X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยาใจโจรหมอ

ทดลองอ่าน ยาใจโจรหมอ บทที่สาม-บทที่สี่

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่สาม

เมื่อมองออกไปภายนอกหน้าต่าง ห่างออกไปไม่ไกล ใบหลิวโบกไหวอย่างไร้เรี่ยวแรง ควันไฟหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นไปบนท้องฟ้า หยาดฝนโปรยปรายพาให้ทุกสรรพสิ่งเปียกปอน

ในที่สุดผู้คนภายในโรงหมอจี้ซื่อก็พากันแยกย้ายจากไปจนหมด เหลือไว้เพียงบรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุม

เถาเม่ยเอ๋อร์เห็นเถาไป่เหนียนผู้เป็นบิดายังคงสวมอาภรณ์แขนสั้น โยนล่วมยาไปด้านข้าง จากนั้นก็เอาแต่เดินกลับไปกลับมาช้าๆ ภายในร้านไป่เฉ่าเองก็เงียบงันไม่มีการพูดจา นางรู้ว่าบิดากำลังทุกข์ใจกับคราวเคราะห์ครั้งนี้ จึงไม่มีแก่ใจจะออกนอกเมืองไปเก็บสมุนไพรอีก

เมื่อครู่เถาเม่ยเอ๋อร์เพิ่งไปเยี่ยมสวีฮูหยินมา เห็นอีกฝ่ายกินยานอนหลับสนิทไปแล้ว แต่พอนางนึกถึงสภาพสวีลี่คังน้ำตานองหน้า สวีฮูหยินแขนขาเป็นอัมพาตไร้กำลัง หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด สตรีผู้งดงามอ่อนช้อยและฉลาดเฉลียวอย่างสวีฮูหยิน เกรงว่าตลอดชีวิตนี้คงไม่อาจอยู่เคียงข้างสามีได้ตลอดเวลาอีกแล้ว

จากมหาสมุทรกลายเป็นท้องนา จากท้องนากลายเป็นมหาสมุทร การแปรผันของสรรพสิ่ง ที่แท้ก็เกิดขึ้นในพริบตาเดียวเท่านั้น นางไม่กล้าไปเยี่ยมสวีเทียนหลินที่อยู่ในสภาพตีอกชกหัวตนเองและมีสีหน้าทุกข์กังวลโดยไร้หนทางรับมือ จึงตัดสินใจอยู่อย่างนิ่งสงบและสุขุมดังเดิมเช่นนี้ต่อไป ด้วยไม่กล้าทำให้บิดาเป็นกังวล นางจึงทำได้เพียงลอบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเงียบๆ

แผ่นพุทราที่ใช้มีดซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษหั่นบางแต่ไม่ขาด ทั้งยังเท่ากันสม่ำเสมอ ถือเป็นสินค้าชั้นเลิศในการต้มชาพุทรา เมื่อนำแผ่นพุทราที่หั่นเรียบร้อยจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ตากแดดไว้บริเวณที่อบอุ่นที่สุดภายในลานเรือน ก็สามารถขจัดกลิ่นอับชื้นออกไปได้

เหตุใดคนเราจะต้องอยู่กับความทุกข์ใจตลอดไปด้วย มิสู้ดื่มชาพุทราหวานๆ เพียงแต่ความกังวลในใจยังคงไร้หนทางกำจัดจริงๆ

เถาจ้งซานมองดูบิดากับน้องสาวก่อนก้มศีรษะบดยาของตนเองต่อไป จินเจิ้งเองก็สูญเสียรอยยิ้มในยามปกติ ไม่กล้าส่งเสียงอีก เขาเอาแต่หยิบสมุนไพรชิ้นหนึ่งขึ้นมาพินิจด้วยใบหน้าเคร่งเครียด หลังใช้จมูกดมกลิ่นแล้วก็ยังใช้ฟันกัดดู จากนั้นจึงส่ายศีรษะอย่างแรง

เถาไป่เหนียนกำหมัดชกลงบนโต๊ะเก็บเงินที่มีรอยแตกเนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนานตัวนั้น หลังเสียงตึงดังสนั่นขึ้นก็คล้ายได้ยินเสียงบางสิ่งแตกหักสะท้อนกลับมา “บ้านเมืองอยู่ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ เพียงความวุ่นวายจากคนกลุ่มเดียว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะก่อเรื่องได้สำเร็จ!”

“ท่านพ่อ คนฉลาดต้องรู้จักอ่านสถานการณ์ ในสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีเป็นแผนการรับมือที่ดีที่สุด ข้าว่าพวกเราหาสถานที่แห่งหนึ่งหลบภัยชั่วคราวก่อนเถอะขอรับ”

เสียงตึงพลันดังขึ้นอีกครั้ง เถาไป่เหนียนแย่งสากบดยามาเคาะลงบนหน้าผากเถาจ้งซาน “หนี? หนีไปที่ใดกัน ทุกหนแห่งต่างเต็มไปด้วยภัยสงคราม หนีออกไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าศีรษะจะหลุดออกจากบ่ายามใด นอกจากนี้แม้จะหนีพ้นแต่ก็แค่ชั่วคราว ย่อมไม่อาจหนีได้ตลอดไป กิจการร้อยปีของสกุลเถาจะให้สิ้นสุดลงในมือเจ้ากับข้าอย่างนั้นหรือ จะให้ข้ามีหน้าไปพบบรรพบุรุษในปรโลกได้อย่างไร”

“ทำไมท่านต้องตีข้าด้วย” เถาจ้งซานลูบหน้าผากด้วยสีหน้าเสียใจ

“ทำไมข้าต้องตีเจ้า?!” เถาไป่เหนียนพ่นลมก่อนกล่าวอย่างเดือดดาล “จนถึงตอนนี้ วันๆ เจ้าเอาแต่เล่นสนุก ไม่ทำงานทำการ กระทั่งสรรพคุณของยาสมุนไพรก็ยังจดจำได้ไม่หมด เจ้า…จะให้ข้ายกกิจการของสกุลเถาให้เจ้าอย่างวางใจได้อย่างไร”

เถาจ้งซานก้มศีรษะอย่างละอายใจ ทว่าปากยังคงพึมพำกล่าว “ก็ยังมีเม่ยเอ๋อร์อยู่มิใช่หรือ”

“เจ้า…เจ้าลูกทรพีคนนี้! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเรื่องของเม่ยเอ๋อร์ร้ายแรงเพียงใดแล้ว ดีไม่ดีพวกเราทั้งครอบครัวยังจะต้องชดใช้ชีวิตไปด้วย!” เถาไป่เหนียนหวังให้บุตรชายได้ความขึ้นกว่านี้ จนตนเองแทบจะตีอกชกหัวขึ้นมา

ในที่สุดเถาจ้งซานก็ไร้วาจา เดินถอยไปข้างหลังหลายก้าว ก่อนจะหยิบสากขึ้นมาแล้วเริ่มบดยาใหม่อีกครั้ง

เถาไป่เหนียนถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจอย่างเจ็บปวด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ได้แต่แจ้งทางการแล้ว!”

“ไม่ ท่านพ่อ พวกเราจะแจ้งทางการไม่ได้เจ้าค่ะ” เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง

“เพราะอะไร” เถาไป่เหนียนไม่เข้าใจ เหตุใดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก บุตรสาวจึงยังใจเย็นเช่นนี้อยู่ได้

“ตอนนี้ฝ่าบาททรงฝักใฝ่แต่พระธรรม เสด็จไปบำเพ็ญทุกรกิริยาที่วัดถงไท่อยู่หลายครั้ง ราษฎรพากันคับแค้นใจ ส่วนรัชทายาทกลับเอาแต่สนใจโคลงกวีไปอย่างไร้ค่า ไม่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักใน ทุกวันนี้ขุนนางและชนชั้นสูงของต้าเหลียงกินดีอยู่ดี รู้จักแต่เสพสุข ทว่ามีสักกี่คนที่ทำเพื่อราษฎรจริงๆ ท่านพ่อลืมแล้วหรือเจ้าคะ ค่ายาที่ทางการติดพวกเราไว้หนก่อนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่นำมาคืน หากท่านพ่อไปหาพวกเขา มิใช่เป็นการมอบโอกาสให้พวกเขาคิดบัญชีหรอกหรือ มีขุนนางที่ชอบรับสินบนมากเพียงนี้ ต่อให้ไม่มีปัญหากับโจร ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็คงมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย กิจการต้องปิดตัวลงอยู่ดี”

“เรื่องนี้…” เถาไป่เหนียนสูดลมหายใจเข้าอย่างหนาวเหน็บ อดรู้สึกชื่นชมกับการมองการณ์ไกลของบุตรสาวไม่ได้ “แต่พวกเราจะรอให้พวกโจรมาสังหารเช่นนี้หรือ”

“ฟังจากที่หลินจื่อเฟิงกล่าวมา เขาเพิ่งเสียมารดาไป ย่อมไม่กล้าทำเรื่องชั่วช้าโดยไม่สนใจสายตาผู้อื่น หากแต่งภรรยาในทันทีเกรงว่าจะถูกผู้คนก่นด่าว่าเป็นบุตรอกตัญญูแน่นอน ช่วงนี้ลูกยังไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไร เพียงแต่การที่เขาจงใจมาหาเรื่องสกุลสวีเช่นนี้จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน”

“หืม?” เถาไป่เหนียนพลันกระตือรือร้นขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มีโอกาสแก้ไขบุญคุณความแค้นนี้หรือ”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ เทียบยานั้นของท่านลุงสวี ลูกดูแล้วไม่มีทางมีปัญหาอย่างแน่นอน ตัวยาสมุนไพรย่อมจะมาจากสกุลเถาของพวกเรา ลูกคิดว่าถ้าเกิดเทียบยาไม่มีปัญหา หรือว่า…จะเป็นสมุนไพรของเราที่เกิดปัญหาขึ้นมา?”

“ไม่ เป็นไปไม่ได้” เถาไป่เหนียนส่ายศีรษะพร้อมโบกมือ กล่าวอย่างไม่เชื่อถือ “สมุนไพรทุกชนิดจากร้านไป่เฉ่าของพวกเรา ข้าล้วนเป็นผู้ตรวจสอบด้วยตนเอง ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอน”

“ท่านพ่อ ลูกแค่กลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น” เถาเม่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เหลือบมองขวดน้ำเต้ายาสลักภาพปรมาจารย์ชื่อซงจื่อที่ด้านหลังบิดาคราหนึ่ง “เดิมการเป็นหมอรักษาผู้คนนับเป็นการสร้างบุญ แต่หากพลาดพลั้งหรือหย่อนยานไปก็อาจไม่ใช่การสร้างบุญอีก”

เมื่อเถาไป่เหนียนมองเห็นความกังวลใจพาดผ่านในดวงตาของบุตรสาวตน หัวใจก็พลันกระตุก เขาลอบมองลูกศิษย์ภายในร้านที่กำลังยุ่งวุ่นวายเงียบๆ ก่อนถอนหายใจแล้วหันตัวเดินจากไป

“ท่านพ่อ กองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น เคราะห์กรรมทั้งหมดของสกุลเถาจะต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงมั่นคงของเถาเม่ยเอ๋อร์ราวกับเสียงบทสวดที่ดังออกมาจากภายในวัด ชวนให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ

“คุณหนู หนก่อนท่านยังไม่ได้อธิบาย ‘คัมภีร์ยาสมุนไพร’ ให้ข้าฟังเลยขอรับ” จินเจิ้งผู้มีไหวพริบกล่าวทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในร้านไป่เฉ่า

“จริงด้วย น้องสาว เจ้าอธิบายให้พวกเราฟังอีกครั้งเถอะ!” เมื่อเถาจ้งซานเห็นว่าบิดาจากไปแล้วก็ผ่อนคลายลง พลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“ท่านหมอเถาหงจิ่งชื่อดังผู้นั้นเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราสกุลเถา แต่น่าเสียดายที่เมื่อมาถึงสมัยพวกเรากลับทำได้เพียงละทิ้งการรักษา มุ่งมั่นสู่ทาง ‘ยาสมุนไพร’ เท่านั้น ‘อรรถาธิบายคัมภีร์ยาสมุนไพร’ ได้ทำการเรียบเรียงและปรับปรุงยาสมุนไพรสามร้อยหกสิบห้าชนิดที่บันทึกอยู่ใน ‘คัมภีร์ยาสมุนไพรของเสินหนง’ ใหม่ทั้งหมด ทั้งยังได้เพิ่มตัวยาสมุนไพรเข้าไปจนมีเจ็ดร้อยสามสิบชนิด และได้แยกสมุนไพรออกเป็นสินแร่ พืช แมลง สัตว์ ผลไม้ ผัก และธัญพืช รวมเจ็ดประเภท นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมข้อมูลยาสมุนไพรในด้านการเก็บเกี่ยว การคัดแยก การปรุง การแปรรูป การเก็บรักษา และการใช้งาน แต่ข้ากลับคิดว่าต่อให้ยาสมุนไพรจะมีอยู่มากมาย ทว่าผู้เป็นหมอควรจดจำเอาไว้ข้อหนึ่ง คือเน้นใช้ยาสมุนไพรที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายให้มากเข้าไว้ นั่นจึงจะเรียกว่าเป็นการจัดยาเพื่อช่วยชีวิตคนจริงๆ”

“คุณหนูช่างมีจิตใจเมตตา ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจแล้วจริงๆ เมื่อวานมีท่านป้าคนหนึ่งขาดเงินอีกเล็กน้อย ข้าจึงไม่ได้มอบโป่งรากสนเต็มจำนวนให้นาง เช่นนี้เรียกว่าเห็นแก่เงินเกินไปใช่หรือไม่” จินเจิ้งมองเถาเม่ยเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง รอรับการตำหนิจากนาง

“จินเจิ้ง วันหน้าขอเพียงเป็นคนยากจนมาขอซื้อยา เจ้าก็ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรช่วยเหลือเสมอ!”

“ขอรับ คุณหนู”

“พี่ชาย ร้านไป่เฉ่าของสกุลเถาแห่งนี้ผ่านเรื่องยากลำบากมามากมาย อาศัยหยาดโลหิตของบรรพบุรุษพวกเรามาหลายรุ่น ถึงได้ตั้งอยู่ในสถานที่ที่โอ่อ่าที่สุดของเมืองเจี้ยนคังได้อย่างเข้มแข็ง ย่อมไม่อาจปล่อยให้ล่มสลายได้ในสมัยของเรา แต่จะต้องขยับขยายออกไปได้อีก ในอนาคตต้องหวังพึ่งพี่แล้ว พี่จะต้องอ่านตำราให้มาก ฝึกฝนให้มาก อย่าได้ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง” ฝีเท้าของเถาเม่ยเอ๋อร์พลันหนักอึ้งขึ้นมา ไม่รู้เหตุใดจึงพบว่าในทุกถ้อยคำของตนเองถึงแฝงไปด้วยความเสียใจของการจะต้องจากลา

“น้องสาว เจ้าวางใจได้”

เมื่อได้ยินคำตอบของพี่ชายในยามนี้ก็ทำให้เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกใจสงบยิ่ง นางตัดสินใจว่าจะเลิกคิดมากชั่วคราว รอให้เห็นการเคลื่อนไหวของบรรดาโจรเหล่านั้นอีกครั้งค่อยว่ากันใหม่ ต่อมาจึงขยับหมุนแขนที่เมื่อยล้ามาทั้งวัน ก่อนจะชงชาพุทราต่อ แล้วถือเดินผ่านห้องโถงหลักมุ่งไปยังห้องนอน

ท้องฟ้ามืดสลัว ฝนเทกระหน่ำ เงาต้นไม้ภายนอกหน้าต่างไหวเอน เมื่อผสานเข้ากับรสชาติหวานเลี่ยนของชาพุทรา ความเจ็บปวดที่ไม่อาจระบายก็ยิ่งสลักลึกลงในจิตวิญญาณของเถาเม่ยเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าหยาดฝนที่ตกลงมาเป็นเวลานานนี้สาดกระเซ็นมาบนโต๊ะตั้งแต่เมื่อใด

ภายในคันฉ่องสำริด คิ้วเรียวยาวบนใบหน้างามขมวดมุ่น หญิงงามที่เต็มไปด้วยเรื่องทุกข์ใจกำลังจมอยู่ในภวังค์

ระหว่างใจลอยนางก็เอื้อมมือไปเพื่อจะหยิบถ้วยชาพุทราอันเย็นชืด ทว่ากลับพบว่ามันไม่อยู่แล้ว

“ผู้ใด!” เสียงใสตวาด แต่กลับถูกผู้ที่มาใหม่ปิดปากเอาไว้

พอรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากบุรุษที่อยู่ข้างหลังนางก็ผ่อนคลายลง “เทียนหลิน เลิกเล่นได้แล้ว”

ร่างนางถูกจับหมุนให้หันกลับไป สวีเทียนหลินสวมอาภรณ์รัดกุม ที่ด้านหลังยังสะพายห่อผ้าขนาดใหญ่ กำลังมองสตรีในดวงใจตนเองด้วยแววตาที่เร่าร้อน

“เทียนหลิน เจ้าจะทำอะไรน่ะ”

“ไม่ ไม่ใช่ข้า แต่เป็นพวกเรา” นิ้วข้างหนึ่งของสวีเทียนหลินยังคงวางอยู่บนริมฝีปากนาง แสงเทียนวูบไหวยามราตรีทำให้เงาร่างของทั้งสองทอดลงบนหน้าต่างฉลุลายดอกไม้ หยาดฝนภายนอกยังคงตกกระทบลงบนช่องว่างระหว่างร่องไม้ของหน้าต่าง

นางไม่เข้าใจ ช่วงเวลาเป็นตายที่แทบจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้เช่นนี้ เหตุใดคู่หมั้นของนางจึงยังมีอารมณ์มากล่าวล้อเล่นเช่นนี้อีก

“เม่ยเอ๋อร์ ข้าคิดมานานแล้ว พวกเราไม่อาจนั่งรอความตายเช่นนี้ได้ พวกเราไปด้วยกันเถอะ ไปยังสถานที่ที่ผู้อื่นตามหาไม่พบ อาศัยวิชาแพทย์ของพวกเรา สามีภรรยาร่วมใจ จะต้องไร้กังวลเรื่องปากท้อง ใช้ชีวิตดุจเทพเซียนได้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินบุรุษตรงหน้ากล่าววาจานี้ออกมาอย่างง่ายดาย นอกจากความตกใจแล้ว ในใจเถาเม่ยเอ๋อร์ยังเกิดระลอกความหนาวเหน็บขึ้นมา

“เทียนหลิน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ตอนนี้ท่านป้ายังนอนป่วยอยู่บนเตียงอยู่เลย ไม่รู้ว่าโจรเหล่านั้นจะบุกเข้ามาสังหารคนวางเพลิงอีกเมื่อใด เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากพวกเราหนีไป ทั้งคนใกล้ตัวของพวกเรา รวมถึงทุกอย่างของสกุลสวีและสกุลเถาทั้งสองสกุลก็ต้องย่อยยับไปหมดด้วย!”

“เรื่องมาถึงวันนี้ ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องราวมากมายเหล่านั้นแล้ว” สวีเทียนหลินโอบร่างนางพลางกล่าวสะอึกสะอื้น “ข้าไม่อาจอยู่โดยปราศจากเจ้า ข้าไม่อาจมองดูเจ้าถูกโจรแย่งตัวไปกับตา ข้าไม่เชื่อว่าข้าสวีเทียนหลินจะไม่มีวาสนาได้มีการแต่งงานที่งดงามเช่นนี้”

“เทียนหลิน ยามนี้เหนือใต้ประจันหน้ากัน บรรดาอ๋องล้วนแต่รอโอกาสในการก่อกบฏ ราษฎรอาจพลัดถิ่นได้ทุกเมื่อ ยังจะมีสถานที่ใดให้พวกเราตั้งตัวได้อีก”

“พวกเราเดินทางไปเจียงหลิงสิ นับแต่โบราณมาดินแดนจิงฉู่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากความสามารถ นอกจากนี้ยังมีกองทัพของเซียงตงอ๋องคอยปกป้องอยู่ เมื่อไปถึงที่นั่นจะต้องมีที่ให้พวกเราอย่างแน่นอน”

“ทว่าพวกเราไม่อาจละทิ้งคำสอนของบรรพบุรุษ การทอดทิ้งครอบครัว สำหรับพวกเราแล้วก็คือการทอดทิ้งศักดิ์ศรี ถือเป็นนักโทษของตระกูล”

“ข้าไม่สนใจเรื่องคำสอนหรือศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น ข้าต้องการแค่เจ้า เม่ยเอ๋อร์!” ลมหายใจของสวีเทียนหลินหนักหน่วง ดูกระวนกระวายผิดปกติถึงขั้นเสียการควบคุมอยู่บ้าง “จัวเหวินจวินกับซือหม่าเซียงหรู สามารถหนีไปด้วยกันได้ กระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานอันงดงาม แต่เหตุใดหากพวกเราไปด้วยกันกลับกลายเป็นนักโทษของตระกูลเล่า ข้าไม่ยอม ไม่ยินยอม!”

“เทียนหลิน ข้าไม่ใช่จัวเหวินจวิน เจ้าเองก็หาใช่ซือหม่าเซียงหรู ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ ข้าไม่มีวันไปกับเจ้า!” เถาเม่ยเอ๋อร์กล่าวพร้อมผลักสวีเทียนหลินออกไป

“ทำไม เพราะอะไร” สวีเทียนหลินคาดไม่ถึงว่านางจะทำลายกำแพงเมืองหมื่นลี้ที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาอย่างง่ายดาย ด้วยความร้อนใจเขาจึงออกแรงโอบกอดนางแน่นและระดมจุมพิตอย่างบ้าคลั่ง “ไปด้วยกันกับข้า เม่ยเอ๋อร์ ข้าไม่อาจเสียเจ้าไป!”

เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่าใบหน้าตนเองมีน้ำตานอง ความเจ็บปวดราวถูกฉีกกระชากดวงใจพลันจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง

“รีบเก็บของ แล้วก็รีบตามข้าไป หากช้าจะไม่ทันการณ์ เร็วเข้า!” สวีเทียนหลินจับมือเย็นเฉียบของนางแน่น กำไลมุกวงนั้นยังคงอยู่บนข้อมือนางอย่างดี

เถาเม่ยเอ๋อร์ยกมือข้างขวาที่สวมกำไลมุกวงนั้นขึ้นมาอย่างโมโห

เสียงเพียะดังขึ้นในยามค่ำคืนอันเงียบสงัดซึ่งมีกลีบดอกไม้หลากสีร่วงหล่นเพราะสายฝน มิต่างจากคนทางนี้ที่หยาดน้ำตากำลังไหลรินอย่างเงียบงัน

“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าตบข้า?” สวีเทียนหลินกุมแก้มอันปวดแสบ มองไปที่เถาเม่ยเอ๋อร์ผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เถาเม่ยเอ๋อร์มองบุรุษตรงหน้าอย่างผิดหวัง นางเคยมอบความรู้สึกให้เขาอย่างเต็มที่ ทว่าเขากลับเดินไปบนเส้นทางที่ทรยศต่อคนในครอบครัว

“ข้าอยากตบเจ้ายิ่งนัก ตบให้บุรุษตาบอดหูหนวกเช่นเจ้าตื่นขึ้นมา!” นางกัดฟัน ปรารถนาให้สายฝนนี้สามารถชะล้างหัวใจเปื้อนฝุ่นดวงนั้นของเขาไปเสีย

“เม่ยเอ๋อร์”

นี่เป็นเสียงเรียกของเถาจ้งซาน ทว่าน้ำเสียงเช่นนี้ในราตรีอันเงียบสงัดกลับแสดงออกถึงความสิ้นหวังยิ่งนัก ทั้งยังเอ่อล้นไปด้วยความหวาดกลัว

เถาเม่ยเอ๋อร์หัวใจกระตุกคล้ายกับได้กลิ่นอายอันตราย

ไม่นะ! นางกลับตัวพุ่งออกไปข้างนอก เสียงนั้นดังมาจากห้องนอนของบิดา

จินเจิ้งที่เร่งรีบมาหลังได้ยินเสียงของเถาจ้งซานกำลังร่ำไห้อย่างเจ็บปวดพร้อมชี้มือสั่นระริกเข้าไปในห้อง

ยังไม่ทันเข้าไปก็ได้กลิ่นยาสมุนไพรอันฉุนจัด เถาเม่ยเอ๋อร์คุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี นี่คือตำรับยาที่ใช้รักษาไข้หนาวลมโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับสมุนไพรอื่นๆ เมื่อสูดดมนานเข้าก็จะไม่รู้สึกถึงความฉุนของมันอีก

เถาไป่เหนียนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะหนังสือ สีหน้าดำคล้ำ ร่างแข็งทื่อ ไม่หลงเหลือพลังชีวิตอีกแล้ว บนโต๊ะยังวางยาที่ดื่มใกล้หมดเอาไว้

“ท่านพ่อ!”

ภาพเบื้องหน้าเถาเม่ยเอ๋อร์พลันดำมืด ร่างของนางฟุบลงไปกองอยู่กับพื้น

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรเถาเม่ยเอ๋อร์ถึงค่อยได้สติกลับมา พบว่าข้อมือกับศีรษะตนเองเจ็บปวดเล็กน้อย มีเข็มเงินเล่มบางฝังอยู่เต็มไปหมด สวีเทียนหลินเหงื่อออกเต็มศีรษะ ทั้งยังมีอาการกระสับกระส่ายผิดธรรมดา ดูเขากำลังยุ่งวุ่นวายกว่าปกติ

นางยื่นมือซ้ายมาถอนเข็มเงินจำนวนมากเหล่านั้นออกด้วยตนเอง ก่อนทอดสายตามองไปยังร่างภายใต้ผ้าขาวของบิดาอย่างเหม่อลอยและว่างเปล่า ทั้งหมดนี้ดุจน้ำป่าไหลหลากจากภูเขา ซัดสาดไปไกลนับพันลี้ พัดโถมเศษซากแห่งความสิ้นหวัง กลืนกินความคิดของนาง

สวีลี่คังที่เร่งรีบมาหลังได้ยินข่าวก็ต้องน้ำตานองหน้าอีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าศพของสหายรักอย่างจนปัญญา “หมอไม่อาจรักษาตนเอง ข้าทุ่มเทเป็นหมอมาหลายปีกลับไม่อาจช่วยชีวิตภรรยาและสหายของตนเองได้ ข้าจะทนรับเรื่องเหล่านี้ไหวได้อย่างไร”

“ท่านลุง ท่านพ่อถูกพิษจนเสียชีวิตหรือเจ้าคะ”

สวีลี่คังผงกศีรษะ กล่าวเสียงกลั้นสะอื้น “ดูจากอาการแล้ว เขาถูกพิษจากซิ่นสือ”

เถาเม่ยเอ๋อร์ผลักสวีเทียนหลินออก ฝืนกายเดินไปถึงข้างร่างของบิดาพร้อมร่ำไห้กล่าว “ล้วนเป็นความสะเพร่าของเม่ยเอ๋อร์ ทำให้ท่านพ่อไม่อาจอยู่จนแก่เฒ่าอายุยืนนานได้”

“เหตุใดสหายเถาจึงถูกพิษซิ่นสือ” สวีลี่คังไม่กระจ่าง

เถาเม่ยเอ๋อร์จับจ้องไปที่พี่ชาย เถาจ้งซานตัวสั่นเทา ร้องไห้จนหอบหายใจแทบไม่ทัน

“พี่ชาย ท่านพ่อกินอะไรเข้าไปกันแน่”

เถาจ้งซานหวาดผวา ล้วงก้อนกระดาษก้อนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนโยนเบาๆ ส่งไปให้นาง

เถาเม่ยเอ๋อร์คลี่ออกอ่าน นี่ก็คือเทียบยาแก้ไข้หนาวลมแผ่นนั้น

สวีลี่คังถามเสียงสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “เหตุใดเทียบยานี้จึงมาอยู่ที่นี่ได้”

เถาเม่ยเอ๋อร์น้ำตานองหน้า นางรู้ว่าด้วยนิสัยของบิดาไม่มีวันปล่อยข้อบกพร่องและข้อสงสัยใดๆ ไป เขาคงอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง จึงสั่งให้คนไปต้มยาแบบเดียวกันนี้มาให้ ก่อนดื่มลงไปด้วยตนเอง

“เมื่อคืนหลังท่านพ่อดื่มยาลงไปยังบอกข้าว่า ‘ข้าไม่เชื่อว่าหลังดื่มยาเทียบนี้แล้วจะเสียชีวิตได้จริงๆ ข้าจะพิสูจน์ให้คนชั้นต่ำนั่นดูด้วยตนเอง ชื่อเสียงร้อยปีของสกุลเถาของพวกเราไม่ใช่ได้มาเพราะโชค’ ” เถาจ้งซานใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาไปพลางทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้นไปพลาง

“ท่านลุง เห็นทีสมุนไพรจากสกุลเถาของเม่ยเอ๋อร์จะเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเทียบยาเลยสักนิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่มีความแค้นกับสกุลเถา ถึงได้เล่นงานพวกเราอย่างไร้เมตตา ทำให้ท่านพ่อต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

เถาเม่ยเอ๋อร์พลันคุกเข่าลงเบื้องหน้าสวีลี่คังแล้วโขกศีรษะอย่างนอบน้อม

“ท่านลุงที่เคารพ โปรดรับการคำนับจากเม่ยเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ! สกุลเถาของเม่ยเอ๋อร์เป็นผู้มีความผิด แต่ลำบากไปถึงท่านป้าจนอาการป่วยกำเริบ ทำให้ท่านลุงต้องได้รับความตกใจแล้ว”

สวีลี่คังทนไม่ได้รีบพยุงนางลุกขึ้นมา “ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย ตอนนี้ควรมาคิดกันว่าจะผ่านคราวเคราะห์ตรงหน้านี้ไปอย่างไรดี”

“ท่านลุงวางใจเถิด เม่ยเอ๋อร์จะต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด แล้วก็จะคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ท่านพ่อด้วย!”

กล่าวมาถึงตรงนี้พลันได้ยินเสียงปรบมือดังกังวานขึ้น “เยี่ยม ยอดเยี่ยม นึกไม่ถึงว่าเม่ยเอ๋อร์จะเป็นสตรีตรงไปตรงมาผู้หนึ่งจริงๆ ข้าไม่ได้มองพลาดไปเลย!”

ถ้อยคำยังกล่าวไม่ทันจบ เงาร่างวูบไหวสีขาวที่ราวกับโผล่มาจากแสงอรุณทางทิศตะวันออกซึ่งแฝงกลิ่นอายสดชื่นของหญ้าภูเขาก็มาถึง

“เจ้ามาทำอะไร ยังไม่ถึงกำหนดเวลา!” สวีเทียนหลินถลึงตาใส่อย่างโมโห ตั้งใจจะพุ่งไปข้างหน้าทว่ากลับถูกบิดาขัดขวางเอาไว้

“ข้าย่อมมาหาคู่หมั้นของข้า มีสิ่งใดผิดหรือ” หลินจื่อเฟิงยิ้มบางๆ อาภรณ์เรียบง่ายบนร่างพลิ้วไปตามแรงลม ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นเหนือผู้อื่น สง่างามดุจเทพเซียน ซ้อนทับกับภาพปรมาจารย์ชื่อซงจื่อที่อยู่ด้านหลัง

“หลินจื่อเฟิง เป็นสกุลเถาของพวกเราที่ติดค้างหนี้ชีวิตเจ้า ท่านพ่อข้าทดลองดื่มยาด้วยตนเอง ยามนี้ได้ชดเชยหนึ่งชีวิตให้เจ้าแล้ว หรือเจ้ายังไม่คิดเลิกราอีก!” เถาเม่ยเอ๋อร์น้ำตานองหน้า มองผู้ที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างเดือดดาล

“อะไรนะ!” หลินจื่อเฟิงมีสีหน้าตกใจ ยามนี้ถึงเพิ่งตระหนักว่าสกุลเถามีผู้จากไปแล้ว “หืม? หากกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่าความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจของข้าทำให้เจอคนร้ายตัวจริงเข้าหรือ”

“หลินจื่อเฟิง เจ้าไม่ต้องเรียกความสนใจจากเม่ยเอ๋อร์ หากต้องการชีวิตก็พุ่งเป้ามาที่ข้าเสีย!” สวีเทียนหลินยังคงไม่เต็มใจยอมรับผลเช่นนี้

“นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเม่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการให้มีคนนอกมาสอดมือ!” หลินจื่อเฟิงปรายตามองสองพ่อลูกสกุลสวีอย่างเหยียดหยามก่อนหันกายกลับมา

“เม่ยเอ๋อร์ขอร้องให้ท่านลุงไม่ต้องเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ เม่ยเอ๋อร์ต้องการสนทนากับหลินจื่อเฟิงตามลำพังเจ้าค่ะ”

เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่อยากทำให้สกุลสวีต้องลำบากไปด้วย จึงคำนับสวีลี่คังอีกครั้ง

“เรื่องนี้ข้าจะให้สตรีบอบบางเช่นเจ้าเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร มิใช่ผิดต่อดวงวิญญาณของท่านพ่อเจ้าหรอกหรือ” สวีลี่คังเองก็เป็นผู้มีไมตรีลึกซึ้ง ไม่ยอมถอนตัวไม่เกี่ยวข้อง

“หลินจื่อเฟิง เจ้าไม่กลัวข้าแจ้งทางการจับเจ้าเข้าคุกรึ” สวีเทียนหลินทนไม่ไหวอีกต่อไป ถลึงตากว้างอย่างอำมหิต

“ฮ่าๆๆ หากเจ้าไม่กลัวว่าถนนยาวสิบลี้แห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่รกร้างก็เชิญตามสะดวก!” หลินจื่อเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ท่วงท่าองอาจไม่ยำเกรง

“เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นเกินไปนัก!” เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากสวีเทียนหลินปูดโปนขึ้นมา เขาแทบอยากสังหารอีกฝ่ายเสียทันที แต่ด้วยเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเถาเม่ยเอ๋อร์จึงยังไม่กล้าลงมือ

ยามนี้ระยะห่างระหว่างเถาเม่ยเอ๋อร์กับหลินจื่อเฟิงมีเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น

เถาเม่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น จู่ๆ พลันจับจ้องไปที่ลิ้นชักไม้สีแดงที่เรียงรายอยู่ข้างล่างโต๊ะเก็บเงิน ก่อนลุกพรวดขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ชั้นล่างสุดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหยิบกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออกดู

ทว่าภายในกล่องไม้นั้นกลับว่างเปล่า

“พี่ชาย ซิ่นสือก้อนนั้นเล่า” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าชีวิตตนเองกำลังหลุดลอยไปทีละเล็กทีละน้อยจนแทบจะหายใจไม่ออก เดิมคิดอยากนำซิ่นสือก้อนนี้ออกมาเป็นเบี้ยสำหรับการเจรจาต่อรองกับหลินจื่อเฟิง กลับไม่รู้เลยว่าจะเป็นเพราะความโง่เขลาของคนในครอบครัวตนเองที่ทำลายทุกสิ่งอย่าง

เถาจ้งซานที่เอาแต่ยืนเหม่ออยู่ด้านข้างดุจเพิ่งตื่นจากฝัน กล่าววาจาสะเปะสะปะ “อะไรนะ นั่นไม่ใช่หวาสือ (แร่หินสบู่) ที่เจ้าให้ข้าบดมาเตรียมไว้ใช้หรอกหรือ”

“พี่ชาย…ท่าน!”

อวัยวะภายในราวถูกมีดคมกรีดเฉือนทีละชุ่นๆ ม่านหมอกแผ่ขยายเต็มนภาบดบังภาพเบื้องหน้า เสี้ยวเวลานี้ดุจดื่มสุราพิษ ความแสบร้อน ปวดเกร็ง สิ้นหวัง และพร่ามัวค่อยๆ แผ่ลามเข้ามา

ยาเสริมฤทธิ์ของตำรับยานั้นก็คือหวาสือ มีสรรพคุณช่วยหล่อลื่น ช่วยในเรื่องการไหลเวียนของน้ำ จึงนำมาใช้ในตำรับยาที่เกี่ยวกับการรักษาอาการขาดน้ำ เกรงว่าพี่ชายผู้เลอะเลือนของนางจะเตรียมยาผิด นำผงซิ่นสือมาใช้แทนผงหวาสือ เคราะห์กรรมครั้งนี้ของสกุลเถาย่อมไม่อาจหลีกหนีได้อีก

สวีลี่คังเห็นสภาพอยู่มิสู้ตายของเถาเม่ยเอ๋อร์ก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาอดรู้สึกโศกเศร้าอย่างหนักไม่ได้

“เม่ยเอ๋อร์ เจ้ากล่าวว่านั่นคือซิ่นสือ แสดงว่าข้าทำผิดอีกแล้วหรือ” ยามนี้เถาจ้งซานราวกับยอดเขาที่แข็งทื่อ ไม่มีความเอาแต่ใจเย้านกหยอกดอกไม้เฉกเช่นปกติอีก

“ใช่แล้ว พี่ชาย ความผิดครั้งนี้ที่ท่านกระทำไม่อาจให้อภัยได้” แววตาเถาเม่ยเอ๋อร์เลื่อนลอย มองไปรอบๆ ร้านไป่เฉ่าอย่างว่างเปล่า สัมผัสได้เพียงความเงียบงันอันน่ากลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน

เถาจ้งซานมองไปที่ศพของบิดาอย่างโง่งม ก่อนพุ่งไปฟุบตัวลงบนร่างที่นอนแน่นิ่งด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด ร้องไห้โฮเสียงดัง “ท่านพ่อ ไม่ใช่ข้านะ ไม่ใช่ข้า ท่านด่าข้า ทุบตีข้าเถอะ เป็นข้าที่ไม่ได้ความเอง” ร้องไห้ไปร้องไห้มา เขาพลันกลิ้งไปบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงดัง “ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ว่าท่านไม่มีทางโทษข้า ข้ารู้…”

จินเจิ้งที่ร้องไห้จนแทบหมดลมไปแล้วดิ้นรนลุกขึ้นมา ฉุดกระชากคุณชายของตนเองแล้วพาไปยังห้องด้านหลัง สวีลี่คังและสวีเทียนหลินสองพ่อลูกมองอย่างตกตะลึง ไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ยอีก

เรื่องราวที่เจ็บปวดและโศกเศร้าที่สุดบนโลกมนุษย์ ไม่มีเรื่องใดหนักหนาไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว ดวงตาที่พร่ามัวทำให้เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่อาจแยกแยะภาพที่ขาวโพลนตรงหน้าว่าที่สุดแล้วผู้ใดถูกผู้ใดผิดได้อีก

นางไม่อยากตำหนิความไร้สามารถและความเลอะเลือนของพี่ชายอีกต่อไป แล้วก็ไม่อยากสนใจการตอแยของสวีเทียนหลิน นางรู้ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ทำกรรมย่อมมีผลตามสนอง นี่ก็คือชะตาชีวิตของตนเอง

นางถอดกำไลมุกที่สวมบนข้อมือมานานแปดปีวงนั้นออกช้าๆ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาสวีเทียนหลิน “เทียนหลิน วาสนาระหว่างข้ากับเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว ข้าทำผิดต่อสกุลสวี ทำผิดต่อท่านป้า ไม่อาจเป็นสะใภ้ของสกุลสวีได้อีกต่อไป”

สวีเทียนหลินไม่ยอมรับกำไลมุกวงนั้น ระหว่างที่ดึงรั้งกันไปมาเชือกแดงก็พลันขาดลง ไข่มุกเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นกลิ้งหายไปตามรอยแยกของโต๊ะเก็บเงิน ยากจะตามหามาได้ครบอีก

นางหันกายกลับมาพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่อ้างว้าง น้ำตาหลั่งริน “หลินจื่อเฟิง สกุลเถาของข้าติดค้างเจ้า ข้ายอมให้เจ้าจัดการได้ตามใจ แต่ว่าเจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

“หืม?” หลินจื่อเฟิงสลายกลิ่นอายเหี้ยมโหดออกไปแล้ว เขารับคำด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวั่นไหว

“ต้องรอให้ข้าฝังศพท่านพ่อเรียบร้อยและผ่านช่วงเวลาไว้ทุกข์จนครบกำหนดก่อน ข้าจึงจะติดตามเจ้าไปได้”

ถ้อยคำยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงสวีเทียนหลินดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ไม่! เม่ยเอ๋อร์ เจ้าจะละทิ้งสายสัมพันธ์ระหว่างเราไปโดยง่ายเช่นนี้จริงๆ หรือ เจ้าเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรมเช่นนี้หรือ!”

เถาเม่ยเอ๋อร์ปิดดวงตาที่ชุ่มน้ำของตนก่อนกล่าวอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “นี่เป็นบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้สกุลเถาของพวกเรา พวกเราก็ควรจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อลบล้างความผิด นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำได้ ขอโทษด้วย”

สวีเทียนหลินพยายามพุ่งเข้าไปหานาง ทว่ากลับถูกหลินจื่อเฟิงขัดขวางเอาไว้อย่างง่ายดายจนต้องขยับถอยออกไปหลายก้าว เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนพยายามดิ้นรนดูอีกครั้ง

ได้ยินเสียงดังกังวานขึ้นอีกหน ครั้งนี้เป็นสวีลี่คังที่ลงมือตีบุตรชายด้วยตนเอง

“ท่านพ่อ ท่านเองก็ตีข้า?”

“ใช่ ข้าตีเจ้า! ลูกชาย เจ้าช่างเลอะเลือนยิ่งนัก! สรรพสิ่งในใต้หล้ามีเติบโตมีถดถอย ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว ไม่อาจฝืนบังคับได้!”

สวีเทียนหลินนิ่งอึ้ง หยาดน้ำตาหลั่งริน เขาก้าวถอยไปข้างหลังอย่างห้ามไม่อยู่

“ท่านลุง เชิญพวกท่านกลับไปพักผ่อนเถิด เม่ยเอ๋อร์ยังมีเรื่องที่จะต้องสนทนากับหลินจื่อเฟิงเจ้าค่ะ”

สวีลี่คังผงกศีรษะ เขาประคองบุตรชาย ก่อนทอดถอนใจกล่าวกับเถาเม่ยเอ๋อร์ “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถจัดการปัญหาของสกุลเถาได้อย่างเรียบร้อย”

เถาเม่ยเอ๋อร์มองส่งสองพ่อลูกสกุลสวีจากไปแล้วถึงได้หันหน้ากลับมากล่าวกับหลินจื่อเฟิงที่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดจา “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่แค่คนเดียว”

“ทำไมเล่า เจ้าคิดว่าข้าหลินจื่อเฟิงมาเยี่ยมเยียนคู่หมั้นของตนเองยังต้องพาพี่น้องมาด้วยอีกหรือ ข้าหลินจื่อเฟิงเป็นบุรุษผู้หนึ่ง แม้จะคลุกคลีอยู่ในป่าเขา แต่ก็ไม่เคยกระทำเรื่องที่ผิดต่อคุณธรรม!”

เถาเม่ยเอ๋อร์มองสบตากับเขาอย่างเคร่งขรึม ในดวงตาของบุรุษผู้นี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นที่ไม่อาจเลิกราอีก หากกลับกลายเป็นสายตาที่กำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างแทน

“เช่นนั้นข้าขอให้เจ้าปล่อยพี่ชายของข้าไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เจตนา หากเจ้ามีความแค้นก็ขอให้เอามาลงที่ข้า!”

“หืม?” หลินจื่อเฟิงนิ่งเงียบไปสักพักก่อนกล่าว “ได้ แต่เจ้าเองก็ต้องรับปากข้าหนึ่งเงื่อนไข!”

“ข้ายังมีสิทธิ์ต่อรองกับเจ้าได้อีกหรือ เชิญกล่าวมาได้เต็มที่”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะมาอาศัยอยู่ที่ร้านไป่เฉ่า ทุกเรื่องภายในร้านไป่เฉ่าจะต้องฟังคำสั่งจากข้า”

“หลินจื่อเฟิง เจ้าจะมาซ้ำเติมข้า ทำให้ข้าขายหน้า หรือคิดจะมาทำการกุศลกันแน่?” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าในหัวใจมีโลหิตเดือดพล่านจนแทบกระอักออกมาจากปาก นางจึงกัดฟันกล่าว

“นั่นก็แล้วแต่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าพวกเราต่างก็เป็นผู้ที่ประสบเคราะห์เหมือนกันหรอกหรือ” หลินจื่อเฟิงลอบสูดลมหายใจ ตระหนักว่าการเสแสร้งของตนกำลังถูกสตรีตรงหน้าทำลายลงไปทีละน้อย หัวใจที่ปิดตายเพราะความแค้นเคืองกำลังค่อยๆ หลอมละลายลงด้วยกลิ่นหอมของยาและความอบอุ่นที่ตลบอบอวลอยู่ภายในร้านไป่เฉ่า

เถาเม่ยเอ๋อร์สัมผัสได้ว่าสติการรับรู้ของตนเองกำลังเลือนรางลงไปช้าๆ นึกไม่ถึงว่าร่างกายจะไม่อาจทนรับความจริงอันโหดร้ายรุนแรงดุจพายุฝนโหมกระหน่ำเช่นนี้ได้อีกต่อไป ภาพตรงหน้าพลันแตกเป็นประกายระยิบระยับ ความมืดมิดหนักอึ้งทาบทับลงมาราวกับผ้าม่านผืนใหญ่

บทที่สี่

ราวกับคลื่นลมทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงภาพที่ตนเองกับเถาจ้งซานแอบมองบิดาปรุงยาสมุนไพร ยาสมุนไพรของสกุลเถาคุณภาพดี ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชม ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดจากขั้นตอนการปรุงยาที่ระมัดระวังรอบคอบยิ่ง ไม่เคยบกพร่องมาก่อน ทุกๆ ขั้นตอนล้วนไม่อาจหย่อนยาน ไม่มีวันเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแน่นอน แล้วจะไปทำร้ายชีวิตผู้อื่นได้อย่างไร

“ไม่…ไม่…เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อ” เถาเม่ยเอ๋อร์ร้องเรียกเสียงต่ำ ยามที่ตื่นขึ้นมาสัมผัสได้ว่าทั้งร่างเปียกชุ่ม ในตอนที่กำลังสงสัยว่าเมื่อครู่ตนเองหมดสติไปได้อย่างไรก็พลันพบว่าเงาร่างของหลินจื่อเฟิงกำลังเดินผ่านห้องโถงกว้างเข้ามา ก่อนมาหยุดยืนบดยาสมุนไพรอยู่ใกล้ๆ เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกได้ว่าบนร่างของนางยังมีกลิ่นเบาบางของยาสมุนไพรอยู่ด้วย

“เจ้า?” นางใช้ปลายลิ้นแตะเพดานปากก่อนจะกล่าวอย่างตกใจ “เจ้าเป็นคนป้อนยาให้ข้าหรือ เจ้าให้ข้ากินยาอะไร แล้วเอาเทียบยามาจากไหน”

นางฝืนร่างกายลุกขึ้นยืน เห็นเพียงเขาหลบเลี่ยงสายตาของนาง ยังคงบดยาสมุนไพรต่อไป

“เจ้าเป็นคนเขียนเทียบยาเองหรือ”

นางรู้ว่าแม้ร้านไป่เฉ่าจะสะสมสมุนไพรไว้แทบทุกชนิด แต่ความรู้ด้านการจัดยานั้นหาใช่สิ่งที่สามารถซึมซับได้ในระยะเวลาอันสั้น อีกอย่างเขาย่อมไม่ไปขอให้คนสกุลสวีเขียนเทียบยาให้แน่นอน หรือจะบอกว่าเขาเขียนเทียบยาเองจริงๆ

เขานิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่ยอมตอบข้อสงสัยของนาง เพียงกล่าวออกมาว่า “ดูท่าร้านไป่เฉ่าแห่งนี้จะมีแต่ชื่อเสียงเท่านั้น วันพรุ่งนี้ข้าต้องออกไปหาสมุนไพรตัวหนึ่งแล้ว”

“สมุนไพรอะไร”

“ไป๋จื่อ” เมื่อเขาสลัดท่าทีของโจรทิ้งไป กระทั่งน้ำเสียงที่พูดก็ฟังดูหนักแน่นขึ้นมา

ไป๋จื่อ? เถาเม่ยเอ๋อร์ใจเต้นแรง เขาไฉนเลยจะรู้ นามไป๋จื่อนี้เดิมทีเป็นชื่อของสวีฮูหยิน แต่เป็นเพราะเขาที่ทำให้สองสกุลไม่อาจมีวันเวลาอันสงบสุขได้อีก เขาต่างหากจึงจะเป็นตัวการที่แท้จริง ตอนนี้ยังมีสิทธิ์อะไรมาทำลายชื่อเสียงของร้านไป่เฉ่าอีก

นางฝืนเดินไปที่หน้าลิ้นชักยาวลิ้นชักหนึ่งก่อนออกแรงดึงออกมา ภายในนั้นเต็มไปด้วยไป๋จื่อเต็มลิ้นชัก หน้าตัดเรียบสีสันสดใหม่ วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ นับเป็นของชั้นเลิศ “ผู้ใดบอกว่าร้านไป่เฉ่าของเรามีแต่ชื่อเสียง ของพวกนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ”

เขามองแล้วยิ้มบางๆ พร้อมส่ายศีรษะ ท่าทางไม่สะทกสะท้าน “ข้าหลงคิดว่าเม่ยเอ๋อร์เป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง ที่แท้ก็แค่นี้!”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” นางข่มกลั้นคาวโลหิตที่พุ่งขึ้นมาถึงลำคอ ยิ่งมองตัวเขาไม่กระจ่างมากขึ้นทุกที

“ที่ข้าอยากได้ไม่ใช่ไป๋จื่อทั่วไป ข้าอยากได้เตียนไป๋จื่อ”

“เจ้าเป็นใครกันแน่”

โดยไม่รอให้เขาพูดจบนางก็ต้องตกตะลึง ดูจากระดับความคุ้นเคยที่เขามีต่อยาสมุนไพรแล้ว ไม่น่าจะไร้หนทางจนถึงขนาดรับมือกับแค่โรคหนาวลมนี้ไม่ได้กระมัง เห็นได้ชัดว่าเป็นการมาหาเรื่องสกุลสวี จงใจมาแก้แค้นโดยแท้

“ในเมื่อรู้แก่ใจเหตุใดยังต้องถาม” สีหน้าของเขาแข็งกระด้างขึ้นอีกครั้ง

“ทำไมเจ้าต้องไปเป็นโจรด้วย เดิมทีเจ้ากับข้าก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน เหตุใดถึงต้องสนใจความเป็นความตายของข้าด้วย หากข้าตายไปเสีย ไม่ใช่ทำให้เจ้าสมปรารถนาได้พอดีหรอกหรือ” แม้คำพูดจากปากเถาเม่ยเอ๋อร์จะไม่เปลี่ยน แต่ไม่รู้เหตุใดในใจนางจึงลอบรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา บุรุษอ่อนเยาว์ที่เปี่ยมด้วยความฉลาดผู้นี้ถึงกับละทิ้งความสะดวกสบายแล้วไปเข้าร่วมกับพวกโจร เพียงเพื่อแก้แค้นถึงกับลงไปในบึงโคลนที่ไม่อาจขึ้นมาเองได้อีก

“ยามนี้บรรดาอ๋องต่างยึดครองเมืองกันคนละแห่ง ต่างก็เฝ้ารอโอกาสที่จะก่อกบฏ ส่วนชาวเว่ยเองก็กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด มีเจตนารุกรานเข้ามาในแถบเจียงหนาน ของพวกเรา ต้าเหลียงยังจะสามารถรุ่งเรืองไปได้อีกสักกี่ปี ภายในเมืองเจี้ยนคังแห่งนี้ นอกจากบทเพลงมักมากในกามและเสียงระฆังจากวัดที่ล่องลอยไปทั่วแล้ว ยังมีผู้ใดรับฟังเสียงความทุกข์ยากจากราษฎรจริงๆ อีก ต่อให้เป็นโจรภูเขาแล้วอย่างไร ขอเพียงมีใจยุติธรรมก็ยังดีกว่าหมอที่มีชื่อเสียงจอมปลอม ทนรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียวเป็นร้อยเท่า”

เขาปัดเศษยาที่เปรอะบนเสื้อออก สายตาร้อนระอุบาดลึกลงในหัวใจของนาง

“เจ้าว่าอะไรนะ” เถาเม่ยเอ๋อร์สงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ นี่เป็นคำพูดจากโจรผู้หนึ่งจริงๆ หรือ

“ในฐานะหมอ หากสวมเปลือกนอกของวิญญูชน แต่ลับหลังกระทำเรื่องต่ำช้าไร้คุณธรรม ยังมิสู้ไปเป็นโจรเสียดีกว่า” เสียงของหลินจื่อเฟิงดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจเถาเม่ยเอ๋อร์ “ชาวบ้านยากจนกินไม่อิ่มท้อง ไฉนจะยังมีเงินไปหาหมอ กลับกันบรรดาพี่น้องบนภูเขามักจะคอยช่วยส่งยาสมุนไพรให้ชาวบ้านอยู่เสมอ ข้าก็แค่ใช้ชื่อของโจร แต่สิ่งที่กระทำกลับเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกัน”

“เจ้า?” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนศีรษะ บุรุษผู้ตัดพลังชีวิตของสวีและเถาสองสกุลตรงหน้าไปเองแท้ๆ ทว่ากลับกล่าวออกมาคำแล้วคำเล่าว่าตนกระทำเรื่องถูกต้องยุติธรรมเช่นเดียวกัน! ผู้ใดจะเชื่อได้ว่าเงาร่างของบุรุษเรียบง่ายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือบุรุษลึกลับผู้ที่ไม่กี่วันก่อนนำโลงศพกับพวกโจรมาแก้แค้น เขากับสกุลสวีมีบุญคุณความแค้นระหว่างกันเช่นไรกันแน่

เรื่องราวในใต้หล้ายากจะคาดเดา เป็นเพราะบุรุษผู้นี้สกุลเถาถึงได้สูญเสียทุกสิ่งอย่างไปในคืนเดียว แต่นางกลับอยู่ร่วมห้องเดียวกันกับเขา ทั้งยังรับปากว่าในอนาคตจะเป็นภรรยาของเขา ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าที่ใดจึงจะเป็นที่พักพิงสุดท้ายของนางกันแน่

ปลายเท้าลื่นไถล ร่างกายอ่อนปวกเปียกพลันทรุดลงกับพื้น ทว่ากลับถูกมืออบอุ่นข้างหนึ่งประคองไว้ได้ทัน เมื่อตั้งใจมองไปก็ปะทะเข้ากับสายตาถามไถ่ของเขา ร่างกายไร้กำลังพิงแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดเขา หัวใจที่อ่อนล้าไม่อาจทนรับพายุฝนมากกว่านี้ได้อีก มิสู้ปิดตาลงเสีย แล้วลืมเลือนการต่อสู้ทั้งหมดไปก่อนชั่วคราว

 

หัวใจกับความมืดได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายในห้องโถงงานศพตกแต่งด้วยสีขาว ควันธูปลอยหมุนวนเป็นเกลียว สายลมพัดหอบเอากระดาษเงินกระดาษทองจำนวนหนึ่งให้ลอยล่อง ภายในห้องโถงกว้างมีเพียงนางกับบุรุษแปลกหน้าผู้นี้นั่งอยู่เคียงข้างกัน แสงเทียนสลัวรางล่อลวงให้ฝุ่นธุลีในอากาศลอยเอื่อยอย่างเชื่องช้า ชวนให้จิตใจรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สงบ

บางทีนี่อาจเป็นแค่บทสรุปชั่วคราวเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเคราะห์กรรมเท่านั้น หรือว่าบางทีจุดจบที่ผู้อื่นต้องบ้านแตกสาแหรกขาดก็คือความปรารถนาอันสูงสุดของเขา เป็นเพียงบทลงโทษหนึ่งที่มอบแก่ร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น!

หลินจื่อเฟิงตกใจอย่างยิ่ง สตรีแกร่งนามเถาเม่ยเอ๋อร์ผู้นี้ในที่สุดก็ทนต่อความเจ็บปวดมากมายนี้ไม่ไหวเช่นกัน กระทั่งกลายเป็นอ่อนแอปวกเปียกไร้สติไป โฉมสะคราญที่งามประดุจต้นไม้ใต้แสงจันทร์อ่อน ทำให้ผู้คนไม่กล้าสัมผัสตามใจ เขามองดูร่างงดงามที่ทุกข์ใจอย่างลุ่มหลง ความขุ่นแค้นชิงชังคล้ายจะเลือนหายไปช้าๆ

ร่างกายบอบบางของนางค่อยๆ แข็งเกร็งขึ้นตามราตรีที่ดึกขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่งามแม้จะบวมขึ้นทีละน้อย ทว่ากลับยังคงกระจ่างใสเหมือนดั่งต้นหมีเตี๋ยเซียง ที่มารดาปลูกเอาไว้เต็มแปลง นั่นคือต้นไม้จากแดนตะวันตกที่เฉาจื่อเจี้ยน เคยกล่าวชื่นชม ต้นหมีเตี๋ยเซียงนั้นมีกิ่งเรียวอ่อน ทั้งยังแผ่กลิ่นหอมประหลาดเย้ายวนออกมาเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นนาง หัวใจของเขาก็จะเต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนรนและกระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนถึงขั้นเกือบจะหลงลืมคำเตือนของมารดาไป

ยามนั้นขณะที่เขาอยู่เบื้องหน้าแปลงต้นหมีเตี๋ยเซียง ต้องใช้เวลาสงบใจอยู่พักหนึ่งกว่าจะรับฟังคำพูดของมารดาอย่างละเอียดได้ มารดาบอกว่ายอมให้บุรุษที่นางรักมาตลอดชีวิตมีความสุข แต่จะไม่ยอมทำลายชื่อเสียงของบุรุษผู้นั้น ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรบุรุษผู้นั้นก็คือผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลแพทย์อันเลื่องชื่อ สำหรับคนผู้นั้นแล้ว ชื่อเสียงดีงามย่อมล้ำค่ากว่ารักแท้

เขารู้ตัวว่าไม่อาจขัดขืนการมอมเมาจากหญิงงามที่ประดุจต้นหมีเตี๋ยเซียงตรงหน้านี้ได้ จึงลุกขึ้นยืนแสร้งทำตัวผ่อนคลายพลางยิ้มกล่าว “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องจดจำไว้ว่าตอนนี้เจ้าไม่มีอิสระเป็นของตนเองอีกแล้ว ดีที่สุดก็อย่าทำตัวดื้อดึงเลย ยามนี้ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า!”

เบื้องหน้ามีเพียงความเงียบงัน ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิตเคยกล่าวไว้ ‘ลูกรัก ใบหน้าเจ้าผิดแปลกไป ตามความเชื่อของพวกเราชาวฝูหนานก็หมายความว่าเคราะห์รักได้มาเยือนแล้ว’

เดิมทีหนนี้เขาตั้งใจมาทวงหนี้กับสองพ่อลูกสกุลสวี ยามนี้บัญชีเก่ายังไม่ชำระ หนี้ใหม่ก็เพิ่มเข้ามาอีก ขณะนี้สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้ครองพื้นที่ในใจเขาไปจนหมด ทำให้ความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดาของเขาได้รับการเยียวยา

สัมผัสอันอ่อนนุ่มหอมหวานนั้นทำให้จิตใจเขาสั่นกระเพื่อม เถาเม่ยเอ๋อร์ เจ้ามาจากที่ใด ราวกับเป็นมารดาของข้าอย่างไรอย่างนั้น ข้ามภูเขาและห้วงสมุทร มาจากอาณาจักรฝูหนานอันห่างไกลหรือ

ในใจเขาถึงกับคาดหวังให้สตรีผู้นี้มิใช่ราษฎรชาวต้าเหลียง เช่นนี้เขาก็จะมีเหตุผลในการพานางจากไปยังที่ไกลแสนไกล ทว่ายามที่เขาได้เห็นสตรีผู้ภายนอกบอบบางแต่ภายในแข็งแกร่งทุ่มเทใจปกป้องสกุลเถา เขาก็ถึงกับเปลี่ยนความตั้งใจเดิมอย่างช่วยไม่ได้ อยากจะรั้งอยู่ในเมือง ไม่กลับไปใช้ชีวิตอิสรเสรีดุจเทพเซียนอีก

สายลมแฝงกลิ่นหอมอ่อนโชยผ่าน ฝนดาวตกบางตาวาดผ่านธาราสีเงิน ความเจ็บปวดบาดลึกลงไปในกระดูก ความปวดใจในวันนี้ราวกับการขูดกระดูกเพื่อรักษาบาดแผล ทุกๆ หยาดน้ำตาล้วนสร้างรอยร้าวลงบนจิตวิญญาณ

 

เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกเหมือนตนเองผ่านช่วงแห่งความเป็นความตายมาอย่างยาวนาน ความเจ็บปวดของหัวใจกับร่างกายชวนให้คนยากลืมเลือนไปตลอดชีวิต นางลืมตาขึ้นมาช้าๆ ยามรุ่งสางที่แสงอาทิตย์สาดส่อง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตายังคงเป็นเงาร่างที่บุกรุกเข้ามาในชีวิตนางอย่างกะทันหัน…ร่างของคนผู้นั้น

บนร่างของเขาไม่มีกลิ่นอายอำมหิตและขุ่นแค้นเฉกเช่นวันเก่า มีเพียงความเฉยชาและนิ่งสงบ บุรุษผู้นี้เป็นเขาจริงๆ หรือ

นางคาดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะแบกรับความรับผิดชอบดูแลสกุลเถาไว้บนบ่าจริงๆ พิธีศพของบิดานางมีเขาเป็นผู้ออกหน้าจัดการ เขาคล้ายหลงลืมการแก้แค้นให้มารดาไปแล้ว ไม่ได้ไล่ต้อนบีบคั้นเรื่องความผิดพลาดและความไร้สามารถของพี่ชายนาง แม้อีกฝ่ายในยามนี้จะสติเลอะเลือนเพราะทนรับเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นไม่ไหวแล้วก็ตาม

นางข่มความเจ็บปวดในใจ เมื่อมองเห็นเขาขมวดคิ้วไม่พูดจาอยู่ภายใต้แสงสว่างบนท้องฟ้าก็ราวกับเห็นก้อนเมฆที่ลอยห่างออกไปไกลที่สุด คล้ายหลุดพ้นจากโลกีย์ ทว่าเพียงรอสายลมพัดมากลับกลายเป็นก้อนเมฆที่จับต้องและดูเรียบง่ายที่สุดได้ ไม่ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อแก้แค้นด้วยเป้าหมายใด กระนั้นก็ยังเป็นพี่ชายนางที่ทำความผิด ครั้งนี้นับว่าสละชีวิตคนไปสองชีวิตอย่างไร้ค่าแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาหลายวันที่ได้อยู่ด้วยกัน นางก็รู้สึกว่ากลิ่นอายโจรบนร่างของเขาได้สูญสลายไปหมดแล้ว ราวกับโชคชะตาที่ไม่อาจควบคุมได้นี้ เขาได้มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสกุลเถาอย่างไม่อาจแยกจากกันได้โดยสิ้นเชิง

“เม่ยเอ๋อร์! ข้าอยากให้เจ้าออกมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

ที่ข้างนอกประตู ข้างกำแพงทุกหนแห่งคือการระบายฤทธิ์สุราของสวีเทียนหลิน สิ่งที่ส่งผ่านกำแพงหนามาหาใช่ความคับแค้นใจของบุรุษอ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง แต่เป็นหัวใจที่แตกสลายดวงหนึ่ง

 

เสียงฟ้าผ่าน่าตระหนกดังมาจากภายนอกห้อง หยาดฝนที่โปรยปรายลงมาทั่วผืนฟ้าราวกับกำลังชำระล้างความโศกเศร้าและความอึดอัดเกินทานทน

ปังๆๆ! เสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนดังขัดห้วงความคิดอันสับสนของนาง ได้ยินเพียงเสียงร้องตกใจของจินเจิ้งดังขึ้นจากข้างนอก “เถ้าแก่สือ ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ท่านต้องการ…”

“คุณหนูเถาอยู่หรือไม่” นี่คือเสียงของเถ้าแก่สือจากร้านข้าวสารฝูเซิ่ง

ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น คล้ายมีคนหลายคนเข้ามาพร้อมกัน เถาเม่ยเอ๋อร์รีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับแล้วเดินออกไป

“คุณหนูเถา เจ้ารีบช่วยรุ่ยเซียงของข้าเร็วเข้า เมื่อครู่นางนอนหลับที่ห้องข้างนอกแล้วถูกงูพิษตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามากัดเข้า ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ลมหายใจแล้ว เจ้ารีบดูเร็วเข้า” เถ้าแก่สือทั้งเจ็บปวดและลนลาน กระทั่งยืนได้ไม่มั่นคง

เถาเม่ยเอ๋อร์ก้มลงมอง คนงานสองคนได้วางสือรุ่ยเซียงที่หมดสติลงบนตั่งไม้ในห้องโถงอย่างแผ่วเบาแล้ว สีหน้าของสือรุ่ยเซียงดำคล้ำ ดวงตาปิดสนิท ร่างกายครึ่งหนึ่งบวมขึ้นมา

“เหตุใดถึงไม่ให้ท่านหมอสวีดูอาการก่อนล่ะเจ้าคะ การสั่งยาตามอาการจึงจะถูกหลัก”

“คุณหนูเถา ข้ารู้ว่าตอนนี้ครอบครัวเจ้าเผชิญกับความโชคร้าย จิตใจยากจะสงบ แต่ข้าเองก็ไร้หนทางเช่นเดียวกัน! ลูกสาวที่ดื้อรั้นของข้าผู้นี้ยืนกรานว่าบุรุษสตรีไม่อาจใกล้ชิดกัน ไม่ยอมให้บุรุษอื่นเห็นร่างกายนาง ดังนั้น…” เป็นเพราะชีวิตของบุตรสาวตนเองตกอยู่ในอันตราย จิตใจของเถ้าแก่สือจึงอ่อนล้ายิ่ง

เถาเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ รู้ว่าหากเอื้อนเอ่ยมากกว่านี้จะเป็นการถ่วงเวลาไปมากกว่าเดิม นางจึงร้องสั่ง “จินเจิ้ง เตรียมยา! ไป่เจี๋ยโอ่ว สือชังผู หนานเสอเถิง ปั้นเปียนเหลียน ดอกจินอิ๋น ลู่เปียนเชียง เฟยเทียนอู๋กง”

“คุณหนู สือชังผู หนานเสอเถิง ปั้นเปียนเหลียนล้วนขาดแคลนขอรับ” จินเจิ้งกล่าวเสียงเบาอย่างหวั่นเกรง

“เอ๋?” เถาเม่ยเอ๋อร์เริ่มเหงื่อตก ในสภาพอากาศเช่นนี้ย่อมไม่อาจให้คนงานออกไปตามหายาแก้พิษเหล่านี้ได้ด้วย

นางมองดูสือรุ่ยเซียงที่ขนตาเปียกชื้น ผมยาวสยาย ร่างที่ชุ่มไปด้วยหยาดฝนเย็นเยียบผิดปกติ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจสนใจอะไรมากได้แล้ว!”

เถาเม่ยเอ๋อร์จดจำที่บิดาเคยกล่าวได้ว่าหากตัวยาไม่สามารถสำแดงฤทธิ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็มีเพียงวิธีปล่อยเลือดทางเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือห้ามไม่ให้พิษงูลามเข้าสู่หัวใจ

เข็มเงินในมือเถาเม่ยเอ๋อร์เปล่งประกายคมปลาบออกมา จากความสัมพันธ์ด้านการแพทย์ระหว่างสวีและเถาสองสกุล นางได้เรียนรู้วิชาแพทย์ที่ไม่ด้อยกว่าบุรุษมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีสตรีที่เป็นหมออย่างเปิดเผยมาก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงมักคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังบิดาและสวีลี่คังเป็นหลัก ยามนี้นับเป็นช่วงเวลาสุ่มเสี่ยง นางรู้ว่าต่อให้สองพ่อลูกสกุลสวีเร่งรีบมาด้วยตนเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาชีวิตของสือรุ่ยเซียงได้ทัน ทุบหม้อจมเรือ จึงจะเป็นหนทางเดียว

นางโบกมือสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไป ก่อนเปิดสาบเสื้อของสือรุ่ยเซียงอย่างนุ่มนวล ผิวเย็นเยียบสะท้อนเข้ามาในสายตา บนแขนซ้ายมีรอยลึกอยู่รอยหนึ่ง และรอยสีดำนั้นได้แผ่ลามมาถึงบริเวณหน้าอกแล้ว นางตั้งสติ เข็มเงินปักลงที่จุดเหอกู่ จุดไป่ฮุ่ย และจุดเฟิงฉือ อย่างแม่นยำ จากนั้นยังปักเข็มลงไปที่จุดเน่ยกวน จุดเสินเหมิน และจุดจู๋ซานหลี่

“อ๊า!” สือรุ่ยเซียงร้องได้สติกลับมา ระหว่างที่สะลึมสะลือก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังปลดอาภรณ์นางอยู่ นางยื่นเล็บยาวออกไปอย่างโมโหแล้วคว้าจับอย่างรุนแรง

เถาเม่ยเอ๋อร์พลันรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า รีบตะโกนกล่าว “รุ่ยเซียง ข้าเอง อย่าขยับ”

เมื่อสือรุ่ยเซียงได้ยินเสียงเรียกของเถาเม่ยเอ๋อร์ ร่างกายก็ผ่อนคลายลงทันที ทั้งไม่ขัดขืนอีกต่อไป แต่ต่อมาก็ยังร้องโอดครวญขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด

เถาเม่ยเอ๋อร์ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนก้มหน้าลงไปกะทันหัน ดูดพิษบนบาดแผลออกมาเอง

เพิ่งจะดูดพิษไปได้สามครั้งนางก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามีประกายสีทองระยับ ด้วยความร้อนใจนางถึงกับลืมกินยาลูกกลอนไป่เฉ่าอวี้ลู่ของบรรพบุรุษสกุลเถา นางจึงเอื้อมมือค้นหากล่องผ้าไหมบนร่าง ก่อนจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ร่างกายโซเซจะล้มลง

ในชั่วพริบตาที่จะล้มลงนั้นเอง บริเวณเอวก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น มือที่คุ้นเคยข้างหนึ่งยื่นเข้ามาประคองนาง กลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้น…เป็นเขา

“จินเจิ้ง ไปต้มน้ำร้อนมาถังหนึ่ง เร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี!”

ได้ยินเสียงตวาดอย่างโมโหที่ข้างหู เรียกสติของเถาเม่ยเอ๋อร์ให้ค่อยๆ กลับมา

นางอยากจะเปิดปากต่อว่าเขาว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทว่าพลันมีสิ่งแปลกปลอมถูกยัดเข้ามาในปาก เขาประคองปลายคางของนางเอาไว้ไม่ให้คายออก ความรู้สึกเย็นสดชื่นลื่นไหลลงสู่ท้อง นางค่อยๆ รู้สึกกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง

“หลินจื่อเฟิง หากเจ้ายังมีเรี่ยวแรงอยู่ก็ช่วยไปเชิญท่านลุงสวีมาที!”

“หุบปาก!” เสียงที่เกือบเป็นคำรามของเขาทำลายความคิดทั้งหมดของนาง ทำให้นางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

เงาร่างสีขาวตรงหน้าราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิอันใสกระจ่างที่กำลังไหลรินอย่างเงียบงัน กลิ่นหอมมอมเมาผู้คนโชยมา ไม่รู้ว่าเขาหยิบขวดน้ำเต้าหยกขาวมาจากที่ใด เขาเทยาลูกกลอนออกมาหนึ่งเม็ดแล้วบดเป็นผงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป่าเข้าจมูกสือรุ่ยเซียงไป เห็นเพียงสือรุ่ยเซียงส่งเสียงครางแผ่วเบาก่อนลืมตาขึ้น

แต่ในตอนที่สือรุ่ยเซียงได้เห็นว่าคนที่ตนมองสบตาด้วยนั้นเป็นบุรุษแปลกหน้าตัวเป็นๆ ผู้หนึ่งก็อดร้องเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ “สวรรค์ เจ้าเป็นใคร!”

“อย่าขยับ!”

เสียงเตือนอย่างเข้มงวดของหลินจื่อเฟิงทำให้เถาเม่ยเอ๋อร์หวาดหวั่น เมื่อนางหันหน้ากลับไปอีกครั้งก็เห็นใบหน้าสือรุ่ยเซียงแดงระเรื่อประดุจตื่นจากฝัน ก่อนจะร้องเสียงดังออกมาแล้วหมดสติไปอีกครั้ง

“เจ้า…เข้ามาได้อย่างไร” เถาเม่ยเอ๋อร์ถามด้วยความมึนงง การบุกรุกเข้ามาอย่างบุ่มบ่ามของเขาทำลายกฎข้อห้ามของสือรุ่ยเซียง ผิวเปลือยเปล่าขาวเนียนลื่นดุจหยกเปิดเผยต่อหน้าหลินจื่อเฟิงแล้ว

“น้ำเดือดแล้วขอรับ” เสียงจินเจิ้งดังมาจากด้านนอกประตู

“เทน้ำร้อนลงไปในถังไม้ แล้ววางไว้ในห้องด้านใน”

หลินจื่อเฟิงกลับไม่ได้สนใจเถาเม่ยเอ๋อร์ เสียงแควกดังขึ้น ชายเสื้อของเขาถูกฉีกออกมามุมหนึ่ง ก่อนฉีกเป็นผ้ายาวสองเส้นอีกครั้ง แล้วนำไปรัดบริเวณข้อเท้าและแขนของสือรุ่ยเซียงจนแน่น เขาถอดเสื้อคลุมสีขาวออกมาห่อร่างกายของสือรุ่ยเซียง จากนั้นวางร่างนางลงไปในถังไม้อย่างแผ่วเบา

“เจ้าจะทำอะไร” เถาเม่ยเอ๋อร์ถามเสียงสั่น หลินจื่อเฟิงผู้นี้ทำตัวลึกลับเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขามิใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเซียนจากเกาะกลางสมุทรมาชี้แนะทางสว่างให้แก่ผู้โง่เขลา

หลินจื่อเฟิงไม่ได้สนใจ เพียงแค่ก้มหน้าลงแค่นเสียงกล่าว “ผู้เป็นหมอควรมีใจประดุจบิดามารดา หากสนใจแต่ความแตกต่างของบุรุษสตรี กระทั่งไม่มีใจประดุจบิดามารดาแล้วล่ะก็ จะยังเป็นหมอได้อย่างไร”

เถาเม่ยเอ๋อร์นิ่งอึ้งไร้วาจา

เห็นเพียงเขาหยิบขวดใบหนึ่งออกมาแล้วเทผงสีขาวจำนวนหนึ่งใส่ลงไปในถังไม้

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“ไปเอาเข็มเงินของเจ้ามา ไม่ต้องบอกให้ข้าไปเชิญสองพ่อลูกสกุลสวีมาอีก”

แสงเทียนสะท้อนเป็นเงารูปร่างประหลาดบนผนัง กลิ่นหอมบนร่างหลินจื่อเฟิงเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เงาที่วูบไหวไปมาแฝงความงามอันแปลกพิลึกพิลั่น

เข็มเงินยาวเล่มหนึ่งปักลงไปยังจุดไป่ฮุ่ยของสือรุ่ยเซียง ทว่าเถาเม่ยเอ๋อร์กลั้นลมหายใจดูอยู่นานก็ยังไม่เห็นว่าสือรุ่ยเซียงจะเคลื่อนไหว

หลินจื่อเฟิงเทผงสีเทาจำนวนหนึ่งลงไปในน้ำ ท่ามกลางไอน้ำคล้ายเห็นความอ่อนโยนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของเขา กลิ่นหอมนั้นคล้ายกับเห็ดหอมที่ขึ้นตามซอกหิน ภายในหนึ่งร้อยย่างก้าวหอมขจรไร้สิ่งใดเทียบเทียม เมื่อได้สูดดมอย่างตั้งใจแล้วก็อดชื่นชมออกมาจากใจไม่ได้ กระนั้นเถาเม่ยเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน

ในหมู่ชาวบ้านต่างก็ยกให้เห็ดหอมนี้เป็นอาหารเลิศรส ยกย่องเป็นของชั้นสูง มีไว้เพื่อต้อนรับแขกโดยเฉพาะ ทว่าเถาเม่ยเอ๋อร์ยังคงไม่อยากจะเชื่อว่านี่จะเป็นสมุนไพรล้ำค่าตัวนั้นจริงๆ

สือรุ่ยเซียงมีเหงื่อหลั่งริน ขนตางามขยับไหวน้อยๆ หลับใหลหมดสติประหนึ่งหยกแกะสลัก ร่างกายเถาเม่ยเอ๋อร์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด นางค่อยๆ รู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมที่แผ่กระจายอบอวลอยู่ทั่วห้อง

หลินจื่อเฟิง เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ นางอยากถามเขาว่าเหตุใดจึงไปเข้าร่วมกับพวกโจร ราวกับภาพมายาทะลักขึ้นมาในความเงียบงัน ซึ่งภาพตรงหน้านี้ไม่มีทั้งความมืดยามราตรีและแสงสว่างยามอรุณ มีเพียงกลิ่นเห็ดหอมที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: