกับวอแวอยู่แล้ว” พี่ตระการฉายภาพรวมให้ฟัง แต่ดูเหมือนวาริศจะไม่พอใจในคำตอบนัก

“แสดงว่า…กำลังชวนผมมาทำตำแหน่งซีเนียร์อาร์ตไดเร็กเตอร์อย่างงั้นใช่มั้ยครับ” วาริศพยายามซ่อนรอยเยาะหยันไว้มิดชิด “ที่แอคต์แพลเน็ตผมก็เป็นซีเนียร์อาร์ตไดเร็กเตอร์อยู่แล้ว ทำไมผมต้องย้ายจากที่นั่นเพื่อมาทำตำแหน่งเดิมที่แอดดิกต์ด้วย”

“ฉันยืนยันได้เลยว่าต่างกันแน่นอน ลูกค้าที่ทีมเราดูแลอยู่มีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ใจกว้างทั้งนั้น” พี่ตระการพยายามสรรหาข้อดีมาสนับสนุนการขาย

“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมกำลังพูดถึงครับ” วาริศแกว่งแก้วไวน์แดงเบาๆ ขณะต่อรอง

“แล้วคุณต้องการอะไรจากเรากันแน่”

เสียงนั้นไม่ได้หลุดมาจากพ่อ พี่ตระการ หรือตัวอินทัช

แต่เป็นพริมาผู้สงบเงียบมาตั้งแต่แรก

“ผมต้องการอะไรน่ะเหรอ นี่คุณพริมไม่รู้จริงๆ หรือว่าชีวิตครีเอทีฟตัวเล็กๆ อย่างเราต้องการอะไร”

วาริศเผยรอยยิ้มอันน่าชิงชังในสายตาอินทัช ในตอนนั้นทุกคนเงียบไปหลายอึดใจคล้ายครุ่นคิดหาคำตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจว่า

“ความ-ก้าว-หน้า”

อินทัชได้ยินเช่นนั้น จึงหันไปมองเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวในฉับพลัน ไม่คิดไม่ฝันว่าพ่อจะตั้งใจตอบคำถามหมอนั่นอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงเพียงนี้

“โอเค วาริศ…ฉันเข้าใจดีว่าคนเก่งๆ อย่างเราไม่ได้ต้องการเงิน ชื่อเสียง หรือลูกค้าเจ้าใหญ่ใจกว้างอะไรนั่น…เอาเป็นว่าฉันจะให้เราขึ้นเป็นหัวหน้าทีมครีเอทีฟอย่างที่เราต้องการ”

“พ่อ!” อินทัชไม่เข้าใจ พ่อพูดอะไรออกมา

ขณะที่พี่ตระการ…แม้จะไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน แต่สีหน้าดูตกตะลึงกับการตัดสินใจของพ่อไม่น้อย ส่วนพริมาน่ะหรือ…บัดนี้เปลี่ยนไปเป็นตัวแข็งทื่อ จดจ้องวาริศไม่วางตา คล้ายมีคำถามต่างๆ นานาว่าหมอนั่นปรารถนาสิ่งใดกันแน่ ถึงได้กล้าต่อรองตำแหน่งกับพ่อเขาถึงเพียงนี้

“ยังไงรบกวนคุณศักดาช่วยยืนยันหน่อยได้ไหมครับว่าผมกำลังจะเป็นหัวหน้าทีมไหน ทีมที่มีแทนกับคุณพริมสังกัดอยู่หรือเปล่า”

นาทีนั้นอินทัชไม่อาจข่มกลั้นอารมณ์เดือดปุดไว้ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏบนใบหน้าฝั่งตรงข้าม รวมถึงอากัปกิริยาของพ่อซึ่งค่อยๆ คลายวงแขนจากการกอดอกแล้วผายมือไปยังวาริศ ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

“ตามแต่เราต้องการเลยวาริศ”

“จริงเหรอครับ” วาริศทวนถามอีกครั้ง ตอกย้ำให้อินทัชและพริมาตระหนักว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปนั้นไม่มีทางผิดเพี้ยนแน่

“จริงสิ ฉันจะโกหกไปทำไม อันที่จริงตอนนี้ตระการเองงานก็แทบจะล้นมือ ให้เรามาช่วยคุมทีมที่พริมกับแทนอยู่ แล้วให้ตระการขึ้นไปเป็นหัวหน้าใหญ่คุมทั้งแผนกครีเอทีฟ คอยดูอยู่ห่างๆ ก็น่าจะโอเค”

“ได้ยินอย่างงี้ ผมก็ตัดสินใจได้แล้ว…”

วาริศช้อนตามองอย่างเป็นต่อ จนพ่อและพี่ตระการต้องขยับท่านั่ง ตั้งใจฟังสิ่งที่วาริศกำลังจะเอ่ยด้วยใจระทึก

“ผมจะมาทำงานที่แอดดิกต์เดือนหน้าเลย”

พ่อขมวดคิ้วนิ่วหน้าราวกับครุ่นคิดว่าอะไรจะง่ายดายปานนั้น ก่อนจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก แย้มริมฝีปากเผยยิ้มหน้าชื่นด้วยความรู้สึกพออกพอใจเป็นหนักหนา

“เยี่ยม! เยี่ยมมากวาริศ! ฉันรับรองได้เลยนะว่าย้ายมาทำงานที่แอดดิกต์กับฉัน…เราจะไม่มีวันผิดหวังแน่นอน”

 

พริมาไม่อยากเชื่อเลยว่าวาริศจะตอบรับคำชวนของคุณศักดา ย้ายมาร่วมงานกับเอเจนซี่แอดดิกต์อย่างที่เธอคาดไว้ แถมยังเตรียมเลื่อนขั้นนั่งเก้าอี้หัวหน้าทีม A ที่เธอและอินทัชสังกัดเสียด้วย

ความจริงพริมาน่าจะทำใจยอมรับได้ล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนอินทัชถามถึงเป้าหมายที่แท้จริงของคนเป็นครีเอทีฟว่าคืออะไรกันแน่ ขณะเธอกับเขานั่งเคียงกันบนสวนลอยฟ้าเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา กระทั่งมีบางอย่างดลใจให้หญิงสาวคิดว่าครีเอทีฟที่คุณศักดาหมายตา…อาจเป็นวาริศขึ้นมาจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น อินทัชจะรับมือเรื่องนี้ได้หรือ ไม่มีทาง…อินทัชไม่มีทางยอมรับและปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้แน่

แต่จนถึงนาทีนี้อินทัชกลับเงียบไป เขาไม่ยอมสบตาใคร สนใจแต่การใช้มีดหั่นสเต๊กเนื้อออสเตรเลียหนานุ่มบนจาน ตั้งหน้าตั้งตาทานจนหมด ก่อนจะวางส้อมและมีดบนจานใหญ่คล้ายโยนทิ้ง เรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่บนโต๊ะ ยกแก้วไวน์แดงรสนุ่มขึ้นดื่มรวดเดียวหมด คว้ากระเป๋าออกไปจากร้าน ไร้ซึ่งคำบอกลาใดๆ

คุณศักดาซ่อนความไม่พอใจไว้ขณะปรายตาคมดุจพญาเหยี่ยวมองตามแผ่นหลังคนเป็นลูกชาย แล้วหันไปส่งสายตาให้วาริศเป็นนัยขอโทษแทนอินทัชที่เสียมารยาท วาริศคลี่ยิ้มน้อยๆ บอกไม่เป็นไร แล้วยกแก้วไวน์ขึ้นเพื่อขอชนกับคุณศักดาและพี่ตระการ แน่นอน…เขาไม่ลืมส่งสัญญาณว่าขอชนแก้วกับเธอด้วย

วินาทีนั้นพริมาไม่อาจทนมองรอยยิ้มยกมุมปากคล้ายเยาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอบนใบหน้าคมของวาริศได้อีกต่อไป

“ขอโทษนะคะ พอดีพริมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ยังไงขอตัวกลับก่อนนะคะ” พริมายกมือไหว้คุณศักดากับพี่ตระการ ตามด้วยการค้อมศีรษะให้วาริศ แล้วลุกจากเก้าอี้หนังหมุนตัวออกไปจากร้านทันที ไม่ทิ้งช่องว่างให้ใครรั้งไว้เพื่อร่วมวงดื่มของมึนเมาเคล้ารสสนทนาต่อ

พริมาไม่อยากอยู่ตรงนั้น เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ทางเดียวที่เธอนึกออกคือไปให้พ้นจากจุดนั้นโดยเร็วที่สุด จวบจนก้าวยาวพ้นประตูบานหนาหนักหน้าร้าน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลมเย็นหอบกลิ่นฝนโชยมา เพียงไม่นานหยาดฝนหลงฤดูพลันร่วงหล่นพร่างพรมบนถนนสายเล็ก พริมาหันซ้ายแลขวามองหาร่างสูงของอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หู อินทัชหายไปไหน ทำไมถึงได้หุนหันไปจากโต๊ะแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าไม่กี่วินาทีเท่านั้นพริมาพลันได้คำตอบ เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าคมคายมีสีหน้าเครียดขรึมนั่งประจำการบนเบาะคนขับในรถยนต์มาดเยอรมัน วิ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็วสู่ถนนสายหลักจนกระทั่งลับตา

นาทีนั้นพริมาหาได้โกรธเคืองเขาเลยสักนิดที่ทิ้งเธอไว้อย่างโดดเดี่ยว นั่นเพราะเธอเข้าใจเขาทุกอย่าง เป็นใครใครก็ช็อกทั้งนั้น เมื่อคนเป็นทั้งพ่อและเจ้านายอ้าแขนต้อนรับคนที่อินทัชไม่อยากพบพานหรือร่วมชะตากรรมมากที่สุด

แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณศักดาตัดสินใจแล้ว จะให้เธอร้องห้ามกลางโต๊ะบอกว่าอย่ารับวาริศเข้ามาในแอดดิกต์อย่างนั้นน่ะหรือ เธอทำไม่ได้หรอก แม้ในอกจะเต็มไปด้วยความสงสัยและได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลมากเพียงใด ก็ไม่อาจสรุปได้ว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งเรื่องวีทีอาร์ จดหมายจากคนที่ตายไปแล้วซึ่งส่งตรงถึงพ่อของเธอ รวมถึงหลอดไฟหัวแตก กับพวงหรีดปริศนาที่ปรากฏกลางโรงแรมในวันที่เธอเห็นเขาเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ…”

เสียงทุ้มลึกของวาริศดังมาจากข้างหลังขณะเธอยกกระเป๋าเป้สีดำคู่ใจเหนือศีรษะตั้งท่าจะเดินฝ่าสายฝนไปขึ้นรถแท็กซี่ตรงปากซอย ทันใดนั้นพริมาพลันรู้สึกได้ว่าเม็ดฝนบางเบาซึ่งร่วงหล่นจากฟ้ากว้างขาดหายไป เธอค่อยๆ หันไปมองด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของร่างสูงจะตามเธอออกมา เขาก้าวเข้ามาประชิดเธออย่างจงใจ ในมือมีร่มคันเล็กสีดำสนิทกางอยู่

“ดูท่าจะตกหนักเอาเรื่อง ยังไงเอาร่มผมไปใช้ก่อน เห็นบอกไม่สบายนี่ ยังจะเดินตากฝนอยู่อีก”

พริมาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือหนาของเขาเคลื่อนมาจับมือเธอให้กำด้ามร่มดำไว้แน่น สัมผัสจากมือเขาแทนที่จะอบอุ่นเหมือนในอดีต กลับเปลี่ยนไปเป็นเย็นเฉียบ ปลุกความรู้สึกขนลุกเกรียวบนเนื้อผิวบางของเธอ

“หยุดมองผมแบบนั้นได้แล้ว…”

พริมาไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้เธอมองตอบวาริศด้วยแววตาเช่นไร ความรู้สึกมันหลากหลายเกินกว่าจะบรรยายได้ ทั้งว้าวุ่น สับสน และไม่วางใจกึ่งพิศวงในการตัดสินใจของเขา

“คุณมองผมแบบนั้นตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเดินเข้าไปในร้าน รู้ตัวบ้างมั้ย”

“คุณ…ต้องการอะไรกันแน่” เธอเค้นเสียงปิ่มจะขาดหายในลำคอถามเขาออกไปในที่สุด

วาริศนิ่งค้างพลางเบนสายตาไปมองถนนเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักบางเผยยิ้มแกมเยาะนิดๆ ก่อนจะหุบไปในที่สุดและหันมาสบตาเธออีกครั้งไม่มีหลบหลีก “ผมบอกไปแล้วนี่…ผมย้ายมาที่แอดดิกต์เพราะต้องการความก้าวหน้า คุณศักดาเองยังรู้ใจผมเลยว่าผมต้องการอะไรมากที่สุด”

“ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความก้าวหน้า เพราะสิ่งที่คุณต้องการ…มันมากกว่านั้นเยอะ” พริมาตระหนักได้ถึงแรงปรารถนาอันน่าสะพรึงกลัวของเขา วาริศกำลังปล่อยให้ความแค้นกลายร่าง ขัดเกลาวิญญาณเขาจนด้านชา

พร้อมลงทัณฑ์ทุกคนให้พบพานรสชาติแห่งการสูญเสีย!

“ดูเหมือนคุณจะชอบทำตัวรู้ดีไปเสียทุกอย่างเวลาอยู่ต่อหน้าผมจังเลยนะพริมา” วาริศถอนหายใจ นัยน์ตาคมฉานสะท้อนจัดว่าชักไม่สบอารมณ์ แต่ยังพยายามข่มกลั้นความรู้สึกขุ่นเคืองเหล่านั้นเอาไว้ “โอเค บางทีคุณอาจจะตกใจ ที่จู่ๆ คนที่คุณเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพื่อนเก่ากลับมาปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีกครั้ง และกำลังจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่…อ่อ…ไม่สิ…หัวหน้าทีมคนใหม่ต่างหาก ผมรู้ว่าคุณอาจจะทำใจลำบากสักหน่อยที่ต้องเห็นหน้าเพื่อนคุณซ้อนทับบนหน้าผม แต่ทำไงได้ นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม คุณควรหาวิธีรับมือกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง ก่อนที่เดือนหน้าจะมาถึง”

วาริศถือวิสาสะเอื้อมมือมาปัดละอองฝนบนเสื้อคลุมของเธอ สายตาของเขาเลื่อนมาจับจ้องที่หน้าผาก…ใช้นิ้วกรีดหยาดน้ำฝนออกอย่างอ่อนโยน สัมผัสของเขาทำให้พริมารู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นวาบมาที่หัวใจ จนหญิงสาวถึงกับผงะ ถอยห่างจากร่างสูงในทันตา แต่วาริศไม่ยอมลดละ สืบเท้าก้าวประชิดร่างพริมาอย่างถือดี

“คุณรู้มั้ย บางที…การที่คุณแสดงท่าทีห่วงหาอาทรผมสลับกับท่าทางต่อต้านแบบนี้กลับทำให้ผมสนใจคุณมากขึ้นเรื่อยๆ” ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้าใกล้แล้วกระซิบข้างหูเธออย่างถือวิสาสะ “ผมดีใจจริงๆ ที่หลังจากนี้เราจะได้เจอหน้ากันทุกวัน”

“…”

“บอกตามตรงนะพริมา ตั้งแต่วันนั้นที่เราจูบกัน ผมยังคิดถึงสัมผัสนั้นไม่หาย ถ้าหากคุณให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมสัญญาว่าจะอ่อนโยนกับคุณมากกว่านี้ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกละกัน ผมรู้ว่าคุณก็คิดถึงมัน”

ลมหายใจร้อนของเขารินรดแก้มเธออย่างลุ่มลึกในอารมณ์ จนพริมาแทบทนไม่ไหว ผลักอกเขาไปให้พ้นรัศมีเธออย่างเต็มแรง

เขาพูดแบบนี้ทำไม รู้บ้างไหมว่าชักจะล้อเล่นกับหัวใจเธอมากเกินไปแล้ว

 

วาริศเจ็บหนึบที่หัวใจทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้พริมา

นี่คือความจริงเดียวที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่อยากผลักไสเธอไปให้ไกล แต่เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่เขาสร้างไว้เพื่อเหวี่ยงตัวเองไปหาเธอทุกครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนั้นเป็นเพราะโกรธแค้น หรือยังมีใจและหลงเหลือเยื่อใยให้เธอกันแน่

คืนนั้นวาริศกลับถึงคอนโดมิเนียมไปพร้อมกับความเหนื่อยอ่อน ฤทธิ์ไวน์แดงรสนุ่มยังอาบอุ่นไปทั่วตัว ศักดากับตระการชวนเขานั่งดื่มต่อและพูดคุยเกี่ยวกับผลงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ หยิบยกมาถกกันด้วยวิสัยคนช่ำชองจนถึงเที่ยงคืน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังพอมีสติ หยิบกระดาษเปล่าและปากกานั่งร่างจดหมายถึงใครคนหนึ่ง

วันรุ่งขึ้นวาริศนั่งเท้าศอกบนพนักวางแขนโซฟาเดี่ยว มือทั้งสองข้างยกปลายนิ้วขึ้นจรดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เขานั่งรอเจ้าของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตได้สักพัก คุณอาธนาก็กลับเข้ามาหลังการประชุมร่วมกับลูกค้าเสร็จสิ้น พอคนสูงวัยกว่าเห็นซองขาวนอนนิ่งบนโต๊ะกลางเบื้องหน้าก็พอจะเดาออกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนทิ้งกายนั่งบนโซฟาหนังตัวยาวฝั่งตรงข้าม คลี่กระดาษอ่านข้อความที่วาริศบรรจงเขียนด้วยหมึกดำ เนื้อหาบนกระดาษนั้นกระชับและเรียบง่าย วาริศร่ายคำขอบคุณต่างๆ นานาที่แอคต์แพลเน็ตให้โอกาสและประสบการณ์ในการทำงานสร้างสรรค์โฆษณาแก่เขาตามธรรมเนียมของการเขียนจดหมายลาออก

แทนที่จะแสดงอาการตระหนกตกใจ เพราะวาริศเพิ่งทำงานที่แอคต์แพลเน็ตได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่คุณอาธนากลับยิ้มพรายราวกับตระหนักว่า ‘เวลานั้น’ ได้เดินทางมาถึงแล้ว

“รู้สึกเหมือนเป็นบันไดให้ครีเอทีฟอย่างเราก้าวไปสู่แอดดิกต์ยังไงก็ไม่รู้แฮะ” น้ำเสียงของคุณอาธนาเจือแววขำขันอย่างรู้กัน เมื่อเห็นเขากำลังย้ายฐานที่มั่นไปเอเจนซี่ใด “โอกาสมาถึงแล้ว อย่าปล่อยให้หลุดมือเชียว”

“ครับอา” เขาตอบรับเพียงสั้นๆ ระหว่างเขากับคุณอาธนานั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาก็รู้แล้วว่ากำลังเดินเกมต่อไปในทิศทางไหน

ทว่าคนที่ดูตกใจกับเรื่องนี้มากกว่าใครเห็นจะเป็นกริช รายนั้นตรงเข้ามาถามวาริศทันทีที่ทราบเรื่องการลาออกจากผู้เป็นพ่อ

“ทำไม…ถึงได้กะทันหันแบบนี้” กริชเป็นคนเดียวที่ถูกกีดกันไม่ให้ล่วงรู้อดีตของวาริศ “แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากทำงานที่นี่ตลอดไป”

วาจาตัดพ้อของคนเป็นเพื่อนทำเอาวาริศใจหายวาบ “ฉันขอโทษ”

“แอดดิกต์มีอะไรดีนักหนา แกถึงอยากไปทำที่นั่น ไหนแกบอกว่าอยากช่วยฉันสานต่องานที่นี่ไง!”

“เรื่องนั้น…ฉันไม่ลืม”

“แต่สุดท้าย…แกก็เลือกที่นั่น”

“ฉันขอโทษจริงๆ ว่ะ” วาริศบอกตัวเองว่ายอมให้กริชและคนอื่นเข้าใจในตัวเขาผิดเพี้ยน

ดีกว่าล้มเลิกเป้าหมายสูงสุดของชีวิต!

ในช่วงค่ำวันนั้น วาริศอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นชื่อของเพียงแพรปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เธอหายหน้าหายตาไปพักหนึ่งหลังรู้ความจริงเรื่องเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทำลายสัมพันธ์รักระหว่างเธอกับอินทัชเมื่อหนึ่งปีก่อน

เพียงแพรนัดเขาให้มาพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในคอมมูนิตี้มอลล์ใกล้ออฟฟิศแอคต์แพลเน็ต เขาตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แม้ลึกๆ จะยังรู้สึกผิดต่อเพียงแพรมากก็ตาม แต่สุดท้ายก็แก้ต่างให้ตัวเองด้วยการครอบหมวกความคิดว่าเหตุที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพราะหวังดีกับเพียงแพรมากจนถึงขั้นไม่อยากเห็นเธอไปเกลือกกลั้วกับลูกชายของศักดา

เมื่อถึงเวลานัดหมาย ชายหนุ่มจึงก้าวเข้าไปในร้านกาแฟซึ่งคลาคล่ำด้วยหนุ่มสาวออฟฟิศที่เพิ่งเลิกงาน บ้างรวมตัวกันจับกลุ่มสนทนา บ้างนั่งผ่อนคลายบนโซฟาหนานุ่มทอดอารมณ์มองคนเดินไปเดินมาภายในคอมมูนิตี้มอลล์ วาริศสอดส่ายสายตาไปทั่วร้าน เพียงแพรกำลังนั่งไขว่ห้างรอเขาที่มุมหนึ่งแล้ว

“ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยนะ เป็นไงบ้าง สบายดีนะ?” เขาเป็นฝ่ายเริ่มทักทายเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสบายๆ คล้ายลืมเรื่องที่ทำกับเธอไปหมดสิ้น

“ช่วงนี้ก็เรื่อยๆ ดี กำลังวางแผนเปิดร้านเสื้ออีกสาขาที่ห้างแถวสุขุมวิท”

“จริงเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“พริมไม่ได้เล่าให้ฟังบ้างเหรอ”

วาริศชะงักงัน เขาหันไปจิบอเมริกาโนร้อนรสขมปร่า ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนคำตอบ เพียงแพรรู้ตัวว่าเย้าแรงไปหน่อย แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่วาริศเคยทำกับเธอ

“แกยังโกรธเราอยู่สิท่า” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา

เพียงแพรยิ้มจางๆ “มั้ง ก็แกเล่นแรงนี่หว่า”

“ขอโทษจริงๆ ว่ะ”

เพียงแพรเงียบไปคล้ายครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดพยักหน้ายอมรับคำขอโทษจากเขา แล้วเปลี่ยนทิศทางบทสนทนาสู่ประเด็นที่อยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ “ว่าแต่แกเหอะ ทำไมจู่ๆ ถึงตัดสินใจย้ายไปทำที่แอดดิกต์”

“ไอ้กริชนี่เร็วจริงๆ”

“พริมเป็นคนบอกต่างหาก…” ดวงตาของเพียงแพรเผยชัดถึงความฉงนปนไม่เข้าใจอย่างรุนแรง “ทำไมถึงเป็นที่นั่น แกก็รู้นี่ว่าเจ้าของแอดดิกต์คือคุณศักดา!”

“ใช่ เรารู้”

“แต่แกก็ยังไป โคตรไม่เข้าใจเลยว่ะ”

“อย่าคิดมากเลยน่า เราก็แค่อยากเปลี่ยนที่ทำงานใหม่”

เพียงแพรคาดคั้นเอาทันควัน “ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เถอะ เป็นเอเจนซี่อื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเป็นแอดดิกต์เลย”

“แพร แกก็รู้นี่…ว่าสิบปีก่อนเราเจออะไรมาบ้าง ทำไมพ่อถึงจากเราไป ทำไมพริมถึงทิ้งให้เราอยู่โดดเดี่ยว ทำไมเรากับแม่ถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปถึงอเมริกา!”

หลุมโคลนแห่งอดีตดูดวาริศลงไปยังก้นบึ้งอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยแรงกระแทกกระทั้นขัดข้องในโชคชะตา ดวงหน้าคมเปลี่ยนไปเป็นขมวดขมึงอัดแน่นด้วยโกรธา ก่อนจะค่อยๆ คลายลงทว่ายังเหลือเค้าสลดหดหู่

“แกก็เลย…จะเอาคืนคนพวกนั้น?”

เพียงแพรถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม จนวาริศรู้สึกตีบตัน พยายามกลืนก้อนแข็งจุกกลางลำคอลงอย่างยากเย็น

“เรารู้ว่าแกยังโกรธที่พวกเขาทำกับครอบครัวแกเมื่อสิบปีก่อน แต่ไอ้ฌาน…ไม่สิ ไอ้ริศ…ทำอย่างนั้นแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาวะ?!”

“เรารู้ว่ามันไม่ได้อะไร”

“…”

“แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีใครรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตา ใช้ชีวิตอย่างปลอดโปร่งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างทุกวันนี้!”

“ริศ…แกจะทำอะไร”

ดวงตาคมฉานสะท้านไหว “แกไม่จำเป็นต้องรู้แพร”

 

 

15

เมื่อบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป

 

พริมาไม่รู้ว่านี่คือความจงใจของวาริศหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเธอรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเอาเสียเลย เมื่อเห็นโต๊ะทำงานของเขาถูกจัดติดกับโต๊ะเธอในวันแรกของเดือนใหม่

“วันนี้แล้วสินะที่หมอนั่นจะมาเป็นหัวหน้าเรา”

พริมาหันไปมองเจ้าของเสียงห้าวลึก เธอสังเกตเห็นร่างสูงของอินทัชแต่งกายด้วยเสื้อยืดคอกลมลายทางดำสลับขาว คลุมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีดำสนิทที่เก็บรายละเอียดแบบโบราณ จับคู่กับกางเกงผ้าเนื้อยับสีเดียวกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยสีดำ ราวกับไว้ทุกข์ให้ใครสักคน

แน่นอนว่าหนีไม่พ้นหัวหน้าทีมคนใหม่ของเขาและเธอ

“ผมถามอะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย” อินทัชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภายในห้องทำงานแผนกครีเอทีฟมีแค่เขากับเธอเพียงสองคน อาจเป็นเพราะเวลาแปดนาฬิกาเช้าเกินกว่าจะมีครีเอทีฟคนไหนย่างกรายเข้ามา

“คุณอยากรู้อะไร”

อินทัชนิ่งไปราวกับฉุกคิดว่าควรถามออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมลมหายใจเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า

“คุณคิดยังไงกับวาริศกันแน่”

คำถามของคนเป็นคู่หูกินนัยจนพริมาเก็บอาการตระหนกตกใจบนดวงตาไว้ไม่อยู่ หญิงสาวไม่คิดเลยว่าจู่ๆ อินทัชจะถามเธอเช่นนี้ ในใจของเขาขัดข้องหรือคาดหวังคำตอบแบบใดกัน คงไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกฉันหนุ่มสาวทั่วไปหรอกใช่ไหม

“ผมเพิ่งมานึกได้ไม่กี่วันนี้เองว่าคุณชอบมองวาริศด้วยสายตาแปลกๆ โดยเฉพาะตอนอยู่ที่ร้านไวน์ คุณดูนิ่งผิดปกติ เหมือนกำลังเขินอาย ไม่กล้าสบตาหมอนั่น”

“…”

