บทที่ 3 ลูกนกลูกกาตาดำๆ
บ้านสองชั้นทาสีขาวซ่อนตัวอยู่หลังต้นจามจุรีซึ่งแผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมหลังคา แล้วยังบังแดดกันฝนให้บรรดาต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยที่หญิงชราเพียรปลูกลงบนแปลงดินริมกำแพง พุ่มต้นโมกที่คุณยายและเธอช่วยกันปลูกจนเติบใหญ่ให้ความรู้สึกสบายตา คิดถึงทีไรก็อดยิ้มตามไม่ได้ทุกที
ทว่าวันนี้กลับให้ความรู้สึกต่างออกไป เพราะมองออกไปจากกระจกหน้ารถมียักษ์ปักหลั่นนั่งคุมเชิงอยู่ตรงขอบฟุตปาธหน้าบ้านหนึ่งตน
เค้าลางแห่งความยุ่งเหยิงอัดแน่นอยู่ในดวงตาหวานซึ้ง เนตรอัปสรอยากร้องกรี๊ดให้สุดเสียง ทว่าเธอกลับทำใจดีสู้ยักษ์ เปิดประตูก้าวลงไปเผชิญหน้าเจ้าของดวงตาสีดำจัด แววตาคมกริบคู่นั้นเปล่งประกายจัดจ้าราวกับจะฉีกกระชากร่างเธอให้ขาดวิ่นแล้วเขมือบกลืนลงไปทั้งตัว
“คุณ-ทิ้ง-ผม!”
ชายแปลกหน้าเน้นเสียงกร้าวกระด้างจนฟังเหมือนคุกคาม โยนความผิดที่บังอาจทอดทิ้งเขามาให้เธอแบกรับ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่เธอสักนิด บางทีการยอมให้เขาอยู่ที่นี่อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้านด้วยซ้ำ
หลังทิ้งเขาไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เนตรอัปสรก็ขับรถไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า แต่เพราะรู้สึกผิดเลยหมดอารมณ์ช็อปปิ้ง ตัดสินใจขับรถกลับบ้าน ที่ไหนได้ห่างกันแค่สองชั่วโมงหมอนี่กลับมาโผล่ที่หน้าบ้านเธอจนได้
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ไม่เห็นจะยาก ก็เรียกรถแท็กซี่เอาน่ะสิ”
“คุณรู้ที่อยู่บ้านฉัน…จากน้าแก้วเหรอ”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม แววตาเปี่ยมประกายชื่นชม “ฉลาดนี่”
แต่ดันโง่ช่วยตายักษ์นี่ไว้ ซวยชะมัด!
“คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แต่ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
เขาทอดเสียงอ่อนลง ทำเอาคนขี้สงสารใจอ่อนยวบ ทว่าบ้านหลังนี้มีหญิงสาวกับคนชราเพียงสองคน หมอนี่อาจจะเป็นโจร เป็นนายนกต่อพาขโมยมายกเค้าบ้านก็ได้ เธอยอมให้เขาอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ
จังหวะที่กำลังจะกดโทรศัพท์ไปต่อว่าต่อขานผู้บอกทาง น้าสาวตัวดีก็ติดต่อมาพอดี
“ค่ะน้าแก้ว”
“นายคนนั้นถามที่อยู่เนตรจากน้า เขาไปหาเนตรรึเปล่า”
“อยู่หน้าบ้านนี่เองค่ะ ทำไมน้าแก้วถึงให้ที่อยู่เนตรไปล่ะคะ”
“ก็หมอนี่กวนน้าไม่เลิก ตื๊อให้น้าบอกที่อยู่เนตรให้ได้ แถมขู่ว่าถ้าไม่บอกจะป่วนห้องฉุกเฉิน น้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ไหนๆ เนตรก็ช่วยเขาไว้แล้ว ก็น่าจะช่วยให้สุดสิ”
“…”
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว น้าวางก่อนนะ”
เนตรอัปสรทำหน้ายุ่งหลังจากวางสาย มองประเมินคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนจ๋องเหมือนหมาหงอย ระหว่างที่ยืนลังเลว่าควรปฏิเสธอย่างไรอยู่นั้น ประตูรั้วก็เปิดออก ตามด้วยร่างเล็กของหญิงชราที่ก้าวออกมาจากบ้าน
“เนตรยืนทำอะไรนอกบ้านลูก แล้วนั่นคุยกับใครอยู่”
“คือ…” ผู้เป็นหลานอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะนิยามหมอนี่ว่าเป็นใครดี “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณยายเข้าบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวเนตรตามไป”
ทว่าคุณยายกลับจ้องชายแปลกหน้าราวกับจะขุดค้นลงไปในความทรงจำ อึดใจต่อมาประกายบางอย่างก็วาบขึ้นในดวงตาแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว แววตาประหลาดใจถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนแกมเห็นใจยามทอดมองเฝือกอ่อนที่แขนและรอยฟกช้ำตามใบหน้า
“คงจะเจ็บมากล่ะสิพ่อหนุ่ม”
“เจ็บครับ”
อย่ามาอ้อนยายฉันนะ
เนตรอัปสรถลึงตาใส่คนแปลกหน้าพลางขบฟันอย่างขุ่นเคือง
“เพื่อนของเนตรเหรอลูก”
“ไม่ใช่นะคะคุณยาย คือเนตรบังเอิญช่วยชีวิตเขาไว้ เขาบอกว่าความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่เนตรไม่เชื่อหรอก คุณยายเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวเนตรไล่เขาไปเองค่ะ”
“ผมจำไม่ได้จริงๆ ครับคุณยาย คุณเนตรช่วยผมไว้ แต่กลับทิ้งผมไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ผมไม่มีที่ไปจริงๆ ครับ เลยต้องมาขอพึ่งคุณยายกับคุณเนตร”
บอกว่าอย่ามาอ้อนยายฉันยังไงล่ะ!
เนตรอัปสรถลึงตาใส่อีกรอบ อีกฝ่ายกลับปั้นหน้าหมองเศร้า บีบเสียงอ่อนให้คุณยายเห็นใจ แต่เธอเชื่อว่าคุณยายคงใจแข็งพอจะปฏิเสธ
“งั้นพักที่นี่เสียสิลูก”
“คุณยาย!”
หลานสาวส่ายศีรษะ แต่ผู้เป็นยายขี้สงสารเป็นทุนเดิม ชอบเก็บแมวจรมาเลี้ยงประจำจึงยิ้มบางๆ ไม่อนาทรร้อนใจกับการเชื้อเชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้านสักนิด
“หมาแมวบาดเจ็บมายังเก็บมาเลี้ยงได้ แต่นี่คนนะลูก เดือดร้อนมาให้เขาพักสักวันสองวันก็ยังดี”
“แต่เขาเป็นใครก็ไม่รู้นะคะ เกิดเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง แล้วตอนที่เนตรเจอเขา หมอนี่ก็โดนซ้อมเสียน่วม เขาอาจมีเรื่องกับมาเฟียก็ได้นะคะ”
“งั้นยิ่งต้องช่วยใหญ่ ไหนๆ จะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้สุดทางสิลูก ช่วยชีวิตคนได้บุญใหญ่เลยนะลูก”
กลัวโปรดสัตว์ได้บาปซะมากกว่า แววตาหมอนี่ดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขนาดนี้ ต่อให้ความจำเสื่อม ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาน่าจะเอาตัวรอดได้อยู่หรอก
“เอาเป็นว่าให้พ้นคืนนี้ไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ดีไหมพ่อหนุ่ม”
“ขอบคุณครับคุณยาย”
ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อมราวกับคุณชายแสนสุภาพ ไม่ใช่จอมวายร้ายที่จิกใช้เธอราวกับทาสในเรือนเบี้ยตอนอยู่ร้านก๋วยเตี๋ยว
“นอนที่โซฟาข้างล่างได้ใช่ไหมคุณ”
“ได้ครับคุณยาย แค่ให้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องนอนตากฝนข้างทางก็ดีมากแล้วครับ”
เนตรอัปสรขบริมฝีปาก ดวงตาหวานซึ้งถลึงใส่คนเสแสร้ง แต่เขากลับยักคิ้วกวนๆ พลางกวักมือเรียก
“เอารถเข้าบ้านสิคุณ ตากยุงอยู่นั่นแหละ”
พูดจบก็เดินอาดๆ ตามผู้เป็นยายเข้าบ้าน เธอเลยต้องรีบขับรถตามเข้าไป พอลงจากรถเห็นแมวอ้วนสีส้มที่คุณยายเก็บจากข้างถนนสมัยยังผอมๆ เลยย่อตัวลงไปลูบขนปุกปุย ส่งเสียงกระซิบกระซาบราวกับมีแผนร้าย
“เห็นหมอนั่นไหมอ้วน คืนนี้งับเลยนะ กัดอย่าให้เหลือ เข้าใจไหมอ้วน”
“เมี้ยว!”
แต่พอเจ้าเหมียวเป็นอิสระ มันกลับเดินนวยนาดไปพันแข้งพันขาหมอนั่นจนเธออยากจับเจ้าเหมียวอ้วนมาเขย่าแรงๆ และทวงถามข้าวแดงแกงร้อนที่ขุนจนอ้วนปั้กขนาดนี้
เลี้ยงไม่เชื่องนะอ้วน!
หากวันไหนเนตรอัปสรเข้างานกะเช้าคุณยายจะเตรียมมื้อเย็นแสนอร่อยรอเธอกลับมากินข้าวด้วยกัน แต่ถ้าเลิกดึกท่านจะเตรียมอาหารไว้ให้บนโต๊ะแล้วเธอค่อยเอาไปอุ่นเอง ยังดีที่วันนี้กลับไม่ดึกมาก อาหารแสนอร่อยของคุณยายจึงยังร้อนอยู่ แต่แทนที่เธอจะได้กินเต็มเม็ดเต็มหน่วยกลับถูกแขกแปลกหน้าชิงตักใส่จานไปเสียมาก
“หิวมากล่ะสิพ่อหนุ่ม”
“ครับคุณยาย”
“หิวอะไรกัน เมื่อกี้ฉันเลี้ยงบะหมี่คุณตั้งหลายชามนะ”
“ชามนึงนิดเดียวเอง คีบสองสามคำก็หมดแล้ว แถมไม่อร่อย สู้ฝีมือคุณยายไม่ได้เลยครับ”
หญิงสาวบิดปากรู้ทันคนเจ้าเล่ห์ แต่คุณยายกลับหลงคารม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รับคำชม เรียกความหมั่นไส้ขึ้นมากองบนดวงหน้าหวานซึ้ง
ยายฉันนะ ฉันอ้อนได้คนเดียว
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะลูก”
“เนตรก็หิวค่ะคุณยาย แต่หมอนี่แย่งเนตรกินหมด”
“ของสดในตู้เย็นเยอะแยะ เดี๋ยวยายไปทำให้ใหม่ อย่าเขียมนักเลยลูก คนเดือดร้อนมาขอพักด้วย ต้องมีน้ำใจ ต้อนรับขับสู้”
หลานสาวพองแก้มงอน ตัดพ้อเสียงเครือเหมือนเด็กขี้งอน ร้อยวันพันปีคุณยายไม่เคยดุเธอเลย ยิ่งดุต่อหน้าตายักษ์ปักหลั่นแล้วเธอยิ่งหงุดหงิด
“คุณยายไม่รักเนตรแล้ว”
“งอนเป็นเด็กๆ ไปได้ลูก”
“งั้นผมยกไข่เจียวที่เหลือให้หมดเลย”
“คุณกินแต่หมูสับแล้วยกส่วนที่เป็นไข่ให้ฉันล่ะสิ ดูออกหรอก”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม เอนหลังกับพนักพิง ยกมือขึ้นกอดอก
“แสนรู้นะคุณเนี่ย”
หลานสาวขบฟันกรอดพลางหันไปฟ้องคุณยาย
“คุณยายดูสิคะ หมอนี่ว่าเนตรเป็นหมาค่ะ คนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ให้อยู่บ้านเราไม่ได้นะคะ ต้องไล่ไปให้พ้นค่ะ”
“พ่อหนุ่มแกล้งยั่วเนตรเท่านั้นเอง เนตรจะถือสาอะไรล่ะลูก”
“คุณยายเข้าข้างคนอื่น ไม่รักเนตรแล้ว”
หญิงชราส่ายศีรษะระอาหลานสาวขี้งอน ก่อนรวบช้อนเข้าหากัน
“อิ่มแล้วเหรอครับคุณยาย”
“จ้ะ ยายแก่แล้ว กินอย่างละนิดละหน่อยก็พอ”
คุณยายลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัว ทิ้งให้สองหนุ่มสาวนั่งประจันหน้ากันราวกับนักมวยคู่อริกำลังประเมินกำลังกันอยู่
“อย่ามาปะเหลาะเอาใจคุณยาย คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเหรอ ยังไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องไปจากบ้านนี้”
“ถามจริงนะ เป็นยายหลานกันแท้ๆ รึเปล่า”
“แท้น่ะสิ ดีเอ็นเออยู่บนหน้าชัดๆ”
“ไม่น่าเชื่อ ผมนึกว่าคุณยายเป็นนางฟ้า แล้วคุณเป็นนางยักษ์เสียอีก”
“เอ๊ะ!”
“จริงปะล่ะ ยายหลานประสาอะไร นิสัยต่างกันลิบลับ คุณยายแสนใจดี แต่หลานกลับชอบทำหน้าบึ้ง ขับไล่ไสส่ง แถมยังทิ้งผมไว้ข้างทางอีก”
“ฉันไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ แค่ช่วยชีวิตคุณไม่ให้ตายข้างทางก็ดีแค่ไหนแล้ว นอกจากไม่สำนึกยังมาจิกกัดฉันอีก ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”
“ไหนๆ จะทำคุณงามความดีแล้ว ทำไมไม่ทำให้ตลอด เลี้ยงลูกนกลูกกาตาดำๆ ไว้สักคนไม่ได้รึไง”
“คุณเนี่ยนะลูกนกลูกกา พูดเสียน่าสงสาร แต่จะว่าไปรูปร่างหน้าตาคุณก็พอใช้ได้นะ ตกอับขึ้นมาคงหาคนใจป้ำเลี้ยงไม่ยากหรอก”
‘ลูกนกลูกกา’ เลิกคิ้วมองผู้มีอุปการคุณหน้าหวานด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“แล้วถ้าผมขายตัวให้คุณล่ะ คุณจะซื้อไหม”
พวงแก้มของคนฟังซับสีเลือด หัวใจเต้นถี่ยิบยามจับจ้องดวงหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านแบบพระเอกเกาหลี
“ฉันจะรู้ได้ไงว่าคุณติดโรครึเปล่า”
“แปลว่าถ้าผมบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ไม่แน่ใช่ไหม”
เนตรอัปสรกลอกตา หมอนี่กลับดำเป็นขาวได้หน้าด้านๆ
“ฉันหมายถึงก่อนคุณโดนทุบจนน่วม คุณอาจจะสำส่อน กินไม่เลือก เลยโดนสามีของผู้หญิงอื่นลากไปยำตีนแล้วโยนทิ้งข้างทางก็ได้”
ทว่าแทนที่เขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนจากถ้อยคำดูหมิ่น กลับยักคิ้ว วางท่ามั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้
“หล่อขนาดนี้ สาวที่ไหนไม่หวั่นไหวล่ะคุณ”
“ฉันไง”
“พนันกันไหมล่ะ”
“ไม่!”
“กลัว?”
“ฉันไม่พนันกับคนแปลกหน้า แล้วอีกอย่างคุณควรจะสำนึกบุญคุณที่ฉันช่วยชีวิตด้วยการทำงานบ้านโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เข้าใจไหมคะ”
เขาไม่ได้รับปากหรือมีท่าทีสำนึกบุญคุณแม้แต่น้อย ตรงข้ามชายหนุ่มกลับคว้ามือเล็กจ้อยมาวางไว้ในอุ้งมือหนา
“นี่ปล่อยนะ จับมือฉันทำไม”
“ผมแค่จะให้คุณดูผิวพรรณผม ขาวผ่องอมชมพู แถมยังนุ่มนิ่มมาก มือแบบนี้ไม่เคยหยิบจับงานหนักแน่ๆ เผลอๆ ผมอาจจะรวยล้นฟ้า มีคนรับใช้นับสิบนับร้อยก็ได้ คุณดูแลผมดีๆ รับรองว่าผมจำได้เมื่อไรจะตอบแทนคุณอย่างงามเลย”
“ก่อนจะตอบแทนบุญคุณ ปล่อยมือฉันก่อนสิ”
เขาคลายฝ่ามือพอให้หญิงสาวชักมือออก ไอร้อนผ่าวจากมือหนายังทิ้งรอยอุ่นวาบในหัวใจ แต่คนใจแข็งกลับรีบปัดความฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไป
“เชื่อแล้วใช่ไหมว่าผมไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้แรงงาน หล่อผู้ดีแบบนี้น่าจะเกิดมาบนกองเงินกองทอง”
เนตรอัปสรกลอกตาระอากับความมั่นใจในตัวเองที่สูงลิบลิ่ว
“ฉันไม่สนว่าแต่ก่อนคุณเป็นใครหรอก รู้แค่ตอนนี้คุณพึ่งฉันอยู่ เพราะฉะนั้นทำตัวให้สมค่ากินอยู่หน่อย ไม่เคยได้ยินรึไงคะ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“เชยนะคุณ สมัยนี้แล้วยังปั้นวัวปั้นควายอีก เขาเล่นมือถือไถไอแพดกันทั้งนั้น”
“ถามจริงๆ นะ คุณความจำเสื่อมแน่เหรอ คุณรู้จักของพวกนี้ได้ไง”
“ผมแค่ความจำเสื่อม แต่ไม่ได้โง่ เรื่องเบสิกพวกนี้ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหน” เห็นหญิงสาวหรี่ตามองไม่เลิก ชายหนุ่มจึงสำทับเพิ่ม “ถ้าผมจำได้ จะทนให้คุณโขกสับอยู่แบบนี้เหรอ อย่ารังแกลูกนกลูกกาตาดำๆ เลยคุณ ผมยิ่งบอบบางอยู่”
“ฉันเนี่ยนะโขกสับคุณ”
เนตรอัปสรแค่นเสียงฮึ ถ้าตายักษ์ปักหลั่นบอบบาง แล้วผู้หญิงร่างเล็กอย่างเธอเรียกว่าอะไร
“คุยอะไรกันอยู่สองคน กินเฉาก๊วยก่อนลูก ยายเติมน้ำแข็งบดให้แล้ว จะได้ซดคล่องคอ”
หญิงชราเดินถือถาดที่มีชามเฉาก๊วยเย็นฉ่ำสองใบมาให้ ชายหนุ่มจึงกุลีกุจอลุกขึ้นแจกจ่าย โดยวางตรงหน้าหญิงชรากับตัวเขาเอง
“แล้วชามของฉันล่ะ”
ชายหนุ่มแกล้งยักไหล่ หยิบช้อนตักซดน้ำหวานเสียงดังจนเจ้าบ้านสาวถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้
“นั่นมันชามของฉันนะ เอาคืนมา”
“คุณยายให้ผม”
“ให้ฉันต่างหาก คุณยายขา” เนตรอัปสรหันมาอ้อนคุณยาย ทำให้หญิงชราอมยิ้มกับความไม่รู้จักโตของสองหนุ่มสาว
“มื้อเย็นยายไม่กินของหวานอยู่แล้ว ยายตักมาให้เนตรกับพ่อหนุ่มน่ะลูก”
เธอถลึงตาใส่ยักษ์หน้าขาวผ่อง ก่อนตักเฉาก๊วยเด้งนุ่มเข้าปาก
หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวต่างผลัดกันแย่งความสนใจจากหญิงชราละม้ายจะเอาชนะคะคานให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้าง คนหนึ่งก็หลานสาว อีกคนก็ชายแปลกหน้าที่ดูแล้วน่าจะเป็นไฮโซตกยากเสียมากกว่า
“คืนนี้นอนตั่งไม้นี่ได้ใช่ไหมคุณ”
ชายหนุ่มเหลือบมองตั่งไม้ขนาดกะทัดรัดเมื่อเทียบกับความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรด้วยความละเหี่ยใจ แต่เขายังไม่อยากนอนตากน้ำค้างนอกบ้านจึงรับปากอย่างเสียไม่ได้
“ได้ครับคุณยาย”
“งั้นเดี๋ยวยายให้เนตรเอาหมอนกับผ้าห่มลงมาให้นะลูก คืนนี้ทนนอนไม้กระดานแข็งๆ ไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหาเบาะมารองแล้วกันนะลูกนะ”
เนตรอัปสรรู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่มีอะไรผิดปกติ ฟังแล้วแปร่งหูชอบกล
“เดี๋ยวค่ะคุณยาย ไหนว่าจะให้หมอนี่ค้างแค่คืนเดียวไงคะ”
“ถ้าพ่อหนุ่มยังจำไม่ได้ แล้วจะให้เขาไปนอนไหนล่ะลูก”
“ผมจำไม่ได้เลยครับคุณยาย นึกทีไรก็ปวดหัวทุกที”
ชายหนุ่มทอดเสียงอ้อน แสร้งยกมือกุมขมับ ทำเอาผู้เป็นหลานอดค้อนขวับไม่ได้
“แต่เราจะชักศึกเข้าบ้านน่ะสิคะคุณยาย เขาเป็นคนแปลกหน้า บางทีอาจจะเป็นมาเฟีย หรือไม่ก็นักเลง เผลอๆ อาจจะมีคนร้ายตามล่าตัวเขาอยู่ก็ได้”
“ละครไปหน่อยไหมลูก ยายว่าคนร้ายคงคิดว่าพ่อหนุ่มตายแล้ว อีกอย่างดูแผลตามตัวสิ น่วมไปหมด ลำพังสภาพนี้จะทำอะไรเนตรได้ล่ะลูก เนตรเตะทีหนึ่งก็สลบเหมือดแล้ว”
หญิงสาวเลิกคิ้วพลางชี้ไปทางถ้วยรางวัลและผ้าเส้นยาวสีดำที่แขวนตรงผนังข้างทีวี
“นั่นน่ะสิคะ เนตรเป็นยูโดสายดำนี่นา”
ทว่าคนแปลกหน้ากลับไม่ได้สะดุ้งสะเทือน วางหน้าเฉยเมยจนเธอฮึดฮัด
“เห็นแก่คุณยายหรอกถึงยอมให้อยู่ด้วย แต่แค่ไม่กี่วันเท่านั้นนะ”
พูดยังไม่ทันจบหมอนี่ก็หาวหวอดใหญ่ บิดตัวไปมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“ง่วงแล้วเหรอลูก ไปนอนเล่นที่ตั่งก่อนสิ”
“ยังนอนไม่ได้ คุณกินตั้งเยอะ ไปล้างจานก่อนเลย”
“ทำไมผมต้องล้าง”
“อ้าว คุณมาอาศัยบ้านฉันอยู่ ไม่คิดจะช่วยงานเลยรึไง”
“ผมทำไม่เป็น”
“แค่ล้างจาน ทำไม่เป็นได้ไง”
“ก็ไม่เป็นจริงๆ ความรู้สึกมันบอกว่าผมไม่เคยหยิบจับงานพวกนี้ มันเป็นงานของคนใช้”
“แต่ฉันไม่ใช่คนใช้ของคุณ ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”
หญิงชราเห็นว่าขืนเถียงกันอยู่แบบนี้ เช้าตรู่ก็คงไม่จบจึงโบกมือตัดบท
“งั้นมื้อนี้เนตรล้างไปก่อน ส่วนพ่อหนุ่มก็ดูเนตรล้างจาน พรุ่งนี้ค่อยทำแล้วกันนะลูก”
“ครับคุณยาย”
“แต่คุณยายคะ…”
“ช่วยพี่เขาหน่อยสิลูก พี่เขาเจ็บอยู่นะ”
“เนตรเป็นลูกคนเดียวค่ะ ไม่มีพี่ชาย”
ว่าแล้วก็รวบจานชามอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนเดินหุนหันไปยังซิงก์ล้างจาน
“ผมไปช่วยเนตรนะครับ”
เขาคว้าแก้วน้ำของตนขึ้นด้วยมือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกพลางเดินลากเท้าไปหาเจ้าบ้านสาวอย่างทุลักทุเล
หายดีเมื่อไร โดนดีแน่ยายแคระ!
เนตรอัปสรกลับขึ้นห้องนอนอย่างหมดสภาพหลังจากปากเปียกปากแฉะกับคนบวมๆ อยู่นานสองนาน คงเห็นว่าคุณยายให้ท้ายล่ะสิเลยกล้ากวนประสาท คอยดูเถอะ ฉันต้องหาทางไล่หมอนี่ออกจากบ้านให้ได้
คิดแล้วก็คันปากจึงวิดีโอคอลล์เท้าความเรื่องที่เกิดขึ้นให้สองเพื่อนซี้ฟัง คนแรกที่เปรยขึ้นก่อนคือสาวแรงอย่างพัทธมน
“เดี๋ยวนี้หิ้วผู้ชายเข้าบ้านนะยะ”
ตามมาด้วยคุณแม่ลูกสองอย่างปาณิศา*
“หล่อไหม เอาตรงๆ”
“งั้นๆ แหละ บอกเลยว่าโคตรซวย นึกว่าช่วยแล้วจบ ที่ไหนได้ฟื้นขึ้นมาดันเกาะฉันเป็นปลิง ทิ้งไว้ข้างทางแล้วยังตามมาถึงบ้านจนได้”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“นอนอยู่ข้างล่าง”
“ให้เข้าบ้านเลยเหรอ”
“แกก็รู้ว่าคุณยายขี้สงสาร เห็นหมอนั่นบาดเจ็บมาก็เลยยอมให้เข้าบ้านได้”
“แล้วคุณยายไม่กลัวหมอนั่นเป็นโจร เป็นพวกสิบแปดมงกุฎเหรอ”
คนมองโลกแง่ร้ายอย่างพัทธมนเปรยด้วยความเป็นห่วง แต่ปาณิศากลับเห็นแย้ง
“แกก็รู้ว่าคุณยายของเนตรใจดีจะตาย หมาแมวป่วยไข้ น่าสงสารหน่อยก็เก็บมาเลี้ยง”
“แต่นี่มันคนนะแก ถึงกับให้เข้าบ้านเลยนะ แล้วลุคเขาเป็นแบบไหน ดูล่อกแล่กแบบโจรห้าร้อยไหม”
“ก็…แค่…ขาวๆ ตี๋ๆ พอดูได้น่ะ”
“ถ้าเนตรบอกพอดูได้ แกคูณสิบเข้าไปเลย หมอนี่หล่อชัวร์”
พัทธมนรู้ว่ามาตรฐานความหล่อของเนตรอัปสรนั้นสูงลิ่วกว่าคนทั่วไป เวลาเห็นดาราในทีวี ถ้าหน้าตาหล่อคือบอกงั้นๆ แต่ถ้าโคตรหล่อคือพอใช้ได้
“เว่อร์ไป แค่หน้าตาพอใช้ได้ หล่งหล่อที่ไหน เฮอะ”
“ดูท่าแกจะไม่ค่อยชอบหมอนี่เท่าไรนะ”
“แน่นอน ขนาดเดี้ยงยังปากร้าย กวนประสาทขนาดนี้ ถ้าหายดีจะขนาดไหน”
“ฉันว่าบางทีคุณยายคงเห็นว่าหมอนั่นเดี้ยงอยู่ ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอด จะสู้ยูโดสายดำอย่างแกได้ไง เผลอๆ ถ้าหมอนั่นรุ่มร่ามกับแก อาจจะตายคาตีนแกก่อนก็ได้”
“ก็ลองมาวุ่นวายสิ แม่จะทุ่มให้”
เนตรอัปสรขบฟันกรอด ทำเอาสองเพื่อนซี้มองหน้ากันยิ้มๆ
“ฉันว่ามันแปลกๆ นะปุ๊ก ปกติเนตรมันไม่ค่อยวีนเหวี่ยงอะไรกะใคร แต่ดูท่ารายนี้จะไม่ธรรมดาว่ะ”
“เออ ฉันก็ทะแม่งๆ เหมือนกัน เสียงมันดูเขินๆ ชอบกล”
“เพ้อเจ้อนะพวกแกเนี่ย เขินอะไร ฉันอยากขบหัวหมอนั่นให้เละจะตาย”
“ฉันจะคอยดูว่าแกจะขบหัวหมอนั่นหรือถูกหมอนั่นเขมือบลงท้องไปก่อน”
“ไม่มีทาง!”
สาวหน้าหวานเชิดหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ
“พวกแกฉันต้องวางแล้วว่ะ ผัวถึงบ้านแล้ว”
“ผัวมาทิ้งเพื่อนตลอดนะแกเนี่ย” พัทธมนแซว
“แน่นอนย่ะ คืนนี้ว่าจะอาบน้ำกับผัว”
“ดูมันขิงใส่พวกเรานะเนตร”
“ผัวมีไว้อวดย่ะ ผัวแซ่บยิ่งอยากแชร์ให้โลกรู้”
ปาณิศาโบกมือลาเพื่อนก่อนกดออกจากแอพฯ วิดีโอคอลล์ ทำเอาพัทธมนพึมพำใส่
“อย่าให้มีผัวบ้างแล้วกัน แม่จะแซ่บออกสื่อเชียว”
“ถ้าแกไม่เลือก ป่านนี้ก็มีแล้วปะฟาง”
“นี่ไม่เลือกเลยจ้ะ ผ่านเข้ามาคว้าหมับแต่ปิ๋วทุกราย ฉันไม่ได้เสน่ห์แรงเหมือนสาวหวานอย่างแกนี่นา”
“แต่ละคนมีแต่ประหลาดๆ ทั้งนั้น ขอโสดแบบมีเงินใช้ไปจนแก่ดีกว่า”
“แล้วคนข้างล่างล่ะ ไม่ถูกใจแกเหรอ”
“กวนประสาท จิกฉันยังกะทาสในเรือนเบี้ย คอยดูเถอะฉันต้องหาทางเอาหมอนี่ไปปล่อยให้ได้”
“คนนะแก ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ถ้าลองเขาหาบ้านแกเจอ คงหาทางกลับมาได้อีก ฉันว่าแกก็เลี้ยงดูปูเสื่อเขาไปก่อน เผลอๆ หมอนี่อาจจะเป็นลูกชายอภิมหาเศรษฐี ถ้าเขาจำได้ก็อาจตอบแทนแกอย่างงามก็ได้”
“หึ! ไม่ยกเค้าบ้านฉันก็ไหว้สาแล้วย่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.