บทที่ 6 แคระซ่อนรูป
สภาพห้องครัวของบ้านหลังกะทัดรัดเล็กเท่าแมวดิ้นตายมีโต๊ะกลางวางข้าวของคั่นกลางระหว่างเตาแก๊สกับประตูบานเลื่อน ข้างซิงก์ล้างจานมีชั้นวางเหล็กสำหรับตากจาน ถัดไปด้านในสุดเป็นตู้เย็นสีเทาหลังย่อม ทุกอย่างในนี้ช่างเล็กกะทัดรัดไม่ต่างจากคนแคระในนิทาน เห็นแล้วคนตัวใหญ่ถึงกับลอบถอนหายใจ แต่ก็ไม่วายเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มกับเจ้าของบ้านวัยชรา
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณยาย”
ที่จริงไม่ได้อยากช่วย ขี้เกียจจะแย่ แต่เห็นว่าหญิงชราใจดีมีน้ำใจเอื้อเฟื้อก็เลยถามพอเป็นพิธี
“ยักษ์ออกไปเด็ดใบกะเพราที่ริมกำแพงหน่อยสิลูก”
“อ่อ…ได้ครับคุณยาย”
เขารับกะละมังสแตนเลสใบเล็กจากคุณยายแล้วเดินดุ่มๆ ออกจากบ้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
“ยักษ์เด็ดโหระพามาทำไมลูก”
“ไม่ใช่เหรอครับ ผมนึกว่าเป็นใบกะเพรา กลิ่นมันฉุนๆ เหมือนกัน”
ชายหนุ่มหยิบผักสีเขียวขึ้นมาดม มองเจ้าของบ้านตาซื่อ แสร้งแยกแยะใบกะเพรากับโหระพาไม่ออก เพราะขืนโชว์ว่าตนทำกับข้าวเป็น คนขี้เกียจคงถูกใช้ไปเด็ดผักนอกบ้านอยู่เรื่อย อากาศร้อนจะตาย ใครจะอยากออกไปยืนตากแดด
“คงไม่เคยหยิบจับงานหนักเลยใช่ไหมลูก”
ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ
“งั้นเดี๋ยวยายพายักษ์ไปดู วันหลังจะได้เลือกเป็นนะลูก”
“ครับคุณยาย”
แปลงปลูกผักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าริมกำแพงมีพืชผักสวนครัวเรียงกันเป็นตับ เขายืนฟังคุณยายชี้มือพลางอธิบายพืชแต่ละชนิดด้วยความสนใจ
“คุณยายรู้เยอะจัง”
“ยายเป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนเด็กๆ แม่ของยายก็ปลูกผักพวกนี้ไว้เต็มสวน อยากกินอะไรก็มาเด็ด พอแต่งงานสามีก็เลยกันที่ไว้ให้ยายปลูกผักด้วย”
“แล้วสามีคุณยายล่ะครับ”
“จากไปนานแล้วล่ะลูก”
“ขอโทษครับคุณยาย ผมไม่น่า…”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก”
ขณะที่บรรยากาศอึดอัดลอยคว้างระหว่างคนทั้งสอง จู่ๆ เสียงใสก็ดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว
“คุณยาย คุณยายจ๋า”
หญิงชราหันมองหญิงสาววัยรุ่นหน้าอ่อนที่โผล่หน้ามาทางรอยแยกของประตูรั้ว แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“หวานใจเข้ามาสิลูก ยายไม่ได้ล็อกประตู”
หญิงสาวในชุดนักศึกษาไว้ผมซอยสั้น ตาเรียวเล็กแบบคนมีเชื้อจีนยกมือไหว้คุณยาย แต่สายตากลับเหลือบแลไปทางชายหนุ่มลุคโอป้าเกาหลีซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังหญิงชราด้วยความสนอกสนใจ
“ใครเหรอคุณยาย หล่อจัง”
“หวานใจ!”
คุณยายปรามอย่างอ่อนใจ ทำเอาสาววัยรุ่นยิ้มตาหยี
“ก็เขาหล่อจริงๆ นี่นา ว่าแต่พี่เขาเป็นใครอะ แฟนพี่เนตรเหรอ”
“ไม่ใช่”
“ไม่ใช่แฟนพี่เนตร แล้วทำไมอยู่บ้านคุณยายล่ะ หรือว่าเป็นญาติ?”
ทว่าแทนที่จะตอบคำถาม หญิงชรากลับเลือกตัดบทแทน
“หวานใจมาหายายมีอะไรรึเปล่าลูก”
“หวานลืมไปเลย มัวแต่มองหน้าหล่อๆ ของพี่เขา คือแม่ให้แวะมาถามว่าคุณยายจะเอาปลาช่อนไหม ของเพิ่งเข้าเลยจ้ะ แม่จำได้ว่าเห็นคุณยายเคยสั่งไว้”
“เอาสิ ยายว่าจะทำปลาช่อนลุยสวน พ่อยักษ์กินเผ็ดได้ไหมลูก”
“ได้นิดหน่อยครับคุณยาย”
“ชื่อยักษ์เหรอคะพี่” สาววัยรุ่นกระแซะถาม ทำเอาหญิงชราส่ายหน้าระอา
“หวานใจ!”
“แค่ถามชื่อเองคุณยาย ถ้าไม่ใช่แฟนพี่เนตร งั้นหวานจีบได้ใช่ไหมจ๊ะ”
“เด็กคนนี้เซี้ยวจริงๆ”
“ก็พี่เขาหล่อนี่นา หวานขอเบอร์หน่อยสิจ๊ะพี่ยักษ์”
“ไม่มี!”
เขาตอบเสียงห้วน ก่อนหันไปวุ่นวายกับการเด็ดใบกะเพราต่อ หวานใจจึงดึงแขนหญิงชราให้ออกห่างจากคนหน้าดุ
“หยิ่งน่าดูนะคุณยาย”
“ยักษ์ไม่ค่อยสบายน่ะ”
“ตกลงเขาเป็นอะไรกับคุณยายเหรอจ๊ะ”
“ไม่ได้เป็นอะไร เนตรช่วยยักษ์ไว้ แต่เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร ยายเลยให้พักที่นี่ชั่วคราวไปก่อน”
“พักบ้านหวานก็ได้นะจ๊ะ”
“ยายเด็กคนนี้ทะเล้นนักเชียว ขืนยักษ์ไปอยู่บ้านหวานใจ แม่เราไม่ได้อยู่แผงหรอก คงนั่งเฝ้าเราทั้งวัน”
“แหม หล่อกล้ามแน่นขนาดนี้ หวานอดมองไม่ได้นี่จ๊ะ”
“เป็นสาวเป็นนาง พูดจาให้มันเรียบร้อยหน่อยหวานใจ ใครได้ยินเข้ามันไม่งาม”
“หวานพูดเฉพาะคนรู้จักหรอกน่า ว่าแต่คุณยายให้เขามาอยู่ด้วย ไม่กลัวเขาเข้าหาพี่เนตรเหรอ พี่เนตรสวยจะตาย”
“ยักษ์เจ็บหนักขนาดนี้จะไปทำอะไรยายเนตรได้ อย่าลืมสิว่ายายเนตรเป็นยูโดสายดำ”
“จริงด้วย นักเลงแถวนี้ยังไม่กล้าแซวพี่เนตรเลย เอาเป็นว่าหวานไปบอกแม่ก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นหวานเอาปลามาให้”
ก่อนกลับเด็กสาวยังไม่วายโน้มหน้าเข้าหาหญิงชราแล้วกระซิบกระซาบเสียงแผ่ว
“ถ้าหมอนี่มีอะไรไม่น่าไว้ใจ คุณยายโทรหานะ หวานจะรีบแว้นมาช่วย”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปเถอะไป”
หลังจากเก็บใบกะเพราเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ถือกะละมังสแตนเลสเดินตามหญิงชราเข้าบ้าน พอเห็นเจ้าของบ้านชะงักฝีเท้า คนที่เดินตามมาเลยอดแปลกใจไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณยาย”
“ยายยังไม่ได้ตากผ้าเลยลูก มัวทำโน่นทำนี่จนลืม เดี๋ยวยายไปตากผ้าก่อนนะลูก”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ ในใจรู้สึกผิดที่ปล่อยให้หญิงชราไปตากผ้า แทนที่เขาจะอาสาทำเอง แต่ความขี้เกียจทำให้ตนยกข้ออ้างว่าร่างกายยังเดี้ยงอยู่ ไม่ควรออกแรงมาก แต่ผ่านไปสิบนาทีแล้วคุณยายยังไม่กลับมาจากหลังบ้าน เขาจึงรีบอ้อมไปยังลานซักล้างหลังบ้านแล้วพบว่าหญิงชรากำลังนั่งพิงผนัง ใบหน้าซีดเผือด ทำเอาชายหนุ่มรีบโผเข้าไปพยุงด้วยสภาพทุลักทุเล
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บพยุงคุณยายให้ลุกขึ้นยืน
“เป็นยังไงบ้างครับคุณยาย”
“แค่ลื่นล้มน่ะลูก ยายลืมไปว่าเมื่อคืนฝนมันตก พื้นเลยลื่น ยายไม่เป็นอะไรมาก ไม่อยากรีบลุก เดี๋ยวบ้านหมุน”
“แล้วเจ็บตรงไหนไหมครับ”
“ไม่หรอกลูก ยักษ์เข้าไปนั่งในบ้านเถอะลูก เดี๋ยวยายตากผ้าก่อน”
ความรู้สึกผิดเอาชนะความขี้เกียจได้ชะงัดนัก เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“เดี๋ยวผมตากผ้าให้เองครับ คุณยายเข้าไปพักในบ้านก่อน แค่เอาเสื้อผ้าออกมาตาก ผมทำได้ครับ”
“แต่ยาย…”
“ไม่มีแต่ครับ เกิดคุณยายล้มไปอีก ผมคงรู้สึกผิดกว่านี้”
ไม่รอให้คุณยายปฏิเสธก็พยุงร่างบอบบางเข้าบ้าน ก่อนย้อนกลับมายืนหน้าเครื่องซักผ้า แค่หยิบเสื้อผ้าออกมาใส่ไม้แขวนแล้วตากบนราวตากผ้า ไม่เห็นจะยากตรงไหน
ทว่าสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยทำให้เขาใช้เวลาตากเสื้อผ้าอยู่นานสองนาน กระทั่งถึงชุดชั้นในลูกไม้สีแดงตัวจิ๋วที่ทำให้พ่อบ้านจำเป็นใจสั่นรัว
ซ่อนรูปไปแล้วนะแคระ!
สัญชาตญาณดิบที่ผุดขึ้นไม่รู้จักเวล่ำเวลาทำให้ชายหนุ่มแอบคิดว่าหากเจ้าของร่างอ้อนแอ้นอยู่ในชุดชั้นในตัวจิ๋วจะเป็นเช่นใด จินตนาการทะลึ่งตึงตังเริ่มดำดิ่งลึกลงไป…ลงไปอีก…ลงไปลึกมากๆ จนหัวใจเต้นรัวและทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบ ยากจะควบคุมแรงปรารถนาที่ผุดพรายขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
ปกติแล้วคุณยายจะพับเสื้อผ้าทุกชิ้นอย่างเรียบร้อยแล้วนำมาวางไว้ที่ปลายเตียง แต่สภาพเสื้อผ้าที่กองสุมๆ อยู่บนเตียงทำให้เนตรอัปสรคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นฝีมือผู้อาศัย พอคิดว่าเขาเข้ามาในห้องนอนส่วนตัว เจ้าของห้องก็รีบเดินสำรวจรอบห้องละม้ายต้องการจับผิด ยังดีที่เธอไม่เก็บของมีค่าไว้ในบ้าน ของมีค่าที่สุดในห้องเห็นจะเป็นบรรดาตุ๊กตายอดมนุษย์สุดรักสุดหวงในตู้กระจกบานยาวซึ่งเรียงชิดผนังนี่ต่างหาก
“คงไม่มีอะไรหายหรอกมั้ง”
ไว้พรุ่งนี้ค่อยลุกมาไฝว้หมอนี่แล้วกัน วันนี้ง่วงเต็มที ทว่าจังหวะที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ เธอกลับพบว่าลูกไม้บริเวณทรวงอกของเสื้อชั้นในมีรอยขาดวิ่น
“ลามก!”
อยากจะลงไปวีนคนบวมๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่การพูดถึงชุดชั้นในกับชายแปลกหน้าออกจะล่อแหลมเกินไป แม้ร่างกายฟกช้ำ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชาย แถมยืนหนึ่งเรื่องกวนประสาท เธอเลยคิดว่าต้องหยิบเรื่องอื่นมาเฉ่งดีกว่า ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเนตรอัปสรจึงเท้าเอวมองคนตัวใหญ่ที่นั่งเอกเขนกดูทีวีด้วยสีหน้าพร้อมหาเรื่อง
“เมื่อวานคุณตากผ้าให้ฉันใช่ไหม”
“อืม ไม่ต้องขอบคุณหรอก เรื่องเล็กน้อย”
“ฉันไม่ได้ขอบคุณ แต่จะเฉ่งคุณต่างหาก ตากผ้าประสาอะไร เสื้อยืดของฉันยืดหมด”
“ขึ้นชื่อว่าเสื้อยืด มันก็ต้องยืดอยู่แล้วไหมคุณ”
“แต่ก่อนหน้านี้มันไม่ยืดแบบนี้ ฉันซื้อมาตั้งแพง ดูสิแบรนด์ดังขึ้นห้างเลยนะ”
เขาหยิบเสื้อยืดมาพลิกดูพลางสอดมือเข้าไปจับเนื้อผ้าก่อนส่งคืน
“ผ้าพื้นๆ แบรนด์วัยรุ่นจากอังกฤษ ไม่กี่ร้อย แพงอะไรกัน”
“คุณรู้ราคาได้ไง”
“เซ้นส์มันบอกว่าไม่แพง แล้วอีกอย่างคอเสื้อย้วยขนาดนี้ เอาไปเป็นผ้าขี้ริ้วเหอะ”
“เอ๊ะ เสื้อยังใส่ได้ ใส่อยู่บ้านก็ได้ จะทิ้งทำไม”
“จะเขียมไปถึงไหนคุณ”
“ถ้าไม่เขียมจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงคุณล่ะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ ไม่รู้สึกรู้สาต่อน้ำเสียงประชดประชันของอีกฝ่าย
“นึกว่าเก็บเงินซื้อฟิกเกอร์ในตู้ซะอีก โตแล้วนะคุณ เล่นตุ๊กตาเป็นเด็กๆ ไปได้”
“เงินฉัน ฉันจะซื้ออะไรก็เรื่องของฉันปะ”
“ถามจริงนะ ไอ้ตัวประหลาดสีดำ แลบลิ้น ฟันแหลมเปี๊ยบ มันน่ารักตรงไหน ซื้อมาเต็มตู้ รสนิยมมันซื้อกันไม่ได้จริงๆ”
“มันชื่อเวนอมย่ะ ถึงหน้าตาจะไม่น่ามอง แต่โพสเจอร์มันเท่มากนะ มองอย่างนี้คืออะไร ไม่รู้จักล่ะสิ”
“ไม่รู้จัก ผมไม่สนของเล่นเด็ก”
“ไม่รู้อะไรซะแล้ว มันเป็นตัวร้ายในสไปเดอร์แมน แต่เชื่อไหมว่าเวนอมดังขนาดมีหนังของตัวเองเลยนะ”
“หน้าตาน่าเกลียดแบบนั้นเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ มันไม่ได้เลวสุดขั้ว แล้วก็ไม่ได้ดีแสนดี มันเทาๆ เหมือนมนุษย์น่ะ คนเลยชอบเวนอมเยอะมาก เห็นแบบนี้ค่าตัวเวนอมแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะคุณ บางตัวในตู้ฉันพรีออเดอร์เกือบปีเลยนะ”
“เท่ตรงไหนก่อน แลบลิ้นปลิ้นตา น่าเกลียดจะตายไป”
“คุณไม่อินก็เรื่องของคุณ ฉันรักของฉันก็แล้วกัน”
พอเห็นแววตาเป็นประกาย สีหน้าชื่นมื่นยามสาวหน้าหวานเอ่ยถึงของรักของหวง ชายหนุ่มเลยอดมองซ้ำไม่ได้
เวลาไม่ดุยายแคระก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
“เอาเป็นว่าต่อไปคุณไม่ต้องเข้าห้องฉัน แล้วก็อย่าแตะของฉันอีกก็พอ”
พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าเตรียมเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นยืนพลางโน้มหน้าลงมาในระดับสายตาของเธอก่อนเปรยยั่วเย้า
“ตอนแรกนึกว่าคุณจะบ่นเรื่องผมทำเสื้อในคุณขาดเสียอีก”
คนถูกแซวขบฟันกรอด ถลึงตาใส่ “ลามก! ใครให้คุณมายุ่งกับเสื้อในของฉัน”
“ก็มันอยู่ในเครื่องซักผ้า จะไม่ให้ตากได้ไง หรือว่าจริงๆ แล้วจงใจยั่วผมกันแน่?”
“ใครยั่วคุณ พูดให้ดีๆ ฉันคิดว่าคุณยายเป็นคนซักผ้าต่างหาก”
“โตจนป่านนี้แล้วทำไมไม่ซักชุดชั้นในเอง”
หญิงสาวเม้มปาก ยกมือขึ้นเท้าเอว เชิดหน้ามองคนตัวใหญ่ที่กำลังอมยิ้มราวกับเห็นเธอเป็นตัวตลกเอาไว้ปั่นหัวเล่น จนเธอรู้สึกคันไม้คันมือ อยากซัดสักป้าบ
“ปกติฉันซักเอง แต่วันก่อนเหนื่อยเลยโยนใส่ตะกร้าไว้ แล้วที่ผ่านมาฉันอยู่กับคุณยายแค่สองคน ไม่มีคนนอกอย่างคุณมายุ่งสักหน่อย”
“สรุปคือจะโบ้ยว่าผมผิด”
“หรือว่าไม่ผิดล่ะ?”
“ผิดสิ ถ้าคุณไม่ทิ้งผม ยอมพาผมกลับบ้านด้วยแต่แรก คุณก็ไม่ต้องเหนื่อยรบกับผมแล้ว”
“แล้วมันเรื่องอะไร ทำไมฉันต้องยอมพาคุณกลับบ้านด้วย”
“คุณก็รู้ว่าผมป่วยอยู่ แทนที่จะสงสารเห็นใจ ดูสิ ให้ผมอยู่ด้วย ผมก็คอยเฝ้าบ้านกับดูแลคุณยาย เมื่อวานคุณยายล้ม ผมยังเข้าไปช่วย แถมตากผ้าให้ด้วยนะ”
“เมื่อวานคุณยายล้มเหรอ ไม่เห็นมีใครบอกฉันเลย”
“คุณยายคงไม่อยากให้คุณคิดมากมั้ง เห็นไหมล่ะว่ามีผมอยู่ด้วย คุณมีแต่ได้กับได้นะ”
ก็จริงของเขา เธอต้องไปทำงานทุกวัน ทิ้งคุณยายไว้ที่บ้านคนเดียวก็อดห่วงไม่ได้ เธอไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่มีมรดกเจ้าคุณปู่ ยังดีที่เขาคอยดูแลคุณยายและเป็นหูเป็นตาให้ คิดเช่นนี้หญิงสาวจึงค่อยเบาใจ
“งั้นต่อไปคุณต้องคอยทำงานบ้าน ทำอาหาร แล้วก็ไปจ่ายตลาดแทนคุณยายเข้าใจไหม”
“ทำหมดเลยเหรอ บอกแล้วไงว่าผมทำไม่เป็น ผิวพรรณผมเนี่ย…”
“พอ! ฉันรู้แล้วว่าผิวพรรณคุณผุดผ่องยังกะตูดเด็ก เป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์พลัดพรากจากคฤหาสน์เจ้าคุณปู่ แต่ตอนนี้คุณอาศัยฉันอยู่ เพราะฉะนั้นหัดทำงานให้สมค่ากินอยู่ด้วย พรุ่งนี้วันหยุดฉันจะพาคุณไปจ่ายตลาด แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่ อยากกินอะไรก็จดไว้ พรุ่งนี้จะได้ซื้อทีเดียว ปกติคุณยายจะไปตลาดทุกๆ สองวัน หลังจากนี้คุณก็ไปแทนคุณยาย เข้าใจไหม”
“อืม”
“ไปเปิดประตูให้หน่อยสิ ฉันจะถอยรถ”
สั่งจบยายแคระก็สะบัดหน้าเดินหนีขึ้นรถ ทิ้งให้คนรับใช้จำเป็นเบะปากด้วยความหมั่นไส้
ใช้ดีนัก พ่อจะกว้านซื้อให้หมดตัวเชียว!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.