“บางทีคุณอาจจะชอบหมอนั่นตั้งแต่แรกเห็นแล้วก็ได้ ผมจำได้ว่าหลังแข่งพิตชิ่งงานรถไฟฟ้า คุณเอาแต่ถามถึงหมอนั่นว่าผมรู้จักมันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้จักกันได้ยังไง บอกตามตรง…ตอนนั้นผมรำคาญมาก อาจเป็นเพราะเราสองคนเพิ่งรู้จักกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว…”

“…”

“ถามจริงๆ คุณชอบวาริศใช่มั้ย”

ดวงตาคมฉ่ำของอินทัชอัดแน่นด้วยความสงสัยหลากหลาย จนพริมาไม่กล้าอ่านความหมายว่าเขากำลังซ่อนความในใจใดไว้กันแน่

“รู้อะไรมั้ย ผมโคตรจะหงุดหงิดเลยเวลาเห็นคุณทำหน้าเหมือนหมอนั่นมีความหมายกับคุณมาก”

“แทน…” พริมาพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงพึมพำชื่อเขาด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา

“ผมรู้…” เขาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วงคล้ายลมหายใจติดขัด เมื่อเห็นเธอกำลังจะเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง “ผมรู้ว่าหมอนั่นเสน่ห์ร้ายกาจแค่ไหน ความจริงผมอยากจะบอกคุณว่า…ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าคุณจะชอบเขา เพราะนั่นมันก็สิทธิ์ของคุณ แต่อีกใจผมก็อยากจะขอร้องคุณ”

“…”

“อย่าชอบหมอนั่นได้มั้ย”

“…”

“ผมกลัวว่าคุณ…จะชอบเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นเข้าสักวัน”

พริมาอึ้งงัน สัมผัสถึงหัวใจว่ากำลังเต้นรัวเร็วในจังหวะแปลกประหลาด เมื่อได้ยินคำสั่งปนขอร้องซ่อนความนัยลึกล้ำ ทั้งที่พริมาพยายามกดความรู้สึกนั้นให้หยุดอยู่ตรงก้นบึ้งมาตลอด ไม่อยากยอมรับเลยว่ากลัวอินทัชจะน้อยใจเมื่อเห็นเธอแสดงตนว่าสนอกสนใจในตัววาริศมากกว่าเขา

ภายใต้ความเงียบเคลื่อนตัวเหนือคนสองคน หญิงสาวใคร่ครวญหาเหตุผลอันว้าวุ่นสับสน อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดสนิทสนมที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการทำงาน แถมหลายๆ สถานการณ์ยังชักจูงให้เธอและอินทัชข้ามผ่านปัญหาไปด้วยกัน หนุนนำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

บางทีอาจเป็นเพียงความหวั่นไหวแบบสากลทั่วไป เกิดขึ้นกับใครก็ได้…ไม่ใช่แค่กับเธอ พริมาเพียรบอกตัวเองเช่นนั้น สิ่งเดียวที่ต้องทำคือหักห้ามใจเอาไว้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นได้ก็ย่อมหยุดยั้งได้

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณหมายถึงอะไร” เธอกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากเย็น ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น พลางเสมองไปยังโต๊ะทำงานของครีเอทีฟกลุ่มอื่น หลีกเลี่ยงการประสานกับดวงตาคู่คมกริบของอินทัช

“ถ้าผมบอกไป…คุณจะรับได้รึเปล่า”

พริมาหลับตาผ่อนลมหายใจ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวจับทั่วใบหน้า ไม่ว่าอินทัชจะพูดอะไร เธอต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ นาทีนี้เธอควรคิดถึงแต่วาริศมิใช่หรือ เขาคือร่างซ้อนทับของฌานนท์…คนคนเดียวกับที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบปี เพียงแค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับการปิดกั้นไม่ให้ใครอีกคนคืบคลานเข้ามาในหัวใจ

แต่ไม่รู้ทำไม อินทัชถึงไม่ยอมเชื่อฟังเอาเสียเลย

หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะเธอปล่อยให้เขามานั่งข้างๆ หัวใจได้สักพัก เพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้น จนกระทั่งความรู้สึกลี้ลับก่อร่างสร้างความสับสนแปรปรวน รุมเร้าสำนึกพริมาจนยากจะรับมือ

“อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น…”

อินทัชถึงกับนิ่งงันเมื่อเธอเอ่ยคำปราม

“เราสองคน…จะเกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น” พริมาไม่เข้าใจ เหตุใดน้ำเสียงเธอเหมือนจะขาดหายไปเสียดื้อๆ “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ก็อย่าพูดให้เสียเวลาดีกว่า”

“พริม” เจ้าของเสียงห้าวลึกเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ขัดข้องในอารมณ์เสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมคว้าแขนเธอ แต่พริมาสลัดเต็มแรงขณะพยายามข่มความรู้สึกประหลาดล้ำเอาไว้ แล้วเดินออกไปจากกลุ่มโต๊ะทำงานทันที

นาทีนั้นเสียงเปิดประตูห้องทำงานแผนกครีเอทีฟพลันดังขึ้นจนพริมาตื่นตระหนก การปรากฏตัวของวอแวกับชินทรนำมาซึ่งความอกสั่นขวัญหาย ทว่าสองคนนั้นกลับย่างกรายเข้ามาอย่างคนอารมณ์ดี

“โอ้โห วันนี้นั่งรถออกจากบ้านมาทำงานพร้อมกันเหรอจ๊ะ”

วอแวลากเสียงยาวแกล้งเย้า จนพริมาและอินทัชต้องเร่งปรับสีหน้าอย่างรู้งาน เพราะคร้านตอบคำถามซอกแซกกวนใจ พักหลังๆ สองคนนี้ชอบจินตนาการความสัมพันธ์ระหว่างพริมากับอินทัชเตลิดไกลว่าเหมือนคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน

โดยเฉพาะเวลาที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างเช่นตอนนี้

“โอ๊ะ นี่โต๊ะครีเอทีฟใหม่นี่ ขนาบข้างโต๊ะไอ้พริมแบบนี้ ระวังโดนตีท้ายครัวนะเว้ยไอ้แทน หมอนั่นหน้าตาหล่อเหลาเอาการซะด้วยสิ” ชินทรแซวขำๆ

แต่อินทัชไม่ขำด้วย

“ว่าแต่…ใครจะมาเป็นก๊อปปี้ฯ คู่วาริศวะ” วอแวสงสัย

“ฝากบอกพี่ตระการทีว่าถ้ารับเพิ่มขอเป็นผู้หญิงนะ แล้วสลับให้มาคู่ฉันแทน” ชินทรออกลายเจ้าชู้

ดูเหมือนวอแวและชินทรจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว วาริศไม่ได้เข้ามาทำงานในฐานะอาร์ตไดเร็กเตอร์ทั่วไป

แต่ยังเข้ามานั่งประจำการในตำแหน่งหัวหน้าทีมด้วย

ในตอนนั้นพริมาค่อยๆ ปรายตามองอินทัชอีกครั้ง เขามองตอบเธอด้วยประกายตาจริงจังไม่ปิดบังจนพริมาตัวเกร็งไปทั่วร่าง ความรู้สึกที่เขาตะล่อมบอกเธออย่างอ้อมค้อมเมื่อครู่นั้นมันกะทันหันเกินกว่าพริมาจะรับไหว บอกไม่ถูกว่าทำไมคำพูดและท่าทีของอินทัชถึงทำให้เธอสะท้านสะเทือนได้มากมายถึงเพียงนี้ ขืนอยู่ในห้องนี้ต่อไป ความสามารถในการควบคุมจังหวะหัวใจคงผิดเพี้ยน หญิงสาวจึงตัดสินใจผละไปจากอินทัชและเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนทันทีเพื่อหาทางตั้งหลักให้เจอ

พริมาจมหายไปในหลุมบ่อแห่งความคิดคำนึงที่ร้านกาแฟตรงล็อบบี้อาคารสำนักงานนานถึงสองชั่วโมง ทั้งที่พยายามสลัดอินทัชไปจากสมอง แต่ใบหน้าคมคายของเขากลับเวียนวน ทลายกำแพงความมั่นคงที่เธอเพียรก่อต่อต้านเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาไม่อยากเห็นเธอชอบวาริศอย่างนั้นหรือ

หากเขาบอกความรู้สึกข้างในอย่างที่ถามเธอไป เธอจะรับมือได้จริงๆ หรือ

พริมาถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบ ก่อนจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งผ่านลมหายใจ ลุกจากเก้าอี้ไม้ทรงสูงกลับขึ้นไปที่ออฟฟิศเพื่อเผชิญหน้ากับอินทัชอีกครั้ง หญิงสาวพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนคำพูดของเขาเป็นเพียงสายลมบางเบาพัดผ่านไป เธอรู้ว่าอินทัชมีคำถามมากมายอยากพูดกับเธอมากเพียงใดขณะสื่อสารแววตัดพ้อผ่านดวงตาคมปลาบคู่นั้น แต่จังหวะและผู้คนรอบข้างกลับไม่เอื้ออำนวยเขานัก

คุณศักดาและพี่ตระการเดินนำวาริศเข้ามาในห้องทำงานแผนกครีเอทีฟตอนสิบโมงพอดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่พริมาคาดไว้ วอแวและชินทรดูตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวแนะนำวาริศให้ครีเอทีฟทุกคนรู้จักในฐานะหัวหน้าทีม A คนใหม่

“ฉันตัดสินใจให้วาริศเข้ามาคุมทีมแทนตระการ มีตระการคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ เพราะจากนี้ไป…ตระการเองก็ต้องทำงานหนักขึ้นในฐานะรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่ของแอดดิกต์แทนคนเก่าที่เพิ่งลาออกไปเปิดเอเจนซี่เองเมื่อสองเดือนก่อน”

ขณะที่ครีเอทีฟในแผนกปรบมือยินดีกับพี่ตระการ พริมาสังเกตเห็นว่าวาริศกำลังจดจ้องเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ของอินทัชตั้งแต่หัวจรดเท้า แทนที่วาริศจะแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขากลับขยับยิ้มอ่านยาก ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่านึกชื่นชมหรือเยาะหยันการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ของอินทัชกันแน่

วาริศใช้เวลาไม่นานนักในการทำความรู้จักกับครีเอทีฟกลุ่มอื่นๆ ทุกคนต่างต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตร บ้างถามไถ่ถึงเทคนิคการผลิตไอเดียโฆษณาขั้นเทพรวมถึงประสบการณ์การทำงานที่มหานครนิวยอร์กในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรง วาริศเอาแต่ยิ้มถ่อมตัวว่าฝีมือของเขานั้นไม่เท่าไหร่ ยังต้องพัฒนาอีกมาก ขณะที่สาวๆ แผนกเออีดูจะหลงใหลรูปร่างหน้าตาและวาทศิลป์ชวนฝันของเขา ต่างรุมล้อมแนะนำตัวให้วาริศรู้จักกันใหญ่ จนพริมาได้ยินวอแวกับชินทรกระซิบกระซาบพร้อมแสดงสีหน้าท่าทางคล้ายนึกเข่นเขี้ยวปนหมั่นไส้

ตลอดการประชุมร่วมกับสมาชิกทีม A ครั้งแรกในช่วงบ่าย พริมาสัมผัสได้ว่าวาริศตกเป็นเป้าสายตามากกว่าทุกครั้ง นอกเหนือจากแววหงุดหงิดฉายชัดในดวงตาอินทัชและประกายคำถามสะท้อนจัดจากตัวเธอเองแล้ว วอแวและชินทรยังดูคับข้องใจไม่น้อยเมื่อจู่ๆ ครีเอทีฟรุ่นราวคราวเดียวกันที่เพิ่งย้ายมาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าทีมเลย ผิดธรรมเนียมของเอเจนซี่แอดดิกต์ที่มักโปรโมตคนในทีมขึ้นเป็นหัวหน้า

“นี่คือรายชื่อลูกค้าที่ทีม A ดูแล” พี่ตระการเริ่มบทส่งมอบงานให้วาริศ “บรรทัดสุดท้ายคือลูกค้าใหม่ชื่อ ‘ทูโก’ เป็นเว็บไซต์รับจองสินค้าท่องเที่ยวทั้งโรงแรม สายการบิน รถเช่า ตั๋วรถไฟต่างๆ นานา เจ้าของเป็นคนไทย มีแผนเปิดตัวเว็บไซต์ในไทยและอีกหลายๆ ประเทศในเอเชียเร็วๆ นี้ อยากให้เราทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์แนะนำเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักโดยเร็วที่สุด”

“ออนไลน์เหรอครับ…ของถนัดเลย” วาริศว่าพลางหันไปเห็นอินทัชขณะลอบกลอกตามองเพดาน จนพริมาสงสัยว่าอินทัชคงนึกชังหัวหน้าทีมมากความสามารถผู้ถนัดไปเสียทุกเรื่อง

“งานค่อนข้างด่วน ลูกค้าอยากให้เราทำเสร็จภายในเดือนหน้า จะได้ทันช่วงนักท่องเที่ยวจองห้องพักกับตั๋วเครื่องบินเที่ยวไฮซีซั่นพอดี” พี่ตระการสรุปคร่าวๆ ให้วาริศฟัง ก่อนจะยื่นแฟ้มรายละเอียดลูกค้าเล่มหนาให้

“พรุ่งนี้ช่วงเช้าเราจะเริ่มคุยแคมเปญนี้กันเลย” วาริศหันมาสั่งงานลูกทีมทั้งสี่คน “หวังว่าจะได้เห็นไอเดียแหลมคมจากทุกคน”

“ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน” วอแวกางปีกปกป้องเพื่อนร่วมทีม

วาริศยิ้มเหยียดเหนือมุมปากพลางพ่นลมหายใจคล้ายเยาะนิดๆ พริมารู้ดีว่าเขาคิดเช่นนั้น ก่อนชายหนุ่มจะหันไปเอ่ยกับพี่ตระการว่า

“เรื่องโปรดักชั่นเฮ้าส์ ถ้าพี่ตระการยังไม่มีใครในใจ ผมอยากให้แกรนด์ไทม์เป็นคนผลิตงานให้เราครับ”

 

“จริงเหรอแทน นี่เราสองคนจะได้ร่วมงานกันจริงๆ เหรอ” ปลายสายเจ้าของเสียงหวานใสฉายแววตื่นเต้นระคนดีใจ ทันทีที่อินทัชเล่าข่าวดีว่าเอเจนซี่แอดดิกต์ต้องการโปรดักชั่นเฮ้าส์แกรนด์ไทม์มาผลิตภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ให้เว็บไซต์ทูโก

“อืม ก็เล่นเจาะจงว่าอยากได้พี่ต้องมากำกับซะขนาดนี้”

“โอ้โห พี่ต้องคิวทองงานล้นมือจะตาย นี่แก้วก็แทบไม่ได้พักเลย ต้องออกกองถ่ายตลอด”

“แล้วเป็นไงบ้าง งานที่นั่นสนุกดีมั้ย” น้ำเสียงของอินทัชเปลี่ยนไปเผยความเป็นห่วงเป็นใยตามประสาพี่น้องซึ่งไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยนัก เพราะต่างคนต่างทำงาน ทั้งยังพักต่างที่กัน เขาเลือกนอนค้างที่คอนโดมิเนียมซึ่งตั้งอยู่ห่างจากออฟฟิศไม่กี่สถานีรถไฟฟ้า นานๆ ทีจะแวะกลับไปทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนแม่ในวันที่พ่อต้องออกไปคุยธุระกับลูกค้านอกบ้าน

“ก็สนุกดี ได้มาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณาระดับโลกนี่ ถือเป็นบุญสุดๆ เลยล่ะ ว่าแต่แทนเหอะ เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่ามีหัวหน้าทีมคนใหม่มาแทนพี่ตระการนี่”

“ข่าวเร็วดีนี่”

“แหม พูดเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ก็เมื่อเช้าพ่อเพิ่งเล่าให้แก้วกับแม่ฟังไม่หยุดเลย ดูสีหน้าพ่อแล้วน่าจะปลื้มหัวหน้าทีมคนใหม่เอามากๆ เล่นเอาแก้วอยากเห็นหน้าขึ้นมาเลย”

อินทัชนึกถึงใบหน้าซ่อนยิ้มหยันโลกตลอดเวลาของวาริศแล้วได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แม้แต่บนโต๊ะอาหาร…พ่อยังชื่นชมหมอนั่นให้แม่กับน้องฟัง หากเขาอยู่ร่วมโต๊ะด้วย คงมีหวังได้อาเจียนเป็นแน่

“ว่าแต่หัวหน้าทีมที่ว่านี่ชื่ออะไรเหรอ” น้ำเสียงของอินทร์แก้วเต็มไปด้วยความใคร่รู้

“แค่นี้ก่อนนะ…พอดีต้องรีบไปเคลียร์งานต่อ” อินทัชไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อวาริศออกมา เขาเลือกตัดบทไปเสียดื้อๆ เพราะเกรงว่าตัวเองจะหัวเสียไปมากกว่านี้

ชายหนุ่มจัดการพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาวครั้งสุดท้ายเมื่อประกายไฟบนมวนใกล้มอดลงเต็มทน พาตัวเองก้าวพ้นเขตสูบบุหรี่ที่อาคารให้เช่าสำนักงานจัดไว้ ขึ้นไปยังออฟฟิศแอดดิกต์ แม้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ครีเอทีฟหลายกลุ่มยังคงเวียนวนกับการสะสางงานที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ เขาได้ยินบางคนถึงกับต้องโทรยกเลิกนัดกินเลี้ยงกับเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยเพื่อแก้ไขเลย์เอาต์โฆษณาปกหนังสือพิมพ์ธุรกิจหลังถูกลูกค้าตีกลับให้แล้วเสร็จภายในพรุ่งนี้เช้า

พออินทัชก้าวมาถึงอาณาเขตกลุ่มโต๊ะทำงานของทีม A ก็พบว่าก๊อปปี้ไรเตอร์สาวคู่หูมิได้นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะเหมือนเช่นทุกครั้ง มีเพียงวาริศนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งติดกับฝั่งซ้ายของโต๊ะพริมา หมอนั่นกำลังนั่งอ่านเอกสารของลูกค้าแต่ละรายขณะดื่มด่ำไปกับบทเพลงใต้หูฟังแบบครอบหู อินทัชไม่แน่ใจนักว่าวาริศมีญาณทิพย์หรือไม่ เพราะจู่ๆ หมอนั่นก็ตวัดนัยน์ตาคมฉานมาที่เขา ราวกับรู้ตัวมาตลอดว่าอดีตเพื่อนรักคนนี้ลอบมองอยู่หลายอึดใจแล้ว อินทัชพยายามจ้องตอบวาริศไม่ลดละ กระทั่งเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระจึงตัดสินใจยอมแพ้ไปในที่สุด แล้วเบนสายตาไปที่โต๊ะพริมาอีกครั้ง เขาเห็นร่องรอยการทำงานอันคั่งค้างกลาดเกลื่อน สมุดสเก็ตช์ไอเดียคู่ใจของพริมายังคงนอนนิ่ง บ่งชัดว่าเธอไม่ได้หายไปไหนไกล

อินทัชไม่จำเป็นต้องส่งข้อความไปถาม เขาก็รู้ดีว่าพริมาอยู่ที่ไหน อันที่จริง…แม้จะส่งไปก็ใช่ว่าพริมาจะตอบกลับ เพราะเมื่อแปดโมงเช้าที่ผ่านมาชายหนุ่มดันทำสิ่งผิดพลาดขนานใหญ่ ด้วยการถามพริมาไปตรงๆ ว่าตกลงแล้วเธอคิดอย่างไรกับวาริศกันแน่

เขาเก็บความสงสัยนี้มาได้สักพัก นับตั้งแต่วันที่วาริศตอบรับคำชวนของพ่อย้ายมาเป็นหัวหน้าทีมครีเอทีฟที่แอดดิกต์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ไม่ใช่ ‘ไม่กี่วัน’ อย่างที่บอกเธอไป แม้วันนั้นเขาจะแสดงอาการต่อต้านวาริศอย่างชัดเจนคล้ายไม่สนใจใคร แต่สายตาก็คอยพินิจรายละเอียดสีหน้าและแววตาของพริมาอยู่ตลอด เธอเอาแต่หลุบตามองจานอาหารตรงหน้า ไม่กล้าสบตากับวาริศตรงๆ จนเขาอดคิดไปเองไม่ได้ว่าเธอกำลังเขินอายและสนใจในตัววาริศเข้าแล้ว

หลังจากคืนนั้น นอกเหนือจากความเครียดเรื่องวาริศเตรียมขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเหนือเขา อินทัชก็เอาแต่ถามตัวเองมาตลอดว่าตกลงแล้วรู้สึกอย่างไรกับพริมากันแน่ เขาพยายามขุดลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจเพื่อตามหาพริมาว่าอยู่ในนั้นหรือไม่ หรือท้ายสุดแล้ว…มันเป็นเพียงความหวั่นไหวทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวยามผูกพันใกล้ชิดกัน เขาถามตัวเองเช่นนั้นซ้ำๆ จนกระทั่งเก็บเอาไปฝันว่าเขาและเธอต่างชอบพอกัน ในฝันนั้นหัวใจเขาพองโต รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า มีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ

ไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัยหรือโกหกตัวเองอีกต่อไป เขาชอบเธอเข้าแล้วจริงๆ

และกลัวว่าเธอจะชอบใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา

หากเป็นคนอื่น เขาคงยอมรับและทำใจได้ แต่พอเป็นวาริศ…อินทัชตั้งปณิธานชัดว่าจะไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ แม้พริมาจะเผลอมีใจให้วาริศแล้วก็ตาม จนกระทั่งเขาถามเธอออกไปตรงๆ พร้อมสารภาพว่าหงุดหงิดเพียงใดเมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าราวกับวาริศมีความหมายและทรงอิทธิพลต่อชีวิตของเธอเหลือเกิน วินาทีนั้น…เขาไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าขอร้องพริมาไปได้อย่างไรว่าอย่าไปชอบคนอย่างหมอนั่น เพราะกลัวว่าเธอจะตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเข้าสักวัน

ทว่าพริมากลับนิ่งงัน หากเธอรู้สึกปั่นป่วนหรือหวั่นไหวสักนิด เขาคงดีใจมากกว่านี้ แต่ดวงตาสวยหม่นคู่นั้นกลับอ่านออกยากกว่าครั้งไหนๆ แถมยังเสมองไปทางอื่นราวกับไม่อยากมองหน้าเขาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังปฏิเสธว่าเรื่องระหว่างเขาและเธอนั้นมีป้ายคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ปักรอไว้แล้ว เธอกับเขาจะเกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานเพียงอย่างเดียว ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น อย่าพูดให้เสียเวลาอีกเลย

พริมาจะรู้บ้างไหมว่าถ้อยคำที่เธอเอ่ยออกมาในตอนนั้นทำร้ายจิตใจเขามากแค่ไหน เธอตอบแทนความกล้าของเขาด้วยคำตอบไร้เยื่อใยคล้ายไม่ยินดียินร้ายกับความรู้สึกของเขาที่มีให้เธอ

“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” อินทัชแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพาตัวเองขึ้นมาบนสวนลอยฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงว่าทุกรอยเท้าที่เคลื่อนไปอัดแน่นด้วยแรงดึงดูดประหลาดที่แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้

เขาเห็นพริมานิ่งงัน ในมือของเธอมีแก้วกาแฟเก็บความร้อน เหนือม้านั่งสีขาวมีซุ้มช่อพวงครามให้ร่มเงา เธอค่อยๆ หันมามองก่อนพึมพำชื่อเขาเสียงเบาราวกับไม่คิดว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่นี่

“แทน”

“บอกตามตรง…ไม่เห็นคุณนั่งที่โต๊ะแล้วรู้สึกแปลกๆ”

อินทัชทิ้งตัวบนม้านั่งข้างพริมา เขาพอจะอ่านสายตาเธอออกอยู่บ้าง คงอยากถามเขาเต็มทีว่าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น ทั้งที่เพิ่งสารภาพความในใจว่าชอบเธอแบบกลายๆ ไปเมื่อเช้า

“เอ่อ อธิบายไงดี” อินทัชตะกุกตะกักพูดไม่ถูก ริมฝีปากหยักลึกเม้มแน่นขณะพยายามสรรหาคำตอบเพื่อให้พริมาไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป “ผมหมายถึง…เวลาคุณไม่อยู่ที่โต๊ะ ผมรู้สึกสมองติดขัด คิดงานไม่ออก คือบอกตามตรงเลยนะว่าคุณเป็นแรงกดดันชั้นดีสำหรับผม ถ้ามีคุณอยู่ข้างๆ ผมจะคิดงานได้ค่อนข้างไหลลื่น”

“ทำไมต้องพูดแบบนั้นด้วย” พริมาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับอยากจะต่อว่าเขาอีกสักครั้ง ส่งท้ายวันทำงานที่กำลังจะหมดลงไปพร้อมๆ กับตะวันยามโรยแสงลับเหลี่ยมเมฆ

“ที่ผมถามคุณไปแบบนั้น มันแปลกมากจนคุณรับไม่ได้เลยเหรอ”

อินทัชเห็นเธอพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ข่มริมฝีปากสั่นระริกอย่างเต็มกำลัง “คุณก็รู้…ว่าคุณไม่ควรรู้สึกแบบนั้นกับฉัน”

“เพราะผมไม่รู้ไง ถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับคุณไปแล้ว”

“…”

“ก็คนมันรู้สึกไปแล้วจะให้ทำไง”

“…”

“ถ้าผมรู้ ผมคงห้ามมันได้บ้าง แต่นี่ผมไม่รู้เลย…” เขาระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แววตาเจ็บแปลบปนน้อยใจ “ทำไมเหรอพริม การชอบใครสักคนมันผิดมากนักเหรอ คุณถึงได้ห้ามผมไม่ให้ชอบคุณ”

อินทัชสารภาพอย่างหมดเปลือก ทลายสิ้นทุกข้อสงสัยในใจหญิงสาวตรงหน้า

“นี่คุณไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอว่าระหว่างเรา…มันมากกว่าเพื่อนร่วมงานทั่วไป”

พริมาหลับตา เมื่อพบว่าไม่อาจหลีกหนีความจริงได้อีกต่อไป

“ผมไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้วพริม…ผมชอบคุณ”

“…”

“ชอบมาก ชอบมากจริงๆ”

“…”

“ถึงคุณจะไม่ชอบผมก็ไม่เป็นไร แต่ขออย่างเดียว คุณอย่าไปชอบวาริศได้มั้ย”

“…”

“ผมไม่อยากเห็นตัวเองขาดใจตายต่อหน้าคุณ”

“แล้วถ้าฉันชอบเขาล่ะ”

อินทัชได้ยินแล้วถึงกับอึ้งค้าง ร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อดุจหินผา ดวงตาคมปลาบฉายชัดถึงความรู้สึกไม่อยากเชื่อ เมื่อหญิงสาวสวนกลับทันควันด้วยคำถามหยั่งเชิงคล้ายสารภาพในตัวว่าเธอชอบวาริศเข้าแล้วจริงๆ

“คุณ…ไม่ได้โกหกเพื่อกันผมออกไปจากชีวิตใช่มั้ย”

พริมาส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ อินทัชเห็นแล้วถึงกับก้าวขาไม่ออก

ไม่อาจหลอกตัวเองได้เลยว่าเธอคงมีใจให้เขาสักวัน

 

(ติดตามอ่านต่อได้ใน ‘วงกตลายตะวัน’ โดย ปลายศร)

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Editor Jamsai: