บทที่ห้า
ข่าวฉู่ซือหม่านำท่านหญิงไหวอินมาทาบทามสู่ขอคุณหนูรองหลี่ถึงบ้านนี้ลือกันไปอย่างดุเดือดและรวดเร็วยิ่ง เวลาในการนั่งคุยกันหลังอาหารของชาวเมืองเหลียวเฉิงลากยาวขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มแตงดอง แค่หัวข้อที่ว่าบุตรสาวสมองเสื่อมของสกุลหลี่ทาบทามสู่ขอได้ยากก็เพียงพอจะกินข้าวได้สามชามแล้ว
น่าเสียดายที่ใช่ว่าอาหารเย็นของทุกบ้านจะสำราญเช่นนี้ เพราะบนโต๊ะอาหารคฤหาสน์สกุลเสิ่นดูเคร่งเครียดอย่างมาก
หลังเทชากวนอินหนึ่งถ้วยแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็วางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเสิ่นหรูป๋อที่ไม่ขยับตะเกียบเลย ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่ อาหารไม่ถูกปากหรือ จะให้ทางครัวทำหมูสับผัดเต้าหู้ยี้มาราดข้าวดีหรือไม่”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองนาง เพียงแค่วางตะเกียบไม้ดำสลักลายลงบนที่วางตะเกียบ แล้วบอกฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นว่ากินอิ่มแล้วขอตัวก่อน จากนั้นก็ลุกออกจากโถงอาหารไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเหลือบมองหลี่เสวียนเอ๋อร์อย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง ลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่มีจุดใดเป็นที่น่าพอใจเลย คนเป็นเจ้าบ่าวหลังจากแต่งงานแล้วต้องมีหน้าตาชื่นบานไม่ใช่หรือ เหตุใดบุตรชายของตนจึงดูไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย
หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ก่อนแต่งเข้ามาก็ตั้งท้องมาก่อน เพื่อดูแลครรภ์ แม้แต่ในคืนแต่งงานบุตรชายก็ยังต้องไปอยู่ที่ห้องหนังสือ ตอนนี้มีข่าวลือว่าหญิงสมองเสื่อมถูกซือหม่าหมายตา สีหน้าของบุตรชายก็ยิ่งเคร่งเครียด…
คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นจึงขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าก็อย่ากินเลย รีบไปดูหรูป๋อ คนเป็นภรรยา ต้องปลอบให้สามีเบิกบานใจจึงจะถูก…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์วางชามกับตะเกียบลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หลังย่อตัวคำนับฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นแล้วก็ตรงไปที่ห้องหนังสือ
ยามนี้นางเป็นคนที่ไม่มีความสุขที่สุดในสกุลเสิ่น แม้ตัวจะอยู่ในคฤหาสน์ แต่นางรู้ข่าวลือภายนอกของนางจากปากของสาวใช้ เดิมทีควรจะได้แต่งงานแทนพี่รองอย่างสมเกียรติ แต่กลับกลายเป็นในท้องมีเลือดชั่ว สกุลเสิ่นจำยอมทิ้งพี่สาวมาแต่งงานกับน้องสาว
แต่ทั้งหมดนี้นางล้วนไม่สนใจ นางรักเสิ่นหรูป๋อด้วยใจจริง ทว่าหลังจากเสิ่นหรูป๋อรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นั้นไปทาบทามสู่ขออีกฝ่ายถึงบ้านก็ทำตัวผิดแปลกไป สิ่งนี้ทำให้ในใจของนางมีไฟหึงหวงลุกโชน
หลังผลักเปิดประตูห้อง เดิมคิดว่าจะเห็นเสิ่นหรูป๋อหน้าตาโกรธเกรี้ยวท่าทางเศร้าสลด คิดไม่ถึงว่าเขากลับนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือดูภาพผังเรือรบที่นางวาด ท่าทางตั้งใจนั้น…ดูสง่างามยิ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์เข้ามา จึงพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาพอดีเลย เรือรบนี้มีจุดหนึ่งดูเหมือนไม่สมบูรณ์ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ดูภาพผังที่รั่วอวี๋วาด ตรงกระดูกงูเรือใหญ่นางมักจะออกแบบโครงแนวขวางไว้หลายท่อน…”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ตอนนี้ในใจไม่อยากได้ยินชื่อหลี่รั่วอวี๋ที่สุด แต่ไม่อาจแสดงออกทางใบหน้าได้
“พี่รองมักจะชอบเติมของแปลกใหม่ แต่ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ สกุลหลี่ของพวกเราไม่มีส่วนประกอบนั้น ตามภาพตัวอย่างที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ ไม่มีทางผิดหรอก… หรูป๋อ ท่านกำลังไม่สบายใจหรือ สาเหตุมาจากซือหม่านั่นไปสู่ขอพี่รองใช่หรือไม่”
มือใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อที่ถือพู่กันบีบแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “แค่พักนี้มีงานยุ่งเหนื่อยไปบ้าง ตอนนี้เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เจ้ากับลูกในท้องย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจข้า แต่ฉู่ซือหม่าทำไมมาทาบทามสู่ขอได้ หรือคิดว่าเมื่อใดพี่รองของเจ้ากลับฟื้นเป็นปกติ เขาจะได้เคล็ดวิชาสกุลหลี่กระมัง”
ในดวงตาหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉายความว้าวุ่น แม้นางจะจำเคล็ดวิชาได้แม่นยำ แต่หากพี่รองสมองกลับมาเป็นปกติจริง และได้ที่พึ่งอย่างฉู่ซือหม่า ด้วยความฉลาดของพี่รองจะมีวันที่นางจะได้เชิดหน้าชูตาได้อย่างไร
นางคิดสักครู่จึงพูดขึ้นว่า “คงเป็นไปไม่ได้ ลี่จือสาวใช้ข้างกายข้ากับหลี่ฝูคนใช้แรงงานในเรือนหลังคฤหาสน์สกุลหลี่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้ว่าลี่จือจะย้ายมาที่นี่พร้อมกับข้าตอนแต่งงาน แต่พวกเขาปกติก็ได้เจอกันพูดคุยกันที่ตลาด ได้ยินหลี่ฝูบอกว่าวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้รับปากเรื่องการแต่งงาน และคุณหนูรองหลี่ยังพ่นลูกบ๊วยในถ้วยชาใส่ซือหม่าต่อหน้าท่านหญิงอีกด้วย…”
เสิ่นหรูป๋อแววตาสั่นไหว พลางพูดด้วยเสียงเข้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขายังดื้อดึงจะแต่งงานกับรั่วอวี๋อีก”
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง
เพราะข่าวลือเรื่องการทาบทามสู่ขอของซือหม่า เจ้าหนี้ที่ไปตามทวงหนี้เหล่านั้นจึงเพลาลง อย่างไรเสียหากซือหม่าแต่งกับคุณหนูรองหลี่ อำนาจบารมีเบื้องหลังสกุลฉู่จะล่วงเกินไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นนอนไม่หลับอยู่หลายวัน เพิ่งส่งหมาป่าเลวร้ายแซ่เสิ่นตัวหนึ่งไป ก็มีเสือร้ายที่มีบารมีมากไม่อาจต้านได้มาอีกหนึ่งตัว นางเฝ้าครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงจะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้โดยไม่ล่วงเกินซือหม่า
ในตอนนี้เอง เทียบของท่านหญิงไหวอินก็ส่งมาถึง เชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พาหลี่รั่วอวี๋ไปเป็นแขกที่จวนกลางสวนของนางที่เมืองซูเฉิง
การเชื้อเชิญครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน เพราะวันต่อมาฉู่ซือหม่าก็นำทหารองครักษ์มารอรับหญิงทั้งสองให้เร่งเดินทางไปที่เมืองซูเฉิงพร้อมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมคิดจะบอกปัด แต่ฉู่ซือหม่ากลับพูดอย่างไม่สนใจว่าครั้งนี้พี่สาวยังเชิญใต้เท้าหลิวจากกรมโยธามาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงเกิดความคิดขึ้นในใจ ตอนนี้เงินก้อนใหญ่ที่ติดค้างกรมโยธาไว้ยังไม่ได้จัดการ หากสามารถขอร้องใต้เท้าหลิวได้ ไม่แน่ว่าอาจจะแก้สถานการณ์ยากลำบากของสกุลหลี่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เกิดความคิดอยากไปร่วมงานขึ้นมา ซือหม่าผู้นี้แม้จะดูเยือกเย็นน่ากลัวไปบ้าง แต่ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งสองครั้ง กลับพบว่าแม้ว่าเขาจะไม่กระตือรือร้นอะไร แต่ก็มีมารยาท ทั้งที่มีตำแหน่งขุนนางสูงศักดิ์ ทว่ากลับไม่แสดงท่าทางของขุนนางชั้นสูงเลย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงค่อยๆ ลดความระวังในใจลงบ้าง
หลังจากที่ซือหม่าบอกว่าบุตรสาวคนโตของนางกับลูกเขยก็เดินทางไปที่เมืองซูเฉิงเช่นกัน นางจึงตัดความลังเลใจสุดท้ายทิ้งไป ในเมื่อหลี่รั่วฮุ่ยก็ไปด้วยและซือหม่าก็มารับถึงคฤหาสน์ด้วยตนเอง จะมีเหตุผลอะไรในการปฏิเสธอีกเล่า อีกทั้งเมืองซูเฉิงก็ห่างจากเมืองเหลียวเฉิงไม่ไกลนัก นั่งรถม้าสองชั่วยามก็ถึงแล้ว ดังนั้นนางจึงสั่งให้บ่าวไพร่สาวใช้เตรียมเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนและหีบเล็กใส่ของเพื่อออกนอกบ้าน ก่อนจะขึ้นรถม้าเดินทางไปที่เมืองซูเฉิง
ก่อนหลี่รั่วอวี๋ออกจากบ้าน เห็นฉู่จิ้งเฟิงยืนอยู่ข้างรถม้า ก็คิดถึงความไม่ยินดีในครั้งก่อนที่เขาสั่งให้คนจับนางขึ้นรถจึงก้มหน้าลงต่ำราวกับหนูที่ถูกแมวจับจ้อง รีบตามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มุดเข้าไปในรถม้า แล้วพลิกเปิดมุมหนึ่งของม่านหน้าต่าง เผยเพียงดวงตากลมโตมองเขาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
แต่ตอนที่เขาหันกลับมามอง มุมม่านหน้าต่างนั้นก็พลันปิดลงมิดจนอากาศไม่ถ่ายเท
ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย
เดินทางไปได้ครึ่งทาง ฟ้ากลับไม่เข้าข้าง เกิดฝนตกหนัก ถนนเต็มไปด้วยดินโคลน ล้อรถม้าตกลงไปอยู่ในหลุมโคลน
โชคดีที่ไม่ไกลจากทางหลวงมีกระท่อมแห่งหนึ่งพอให้พักผ่อนได้ ฉู่จิ้งเฟิงเห็นฝนเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วตกลงบนหลังคารถม้า ทางไกลข้างหน้าก็มีเมฆดำครึ้ม รู้ว่าฝนครั้งนี้ไม่มีทางหยุดในเร็วๆ นี้ จึงเอ่ยปากเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้พาหลี่รั่วอวี๋ไปหลบฝนชั่วคราวในกระท่อมนั้นก่อน
ในตอนที่รถม้าหลุดจากหลุมโคลนมาถึงหน้ากระท่อมอย่างไม่ง่ายนัก หลี่รั่วอวี๋เป็นคนแรกที่อยากลงจากรถม้า นางอยู่ในรถม้าที่อากาศไม่ถ่ายเทมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว
แต่เท้ายังไม่แตะพื้นก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับเอาไว้แน่น หลี่รั่วอวี๋ช้อนตามองไป ที่แท้ชายผมเงินนั่นโน้มตัวมากุมข้อเท้านางไว้ วันฝนตกแม้จะมีความเย็น แต่บริเวณที่ถูกฝ่ามือเหล็กนั้นกุมไว้กลับร้อนระอุ ตอนเขาโน้มตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยดน้ำฝน ทำให้โครงหน้ายิ่งดูเด่นชัด…
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกแรงดึงก็ยังดึงบุตรสาวซุกซนเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้นางกลับเหมือนลูกงูที่ถูกบีบจุดสำคัญ นั่งตัวแข็งไร้ทางช่วยอยู่บนพื้นรถ มองหยดน้ำที่เกาะอยู่บนขนตาของเขาอย่างเหม่อลอย
ในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยื่นหน้าออกมาจากหลังม่านรถ ฉู่จิ้งเฟิงก็คลายมือใหญ่อย่างรู้กาลเทศะ แล้วถอดเสื้อคลุมบนตัวออกมา ปูไปบนทางเล็กหน้ารถม้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน จากนั้นจึงพูดว่า “เชิญคุณหนูรองค่อยๆ ลงรถ”
สาวใช้ข้างรถม้ากางร่มบังไว้บนหัวของคุณหนูรองหลี่นานแล้ว ส่วนรองเท้าปักคู่สวยบนเท้างามก็เหยียบไปบนเสื้อคลุมเนื้อดี นางจึงไม่เปื้อนน้ำฝนและดินโคลนแม้แต่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมีมุมมองกับซือหม่าผู้นี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย… แม้ดูผิวเผินจะเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อนเข้าใจคนยิ่งนัก
หลังจากเข้าไปในกระท่อมก็มีองครักษ์จุดตะเกียงน้ำมันไว้แล้วพร้อมกับพรมน้ำอ้ายเฮา ที่ใช้ไล่ยุงและแมลง จุดเตากำยาน ยกเก้าอี้พับมาสามตัวและโต๊ะเล็กที่ใช้วางน้ำชาผลไม้ แล้วเตรียมพรมขนแกะที่ใช้คลุมตัวกันหนาวเอาไว้ด้วย นอกจากสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติสองคนแล้ว พวกองครักษ์ผู้ติดตามล้วนไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคาด้านนอก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลัวหลี่รั่วอวี๋จะเป็นหวัด จึงให้นางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้พับ ถอดรองเท้าออก แล้วใช้พรมห่อตัวนางไว้แน่น จากนั้นก็ล้มตัวลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ นั่งโยกเยกบนรถม้ามานาน ต้องผ่อนคลายช่วงเอวเสียบ้าง
เพียงชั่วครู่ในกระท่อมเล็กแห่งนี้ก็เงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงฝนตกพรำๆ ด้านนอก และเสียงน้ำเดือดปุดๆ ที่ดังมาจากกาน้ำเล็กบนเตาถ่าน
หลี่รั่วอวี๋ถูกท่านแม่กดตัวให้นอนบนเก้าอี้พับที่ทำจากหนังวัว ดวงตาโตกะพริบปริบๆ พลางหันมองไปยังม่านฝนตรงประตู แล้วชำเลืองดูฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้กึ่งนั่งกึ่งนอนเหมือนท่านแม่ แต่นั่งบนเก้าอี้พับ ในมือถือท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ใช้เผาให้ความอบอุ่นที่กองอยู่กลางห้อง ใช้มีดสั้นที่ดูประณีตเล่มหนึ่งเหลาไม้ไม่หยุด มองดูเศษไม้ที่ตกอยู่ข้างเท้าเขาแล้ว ดวงตาคู่โตของหลี่รั่วอวี๋ค่อยๆ หยุดนิ่ง รู้สึกว่าหนังตาค่อยๆ หนักขึ้น ไม่นานก็จมสู่ห้วงทะเลสาบลึกดำที่มองไม่เห็นก้นน้ำแห่งหนึ่ง…
ในความมืดดำนั้น นางเดินไปอย่างงุนงง รู้สึกเหมือนใกล้จะหายใจไม่ออก ในตอนที่นางอึดอัดแทบขาดใจนี้ จู่ๆ นางก็เดินสะดุด ร่างเซไปข้างหน้าหลายก้าว ตรงหน้ากลับสว่างขึ้นทันใด พื้นใต้ร่างไหวเป็นระลอกคลื่น นางอยู่บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง
เสียงคลื่นน้ำและความรู้สึกของลมที่พัดผ่านแก้มช่างคุ้นเคยเป็นพิเศษ รู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าเลือดทั่วกายร้อนระอุ ทอดสายตามองไปไกลท่ามกลางลมทะเล มองไปยังจุดที่น้ำกับฟ้ามาบรรจบกัน ราวกับว่าได้เห็นอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก ณ ตรงนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน…
แต่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในม่านตากลับเป็นสีเลือดสดทั่วฟ้าที่แสบตายิ่งกว่าตะวันแดงเสียอีก… ยังมีชายหนุ่มที่เหมือนมังกรทะลวงคลื่นอยู่ในม่านสีเลือดนั้น เห็นเพียงร่างของเขาแข็งแรงและปราดเปรียว กระบี่ยาวกวัดแกว่ง เลือดเนื้อที่ถูกเฉือนฟันหลุดแยกจากกันราวใบไม้ร่วง…
หลี่รั่วอวี๋เห็นหน้าตาของเขาไม่ชัด ทำได้เพียงยืนตัวเกร็งเหม่อมองดวงตาสีแดงเลือดของชายหนุ่มค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้นาง มองเขาใช้กระบี่เย็นเยือกแทงตรงมาที่ท้องของนาง ชั่วขณะนั้นความเจ็บของเนื้อที่ถูกเฉือนกระจายไปทั่วร่าง… นางถึงขั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายเย็นเยือกที่ส่งผ่านมาจากตัวชายผู้นั้นคือ… ไอสังหารที่ไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด
หลี่รั่วอวี๋ทำได้เพียงหลั่งน้ำตา เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ในตอนที่นางลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้พับ มือใหญ่คู่หนึ่งจับตัวนางไว้ได้พอดี มีเสียงหนึ่งพูดว่า “รั่วอวี๋ ตื่นๆ เป็นอะไรไป” นางลืมตาขึ้นทันใด จึงพบว่าท่านแม่กำลังกดไหล่ของนางแล้วถามอย่างเป็นห่วง ที่แท้เป็นเพราะพรมบนตัวรัดแน่นจนเกินไป มิน่าเล่าในฝันนางจึงหายใจไม่ออก
หลี่รั่วอวี๋แววตาเหม่อลอย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงดึงสติคืนมาได้ ก่อนจะแกะพรมบนตัวออก จากนั้นก็ทำท่าจะปลดเสื้อตนเอง นางอยากจะดูว่าท้องของตนเองมีรอยแผลจากกระบี่หรือไม่
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไม่รู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ทำไปเพื่ออะไร คิดว่าอาการของนางคงกำเริบ จึงรีบกดมือของนางเอาไว้ “เด็กดี ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในบ้าน ปลดเสื้อผ้าตอนนี้ไม่ได้!”
หลี่รั่วอวี๋มองไปโดยรอบอย่างงุนงงก็เห็นเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านแม่ ร่างของนางแข็งเกร็งไปทันที ฉุกคิดได้ว่าเขา… เหมือนปีศาจร้ายในฝันนั้น มีดวงตาสีแดง…
ในตอนนี้ฝนนอกกระท่อมค่อยๆ หยุดลงแล้ว หากยังไม่รีบเดินทาง กว่าจะไปถึงเมืองซูเฉิงก็คงค่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปลอบขวัญหลี่รั่วอวี๋ที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอีกพักใหญ่ ก่อนจะเตรียมเร่งเดินทางต่อไป
ตอนที่กำลังจะขึ้นรถ หลี่รั่วอวี๋เดินอยู่ข้างหลัง ส่วนชายหนุ่มก็อยู่ตำแหน่งไม่ไกลจากนาง
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือมาที่นาง ท่อนไม้ท่อนนั้น ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นเหยี่ยวกางปีกบินขนาดเท่าฝ่ามือไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะไม่ได้เคลือบน้ำมัน แต่ก็ยังดูเสมือนจริง
ทว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้ทำเหมือนที่เขาคาดว่าจะยื่นมือมารับมันไปอย่างตื่นเต้นยินดี แต่กลับมีสีหน้ารังเกียจ ออกแรงผลักมือใหญ่นั้นออก ปัดเหยี่ยวไม้ที่ไม่ทันได้โบยบินตัวนั้นตกลงพื้น
ฉู่จิ้งเฟิงแววตาสลดลงเล็กน้อย ท่าทางของหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เป็นเหมือนครั้งแรกที่นางเห็นเขามีผมขาวตาแดง นั่นเป็นความรังเกียจที่ไม่มีการปิดบังไว้เลย…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หันมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี แต่หันหน้ากลับทำเหมือนมองไม่เห็น… ตอนนี้บุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ โง่เขลาเซ่อซ่า คาดเดาจิตใจยากเหมือนเด็ก หากซือหม่าผู้นี้หลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ก็จะได้เจอปัญหาเช่นนี้อีกมาก ฉะนั้นให้รีบตัดใจไปโดยเร็วจะดีกว่า
แต่ซือหม่าที่ลือกันว่าฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาผู้นี้ได้รับการอบรมมาดี ถูกบุตรสาวปฏิบัติเช่นนี้ก็เพียงแค่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก้มลงเก็บเหยี่ยวไม้ขึ้นมาใส่ไว้ในอกเสื้อของตนเอง
ทว่าได้รับการอบรมมาดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ว่าที่ลูกเขยคนก่อนของนางผู้นั้นก็มีท่าทางเป็นผู้ดีสุภาพเรียบร้อย ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่าเขาด้านหนึ่งมีความรักลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลงในตัวบุตรสาวนาง แต่อีกด้านกลับลอบคบชู้กับน้องสาวของบุตรสาวนาง!
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกเสิ่นหรูป๋อทำร้ายจิตใจก็อดที่จะเกิดความระแวงในตัวชายหนุ่มไม่ได้ คิดเพียงว่าหลี่รั่วอวี๋มีสภาพเช่นนี้ มีเพียงให้นางอยู่ข้างกายตนเองไปตลอดจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด
รอจนขึ้นรถม้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกง่วงมาก
เมื่อครู่เพราะหลบฝน ต้องอยู่ในห้องเดียวกับซือหม่าผู้เย็นชานั่น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างยิ่ง โชคดีที่บุตรสาวเป็นคนสมองเสื่อมที่ไม่คิดอะไรมากจึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็งีบหลับไปในรถม้า
หลี่รั่วอวี๋นั่งนิ่งสักครู่ เห็นท่านแม่หลับแล้วจึงปลดเสื้อตนเองออก พลิกเปิดบังทรงดูที่ท้องขาวราวหิมะของนาง… หน้าท้องเรียบขาวเนียน สะดือกลมๆ ก็ดูน่ารักดี บริเวณใกล้กับสะดือ มีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง แผลเป็นนั้นไม่ใหญ่ ขนาดเท่าคมมีด แต่พอดูรอยแผลเป็นที่สมานดีนั้นแล้วก็สามารถนึกภาพความลึกของแผลในตอนนั้นได้
ชั่วขณะนั้น หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเหมือนคอของนางถูกบีบไว้ ความตกใจหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก อีกทั้งยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่บอกไม่ถูกจู่โจมเข้ามาในหัว แต่คำพูดเป็นร้อยเป็นพันในใจนางไม่รู้จะระบายอย่างไร มีเสียงกรนดังขึ้นเบาๆ จากมารดาที่นอนอยู่ข้างกาย ส่วนที่อยู่นอกตัวรถก็คือชายหนุ่มตาสีแดงผู้นั้น
ในตอนนี้ความฝันกับความจริงผสมปนเปกัน หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าชายหนุ่มนอกตัวรถนั่นก็คือจอมวายร้ายที่แทงกระบี่ใส่นางในความฝัน ดังนั้นจึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเล็กในรถขว้างไปทางชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างแรง
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่รับถ้วยชานั้นไว้ด้วยมือเดียว มองหน้าหญิงสาวที่มีใบหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างแปลกใจ แต่จากนั้นก็มีกาน้ำชาที่ใบใหญ่กว่าลอยเข้ามาหา
รอจนให้อ้อมอกเขามีชุดน้ำชาครบชุดแล้ว ในรถไม่มีของอะไรให้โยนได้อีกแล้ว นางจึงมองไปรอบๆ เห็นหมอนทำจากกระเบื้องเคลือบที่ท่านแม่หนุนอยู่เข้าพอดี จึงใช้สองมือออกแรงดึงหมอนกระเบื้องเคลือบออกมา แล้วขว้างออกไปอย่างแรง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังหลับสนิท แต่หัวตกกระแทกพื้นรถม้าอย่างแรงก็ต้องตกใจสะดุ้งสุดตัว พอนางเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นบุตรสาวกำลังขว้างหมอนกระเบื้องเคลือบนั้นออกจากตัวรถ
แต่ในครั้งนี้ ฉู่จิ้งเฟิงกลับไม่ได้หลบ ปล่อยให้หมอนกระเบื้องเคลือบขว้างเข้าใส่เสียงดังฉึก มุมหน้าผากมีรอยเลือดแดงไหลลงมาทันที…
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยากจะให้ซือหม่าเจอปัญหาบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะให้มีสภาพหัวแตกเลือดไหลเช่นนี้ นางจึงพลันแขนขาอ่อนแรงไปในทันที
ทำร้ายขุนนางใหญ่ราชสำนัก นั่นเป็นโทษถึงประหารชีวิต!
พวกนางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า จะมีปัญญาไปจัดการภัยพิบัติใหญ่หลวงเช่นนั้นได้อย่างไร
ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจนอยากจะยื่นมือไปตบบุตรสาว แต่เห็นใบหน้าเล็กดื้อรั้นของบุตรสาวแล้วมือนั้นก็ฟาดไม่ลง นี่คือหลี่รั่วอวี๋ที่ตั้งแต่เด็กจนโตนางไม่เคยแตะแม้เพียงปลายนิ้ว ดังนั้นฝ่ามือนั้นจึงตบลงที่แก้มของนางเอง “ท่านซือหม่า ข้าน้อยสอนลูกไม่ดี ขอใต้เท้าอภัยด้วย!”
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้เช็ดเลือดที่มุมหน้าผาก ปล่อยให้มันไหลหยดลงบนคอเสื้อสีขาวของตนเอง ปากกลับพูดเสียงเรียบว่า “เมื่อครู่รั่วอวี๋รู้สึกเบื่อ เลยมาเล่นกับข้า ข้าแค่รับไม่ทันเท่านั้น ในเมื่อใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะโทษนางได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่าได้คิดมากไปเลย…”
เห็นท่าทางที่ใบหน้าของเขามีเลือดไหลแต่ยังคงนิ่งไม่ไหวติงแล้ว ช่างทำให้คนรอบข้างรู้สึกสะพรึงกลัวจริงๆ นับประสาอะไรกับหญิงสาวที่อยู่แต่ในบ้านผู้หนึ่ง
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว หากเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างก็พูดกันง่าย แต่ถ้าไม่ใช่…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เกิดความรู้สึกเสียใจกับการเดินทางมาเมืองซูเฉิงครั้งนี้ขึ้นมาทันใด นางเพิ่งคิดขึ้นมาได้รางๆ ว่าหากไปถึงเมืองซูเฉิง ก็ไปถึงเขตพื้นที่ของเขาฉู่ซือหม่าแล้ว ส่วนบุตรสาวผู้นี้ของนางก็ดูเหมือนว่าใกล้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้วเช่นกัน…
ตอนที่คณะเดินทางไปถึงเมืองซูเฉิงก็เป็นเวลาค่ำ งานเลี้ยงจัดขึ้นเป็นวันที่สองแล้ว หลังจากพ่อบ้านจวนกลางสวนจัดให้บรรดาแขกเหรื่อเข้าพักในห้องแล้ว ก็แจ้งเชิญแขกทุกคนว่าอีกครู่ให้ไปที่โถงใหญ่ร่วมงานเลี้ยงยามค่ำซึ่งท่านหญิงไหวอินจะมาร่วมด้วย
เพราะการแสดงออกของหลี่รั่วอวี๋ตลอดการเดินทาง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดว่าจะให้นางทำขายหน้าอีกไม่ได้ จึงให้นางอยู่ในห้อง สั่งให้หล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้านางเอาไว้ อย่าให้นางออกไปข้างนอก
จวนกลางสวนนี้ทิวทัศน์งดงาม ห้องที่พวกนางอยู่ด้านนอกเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ท่านหญิงไหวอินเป็นคนที่ชอบรับแขก แม้สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่แขกพามาด้วยก็มีจานผลไม้รวมที่จัดอย่างประณีตเอาไว้กินได้
ดังนั้นหลังจากหล่งเซียงจัดให้คุณหนูกินอาหารเย็นแล้ว เห็นนางนอนเล่นบนเตียงอย่างสงบ จึงเดินออกจากห้อง นั่งอยู่ตรงหน้าประตูร่วมกับบ่าวหญิงอาวุโส กินผลไม้ไปพลางพูดคุยถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นหลังจากเข้าจวนนี้มา
ดังนั้นพวกนางจึงไม่สังเกตเห็นว่า มีเงาดำเงาหนึ่งแวบผ่านเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง
หลี่รั่วอวี๋เล่นของเล่นในมือจนเหนื่อย ตอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ข้างกายตนเอง เลือดที่มุมหน้าผากของเขาหยุดแล้ว แต่ตำแหน่งใกล้โคนผมมีรอยแผลน่ากลัวรอยหนึ่ง
เขายื่นมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายจมูกแตะปลายจมูกนางแล้วพูดเสียงเบาว่า “เหตุใดวันนี้ขว้างของใส่ข้า”
แท้จริงแล้วยามเห็นเขามีเลือดออก นางก็นึกเสียใจแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้นั่งอยู่ในอ้อมอกของเขา ได้กลิ่นหอมของยาสมุนไพรบนตัวเขา นางก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่า เขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างในฝัน
หลี่รั่วอวี๋ในอ้อมกอดของเขาไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่นิ้วมือกลับขยับดุกดิก ขยับขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา บริเวณที่ถูกหมอนกระแทกโดนบวมขึ้นเล็กน้อย ลูบดูแล้วมีความร้อน นางเลยลองจิ้มที่บาดแผลนั่น…
หากมีคนบอกว่าหลี่รั่วอวี๋มีเพียงรูปโฉมที่งดงาม นั่นเป็นเพราะยังไม่ได้ดูสองมือของนางอย่างละเอียด สิบนิ้วที่ราวกับต้นหอม เล็บมือเป็นมันวาว งดงามราวกับหยกที่ผ่านการสลักอย่างดีจากช่างฝีมือ…
และในตอนนี้ นิ้วมือนี้จิ้มๆ แตะๆ ไปบนใบหน้าของฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำมาถึงจุดตันเถียน ที่ใต้สะดือ ทันใดนั้นนิ้วมือก็ออกแรงแทงตรงเข้าไป…
ความเจ็บในฝันใช่ว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูด ให้เขาได้สัมผัสสักนิดว่าหากความเจ็บที่หน้าผากย้ายมาตรงหน้าท้องที่อ่อนนุ่ม มันจะเจ็บจนถึงขั้วหัวใจอย่างไร
ไม่ผิดไปจากที่นางคาดไว้จริงๆ แทงไปตรงนี้ก็เห็นผลทันตา! ดวงตาที่น่าดูคู่นั้นถูกแทงราวกับเป็นการแก้แค้นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เขาสบถเสียงเข้ม เสียงนั้นเป็นความประหลาดที่พูดไม่ออก เป็นเสียงครางที่แฝงความเจ็บปวดแต่ก็เหมือนการอุทาน เสียงสั้นและหนักลอดออกมาจากริมฝีปากบาง กลายเป็นไอร้อนพ่นใส่ลำคอของนาง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกการกระทำที่เตรียมการมาอย่างดีของตนเองนี้ทำให้ตกใจ
หลายวันก่อนน้องชายขโมยหนังสือภาพเก่าๆ เล่มหนึ่งมาจากสหายร่วมเรียน ทุกครั้งที่ถูกท่านแม่บิดหูพาเข้าห้องหนังสือไปอ่านตำราเรียนของอาจารย์ น้องชายมักจะอ่านอย่างเคร่งเครียด หลังจากท่านแม่ออกไปแล้ว ก็จะหยิบหนังสือเก่าขนาดเท่าฝ่ามือนั้นออกมาจากกางเกง อ่านอย่างออกรสชาติ
หลายวันก่อนนางไปฝึกเขียนอักษรกับน้องชายก็มักจะอยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลานาน ย่อมต้องก้มหน้าไปข้างแก้มน้องชายเสียนเอ๋อร์ อ่านตามไปด้วย
เรื่องราวในหนังสือภาพเล่มนี้บรรยายถึงจอมยุทธ์มีคุณธรรมผู้หนึ่งกำจัดคนชั่วช่วยเหลือคนอ่อนแอ ช่วยสาวชาวบ้านโฉมงามจากคนใจคอโหดร้าย อาวุธของจอมยุทธ์คือฝ่ามือที่ผ่านการฝึกฝนในกระทะเหล็กร้อน กางออกสามารถฟันหินผ่าเขาได้ ชูสองนิ้วจะกลายเป็นอาวุธมหัศจรรย์ใช้ในการสกัดจุด สองพี่น้องดูจนเลือดในกายพลุ่งพล่าน เกิดความคิดอยากจะเอาสองมือเข้าไปคลุกทรายร้อนในกระทะเหล็ก น่าเสียดายตอนที่กำลังอ่านอย่างสนุกสนาน หน้าหนังสือที่มีก็หมดลงเสียแล้ว
เสียนเอ๋อร์อยู่ในช่วงอายุที่สมองโลดแล่นโยนหนังสือทิ้งด้วยอารมณ์ที่ค้างคา จากนั้นก็พูดแต่งเรื่องที่เหลือออกมา
พี่รองของเขาเพราะสมองเสื่อมจึงได้นั่งฟังเขาพูดพล่ามอย่างเงียบๆ ด้วยความนับถือ ก่อนจะลองฝึกวิธีปล่อยพลังหลายกระบวนท่าพร้อมกับเขาในห้องหนังสือ
‘พี่รอง ต่อไปพี่ต้องระวังสักหน่อย สองมือนี้คือกระบี่ที่เปิดคมแล้ว ถ้าไม่ควบคุมพลังปราณภายในปล่อยแล้วออกมาตามใจ ไปลงมือทำร้ายคนเข้า ก็ไม่มีทางรอดได้ ต้องระวังเป็นอย่างมากนะ’ เสียนเอ๋อร์ในตอนนั้นทำท่าเก็บพลัง ใบหน้ากลมมีสีหน้าขึงขัง กำชับพี่รองที่งุนงงด้วยการเลียนแบบคำพูดที่ได้ฟังมาจากบัณฑิตเล่าเรื่อง
นางเองก็ลอบจำเอาไว้ แต่วันนี้เพราะตื่นเต้นและโมโห จึงลืมคำกำชับของน้องชายไปจนสิ้น
เหตุใดสีหน้าของเขาจึงเจ็บปวดเช่นนี้ หรือเมื่อครู่นางไม่ทันระวังใช้พลังภายในจนหมด พลังจากนิ้วทำร้ายอวัยวะภายในของเขาหรือ
นึกถึงตอนกลางวันที่ตนเองโยนหมอนไปก็ทำให้เขาหัวแตกเลือดไหล คิดไม่ถึงว่าปล่อยพลังตอนกลางคืนก็ยังมีแรงสั่นสะเทือนหลงเหลืออยู่อีก…
ในใจนางยังมีความหวั่นเกรงเหลืออยู่จึงยื่นมือไปลูบบริเวณใต้สะดือของเขา ไม่รู้ว่าจะทำให้พลังยุทธ์สลายหายไปโดยง่ายได้อย่างไร ระหว่างที่บีบคลึงส่วนที่สองมือเลื่อนไปถึง ก็มีเสียงสูดลมหายใจเข้าดังออกมาจากเขาอีกครั้ง
หลี่รั่วอวี๋ร้อนใจเตรียมจะลุกขึ้นทำตามวิธีที่น้องชายถ่ายทอดให้ มาตั้งท่าม้าย่อเพื่อสลายพลังภายใน จะได้ไม่ทำลายคนอ่อนแอผิดๆ
แต่นางไม่ทันได้ลุกขึ้น ภาพตรงหน้าก็หมุนคว้าง ร่างบางเล็กราวกับแป้งจี่ทาน้ำมันถูกกดลงบนเตียงทันที
“คนโง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ฉู่จิ้งเฟิงทนถูกมือคู่งามหยอกเย้าต่อไปไม่ไหว ขมวดคิ้วถามเสียงเข้ม
หลี่รั่วอวี๋ถูกเขากดตัวไว้เช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก กอปรกับท่าทางที่ชายหนุ่มแนบชิดตัวนาง ทำให้นางนึกถึงเสิ่นหรูป๋อที่ชอบทำกับนางเช่นนี้ตอนที่ไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย
เมื่อคิดดังนี้ การจิ้มเมื่อครู่นี้นับว่าสมควรแล้ว ต้องขอบคุณหนังสือภาพเล่มนั้นทำให้หลี่รั่วอวี๋ได้เปิดหูเปิดตาเกี่ยวกับเรื่องระหว่างชายหญิงบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าการกระทำเหมือนคนเลวที่ชอบเอาตัวมาแนบชิดสาวงามลูบไล้ถูไถไปมาไม่เหมาะสม
แม้นางจะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นสาวงาม แต่ก็รู้ว่าบนตัวมีบางจุดที่ผู้อื่นแตะต้องไม่ได้ หลายวันก่อนท่านแม่ได้พูดกำชับนางว่าห้ามให้บุรุษแตะต้องเรือนร่างของนาง ปาก มือ เท้า ยังมีหน้าอกกับส่วนก้น ไม่ว่าส่วนใดล้วนแตะต้องไม่ได้
ตอนนั้นหลี่รั่วอวี๋ฟังคำพูดของท่านแม่แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ชายผมขาวกินปากเล็กๆ ของนาง จึงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด แล้วมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มไม่โผล่ออกมาอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดไปว่าคำพูดของนางตรงเกินไป ทำให้บุตรสาวเขินอาย น่าเสียดายที่นางพูดตกหล่นไป ได้แต่สั่งหญิงสาวไม่ให้ผู้อื่นมาแตะต้อง แต่ลืมพูดเสริมไปหนึ่งประโยคว่า หญิงสาวที่ดีก็ต้องไม่แตะตัว ใบหน้าและบริเวณใต้สะดือของชายหนุ่มด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ดีที่ปลายนิ้วไม่ได้ปล่อยไปเต็มกำลัง มันโดนเข้าบริเวณสำคัญ ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกเพียงว่ากองไฟใต้สะดือนั้นใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
ทว่าในตอนนี้ดวงตาโตของหลี่รั่วอวี๋กลับเริ่มมีม่านน้ำ นางยู่ปากพูดพึมพำไม่ค่อยชัดเจน “คนเลว…คุณชายรองเสิ่น…”
ความหมายของนางก็คือ… ท่านก็เหมือนกับคุณชายรองเสิ่น เป็นคนเลว เอาแต่คิดจะกดตัวรั่วอวี๋
แต่พอมาเข้าหูฉู่จิ้งเฟิงลำดับคำพูดนั้นก็มีปัญหา กอปรกับท่าทางอยากร้องไห้นี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังฟ้องว่าเขาเป็นคนเลวที่รังแกนาง และตอนที่นางรู้สึกกลัว คนที่ตะโกนเรียกไม่ใช่ท่านแม่ แต่เป็นเสิ่นหรูป๋ออดีตว่าที่สามีของนาง!
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเพียงว่ามือที่เดิมทีลูบใบหน้านางเบาๆ เพิ่มแรงบีบปลายคางนางในทันใด ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะโกรธ ริมฝีปากที่น่าดูนั้นเม้มแน่น
เขาหลุบขนตาที่โค้งงอนลง เห็นความรู้สึกในแววตานั้นได้ไม่ชัดเจน แต่เสียงพูดเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที “เขาไม่ต้องการเจ้าแล้ว เจ้าคิดถึงเขาไปก็ไร้ประโยชน์ นับจากวันนี้ ข้าก็คือสามีของเจ้า เจ้า…ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับข้า”
ระหว่างที่พูดเขาก็โน้มตัวลงมาก้มหน้าครอบครองริมฝีปากน่าโมโหนั้นเอาไว้ หญิงสาวสมควรตายผู้นี้ ในใจของนางแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีเขาเลย ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยัง… แต่ครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมให้ความเย่อหยิ่งขัดขวางเขาอีก คนโง่งมตัวน้อยผู้นี้ เขาต้องได้ครอบครอง!
ในตอนนี้เอง เสียงของหล่งเซียงก็ดังลอยมาจากนอกห้อง “คุณหนูรอง ท่านคุยกับผู้ใดอยู่เจ้าคะ”
ตอนที่หล่งเซียงได้ยินเสียงดังรางๆ จากในห้อง แล้วรีบเปิดประตูเข้ามาก็พบว่าคุณหนูนอนอยู่บนเตียงคนเดียว กำลังมองดูยอดม่านเตียงพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงเบาๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่นับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน แต่บ้านของคนระดับอ๋องโหวอย่างท่านหญิงไหวอินกลับไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นางมาในครั้งนี้ เพียงแค่อยากจะพบกับใต้เท้าหลิวของกรมโยธาและพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์เท่านั้น แต่พอมาถึงที่นี่จึงพบว่าแม้จะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงในกรมโยธา ก็ใช่ว่าจะเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ได้ง่ายๆ ต้องอยู่ค้างคืนนอกจวน วันพรุ่งนี้ตอนงานเริ่ม จึงจะพาครอบครัวเข้ามาได้
รู้กันว่าจ้าวซีจือคังติ้งอ๋องพระอนุชาคนที่สี่ของท่านหญิงไหวอินนับว่าเป็นใหญ่ด้านหนึ่งในต้าฉู่ที่วุ่นวายนี้ ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักมีสกุลไป๋พระญาติห่างๆ คอยควบคุม ส่วนสกุลจ้าวที่เป็นพระญาติโดยตรง ย่อมรู้สึกไม่พอใจ และผู้ที่มีความสามารถประคับประคองการครองแผ่นดินของสกุลจ้าวได้ก็มีเพียงทางคังติ้งอ๋องแล้ว
สกุลไป๋อยู่ที่เมืองหลวงแม้จะเหิมเกริม แต่ยังต้องถอยให้กับคังติ้งอ๋องอยู่บ้าง นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่สกุลไป๋ถึงแม้จะควบคุมราชสำนักได้แต่ไม่กล้าชิงบัลลังก์ อย่างไรเสียฉู่จิ้งเฟิงที่ผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่ก็ยังเป็นแขนซ้ายขวาของคังติ้งอ๋อง
อยู่ในแคว้นที่วุ่นวาย ในมือมีอำนาจทหารมีประโยชน์กว่ามีอำนาจฮ่องเต้มาก!
ดังนั้นคนที่เป็นขุนนางเหล่านั้นต้องการอำนาจผลประโยชน์จึงพยายามทำดีทั้งซ้ายขวา ไม่ล่วงเกินผู้ใดทั้งสิ้น อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคังติ้งอ๋องผู้นี้จะมีวันได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่ และในวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงไหวอิน คนที่มาเพื่อประจบมีจำนวนมาก ขุนนางดูแลโครงการน้ำและดินของกรมโยธาผู้หนึ่งจึงไม่นับว่ามีตำแหน่งสูงอะไร ย่อมต้องพักอยู่นอกจวนก่อน
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเรื่องราวเหล่านั้นจากพ่อบ้านอย่างชัดเจนแล้ว ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น นางกับบุตรสาวพอมาถึงที่นี่ก็ถูกนำเข้ามาในจวนกลางสวนแห่งนี้เลย มิหนำซ้ำยังได้ฟังพ่อบ้านพูดว่าเรือนเล็กที่พวกนางพักอยู่เป็นเรือนพักของท่านหญิงไหวอินก่อนจะออกเรือนอีกด้วย
ได้รับการต้อนรับขับสู้ที่พร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่สบายใจ นางรู้ว่าท่านหญิงไหวอินเห็นแก่หน้าของฉู่จิ้งเฟิงน้องชายจริงๆ จึงได้มีมารยาทกับนางเช่นนี้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากใจมาก เดิมทีตัดสินใจไว้ว่าจะพบใต้เท้าหลิว จัดการเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเงินทองให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยปฏิเสธการแต่งงานนี้ แต่หลังจากท่านหญิงไหวอินต้อนรับขับสู้อย่างดีเช่นนี้ นางคิดข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธไม่ออกเลยจริงๆ
หลังอาหารเย็น ท่านหญิงไหวอินเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพียงคนเดียวเข้าไปดื่มชาพูดคุยในโถงรับแขกเล็กของตนเอง
“ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ จิ้งเฟิงกังวลว่าคุณหนูรองหลี่จะปรับตัวเข้ากับทางเหนือไม่ได้ จึงคิดจะสร้างจวนซือหม่าใหม่อีกแห่ง…” ตอนที่พูด ท่านหญิงไหวอินสั่งให้นางกำนัลยกกรอบภาพที่เหมือนฉากกั้นเล็กมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู เพียงแค่ดูภาพนั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่าจวนแห่งนี้งามวิจิตรเพียงใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นแล้วก็ยิ่งยืนนั่งไม่สบายใจ รู้สึกว่าตอนนี้หากยังไม่เอ่ยปากคงจะสายไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบพูดอึกอักเอ่ยปากปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน
ท่านหญิงไหวอินบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มไม่จาง เสียงพูดก็ยังอ่อนโยนเหมือนเดิม “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านไม่เข้าใจนิสัยของน้องชายข้า เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ต้องตา ไม่มีทางไปมอง แต่ถ้าชอบแล้ว ต่อให้สู้จนตายก็ต้องเอามาอยู่ในมือให้ได้ เพราะนิสัยเสียนี้ของเขา ไม่รู้ว่าถูกท่านพ่อท่านแม่ตำหนิไปกี่ครั้งแล้ว แต่ยังคงแก้ไม่ได้เสียที… ตอนนี้เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่แล้ว ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักน้องชายผู้นี้มาก สิ่งที่เขาอยากได้ ข้าก็ยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา เรื่องคุณหนูรองหลี่ไปอยู่ทางเหนือ เป็นเรื่องแน่ชัดอยู่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพียงเลือกว่าอยากเห็นนางนั่งเกี้ยวเจ้าสาวไป หรือนั่งรถนักโทษไปเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านหวังอยากให้เป็นแบบใดเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกตะลึงไปทันที นางคิดไม่ถึงว่าท่านหญิงไหวอินที่ดูเหมือนอ่อนโยนจะออกปากพูดข่มขู่เช่นนี้ได้ “ท่านหญิง…ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ท่านหญิงไหวอินอมยิ้ม ไม่มีท่าทางของคนที่พูดบีบบังคับเมื่อครู่เลย เพียงแค่โบกมือไปทางนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง นางกำนัลผู้นั้นก็ยกถาดที่มีฎีกาฉบับหนึ่งวางไว้ ก่อนจะเอาฎีกามาวางไว้ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
“สิ่งนี้ได้มาจากใต้เท้าหลิวกรมโยธาที่มีสัมพันธ์อันดีกับจิ้งเฟิง บังเอิญเช่นกัน เพื่อไปงานเลี้ยง ใต้เท้าหลิวบังเอิญมาหาข้าที่นี่ พูดถึงเรื่องที่คุณหนูรองโยกเงินหลวงกรมโยธาไปใช้ เพราะจิ้งเฟิงชื่นชมคุณหนูรองจึงทำเรื่องที่ผิดมหันต์ ขอร้องให้ใต้เท้าหลิวดึงฎีกานี้ไว้ชั่วคราว อย่าเพิ่งส่งให้ฝ่าบาททรงทราบ ก่อนหน้านี้จิ้งเฟิงคิดว่าคุณหนูรองเพิ่งจะถอนหมั้น คงไม่อยากจะถูกรบกวน จึงคิดจะอดทนสักระยะค่อยไปพูดทาบทามสู่ขอ แต่อ่านฎีกานี้แล้วในใจก็นึกถึงคุณหนูรอง เร่งให้ข้ารีบไปพูดทาบทามสู่ขอ…จะได้ขวางเรื่องเลวร้ายแทนนาง แต่ตนเองไม่ลองคิดดูว่านอนบนหมอนร้อนเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจถูกคนเห็นเป็นจุดอ่อน เฮ้อ ช่างเป็นน้องโง่ของข้าจริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกคำพูดของท่านหญิงปลุกไฟในใจให้ลุกโชน รอจนฟังสาเหตุชัดเจนแล้วจึงมองไปทางความผิดแต่ละกระทงที่เขียนอยู่บนฎีกา ลูกไฟนั้นก็ดับมอดลง ฎีกานั้นเป็นลายมือของเว่ยกงกงจวนสิ่งทอ หลักฐานความผิดว่ามีบัญชีที่ออกจากสกุลหลี่ นอกจากเสิ่นหรูป๋อ ผู้ใดยังจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้อีก
ฉู่ซือหม่าไม่ใช่คนโง่ คนที่โง่คือบุตรสาวของนาง ลูกเขยที่เลือกเอาไว้ตอนแรกกลับเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ สกุลหลี่ไม่มีอะไรติดค้างเขาเสิ่นหรูป๋อเลย แต่เหตุใดเขาต้องบีบบังคับทุกฝีก้าว จะบีบหลี่รั่วอวี๋ให้ตายเลยหรืออย่างไร
จากคำพูดของท่านหญิงไหวอิน คนที่โยนหินใส่บ่อคือเสิ่นหรูป๋อ ส่วนซือหม่าเป็นผู้มีคุณที่คอยช่วยเหลือภัยร้ายของสกุลหลี่
ถึงแม้จะมีคำขู่อย่างไม่ปิดบังเช่นเดียวกัน แต่พูดจากคุณธรรมแล้ว ท่านซือหม่าไม่เคยทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่อาจพูดตำหนิอะไรได้เลย…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจ นางคุกเข่าลงและเอ่ยปากพูดขอร้อง “ขอท่านหญิงเมตตา ขอร้องใต้เท้าหลิวผู้นั้น บุตรสาวข้าน้อยถูกคนเลวทำร้าย ตอนนี้ยังมีสภาพเช่นนี้อีก จะให้ทนรับโทษได้อย่างไร”
ท่านหญิงไหวอินรีบสั่งให้นางกำนัลประคองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขึ้นมาพลางพูดทอดถอนใจว่า “ตอนนี้ในเมืองหลวงเป็นเขตพื้นที่ของสกุลไป๋ ในฎีกานี้มีบัญชีรายละเอียดที่คุณชายรองสกุลเสิ่นให้มา ซึ่งเว่ยกงกงเป็นผู้เขียนเอง ถ้าเบื้องบนไม่มีคำตอบอะไร เว่ยกงกงต้องมีวิธีการต่อไปอีกแน่นอน ถ้าฎีกาส่งขึ้นไปแล้ว แม้จิ้งเฟิงมีใจอยากช่วยก็ไร้ความสามารถ ตอนนี้นักโทษคดีหนักถูกส่งไปที่ชายแดนทางเหนือทำงานก่อสร้างหนัก ภัยของคุณหนูรองหลี่ในครั้งนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ อยู่ในรถนักโทษเหน็ดเหนื่อยตลอดทาง นางสมองก็ไม่ค่อยดี ถ้าถูกเจ้าหน้าที่เห็นรูปโฉมงดงามนั้น…”
ท่านหญิงไหวอินพูดถึงตรงนี้ก็ไม่พูดต่อ ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หน้าซีดขาวเป็นกระดาษแทบจะล้มครืนลง
ในตอนนี้ท่านหญิงไหวอินก็ลุกขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง เอ่ยพูดเสียงเรียบ “จิ้งเฟิงมีใจรักคุณหนูรอง ข้าที่เป็นพี่สาวย่อมต้องอุ้มสม แต่อย่างไรเสียเขาก็สูงศักดิ์เป็นถึงซือหม่าต้าฉู่ ยังต้องเป็นห่วงหน้าตาของสกุลบ้าง มาสู่ขอสตรีแล้วไม่ได้ ถ้าลือออกไปหน้าตาสกุลฉู่จะยังเหลืออยู่หรือ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะช่วยคิดแทนคุณหนูรองหลี่ และอุ้มสมจิ้งเฟิงที่มีใจยึดมั่นในความรัก…”
ท่านหญิงไหวอินเป็นคนระดับใด ความสูงศักดิ์นั้นบีบรัดใจคนยิ่ง ทั้งคำพูดและการกระทำก็ยังกดดันคนให้ต่ำลงหนึ่งขั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ต่อหน้านางรู้สึกตัวเตี้ยลงหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เข้าใจดี เว่ยกงกงจวนสิ่งทอตำแหน่งเล็กๆ ที่เจียงหนานยังสามารถบีบเอาชีวิตบุตรสาวนางได้ หากล่วงเกินผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ระดับฉู่จิ้งเฟิงหรือท่านหญิงไหวอิน เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ยิ่งไม่กล้าคิด
นางรักบุตรสาวของนางมาก แต่จะไม่คิดเรื่องชื่อเสียงของสกุลหลี่ก็ไม่ได้
นับจากอดีตเป็นต้นมา สกุลร่ำรวยใหญ่โตมากเท่าใดที่ล่วงเกินขุนนาง ต้องสูญทรัพย์สมบัติและเข้าคุก ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกเลย
กิจการที่สกุลหลี่สะสมมาหลายปีนี้ ทนให้ขุนนางละโมบเหล่านั้นมาขูดรีดไปไม่ไหว และบุตรสาวคนรองของนางที่อ่อนแอราวดอกไม้ก็ทนเข้าไปอยู่ในคุกไม่ได้เช่นกัน
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋เป็นเหมือนเนื้อสดที่ถูกกะเทาะเปลือกแข็งออก เสิ่นหรูป๋อหมาป่าร้ายตัวนั้นเฝ้าโหยหานาง ฉู่จิ้งเฟิงเสือร้ายตัวนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายปากออก ส่วนนางที่เป็นมารดาไม่มีความสามารถใด ปกป้องลูกไม่ได้
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ใช่ตัวเลือกการเป็นลูกเขยที่ดีของบุตรสาว แต่เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้เหมือนจะรักชอบพอหลี่รั่วอวี๋มาก ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋อยู่ในช่วงอายุที่งดงามที่สุดของหญิงสาว หน้าตาท่าทางก็น่ารักน่าเอ็นดู แม้จะตกม้าสมองเสื่อมไป แต่ไม่ได้มีท่าทางโง่ทึ่มเนื้อตัวสกปรกอยู่ในตรอก อาศัยเพียงรูปโฉมก็สามารถชิงความรักได้อยู่หลายปี
หวังเพียงว่าฉู่ซือหม่าจะเป็นคนใจกว้าง เห็นแก่ความรักที่เคยมีให้กัน ในตอนที่ความงามถดถอย ความรักหดหาย สามารถปล่อยให้หลี่รั่วอวี๋กลับมาที่บ้านสกุลหลี่ ให้นางมีครึ่งชีวิตที่เหลือที่สงบสุข
เมื่อคิดปลอบใจตนเองเช่นนี้แล้ว เรื่องฉู่ซือหม่าก็ดูเหมือนไม่ยากที่จะรับได้แล้ว มองเห็นท่านหญิงไหวอินไม่ค่อยพอใจที่นางลังเลใจ ด้วยความร้อนใจนางจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านหญิง ข้าน้อยใช่ว่าจะคิดดูถูกซือหม่า…”
ท่านหญิงไหวอินเป็นคนระดับใด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หน้าตาคลายความเคร่งเครียดลงบ้างแล้ว นางก็เกิดความคิดในใจ ในตอนนี้มุมปากก็มีรอยยิ้มอีกครั้ง ดึงมือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มากุมแล้วพูดรายละเอียดอยู่สักครู่ ก็ให้คนไปเชิญรองเสนาบดีกรมอากรที่เดินทางมาร่วมงานพอดี ยังมีบัณฑิตคุณธรรมสูงชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายคน เป็นพยานการแต่งงาน แล้วหยิบหนังสือหมั้นหมายที่เขียนเสร็จแต่แรกให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลงชื่อประทับลายนิ้วมือ
ฟ้าค่อยๆ มืดลง เสาหลักของแคว้นหลายคนกลับยังดูกระตือรือร้น ราวกับกำลังลงไพ่นกกระจอกบนกระดาน อยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไร้ความมั่นใจไปจนสิ้น ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านหญิงไหวอินจับมือให้ประทับลายนิ้วมือลงชื่ออย่างงุนงง
กลับถึงห้องของนางแล้ว มองหน้าหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตที่เพิ่งรุดมาถึง จึงได้เหม่อมองรอยสีแดงบนปลายนิ้วของตนเองที่ยังไม่จางหายไปพลางพูดว่า “รั่วฮุ่ย เมื่อครู่แม่ทำการหมั้นหมายให้น้องเจ้าอีกครั้งแล้ว”
หลี่รั่วฮุ่ยเดิมทีก็สงสัยว่านางเป็นภรรยาขุนนางยศเล็กๆ เหตุใดจึงได้รับเทียบเชิญจากท่านหญิงไหวอิน รอนางเบิกตาโตลิ้นแข็งฟังฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เล่าเรื่องราวจนจบก็โกรธจนตบหน้าตัก พูดด้วยความโมโหท่านแม่ที่หัวอ่อน “ท่านแม่! ท่านบ้าไปแล้วหรือ ยกน้องรองให้กับผีเห็นยังหวั่นผู้นั้น! นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกบุตรสาวคนโตบ่นเช่นนี้ก็ได้สติคืนมา การหมั้นหมายนี้ตกลงกันเร็วไปสักนิด ตนเองเหมือนถูกโปะยาจนงุนงง จึงได้กำหนดการแต่งงานของหลี่รั่วอวี๋เช่นนี้แล้ว
แต่ตอนนี้มาพูดเสียใจภายหลังก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เมื่อครู่ตอนที่ลงชื่อในหนังสือหมั้นหมายต่อหน้าใต้เท้าทั้งหลาย ใต้เท้าจากกรมอากรผู้นั้นดูวันเวลาแล้วก็บอกมาตามตรงว่าสิ้นเดือนนี้เป็นวันมงคลตามปฏิทินที่หาได้ยาก กอปรกับซือหม่ารักษาอาการบาดเจ็บได้พอสมควรแล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับทางเหนือ ดังนั้นจึงกำหนดวันทำพิธี แปดวันให้หลังต้องจัดงานแต่งงานให้เสร็จสิ้น
อันที่จริงวันทำพิธีนี้ก็เร่งรีบเกินไป แม้แต่ท่านหญิงไหวอินที่เป็นผีชางรับใช้เสือ ยังทนดูต่อไปไม่ไหว รู้สึกว่าการกินของน้องชายรีบร้อนเกินไป
“ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้ ยังคิดว่าพี่เป็นนักบวชหวนสู่ทางโลก รีบร้อนจะแต่งภรรยาเสียอีก! ก็แค่หญิงที่สมองไม่ดีผู้หนึ่ง มีแค่ท่านที่เห็นเป็นของล้ำค่า เหตุใดจะต้องร้อนใจเช่นนี้ด้วย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสกุลฉู่ต้องการแต่ง ควรเตรียมทุกอย่างให้พร้อม มีอย่างที่ไหนมาทำการเร่งรีบลวกๆ อย่างท่าน!”
ตอนที่พูดคำนี้ ฉู่จิ้งเฟิงกำลังเดินหมากอยู่กับน้องชาย ซึ่งก็คือจ้าวซีจือคังติ้งอ๋องน้องชายสายเลือดเดียวกันของท่านหญิงไหวอิน
ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าหลี่รั่วอวี๋สมองไม่ดี เขาก็มีสายตาดุ เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดเสียงเข้ม “ต่อไปอย่าได้พูดเรื่องสมองของนางอีก แม้นางจะพูดจาไม่ชัดเจนนัก แต่ก็แยกแยะคำพูดดีร้ายได้…”
ท่านหญิงไหวอินรู้สึกว่าตนเองในตอนนี้เหมือนแม่ที่กำลังจะแต่งลูกสะใภ้ เห็นสะใภ้สมองเสื่อมยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน บุตรชายก็รีบร้อนปกป้องภรรยาเสียแล้ว ช่างน่าโมโหเสียจริง
คังติ้งอ๋องเห็นพี่สาวตนเองยังอยากตำหนิฉู่จิ้งเฟิงอีก จึงรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนตั่งนิ่ม แกว่งเท้าที่สวมรองเท้าไปมาแล้วพูดว่า “พี่สาวข้า พูดน้อยหน่อยเถอะ อย่าทำให้พี่ชายไม่พอใจ ข้าน้องชายท่านตอนนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือลำบากมาก พวกเดิมของหยวนซู่สมคบกับโจรร้าย ก่อเรื่องไปทั่วเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ข้ายังต้องอาศัยพี่ชายส่งเสบียงช่วยเหลือกำจัดโจรเหล่านี้ ตอนนี้พี่ชายเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์เหลืองทองอร่ามผู้ช่วยชีวิต จะล่วงเกินไม่ได้แม้แต่น้อย! มา พี่ชาย ดื่มชาให้ชุ่มคอสักอึก…”
ทุกคนล้วนพูดว่าคังติ้งอ๋องแห่งตะวันตกเฉียงเหนือใจกว้างมีคุณธรรม แต่ไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้พฤติกรรมหละหลวม ไม่เห็นเรื่องจริงจังอยู่ในสายตา
ฉู่จิ้งเฟิงมองดูท่าทางคังติ้งอ๋องยกน้ำชาให้เขาราวกับลูกสมุนก็แค่นเสียงสบถเบาๆ
ท่านหญิงไหวอินเพียงแค่สูดลมหายใจแล้วพูดอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วางแผนว่าหลังจากงานเลี้ยงก็จะพาบุตรสาวกลับคฤหาสน์เลย”
ฉู่จิ้งเฟิงเคาะกระดานหมากแล้วพูดอย่างช้าๆ “ขอพี่สาวช่วยพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้ชัดเจนด้วย เพราะเวลาในการทำพิธีค่อนข้างเร่งรีบ ยังต้องสอนคุณหนูรองเรียนรู้พิธีการบางอย่าง พี่ก็รั้งตัวนางไว้ในจวนกลางสวนนี้ ในวันทำพิธีก็จัดกันในเมืองซูเฉิง จะได้ไม่ต้องส่งรถไปรับเจ้าสาวที่เมืองเหลียวเฉิงให้ลำบาก”
ตามประเพณีโบราณ บุตรสาวออกเรือนต้องออกเดินทางจากบ้านเกิด ยิ่งไปกว่านั้นเมืองเหลียวเฉิงเมืองซูเฉิงก็ไม่นับว่าไกลกันมาก แต่เวลาเพียงไม่กี่วันฉู่จิ้งเฟิงก็ทนรอไม่ไหวแล้ว จะรั้งตัวเจ้าสาวเอาไว้ ปล่อยให้แม่ยายกลับไปเตรียมพิธีการเอง… แบบนี้ช่าง…ไม่เห็นเรื่องจริงจังอยู่ในสายตาเสียจนคังติ้งอ๋องยังคิดว่าการกินของพี่ชายรีบร้อนเกินไป!
ฉู่จิ้งเฟิงไม่อยากไปสนใจแววตาหยอกเย้าของคังติ้งอ๋อง
เนื้อสดใหม่คำนี้ เขาคิดถึงมานานมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยากจะกินเนื้อคำนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว เสิ่นหรูป๋อผู้นั้นวางแผนทุกอย่างพร้อมสรรพ แต่กลับเป็นการมอบเสื้อมงคลให้เขา
ฉู่จิ้งเฟิงเก่งในการรวบรัดบทเรียน แต่เรื่องศัตรูหัวใจ เขารวบรัดได้น่าอนาถใจยิ่ง ราตรียาวนานความฝันยาวไกล ไม่นอนเสียเลยดีกว่า!
หลังจากงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงไหวอิน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ขอลากลับคฤหาสน์เลย
ด้วยกำหนดการแต่งงานให้บุตรสาวคนรองอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ภายในคฤหาสน์จึงยังไม่ได้เตรียมอะไร ถึงแม้ท่านหญิงไหวอินจะพูดอย่างชัดเจนว่าสกุลฉู่จะจัดการทุกอย่าง แต่สกุลหลี่ใช่ว่าจะจ่ายเงินค่าซองแต่งงานไม่ได้ ต้องเตรียมการให้พร้อมจึงจะดี
ท่านหญิงไหวอินใช้เรือนหลังหนึ่งฝั่งตะวันตกของจวนกลางสวนตรวจนับสินสอดทองหมั้น แก้ป้ายชื่อด้านบนขื่อคานเป็นชื่อสกุลหลี่ ถึงตอนนั้นครอบครัวมิตรสหายของสกุลหลี่สามารถพักอยู่ในเรือนนี้ชั่วคราวได้ คุณหนูรองหลี่ก็ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวจากที่นี่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทีไม่ยอมทิ้งบุตรสาวคนรองเอาไว้ แต่ภายหลังหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตบอกว่าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลน้องสาว นางจึงยอมกลับไปอย่างสบายใจได้บ้าง
เพราะครั้งนี้คนที่สกุลหลี่พามาปรนนิบัติคุณหนูรองมีเพียงหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสอีกหนึ่งคน ดังนั้นท่านหญิงจึงคัดเลือกนางกำนัลที่ทำงานเก่งอีกหลายคนมาให้ ส่วนองครักษ์ในเรือนเป็นผู้ใต้บัญชาฝีมือดีของฉู่ซือหม่า
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไปแล้ว หลี่รั่วฮุ่ยแท้จริงแล้วยังรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ครั้งก่อนกลับบ้านคิดว่าน้องสาวตนเองกับเสิ่นหรูป๋อคงมีวาสนาต่อกันแน่นอนแล้ว รอแค่เพียงกำหนดวันมงคล
เพราะสามีเตรียมย้ายที่ประจำการอยู่ นางก็วุ่นกับการย้ายบ้าน เดิมทีคิดว่าแม้จะไปส่งน้องสาวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวในวันมงคลไม่ได้ ก็จะเร่งให้ทันตอนที่น้องสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดหลังแต่งงาน กลับบ้านไปกินอาหารร่วมกับน้องสาวน้องเขยสักมื้อ
ผู้ใดจะคิดว่า ต่อมาจะได้รับจดหมายจากท่านแม่ว่าได้ส่งหนังสือยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลเสิ่นแล้ว ในจดหมายนั้นเล่าเรื่องฉาวของหลี่เสวียนเอ๋อร์กับเสิ่นหรูป๋อออกมาจนหมด ทำให้หลี่รั่วฮุ่ยโกรธจนกินอาหารไม่ลง รีบจัดการเรื่องทุกอย่างในบ้านตนเอง เตรียมจะกลับบ้านเดิมสักครั้ง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในเวลานั้นกลับได้รับเทียบเชิญจากท่านหญิงไหวอิน จึงไม่กล้าชักช้า ต้องติดตามสามี พาบุตรชายคนเล็กพร้อมแม่นมเดินทางมาที่เมืองซูเฉิง
คิดไม่ถึงว่าเดินทางมายังไม่ทันปรับลมหายใจก็ได้ยินว่าน้องสาวหมั้นหมายกับฉู่จิ้งเฟิงแล้ว
สามีของนางเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ย่อมรู้ถึงผลงานการรบอันโด่งดังของซือหม่าผู้นี้ รวมถึงข่าวลือโฉมหน้าปีศาจชอบฆ่าฟันของเขาด้วย
หากน้องรองยังดีอยู่ ด้วยชาติกำเนิดก็ยังไม่คู่ควรกับซือหม่าผู้นี้แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางกลายเป็นคนสมองเสื่อม แม้กระทั่งเสิ่นหรูป๋อที่หมั้นหมายกับน้องสาวมาหลายปี มีความรู้สึกอันดีต่อกันมากก็ยังทอดทิ้งนางไปแต่งงานกับผู้อื่น นับประสาอะไรกับชายหนุ่มที่มีฐานะสูงอำนาจมากอย่างนั้น จะมีความจริงใจต่อนางได้อย่างไร
น่าเสียดายที่ท่านแม่ผู้เลอะเลือนของนางถูกคนเกลี้ยกล่อมปนข่มขู่ ลงชื่อในหนังสือหมั้นหมายกำหนดวันมงคลเรียบร้อยแล้ว มองดูน้องรองที่ตกม้าสมองเสื่อม จะต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่สูงศักดิ์และไม่รู้จักเขาดีพอเลย แต่หากไม่แต่ง ตามคำพูดของท่านแม่ สกุลหลี่ก็ต้องเดินไปถึงทางตันจริงๆ แล้ว
หลี่รั่วฮุ่ยรู้สึกเพียงว่านางที่เป็นพี่สาวก็ผิดต่อน้องสาว ไม่มีความสามารถจะรั้งตัวน้องไว้ได้ คิดถึงเรื่องที่เศร้าใจก็ทนไม่ไหวโอบคอน้องสาวไว้แล้วร้องไห้ออกมา
หลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าเหตุใดตอนที่ท่านแม่จากไปต้องมากอดนางร้องไห้ ตอนนี้พี่สาวก็มากอดนางร้องไห้อีก
แต่ว่าครั้งนี้ นางกลับไม่อยากล้อเลียนพี่สาว ตอนท่านแม่จากไป นางเคยถามท่านแม่ว่าเหตุใดจึงร้องไห้ ท่านแม่พูดสะอึกสะอื้นว่าเพราะนางจะแต่งงานแล้ว
ตอนแรกหลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจ ภายหลังได้ฟังท่านแม่บอกว่าแต่งงานก็คือต้องไปอยู่บ้านคนอื่น อยู่กับท่านแม่และน้องชายไม่ได้อีกต่อไป ไม่รู้เพราะเหตุใด จมูกของหลี่รั่วอวี๋พลันรู้สึกปวด อยากร้องไห้เช่นกัน
ท่านแม่จากไปแล้วจริงๆ เหลือเพียงนางอยู่ในคฤหาสน์ที่ไม่คุ้นตา ตอนนี้พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นเดียวกัน สะกิดใจนางให้อยากร้องไห้ไปด้วย จึงน้ำตาไหลพูดกับหลี่รั่วฮุ่ยว่า “พี่…รั่วอวี๋ไม่อยากแต่งงาน…”
หลี่รั่วฮุ่ยเห็นน้องรองที่เป็นคนเข้มแข็งมาตลอดตอนนี้ปลายจมูกแดง ดวงตามีน้ำตาคลอโผเข้าหาอ้อมกอดของนาง ตัวอ่อนปวกเปียกราวกับกระต่ายขาวใกล้จะถูกสุนัขจิ้งจอกคาบไป ทำได้เพียงขอร้องอย่างหวาดกลัวว่าไม่อยากแต่งงาน ทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงจะแตกสลาย อยากจะให้ตนเองยังเป็นหญิงสาวอยู่ในเรือน แต่งงานกับพญามัจจุราชนั่นแทนน้องรองไปเสียเลย
ตอนนี้นางจึงพูดอย่างทนไม่ไหวว่า “ไม่แต่ง ไม่แต่งแล้ว รั่วอวี๋ของพวกเราไม่แต่งกับซือหม่าผีอะไรนั่นหรอก!”
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของนาง ตรงประตูโถงที่ไม่ได้ปิดประตูก็มีเสียงจงใจกระแอมรัวเร็วดังลอยมา
หลี่รั่วฮุ่ยได้ยินเสียงกระแอมนั้นก็หันไปดู ที่แท้แล้วเสียงนั้นหล่งเซียงเป็นคนทำ อีกฝ่ายที่ปกติจะหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตลอด ในยามนี้ตั้งแต่ช่วงเข่าขึ้นไปท่อนบนล้วนแข็งเกร็ง บนใบหน้านิ่งนั้นมีเพียงดวงตาที่ยังพยายามกะพริบ ส่งสายตามาให้นาง
จากนั้นตรงหน้านางพลันมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดยาวสีดำขลิบทอง ผมสีขาวเงินทั้งศีรษะ สวมที่ครอบผมสีทอง หน้าตาแม้จะหล่อเหลาแต่เย็นเยือกไปบ้าง ดวงตาคมราวเหยี่ยวคู่นั้นกำลังจ้องน้องรองที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง
หล่งเซียงไปยกน้ำแกงหวานที่ห้องครัวด้านหลังกลับมา มองเห็นซือหม่าแต่ไกล ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องคุณหนูรอง แต่ก็ไม่เข้าไปและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนก้อนน้ำแข็งแผ่ไอเย็น
รอจนนางเดินมาถึงประตูห้อง กำลังคิดจะพูดก็ถูกซือหม่ากวาดตามองอย่างเย็นชา จึงตกใจไม่กล้าพูดอะไร กลับบังเอิญได้ยินคำว่า ‘ซือหม่าผี’ ของคุณหนูใหญ่ลอยมาเข้าหู นางตกใจจนแทบจะโยนน้ำแกงหวานในมือทิ้ง แต่ไม่กล้าไปเรียกคุณหนูใหญ่ ทำได้เพียงแกล้งระคายคอ กระแอมออกมาเสียงดัง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลี่รั่วฮุ่ยจะไม่เคยเจอฉู่จิ้งเฟิงมาก่อน แต่เห็นผมสีขาวเงินทั้งศีรษะของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด
หลิวจ้งผู้เป็นสามีเพิ่งย้ายงานใหม่ ถูกย้ายไปอยู่ใต้ธงกองทหารเว่ยจื้อ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปชายแดนทางเหนือ หากจะนับไปแล้ว กองทหารเว่ยจื้อก็เป็นคนใต้บัญชาของฉู่ซือหม่า
ตนเองมาพูดคำหยาบคายต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของสามี ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ แต่ในตอนนี้หลี่รั่วฮุ่ยสงสารน้องสาว จึงไม่สนใจอะไรมาก นางเป็นคนโมโหร้าย แม้ตอนแรกจะถูกกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวฉู่จิ้งเฟิงทำให้หวาดกลัวตกตะลึง แต่จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างไม่ลดละ “คิดว่าท่านคงจะเป็นซือหม่ากระมัง”
ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านที่เดินตามมายื่นใบของขวัญไปให้ จากนั้นจึงกล่าว “วันนี้เอาสินสอดมาให้ดู ข้าสั่งให้พ่อบ้านเขียนใส่ใบรายการไว้แล้ว มีของบางอย่างที่ใช้ในพิธีวันนั้น หวังว่าคุณหนูใหญ่หลี่จะช่วยดูแทนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วย”
ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฉากเมื่อครู่ หลี่รั่วฮุ่ยก็คิดว่าถ้าจะมีเรื่องเพิ่มสู้มีเรื่องน้อยลงดีกว่า แต่ใบสินสอดนั้นนางขี้เกียจไปดู จึงเพียงแค่รับมันเอาไว้เท่านั้น
ฉู่จิ้งเฟิงย่อมรู้ว่าเหตุใดนางจึงมีท่าทีเช่นนี้ ในใจกลับคิดว่า…บุตรสาวคนโตสกุลหลี่แข็งกร้าวยิ่งกว่ามารดาเลอะเลือนผู้นั้นเสียอีก…และไม่รู้กาลเทศะมากกว่าเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้หลี่รั่วอวี๋หัวอ่อนกว่ามารดาของนาง นางคงนึกได้ถึงครั้งก่อนที่เขาแอบเข้ามาในห้องของนาง จึงไม่ยอมสวมรองเท้า ลากเพียงเกือกไม้พุทราคู่หนึ่ง ก้มหน้าพยายามหลบเลี่ยงชายสูงใหญ่ แล้ววิ่งไปเล่นที่สวนดอกไม้เล็กข้างเรือน
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลง ขนตาโค้งงอนปิดบังแววตาเย็นเยือกของเขา หลังจากหลี่รั่วอวี๋วิ่งออกไปแล้ว เขาก็ตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ ท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับเดินเข้าห้องนอนของตนเอง หลี่รั่วฮุ่ยไม่ดูใบสินสอด เขาก็ไม่ได้เร่ง เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น เคาะนิ้วบนที่วางมือบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ไม่วางใจเช่นนี้ จิ้งเฟิงเข้าใจ แต่ข้ากับแม่นางรั่วอวี๋รู้จักกันมานานแล้ว แต่งกับนางล้วนเป็นความจริงใจ ขอให้คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลี่รั่วฮุ่ยกัดริมฝีปาก ทว่าคำพูดที่เก็บกดอยู่ในใจกลับพ่นออกมาในที่สุด “ใต้เท้ากับน้องสาวข้ารู้จักกันมานานแล้วหรือ แต่ไม่เคยได้ยินนางพูดถึงใต้เท้าเลย ไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ ซือหม่าใคร่ครวญรอบคอบดีแล้วหรือ ท่านควรจะรู้ว่าด้วยนิสัยน้องข้าตอนที่ยังเป็นปกติ คงไม่เหมาะจะแต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์ นางมีความคิดเป็นของตนเองมาตลอด ยากจะเป็นฮูหยินขุนนางที่อยู่ในกฎระเบียบได้ อีกอย่าง ซือหม่าต้องรู้ว่ายามนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ใช่หลี่รั่วอวี๋คนเดิมอีกแล้ว หลี่รั่วอวี๋ที่ฉลาดเฉลียวเลื่องลือไปทั่วผู้นั้นตอนนี้เป็นเพียงคนสมองเสื่อมที่ไม่รู้เรื่องราว ความสงสารของท่านซือหม่าที่มีต่อนางในตอนนี้ไม่ได้โกหก แต่ในอนาคตเล่า ถ้านางอายุมากความงามถดถอยไม่มีความสดใสของเด็กสาวแล้ว มิหนำซ้ำยังโง่เขลาไม่รู้ความเช่นนี้อีก ใต้เท้าท่านยังจะสงสารนางเช่นนี้อีกหรือ”
หลี่รั่วฮุ่ยบีบถามไม่ลดละ แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับมีสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นคุณหนูใหญ่หลี่กล้ารับรองหรือไม่ว่า รอจนเจ้าอายุมากความงามถดถอย สามีของเจ้าจะรักทะนุถนอมเจ้าเหมือนที่ผ่านมา ไม่ลดลงแม้แต่น้อย”
คำพูดนี้ถามถูกจุดสำคัญ คำพูดโหดร้าย มีเพียงหลี่รั่วฮุ่ยเองที่รู้ดีแก่ใจ สามีของนางหลิวจ้งวรยุทธ์แกร่งกล้า ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่มีอนาคตไกล ตอนแรกท่านพ่อของนางพอใจที่ครอบครัวของเขามือสะอาด และมีความสามารถ ไม่มีความรู้สึกของบัณฑิตที่ดูถูกพ่อค้าเลย จึงได้ให้นางแต่งงานกับเขา
เริ่มแรกสองคนก็มีความรักหวานชื่น แต่การใช้ชีวิตที่น่ากลัวที่สุดคือมีนิสัยเหมือนกันเกินไป หลี่รั่วฮุ่ยมีนิสัยแข็งกร้าว หลิวจ้งก็มีอารมณ์ร้อน ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มีปากเสียงเรื่องทั่วไปบ่อยครั้ง
คนโกรธที่น่ากลัวที่สุดคือพูดไม่เลือกคำ กระทบกระทั่งไปมา ทำลายความรู้สึก ในตอนที่หลี่รั่วฮุ่ยตั้งครรภ์ หลิวจ้งได้ตามเพื่อนร่วมงานไปดื่มสุราที่หอคณิกา และได้ส่งสายตาไปมากับนางโลมผู้หนึ่ง นางโลมผู้นั้นพูดคำอ่อนหวานเข้าอกเข้าใจผู้คนมาจนชิน นานวันเข้าก็ทำให้หลิวจ้งหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น รวบรวมเงินกับเพื่อนร่วมงานไถ่ตัวนางโลมผู้นั้นออกมา และเลี้ยงดูไว้นอกคฤหาสน์
แต่หลี่รั่วฮุ่ยกลับไม่รู้เรื่องราว จนกระทั่งหนึ่งปีก่อน นางไปที่ตลาดเห็นสามีพาหญิงท้องโตผู้นั้นไปซื้อผ้าฝ้าย รองเท้าและหมวกที่เด็กใช้ในร้านขายของ จึงได้รู้ว่าสามีตนเองลอบเลี้ยงหญิงงามเอาไว้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ร้องไห้โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำตามคำที่เพื่อนร่วมงานของหลิวจ้งมาช่วยพูดเจรจา… นายกองหลิวทำเช่นนี้นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว รู้ว่านางใจร้อนขี้หึง รับอนุไม่ได้เอาเข้าคฤหาสน์นับว่าไว้หน้าภรรยาเอกอย่างนางมากแล้ว
แม้แต่ท่านแม่ของนางยังตำหนินางว่ามีใจอิจฉามากเกินไป ทำให้สามีรับอนุแล้วก็ยังไม่กล้าพาเข้าบ้าน
เป็นน้องรองของนางที่พูดเสียงแข็ง หลังจากได้ฟังนางเล่าทั้งน้ำตาแล้ว ถามเพียงว่านางยังอยากจะอยู่กับหลิวจ้งต่อไปหรือไม่ หากไม่ยินดี พรุ่งนี้ก็เขียนหนังสือขอหย่าให้เขา เขาจะได้ไม่ต้องเสียอิสระในการรับอนุ และต้องไปรับหญิงชั้นต่ำน่ารังเกียจมาเลี้ยงไว้นอกบ้าน
ทว่าจิตใจของหญิงสาวกับคนเป็นแม่จะเหมือนกันได้อย่างไร สุดท้ายคนที่ไม่ยอมคนอย่างนางก็เห็นแก่ลูกน้อยจึงยอมอดทน กลืนความโกรธนี้ลงท้อง เพียงแค่พูดตามตรงกับสามีว่าไม่อนุญาตให้พาหญิงชั้นต่ำผู้นั้นกลับบ้าน
ซือหม่าต้าฉู่ผู้นี้ดูแล้วเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่หากยั่วให้เขาโมโหก็เป็นคนที่ปากคอเราะราย แต่ละคำบาดเฉือนคนจนเลือดหยด เรื่องที่แม้แต่สามีของนางยังทำไม่ได้ นางจะมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องแทนน้องสาวเล่า
แม้ยามนี้จะเห็นหลี่รั่วฮุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ฉู่จิ้งเฟิงก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม “ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รังเกียจ รับจิ้งเฟิงเป็นเขย ต่อไปก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกับคุณหนูใหญ่ พูดอะไรไม่ต้องกล้าๆ เกรงๆ แต่รั่วอวี๋ตอนนี้นิสัยเหมือนเด็ก กลัวที่สุดคือถูกคนสอนให้เสียคน ถ้าคุณหนูใหญ่บอกว่าการแต่งงานไม่ดี นางย่อมกลัวมาก ขอคุณหนูใหญ่ช่วยเสียสละเวลาชี้นำทางรั่วอวี๋อย่างถูกต้องด้วย”
หลี่รั่วฮุ่ยในตอนนี้สงบสติลงได้แล้ว รู้ว่าเมื่อครู่นางทำให้ซือหม่าผู้นี้โกรธ ฟังจากคำพูดของท่านแม่ก่อนหน้านี้ว่า ซือหม่าผู้นี้แม้จะมีฐานะสูงส่ง แต่กลับไม่วางอำนาจ ใกล้ชิดได้ง่ายมาก
ทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว เหมือนที่ท่านแม่พูดเสียที่ไหนกัน แปดส่วนคือก่อนหน้านี้แสร้งทำเป็นโอนอ่อนนอบน้อม พี่น้องสองคนนี้ คนหนึ่งเล่นเป็นตัวร้าย อีกคนเล่นเป็นตัวดี กล่อมจนท่านแม่ยอมรับปากเรื่องการแต่งงาน แล้วรั้งตัวหลี่รั่วอวี๋ไว้ในเขตพื้นที่ของเขา ตอนนี้ทุกอย่างเกือบเสร็จสิ้นก็เริ่มคืนร่างเดิมแล้วกระมัง
คนเย่อหยิ่งเช่นนี้ และยังมีฐานะสูงมีอำนาจมาก จะยอมให้ผู้ใดล่วงเกินได้อย่างไร
แต่ต่อให้ในใจนางมีความไม่พอใจมากเพียงใด ภายหน้าน้องสาวก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนของเขา เมื่อครู่ท่าทีของนางขาดการใคร่ครวญไปจริงๆ ปากของนางมักจะล่วงเกินผู้อื่นโดยขาดเหตุผลเสมอ คิดถึงตรงนี้หลี่รั่วฮุ่ยก็สูดหายใจลึก ก้มหน้าย่อคำนับแล้วพูดว่า “เพราะเป็นห่วงน้องสาว ท่าทีเมื่อครู่จึงล่วงเกินไป ขอซือหม่าอภัยด้วย”
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นหลี่รั่วฮุ่ยเปลี่ยนท่าทีจึงมีน้ำเสียงอ่อนลง “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณหนูใหญ่เกรงใจไปแล้ว ได้ยินว่านายกองหลิวถูกย้ายไปชายแดนทางเหนือ ข้าสั่งให้คนดูแลเขาให้ดี ให้เขาเฝ้าประจำที่เมืองโม่เหอ ต้องรบกวนคุณหนูใหญ่เดินทางตามไปทางเหนือเช่นกัน ข้าได้สั่งให้คนเตรียมคฤหาสน์ไว้แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าคิดถึงรั่วอวี๋ ก็มาพักที่จวนซือหม่าได้ทุกเมื่อ”
ฟังดูสิ ตบหน้าแล้วยื่นพุทราให้เช่นนี้ทำได้อย่างสมเหตุสมผลมาก!
หลี่รั่วฮุ่ยฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจบ้าง แต่ก็เกิดความคิดหนึ่งในใจ ลอบคิดว่าเหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ ช่วงที่หลิวจ้งถูกย้ายไปชายแดนทางเหนือ คำนวณดูแล้วคำสั่งย้ายคือตอนที่หลี่รั่วอวี๋ยังไม่ล้มเลิกการแต่งงาน หากซือหม่าผู้นี้เป็นคนลงมือจริง แม้แต่เรื่องส่วนตัวภายในคฤหาสน์ของนาง เขาก็ดูเหมือนจะรู้อย่างละเอียด เช่นนั้นมิเท่ากับเขามีใจกับน้องสาวมานานแล้วหรือไร เช่นนั้นแปลว่าแม้เสิ่นหรูป๋อจะไม่สร้างเรื่องฉาวกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ เกรงว่าน้องรองคงยากจะหลุดออกจากฝ่ามือของซือหม่าผู้นี้ไปได้กระมัง
มีบางเรื่อง ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว… หลี่รั่วฮุ่ยเหลือบตาขึ้นมองไปทางซือหม่าสีหน้าไร้ความรู้สึกผู้นี้อีกครั้ง ทำให้นางที่มีความกล้ามาโดยตลอดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นมาบ้าง
หลังจากขอบคุณฉู่จิ้งเฟิงแล้ว หลี่รั่วฮุ่ยทำได้เพียงรวบรวมสมาธิไปดูแลเรื่องใบสินสอดที่ได้รับมา
ฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้เรื่องเงินทองไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย ไม่เพียงจ่ายค่าสินค้าให้กับร้านค้าของสกุลหลี่ แต่ให้การดูแลไปถึงเรื่องใต้เท้าหลิวกรมโยธา ผ่อนกำหนดการใช้เงินก้อนนั้น สกุลหลี่ในตอนนี้เพียงแค่หมุนเงินสดไม่ทัน รอผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปแล้ว ย่อมมีเงินมาชดเชยเงินกรมโยธาในส่วนที่ขาดไปได้ นางในฐานะคนสกุลหลี่ย่อมรู้จักสำนึกบุญคุณ แม้ฉู่จิ้งเฟิงจะอาศัยสิ่งนี้มาบังคับแต่งงานกับน้องสาว แต่อย่างไรเสียก็ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้สกุลหลี่ ดังนั้นหน้าตาน้องเขยสูงศักดิ์ผู้นี้จะทำลายไม่ได้
เห็นหลี่รั่วฮุ่ยไปที่ลานด้านหน้าแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงลุกขึ้นเดินไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งซ่อมแซมใหม่ได้ไม่นาน ดังนั้นในสวนดอกไม้ด้านหลังจึงยังมีทรายกองอยู่จำนวนหนึ่ง เดิมทีจะขนออกไป แต่หลังจากหลี่รั่วอวี๋มาก็เล่นทรายเหล่านั้นจนติด ดังนั้นหลี่รั่วฮุ่ยจึงให้คนงานกองทรายไว้ที่นั่น อย่างไรเสียทรายนุ่มๆ ก็ดีกว่าไปข้ามกำแพงหรือปีนต้นไม้
และตอนนี้สาวน้อยผู้นี้กำลังเปลือยเท้าคู่งามอยู่ใต้แสงแดด แกว่งรองเท้าไม้เบาๆ นั่งหมดสภาพอยู่กลางผืนทรายนุ่มๆ
เจียงหนานมีฝนมาก หญิงสาวท้องถิ่นไม่เหมือนหญิงสาวแถบจงหยวนที่จะหุ้มเท้าแน่นจนเลือดลมไม่ไหลเวียน สะพานหินบนเรือมักจะมีหญิงสาวสวมถุงเท้าผ้ารองเท้าไม้ เดินส่งเสียงต๊อกแต๊กท่ามกลางสายฝนพรำ ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ หากทันฤดูฝนตกหนัก หญิงสาวทำงานหนักบางคนจะไม่สวมถุงเท้าผ้า สวมแต่รองเท้าไม้ แต่ด้วยเหตุนี้ ขาจะถูกแดดเผาจนดำกร้าน ไม่นุ่มนิ่มน่ามอง
น้องชายที่ชื่นชมความงามมาจนชินพูดอย่างไม่เสียดายว่า ‘ปลากับอุ้งตีนหมีไม่อาจครอบครองได้พร้อมกัน ธรรมเนียมการสวมเกือกไม้แม้จะดี แต่ทำร้ายเท้ามากที่สุด เท้างามของคนงามถูกเสียดสีจนด้านเสียรสชาติในการชื่นชมไปหมด’
แต่ในใจฉู่จิ้งเฟิงกลับสบถเยาะหยันคำพูดนี้ เพราะเท้างามที่สุดที่เขาเคยเห็นมาก็สวมอยู่ในรองเท้าไม้
เขาย่อตัวลง กุมข้อเท้าที่เล่นทรายของสาวน้อยไว้เบาๆ
จำได้ว่าตอนที่ได้พบนางครั้งแรก คนงามในชุดชายหนุ่มสวมชุดยาวสีดำนั่งอยู่ที่หัวเรือ ผมดำขลับสยายไปตามสายลม เท้าน้อยสวมรองเท้าไม้คู่หนึ่งเคาะพื้นเรือเป็นจังหวะ ปลายเท้าคู่นั้นยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วเท้างดงามเปลือยอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ยกไหสุราเล็กๆ ไหหนึ่งขึ้นดื่มกับคนงานบนเรือที่เพิ่งเสี่ยงอันตรายกลับมาอย่างสนุกสนาน
ทั้งที่เป็นหญิงอ่อนแอ ดูไม่เรียบร้อยแต่ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ท่าทีองอาจงามสง่าแบบนั้นราวกับบัณฑิตเลื่องชื่อตรงไปตรงมาไม่ธรรมดา ทำให้เขาเลื่อนสายตาหนีไม่ได้…
และตอนนี้สาวน้อยที่เคยมีดวงตาสดใส ผิวสีแทนรวมถึงความฉลาดกล้าแกร่งผู้นั้นได้จางหายไป กลายเป็นเหมือนขนมข้าวเหนียวขาวนุ่มก้อนหนึ่ง ที่ปล่อยให้ผู้อื่นเด็ดดมโดยไม่มีการป้องกันเลย…
สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือดวงตาโตคู่นั้น ดวงตาโตคู่นั้นที่ไม่เคยมีเงาของเขาอยู่ในนั้นเลย!
คำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูใหญ่หลี่ ‘ด้วยนิสัยน้องข้าตอนที่ยังเป็นปกติ คงไม่เหมาะจะแต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์’ บีบหัวใจของฉู่จิ้งเฟิงจนเจ็บเหลือเกิน
เขาฟังออกถึงคำพูดที่คุณหนูใหญ่หลี่ยังพูดไม่จบ… น้องรองของนางที่มีอิสระจนชินหากไม่สมองเสื่อม ไม่มีทางเห็นพวกอ๋องโหวอย่างเขาอยู่ในสายตาเด็ดขาด…
พอคิดเช่นนี้ มือของเขาที่กุมข้อเท้าของนางก็ออกแรงบีบ ทำให้สาวน้อยพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “เจ็บ…”
ฉู่จิ้งเฟิงสงบสติแล้วคลายมือออก สายตามองไปที่กองทรายข้างกายแล้วถามว่า “รั่วอวี๋ทำอะไรอยู่หรือ”
หลี่รั่วอวี๋ก้มหน้าลงไม่มองเขา มือตบๆ กองทรายที่เบื้องหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงคิดว่านางจะไม่ตอบคำถามแล้วนางจึงพูดอย่างอึดอัดว่า “สร้างบ้าน…ให้ท่านแม่อยู่”
ท่านแม่บอกว่าหากนางแต่งงานแล้ว นางก็จะอยู่กับท่านแม่ไม่ได้ สาเหตุคงเพราะห้องไม่พอ หากสร้างบ้าน ท่านแม่ก็ไม่จากไปแล้วใช่หรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ นางจึงอยากสร้างบ้าน มองการกระทำที่ดูงุ่มง่ามของนาง หัวใจส่วนที่แข็งกร้าวก็อ่อนลงบ้าง “สร้างบ้านจะยากอะไร ถ้ารั่วอวี๋ชอบ สร้างเมืองให้เจ้าสักเมืองก็ยังได้”
ขณะที่พูด เขาก็เลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนกำยำ นั่งลงแล้วเริ่มขุดทรายก่อกำแพง
หลี่รั่วอวี๋เบิกตากลมโตมองดูมือใหญ่ของชายหนุ่มพลิกไปมาไม่หยุด ไม่นาน ปราสาททรายขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ เป็นรูปร่าง
หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะออกไปตรวจของที่โถงด้านหน้า แต่ในใจยังคงไม่วางใจในตัวน้องสาว ทว่าตอนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของเขา หากเขาไม่รักษามารยาท สกุลหลี่จะทำอะไรได้เล่า
การแต่งงานที่ต้องปีนอำนาจวาสนา ล้วนต้องรับความเสี่ยงอย่างมาก ก่อนหน้านี้สกุลหลี่กับสกุลเสิ่นเป็นดองกัน ยังพอนับได้ว่าเหมาะสม อย่างไรเสียสกุลเสิ่นแม้จะมีชื่อเสียงแต่ครอบครัวนั้นก็ต้องการเงินของสกุลหลี่มาคอยเกื้อหนุน
ทว่าสกุลฉู่เป็นถึงครอบครัวอ๋องโหวอันดับหนึ่ง มองดูข้าวของสินสอดตรงหน้า เฉพาะเรื่องเงินก็มีมากกว่าสกุลหลี่ที่เป็นพ่อค้ามาหลายรุ่น ชายหนุ่มที่มีเงินและมีอำนาจ ทำอะไรก็ได้ตามใจ ทั้งสองสกุลแตกต่างกันมาก ตอนน้องสาวเสียเปรียบ ทางบ้านก็ไม่อาจพูดจาสนับสนุนได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้น้องสาวมีสภาพเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
เทียบจำนวนอย่างใจลอยไปรอบหนึ่ง แล้วจึงสั่งให้บ่าวไพร่เอาของจำนวนหนึ่งไปวางไว้ที่โถงด้านหน้าและในห้องของหลี่รั่วอวี๋ นางจึงได้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้เล็กอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าลานบ้าน นางก็ได้ยินน้องสาวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หลี่รั่วฮุ่ยจึงมองลอดหน้าต่างฉลุบนกำแพง ก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงกำลังเล่นทรายอยู่กับหลี่รั่วอวี๋!
ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะมีผมขาวใบหน้าเย็นชา แต่การเล่นแบบเด็กๆ เช่นนี้ดูเหมือนจะทำได้ดีมาก ตัวเมือง อาคาร ประตู รวมถึงตลาดไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว ทั้งยังขุดคูเมืองไว้รอบนอกเมืองอีกด้วย
ตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงกำลังถือกาน้ำที่ใช้รดน้ำต้นไม้ในลานบ้าน เติมน้ำใส่ในร่องน้ำเล็กนั้นอย่างช้าๆ ไม่นานน้ำในคูน้ำก็เพิ่มขึ้น สาวน้อยด้านข้างทนรอไม่ไหววางเรือกระดาษลงใน ‘คูน้ำ’ นั้น
เมืองนี้สร้างได้สวยมาก หลี่รั่วอวี๋อิจฉามากที่มือของเขาคล่องแคล่วแบบนี้ ไม่เหมือนตนเองที่มักจะมือสั่น ทำทรายกระจายเต็มไปทั่ว
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็เกิดความชื่นชมขึ้นทันที ร่างนั้นค่อยๆ ขยับเข้าใกล้แขนกำยำของชายหนุ่ม จากนั้นก็ทำเหมือนแมวน้อย ใช้แก้มนุ่มนิ่มถูไถแขนของเขาที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อพลางเอ่ย “พี่ฉู่…”
ขนอ่อนนุ่มบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มคันในหัวใจ มือของชายหนุ่มหยุดลงทันใด เพราะบนมือมีทรายติด ไม่อาจไปกอดสาวน้อยที่ออดอ้อนนี้ได้ จึงใช้แขนถูไถแก้มของนาง เอ่ยพูดเสียงอ่อนโยน ไม่เหลือความเยือกเย็นตอนที่อยู่ในโถงรับแขกเมื่อครู่เลย “รั่วอวี๋เด็กดี อย่านอนหมอบบนกองทราย ตามข้าไปล้างมือ ข้าเอาแป้งม้วนกรอบมาให้เจ้าด้วย…”
ตอนที่หลี่รั่วอวี๋เผยรอยยิ้มสดใสออกมา ในดวงตาสงบนิ่งของชายหนุ่มก็เหมือนจะมีรอยยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน ไม่รู้ด้วยเหตุใด เห็นภาพนี้แล้วหัวใจหลี่รั่วฮุ่ยกลับสงบลง น้องสาวเป็นคนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนฉลาดเฉลียวถูกใจคน ตอนนี้แม้จะสมองเสื่อมก็ยังอ่อนหวานน่ารักเหมือนเดิม อย่างน้อยๆ ภายหน้าถึงฉู่จิ้งเฟิงจะรับอนุ น้องสาวที่เหมือนเด็กเล็กคงไม่เกิดความอิจฉาอย่างเด็ดขาด คงไม่เหมือนนางที่อารมณ์ร้อนทำให้สามีโกรธจนมีปากเสียงกันมากมายหลายครั้ง
คิดถึงตรงนี้หลี่รั่วฮุ่ยก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง เพื่อน้องสาว และเพื่อตัวนางเอง…
‘คุณหนูรองสกุลหลี่จะแต่งงานกับฉู่จิ้งเฟิงซือหม่าแห่งต้าฉู่แล้ว’ ข่าวนี้ดังระเบิดในเมืองเหลียวเฉิงทันที หลายวันนี้สิ่งที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดก็คือ ‘คนโง่เขลามีวาสนาของคนโง่เขลา!’
เดิมทีตกม้าจนสมองเสื่อม และยกเลิกการแต่งงานกับสกุลเสิ่น นั่นเท่ากับว่าหญิงผู้นี้หาคู่ครองได้ยากแล้ว ผู้ใดเลยจะคิดว่ากลับได้แต่งงานดีอย่างที่คิดไม่ถึง
เมืองเหลียวเฉิงเป็นสถานที่เล็กๆ เอกลักษณ์ของสถานที่เล็กๆ ก็คือทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูแลใบรายชื่อแขกเหรื่อ ทันใดนั้นก็พบว่าคนที่ต้องเชิญมีจำนวนมากเหลือเกิน หากไปที่เมืองซูเฉิงพร้อมกันหมด นั่งรถไม่สะดวกไม่ว่า แต่เกรงว่าคงจะเบียดเสียดจนจวนกลางสวนอันวิจิตรของท่านหญิงไหวอินระเบิดแน่นอน จวนของอ๋องโหวระดับนั้น ใช่ว่าจะให้ชาวบ้านทั่วไปเข้าออกตามใจชอบได้ ไม่เหมาะสมจริงๆ!
ตามความคิดของนาง จะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่เมืองเหลียวเฉิงก่อน นี่ก็เป็นขั้นตอนพิธีการจัดงานของตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวเฉิง ดังนั้นนางจึงวางแผนตั้งแท่นแสดงละครที่หน้าศาลบรรพชนสกุลหลี่ แล้วตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงแปดสิบแปดโต๊ะ ใช้เสียงอ่านเป็นมงคล เชิญคนมาร่วมดื่มกินกันเจ็ดแปดรอบก็คงพอสมควรแล้ว
สกุลหลี่ไม่มีญาติที่สูงศักดิ์อะไร ชาวเมืองระดับนี้จะไปดื่มสุรามงคลที่คฤหาสน์สกุลฉู่ได้อย่างไร! หากรู้ว่าตอนที่เจรจาเรื่องการแต่งงานกับคฤหาสน์สกุลเสิ่น ทางฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นเสนอว่าให้สองสกุลจัดโต๊ะเลี้ยงกันเอง เพราะญาติของสกุลเสิ่นส่วนมากเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนสกุลหลี่มีญาติส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า ต้องรักษาหน้าตาซึ่งกันและกันไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ในตอนนั้นแม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง จะปล่อยให้เป็นเพราะญาติของตนเองไม่มีตำแหน่งหน้าตาใดทำให้บุตรสาวถูกหัวเราะเยาะไม่ได้ ดังนั้นจึงตกปากรับคำ
สำหรับตอนนี้ แม้จะคิดก็ยังไม่กล้าคิด ตอนนั้นพยานที่เขียนหนังสือหมั้นหมายล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก ถึงตอนเข้าพิธี คงมีขุนนางมีอำนาจมากมายมารวมตัวกันไม่ใช่หรือ
แต่พ่อบ้านที่ฉู่จิ้งเฟิงส่งมาแจ้งว่า การแต่งงานของสกุลหลี่เป็นเรื่องมงคล คุณหนูรองต้องปรารถนาจะให้คนทางบ้านร่วมยินดีไปกับนาง จะให้สกุลหลี่จ่ายเงินจัดโต๊ะเลี้ยงเพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร ซือหม่าได้ปรึกษากับท่านหญิงแล้ว จะเปิดลานด้านนอกของจวนกลางสวน แล้วตั้งแท่นแสดงละคร เชิญนักแสดงมีชื่อเสียงจากเมืองหลวงมาร้องบทละครสามวันสามคืน
สำหรับรถม้าที่มารับส่งแขกก็ให้ซือหม่าเป็นผู้รับผิดชอบ รับหน้าที่ทั้งรับและส่ง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพียงแค่เตรียมเทียบเชิญเท่านั้นก็พอ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พิถีพิถันในเรื่องพิธีรีตอง เดิมคิดว่าเอื้อมสูงไปคว้าสกุลฉู่จึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับแสดงความเป็นเขยที่ดี รักษาหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทุกอย่าง เช่นนี้จะไม่ให้นางเกิดความรู้สึกตื้นตันได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกสบายใจขึ้น จึงคิดว่าควรจะใจกว้างสักนิด แม้โจวอี๋เหนียงจะย้ายออกไปแล้ว แต่เรื่องใหญ่ที่ตนเองจะแต่งบุตรสาวคงต้องเชิญมาร่วมงานด้วย ดังนั้นนางจึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมเทียบเชิญเขียนตัวอักษรสีทองส่งให้สกุลเสิ่นสองชุด ชุดหนึ่งให้โจวอี๋เหนียง อีกชุดหนึ่งให้แก่เสิ่นหรูป๋อ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดกลั้นอารมณ์ในใจ การกระทำของสกุลเสิ่นเลวร้ายอย่างมาก วางแผนทำร้ายบุตรสาวนางอยู่ตลอด ตอนนี้แม้ซือหม่าตำแหน่งสูงอำนาจมากผู้นี้จะไม่ใช่เขยที่ดีในใจนาง แต่ด้วยฐานะและองค์ประกอบทุกอย่างล้วนอยู่เหนือสกุลเสิ่นทั้งสิ้น
สกุลเสิ่นของเขามีความคิดหยาบช้าจะให้พี่น้องแต่งงานพร้อมกัน! คิดว่าหลี่รั่วอวี๋จะไม่มีการแต่งงานที่ดีอย่างนั้นหรือ นางต้องให้เสิ่นหรูป๋อเห็นว่าหลี่รั่วอวี๋ของนางเขาจะคู่ควรได้หรือ และต้องให้โจวอี๋เหนียงเห็นว่า เขยของอีกฝ่ายเป็นของเสียที่บุตรสาวตนเองไม่ต้องการและเหลือทิ้งให้!
นับจากตอนที่เสิ่นหรูป๋อได้รับเทียบเชิญก็ขังตนเองไว้ในห้องหนังสือ
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาย่อมรู้ดีว่าตนเองลงทุนเสียเปล่าและอุ้มสมให้คนอื่นเสียแล้ว แค้นก็ตรงที่ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เลยว่ามีเสือร้ายเช่นนี้ลอบหมายปองหลี่รั่วอวี๋ของเขาอยู่ หากรู้เช่นนี้แต่แรก…แม้จะต้องทุ่มเททุกอย่าง เขาก็จะแต่งหลี่รั่วอวี๋เข้าบ้านมาก่อน
เสิ่นหรูป๋อลอบบีบมือ พยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลง งานเลี้ยงมงคลสมรสครั้งนี้เขาไม่ไปไม่ได้
เพราะวันมงคลใหญ่ของซือหม่า พระมาตุลาไป๋ก็ส่งไป๋ฉวนจงบุตรชายของเขามาแสดงความยินดี ได้ยินว่าไป๋ฉวนจงยังพามือดีในเรื่องกลไกมาด้วยผู้หนึ่ง ถึงตอนนั้นจะมาร่วมแก้ไขการต่อเรือรบกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ และพิสูจน์ว่าวิชาการต่อเรือของนางเชื่อถือได้หรือไม่
ตัวเขาใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ขุนนางใหญ่น้อยในราชสำนักมีมากราวมด หากคิดจะโดดเด่นให้เร็วขึ้น ต้องหาที่พึ่งที่มั่นคง นี่เป็นโอกาสในการดึงคนที่ดีมาก…
ใบหน้าเหยเกของเสิ่นหรูป๋อในตอนนี้ดูแล้วน่ากลัวมาก เขารู้สึกว่าความปรารถนาที่จะปีนขึ้นตำแหน่งสูงของเขามีเพิ่มมากขึ้น มีเพียงการได้เป็นคนเหนือคนจึงจะกุมอำนาจได้ตามใจปรารถนา ถึงตอนนั้น…ถึงแม้หลี่รั่วอวี๋จะเป็นภรรยาคนอื่นแล้วอย่างไร เขาเสิ่นหรูป๋อขอสาบานว่า ต้องมีสักวันจะให้ซือหม่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นยกหลี่รั่วอวี๋คืนให้แก่เขา!
ในวันทำพิธี ไก่ยังไม่ทันขัน คนส่วนใหญ่ในเมืองเหลียวเฉิงก็พากันจุดตะเกียงส่องสว่าง จัดเตรียมเสื้อผ้า ทาน้ำมันผม เตรียมพร้อมจะไปร่วมงานเลี้ยง
สองวันก่อน ดอกไม้แซมผมและปิ่นปักผมในร้านขายของล้วนถูกซื้อไปหมดจนของขาด อย่างไรเสียสามารถเข้าไปในจวนกลางสวนของอ๋องโหวได้ ชาตินี้คงจะมีเพียงครั้งเดียว ย่อมต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดีที่สุด
และด้วยสกุลหลี่ไปพูดเจรจากับทหารเฝ้าประตูเมืองไว้ ประตูเมืองจึงเปิดออกตั้งแต่เช้า รถม้าพากันเคลื่อนออกนอกเมือง ตลอดทั้งวันฝุ่นผงบนทางหลวงจากเมืองเหลียวเฉิงไปเมืองซูเฉิงฟุ้งตลบอยู่ตลอด
หลี่รั่วอวี๋ในฐานะเจ้าสาวก็ถูกดึงตัวขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เตรียมเปิดหน้า ทำผม
แต่ขั้นตอนการเปิดหน้านี้ทำได้ยาก หลี่รั่วอวี๋ทนความเจ็บไม่ได้แม้แต่น้อย เส้นด้ายนั้นพอมาติดที่หน้า นางก็รีบปฏิเสธ ร้องไห้ตะโกนจะหาท่านแม่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับหลี่รั่วฮุ่ยดูอยู่ด้านข้างจึงพูดกับสี่เหนียง ว่า “ส่วนหน้าไม่ต้องเปิดแล้ว ทาแป้งบางๆ ก็พอ”
โชคดีที่หลี่รั่วอวี๋มีพื้นฐานผิวที่ดี บนผิวขาวใสมีขนอ่อนไม่มากราวกับไข่ไก่ที่ปอกเปลือก ดังนั้นเพียงแค่ลงแป้งบางๆ ก็ดูมีผิวพรรณดี หลังจากแต่งแต้มขี้ผึ้งน้ำกุหลาบ นางก็ดูสดใสขึ้นในทันที
หลี่รั่วฮุ่ยรู้ว่าตอนนี้น้องสาวชอบความสบาย จึงไม่กล้าหวีแต่งผมที่หนักจนเกินไป บนหัวก็สวมเครื่องประดับที่เบา ไม่สวมเครื่องทองเครื่องเงินตามประเพณีของเจ้าสาว
สี่เหนียงผู้นี้ก็มักจะแต่งตัวให้กับเจ้าสาวของขุนนางชั้นสูง ตามหลักแล้วเคยเห็นสาวงามมาไม่น้อย แต่คนที่ซือหม่าจะแต่งงานด้วยในวันนี้เป็นนางฟ้าที่เห็นได้น้อยมากจริงๆ แค่เรื่องรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งแล้ว มิน่าเล่าซือหม่าจึงไม่ใส่ใจกับชาติกำเนิดครอบครัวพ่อค้าอันต่ำต้อยของนาง
ทว่าเจ้าสาวผู้นี้ดูโง่ทึ่มไปบ้าง กิริยาท่าทางเหมือนเด็กเล็ก แม้ดูแล้วทำให้คนอดใจไม่ได้ที่จะรักใคร่ แต่ให้ความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่พูดไม่ถูก
สี่เหนียงเป็นยอดฝีมือในการหวีผมแต่งหน้าที่เชิญมาจากเมืองหลวง แม้จะไม่รู้เบื้องลึกของเจ้าสาวผู้นี้ ทว่าไม่กล้าไปคิดว่าคนที่ซือหม่าแต่งด้วยจะเป็นคนสมองเสื่อม แต่คิดว่าเป็นบุตรสาวที่ทางบ้านเลี้ยงอย่างดี อายุยังน้อยจึงมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง ตอนที่รัดเอวให้อีกฝ่าย หลี่รั่วอวี๋โอดครวญว่ารัดเอวแน่นเกินไป กำลังจะบิดเอวไม่ยอม นางจึงพูดกึ่งล้อเล่นว่า “คุณหนูรอง ถ้าความลำบากแค่นี้ยังทนไม่ไหว ภายหน้าคลอดลูกจะทนผ่านพ้นไปได้อย่างไร เอวนี้รัดให้แน่นจึงจะน่าดู สูดลมหายใจนิดนึงนะเจ้าคะ”
หลี่รั่วฮุ่ยฟังแล้วก็ทุกข์ใจ พูดตามจริง นางก็กังวลว่าคืนนี้น้องสาวจะผ่านคืนแต่งงานวันแรกไปได้อย่างไร ย้อนคิดถึงตนเองในอดีต สามีเป็นคนฝึกวรยุทธ์เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว กอปรกับอายุยังน้อย ยามอยู่บนเตียงราวกับหมาป่าหรือเสือร้าย เช้าวันรุ่งขึ้น นางแทบจะลุกขึ้นมายกน้ำชาให้แม่สามีไม่ไหวเลย
ซือหม่าผู้นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูรูปร่างแล้วแข็งแรงกำยำกว่าสามีนางมาก น้องสาวในตอนนี้ไม่รู้อะไร เรื่องอย่างว่าย่อมไม่อาจถ่ายทอดได้ ทว่าวันนี้นางที่โง่ทึ่มเหมือนเด็กเล็กต้องไปร่วมหอคืนแรกกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีแรงราวหมาป่าราวเสือร้าย ต้องถูกชายหนุ่มทำให้ตกใจแน่นอน เช่นนี้จะไม่ให้ตนเองเป็นห่วงได้อย่างไร
น่าเสียดายที่ต่อให้ไม่วางใจก็จนปัญญา นี่เป็นเคราะห์ที่น้องสาวต้องรับ หวังเพียงว่าซือหม่าผู้นั้นจะสงสารน้องสาว ออมมือไว้บ้าง อย่าใจร้อนมากเกินไป…
ตลอดทั้งวันนี้หลี่รั่วอวี๋ผ่านมาอย่างงุนงง ท่านแม่กับพี่สาวกำชับว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของนาง ผ้าแดงคลุมหน้าบนหัวห้ามดึงออกมาเอง ทั้งยังต้องเป็นเด็กดีให้คนประคองคำนับดื่มสุรา จากนั้นก็ถูกส่งตัวเข้ามาในห้องหนึ่งและนั่งอยู่บนเตียงใหญ่อันอ่อนนุ่ม
นางเชื่อฟังคำมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกส่งไปบนเตียงใหญ่ รอจนในห้องไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใด นางจึงแอบเปิดผ้าคลุมหน้า เห็นเพียงภายในห้องนี้ทุกที่ล้วนเป็นสีแดง งดงามอย่างมาก บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารวางเต็มโต๊ะ หลี่รั่วอวี๋รู้สึกหิวบ้างแล้ว แต่เมื่อครู่มีคนกำชับว่าห้ามลงจากเตียงเอง นางจึงจำต้องนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
นางหยิบถั่วลิสงที่อยู่บนเตียงขึ้นมาแกะเปลือกกิน พุทราเม็ดโตที่อยู่ใกล้ๆ นั้นก็รสชาติไม่เลว กินไปสักครู่เริ่มรู้สึกเหนื่อย จึงพลิกตัวล้มลงบนเตียงสีแดงกอดหมอนปักลายดอกไม้ที่อยู่ด้านข้างนอนหลับไป
ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าใด ท่ามกลางความง่วงรู้สึกเหมือนมีคนลูบหน้านางอยู่
หลี่รั่วอวี๋สะลึมสะลือลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็น ‘พี่ฉู่’ เขาสวมชุดแดงทั้งตัวเช่นกัน กำลังนั่งอยู่ขอบเตียงมองหน้านาง มีกลิ่นสุราจางๆ ลอยมาจากตัวเขา
หลี่รั่วอวี๋หลับตาลง พลิกตัวด้วยความสบายตัว ถูไถฝ่ามือใหญ่ของเขา เตรียมตัวจะนอนต่ออีกสักครู่ แต่มือใหญ่นั่นหลังจากปัดเปลือกถั่วลิสงบนตัวนางออกแล้วกลับค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ เริ่มมาปลดแถบรัดเสื้อของนาง
หลี่รั่วอวี๋นึกถึงคำพูดของท่านแม่จึงตื่นเต้นจนหลับตาลงทันที รวบเสื้อของตนเองไว้แน่น “อย่าถอดเสื้อผ้าของรั่วอวี๋”
ฉู่จิ้งเฟิงฟังคำพูดติดสำเนียงเด็กของนางแล้วก็อมยิ้ม จากนั้นช้อนอุ้มนางขึ้นมาและเดินมาที่ข้างโต๊ะ ยื่นจอกสุราเล็กๆ จอกหนึ่งให้นาง ก่อนจะใช้แขนคล้องกับแขนของนางพลางพูดว่า “เด็กดี ดื่มสุรานี้เสีย”
หลี่รั่วอวี๋นอนหลับจนกระหายน้ำพอดี ได้ฟังคำพูดนี้แล้วจึงดื่มสุราจนหมดจอก รสชาติของสุรานั้นหวาน มีกลิ่นผลอิงเถา หลี่รั่วอวี๋เหมือนรู้สึกติดใจ ยังอยากจะดื่มอีก ฉู่จิ้งเฟิงจึงเทให้นางจนเต็มจอก
หลังจากดื่มไปสามจอก หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด แขนขาจึงเริ่มอ่อนแรง
ฉู่จิ้งเฟิงคิดถึงเมื่อก่อนเคยเห็นหญิงผู้นี้ตั้งท่าอย่างดีดื่มสุราอยู่บนเรือ แต่มาคราวนี้กลับดูเป็นคนคออ่อนก็หัวเราะเบาๆ ออกมาหลายที ก่อนจะยื่นมือไปถอดชุดแต่งงานสีแดงของนางออก เหลือเพียงบังทรงสีแดงเพียงชิ้นเดียว อยู่ภายใต้แสงเทียน ขับผิวของสาวน้อยให้ยิ่งขาวนวลเนียน
แม้ร่างจะอ่อนระทวย แต่หลี่รั่วอวี๋ยังคงไม่ลืมคำกำชับข้างหูของมารดาจึงยื่นมือไปกระชากผมที่หลุดออกจากที่ครอบผมของเขา
เส้นผมนั้นนุ่มลื่นมาก ขยับเล่นไม่กี่ทีก็ไหลหลุดจากปลายนิ้ว หลี่รั่วอวี๋อดใจไม่ไหวอยากจะนั่งยืดตัว จะได้สอดนิ้วไปในไรผมหนาของเขา เล่นผมสีขาวเงินของเขาได้อย่างถนัดมือมากขึ้น
ชายหนุ่มดึงตัวนางขึ้นมากอดไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้นางเล่นผมของเขา ในตอนที่ได้กลิ่นนมจางๆ จากตัวนางก็รู้สึกว่าสุรารสเลิศที่ดื่มไปเมื่อครู่ผุดออกมาจากทุกรูขุมขน
หญิงโง่ผู้นี้จะต้องดื่มนมแพะที่ผสมผงเหอเถาหนึ่งถ้วยทุกวัน นี่เป็นสูตรพื้นบ้านในการบำรุงสมองที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไปค้นหามา ช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองซูเฉิงก็ดื่มไม่เคยขาด หลายวันก่อนฉู่จิ้งเฟิงเคยเห็นท่าทางตอนนางดื่มนมแพะ แค่มีนมเล็กน้อยติดก้นถ้วย แต่นางกลับแลบลิ้นออกมาเลียกินทีละนิด นมแพะนั้นติดบนริมฝีปากสีชมพู ก่อนจะถูกนางสูดเข้าปากทีละนิด…
จากนั้นสาวน้อยที่กำลังกินของบำรุงอย่างเบิกบานใจถูกดวงตาที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทำให้ตกใจจนโยนถ้วยทิ้ง…
ในตอนที่รู้สึกว่าเลือดลมทะลักขึ้นมาตรงลำคอแล้ว เขาก็กดหัวนางลงบนแผ่นอกของตนเอง
นางไม่ชอบดวงตาประหลาดของเขา ในค่ำคืนงดงามที่มีแสงเทียนแดงพลิ้วไหว เขาไม่อยากให้นางตกใจ จึงอุ้มตัวนางในท่านี้เดินไปที่เตียง แล้วปลดม่านกั้นลง บังแสงเทียนรางเลือนนั้นเอาไว้ได้
ความอดทนและการวางแผนในช่วงที่ผ่านมานี้สุดท้ายก็หว่านแหจับปลาน้อยน่ากินตัวนี้ไว้ได้ ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาลงคิดว่า…นมแพะนั่นไม่ได้กินเสียเปล่าเลย บำรุงไปถึงก้อนเนื้อสองก้อนที่รัดแน่นนูนคับอยู่ใต้บังทรงอีกด้วย
คงเป็นเพราะเสื้อผ้าถูกเขาถอดออก นางรู้สึกไม่คุ้นชินทำอะไรไม่ถูก จึงคว้าผ้าห่มมงคลอยากจะเอามาคลุมตัว แต่ผ้าห่มผืนนั้นกลับถูกเขากระชากโยนไปที่ปลายเตียง
หลี่รั่วอวี๋ถูขาไปมาทำอะไรไม่ถูก เล็บเท้าที่ทาสีวาดเป็นรอยไปบนผ้าไหมแดง จากนั้นริมฝีปากแดงของนางที่เม้มแน่นก็ถูกเขาครอบครอง แม้แต่ก้อนนุ่มตรงทรวงอกของนางก็กลายเป็นของเขา
หลี่รั่วอวี๋ราวกับปลาที่ขาดน้ำ ดีดตัวสะบัดขาขัดขืนอยู่บนเตียง แต่ทำอย่างไรก็หลุดจากร่างแข็งแกร่งนี้ไม่ได้ นางรู้สึกว่าคนบนร่างนี้ไม่ใช่พี่ฉู่ที่เล่นทรายกับนางในวันนั้นอีกแล้ว แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีที่มาไม่ชัดเจน เขาพ่นไอร้อนปนกลิ่นสุราจางๆ ไปตามริมฝีปากและซอกคอของนาง ส่วนสองมือแกร่งนั้นก็ลูบคลำนางอย่างไม่เกรงกลัว…
หลี่รั่วอวี๋ร้องครวญอย่างไร้ทางช่วย สุดท้ายเตะผ้าม่านด้านข้างจนแหวกออก แสงวับแวมจากเทียนแดงส่องผ่านเข้ามาทำให้เห็นดวงตาประหลาดของชายหนุ่มคู่นั้น…
นับจากไปหลบฝนที่กระท่อม ในความฝันเห็นดวงตาแดงราวเลือดนั้น หลี่รั่วอวี๋ก็ตกใจตื่นเพราะฝันร้ายต่อกันอยู่หลายวัน ในตอนนี้ด้วยฤทธิ์สุราทำให้สมองที่เดิมก็มีความคิดไม่ค่อยชัดเจนเหลือเพียงความหวาดกลัวที่อยู่ในความฝัน
ในขณะที่ชายตาแดงโน้มตัวลงมาอีกครั้ง จุมพิตรอยแผลเป็นบนสะดือของนางอย่างไม่กลัวเกรง ความหวาดกลัวที่ถูกมีดแทงมาอุดอยู่ที่คอหอยของนาง นางจึงร้องไห้ตะโกนอย่างเจ็บปวดออกมา
เสียงตะโกนสุดเสียงนี้ ในที่สุดก็ทำให้ชายหนุ่มที่จมอยู่ในแรงปรารถนาตกใจได้สติคืนมา ตอนเขาเงยหน้าขึ้นจึงพบว่าใบหน้าของนางราวกับกระดาษขาว นางจ้องตรงมาในดวงตาของเขา ริมฝีปากสั่นเทาที่มีสีชาดหลงเหลืออยู่ดูน่าสงสารยิ่ง
ฉู่จิ้งเฟิงรีบดึงม่านปิดสนิท กำหมัดแน่น พยายามควบคุมเลือดร้อนที่คุกรุ่นในกาย วันนี้ได้อุ้มสาวงามกลับมา กอปรกับดื่มสุราร่วมกับแขกเหรื่อจึงได้ลืมตัวไปชั่วขณะ ลืมไปว่านางในตอนนี้มีความคิดเหมือนเด็ก ต้องใช้ไฟอ่อนตุ๋นช้าๆ เลาะเนื้อกินเข้าท้องทีละนิด เมื่อครู่รีบร้อนเกินไป ท่าทางการเขมือบกินจึงทำให้คนโง่ผู้นี้ตกใจ…
ฉู่จิ้งเฟิงฉายความเสียใจออกมา ถ้าเมื่อครู่มอมสุรามากอีกนิดก็คงดี น่าเสียดายที่เทียนในคืนมงคลนี้ไม่อาจดับมันได้…
ความคิดทุกอย่างในใจเขาสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่เสียงร้องครวญของสาวน้อยผู้นี้
เพราะซือหม่ามีชื่อในเรื่องความเย็นชานิสัยประหลาด แม้จะเป็นวันมงคลคืนแต่งงานก็ไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องใส่ตัวมาป่วนห้องหอ ดังนั้นเรือนที่ใช้เป็นห้องหอโดยเฉพาะจึงเงียบสงบ เสียงดื่มสุรามีความสุขของแขกเหรื่อเหล่านั้นก็ดังมาไม่ถึงในเรือนนี้
แต่ด้วยความสงบเงียบนี้เสียงร้องสะเปะสะปะของหลี่รั่วอวี๋จึงดังไปทั่วทั้งเรือนในทันที เหล่าบ่าวหญิงอาวุโสและนางกำนัลที่เฝ้าเวรในเรือนต่างมองหน้ากัน แม้จะไม่กล้าพูดอะไร แต่บ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่ปรนนิบัติในเรือนชั้นในมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองคือวิธีการของพวกบุรุษชั้นสูงใช้หยอกเย้าทรมานหญิงสาวที่เคยได้ยินได้ฟังมา
เมื่อครู่ตอนพวกนางปรนนิบัติระหว่างดื่มสุรามงคลในงานก็ลอบชำเลืองมอง มองจากรูปลักษณ์ของเจ้าสาว เพราะใบหน้าขนาดเล็ก จึงดูเหมือนสาวน้อยอายุสิบสามสิบสี่ปี ผิวเนียนนุ่มราวกับสามารถรีดน้ำออกมาได้ ดูแววตาไม่รู้จักโลกนั้นแล้ว คงเป็นคุณหนูที่ถูกฟูมฟักไว้อย่างดีในบ้าน
ซือหม่าเอาวิธีการฆ่าคนหักแขนบนสนามรบมาใช้ในห้องหอ ไม่มีความสงสารเจ้าสาวผู้อ่อนแอนี้เลยหรือ ต้องเจ็บถึงเพียงใด จึงได้ร้องจนใจแทบขาดเช่นนี้ออกมาได้
หล่งเซียงที่ติดตามคุณหนูมายิ่งไม่ต้องพูดถึง สองตามีน้ำตาไหลไม่หยุด ร้องอย่างเศร้าใจ “คุณหนูรอง…” หากไม่ใช่บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายมือไวคว้าไว้ นางคงบุกเข้าห้องหอไปโดยไม่สนใจอะไรแล้ว
ฉู่จิ้งเฟิงในยามนี้ตัวเหมือนอยู่สมรภูมิแนวหน้า แต่สองหูถูกเสียงปีศาจนี้กระแทกดังอื้ออึง นึกอยากจะบีบคอนางให้ตายขึ้นมา
โชคดีที่เขาเคยได้สัมผัสประสบการณ์จากการคุมตัวนางที่ที่พักรับรอง… หากหลี่รั่วอวี๋อยากร้องไห้ ต้องให้นางร้องไห้สักพัก รอให้ร้องจนหมดแรงแล้ว ค่อยคิดวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของนาง
ดังนั้นภายใต้เสียงร้องไห้สะเทือนฟ้าดินของนาง ฉู่จิ้งเฟิงจึงพลิกตัวลงจากเตียงอย่างสงบนิ่ง หยิบกาน้ำชาขึ้นมากรอกปากดื่มอย่างรวดเร็วกว่าครึ่งกา แล้วนั่งหลับตาพักสมองอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นเดินไปที่หน้ากระจก ส่องดูเห็นตาของตนเองกลับเป็นปกติแล้ว จึงได้ขมวดคิ้วดึงผ้าขาวที่พาดขอบอ่างทองแดงบนชั้นไม้จันทน์แดงมา ชุบน้ำล้างหน้าที่ผสมสุราผลซิ่งในอ่างทองแดงแล้วบิดแห้ง ก่อนจะเดินมาที่เตียง พลิกเปิดม่าน แล้วดึงตัวคนที่น้ำตานองหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้นางค่อนข้างแรง ปากก็พูดเสียงแข็งว่า “พอแล้ว ร้องไม่กี่ทีก็พอแล้ว ถ้ายังร้องอีกจะโยนเจ้าไปที่ชายป่า…”
หลี่รั่วอวี๋แท้จริงแล้วก็ร้องไปพอสมควรแล้ว ตอนเย็นนางกินเพียงแค่ถั่วลิสงกับพุทราเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลย ตอนนี้เสียงท้องร้องจึงดังขึ้น
ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงดึงตัวนางขึ้นมา นางก็รู้สึกรางๆ ว่าพี่ฉู่ที่เป็นมิตรผู้นั้นกลับมาอีกครั้งแล้ว แต่ในตอนนี้นางหยุดเสียงร้องไห้ไม่ได้ แม้นางจะยังสะอื้นอยู่ ทว่าในใจกำลังตั้งใจคิดว่าอีกครู่จะกินขนมบนโต๊ะนั้นให้หมด
แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับตำหนินางอย่างอารมณ์เสีย ทั้งยังบอกว่าจะโยนนางออกไปด้วย นางจึงเดินพลังไปที่ท้องน้อย แล้วจงใจร้องเสียงดังออกมาอย่างไม่ยอมแพ้อีกครั้ง
น่าเสียดายเสียงร้องของนางนี้ดังออกไปฝุ่นยังไม่ทันตกดินก็ได้ยินเสียงตะโกนโศกเศร้าของหล่งเซียงบ่าวผู้ซื่อสัตย์ดังลอยมาจากนอกเรือน “คุณหนูรอง…” จากนั้นก็เป็นเสียงฉุดกระชากของนางกำนัลและบ่าวหญิงอาวุโส
คราวนี้ทำให้เสียงที่เหลือในลำคอถูกกลืนลงไป นางนึกขึ้นได้รางๆ ว่าท่านแม่กับพี่สาวเคยพูดว่า วันนี้ต้องเชื่อฟังพี่ฉู่ สตรีทุกคนล้วนต้องผ่านด่านนี้ ทนสักนิดก็ผ่านไปแล้ว ถึงแม้นางไม่รู้ว่าท่านแม่จะให้นางทนอะไร แต่เรื่องท้องหิวนี้ทนไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เขาฟ้องท่านแม่ นางจึงพยายามกลั้นสะอื้นและพูดเสียงเบาว่า “รั่วอวี๋จะกิน…ขนมพุทรากวน…”
ฉู่จิ้งเฟิงจ้องนางอย่างเย็นชา แต่ท่าทางเย็นชากลับสลายหายไปกับปลายจมูกแดงๆ ขอบตาแดงๆ ที่น่าสงสารนั้น
“ขนมพุทรากวนหวานเกินไป กินก่อนนอนไม่ดี ให้บ่าวเอาข้าวต้มกับเกี๊ยวมาให้เจ้ากินดีหรือไม่”
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงสดให้นาง แล้วสั่งนางกำนัลยกอาหารเข้ามา ข้าวต้มเม็ดบัวอุ่นอยู่บนเตาถ่าน เกี๊ยวก็เตรียมเอาไว้เพื่อให้คู่สามีภรรยาใหม่ ‘มีลูกเร็วๆ’
หลี่รั่วอวี๋หิวมากจริงๆ นางกินข้าวต้มหมดไปสองชามเล็ก เพราะยังถือตะเกียบไม่คล่อง จึงกินเกี๊ยวไส้หมูผสมกุ้งรสเลิศหนึ่งจานเล็กด้วยความช่วยเหลือของฉู่จิ้งเฟิง
ระหว่างกินเพราะเกิดความรู้สึกผิด จึงตั้งใจเอามือหยิบเกี๊ยวตัวหนึ่งไปที่ปากของพี่ฉู่ที่ดูไม่ค่อยเบิกบานใจ
รอนางกินเสร็จแล้ว เหล่านางกำนัลก็ยกน้ำร้อนเข้ามาเช็ดล้างให้สามีภรรยาคู่ใหม่
ตอนอยู่นอกห้อง เหล่านางกำนัลคิดว่าเจ้าสาวผู้นี้คงถูกซือหม่าลงมือรุนแรงจนลุกไม่ขึ้น แต่พอเข้ามาในห้องกลับพบว่า ฮูหยินน้อยผู้นี้ยังคงสดชื่นมีชีวิตชีวา นั่งกินอยู่ข้างโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข แต่การกินนั้นน่าตกใจอยู่บ้าง เพราะเกี๊ยวน้ำลื่นเกินไปจึงไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือหยิบเสียเลย จากนั้นยังยื่นไปที่ปากของซือหม่าอีกด้วย
การตอบสนองของซือหม่าก็ทำให้เหล่านางกำนัลมองตะลึง เขากินเกี๊ยวจากมือเล็กเปื้อนน้ำมันนั้น ซ้ำยังดูดนิ้วเล็กมันเยิ้มนั้นทีละนิ้วอีก ทำให้ฮูหยินน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก…
รอจนกินเสร็จเข้านอนแล้ว หลี่รั่วอวี๋จึงพบว่าพี่ฉู่ไม่มีทีท่าว่าจะออกไป ทั้งยังจะนอนบนเตียงเดียวกับตนเองอีก
คิดถึงท่าทางของเขาเมื่อครู่ หลี่รั่วอวี๋ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกฉู่จิ้งเฟิงอุ้มขึ้นมาวางลงบนเตียงจนได้
เห็นฉู่จิ้งเฟิงไม่คิดจะถอดเสื้อผ้าบนตัวนางอีก หลี่รั่วอวี๋จึงวางใจลง มุดเข้าไปในผ้าห่ม ไม่นานก็โผล่หน้าออกมาครึ่งหน้า กลอกดวงตาโตแล้วถามว่า “พี่ฉู่ อีกครู่…อีกครู่รั่วอวี๋หลับแล้ว พี่…จะดูดนมรั่วอวี๋อีกหรือไม่”
ภายในความมืดตอนปล่อยม่านลง สามารถได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาวของชายหนุ่มได้ “ไม่แล้ว คนดี รีบนอนเสีย”
“มีเพียงคนเป็นแม่จึงจะสามารถให้นมได้ พี่ฉู่ทำไมไม่…ไม่ไปหาท่านแม่ของตัวเองล่ะ”
“…เพราะท่านแม่ข้าตายไปแล้ว” ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าตนเองคงกลายเป็นเทพเซียนแล้ว จึงสามารถพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างสงบนิ่ง
หลี่รั่วอวี๋ฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจทันที ความโมโหในใจเมื่อครู่หายไปจนสิ้น คิดอย่างเห็นใจว่า ที่แท้พี่ฉู่ไม่มีท่านแม่ มิน่าเล่า…
แต่เมื่อครู่นางถูกดูดเจ็บเหลือเกิน ตอนนี้เสียดสีกับเนื้อผ้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลย ดังนั้นนางจึงจับคอเสื้ออย่างระวังแล้วพูดต่อไปว่า “แต่รั่วอวี๋ตอนนี้ไม่มีน้ำนม วันหน้ามีลูกแล้วจึงจะมี ถึงตอนนั้น…ค่อยให้นมพี่ดีหรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาทั้งคู่ลง มองขึ้นไปด้านบนอย่างตั้งใจพลางพูดเสียงเครียด “หลี่รั่วอวี๋ ถ้าเจ้ายังไม่ยอมนอน อย่ามาโทษว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอีกนะ”
หลี่รั่วอวี๋กลัวฉู่จิ้งเฟิงจะทำอะไรนาง ดังนั้นจึงรีบพลิกตัว เอาผ้าห่มห่อตัวไว้แน่น ขยับห่างจากเขาไกลสักหน่อย จากนั้นก็จมเข้าสู่ความฝันอันแสนหวานอย่างไร้ความกังวล
บทที่หก
วันต่อมา หลี่รั่วอวี๋ตื่นแต่เช้า แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับนอนหลับสนิท ท่าทางเหมือนนอนดึกเกินไป ท่อนแขนเหล็กคู่นั้นราวกับผ้ารัดนางไว้แน่น ทำให้นางลุกขึ้นไม่ได้ จำต้องนอนเล่นนิ้วมือของตนเองแต่โดยดี
จากนั้นก็มาเล่นผมนุ่มลื่นของฉู่จิ้งเฟิง ผ่านไปนานกว่าเขาจะตื่น แต่ยังไม่รีบร้อนลุกขึ้น ต้องกอดนางกินปากเล็กและลิ้นก่อน
ภรรยาใหม่ต้องไปคารวะพ่อแม่สามี หลี่รั่วอวี๋ไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ แต่พี่คนโตก็เปรียบเสมือนมารดา และยังต้องไปยกน้ำชาให้ท่านหญิงไหวอิน
หล่งเซียงตอนเช้าเห็นคุณหนูของตนอยู่ดีมีสุขนั่งดื่มนมแพะอยู่ที่โต๊ะอาหาร หัวใจที่ลอยสูงก็วางลงได้เสียที
หลังเสียงเรียกเศร้าโศกของนางเมื่อคืน นางก็ถูกพ่อบ้านในเรือนกลางสวนตำหนิยกใหญ่ ทว่านางเป็นสาวใช้ติดตามฮูหยินซือหม่ามาจึงไม่ถูกลงโทษหนัก แต่ด้วยหล่งเซียงรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลี่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบในจวนโหว นางคิดพลางหวีผมแต่งหน้าให้คุณหนูอย่างคล่องแคล่ว
เพราะแต่งงานแล้ว จึงไม่อาจหวีผมทรงสาวน้อยได้ หล่งเซียงจึงเกล้าผมสูงให้คุณหนู แล้วคาดแถบผ้าปักไข่มุกทับทิมแดงที่หน้าผากทำให้ดูเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้วขึ้นหลายส่วน
หลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงยาวสีดอกท้อแล้ว หล่งเซียงก็มองสำรวจทั่วตัวอีกฝ่าย
ช่างงดงามจริงๆ ถ้าไม่พูด ผู้ใดก็ดูข้อเสียของคุณหนูไม่ออก
ตอนฉู่จิ้งเฟิงพาหลี่รั่วอวี๋ไปยกน้ำชาให้ท่านหญิงไหวอิน ท่านหญิงก็มองฮูหยินคนใหม่ผู้นี้อย่างพอใจ ก่อนจะมอบกำไลทองฝังหยกรูปวิหคชาดตามตะวันที่วังหลวงส่งมาให้
คังติ้งอ๋องเห็นหน้าพี่สะใภ้ผู้นี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าเขาจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพี่สะใภ้ผู้นี้ว่าเพราะอุบัติเหตุทำให้สมองเสื่อมไปบ้าง แต่เมื่อได้เห็นหน้าก็คิดว่ารูปร่างหน้าตาราวนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้ ถึงสมองเสื่อมแล้วอย่างไร ก็ยังดึงดูดชายหนุ่มให้หลงใหลได้ มิน่าเล่าพี่ชายจึงได้ใจร้อน ต้องการสาวงามมาครอบครองให้ได้
เขาจึงยืนข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ซีจือคารวะพี่สะใภ้”
หลี่รั่วอวี๋เพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วขยับไปหลบด้านหลังฉู่จิ้งเฟิง
คนที่นี่ นางไม่รู้จักผู้ใดสักคน หญิงในชุดหรูหราผู้นั้นก็เคยเห็นที่บ้านเพียงครั้งเดียว นางนึกอยากจะกลับบ้าน อยากอยู่กับท่านแม่และน้องชาย ในตอนนี้นางแนบติดแผ่นหลังแข็งแกร่งของฉู่จิ้งเฟิงแล้วถูไถไปมา
ท่าทางเหมือนเด็กผู้หญิงเช่นนี้ จ้าวซีจือมองตะลึงไปเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อว่าสาวงามเช่นนี้จะกลายเป็นคนสมองเสื่อม ตอนนี้เห็นทีไม่ใช่เรื่องโกหก จะว่าไปแล้วพี่ชายก็ขาดการไตร่ตรองที่ดี เขาเป็นถึงซือหม่าแห่งต้าฉู่ หากเพียงแค่หลงใหลความงาม รับเข้ามาเป็นอนุก็พอแล้ว เหตุใดต้องรับเป็นภรรยาเอกด้วย แม้จะพูดว่าหากภายหน้าคิดจะหย่าภรรยา ขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักเหล่านั้นคงไม่กล้ายั่วโมโหซือหม่าผีเห็นยังหวั่นผู้นี้ ถึงกระนั้นก็ยังพูดง่ายแต่ไม่น่าฟังไม่ใช่หรือ
ฉู่จิ้งเฟิงดูออกถึงความอึดอัดของหลี่รั่วอวี๋ ดังนั้นจึงดึงมือนางเบาๆ พลางเอ่ยเรียกหล่งเซียงนำบ่าวหญิงอาวุโสสองคนพาหลี่รั่วอวี๋ไปเล่นที่สวนดอกไม้
ตอนนี้งานเลี้ยงที่อยู่นอกเรือนยังไม่เลิก แต่ในเรือนกลับยังคงเงียบสงบมาก
หลังจากหลี่รั่วอวี๋ออกไปแล้ว ท่านหญิงไหวอินจึงพูดคุยเรื่องสำคัญกับน้องชาย “ไป๋ฉวนจงบุตรชายคนโตของพระมาตุลาไป๋มาที่เมืองซูเฉิงด้วยตัวเอง จะชักช้าไม่ได้ ข้าจัดให้เขาพักอยู่ในจวนนี้ชั่วคราว ครั้งนี้นอกจากเขาจะมาอวยพรแล้ว ยังตั้งใจพายอดฝีมือทางกลไกมาด้วยหนึ่งคน ชื่อเมิ่งเชียนจี เมื่อวานได้ยินคุณชายไป๋พูดว่า เขาใช้เวลาสามปีตั้งใจทำกลไกป้องกันเมืองขึ้นมาชุดหนึ่ง กลไกชุดนี้นับว่าสะดวก สามารถติดตั้งไว้บนกำแพงเมือง และสามารถติดตั้งไว้บนเรือรบได้ ดังนั้นคุณชายไป๋ให้เขามาทำการแสดงในงานเรือเมืองเหลียวเฉิงเดือนหน้า ถ้ารับการทดสอบจากยอดฝีมือทั่วทิศได้ ก็เตรียมจะสั่งกองสรรพาวุธให้เร่งทำการผลิต”
ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “พระมาตุลาไป๋ทำเพื่อขอคำชี้แนะและทดสอบเสียที่ใด นี่เป็นการแสดงความสามารถของเขาให้ข้าเห็น! ตอนนี้หยวนซู่ยังสงบชั่วคราว เขาจึงสงสัยว่าข้าจะขยายขอบเขต นอกจากยึดหลายเมืองจากมือหยวนซู่ไป ยังโพนทะนาว่าแม่ทัพหลายท่านจากกรมทหารเพิ่มกองทหารรอบเมืองโม่เหอ ตอนนี้มาทำเรื่องเช่นนี้ แค่ต้องการเอาชนะโดยไม่ต้องรบเท่านั้นเอง…”
คังติ้งอ๋องพยักหน้า ใบหน้าขี้เล่นฉายความเคร่งขรึมที่ยากนักจะได้เห็น “แต่เมิ่งเชียนจีนั่นเป็นคนเก่งผู้หนึ่ง เมื่อวานข้าเห็นกระบะทรายที่เขาสร้างในสวนดอกไม้ เมืองเล็กๆ ถูกล้อมแน่นจนไม่มีอากาศถ่ายเท แต่ไม่ว่าทหารในเมืองจะโจมตีอย่างไร กลไกอาวุธบนกำแพงเมืองก็สามารถป้องกันได้อย่างดี ช่าง…ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
ได้ฟังคังติ้งอ๋องพูดเช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกสนใจ อยากเห็นฝีมือวิธีการของเมิ่งเชียนจีผู้นี้เสียแล้ว
แท้จริงแล้วเมิ่งเชียนจีผู้นี้เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อนแล้ว อาจารย์มือภูตเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้เขา ซึ่งพูดได้ว่ามีชื่อเสียงเทียบเท่าหลี่รั่วอวี๋ก่อนที่จะป่วย เพียงแต่เขาเป็นคนทั้งดีและเลว นิสัยทำอะไรตามใจชอบ แต่ไม่ใช่คนที่อาศัยอำนาจวาสนา หลายครั้งถูกราชสำนักเรียกตัวแต่ก็ปฏิเสธ ครั้งนี้เหตุใดกลับมาทำงานให้พระมาตุลาไป๋เล่า
ในตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่นี้ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน หลังจากคำนับบรรดาผู้เป็นนายแล้วก็มองสีหน้าฉู่จิ้งเฟิงอย่างระวังตัวแล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “ท่านหญิง สวน…สวนดอกไม้ด้านหลังวุ่นวายใหญ่แล้ว…”
ท่านหญิงไหวอินเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ “กระบะทรายของแขกที่คุณชายไป๋พามาด้วยวางไว้ในสวนดอกไม้และไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ แต่ว่า…แต่ว่าตอนนี้กระบะทรายนั่นถูกฮูหยินซือหม่าทำ… ทำ…”
พูดถึงตรงนี้ท่านหญิงไหวอินก็เข้าใจทันที กระบะทรายนั่นทำเลียนแบบของจริง ฝีมือประณีตมาก แต่เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป ไม่พอเก็บไว้ในห้อง จึงเอาไปวางในสวนดอกไม้ด้านหลังและสร้างเพิงกำบัง ให้องครักษ์ที่คุณชายไป๋นำมาเป็นคนเฝ้าดูแล คงเป็นหลี่รั่วอวี๋หญิงสมองเสื่อมนั่นเห็นว่าน่าสนุก จึงอาศัยช่วงคนไม่ทันระวังเข้าไปเล่น ทำเสียหายไปก็เป็นได้
“ตรงไหนเสียหาย ซ่อมให้เหมือนเดิมก็พอ นางแค่สตรีผู้หนึ่งจะมีแรงอะไรมากมาย” ท่านหญิงไหวอินกล่าว
พ่อบ้านเองได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจมาก ละล่ำละลักพูดว่า “เรียนท่านหญิง ไม่ใช่ฮูหยินซือหม่าทำเสียหาย แต่ฮูหยินซือหม่าพูดกับกระบะทรายนั้นประโยคหนึ่ง แขกผู้นั้นก็ตาแข็งราวกับคลุ้มคลั่ง หยิบเอาพลั่วเหล็กขุดดิน มาพังกระบะทรายจนเละเทะ!”
ท่านหญิงไหวอินในตอนนี้ก็ตกใจมากเช่นกัน กระบะทรายนั้นใช้เวลาสองปีกว่าจะสร้างเสร็จ หญิงสมองเสื่อมผู้นั้นพูดอะไร จึงทำให้เมิ่งเชียนจีคลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้
ในตอนนี้เอง ฉู่จิ้งเฟิงลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
อันที่จริงหากจะพูดไปแล้ว เรื่องที่หลี่รั่วอวี๋ก่อไว้วันนี้ยังต้องโทษไปถึงฉู่จิ้งเฟิง
วันก่อนตอนเล่นกองทราย สุดท้ายฉู่จิ้งเฟิงก็ถูกหลี่รั่วอวี๋สะกิดนิสัยความเป็นเด็กออกมา หยิบลำไผ่ที่ใช้ลำเลียงน้ำมารดดอกไม้ในสวนดอกไม้กรอกน้ำไปที่คูเมือง ทำให้น้ำเต็มคูเร็วขึ้น แล้วเลียนเสียงของกวนอวี่ในบทละคร ‘น้ำท่วมเจ็ดทัพ’ ร้องออกมาว่า ‘ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ’
เสียงร้องประโยคนี้ของฉู่จิ้งเฟิงเรียกได้ว่าหนักแน่นมาก กอปรกับตัวเขาเองเป็นแม่ทัพบู๊ ทำให้ดูสง่าอย่างยิ่ง ราวกับเป็นผู้สั่งให้สามทัพทดน้ำไปจมกองทัพของเฉาเชา จับเป็นอวี๋จินกับผางเต๋อ
หลี่รั่วอวี๋ถูกความสง่าของฉู่จิ้งเฟิงทำให้หลงใหล รู้สึกว่าพี่ฉู่ร้องประโยคนี้ได้ไม่เลว จึงฝึกร้องตามไปด้วย ฝึกไปฝึกมาก็ชำนาญ แม้แต่คำว่า ‘นาน’ ก็ลากเสียงได้เหมือนนักแสดงละครชื่อดังอยู่หลายส่วน
วันนี้ตอนนางเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ของท่านหญิงไหวอิน เดิมทีรู้สึกอึดอัด แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นกระบะทรายที่สร้างเมืองสมจริงกระบะหนึ่งวางอยู่บนพื้นผ่านรั้วกั้น
กระบะทรายนี้เหมือนกว่าของที่พี่ฉู่สร้าง ดวงตาของนางเปล่งประกายในทันที จึงกระโจนเข้าไปเล่น แต่ในลานเล็กที่วางกระบะทรายกลับมีองครักษ์ถือดาบเฝ้าอยู่ แม้หล่งเซียงจะแจ้งว่านี่คือฮูหยินคนใหม่ของซือหม่าก็ไม่ยอมให้เข้า
แต่แค่องครักษ์ไม่กี่คนจะทำอะไรหลี่รั่วอวี๋ได้หรือ นางเหลือบเห็นกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ลำเลียงน้ำข้างสวนดอกไม้จึงหยิบมาเตรียมจะเทไปที่กระบะทรายนั่น
องครักษ์หลายคนนั้นคิดไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยสวมชุดหรูหราผู้นี้จะทำอะไรบ้าคลั่งเช่นนี้ จึงรีบกระโจนเข้ามาใช้ตัวขวางน้ำที่พุ่งมา
ในตอนนี้เองเมิ่งเชียนจีก็มาถึงกลางลาน เห็นหลี่รั่วอวี๋ก็จำได้ว่าเป็นคนเคยรู้จัก เขากับสตรีผู้เป็นเจ้าแห่งการต่อเรือผู้นี้ไม่ถูกชะตากัน ทำงานด้านเดียวกันแต่กลับเป็นอริกัน
แม้เขาจะตามไป๋ฉวนจงมา แต่เพราะนิสัยรักสันโดษไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้ใด คนที่ซือหม่าแต่งด้วยจะเป็นธิดาสกุลใดไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขาสนใจเพียงวิชากลไก และไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่รั่วอวี๋เมื่อสองเดือนก่อนด้วย
จู่ๆ ก็ได้เจอคนรู้จัก เขาคิดเพียงว่าหญิงสาวเจ้าเล่ห์ผู้นี้อิจฉากลไกยอดเยี่ยมของเขา คิดจะสาดน้ำทำลาย จึงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีคำชี้แนะอะไร เหตุใดไม่ทันพูดจาก็จะเอาน้ำมาสาดแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋ช้อนตาขึ้นมอง เห็นเพียงบัณฑิตหน้าขาวหล่อเหลาสุภาพผู้หนึ่งยืนอยู่ในสวนดอกไม้ ปลายคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยฉายความเป็นศัตรูที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน
หลี่รั่วอวี๋แม้จะจำเขาไม่ได้ แต่กำลังรอจะถาม ก็ถือกระบอกไม้ไผ่เบี่ยงหลบ แล้วปล่อยน้ำไหลเข้าไปในกระบะทราย ขณะเดียวกันก็เลียนแบบท่าทางฉู่จิ้งเฟิง จงใจร้องเพลงเสียงเข้ม “ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ…”
คนข้างกายล้วนรู้ว่าหญิงผู้นี้อาการกำเริบแล้ว หล่งเซียงกลัวว่านางจะก่อเรื่อง จึงรีบแย่งกระบอกไม้ไผ่จากมือนางแล้วพูดกล่อมเสียงเบา
แต่คำพูดลอยๆ นี้เข้าหูเมิ่งเชียนจีแล้วความหมายก็แตกต่างไป ในอดีตเขาได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์มือภูต ตอนเรียนสำเร็จอายุเพียงยี่สิบปี เขาอายุน้อยมีความมุ่งมั่นมาก กำลังจะยืดแขนขา แต่ผู้ใดจะคิดว่า กลับต้องมาเจอประสบการณ์โจวอวี๋พ่ายแพ้จูเก่อเลี่ยง เมื่อได้พบกับศัตรูที่ฝีมือทัดเทียมกัน หลี่รั่วอวี๋ยอดฝีมืออายุน้อยเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นเขาพ่ายแพ้ขายหน้าให้กับคุณหนูรองหลี่ จึงรีบกลับสำนักเพียรพยายามมากขึ้น เก็บตัวอยู่บนเขาหลายปี ที่ยอมมาอยู่ใต้อาณัติของพระมาตุลาไป๋ เพราะได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋จะต่อเรือให้กรมโยธา เขาจึงตั้งใจมอบกลไกที่ตนเองตั้งใจคิดค้นมาสามปี ใช้โอกาสนี้เปรียบเทียบฝีมือกับหลี่รั่วอวี๋
คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันในจวนกลางสวนของท่านหญิงไหวอินนี้ สิ่งที่มาเข้าหูก็เป็นคำพูดลอยๆ ไม่เกี่ยวข้องกัน หากเป็นคนทั่วไปก็แล้วไป แต่คุณชายเมิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนทั่วไป เขายืนนิ่ง จดจ้องและครุ่นคิดความหมายในคำพูดของนาง
พอใช้กำลังก็รุนแรงเกินไป ในอดีตเขาถูกหลี่รั่วอวี๋ประชดประชันว่าเป็นเพียงการวางแผนรบบนกระดาษ กลไกแม้จะดีแต่ใช้ไม่ได้จริง ตอนนี้ถูกนางใช้น้ำสาด เห็นกลไกคุ้มกันเมืองมีน้ำหยดติ๋งๆ น้ำมันหล่อลื่นถูกชะล้างไปไม่น้อย…
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าเมืองที่ต้องคุ้มกันอยู่ทางเหนือ พื้นที่นั้นถึงเดือนแปดแล้วก็จะเต็มไปด้วยหิมะ แม้กลไกนี้จะดีแต่ไม่ทนน้ำไม่ทนเย็น หากถูกน้ำที่ละลายจากหิมะก็จะจับตัวแข็งทันที แม้จะใช้ไฟลนก็เหมือนเป็นการเพิ่มภาระไม่มีประโยชน์ใด…
ถึงตอนนั้นไม่เท่ากับเหมือนเพลงที่นางร้อง… ‘ปลาติดอวน จะอยู่ได้นานหรือ’
เดิมคิดว่าไม่มีข้อบกพร่องใดแล้ว เสียเวลาไปสามปี ผลงานจากแรงกายแรงใจที่ยอดฝีมือด้านกลไกคุ้มกันเมืองมากมายยังมองไม่เห็นปัญหา แต่คุณหนูรองหลี่ผู้นี้กลับมองเห็นจุดบกพร่องภายในได้เพียงชั่วครู่…
ในตอนที่รู้ถึงจุดอ่อนกลไกของตนเอง สีหน้าของเมิ่งเชียนจีก็โกรธจนเขียวแล้ว เงยหน้าขึ้นมองคุณหนูรองหลี่ที่มีสาวใช้ประคองอยู่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก หน้าตาไม่มีความสำรวมเลย ราวกับยิ้มเยาะเขาที่ไม่ประเมินกำลังตนเองมาแกว่งขวานหน้าบ้านหลู่ปัน ความเย่อหยิ่งของเมิ่งเชียนจีขาดผึงลงทันที เขาสั่นไปทั้งตัว คำรามเสียงยาว แล้วหยิบพลั่วเหล็กปลูกดอกไม้อันหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะกระโจนเข้าไปทำลายกระบะทรายอย่างคลุ้มคลั่ง!
รอจนไป๋ฉวนจงคุณชายใหญ่สกุลไป๋รุดมาถึง เมิ่งเชียนจีก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวแล้ว ล้มตัวอยู่ในพื้นที่พังระเนระนาดมือกุมหน้าไม่ขยับตัว เพียงพึมพำพูดว่า “กำลังกายใจสามปี กลับถูกคำพูดประโยคเดียวของเจ้าทำลาย! ข้าเทียบเจ้าไม่ได้จริงหรือ เทียบเจ้าไม่ได้…”
หลังจากถามรายละเอียดชัดเจนแล้ว ไป๋ฉวนจงก็ถลึงตามองหลี่รั่วอวี๋ที่ขดตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เขามาในครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อ แสดงความสามารถให้ฉู่จิ้งเฟิงได้เห็น ทำให้อีกฝ่ายเกิดความกลัวบ้าง ไม่เคยคิดว่ากลไกชุดนี้ยังไม่ทันให้ฉู่จิ้งเฟิงได้เห็นก็ถูกคำพูดบ้าๆ ของภรรยาแต่งใหม่ของอีกฝ่ายทำลายเสียแล้ว อยากจะกระอักเลือดสดออกมาสักถ้วยจริงๆ
ส่วนเสิ่นหรูป๋อที่เดินตามหลังไป๋ฉวนจงมาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด สายตาจับจ้องฮูหยินซือหม่า ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
ในตอนที่ไป๋ฉวนจงเตรียมจะหาเรื่องหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงก็รุดมาถึงอย่างรวดเร็ว
เขาไม่มองไป๋ฉวนจงที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย เพียงแค่กวาดตามองหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งหล่งเซียงกับเหล่าบ่าวหญิงอาวุโสว่า “ไป ส่งฮูหยินกลับห้องพักผ่อน”
หลังจากหลี่รั่วอวี๋เดินไปแล้ว เดิมทีไป๋ฉวนจงคิดว่าฉู่จิ้งเฟิงจะขอโทษ อย่างไรเสียก็เป็นฮูหยินของเขาที่ก่อเรื่อง แต่ตอนนี้สกุลไป๋ทำอะไรฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้ไม่ได้ จะต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ในใจเขาจึงคิดว่าหากอีกครู่ฉู่จิ้งเฟิงขอโทษแล้วตนเองควรจะตอบอย่างไร
แต่คิดไม่ถึงว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเอ่ยปากแล้ว ทว่าคำพูดนั้นกลับเป็นอีกแบบ “คุณชายท่านนี้ที่คุณชายไป๋พามาไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย คำพูดการกระทำแม้จะลบหลู่นาง แต่เห็นแก่หน้าคุณชายไป๋ ข้าจะไม่ถือสา ทว่าในลานนี้ล้วนเป็นดอกไม้ใบหญ้าหายากที่พี่สาวข้ารักทะนุถนอม หวังว่าคุณชายผู้นี้จะเก็บกวาดให้เรียบร้อย จะได้ไม่รบกวนความงามของดอกไม้ ทำลายความงามไป…”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้ไป๋ฉวนจงตอบ หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไปทันที
ไป๋ฉวนจงได้รับการอบรมจากพระมาตุลาไป๋อย่างดี ความรู้สึกยินดีโมโหล้วนไม่แสดงบนสีหน้า แต่พอมาเจอฉู่จิ้งเฟิงกลับพังทลาย ทั้งที่ภรรยาสมองเสื่อมของอีกฝ่ายเป็นคนก่อเรื่อง เหตุใดจึงกลายเป็นความผิดของเขาไปได้!
ทว่าฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนโอหังเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นท่านพ่อของเขาอยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับตัวเขาเล่า
ตอนนี้เขาจึงอดกลั้น แล้วสั่งคนให้ประคองเมิ่งเชียนจีที่โศกเศร้าราวบุพการีเสียกลับไปที่ห้องพักแขก
“คุณชายเมิ่ง เหตุใดท่านต้องเก็บคำพูดของคุณหนูรองหลี่มาใส่ใจด้วย นาง…สองเดือนก่อนเพราะอุบัติเหตุตกม้าสมองเสื่อม ความคิดอ่านเหมือนเด็กเล็ก จะมองทะลุกลไกของท่านได้อย่างไร”
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำพูดเสียขวัญของเมิ่งเชียนจี นับว่ารู้ความเป็นมาในเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จะร้องไห้หัวเราะก็ไม่ออก
แท้จริงแล้วนี่เป็นการเห็นข้อผิดพลาดของหลี่รั่วอวี๋เสียที่ไหน แต่เป็นความคิดของเมิ่งเชียนจีเองทุกอย่าง ทำให้เขาพบข้อบกพร่องของตนเอง
ทว่าคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้มักจะมีจุดอ่อน หากเมิ่งเชียนจีมุดเข้าไปในความคิดของตนเอง จะหาทางออกได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงพึมพำพูดว่า “ปัญญาอ่อนหรือ ผลงานสามปีของข้าสู้สายตาคนโง่ทึ่มอย่างนางไม่ได้หรือ? ไม่เท่ากับแตกต่างจากนางราวฟ้ากับดินหรือ ไม่ได้! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่เชื่อว่าจะสู้หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้!”
จากนั้นชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อยก็พูดกับตนเอง เดินกลับเข้าไปในห้องตนเองอีกครั้ง แล้วปิดประตูแน่นคงไม่ยอมออกมาอีกนาน
ไป๋ฉวนจงเดิมทีไม่ได้เก็บเรื่องการแต่งงานของหลี่รั่วอวี๋มาใส่ใจ สกุลไป๋เป็นใหญ่ในราชสำนัก ทุกวันนี้เรื่องที่ต้องให้คิดมีมากมาย ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อมเมื่อสองเดือนก่อน กลายเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ บุตรสาวครอบครัวต่อเรือแห่งเจียงหนานเปลี่ยนคู่แต่งงาน ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาต้องเก็บมาใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะคนที่นางแต่งด้วยคือซือหม่าต้าฉู่ ไป๋ฉวนจงก็คงจะลืมนางไปแล้ว
เหตุใดฉู่จิ้งเฟิงจึงต้องการแต่งกับหญิงโง่เขลาสมองเสื่อมผู้หนึ่งด้วย เรื่องนี้ไม่อาจทำให้ไป๋ฉวนจงไม่ครุ่นคิดได้แล้ว
และด้วยความคิดนี้ ไป๋ฉวนจงก็เริ่มตกตะลึง คิดไปคิดมา สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งเครียด เดิมทีหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่เสิ่นหรูป๋อแต่งงานด้วยก็เป็นผู้สืบทอดการต่อเรือของสกุลหลี่ ไม่มีทางทำลายแผนการใหญ่ของท่านพ่อ แต่หากหลี่รั่วอวี๋แกล้งบ้าปฏิเสธงานของท่านพ่อ มาแต่งงานกับฉู่จิ้งเฟิง… ไม่เท่ากับติดปีกให้เสือร้ายแซ่ฉู่อย่างนั้นหรือ!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดกับเสิ่นหรูป๋อ “คุณชายรองเสิ่น หลี่รั่วอวี๋ผู้นั้นสมองเสื่อมไปแล้วจริงๆ หรือ”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้รีบตอบ ชั่วขณะนั้นเขากำลังคิดว่าควรตอบอย่างไรผลลัพธ์จึงจะเป็นไปตามประสงค์ของตนเอง
ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้รีบกลับไปดูหลี่รั่วอวี๋ แม้ตัวจะอยู่ที่เจียงหนาน แต่ก็ไม่ได้เป็นอิสระเสียทีเดียว หลายวันนี้เพื่อจัดงานแต่งงานทำให้มีงานราชการสะสม และสหายเก่าที่เดินทางมาอวยพรก็มีมากมายจึงต้องต้อนรับอย่างดี
และเพราะการต้อนรับเหล่านี้ ทำให้ตอนที่กลับห้องก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
แววตาที่เสิ่นหรูป๋อมองหลี่รั่วอวี๋เมื่อเช้า เขาไม่รู้สึกแปลกตาเลย เป็นดวงตาของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังมองสำรวจหญิงสาว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ เขารู้ว่าเสิ่นหรูป๋อยังไม่ตัดใจจากหลี่รั่วอวี๋ แต่คนแซ่เสิ่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋เป็นภรรยาของเขาแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
คิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจของฉู่จิ้งเฟิงกลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างประหลาด
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้จะเป็นเพียงการพูดส่งเดชของหลี่รั่วอวี๋คนโง่ตัวน้อย แต่หัวใจเขากลับตึงเครียดตามไปด้วย
หรือว่านางจะกลับเป็นปกติแล้ว!
หากเป็นหลี่รั่วอวี๋ที่มีสติดี และพบว่าตนเองเป็นภรรยาของเขาแล้ว นางจะเป็นอย่างไร
นอกหน้าต่างในตอนนี้มีเสียงฝนพรำ เม็ดฝนตกใส่ม่านหน้าต่างจนเปียก เขาเคยส่งนางที่กลับจากอู่เรือดึกดื่นไปยังโรงเตี๊ยมในคืนฝนตกเช่นนี้ด้วยตนเอง
ฝนทางเหนือจะตกแรงกว่าทางเจียงหนานมาก เพราะโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกล เขาจึงไม่ได้ขี่ม้า นางก็ไม่ได้นั่งรถม้า ต่างคนต่างกางร่ม เดินตามกันไปทิ้งระยะไม่ห่างกัน ในคืนฝนพรำ นางไม่ได้หันหน้ามามองเขาเลย ทั้งยังเดินไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงไหล่ที่ถูกฝนเปียกชื้นกับต้นคอที่กระทบแสงจันทร์ และรองเท้าไม้ที่เหยียบน้ำในหลุมจนน้ำกระเซ็น
ตอนไปถึงโรงเตี๊ยม เขาอดไม่ไหวอยากจะยื่นมือไปปาดหยดน้ำบนแก้มนาง แต่นางกลับสะบัดตัวหลบเลี่ยงไปอย่างงดงาม มือของเขาที่ยื่นออกไปลอยคว้างกลางอากาศอย่างน่าสงสาร…
ใช่แล้ว นางหลบเลี่ยงเขามาตลอด
หลี่รั่วอวี๋ที่มีสติดี ไม่เคยมองเขาเต็มตาสักครั้ง
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย่อหยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เด็กจนโตมีหญิงสาวมาถวายตัวในอ้อมกอดน้อยเสียเมื่อใด
แต่เขากลับหมายตาบุตรสาวพ่อค้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้ ถึงขั้นต้องผ่านการต่อสู้ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถือสากับการปรากฏตัวของนางต่อหน้าทุกคนอีก แต่หลังจากที่วางศักดิ์ศรีลงแล้ว เขากลับพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวเจียงหนานผู้อ่อนแอผู้นี้อย่างราบคาบ…
นึกถึงเรื่องในอดีตแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ยากจะสงบใจได้ รู้สึกไม่อยากกลับห้องไปพบหญิงผู้นั้นเลย
รอจนกลองบอกเวลาถูกตีขึ้นอีกครั้ง ประมาณในใจว่านางคงจะนอนหลับแล้ว เขาจึงเดินไปที่ห้อง
นอกห้องยังมีฝนตกอยู่ แต่เพราะฝนตกไม่หนักจึงไม่ต้องกางร่ม ทว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเดินไปถึงห้องหอกลับพบว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้อยู่ในห้อง บนเตียงมีเพียงผ้าห่มกระจัดกระจายอยู่ เขาตกใจ เบิกตาโต แล้วเรียกหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่นอกห้องเข้ามา พวกนางเองก็ตกใจเช่นกัน
หล่งเซียงมองดูหน้าต่างที่เปิดออกแล้วพูดเสียงเบาว่า “เรียนซือหม่า ไม่แน่ว่า…คุณหนูอาจจะนึกสนุก ปีนหน้าต่างออกไปแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงรีบเดินไปด้านหลังห้อง จริงดังว่า! เห็นเพียงร่างโดดเดี่ยวนั่งอยู่ตรงมุมภูเขาจำลองในสวนดอกไม้
นางสวมเสื้อบางเพียงตัวเดียว คงเพื่อหลบฝน จึงเด็ดใบกล้วยใบใหญ่มาบังบนหัว ร่างเล็กขดเป็นก้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้น เหม่อมองท้องฟ้า
“รั่วอวี๋! เจ้าทำอะไรอยู่”
หลี่รั่วอวี๋ถูกเสียงตะคอกดังของชายหนุ่มทำให้ตกใจตัวสั่น จากนั้นก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมอกกว้างและอบอุ่น
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่ามือเท้าของหญิงสาวเย็นเฉียบ น้ำที่รองอยู่บนใบกล้วยก็ไม่ได้เสียเปล่าแม้แต่หยดเดียว รดลงบนตัวนางจนหมด ไม่รู้ว่านั่งอยู่กลางฝนนานเท่าใดแล้ว เสื้อผ้าล้วนเปียกโชก
หญิงโง่ผู้นี้!
ชายหนุ่มสะกดความโกรธไม่อยู่ ปั้นหน้าเย็นชากระชากใบกล้วยที่นางยังชูไว้สูงออกแล้วโยนไปด้านข้าง
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว ตอนนี้ด้วยความโมโห แม้แต่เด็กที่ไม่รู้ความก็ยังถูกทำให้ตกใจร้องไห้ได้ หลี่รั่วอวี๋เองก็ร้องไห้เช่นกัน แต่แตกต่างจากการร้องไห้อย่างไม่รู้ความก่อนหน้านี้ เห็นเพียงน้ำตาไหลออกมาจากขอบตาแดงก่ำ แต่ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีไม่ได้สังเกต รอจนอุ้มนางเข้าห้องแล้ว จึงพบว่าบนใบหน้าเปียกชื้นนั้นยังมีน้ำตานองอยู่
ความกลัดกลุ้มที่สะสมในตอนเช้า ตอนนี้กลับถูกความสงสารไล่ไปจนหมด เขาถอดเสื้อเปียกของนางออกแล้วใช้ผ้าห่มบางคลุมตัวไว้ จากนั้นสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำขิงต้มน้ำตาลใส่ดอกกุ้ยร้อนๆ สำหรับหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่เฝ้าเวรวันนี้ ฉู่จิ้งเฟิงสั่งพ่อบ้านให้นำตัวไปลงโทษอย่างไม่เกรงใจ!
หล่งเซียงแม้จะเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ แต่มักจะทำงานเลินเล่อ ตอนนี้คุณหนูของนางไม่ใช่คนที่ฉลาดเฉลียวเหมือนก่อนอีกแล้ว ทั้งที่รู้ว่านางชอบลอบออกไปข้างนอกตอนกลางคืน แต่กลับไม่ระวัง หากถูกคนคิดร้ายหาโอกาสจะเป็นอย่างไร ต้องลงโทษให้หนัก จึงจะเป็นการสั่งสอนได้ในระยะยาว!
หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะรู้ว่าหล่งเซียงถูกลงโทษเพราะตนเอง น้ำตาจึงไหลลงมามากยิ่งขึ้น
ท่าทางน่าสงสารทำให้ฉู่จิ้งเฟิงอยากจะเอานางมาใส่ไว้ในใจ ดังนั้นเขาจึงยื่นมืออยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่นางกลับขดตัวหลบ ขยับหนีเหมือนที่ผ่านมา…
แต่ตอนนี้นางอยู่บนเตียงของเขา จะหลบพ้นได้อย่างไร ฝ่ามือใหญ่อ้อมไปที่หลังหัวของนาง ก่อนที่นางจะถูกดึงตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
นางเอาแต่ก้มหน้า เผยต้นคอให้เขาเห็น ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปเชยปลายคางของนาง พยายามใช้เสียงพูดอ่อนโยน ยังไม่ถามนางว่าเหตุใดจึงร้องไห้ เพียงแค่ถามว่า “รั่วอวี๋เมื่อครู่นั่งอยู่ในลานบ้านดูอะไร”
หลี่รั่วอวี๋แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของฉู่จิ้งเฟิง รู้สึกว่าร่างที่เย็นเฉียบค่อยๆ อุ่นขึ้น จึงผ่อนคลายร่างกายลงช้าๆ นางไม่ได้มองเขา เพียงหลุบตาลง ขนตาโค้งงอนยังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ พลางเอ่ยพูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูดาว…”
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกตอนฟ้ามืด ท้องฟ้าราวกับสีหมึก จะมีดวงดาวได้อย่างไรกัน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นหลี่รั่วอวี๋ท่าทางซื่อๆ แบบนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกวางใจ แตะริมฝีปากไปบนแก้มนุ่มชื้นของนาง แล้วถามต่อไปว่า “เหตุใดต้องดูดาว”
“พวกเขาด่าว่ารั่วอวี๋เป็นคนบ้าปัญญาอ่อน รั่วอวี๋ถาม…ถามท่านแม่ว่าปัญญาอ่อนคืออะไร ท่านแม่บอกว่ารั่วอวี๋ไม่ได้ปัญญาอ่อน เพียงแค่ดวงดาวที่คอยดูแลความฉลาดขึ้นไปบนสวรรค์… รั่วอวี๋อยากรู้ว่าดวงดาวเมื่อใดจะกลับมา…”
จากคำพูดติดๆ ขัดๆ ของหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงฟังความหมายได้อย่างคร่าวๆ หลี่รั่วอวี๋ในอดีต ทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเทพดาวเหวินฉวี่ ที่ดูแลความฉลาดมาประทับร่างผิดบนตัวนาง คงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใช้ปลอบตอนที่มีคนพูดเสียดสีหลี่รั่วอวี๋ อ้างว่าดาวนั้นสะสมบารมีครบแล้วต้องขึ้นไปบนสวรรค์…
ฉู่จิ้งเฟิงคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออกบางอย่างขึ้นมา “จะเอามันกลับมาทำไม รั่วอวี๋ในตอนนี้ก็ดีมากแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋สูดจมูก “วันนี้คนผู้นั้นดวงดาวก็กลับสวรรค์แล้วหรือ จึงทั้งทุบและพังของ… รั่วอวี๋กลัว…รั่วอวี๋อยากให้ดาวของตัวเองกลับมา…”
วันนี้เป็นเพราะคำพูดประโยคเดียวของหลี่รั่วอวี๋ก็ทำให้เมิ่งเชียนจีเหมือนคนเป็นโรคประสาท ทำตัวบ้าน่าตกใจ หลี่รั่วอวี๋ไม่เข้าใจ เห็นเพียงฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าดุมาไล่นาง จึงคิดว่านางก่อเรื่องแล้ว
พอกลับถึงห้องก็นอนอุดอู้อยู่บนเตียงผู้เดียวตลอดบ่าย ตกกลางคืนตอนลืมตาขึ้น ของตกแต่งรอบด้านล้วนแปลกตา ภาพสีแดงเต็มตาตรงหน้ายังไม่จางหาย กำลังเตือนสตินางว่า นางไม่ได้อยู่ข้างกายท่านแม่แล้ว
ตอนที่นางเพิ่งสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา แม้จะไม่รู้จักผู้ใด แต่การตกแต่งรอบข้าง และกลิ่นอายภายในห้องยังพอคุ้นเคยอยู่บ้าง จึงรู้สึกสบายใจขึ้น
แต่นับจากมาถึงที่นี่ รอบข้างนอกจากหล่งเซียงแล้ว นางไม่มีคนรู้จักอีกเลย ความหวาดกลัวหลังจากที่ตื่นขึ้นจากความมืดในตอนนั้นพุ่งเข้ามาในใจนางอีกครั้ง
คิดถึงความบ้าคลั่งของคนผู้นั้นในตอนเช้า นางกลัวตนเองจะค่อยๆ กลายเป็นแบบนั้น
หลังจากหล่งเซียงปรนนิบัตินางให้กินอาหารอาบน้ำล้างหน้าแล้ว นางคิดว่าคงนอนไม่หลับ จึงปีนออกทางหน้าต่าง นั่งอยู่ตรงมุมภูเขาจำลองครุ่นคิดว่าจะหาดวงดาวของนางจากท้องฟ้ามืดมิดนั้น
ฉู่จิ้งเฟิงฟังถึงตรงนี้ก็รู้สึกโกรธ แต่คนที่โกรธคือตนเอง ทั้งที่รู้ว่านางตอนนี้เหมือนเด็กที่ต้องจากแม่ หลังจากถูกเมิ่งเชียนจีทำให้ตกใจกลัว ตนเองกลับไม่รีบกลับมาปลอบนาง ให้นางอยู่ในเรือนนี้เพียงผู้เดียว ฟ้ามืดฝนหนาว แม้จะเป็นคนโง่เขลาทึ่มทื่อก็ยังคิดเหลวไหลได้
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อุ้มสาวน้อยตัวอ่อนนุ่มในอ้อมกอดมาตรงหน้าต่าง ชี้ไปที่เมฆดำเต็มท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ดวงดาวนั่นก็มีเพียงเท่านี้ บางครั้งก็ไม่มีสักดวง แต่คนปัญญาอ่อนจริงๆ ใต้หล้านี้มีนับไม่ถ้วน รั่วอวี๋ของพวกเราก็ยังเป็นรั่วอวี๋ที่ฉลาดเฉลียว จะไปแย่งชิงกับคนเหล่านั้นทำไม เอาดาวที่ไร้ประโยชน์นั่นให้คนโง่เหล่านั้นดีกว่า พรุ่งนี้รอให้กลับไปถึงจวนซือหม่าที่เมืองโม่เหอ ข้าจะเชิญอาจารย์หญิงมาให้รั่วอวี๋ เรียนหนังสือให้มาก รั่วอวี๋ก็จะกลับมาเป็นคนฉลาดตามเดิมแล้ว”
หลี่รั่วอวี๋เดิมทีก็อิจฉาน้องชายเสียนเอ๋อร์ที่ได้ไปหอเรียนร่ำเรียนวิชากับสหายทุกวัน พอได้ยินฉู่จิ้งเฟิงบอกว่าจะเชิญอาจารย์มาให้ ดวงตาก็เปล่งประกายทันทีอย่างนึกสนุก แขนสองข้างจึงโอบคอของเขาไว้แน่นแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ข้า…ข้าจะเข้าหอเรียน… ข้าไม่อยากเป็นคนปัญญาอ่อน…”
ฉู่จิ้งเฟิงรับคำใจลอย แต่ความคิดกลับถูกก้อนเนื้อสองก้อนที่เบียดตรงแผ่นอกตนเองกดจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทว่าตอนเช้านางเพิ่งได้รับความตกใจ ตอนนี้หากทำการอะไรอีก ต้องทำให้นางกลัวเขาไปตลอดแน่นอน เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก กล่อมให้นางคลายมือ รอจนในถังอาบน้ำเติมน้ำอุ่นจนเต็มก็ให้นางกำนัลปรนนิบัติอาบน้ำอุ่นให้หลี่รั่วอวี๋
แต่ตอนที่นางออกมา กลับพบว่าฉู่จิ้งเฟิงไม่อยู่ในห้องแล้ว
เพราะหล่งเซียงถูกนำตัวไปลงโทษ คนที่มาปรนนิบัตินางจึงเป็นนางกำนัลชื่อซูซิ่ว ซูซิ่วที่กำลังสวมเสื้อให้นางพูดอึกอักว่า ท่านซือหม่าไปที่ห้องหนังสือแล้ว
ก็ไม่แปลกที่นางกำนัลจะพูดไม่ค่อยออก เพิ่งแต่งงานวันที่สอง เป็นช่วงความรักหอมหวาน แต่ฉู่ซือหม่ากลับทอดทิ้งโอกาสชื่นชมความงามเช่นนี้ไป ทำให้พวกนางเหล่านี้นึกสงสัยจริงๆ
ซูซิ่วกับซูเหมยนางกำนัลอีกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นคนที่ท่านหญิงไหวอินเป็นผู้อบรมกับมือ อากัปกิริยานั้นจะให้เข้าไปเป็นคุณหนูในคฤหาสน์ใหญ่ก็ยังได้ พวกนางสองพี่น้องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม ยังรู้หนังสือและเชี่ยวชาญเพลงพิณ หมากล้อม อักษร และภาพวาด เพราะคนที่ฉู่จิ้งเฟิงพามาด้วยเป็นสตรีที่ทำอะไรไม่เรียบร้อย ดังนั้นท่านหญิงไหวอินจึงตั้งใจคัดนางกำนัลคู่หนึ่งไปปรนนิบัติฉู่จิ้งเฟิง
แท้จริงแล้วท่านหญิงไหวอินยังคงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง น้องชายที่นางตามใจแต่งงานกับคนปัญญาอ่อน นับว่าได้ทำสมดังใจเขาแล้ว แต่เขาเป็นชายที่ต้องทำการใหญ่ อยู่นอกบ้านทำงานหนักมาทั้งวัน กลับถึงบ้านก็อยากได้ดอกไม้งามพูดได้ที่รู้จักความร้อนหนาวสักคนไม่ใช่หรือ
หลี่รั่วอวี๋ผู้นั้นแม้จะงดงาม แต่เหมือนเด็กเล็กไม่รู้ประสา เลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหายากยังพอได้ เวลานานเข้าจะมีความอดทนคิดหาวิธีมาหลอกล่อคนปัญญาอ่อนอยู่เสมอได้อย่างไร นางจึงตั้งใจเลือกนางกำนัลสองคนที่รู้จักแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ในห้องของหลี่รั่วอวี๋ จุดประสงค์เพื่อให้พวกนางสองคนเป็นสาวใช้ห้องข้าง เพื่อกันไม่ให้ฉู่จิ้งเฟิงสัมผัสหญิงสาวจนรู้รสชาติแล้ว จะไปก่อเรื่องวุ่นวายนอกบ้านเหมือนจ้าวซีจือน้องชายอีกคนของนาง
หากภายหน้าปรนนิบัติได้ดี ได้รับความรักจากฉู่จิ้งเฟิง ยกขึ้นเป็นอนุ นั่นก็เป็นวาสนาของทั้งสองคน
ซูซิ่วเป็นพี่สาว นิสัยสุขุมหนักแน่นกว่า แม้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของท่านหญิงไหวอินที่กำชับพวกนางสองพี่น้อง แต่พอเห็นท่าทางฉู่ซือหม่าที่เย็นเยือกราวน้ำแข็งและมีไอสังหารแผ่ออกมาทั่วทั้งตัวก็ใจเต้นรัว กอปรกับคืนวันแต่งงานเมื่อวาน ได้ยินเสียงร้องใจแทบขาดของฮูหยินคนใหม่แล้วก็ทำให้ความคิดที่มีในใจนั้นแตกกระเจิงไปจนหมดสิ้น
ตามที่นางดู ซือหม่าผู้นี้ไม่ใช่คนที่ทะนุถนอมสาวงามอะไร เพียงเห็นผมสีขาวเงินใบหน้าเย็นชานั้นแล้วก็รู้สึกเคร่งเครียด ทนไม่ไหวเลยจริงๆ
ดังนั้นนางจึงลดความคิดที่จะเป็นอนุลง แต่พยายามปรนนิบัติฮูหยินน้อยผู้นี้อย่างเต็มที่ นายหญิงเป็นคนปัญญาอ่อนก็ดี มีเรื่องให้ต้องลำบากใจน้อยลง ตนเองทำงานไป รอเก็บเงินได้มากพอ ตอนอายุมากกว่านี้ ขอให้ผู้เป็นนายเห็นในความดีปล่อยตนเองออกจากจวน จะได้หาบุรุษดีๆ สักคนฝากชีวิตไว้ได้
แต่น้องสาวกลับไม่ได้คิดเช่นเดียวกับพี่สาว ตอนที่ซูซิ่ววุ่นกับการหวีผมให้หลี่รั่วอวี๋ ทางห้องครัวส่งรังนกต้มน้ำตาลใส่พุทราแดงที่เพิ่งตุ๋นเสร็จมาให้ฮูหยิน ซูเหมยตักหนึ่งถ้วยให้ฮูหยินแล้ว ก็ตักถ้วยหนึ่งวางไว้บนถาดแล้วยกไปที่ห้องหนังสือ
ซูซิ่วจะไม่รู้ความคิดของน้องสาวได้อย่างไร แต่จะพูดมากก็ไม่ได้ จึงปรนนิบัติฮูหยินให้ดื่มรังนกอุ่นๆ พานางไปนอน ห่มผ้าห่มเสร็จแล้วก็จุดไม้กฤษณาเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นจึงปูผ้าห่มบนที่พักเท้าข้างเตียงแล้วล้มตัวลงนอน
หล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสเพิ่งจะถูกลงโทษ พวกนางย่อมต้องระวังตัว ในเมื่อฮูหยินชอบเดินตอนกลางคืน เช่นนั้นก็มาเฝ้าใกล้ชิด จะได้ไม่หลับสนิทจนไม่รู้ตัว
นางนอนลงได้ไม่นาน ซูเหมยก็กลับมาจากห้องหนังสือ นั่งอึดอัดอยู่ในโถง บิดผ้าเช็ดหน้าด้วยความเข่นเขี้ยวอยู่ไม่กี่ที จากนั้นก็เข้าห้องชั้นใน เห็นหลี่รั่วอวี๋หลับแล้วจึงพูดเสียงเบา “ซือหม่าให้พี่ไปหา”
เพราะซูซิ่วสวมเสื้อผ้านอน จึงไม่ต้องตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากรีบลุกขึ้นมา ให้น้องสาวเฝ้าข้างเตียงแล้วก็เดินตรงไปยังห้องหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากห้องนอน
เข้าห้องหนังสือแล้วมองไป รังนกถ้วยนั้นยังวางอยู่บนมุมโต๊ะโดยไม่ถูกแตะ ซือหม่าถอดเสื้อนอกเปลี่ยนเสื้อนอนถือตำราเล่มหนึ่งนอนอยู่บนตั่งนิ่มในห้องหนังสือ ดูท่าแล้วคงจะนอนในห้องหนังสือ
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นนางเข้ามาแล้ว ตามองตำรา ปากถามเสียงเอื่อยว่า “ฮูหยินนอนแล้วหรือ”
“เรียนซือหม่า เพิ่งนอนเจ้าค่ะ ก่อนนอนดื่มน้ำขิงไปเล็กน้อย กินรังนกอุ่นๆ ไปอีกหนึ่งถ้วย บ่าวใช้ขี้ผึ้งจันทน์แปดกลีบผสมถั่วดำนวดมือเท้าฮูหยินน้อย นอนเช่นนี้ทั้งคืน คงไม่ถูกไอเย็นจนเป็นไข้”
ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้าแล้วถามอีก “ฮูหยินได้บอกหรือไม่ว่าพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไร”
ซูซิ่วรู้ว่าเหตุใดซือหม่าจึงถามเช่นนี้ วันนี้อาหารที่ห้องครัวทำเหมือนไม่ถูกปากฮูหยินน้อย ทั้งวันนี้นางกินอาหารสองสามคำเท่าแมวดม ดังนั้นจึงรีบตอบว่า “บ่าวถามก่อนที่ฮูหยินจะนอน ฮูหยินบอกว่าอยากกินแป้งย่างเป็ดเคี่ยว บ่าวถามอย่างละเอียดต่อไปอีก จึงได้รู้ว่าแป้งย่างนั่นที่ตรอกเก่าในเมืองเหลียวเฉิงจึงจะมี… พรุ่งนี้เช้าคงยังไม่ได้กิน แต่พรุ่งนี้ท่านซือหม่าต้องพาฮูหยินกลับบ้านเกิด เตือนบ่าวไพร่ที่ไปด้วยให้ซื้อมาให้ฮูหยิน”
ถึงตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงจึงวางตำราลง กวาดตามองซูซิ่วแวบหนึ่ง “เจ้ากับซูเหมยเป็นพี่น้องกันหรือ แต่เจ้าละเอียดสุขุมกว่านางมาก ต้องคอยชี้แนะนางบ้าง อย่าให้ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นบ่าวที่ไม่ใส่ใจมาอยู่ข้างกายฮูหยินจะมีประโยชน์อะไร”
ถึงตอนนี้ซูซิ่วจึงได้รู้ว่าเหตุใดน้องสาวจึงโมโหกลับมา คิดว่าคงถูกซือหม่าถามจนพูดไม่ออกและโดนตำหนิเข้ากระมัง นางจึงรีบขออภัยแทนน้องสาว แล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
ก่อนออกมา ซือหม่าชี้ไปที่รังนกถ้วยนั้น “รังนกนี้เป็นของกินสำหรับสตรี คราวหน้าไม่ต้องยกมาอีก เจ้าปรนนิบัติฮูหยินอย่างดี รังนกนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัล แล้วยกชาสามอย่างมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
ซูซิ่วขอบคุณซือหม่า แล้วยกรังนกกลับไป แต่ตอนนี้เป็นเวลาอยู่เวรดึก นางจะไปตำหนิน้องสาวก็ไม่เหมาะ แต่กลับลอบถอนใจอยู่ภายใน เห็นทีความคิดของนางถูกต้องแล้ว ซือหม่าที่เย็นชาผู้นั้นนอกจากจะอ่อนโยนกับฮูหยินโง่ทึ่มผู้นั้นแล้ว หญิงคนอื่นในสายตาของเขาเป็นเหมือนดอกหญ้าริมทาง ต้องบอกให้น้องสาวเก็บความคิดที่เป็นไปไม่ได้นั้นไว้ดีกว่า
เพราะนั่งทรมานมาเกือบทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลี่รั่วอวี๋จึงตื่นสายมาก หลังจากนอนกลิ้งขี้เกียจไปมาอยู่บนเตียงสักครู่ ซูเหมยจึงพลิกเปิดผ้าม่านถามนางว่าหิวหรือไม่ บอกว่าอาหารเช้าเตรียมเสร็จยกมาแล้ว ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก็สามารถกินได้ทันที
พอพลิกม่านขึ้น กลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูก หลี่รั่วอวี๋จึงดีดตัวลุกขึ้นมา พูดด้วยหน้าตาเบิกบาน “แป้ง…ย่าง?”
ซูซิ่วที่กำลังเตรียมเสื้อผ้าให้หลี่รั่วอวี๋กลับบ้านเกิดหมุนตัวมาพูดว่า “ฮูหยินจมูกดีจริง นี่คือแป้งย่างเป็ดเคี่ยวที่ท่านอยากกินเจ้าค่ะ เมื่อคืนซือหม่าได้ยินว่าท่านอยากกินสิ่งนี้ จึงเรียกรถม้าไปเมืองเหลียวเฉิงรับพ่อครัวของร้านเป่ายาไจมาพร้อมกับแป้งหมักที่นวดเสร็จแล้วและเป็ดเคี่ยวมาที่เมืองซูเฉิง แป้งเหล่านี้ย่างออกมาสดๆ กำลังกรอบอร่อย ฮูหยินต้องรีบลุกจากเตียงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อวานเพราะถูกเมิ่งเชียนจีทำให้ตกใจ นางจึงไม่ได้กินอาหารมากนัก ตอนนี้นอนหลับหนึ่งตื่นแล้วก็รู้สึกหิว ไม่สนใจแม้แต่จะหวีผมล้างหน้า กระโจนไปข้างโต๊ะจะกินแป้งย่างสักชิ้นทันใด
ซูซิ่วรีบขวางฮูหยินเอาไว้ หลังจากกล่อมให้ใช้ก้านไผ่ชุบเกลือขัดฟันแล้ว จึงให้นางนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วกินไส้เป็ดร้อนๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ในตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงเดินเข้ามา บังเอิญเห็นเม็ดงาติดแก้มของหลี่รั่วอวี๋จึงพูดด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม “กินชิ้นสองชิ้นให้หายอยากก็พอ วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน ท่านแม่ยายคงทำของที่เจ้าชอบไว้ แต่ต้องระวังท้องไส้ อย่ากินเยอะเกินไป”
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋อยู่ข้างกายเขา แม้ว่าจะเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับยินดีทำตามที่นางต้องการทุกอย่าง หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นเช่นนี้ต้องเสียเวลาชี้แนะแทบทุกเรื่อง แต่เขาก็ยินดีจะค่อยๆ เลี้ยงดูสาวน้อยอ่อนหวานน่ารักผู้นี้ให้เป็นไปตามใจเขาปรารถนา…หลี่รั่วอวี๋ที่ในดวงตามีแต่เขาฉู่จิ้งเฟิง
ฉู่จิ้งเฟิงกินแป้งย่างไปหนึ่งชิ้นจากมือของหลี่รั่วอวี๋เช่นกัน เพราะปรุงรสชาติได้เข้าเนื้อ จึงมีความอร่อยอย่างมาก
วันนี้เป็นวันกลับบ้านเกิด ของขวัญที่พ่อบ้านเตรียมให้ซือหม่าถูกขนขึ้นรถม้าแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงกินเสร็จแล้วก็ไปกล่าวลาท่านหญิงไหวอิน ส่วนหลี่รั่วอวี๋ยังให้ซูซิ่วซูเหมยช่วยหวีผมแต่งหน้าอยู่
หล่งเซียงกลับมาแต่เช้าเช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นคนที่มาจากสกุลหลี่ หากลงโทษหนักเกินไป วันนี้ตอนกลับบ้านเจ้าสาวสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คงไม่น่าดูนัก ดังนั้นพ่อบ้านจึงเพียงให้หล่งเซียงคุกเข่าในห้องเก็บฟืนสองชั่วยามเท่านั้น
เพราะทำผิด หล่งเซียงจึงรู้สึกกระดากอาย แต่ต้องตั้งสติมาเตรียมแต่งผมให้คุณหนู แต่ซูเหมยเห็นของที่นางเตรียมแล้วก็ลอบพ่นหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง
หล่งเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงหัวเราะ จึงเงยหน้าขึ้นจ้องนาง ซูเหมยจึงพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “ตอนนี้พวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ล้วนไม่นิยมหวีผมแบบนี้แล้ว ฮูหยินโครงหน้าเล็กอยู่แล้ว หวีผมทรงหัวโตยิ่งทำให้ดูหัวหนักเท้าเบาไปไม่ใช่หรือ” พูดพลางหยิบผมปลอมเล็กๆ ออกมาหลายชิ้น ผมปลอมนั้นทำมาจากเส้นผมจริง แม้ว่าฝีมือการหวีจัดทรงจะไม่ประณีตนัก แต่มีส่วนโผล่ออกมานิดๆ ก็มองไม่ออก
อันที่จริงนับจากหล่งเซียงเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ก็พบว่าสตรีที่นี่ไม่แต่งตัวจัด ท่านหญิงไหวอินนั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่นางกำนัลเหล่านี้ยังแต่งตัวงามสง่าเช่นนี้ ไม่เหมือนสตรีในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองเหลียวเฉิงเลย แม้นางจะมีฝีมือในการแต่งหน้าทำผม แต่เห็นโลกมาน้อย ทำไปตามประสาชาวบ้านเท่านั้น
พอถูกซูเหมยพูดจนรู้สึกอับอาย หล่งเซียงจึงหยุดมือ ถอยออกนอกห้องไปช่วยซูซิ่วรีดผ้า ซูเหมยจึงยิ้มเยาะ “คนบ้านนอก!” แล้วเตรียมทำผมให้หลี่รั่วอวี๋ต่อ
หลี่รั่วอวี๋แม้จะไม่รู้ว่าพวกนางโต้เถียงกันเรื่องอะไร แต่ก็มองสีหน้าออก เมื่อวานหล่งเซียงไม่ได้กลับมาทั้งคืน กลางคืนคนที่ชื่อซูเหมยผู้นี้ปรนนิบัติข้างกายนาง
แต่นางไม่ชอบซูเหมยผู้นี้ ตอนอยู่กับนางตามลำพัง น้ำเสียงที่ซูเหมยพูดเหมือนรำคาญนาง เมื่อคืนนางกระหายน้ำ เรียกเสียงเบาอยู่หลายที ทั้งที่ซูเหมยได้ยินแล้ว แต่กลับพูดบ่นเสียงเบาอย่างรำคาญว่า “คนปัญญาอ่อนเรื่องมากจริง” แล้วพลิกตัวนอนลงบนที่พักเท้าตรงเตียงไม่ขยับ ภายหลังเป็นซูซิ่วที่อยู่นอกห้องได้ยินเสียงของนางแล้ว จึงได้ยกน้ำอุ่นใส่น้ำผึ้งเข้าห้องมาให้นาง
ตอนนี้เห็นนางไม่รู้ว่าพูดอะไรทำให้หล่งเซียงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก อารมณ์งอนของหลี่รั่วอวี๋ก็กลับมา เห็นซูเหมยเข้ามาใกล้จะหวีผมให้จึงขยับหลบ สองตาโตจ้องซูเหมยอย่างโมโห
ซูเหมยรู้ว่าสมองฮูหยินผู้นี้ไม่ค่อยดี พูดจาก็ไม่ชัดเจน เวลากินข้าวตะเกียบก็ถือไม่ค่อยอยู่ มักอยากจะยื่นมือไปหยิบ บนหน้าก็มีน้ำมันติด ในใจจึงเกิดความดูแคลนนายหญิงขึ้นมาหลายส่วน
แต่บุตรสาวพ่อค้าปัญญาอ่อนเช่นนี้เองกลับได้เป็นฮูหยินซือหม่า เรื่องนี้จะให้ยอมรับได้อย่างไร ซูเหมยคิดว่าตนเองดีกว่าคนปัญญาอ่อนผู้นี้ทุกอย่าง แม้แต่ชาติกำเนิดก็มาจากครอบครัวบัณฑิตตกยาก ดีกว่าพ่อค้านั่นอยู่มาก!
นางกับพี่สาวเป็นคนที่ท่านหญิงไหวอินเลือกเองว่าจะให้มาเป็น ‘สาวใช้ห้องข้าง’ ยิ่งตอนนางเห็นซือหม่า ความคิดก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นางไม่เหมือนพี่สาวที่ยังคิดจะออกไปมีชีวิตลำบากนอกคฤหาสน์อีก
เป็นอนุในจวนซือหม่ามีความสุขมากกว่าหญิงในบ้านคนธรรมดาไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งภรรยาเอกนี้ก็เป็นคนปัญญาอ่อน หนึ่งคือดูแลเรื่องเงินทองไม่ได้ สองคือไม่มีบารมี ขอเพียงให้กำเนิดลูกสักคนก็ถูกยกขึ้นเป็นอนุ ยังมีอิสระยิ่งกว่านายหญิงในคฤหาสน์อื่นเสียอีก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงเกิดความหวังในตัวซือหม่า แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนตั้งใจส่งรังนกไปให้ซือหม่าแต่กลับถูกตำหนิเพราะถามอะไรแล้วไม่รู้เรื่อง จึงรู้สึกไม่พอใจมาตลอด ระบายใส่หล่งเซียงได้พอดี ตอนนี้เห็นหลี่รั่วอวี๋เอาแต่หลบ ไม่ให้ตนเองหวีผมให้ นางก็ยิ่งรำคาญ ฉวยโอกาสรอบด้านไม่มีผู้ใดยื่นมือไปจับผมของหลี่รั่วอวี๋แล้วกระชากตัวนางเข้ามาอย่างแรง
คราวนี้หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเจ็บ แต่ไม่ยอมแล้ว! นางพรวดลุกขึ้นยืน ถลึงตามองซูเหมย แล้วหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งโยนใส่
ซูเหมยคิดไม่ถึงว่าหลี่รั่วอวี๋จะโกรธ เห็นพี่สาวกับหล่งเซียงเข้ามาในห้อง อาศัยว่าเมื่อครู่ไม่มีผู้ใดเห็น จึงรีบพูดอย่างน้อยใจว่า “เมื่อครู่ตอนหวีผม หวีได้ไม่กี่ที ฮูหยินก็เริ่มอารมณ์เสียแล้ว…”
แต่หลี่รั่วอวี๋จะยอมฟังคำอธิบายของซูเหมยได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ถูกกระชากผม หนังหัวถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ ความห้าวหาญที่หอเรียนในอดีตเป็นเพียงคำลืออย่างนั้นหรือ นางกระโจนไปกำผมของซูเหมยไว้ทันที แล้วกระชากอย่างแรง
ซูเหมยไม่ทันระวัง ถูกกระชากให้ก้มหัวลง เจ็บจนร้องไม่หยุด
ซูซิ่วกับหล่งเซียงรีบเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ออกมา ในขณะที่กำลังวุ่นวาย ฉู่จิ้งเฟิงก็เดินเข้าห้องมาพอดี เขาขมวดคิ้วมองหลี่รั่วอวี๋ขี่อยู่บนหลังซูเหมย แล้วยื่นแขนไปยกตัวนางขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเช้านี้นายบ่าวจึงตีกันจนเป็นแบบนี้” ฉู่จิ้งเฟิงถามด้วยเสียงเย็นชา
ซูเหมยถูกกระชากจนผมหลุดลุ่ย พูดด้วยเสียงสะอื้น “บ่าวกำลังหวีผมให้ฮูหยิน ฮูหยินอาจจะอารมณ์ไม่ดี จึงตีบ่าวโดยไม่พูดไม่จา…”
หล่งเซียงคิดว่าซูเหมยยังโชคดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนคุณหนูสามหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ผมหลุดไปกระจุกหนึ่ง จึงรีบพูดแทนคุณหนูรองของตนเอง “คุณหนู…ฮูหยินนางไม่มีทางลงมือโดยไร้สาเหตุ เจ้าต้องทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจแน่นอน…”
“ไม่พอใจก็ลงมือตีคนหรือ” ฉู่จิ้งเฟิงตัดบทคำพูดแย้งของหล่งเซียง ถลึงตามองหลี่รั่วอวี๋
หลังจากโบกมือไล่บ่าวเหล่านั้นออกไปแล้วจึงพูดเสียงแข็งว่า “หลี่รั่วอวี๋ ที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลี่ของเจ้า คนเป็นนายไม่พอใจก็ลงมือ นั่นเป็นวิธีของเจ้าถิ่นกักขฬะ เจ้าเป็นฮูหยินซือหม่า ไปลงมือทำโทษบ่าวไพร่เองได้อย่างไร”
เขาย่อมไม่รู้ถึงการกระทำของซูเหมย คิดไปว่าหลี่รั่วอวี๋โมโหส่งเดช เขาเคยเห็นคนปัญญาอ่อนบางคนบนถนนอารมณ์ไม่ดีก็ทุบตีคนส่งเดช ป่าเถื่อนราวกับสัตว์ป่า คิดถึงหลี่รั่วอวี๋ว่ามีทีท่าจะเป็นเช่นนี้ ใจเขาก็รู้สึกเจ็บ แต่ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยตามใจนาง จนต่อไปหนักข้อกว่าเดิม
คำพูดใจดำโหดร้ายนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางรู้ว่าเขาโกรธแล้ว ความน้อยเนื้อต่ำใจของนางยังไม่คลายไปจึงพูดติดสะอื้นว่า “หวีผมให้รั่วอวี๋… เจ็บๆ…เจ็บมาก”
คราวนี้ฉู่จิ้งเฟิงยิ่งมั่นใจว่าหลี่รั่วอวี๋เอาแต่ใจจึงตัดสินใจจะดัดนิสัยของนาง จึงวางตัวนางลงบนเตียงอย่างแรง ปั้นหน้าบึ้งพูดว่า “หวีผมรู้สึกเจ็บก็ตีคน เจ้ายังนับว่ามีเหตุผลได้หรือ” พูดพลางดึงมือข้างหนึ่งของหลี่รั่วอวี๋มา แล้วตีสามทีด้วยน้ำหนักพอเหมาะ จากนั้นตำหนิว่า “ถ้าครั้งหน้าทำผิดอีก จะใช้ไม้ตี”
การตีสามทีนี้แม้จะไม่แรงมาก แต่เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่ามือแสบร้อน ความน้อยเนื้อต่ำใจระเบิดออกมาในทันที
นางโกรธจนตะโกนเสียงดัง กระโจนใส่ฉู่จิ้งเฟิง จับมือของเขาข้างที่ตีนางเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วกัดลงไปพลางยกมือขึ้นข่วนหน้าของเขา
ฉู่จิ้งเฟิงเจอศัตรูมานับไม่ถ้วน แต่หญิงบ้าแบบนี้ได้เจอเป็นครั้งแรก แม้จะยับยั้งนางได้อย่างไม่ต้องใช้แรงมาก แต่เห็นท่าทางนางทั้งข่วนทั้งกัดเช่นนี้ ขณะที่เขาโมโหก็รู้สึกว่าท่าทางเหมือนลูกสุนัขนี้ก็น่ารักมากเช่นกัน… เพียงแค่เหม่อก็ทำให้นางได้เปรียบ บนหน้าถูกข่วนเป็นรอยเลือดหนึ่งรอย
เขารีบยกมือสองข้างของนางขึ้น แล้วกดตัวนางลงบนเตียง “หลี่รั่วอวี๋! เจ้าเป็นบ้าอะไร เมื่อวานบอกว่าไม่อยากเป็นเหมือนชายผู้นั้นที่ทั้งทุบและพังของไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงลงมือทำร้ายคนเล่า”
ถูกเขาตะคอกเช่นนี้ ร่างเล็กใต้มือก็ตัวเกร็งไปทันที
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนั้นค่อยๆ ฉายความเศร้าใจจึงคลายมือ แล้วพูดตำหนิอีกว่า “ถ้ายังบ้าแบบนี้ต่อไป จะไม่ทุบตีแม้แต่ท่านแม่เจ้าหรอกหรือ ข้าว่าวันนี้อย่ากลับบ้านเลย เจ้าอยู่สำนึกในห้องนี้เถอะ”
พอพูดถึงตรงนี้ หลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้คลุ้มคลั่ง แต่ขดตัวเป็นก้อนกลม ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ทะลักล้นออกมา “ไม่! ข้าต้องการท่านแม่ ข้าจะกลับบ้าน!”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีคิดจะขู่นาง แต่เห็นนางร้องไห้เสียใจขึ้นมาจริงๆ ก็ใจอ่อนลงทันที จึงพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนลง “ถ้าเจ้าเป็นเด็กดี ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านแน่นอน ตอนนี้พูดสิว่าตัวเองทำผิดที่ใด”
หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนเลว คนผมขาวตรงหน้าเป็นอันดับแรก และเป็นผู้นำคนเลว ตอนนี้นางเพียงอยากจะกลับไปข้างกายท่านแม่ ได้ยินเขาพูดออกมาก็รีบวางมือลง ทำตาแดง พูดปนสะอื้นว่า “รั่ว… รั่วอวี๋ผิดไปแล้ว ไม่ควรตื่นขึ้นมาขอน้ำจากพี่สาวตอนดึก… ผมก็ต้องยอมให้นางกระชาก… ต่อไปรั่วอวี๋จะไม่ทุบตีคนแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทียังฟังด้วยรอยยิ้มยินดีบางๆ แต่ยิ่งฟังถึงส่วนหลัง สีหน้านั้นก็ยิ่งไม่น่าดู
คนเป็นชายแม้จะมีบางครั้งที่สะเพร่าไปบ้าง แต่เขารู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่มีทางโกหก ฟังความหมายในคำพูดนั้นแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็ได้รับความเจ็บช้ำใจจึงลงมือ
เขาพรวดลุกขึ้นยืน ตะโกนออกไปนอกห้องทันที “เข้ามาให้หมด!”
เหล่าสาวใช้บ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องตกใจจนหน้าซีด รีบเข้ามาคุกเข่าเต็มพื้นห้อง
“เมื่อคืนในห้องฮูหยินผู้ใดอยู่เวร”
ซูเหมยเห็นคนรอบข้างล้วนมองมาที่ตนเองจึงพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เรียนซือหม่า บ่าวเองเจ้าค่ะ…”
“เมื่อคืนตอนดึกฮูหยินเรียกขอน้ำดื่มจากเจ้าหรือ”
สีหน้าของซูเหมยเปลี่ยนไป เมื่อวานตอนพี่สาวกลับมา เห็นนางนอนอยู่ในห้อง จึงออกไปนอนพักนอกห้อง นอกจากซูซิ่วแล้ว ยังมีบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้าอยู่นอกห้อง หลี่รั่วอวี๋ตะโกนขอน้ำดื่ม คิดว่าบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นคงได้ยินเช่นกัน พูดบิดเบือนไม่ได้ จึงได้ฝืนใจตอบว่า “เป็นความผิดของบ่าวเอง เมื่อคืนนอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงเรียกของฮูหยิน…”
ชั่วขณะต่อมา ฉู่จิ้งเฟิงก็เตะเท้าออกไป
ซูเหมยถูกเตะไปติดบานประตู ก่อนจะร้องครวญด้วยความเจ็บปวด
“สารเลว! เมื่อวานถามเรื่องของฮูหยิน ถามอะไรเจ้าก็ไม่รู้ กลางคืนอยู่เวรเจ้ากลับนอนหลับเหมือนหมูตาย หวีผมก็ไม่รู้หนักเบา เอาคนอย่างเจ้ามาปรนนิบัติในห้อง ข้าว่าช้าเร็วเจ้าต้องยกตัวเองขึ้นมาเป็นนายแน่นอน! ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ท่านพี่ส่งมา ต้องไว้หน้านางบ้าง ข้าจะขายเจ้าออกนอกคฤหาสน์ไป! พ่อบ้าน! ลากนางกำนัลเลวผู้นี้ไปลงโทษตามกฎบ้าน! ไม่ต้องให้นางกลับมาในเรือนนี้แล้ว ต่อไปให้เป็นสาวใช้ทำงานใช้แรงเรือนนอกก็แล้วกัน!”
เหล่าบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้ดีต่อบ่าวไพร่พอใช้ได้ แม้ท่าทีจะเย็นชา เข้าหาได้ยาก แต่อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดสูงถูกเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เหมือนเจ้านายในคฤหาสน์อื่นที่ทรมานและทุบตีบ่าวไพร่
ซูเหมยนับว่าเป็นนางกำนัลที่มีหน้าตาพอสมควร วันนี้ถูกฮูหยินปัญญาอ่อนนั่งทุบตีบนตัว เดิมคิดว่าจะถูกซือหม่าตำหนิยกใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกซือหม่าเตะเข้าอย่างแรง ทั้งยังถูกไล่ออกจากเรือนในต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
ซูเหมยรู้สึกเสียใจ แต่ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว นางถูกปิดปากแล้วลากตัวออกไปทันที
บ่าวไพร่คนอื่นในห้องไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่คลายโกรธว่า “ครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าท่านหญิงเลือกมาให้ปรนนิบัติฮูหยินคนใหม่ สัญญาขายตัวของพวกเจ้าก็ย้ายมาที่สกุลฉู่ด้วย อีกไม่กี่วันก็ต้องกลับทางเหนือแล้ว ล้วนต้องติดตามไปด้วยกัน เดิมคิดว่าในเมื่อเป็นคนในจวนท่านหญิงคงจะรู้กฎระเบียบดี คิดไม่ถึงว่ายังมีบ่าวไพร่ที่ฝึกฝนไม่ได้อยู่ด้วย! แม้ฮูหยินจะป่วย แต่หากผู้ใดใช้เหตุผลนี้ลบหลู่ไม่ให้เกียรตินาง ถ้าข้ารู้ ครั้งหน้าจะไม่ใช้กฎบ้าน แต่จะใช้กฎทหาร โบยจนตายให้จบเรื่อง!”
เสียงพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ดัง แต่บ่าวทั้งห้องล้วนรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นจริงได้ทุกคำ ในจวนซือหม่าหากมีบ่าวไพร่ตายก็ไม่สนใจสัญญาขายตัวอะไร ทำเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเท่านั้น
ฉู่จิ้งเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็เลื่อนสายตาไปทางซูซิ่ว “เจ้ากับซูเหมยนั่นเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันสินะ”
ซูซิ่วฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงจึงตกใจจนหน้าซีด ขาอ่อนพับ ในใจนึกโกรธน้องสาวที่ไม่รู้ความของตนเอง เอาแต่ฝันกลางวัน ทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปด้วย นางจึงรีบโขกหัวแล้วพูดว่า “นายท่านใจกว้าง ยอมปล่อยน้องสาวที่ไม่รู้ความของบ่าว นางมือเท้าหนักมาแต่เด็ก ไม่เหมาะจะปรนนิบัติคนสูงศักดิ์อยู่แล้ว ตอนนี้ไปทำงานเรือนนอกก็เป็นผลลัพธ์ที่นางไม่รู้จักปรับปรุงตัว ขอนายท่านคลายโกรธอย่าให้กระทบถึงสุขภาพ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติฮูหยินอย่างเต็มที่ จะไม่ให้ฮูหยินไม่สบายตัวแม้แต่น้อย!”
ฉู่จิ้งเฟิงมองด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งก็รู้ว่าซูซิ่วเป็นคนขี้ขลาดและวางตัวอยู่ในกฎระเบียบ ไม่กล้าทำการแก้แค้นแน่นอน กอปรกับนางเป็นคนละเอียด ปรนนิบัติหลี่รั่วอวี๋นับว่าทำอย่างเต็มที่ หากเปลี่ยนนางไปก็น่าเสียดาย
การเชือดไก่ให้ลิงดูในครั้งนี้ มีน้องสาวให้เห็นเป็นตัวอย่าง เชื่อว่านางคงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย!
เขาจึงพูดสั่งการอีกหลายคำ แล้วให้ทุกคนออกไปจากห้อง
ตอนที่เขาพลิกม่านเตียงมองหญิงสาวบนเตียง หลี่รั่วอวี๋หยุดร้องไห้แล้ว แต่แววตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “พี่ฉู่เป็น… เจ้าถิ่น… กักขฬะหรือ ไปทุบตีบ่าวไพร่เองเช่นกันหรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงหน้านิ่ง รู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางในตอนนี้ไม่โง่ ทั้งยังใช้คำพูดของเขามาตบหน้าเขาเสียด้วย!
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.