X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 7

ตอนที่ 3

 

พอตกตะลึง มู่หวั่นชิวก็ตะโกนขึ้นอย่างตกใจ “นี่เป็นป้ายวิญญาณของปรมาจารย์เว่ย! คิดไม่ถึงว่านางจะฝังร่างอยู่ที่นี่” สายตาเลื่อนไปยังภาพหญิงงามเสมือนจริงหลังโต๊ะหินแล้วถามว่า “นี่ก็คือปรมาจารย์เว่ยหรือ”

“ข้าไม่เคยเห็นภาพวาดของปรมาจารย์เว่ยมาก่อน ในตำราลับของอาชิวไม่มีภาพวาดของนางหรือ” มองดูภาพวาดบนผนังถ้ำอย่างละเอียดแล้ว หลีจวินก็ส่ายหน้า สายตาเลื่อนไปบนป้ายวิญญาณที่หัวโต๊ะ แล้วตะโกนอย่างประหลาดใจ “เอ๋? เหตุใดเป็นป้ายเป็น”

“ป้ายเป็น?” มู่หวั่นชิวหันหน้ามา “อะไรคือป้ายเป็น”

“ป้ายเป็นก็คือป้ายวิญญาณที่ทำเพื่อคนเป็น บางอันทำเพื่อตอบแทนบุญคุณเรียกว่าป้ายทดแทนคุณ บางอันทำเพื่อขอให้มีอายุยืนยาว เรียกว่าป้ายอายุยืน” หลีจวินพูดอธิบาย “คนเป็นเรียก ‘ลู่เว่ย’ ใช้ป้ายสีแดง คนตายเรียก ‘หลิงเว่ย’ ใช้ป้ายสีเหลือง ป้ายนี้เป็นสีแดงเห็นได้ชัดว่าเป็นป้ายเป็น คิดว่าคงเป็นใครที่ได้รับบุญคุณจากปรมาจารย์เว่ยมาจึงได้ตั้งป้ายวิญญาณเอาไว้ที่นี่” ราวกับคิดอะไรขึ้นได้ หลีจวินจึงยิ้มให้มู่หวั่นชิวแล้วพูดว่า “อาชิวคงไม่รู้ ร้านไป๋จี้เพราะได้รับสูตรลับเม็ดหอมสี่ประสานสร้างตระกูลขึ้นมา ตระกูลไป๋จึงตั้งป้ายทดแทนคุณให้กับปรมาจารย์เว่ย เช้าจุดธูปเย็นเปลี่ยนน้ำกราบไหว้บูชา แต่ว่า…” หลีจวินขมวดคิ้วในทันใด “จะตั้งป้ายเป็นต้องไปที่วิหารกงเต๋อ ตั้งไว้ที่นี่แต่ไม่มาจุดธูปกราบไหว้จะมีประโยชน์อะไร”

วางป้ายวิญญาณไว้ที่นี่จนปล่อยให้ขึ้นรา ปล่อยตามมีตามเกิดเช่นนี้ แล้วจะมาตอบแทนบุญคุณได้อย่างไร

มู่หวั่นชิวส่ายหน้าเช่นกัน สิ่งเหล่านี้นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยจึงเอ่ยปากพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อข้าได้ตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยมาแล้ว ก็นับเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เว่ย ได้เจอป้ายวิญญาณของนางก็ต้องเซ่นไหว้จึงจะถูก”

มู่หวั่นชิวพูดไป กำลังจะคุกเข่าลงคารวะก็ได้ยินหลีจวินพูดว่า “อาชิวรีบดูสิ ที่นี่ยังมีตัวอักษรอยู่ด้วย”

มู่หวั่นชิวตัวสั่น มองไปตามเสียงของหลีจวิน และก็เห็นเป็นไปตามนั้น ตรงด้านหน้าโต๊ะหินสลักอักษรตัวเล็กๆ เอาไว้ นางจึงอ่านออกมาเสียงเบา

“ข้า เว่ยหง เกิดปีรัชศกเฉิงตี้ที่สิบ ชั่วชีวิตทำงานด้านการปรุงเครื่องหอม สิ่งที่เรียนรู้แต่งออกมาเป็นตำราสองเล่ม เล่มหนึ่งคือตำรารวมวัตถุดิบเครื่องหอมตระกูลเว่ยสามารถให้ผู้เรียนรู้เบื้องต้นใช้เป็นพื้นฐาน อีกเล่มคือตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยซึ่งได้บันทึกสูตรลับเครื่องหอมที่ข้าคิดค้นมาทั้งชีวิต ซ่อนไว้ในเรือนพักร้อนเมืองอันคัง หลังจากข้าจากไปแล้วขอมอบให้กับผู้มีวาสนา ผู้ที่ได้ตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยและมาถึงที่นี่ได้ตามตำราชี้ทาง หากจริงใจที่จะเป็นศิษย์ตระกูลเว่ยของข้าก็ให้ทำพิธีไหว้อาจารย์ได้เลย” อ่านจบ มู่หวั่นชิวก็มองหลีจวินด้วยหน้าตาสดใส “ปรมาจารย์เว่ยตกลงรับข้าเป็นศิษย์แล้ว!” ใบหน้านางแดงเรื่อราวดอกท้อเดือนสาม

มีวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยติดตัว มู่หวั่นชิวจึงถือว่าตนเองเป็นศิษย์ตระกูลเว่ย แต่นางก็รู้ว่าตำราลับของตนเองเล่มนี้เป็นท่านพ่อที่ชิงมา ไม่ใช่แม่นางเว่ยที่ถ่ายทอดให้เอง หากแม่นางเว่ยยังมีชีวิตอยู่ จะยอมรับนางเป็นศิษย์หรือไม่ก็ยากจะพูดได้

เห็นคำพูดท่อนนี้ของแม่นางเว่ยแล้ว ความยินดีของมู่หวั่นชิวแค่คิดก็พอรู้ได้

หลีจวินมองนางที่ยิ้มอย่างสดใส

มู่หวั่นชิวจัดแต่งเสื้อผ้าแล้วคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล ก่อนจะส่งเสียงพูด “อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์ไป๋ชิวด้วย” นางโขกหัวสามครั้งให้ป้ายวิญญาณด้วยความเคารพ

โขกหัวเสร็จแล้วก็รู้สึกได้ว่าบริเวณที่หน้าผากแตะพื้นไปนั้นเหมือนจะมีส่วนปูดขึ้นมา มู่หวั่นชิวจึงยื่นมือไปลูบ เป็นฝักบัวเล็กที่สลักไว้บนพื้นหิน ซ่อนอยู่ใต้พื้นที่มีฝุ่นดินอีกที กอปรกับแสงในถ้ำมีอยู่น้อยนิด หากไม่ใช่เพราะหน้าผากของนางแตะโดนคงไม่มีทางเห็นแน่นอน

ฝักบัวอีกแล้วหรือ!

คิดถึงฝักบัวบนฐานบัวก่อนหน้านั้น มู่หวั่นชิวจึงหมุนฝักบัวที่นูนขึ้นมานั้นลงไปโดยไม่ต้องคิด ได้ยินเพียงเสียงแกร๊ก จุดที่ฝักบัวหมุนพลันแยกตัวออกเป็นเส้น

“อาชิวระวัง…” เห็นนางจะยื่นมือลงไป หลีจวินก็ดึงตัวนางเอาไว้ “กลไกลับเช่นนี้ ปกติจะมีธนูลับซ่อนอยู่”

รู้ว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป มู่หวั่นชิวจึงดึงมือกลับแล้วยิ้มอย่างสดใส

หลีจวินยื่นมือไปหยิบเทียนยาวบนโต๊ะหินมาส่องไฟ เป็นช่องลับที่ไม่ใหญ่ช่องหนึ่ง ในนั้นนอกจากกล่องไม้ทาสีแดงใบหนึ่งแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด เขาจึงยื่นมือไปหยิบออกมา

กล่องไม่ได้ใส่กุญแจ เพียงแค่ใช้โลหะขดกลัดเอาไว้ หลีจวินปลดออกเบาๆ แล้วเอียงตัวเปิดฝาออกอย่างช้าๆ

ในถ้ำพลันสว่างขึ้นทันใด ราวกับเป็นเวลากลางวัน

“ไข่มุกราตรี!” มู่หวั่นชิวพูดอย่างตกใจ

เห็นในกล่องมีไข่มุกสีเขียวใสขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ เกลี้ยงกลมเรียบลื่น ส่องแสงสว่างราวดวงจันทร์ เกิดในจวนอัครเสนาบดี มู่หวั่นชิวจึงไม่แปลกตากับของล้ำค่านี้ นางเคยได้ยินท่านพ่อบอกว่าไข่มุกราตรีเป็น ‘ของล้ำค่าของแผ่นดิน’ เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจวาสนาอันสูงสุด อยู่เหนือสุด ถูกนับถือมากที่สุด และได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดของแผ่นดิน ต้าโจวมีไข่มุกราตรีมูลค่าเทียบเท่าแผ่นดินอยู่เม็ดหนึ่ง เรียกว่า ‘จันทร์จรัส’ ถูกฝังไว้บนหมวกมังกรของฝ่าบาท สืบทอดกันมาหลายรุ่น

ไม่คิดว่าในกลุ่มสามัญชนก็จะมีเช่นกัน

“ดูด้านข้างเป็นสีเขียว ดูด้านหน้าเป็นสีขาว ลื่นเนียนราวหยกเขียว แสงนวลราวจันทร์กระจ่าง นี่ก็คือไข่มุกจันทร์จรัสในตำนาน!” หลีจวินยื่นมือไปหยิบมา ถึงปกติเขาจะสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหวแม้ภูเขาไท่ซานจะถล่ม แต่ในตอนนี้เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน “ลือกันว่าไข่มุกราตรีเม็ดนี้หายสาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว ที่แท้ก็ตกมาอยู่ในมือของปรมาจารย์เว่ยนี่เอง!”

“มันก็คือไข่มุกจันทร์จรัสหรือ” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ยื่นมือรับไปแล้วก็เลียนแบบหลีจวินที่เงยหน้าขึ้นมอง นางได้ยินท่านพ่อบอกว่าไข่มุกจันทร์จรัสอยู่บนหมวกมังกรของฝ่าบาทนี่นา “ไยพี่หลีพูดว่ามันหายสาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อนแล้วเล่า”

“อาชิวไม่รู้หรือ…” หลีจวินพูดด้วยรอยยิ้ม “เม็ดบนหมวกมังกรนั้นเป็นของปลอม เป็นของเลียนแบบที่ใช้หยกชั้นเลิศมาแกะสลัก รูปลักษณ์ภายนอกถึงจะเหมือนกัน แต่ตกกลางคืนกลับไม่เปล่งแสง ไม่เหมือนกับเม็ดนี้” เขาเป่าเทียนบนโต๊ะดับลง “เจ้าดูสิ ไม่ต้องใช้แสงเทียน แค่เพียงไข่มุกราตรีเม็ดนี้ก็สามารถส่องถ้ำทั้งถ้ำให้สว่างราวกลางวันได้” แล้วชี้ไปที่ผนังถ้ำ “แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ บนผนังหินยังเห็นได้อย่างชัดเจน”

“จริงด้วย…” มองดูรายละเอียดบนผนังหินแล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดอย่างตกใจ “เหมือนอยู่ใต้แสงอาทิตย์เลย” แล้วหันหน้าไปทางหลีจวิน “เหตุใดพี่หลีจึงรู้ว่าเม็ดบนหมวกของฮ่องเต้เป็นของปลอม”

“ท่านพ่อเคยได้ยินองค์รัชทายาทตรัสถึง ลือกันว่าฮ่องเต้หย่งตี้ทรงเคยส่งยอดฝีมือในวังมากมายแอบค้นหาที่อยู่ของไข่มุกราตรีเม็ดนี้ จนถึงวันสวรรคตฮ่องเต้หย่งตี้ยังคงตรัสถึงไม่ลืมเลือน จึงมีพระราชสาส์นลับซ่อนไว้ในวัง กำชับฝ่าบาทองค์ปัจจุบันว่าหากหาไข่มุกราตรีเม็ดนี้เจอจึงจะเปิดพระราชสาส์นลับได้ เพื่อทำให้คำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้เป็นจริง ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันจึงทรงส่งองครักษ์จำนวนมากออกไปค้นหาทุกๆ ปี”

“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” มู่หวั่นชิวพูดพึมพำ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองหลีจวินด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ในเมื่อเป็นของล้ำค่าของแผ่นดิน พี่หลีก็มอบมันให้ฝ่าบาทเถอะ จะต้องช่วยรัชทายาทองค์ปัจจุบันได้แน่นอน!” พูดพลางยื่นไข่มุกราตรีในมือให้เขา…

ขอเพียงองค์รัชทายาทได้รับความไว้วางพระทัยอีกครั้ง จนกระทั่งขึ้นครองราชย์ได้ นางก็สามารถแก้แค้นหนี้เลือดของตระกูลได้แล้ว ผ่านมาสองชาติมู่หวั่นชิวเข้าใจโลกได้ชัดเจนมากขึ้น นางรู้หลักเหตุผลว่าทรัพย์สมบัตินำมาซึ่งภัยได้อย่างลึกซึ้ง หากแอบเก็บของล้ำค่าเท่าแผ่นดินที่ฝ่าบาททรงตามหาไว้อย่างลับๆ ข้างกาย ช้าเร็วก็ต้องนำภัยล้างตระกูลมาสู่นางแน่นอน

หลีจวินจ้องตรงไปที่มู่หวั่นชิว เขารับรู้ได้ว่าคำพูดของนางออกมาจากใจจริง มิใช่การพูดเพื่อหยั่งเชิง ในดวงตาของเขาจึงมีความรู้สึกสับสนและแปลกตาเพิ่มเข้ามา

หญิงตรงหน้าคนนี้ควรค่าจะให้เขาดูแลรักษาไปชั่วชีวิตจริงๆ

“มีอันใดหรือ” เห็นหลีจวินเหม่อมองนางโดยไม่ยอมพูดจา มู่หวั่นชิวก็ลูบใบหน้าตนเอง

“ข้ามีหลักฐานแน่นหนาในการซ่องสุมกำลังของอิงอ๋อง ไม่ต้องใช้สิ่งนี้องค์รัชทายาทก็มีทางรอดได้” ดึงสติคืนมาแล้ว หลีจวินก็ผลักไข่มุกราตรีคืนให้มู่หวั่นชิว

“แต่ว่า…”

“นี่เป็นของของปรมาจารย์เว่ย หากนางจะมอบให้ฝ่าบาทคงถวายให้ตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว เหตุใดต้องเอามาฝังไว้ที่นี่ด้วย” หลีจวินส่ายหน้า “ในเมื่อนางซ่อนไว้ที่นี่ ก็คงตั้งใจจะมอบให้ศิษย์รักของตัวเอง อาชิวอย่าทำให้ปรมาจารย์เว่ยผิดหวังเลย”

“พี่หลีพูดก็ถูก” มู่หวั่นชิวพยักหน้า ก่อนจะพูดอย่างสงสัย “จันทร์จรัสเม็ดนี้ไยจึงตกมาอยู่ในมือของอาจารย์ได้เล่า”

ฟังคำพูดนี้แล้ว สายตาหลีจวินก็เลื่อนไปในกล่องสีแดงอีกครั้ง แววตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันใด “ตรงนี้ยังมีสมุดผ้าอยู่ด้วย” เขายื่นมือไปหยิบขึ้นมา “เป็นลายมือของปรมาจารย์เว่ย…” เคยอ่านตำรารวมวัตถุดิบเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่มู่หวั่นชิวให้ยืมมาแล้ว หลีจวินจึงไม่แปลกตากับลายมือของแม่นางเว่ยอีก

“จริงหรือ!” มู่หวั่นชิวคว้าแย่งไป “รีบมาดูกันว่าอาจารย์พูดอะไรเอาไว้บ้าง” นางพลิกเปิดหน้าแรก แล้วอ่านเสียงเบา

“คนที่หากล่องแดงที่ข้าซ่อนไว้ใต้พื้นนี้เจอ คงเป็นคนที่ทำตามคำข้ากราบข้าเป็นอาจารย์ หลังจากข้าจากไป ตระกูลเว่ยก็มีคนสืบทอดแล้ว ข้ารู้สึกสบายใจมาก คำพูดต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรงของข้า ศิษย์จงจำไว้ นี่เป็นความลับของตระกูลเว่ย หากมิใช่ผู้สืบทอดจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้…” พลิกผ่านหน้าแรก “ความรู้ในการปรุงเครื่องหอมมิใช่พรสวรรค์ของข้า ข้านั้นเป็นจิตวิญญาณพันปีให้หลังที่ทะลุเวลามา…” อ่านเพียงประโยคเดียว มู่หวั่นชิวกับหลีจวินก็เบิกตาโตอย่างตกใจ

ทั้งสองคนสบตากันอย่างไม่อยากเชื่อ มู่หวั่นชิวพูดพึมพำ “อาจารย์เป็นคนในพันปีให้หลังหรือ เป็นจิตวิญญาณหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”

หลีจวินส่ายหน้า เขาเองก็ตกใจและสงสัยไม่น้อยไปกว่ามู่หวั่นชิว

ภายในถ้ำเงียบอย่างน่าประหลาด

ผ่านไปครู่ใหญ่ทั้งสองจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน แล้วมานั่งด้วยกันบนกองหญ้า ก่อนจะเริ่มอ่านอย่างละเอียด

แม่นางเว่ยมีชื่อจริงว่า ‘หลินซิ่วเจวี้ยน’ เป็นนักปรุงเครื่องหอมธรรมดาคนหนึ่งในพันปีให้หลัง ด้วยความบังเอิญครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่ในร้านของโบราณได้ถูกกำไลวงหนึ่งชักนำ กระทั่งทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเว่ยหงที่เจอกับปีแห่งภัยพิบัติจมน้ำตายทั้งครอบครัว หลังจากนางถูกช่วยไว้ก็หนีภัยมาที่เมืองอันคังกับกลุ่มญาติ อาศัยฝีมือในการปรุงเครื่องหอมที่เหนือชั้นได้อยู่มั่นในร้านเครื่องหอมแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว รัชศกเฉิงตี้ที่ยี่สิบห้า นางก็มีชื่อเสียงในงานประชันเครื่องหอมที่จัดห้าปีครั้งในเมืองอันคัง

และตอนนั้นเองนางได้รู้จักกับฮ่องเต้หย่งตี้ที่ยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ ซึ่งถูกความฉลาดหลักแหลมและสุดยอดอัจฉริยะของนางดึงดูดเข้า องค์รัชทายาทจึงมักจะแต่งชุดสามัญชนและใช้ชื่อว่า ‘หนานกงหลิ่ว’ ไปประชันเครื่องหอม เล่นหมากล้อม ชิมชา และท่องเที่ยวกับนาง ตอนนั้นเว่ยหงไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของหนานกงหลิ่ว คิดว่าเขาเป็นเพียงคุณชายตระกูลดังเท่านั้น และเพราะถูกความงามสง่าของเขาดึงดูดเข้า ทั้งสองจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความรักอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเว่ยหงที่มาจากพันปีให้หลังนั้น นางมีความคิดอิสระเช่นคนในรุ่นหลังหยั่งรากลึก นางเพียงตามหาความรักที่เท่าเทียม ดังนั้นแม้จะรู้ว่าตนเองรักแล้ว ก็ยังรักษาใจไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ หวังว่าสักวันหนึ่งหนานกงหลิ่วจะยอมทิ้งตระกูลเพื่อนาง ทั้งสองออกท่องเที่ยวไปทั่วด้วยกัน มีชีวิตที่ไม่มีข้อผูกพันไปทั้งชาติ

จนกระทั่งวันหนึ่งเว่ยหงพบว่าหนานกงหลิ่วก็คือองค์รัชทายาทในตอนนั้น เขาได้เลือกชุยเยียนธิดาอัครเสนาบดีในตอนนั้นเป็นชายารัชทายาท อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานราชพิธี ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เว่ยหงจึงสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง นางตวัดมีดตัดรัก สาบานว่าชาตินี้จะไม่มีความรักอีก ขอมุ่งมั่นอยู่กับการปรุงเครื่องหอมเท่านั้น

แต่ว่าเมื่อรักนางแล้ว ฮ่องเต้หย่งตี้จะยอมปล่อยมือง่ายดายได้อย่างไร

หย่งตี้จึงตามหาไปทั่ว หลังจากนั้นไม่กี่ปีในที่สุดเขาก็หาตัวเว่ยหงซึ่งซ่อนชื่ออยู่ในร้านเครื่องหอมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เมืองต้าเยี่ยพบ ตอนนั้นเขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ฮ่องเต้หย่งตี้ขอร้องนางแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจกักขังนางไว้ที่ตำหนักใน เวลานั้นนางได้ตั้งครรภ์ฮ่องเต้หนานตี้องค์ปัจจุบัน หลังให้กำเนิดหนานตี้ เดิมทีหย่งตี้ก็คิดว่านางจะกลับใจ ทว่าตั้งแต่เผชิญกับบรรดาสนมชายาโฉมสะคราญในตำหนักในของหย่งตี้ เว่ยหงก็ใจสลายไปนานแล้ว ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป

เห็นนางค่อยๆ ร่วงโรยไปในแต่ละวัน แม้แต่การปรุงเครื่องหอมที่ชอบที่สุดก็ยังกระตุ้นความสนใจนางไม่ได้อีก ด้วยความจนใจในที่สุดหย่งตี้ก็ตกลงปล่อยนางเป็นอิสระ ทั้งสองให้สัญญาแก่กันว่าขณะที่เว่ยหงท่องเที่ยวไปทั่วนั้น ไม่ว่านางไปถึงที่ใดก็ต้องส่งข่าวให้หย่งตี้เป็นคนแรก หย่งตี้ก็รับรองกับนางว่าชุยฮองเฮาเป็นชายารัชทายาทที่เสด็จพ่อขอมาให้เขาตอนที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เขาทอดทิ้งไม่ได้ชั่วชีวิต หากวันหน้าชุยฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขาก็จะไม่แต่งตั้งฮองเฮาไปชั่วชีวิต แต่หากวันใดที่นางเหนื่อยแล้ว…ล้าแล้ว และอยากจะกลับมาเป็นชายาเอกข้างกายเขา เหนือหัวนางก็จะไม่มีฮองเฮาอีก…

ตำรารวมวัตถุดิบเครื่องหอมตระกูลเว่ยและตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยล้วนเป็นตำราที่เว่ยหงเขียนไว้ระหว่างการท่องเที่ยวในช่วงนี้เอง

เว่ยหงท่องไปจนทั่วแคว้นต้าโจว หลังจากที่นางออกจากวังไปห้าปี ในที่สุดนางก็พบวิธีการใช้กำไลบนข้อมือของนาง พาตัวเองกลับไปยังพันปีให้หลัง

สำหรับไข่มุกราตรีเม็ดนั้น ในคืนวันที่หย่งตี้บังคับได้ตัวเว่ยหงแล้วก็ปลดออกมาจากหมวกมังกรด้วยมือตนเอง ตอนนั้นหย่งตี้สาบานว่า ‘น้องหงมีชาติกำเนิดเป็นช่าง ไม่อาจขึ้นเป็นแม่แห่งแผ่นดินได้ เราสาบานว่าชาตินี้จะรักน้องหงเพียงคนเดียว อาศัยไข่มุกเม็ดนี้ ภายหน้าถ้าน้องหงให้กำเนิดองค์ชาย เขาก็จะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาท!’

ในฐานะชายาที่รัก ของกำนัลที่หย่งตี้พระราชทานให้นั้นไม่ใช่เพียงเท่านี้ ด้วยเห็นของล้ำค่าประหลาดมาจนชินตา เว่ยหงเดิมก็ไม่ได้เก็บไข่มุกราตรีเม็ดนี้มาใส่ใจ ภายหลังนางกลับพบว่าไข่มุกราตรีเม็ดนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือสามารถไล่กลิ่นคาวที่ยากจะขจัดทิ้งได้ออกจากเครื่องหอม โดยเฉพาะตอนที่ปรุงน้ำหอม หากเอาไข่มุกราตรีวางไว้ในน้ำหอมที่ปรุงเสร็จราวหนึ่งชั่วยามแล้วเอาออกมา กลิ่นน้ำหอมก็จะหอมบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น สีจะยิ่งใส และด้วยเหตุนี้หลังจากถูกปล่อยตัวออกจากวัง นางจึงทิ้งสมบัติของล้ำค่าทุกอย่างที่หย่งตี้มอบให้ แล้วนำเพียงไข่มุกราตรีเม็ดนี้ออกมาอย่างเดียว…

“มิน่าเล่าปรมาจารย์เว่ยจึงตั้งป้ายเป็นให้กับตัวเอง ที่แท้นางยังไม่ตาย แต่กลับไปในยุคสมัยของนางแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว” อ่านประวัติแม่นางเว่ยจบแล้ว หลีจวินก็พูดอย่างทอดถอนใจ เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นข้างแก้มของมู่หวั่นชิวเหมือนว่ามีรอยน้ำตาอยู่ เขาจึงเรียกอย่างตกใจ “อาชิว!”

“รักผิดชั่วชีวิต แม้จะกลับไปพันปีให้หลัง หัวใจอาจารย์ก็ยังว่างเปล่า” มู่หวั่นชิวถอนหายใจเอื่อยๆ พึมพำกับตนเอง “พันปีให้หลัง? นั่นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกัน” ในดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา “สตรีเป็นขุนนางได้ ทำงานได้ มีความเท่าเทียมกับบุรุษ ถ้าไม่พอใจสามีก็สามารถหย่าสามีได้…ช่างดีจริง…ข้าหวังอย่างยิ่งว่าข้าจะได้เกิดในสมัยนั้น ต่อให้ยากจนข้นแค้นก็ยอม”

หลีจวินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “อาชิว…”

“เคียงคู่กันชั่วชีวิต จมอยู่ในโลกที่งดงาม…” จมอยู่ในจินตนาการพันปีให้หลังที่แม่นางเว่ยบรรยายเอาไว้แล้ว มู่หวั่นชิวก็มีสายตาเหม่อลอย “ชาตินี้ถ้าได้ความรักจริงเช่นนี้ แม้ตายก็พอใจแล้ว”

“อาชิวปรารถนาจะอยู่เคียงคู่กันชั่วชีวิตหรือ” หลีจวินมองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างเงียบๆ

มู่หวั่นชิวส่ายหน้าพลางเยาะเย้ยตนเอง “จะเป็นไปได้อย่างไร”

อย่างไรเสียนี่ก็มิใช่พันปีให้หลัง แม้แต่แม่นางเว่ยที่มีฐานะเป็นปรมาจารย์ระดับแนวหน้าก็ยังขอไม่ได้ แล้วนางที่เป็นหญิงตัวคนเดียวจะกล้ามีความคิดนี้ได้อย่างไร

หากคิดเหลวไหลไปหวัง ไปรัก เกรงว่าสุดท้ายแล้วอาจต้องเสียหัวใจ กระทั่งอาจต้องแลกด้วยชีวิต

คิดถึงแม่นางเว่ยที่โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต และคิดถึงตนเองที่ชาติก่อนลุ่มหลงจนมีจุดจบที่น่าอนาถ มู่หวั่นชิวก็ขนลุก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลีจวินกำลังจ้องนางไม่วางตา สายตาของเขาอ่อนโยนราวกับสามารถหลอมละลายทุกสิ่งอย่าง ราวกับนางคือคนที่เขารอจะใช้ทั้งชีวิตไปรัก นางเกิดความหวาดหวั่นอย่างไร้สาเหตุจึงเลื่อนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว

เขาอาจจะชอบนางจริง แต่สุดท้ายแล้วเขาจะไม่มีทางทิ้งทุกอย่างเพื่อนาง นางจะเสียหัวใจไปอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นนางคงมีชีวิตที่น่าอนาถไปชั่วชีวิตเฉกเช่นอาจารย์ โชคดีที่อาจารย์ยังสามารถกลับไปในโลกพันปีให้หลังได้ แต่นางกลับทำได้เพียงเป็นเหมือนในชาติก่อน…ตายอย่างอนาถ

“มิน่าเล่าบันทึกลับวังหลวงจึงมีบันทึกเกี่ยวกับคำพูดและการกระทำของอาจารย์มากมายเพียงนั้น” มู่หวั่นชิวสะกดหัวใจที่เต้นอย่างว้าวุ่น รีบหาประเด็นพูดทันที “ที่แท้อาจารย์เคยถูกกักตัวอยู่ที่ตำหนักใน…” เสียงนั้นขาดห้วงไป นางเงยหน้าขึ้นมองหลีจวิน “ตามที่อาจารย์พูดไว้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือลูกชายแท้ๆ ของนาง เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน” แล้วถามอีกว่า “ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ได้ทรงกำเนิดมาจากฮองเฮาหรอกหรือ”

หลีจวินเลื่อนสายตากลับมา ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “เหล่านี้ล้วนเป็นความลับในวังหลวง ข้าก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น ลือกันว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงกำเนิดจากชายาสกุลหลินคนหนึ่งในตำหนักใน พอประสูติก็ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท ได้รับการอบรมเลี้ยงดูข้างกายฮองเฮา…” ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก “ข้าเข้าใจแล้ว ปรมาจารย์เว่ยมีชื่อจริงว่าหลินซิ่วเจวี้ยน คงเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้กังวลพระทัยว่าฐานะความเป็นช่างของนางจะไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าขุนนาง หลังจากเข้าวังนางจึงใช้ชื่อหลินซิ่วเจวี้ยน…” คิดถึงบันทึกประวัติลับ หลีจวินก็พึมพำออกมา “หลินซิ่วเจวี้ยน เข้าวังรัชศกหย่งตี้ปีที่หนึ่ง ถูกแต่งตั้งเป็นชายาเอก รัชศกหย่งตี้ปีที่ห้าป่วยหนักจนตาย…”

มู่หวั่นชิวพูดออกมาในทันที “ไม่ใช่ป่วยหนักจนตาย แต่อาจารย์ออกจากตำหนักในแล้ว!”

“ถูกต้อง!” หลีจวินพยักหน้า

“ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงเช่นกัน หลังจากอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งฮองเฮาอีก เดิมยังคิดว่าอดีตฮ่องเต้กับอดีตฮองเฮารักกันอย่างลึกซึ้ง คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะอาจารย์ แม้ภายหลังอาจารย์จะหายสาบสูญไปแล้ว เขาก็ไม่ทรงแต่งตั้งฮองเฮา ไม่เคยเติมเต็มตำหนักในอีก…ทั้งยังทรงแต่งตั้งลูกของอาจารย์เป็นรัชทายาท รักษาตำแหน่งฮองเฮาเพื่อนางหลายปี ในฐานะฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้นับว่าทรงมีความรักมั่น…” มู่หวั่นชิวถอนใจยาว “น่าเสียดายสิ่งที่อาจารย์ต้องการ สุดท้ายเขาก็ให้ไม่ได้”

หลีจวินมองนางอย่างลึกซึ้งพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “มีฐานะเป็นเจ้าแผ่นดิน จำต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวง อดีตฮ่องเต้ก็มีเรื่องที่มิอาจกระทำได้มากมาย”

มู่หวั่นชิวส่ายหน้าพูดกับตนเอง “ทั้งที่รู้ว่ารักแล้วจะมีเคราะห์ เหตุใดยังต้องรักอีกเล่า”

หลีจวินรู้สึกตกใจ เขาหันหน้าไปมองมู่หวั่นชิวอย่างจริงจัง “ไยอาชิวคิดเช่นนี้ เหตุใดอาชิวไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้!”

ถ้าท่านถูกคนหลอกลวงมาหนึ่งชาติเหมือนข้า ก็ไม่มีทางเชื่อสิ่งเหล่านี้หรอก มู่หวั่นชิวพูดพึมพำในใจ แล้วถอนหายใจเบาหวิว สายตาเลื่อนไปยังไข่มุกราตรีที่อยู่บนโต๊ะหิน แล้วลุกขึ้นไปหยิบมา ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะเป็นลูกชายแท้ๆ ของอาจารย์ ถ้าจะนับไปแล้ว ข้านับเป็นศิษย์น้องของเขาอีกด้วย”

น่าเสียดายที่การนับญาตินี้จะทำอย่างส่งเดชไม่ได้ หากฮ่องเต้หนานตี้รู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดตนเองมีฐานะมาจากช่างฝีมือ ด้วยความอับอาย พูดยากว่าเขาจะไม่ฆ่านางที่เป็นศิษย์น้องคนนี้เพื่อปิดปาก…

เห็นมู่หวั่นชิวเปลี่ยนประเด็นพูดไป หลีจวินก็ส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วลุกขึ้นยืน “ที่เรียกว่าครอบครองหยกกลับต้องโทษ ไข่มุกเม็ดนี้อาชิวต้องเก็บไว้ให้ดี อย่าเอาออกมาแสดงต่อหน้าคนอื่นง่ายๆ มิเช่นนั้นจะนำภัยมาสู่ตัว”

“ข้ารู้…” มู่หวั่นชิวพยักหน้า สี่ตาเริ่มมองหาไปทั่ว “พวกเราจะออกไปได้อย่างไร”

ถ้ำที่มาถูกปิดตายไปแล้ว เดินออกไปทางเดิมคงเป็นไปไม่ได้

“ถ้ำนี้เกิดจากธรรมชาติ ต้องมีทางออกอีกแน่นอน” หลีจวินมองไปรอบด้านเช่นกัน

มีไข่มุกราตรีส่องแสง ภายในถ้ำจึงสว่างราวกลางวัน ไม่ต้องชูคบไฟคลำไปทีละนิด เพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้า ของรอบตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน แทบจะเป็นชั่วขณะเดียวกัน ทั้งสองคนก็มองเห็นฝักบัวเล็กกะทัดรัดก้านหนึ่งถูกสลักไว้บนผนังหินตรงข้ามโต๊ะหิน

“อาจารย์ชอบฝักบัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” มู่หวั่นชิวพูดพลางกระโจนเข้าไปโดยไม่ต้องคิด

จับฝักบัวแล้วออกแรงบิด พบว่าเป็นกลไกจริงๆ ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงดังครืน ผนังหินข้างกายก็เคลื่อนตัว เผยให้เห็นปากถ้ำ กลิ่นอากาศสดชื่นลอยเข้ามาในทันที

มู่หวั่นชิวกระโดดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

แต่เพียงพริบตาสีหน้านางก็สลดลง

ยื่นหน้าออกไป นางจึงพบว่าปากถ้ำนี้เป็นหน้าผาสูงชัน ด้านบนไม่แตะผืนฟ้าด้านล่างไม่แตะผืนดิน เปิดทะลุตรงกลางหน้าผาที่สูงนับหมื่นจั้ง

หลีจวินก็ยื่นหน้าออกไปเช่นกัน “มิน่าเล่าที่นี่จึงไม่มีใครหาพบ ที่แท้มันก็ติดอยู่กับหน้าผานี่เอง”

โชคยังดีที่เขาสามารถลอยตัวบนหลังคาเดินบนผนังได้

ไม่รู้ว่าหลีจวินส่งสัญญาณบอกคนอื่นไว้ตั้งแต่เมื่อใด แต่พอทั้งสองเก็บของ โรยตัวตามเถาวัลย์ตรงหน้าผาลงไปจนถึงก้นเหว หลีชังก็นำรถม้าที่มีพร้อมทั้งเสื้อผ้าและอาหารมารอพวกเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว

แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ในเขารกร้างก็ไม่สะดวกที่จะพักผ่อน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินอาหารเรียบร้อย คนทั้งหมดจึงพากันออกเดินทาง

หากเดินทางไปกลางหุบเขาจะไม่นานเท่าใด แต่เมื่อเดินอ้อมจากด้านนอกนั้นกลับไม่ใกล้ คนทั้งหมดเดินทางรอนแรมกันตลอดทั้งคืน กลับเข้าเมืองต้าเยี่ยก็เป็นเวลาเที่ยงของวันต่อมาแล้ว เห็นหลีจวินส่งมู่หวั่นชิวกลับคฤหาสน์ตระกูลไป๋ โม่เสวี่ยก็กระโจนเข้ามาก่อน “คุณหนูไปที่ใดมาเจ้าคะ บ่าวร้อนใจแทบตายแล้ว” นางพูดพลางน้ำตาไหลพรากลงมา

มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นกระตุก “พี่เจิงกลับมาหรือยัง” เจิงฝานซิวก็รู้ความเคลื่อนไหวของนางมิใช่หรือ

“อาจารย์เพิ่งกลับมาบ่ายเมื่อวาน…” โม่เสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “อาจารย์ได้รับบาดเจ็บ กำลังพักฟื้นอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลีเจ้าค่ะ” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

ดูเหมือนเสวี่ยเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าคนที่ช่วยพี่เจิงคือข้า มองดวงตาของโม่เสวี่ย มู่หวั่นชิวก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ เหตุใดเจิงฝานซิวจึงไม่บอกความเคลื่อนไหวของนางให้โม่เสวี่ยรู้ ไยถึงปล่อยให้โม่เสวี่ยกังวลใจอยู่เช่นนี้ เพียงชั่วครู่มู่หวั่นชิวก็เข้าใจทันที แอบคิดว่าใช่แล้ว ข้าอยู่เย็บแผลให้เขาตามลำพังสองคน หากเรื่องนี้ลือออกไปมีแต่จะเสียชื่อเสียง เขาจึงปิดบังแม้กระทั่งเสวี่ยเอ๋อร์ ในใจแอบตื้นตันในความคิดรอบคอบของเจิงฝานซิว ปากก็พูดไปส่งเดช “เห็นเสวี่ยเอ๋อร์ไปทางใต้ ข้ากังวลว่าพี่เจิงจะเดินมาทางเหนือจึงออกไปนอกประตูเมืองทางเหนือ ใครจะรู้ว่ากลับหลงทางเสียได้ โชคดีที่ได้เจอพี่หลี” หางตาแอบชำเลืองไปทางหลีจวินที่ส่งนางกลับมา

หลีจวินกำลังมองนาง ทันทีที่สี่ตาประสานกัน มู่หวั่นชิวก็รู้สึกหวาดหวั่น ทว่ากลับได้ยินเสียงของหลีจวินพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “อาชิวไม่ได้นอนเลยทั้งคืน พักผ่อนให้ดีเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

ส่งหลีจวินกลับไปแล้ว โม่เสวี่ยก็หันมาถามมู่หวั่นชิว “เหตุใดคุณหนูจึงหลงทางได้ล่ะเจ้าคะ” สั่งให้คนเตรียมน้ำอาบไปพลางประคองนางมานั่งลงบนเก้าอี้ “บ่าวยังคิดว่าท่านถูกใต้เท้าหร่วนจับตัวไปเสียอีก กังวลใจแทบตาย โชคดีที่อาจารย์ขอให้คนตระกูลหลีออกไปตามหาท่านด้วย ให้บ่าวรออีกสักหน่อย” เสียงนางเบาลง

มิเช่นนั้นนางคงไปสอบถามหร่วนอวี้ถึงที่บ้านแล้ว

“อ้อ…” มู่หวั่นชิวทำเป็นไม่รู้เรื่องราว “มิน่าเล่าจึงบังเอิญเจอพี่หลีอย่างนั้น ที่แท้ก็เป็นพี่เจิงที่ไปขอร้องเขานี่เอง” นางเปลี่ยนประเด็นพูดไป “อาการบาดเจ็บของพี่เจิงเป็นอย่างไรบ้าง”

“แผ่นหลังถูกคมมีดเจ้าค่ะ ตอนนี้นายท่านหลีตามหมอเทวดาเก๋อมาแล้ว” โม่เสวี่ยหยดน้ำหอมหญ้าซวินอีในถังอาบน้ำหลายหยด แล้วทดสอบความร้อนของน้ำ จากนั้นจึงหันมาช่วยถอดเสื้อให้มู่หวั่นชิว “หมอเทวดาเก๋อบอกว่าโชคดีที่เย็บแผลได้ทันเวลา ถ้าดึงเวลาไปอีกสักครึ่งชั่วยาม เกรงว่าแขนครึ่งท่อนของอาจารย์คงต้องพิการแน่ ตอนนี้อาจารย์ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นก็ดี” แช่น้ำในบึงที่หนาวถึงกระดูกและรอนแรมมาทั้งคืน พอมู่หวั่นชิวได้แช่อยู่ในน้ำร้อนก็รู้สึกเหมือนได้คลายความอ่อนล้า จึงหลับตาลงอย่างรู้สึกสบายตัว

โม่เสวี่ยช่วยขัดหลังให้นางอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

“อวี่เอ๋อร์ยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ” มู่หวั่นชิวถามขึ้นช้าๆ ในความเงียบ

โม่เสวี่ยมือสั่น

โม่อวี่ไปที่นั่นสองเดือนแต่ยังคงไร้ข่าวคราว เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ โม่เสวี่ยสะกดความหวาดกลัวในใจ แล้วพูดออกไปว่า “ยังไม่มีเจ้าค่ะ”

เขาต้องเกิดเรื่องแน่นอน!

มู่หวั่นชิวเบิกตาโตในทันใด ประสานเข้ากับความหวาดกลัวที่แวบผ่านในดวงตาของโม่เสวี่ยแล้ว นางจึงกลืนคำพูดคาดเดานั้นลงไป ปากก็พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เขาช่างสะเพร่าเสียจริง ออกไปนานอย่างนี้ยังไม่รู้จักส่งจดหมายกลับมาอีก”

โม่เสวี่ยเม้มปากแน่น วักน้ำร้อนใส่ร่างมู่หวั่นชิวทีละนิด

ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด “พี่หลีรู้จักเมืองอันซุ่นเป็นอย่างดี อีกครู่เจ้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลี ให้เขาช่วยสืบให้ที”

โม่เสวี่ยพูดเสียงเบา “อาจารย์ส่งคนไปเมืองอันซุ่นแล้วเจ้าค่ะ”

มู่หวั่นชิวไม่พูดอะไร ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง

แช่น้ำร้อนและขัดถูตัวจนเสร็จแล้ว มู่หวั่นชิวหัวถึงหมอนก็หลับสนิท

จนกระทั่งถูกเขย่าอย่างแรงจนตื่น มู่หวั่นชิวจึงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ก็เห็นโม่เสวี่ยกำลังเรียกนางอย่างร้อนใจ “คุณหนูรีบตื่นเร็วเจ้าค่ะ ใต้เท้าหร่วนมาแล้ว”

“ใต้เท้าหร่วน?” มู่หวั่นชิวงุนงง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงดึงสติคืนมา “ดึกอย่างนี้แล้วเขามาทำอะไร” นางจำได้ว่าตอนที่นางเข้านอนเป็นยามเซินแล้ว

“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของกำหนดสองเดือนเจ้าค่ะ เขามาดูว่ามีข่าวของคุณชายเฮยหรือไม่”

“ยังเหลืออีกหนึ่งวันมิใช่หรือ”

“คุณหนูคงไม่รู้ว่าท่านนอนไปเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” นางชี้นิ้วไปที่กาน้ำหยด “วันนี้เป็นวันที่สามเดือนเก้าแล้ว ใต้เท้าหร่วนกำลังรอท่านอยู่ที่โถงรับแขกเจ้าค่ะ” โม่เสวี่ยเสียงสั่นเครือ

ทะเบียนเรือนยังไม่ได้ซื้อกลับมา คนตามทวงหนี้ก็มาทวงถามถึงบ้านแล้ว สิ่งนี้ทำให้โม่เสวี่ยเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ นางรู้สึกว่าวันสุดท้ายของโรงธูปไป่เยี่ยมาถึงแล้ว

“ข้าจะออกไปดูก่อน” มู่หวั่นชิวตื่นเต็มตาในที่สุด

 

ส่งหร่วนอวี้กลับไปแล้ว นางก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้

โม่เสวี่ยสีหน้าซีดขาว “ใต้เท้าหร่วนบอกว่าในวังเร่งมา ไม่อาจถ่วงเวลาได้แม้แต่วันเดียว พวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้า”

ทำอย่างไร

มู่หวั่นชิวแอบทุกข์ใจ ที่ผ่านมานางเฝ้ารอให้โม่อวี่กลับมาทุกวัน ได้แต่คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะมีข่าวดี แต่ตอนนี้เหลือวันสุดท้ายแล้ว โม่อวี่ยังคงไม่มีข่าวคราว นางจะทำอะไรได้อีก

“ทำได้เพียงไปขอร้องพี่หลีแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงพูดอย่างจนใจ “ดูซิว่าเขาจะซื้อทะเบียนเรือนในต้าเยี่ยนี้ได้หรือไม่” นอกจากคนของตนเองแล้ว มีเพียงหลีจวินที่รู้ว่าเฮยมู่ก็คือนาง

โม่เสวี่ยส่ายหน้า “คุณหนูลืมไปแล้วหรือ เจ้าเมืองต้าเยี่ยเปลี่ยนไปแล้ว”

มิใช่ฉินต้าหลงอีกต่อไป ยามนี้จั่วเฟิงกับหร่วนอวี้ล้วนหายใจทางเดียวกัน เรื่องการซื้อทะเบียนเรือน เกรงว่าหลีจวินในตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้

“เมืองต้าเยี่ยใหญ่ออกอย่างนี้ ต้องมีสักท้องที่ที่ไม่ได้เปลี่ยนขุนนาง…” มู่หวั่นชิวลุกพรวดขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึ้นสั่งการโม่เสวี่ย “เตรียมรถม้า”

“แค่ออกเครื่องหอมสองชนิด ตระกูลหลีก็โด่งดังขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจะกำจัดตระกูลหลีได้เมื่อใด!” จั่วเฟิงขยำจดหมายที่กุนซือเจียงยื่นมาให้

ก่อนมาที่นี่เขาได้รับการไหว้วานจากอิงอ๋อง ให้เขาร่วมมือกับหร่วนอวี้รีบทำลายตระกูลหลีเสีย แต่ว่ามาถึงสิบกว่าวันแล้ว ไม่เพียงไม่มีความก้าวหน้า ตระกูลหลีกลับมีแต่จะยิ่งโด่งดังขึ้นทุกที ถึงขั้นแม้แต่ขบวนคนที่มาคืนสินค้าหน้าร้านหลีจี้ก็หายไปแล้ว เช่นนี้จะให้เขาชี้แจงต่ออิงอ๋องได้อย่างไร

“แม้จะมีเพียงสองชนิด แต่นั่นล้วนเป็นเครื่องหอมชั้นเลิศ ผู้คนต่างก็ชื่นชอบกันมาก…” กุนซือเจียงพูดอย่างระวังตัว “โดยเฉพาะน้ำหอมสังสารวัฏนั่น ตระกูลหลีทำออกมาเพียงเดือนละสามหมื่นขวดเท่านั้น มีจำนวนจำกัดเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าจะซื้อไม่ได้ หอธูปใหญ่แต่ละแห่งล้วนไม่กล้าฟังคำสั่งของตระกูลหลิ่วที่ให้ไปก่อเรื่องที่หน้าร้านหลีจี้อีก…”

“ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้!” ไม่รอให้เจียงเปียวพูดจบ จั่วเฟิงก็ตบโต๊ะดังปัง “เจ้าแค่บอกข้าว่าทำอย่างไรจึงจะทำลายตระกูลหลีได้!”

ตระกูลหลีไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป จะให้ทำลายง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร

เผชิญกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวของจั่วเฟิงแล้ว เจียงเปียวก็มีเหงื่อผุดที่หน้าผาก ดวงตาเล็กราวหนูคู่นั้นกลิ้งวนไปมา ทันใดนั้นหัวคิ้วของเขาก็คลายออก “ใต้เท้า มีวิธีแล้วขอรับ”

“วิธีอะไร”

“ได้ยินว่าบนเขาฉี่หลิงนอกเมืองทางเหนือห่างออกไปสามสิบลี้มักจะมีเจ้าแม่กวนอินมาปรากฏกาย ถ้ำในภูเขาข้างเคียงส่วนใหญ่จะสลักรูปเจ้าแม่กวนอินเอาไว้ ทุกเทศกาลชาวบ้านก็จะไปเซ่นไหว้เสมอ ใต้เท้าควรฉวยโอกาสนี้สร้างศาลเจ้าแม่กวนอินสักแห่งขึ้นมา หนึ่งเพื่อสร้างความสุขให้กับชาวเมือง สองยังสามารถสร้างผลงานให้ใต้เท้าได้”

สร้างศาลเจ้าแม่กวนอิน?

จั่วเฟิงดวงตาเปล่งประกาย สามารถเก็บเงินได้และสร้างผลงานได้ด้วย นับเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่ว่า…เขาขมวดคิ้ว “นี่เกี่ยวอะไรกับการทำลายตระกูลหลี”

ภารกิจอันดับแรกของเขาตอนนี้คือการทำลายตระกูลหลี

เรื่องอย่างอื่นสามารถเอาไว้ทำทีหลังได้

เจียงเปียวพูดอย่างลึกลับว่า “จะสร้างวัดหรือสร้างสะพาน ถ้าต้องการเงินจะไม่อาจยื่นมือขอจากราชสำนักได้ ใต้เท้าสามารถใช้เรื่องนี้เพิ่มการเก็บอากรได้”

“เพิ่มการเก็บอากร?” จั่วเฟิงสงสัยไม่คลาย

“ใต้เท้าทำเช่นนี้…” เจียงเปียวแนบไปข้างหูเขาแล้วพูดเสียงเบา

แววตาของจั่วเฟิงค่อยๆ เปล่งประกาย เขาตะโกนเสียงดังว่า “ดี!” แล้วเงยหน้าขึ้นสั่งทหารตรงประตู “ทหาร เรียกพ่อค้าทุกกลุ่มในเมืองต้าเยี่ยมาที่จวนว่าการเจ้าเมือง”

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 21 กุมภาพันธ์ค่ะ)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Editor Jamsai: