X
    Categories: everYWhat If It’s Usทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 7 – บทที่ 8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ตอนที่ 7

อาร์เธอร์

พุธที่ 11 กรกฎาคม

 

“อาร์เธอร์ ใส่รองเท้าได้แล้ว เร็วหน่อย เราจะสายแล้วนะ” แม่ผมเช็กมือถือ “นี่ แม่จะเรียกลิฟต์ ละนะ”

ผมเงยหน้ามองแม่จากโซฟา “เพิ่งแปดโมงเอง”

“ก็นะ พ่อเธอดันชงกาแฟกินก่อนแล้วไม่บอกแม่” แม่พูดเสียงดังไปทางห้องนอน “เราเลยต้องไปแวะสตาร์บัคส์ก่อนประชุมทางโทรศัพท์กับเบรย์-เอลิโอโพลัส ลูกกินยาแล้วใช่มั้ย”

“กินแล้ว แต่” ผมยืนขึ้นช้าๆ “ทำไมเราไม่นั่งรถไฟใต้ดินไปล่ะ”

“ต่อให้นั่งรถไฟใต้ดินไป ลูกก็ต้องออกแล้วตอนนี้”

“ไม่ใช่สักหน่อย ผมออกตอนแปดโมงยี่สิบ”

แม่แค่นเสียง “เพราะแบบนั้นลูกเลยมาทำงานตอนเก้าโมงสิบห้าตลอดใช่มั้ย”

“แค่ครั้งเดียวเอง!”

แม่ยีหัวผม “ไปเร็ว แม่เรียกลิฟต์แล้ว”

ประตูห้องนอนของพ่อกับแม่เปิดออก แล้วพ่อก็เดินออกมาในกางเกงนอนลายตารางกับเสื้อยืดตัวที่ใส่เมื่อวาน “อรุณสวัสดิ์” พ่อหาวและเกาเคราตัวเอง “ไง อาร์ธ กินเบเกิลมั้ย”

“กิน!”

“ไมเคิล ขอล่ะ อย่า…” แม่ผ่อนลมหายใจ “ไม่ใช่ตอนนี้”

พ่อกับแม่มองหน้ากัน เป็นการโต้เถียงกันระหว่างพ่อแม่แบบไม่ใช้คำพูดด้วยความเร็วระดับสายฟ้าฟาด ถ้าคุณจะเรียกมันว่าการโต้เถียงได้อ่ะนะ มันเหมือนผมกำลังดูรถแทร็กเตอร์เหยียบหนอนตายมากกว่า

พ่อตบบ่าผม “ไว้กินเบเกิลพรุ่งนี้ละกัน”

“แต่ผมไม่อยากติดอยู่ในลิฟต์กับแม่ที่ยังไม่ได้กินกาแฟนี่นา”

“ลูกจะรอดไปได้”

รถของลิฟต์มาจอดหน้าตึกเรา ผมตามแม่เข้าไปนั่งที่เบาะหลัง แม่ลูบกระโปรงให้เรียบและคว่ำมือถือลงบนตัก ก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกัน อารมณ์แม่เริ่มกลับมาเย็นลงพอรถออกตัว แต่แม่จ้องผมเขม็ง แบบนี้เหมือนจะแย่กว่าอีก รู้เลยว่าอยากคุยอะไรแน่ๆ

แม่กระแอม “ไหนเล่าให้แม่ฟังเรื่องผู้ชายคนนั้นหน่อย”

“ผู้ชายไหน”

“อาร์เธอร์!” แม่ศอกผม “ผู้ชายที่เจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ไง”

ผมมองแม่ทางหางตา “ก็เล่าไปแล้วไง”

“ลูกแค่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นที่ที่ทำการไปรษณีย์ แม่อยากรู้เรื่องทั้งหมดเลย”

“โอเค เอ่อ แม่ไม่อยากให้ผมตามหาเขา…นั่นแหละเรื่องทั้งหมด”

“ลูกรัก แม่แค่ไม่อยากให้ลูกหาเขาในเคร็กส์ลิสต์ เคยอ่านบทความเรื่องนั้นมั้ย…”

“รู้แล้ว ผมรู้แล้ว เรื่องโดนแทงกับรูปของลับ” ผมยักไหล่ “ผมไม่หาเขาในเคร็กส์ลิสต์หรอก ผมไม่ได้สนขนาดนั้นด้วยซ้ำ”

“แม่ขอโทษนะอาร์เธอร์ แม่รู้ว่าลูกอยากเจอเขา”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง”

“แม่คิดว่า” แม่เริ่มพูด แต่มือถือบนตักสั่นขึ้นมา แม่มองจอแล้วถอนหายใจ “แม่ต้องรับสายนี้ รอเดี๋ยวนะ” แม่เอี้ยวตัวไปทางหน้าต่างรถ “ว่าไง…ได้ โอเค ได้ กำลังไป อีกสิบนาที เดี๋ยวแวะซื้อสตาร์บัคส์ก่อน…อะไรนะ โอ้ โอ้ไม่นะ” แม่รัวนิ้วบนกระเป๋าเอกสารแล้วหันมามองผม กลอกตาเล็กน้อย แล้วทำปากว่า “งานน่ะ”

แสดงว่าแม่ไม่วางสายเร็วๆ นี้แน่ ผมเลยหันมองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งของตัวเองและจดบัญชีรายชื่อร้านอาหารกับพวกหน้าร้านไว้ในใจ ยังไม่ทันจะเก้าโมง คนไปทำงานก็เดินกันเต็มทางเท้าแล้ว ทุกคนดูอ่อนเพลียและไร้อารมณ์

ไร้อารมณ์ ในนิวยอร์ก!

ไม่รู้สิ บางทีผมก็รู้สึกว่าคนนิวยอร์กใช้ชีวิตในนิวยอร์กแบบผิดๆ ไหนล่ะผู้คนที่โหนตัวไปมากับเสาในรถไฟฟ้าใต้ดิน เต้นระบำตรงทางหนีไฟ และจูบกันที่ไทม์สแควร์ แฟลชม็อบขอแต่งงานที่ที่ทำการไปรษณีย์คือจุดเริ่มต้น เมื่อไหร่จะมีอะไรน่าตื่นเต้นอีก ผมจินตนาการไว้ว่านิวยอร์กต้องเป็นเหมือนในหนังเรื่องเวสต์ไซด์สตอรี่บวกอินเดอะไฮต์สบวกอเวนิวคิว แต่ความจริงคือมีแต่ไซต์ก่อสร้าง รถติด ไอโฟน ความชื้น ความจริงเขาน่าจะเขียนละครเพลงเกี่ยวกับมิลตัน รัฐจอร์เจียบ้างนะ เราจะเริ่มด้วยเพลงบัลลาด ‘ช็อปปิ้งวันอาทิตย์’ ต่อด้วย ‘ฉันทิ้งหัวใจไว้ที่ร้านทาร์เก็ต’ ถ้าอีธานอยู่นี่ด้วย เขาคงเขียนบทละครเพลงเสร็จตอนเราลงจากรถพอดี

“โอ้ ฉันไม่คิดว่างั้นนะ” แม่พูดกับมือถือ “จนกว่าวินเกตจะส่งสรุปมา โอเค อีกช่วงตึกเดียวก็ถึงแล้ว” แม่หยุดพูด “ไม่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวส่งอาร์เธอร์ไป จะถึงแล้ว”

แม่ควานหาแบงก์ยี่สิบดอลลาร์ในกระเป๋าถือแล้ว “ลาเต้ไขมันต่ำแก้วเล็ก” แม่ขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง

#ชีวิตเด็กฝึกงาน

ผมส่งข้อความหาอีธานตอนต่อคิวสั่งสตาร์บัคส์ คอนเซ็ปต์: ละครเพลงที่เกิดขึ้นในชานเมืองแอตแลนตา ชื่อ…รอเดี๋ยวนะ…ฮา-มิลตัน อีโมจิไมโครโฟน อีโมจิลูกสอนชี้ลง บู้ม

แต่อีธานไม่ตอบผม

 

พฤหัสที่ 12 กรกฎาคม

 

ไม่มีอะไรตอบกลับมาจนเช้าอีกวัน อีธานส่งรูปเซลฟี่มาใน…ท้าดา…แชทกลุ่ม เป็นรูปเขากับเจสซี่ถือขวดน้ำเชื่อมช็อกโกแลตอยู่ในร้านวาฟเฟิลเฮ้าส์พร้อมข้อความ วิญญาณนายอยู่ที่นี่กับเรา เพื่อนรัก!

โคตรแย่เลย ถ้าเป็นหน้าร้อนอื่น ผมคงนั่งอยู่ข้างๆ เจสซี่ที่โต๊ะตัวนั้น เราจะกินมันฝรั่งทอดและบ่นเรื่องการเมือง ทวิตเตอร์หรือพวกหนังที่ดัดแปลงจากละครเวที ผมจะเล่าเรื่องหนุ่มที่ที่ทำการไปรษณีย์แบบเก็บทุกรายละเอียดให้อีธานกับเจสซี่ฟัง และเราจะมานั่งวางแผนปฏิบัติการจีบฮัดสันลงแอพฯ สมุดโน้ตในมือถือของผมประหนึ่งวางแผนเกมฟุตบอล

แตกต่างจากตอนนี้ที่พวกสาวๆ เมินผมทุกครั้งที่พูดชื่อฮัดสัน บอกเลยว่าวันนี้พวกเธอแย่กว่าปกติอีก ทนายฝึกหัดคนหนึ่งเอาของมาส่งให้นัมราตาแต่เธอแทบไม่มองมันด้วยซ้ำ เหมือนเธอหยุดพิมพ์ไม่ได้ยังไงยังงั้น ผมมองเธออยู่พักหนึ่ง

“อะไรน่ะ” ผมถามออกไปในที่สุด

“ไม่รู้”

“เธอน่าจะเปิดดูนะ”

“เดี๋ยวเปิด”

นิ้วนัมราตาค้างอยู่เหนือแป้นพิมพ์ครู่หนึ่งตอนที่เธออ่านอะไรบางอย่างบนหน้าจอ แล้วเธอก็เหลือบมองกองเอกสาร ก่อนจะกลับไปมองหน้าจออีกครั้งแล้วเริ่มพิมพ์ต่อ

“ตอนไหนล่ะ”

“อะไร”

“เธอจะเปิดดูตอนไหน”

“ขอเดานะ” นัมราตาถอนหายใจเฮือกใหญ่จนเอกสารของชูเมกเกอร์กระพือ “นายจะไม่ยอมปล่อยให้ฉันทำงานจนกว่าฉันจะเปิดดูใช่มั้ย”

“คงงั้นแหละ”

“งั้นมาเปิดดูกันเถอะ” เธอเปิดกล่องออกแล้วมองดูข้างในอยู่นานจนรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปแล้วสิบนาที แต่ตอนที่เธอหันมาทางผม เธอยิ้ม “นายซื้อแคนดี้คอร์นให้ฉันตั้งห้าปอนด์ทำห่าอะไรเนี่ย”

“ที่จริงแล้วมันสี่ปอนด์กับอีกสิบสี่ออนซ์…”

“แคนดี้คอร์น”

“ในเดือนกรกฎา” จูเลียตต่อ

“อาร์เธอร์ นายนี่มันแปลกคนจริงๆ” นัมราตาพูด เดี๋ยวแปลให้ เธอกำลังบอกว่าผมทำได้เจ๋งสุดๆ

จูเลียตยีหัวผม “ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันมั้ย” แปลให้อีกรอบ ผมทำได้โคตรเจ๋ง

ผมดีใจจนจะร้องเพลงออกมาแล้วเนี่ย ถ้าตอนนี้ผมกับสาวๆ เป็นเพื่อนกินข้าวเที่ยงด้วยกันแล้ว อาทิตย์หน้าเราก็น่าจะมีรอยสักคู่เพื่อนซี้สุดชิคกัน แล้วทีนี้พวกเธอก็จะแนะนำให้ผมรู้จักกับนักเรียนกฎหมายน่ารักๆ แบบที่น่ารักกว่าฮัดสันอีก แล้วผมก็จะไม่กลับบ้าน ผมจะอยู่ที่นิวยอร์กกับแก๊งใหม่สุดคูลของผม อยู่กับเพื่อนสนิทคนใหม่ คือใครจะไปอยากกินร้านวาฟเฟิลเฮ้าส์กันล่ะ ผมนั่งกินอาหารกลางวันเชิงธุรกิจอยู่ที่ศูนย์กลางทางอาหารของจักรวาลอย่างไอ้มหานครนิวยอร์กนี่ก็ได้ เชิญอีธานกับเจสซี่ใช้เวลาทั้งชีวิตกินอาหารจากร้านที่ขยายสาขาจากที่อื่นไปเถอะ จากนี้เป็นต้นไป ผมจะกินแต่อาหารที่ส่งตรงจากฟาร์มบนรถขายอาหารกับร้านอาหารนำเข้าชื่อดังที่โก้เก๋สุดๆ เท่านั้น

“ฉันอยากลองร้านแทเวิร์นออนเดอะกรีนมานานแล้ว” ผมพูด

“อาร์เธอร์ เรามีเวลาแค่สามสิบนาที”

“หรือจะซาร์ดีส”

“พาเนร่ามั้ย”

ผมสูดหายใจเฮือก “รักเลย”

“อืม ก็พอรู้” นัมราตาพูดแล้วปาแคนดี้คอร์นกำมือหนึ่งกลับลงไปในกล่อง

เราออกเดินทางในห้านาทีต่อมา และผมยังงงไม่หายที่สาวๆ ดูต่างจากเวลาอยู่ในออฟฟิศลิบลับ พวกเธอเป็นคนเปิดเผยมาก ก่อนหน้านี้ เรื่องของนัมราตากับจูเลียตที่ผมรู้ส่วนใหญ่แล้วมาจากแหล่งข้อมูลสามที่คือ การแอบฟัง อินสตาแกรม และแม่ของผม แต่ตอนนี้ผมได้รู้ว่าจูเลียตเป็นนักเต้น ส่วนนัมราตาเป็นมังสวิรัติ พวกเธอเกลียดขี้หน้ากันทั้งปีตอนเริ่มเรียนกฎหมายปีแรก แต่ตอนนี้พวกเธอสนิทกัน ไปวิ่งกับกินคัพเค้กด้วยกันตลอด และพวกเธอไม่เคยข้ามการอ่านหนังสือในห้องเรียนเลยสักครั้ง ผมรู้เรื่องทั้งหมดนี้ก่อนเราจะต่อคิวที่ร้านพาเนร่าซะอีก

“ฉันล่ะโคตรจะขยะแขยง” นัมราตาบอกจูเลียต “คือฉันแบบ รู้มั้ย เอาเถอะ ไม่ต้องไปว่าพวกเขาหรอก แต่รู้อะไรมั้ย ฉันไม่อยากไปค้างคืนที่นั่นอีกแล้ว ขอโทษนะเดวิด แต่ภาพโป๊ไดโนเสาร์นี่มันข้ามเส้นเกินไปสำหรับฉัน”

จูเลียตร้อง “แหยะะะะ”

“เดี๋ยวนะ เดวิดนี่ใครเหรอ แล้วทำไมเขาถึงชอบภาพโป๊ไดโนเสาร์ล่ะ”

โอเค เปิดใจเลยนะ ผมเกลียดมากเวลาคนอื่นพูดชื่อใครก็ไม่รู้ขึ้นมาอย่างกับผมจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างนั้นแหละ

“ไม่ใช่ เราพูดถึงรูมเมตของเดวิดน่ะ” จูเลียตอธิบาย

“และพวกเขาไม่ได้ชอบภาพโป๊ไดโนเสาร์” นัมราตาเสริม “แต่พวกนั้นสร้างมันขึ้นมาเองเลยต่างหาก นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ เว็บการ์ตูนโป๊ไดโนเสาร์ คือ โอเค ก็เรื่องของพวกเขาแหละ แต่แม่งดันทิ้งภาพสเก็ตช์ไว้เกลื่อนห้องนั่งเล่นนี่สิ ฉันเลยแบบ เดวิด อย่าให้ฉันต้องมาเห็นภาพทีเร็กซ์ช่วยตัวเองได้มั้ย”

“แต่…แขนทีเร็กซ์มัน” จูเลียตดูงงๆ “ทำได้ไงน่ะ”

“เดวิดนี่ใครเหรอถามจริง” ผมถาม

นัมราตาดูขำๆ “แฟนฉันเอง”

“เธอมีแฟนด้วยเหรอ”

“คบกันมาหกปีแล้ว” จูเลียตตอบให้

“อะไรนะ ไม่มีทาง” ผมหันไปหาจูเลียต “เธอมีแฟนรึเปล่า”

“แฟนสาวน่ะมี” จูเลียตพูด

“เธอเป็นเลสเบี้ยนเหรอ”

“คนต่อไปครับ” ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์พูด

จูเลียตก้าวไปข้างหน้าแล้วสั่งซุป ก่อนจะหันมาหาผมแล้วพูดว่า “ฉันเป็นไบเอซ* แปลว่า…”

“ฉันรู้ๆ แต่เธอไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ทำไมพวกเธอไม่เคยบอกอะไรฉันเลย”

“เราบอกให้นายกลับไปทำงานไง” จูเลียตพูด “บอกบ่อยด้วย”

“แต่เธอไม่เคยเล่าชีวิตรักของตัวเองให้ฟังเลย ฉันบอกเธอทุกอย่างเกี่ยวกับฮัดสัน แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีแฟนสาว! และแน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่านัมราตามีแฟนชื่อเดวิดที่ชอบวาดการ์ตูนโป๊ไดโนเสาร์”

“ไม่ใช่ รูมเมตของเดวิดต่างหากที่วาดการ์ตูนโป๊ไดโนเสาร์” นัมราตาแทรกแล้วเดินกลับมาจากเคาน์เตอร์ “พูดผิดชีวิตเปลี่ยนเลยนะยะ ตานายแล้วอาร์เธอร์ ไปสั่งแฮปปี้มีลใส่เนยถั่วกับเยลลี่ของนายไป”

“ชิ ผมเอาแซนด์วิชชีสย่างครับ แซนด์วิชชีสย่างแบบผู้ใหญ่”

นัมราตาแตะหัวผมเบาๆ “เริ่ดมากจ้ะ”

“คุณฮัดสัน” มีคนพูดใส่ไมโครโฟน แล้วผมก็ตัวแข็งทื่อ นัมราตากับจูเลียตก็ตัวแข็งทื่อ โลกทั้งใบแข็งทื่อ “คุณฮัดสัน อาหารของคุณได้แล้วครับ”

“อาร์เธอร์” จูเลียตยกมือขึ้นปิดปาก

“ไม่ใช่เขาหรอก”

“รู้ได้ไง”

“ไม่มีทางเป็นเขาหรอก มันประหลาดเกินไป คือมันจะเป็นไปได้ยังไง” ผมส่ายหน้า “คงเป็นฮัดสันคนอื่น”

“เราอยู่ใกล้ๆ ที่ทำการไปรษณีย์” จูเลียตพูด “เขาอาจจะทำงานแถวๆ นี้หรือไม่ก็พักอยู่แถวนี้หรือไม่ก็อะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วชื่อฮัดสันก็ไม่ได้โหลด้วย”

“ใช่ เดินไปดูกัน” นัมราตาว่า

“ไม่เอา น่าสงสัยตายเลย!”

“ไม่หรอก” เธอดึงผมแบบไม่ค่อยจะเบาเท่าไหร่ไปทางเคาน์เตอร์รับอาหาร ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าเราใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อโปโลพอดีตัว ผิวขาว สูงกว่าผม สวมหมวกเบสบอลกลับหลังแบบเก็บผมซะมิด “ใช่เขามั้ย”

“ฉันไม่รู้”

“โย่ ฮัดสัน” นัมราตาเรียกเสียงดัง

ใจผมหยุดเต้น

ผู้ชายคนนั้นหันมา เขาดูระแวงนิดหน่อย “เรารู้จักกันเหรอ” เขาถามนัมราตา

ไม่ใช่เขา

ไม่ใช่ฮัดสัน แบบว่าเขาก็คือฮัดสันนั่นแหละ อย่างน้อยเขาก็หันตอนเราเรียกเขาว่าฮัดสันอ่ะนะ แต่เขาไม่ใช่ฮัดสันของผม ถ้าฮัดสันของผมชื่อฮัดสันจริงๆ ล่ะก็นะ หัวผมหมุนไปหมด ฮัดสันคนนี้ก็ไม่ได้ดูแย่ โหนกแก้มเขาสวย คิ้วก็แจ่มมาก เขาจ้องพวกเรางงๆ ผมอายจนฉี่จะราดแล้วเนี่ย

“ฮัดสันใช่มั้ย ที่เข้าค่ายดนตรีด้วยกัน” นัมราตาแถต่อเนียนๆ

“ฉันไม่เคยเข้าค่ายดนตรี”

“อ้าวเหรอ สงสัยจำผิดคน”

“คนที่ชื่อฮัดสันเหมือนกันเนี่ยนะ”

“ช่าย ฮัดสัน พานินี่”

ฮัดสัน พานินี่ นี่นัมราตาเพิ่งสร้างตัวละครจากค่ายออกมาทางก้นของเธอแล้วตั้งชื่อให้ว่าฮัดสัน พานินี่งั้นเหรอ

“โอ้ ว้าว ชื่ออลังกว่าฮัดสัน โรบินสันเยอะเลยนะ”

“คงงั้น” นัมราตาจับมือผม “ไงก็กินขนมปังซุปให้อร่อยนะ ฮัดสัน โรบินสัน”

“ฉันสั่งพานินี่ไปหรอก” ฮัดสันพูดเบาๆ

แต่พวกเราเดินกลับโต๊ะได้ครึ่งทางแล้ว

จูเลียตถามทันที “เป็นไง”

“ฉันจะฆ่านัมราตา” ผมบอกเธอ

นัมราตาแค่นเสียง “ว่าไงนะยะ”

“ฮัดสัน พานินี่เนี่ยนะ”

“ก็ฉันเห็นพานินี่พอดี”

“หัวใสมาก” จูเลียตพูด

ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ “โคตรน่าอายเลย”

“แล้วแต่เถอะ นายทำตัวอย่างกับไอ้ขี้หงอ” นัมราตาพูด “นายไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ”

“ก็นั่นไม่ใช่เขา! มันผิดคน”

“ก็ชัดอยู่อ่ะนะ เขาจำนายไม่ได้เลยสักนิด”

จูเลียตเอนหลังพิงเก้าอี้ “งั้นเมื่อกี้ก็ฮัดสันคนละคนเหรอ”

“หรือไม่ก็แฟนเก่า” นัมราตาพูดชิลๆ “และถ้าใช่ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้จ้ะที่ฉันช่วยให้นายได้นามสกุลเขามา”

“เดี๋ยวนะ” ผมพึมพำออกมา

แต่คำที่เหลือมันระเหยหายไปหมด

เพราะนัมราตาอาจจะผิด แต่เธออาจจะไม่ผิดก็ได้

บางทีฮัดสัน โรบินสัน…ฮัดสัน โรบินสันที่คิ้วสวยและใส่หมวกเบสบอลกลับหลัง…อาจจะเป็นแฟนเก่าของหนุ่มถือกล่อง ขอพนันว่าเขาหมดอาลัยตายอยากจนไม่ได้สระผมตั้งแต่เลิกกัน เขาเลยใส่หมวก เชี่ยยย

ฮัดสัน โรบินสัน ผมไม่ใช่สตอล์กเกอร์หรืออะไรนะ ไม่ใช่ว่าผมจะไปโผล่หน้าประตูบ้านเขา แต่ทุกคนเล่นอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ

คือแบบ บางทีผมอาจจะถูกลิขิตให้เจอหนุ่มคนนั้นที่ที่ทำการไปรษณีย์ บางทีผมอาจจะถูกลิขิตให้ได้เจอกับเขาอีก และบางที…แค่บางทีนะ…ผมอาจจะได้เจอเขาโดยการตามผู้ชายที่ทำให้เขาต้องมาที่ที่ทำการไปรษณีย์ตั้งแต่แรกก็ได้

ฮัดสัน โรบินสัน ผมพิมพ์ ก่อนจะกดเอ็นเทอร์

ตอนที่ 8

เบน

 

วันนี้เรียนหนัก และสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำตอนนี้คือการไปเจอแฟนชั่วคราวในอนาคตของดีแลน แต่ผมก็รีบไปดาวน์ทาวน์อยู่ดี อย่างกับการอยู่ให้ห่างจากโรงเรียนมากพอจะช่วยให้ผมลืมว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเสียงหัวเราะตอนต้นคาบและท้ายคาบของฮัดสันกับแฮเรียต ผมลงจากรถไฟและเจอดีแลนอยู่หน้าร้านขายยา เขาถือกระติกเก็บความร้อนของดรีมแอนด์บีนกับดอกไม้ช่อหนึ่ง

“หน้านายเหมือนฆาตกรมากตอนนี้” ดีแลนพูด “สีหน้าของฆาตกรรู้สึกผิด เราน่าจะทำให้รอยย่นตรงหว่างคิ้วนายหายไปก่อนเจอซาแมนธานะ ทำสีหน้าแบบเพื่อนซี้มีความสุขอ่ะ ถ้าจะให้แนะนำ” ดีแลนขยิบตา

ผมจะทำสีหน้าแบบเพื่อนซี้มีความสุขให้ละกันเพราะถือว่าเป็นดีแลน แต่มันเพลียใจจริงๆ นะที่ต้องมาทำความรู้จักแฟนของเขา สนิทกัน แล้วก็เสียมิตรภาพนั้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากดีแลนตัดขาดจากพวกเธอ

“จัดไป แล้วช่อกุหลาบนี่อะไร” ผมถาม

“ซาแมนธาบอกว่าเธอชอบดอกกุหลาบตอนเราดูไททานิกด้วยกัน” ดีแลนพูดพร้อมรอยยิ้ม เหมือนการจำสิ่งที่คนอื่นพูดไปไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แล้วเป็นคุณสมบัติของฮีโร่ยังไงยังงั้น

“ไปดูด้วยกันมาเหรอ”

“ผ่านเฟซไทม์เมื่อคืน”

“นั่งดูผ่านเฟซไทม์จนจบเลยเนี่ยนะ หนังมันไม่ได้สามชั่วโมงกว่าเหรอ”

ดีแลนพยักหน้า “ตั้งสี่ชั่วโมงกว่าจะดูจบ เพราะเอาแต่หยุดหนังแล้วคุยกัน”

“น่าประทับใจ” ผมพูด และผมหมายความตามนั้นจริงๆ ดูจากการที่เขาแทบไม่ได้นอนคืนก่อนเพราะซาแมนธาไม่ตอบแชทเขาเรื่องเอลเลียต สมิธ ที่จริงแล้วเธอแค่ยังไม่มีเวลาฟัง พอฟังแล้วเธอก็ชอบทุกเพลงเลย “แล้วชอบหนังมั้ย”

“ตอนแรกคิดว่าเรือจะล่มเร็วกว่านี้ นึกออกมะ”

“ก็คือนายเบื่อจนกระทั่งเรือเริ่มล่ม…”

“ฉันเบื่อจนกระทั่งเรือเริ่มล่ม ใช่”

ดีแลนเดินจ้ำอย่างคึกขณะที่เรารีบไปร้านกาแฟ เขาเดินหลบคนซ้ายขวา ผมแทบไม่ได้ยินเขาพล่ามเรื่องที่ประตูลอยน้ำมีที่พอให้ทั้งแจ็คกับโรสหรืออย่างน้อยทั้งสองคนก็น่าจะสลับกันขึ้นมา ดีแลนหยุดเดินตรงหัวมุม

“เอาล่ะ ฉันดูเป็นไง”

เขามีรอยคล้ำใต้ตาและใส่เสื้อของร้านคูลค็อฟฟี่ ดูเยอะไปหน่อยแต่ก็ถือว่าดี ยกเว้น “เขวี้ยงแก้วดรีมแอนด์บีนทิ้งไปดีกว่านะ”

ดีแลนโยนแก้วเก็บความร้อนให้ผมอย่างกับมันคือระเบิดพลีชีพ เราโยนให้กันไปมาอยู่พักหนึ่งจนในที่สุดผมก็เก็บมันใส่เป้

“พิลึกคนว่ะ” ผมพูดตอนเราเดินเข้าไปในร้านคูลค็อฟฟี่ ร้านนี้กลิ่นเหมือนพวกนักเขียนขี้โอ่ที่ไม่น่าจะชอบงานที่ผมเขียนเลย

ซาแมนธายืนเปล่งประกายอยู่หลังเคาน์เตอร์ เธอหยุดรับออเดอร์แล้วโบกมือให้เรา ลอนผมสีดำของเธอเรียบลงใต้หมวกแก๊ปสีกากี ตาสีฟ้าเขียวเจิดจ้าขึ้นมาพอเห็นดีแลน และบู้ม ฟันสีขาวสว่างตอนเธอยิ้มผ่านไหล่ของลูกค้า ผมมั่นใจเลยว่าตัวเองเป็นเกย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าผมเป็นไบสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ล่ะก็ แค่รูปลักษณ์ภายนอกและพลังงานด้านบวกของซาแมนธาอย่างเดียวคงทำเอาผมหลงเธอหัวปักหัวปำ ดีแลนมองซาแมนธาเหมือนตัวเธอเปล่งแสง จนผมสงสัยว่าประกายของฮัดสันหมดไปตอนไหนในสายตาผม ถ้าเขาเคยเปล่งประกายในสายตาผมมาก่อนน่ะนะ

เชี่ยละ เหลือโต๊ะว่างตัวเดียว “เดี๋ยวไปจองโต๊ะนั้นให้” ผมพูด

ดีแลนดึงผมกลับมา “นายต้องสั่งก่อน แล้วก็นะ ฉันกังวลว่าตัวเองจะพูดอะไรโง่ๆ ออกไป”

“นายทำได้น่า”

“ฉันเกือบเดินเข้ามาในนี้พร้อมแก้วกาแฟของร้านคู่แข่งนะ”

ผมหยุดอยู่เป็นเพื่อนเขา

ผมตีหน้าเพื่อนซี้มีความสุข ถึงแม้หนุ่มรุ่นเดียวกันคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนนักเขียนผู้เปี่ยมความหวังจะเอาโต๊ะว่างตัวสุดท้ายไปแล้วก็ตาม เขาเปิดแล็ปท็อปเพื่อเขียนนิยายที่จะดังเหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ตัดหน้าผม อย่างน้อยเขาก็ดูเท่ดี ตากระจ่าง ผิวสีน้ำตาลเข้ม ไว้ผมทรงซีซาร์ ใส่เสื้อลายมนุษย์เพลิง ถ้าผมใจกล้ากว่านี้เหมือนกับอาร์เธอร์หรือเหมือนที่ดีแลนกล้ากับซาแมนธา ผมคงเข้าหาเขาก่อนไปแล้ว ผมคงจะไปนั่งตรงข้ามเขา เอ่ยทักแล้วชวนคุยเรื่องงานเขียน ดูว่าเขาชอบผู้ชายรึเปล่า บอกว่าเขาดูดีและหวังว่าเขาจะบอกว่าผมดูดีบ้าง แล้วก็ขอเบอร์ หลังจากนั้นก็ตกหลุมรัก แต่ผมไม่ได้ใจกล้าไง ผมเลยไม่ทำอะไร

พอเรามาถึงหัวแถว ซาแมนธาก็โน้มตัวข้ามเคาน์เตอร์มาจนเกือบชนชั้นวางคุกกี้ล่อใจล้ม “ฉันเป็นพวกชอบกอดน่ะ” เธอบอก ที่เธอพูดมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำเพราะเธอไม่ใช่พวกชอบกอดธรรมดา แต่เป็นพวกชอบกอดที่กอดได้โคตรดี “ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอนาย เบน”

“เหมือนกัน ซาแมนธา ให้เรียกซาแมนธาใช่มั้ย ไม่ใช่แซมหรือว่าแซมมี่”

“แม่ฉันเป็นคนเดียวที่เรียกฉันว่าแซมมี่ เลยรู้สึกแปลกๆ เวลาคนอื่นเรียกน่ะ ขอบใจที่ถามนะ” ซาแมนธาพูดแล้วหันไปหาดีแลน “ไง”

“ไง” ดีแลนพูด “เป็นไงบ้าง”

“ดี ยุ่งๆ หน่อย” เธอยิ้มตอนที่เห็นดอกกุหลาบ “น่ารักจัง แต่ถ้านายไม่ได้เอามาให้ฉัน ฉันจะถุยน้ำลายใส่กาแฟนายนะ”

“ของเธอเลย” ดีแลนพูด

ซาแมนธาหยิบแก้วขึ้นมา เธอเขียนชื่อดีแลนลงกลางหัวใจและเริ่มทำกาแฟปลอดน้ำลายแก้วใหญ่ให้เขา “นายเอาอะไรดี เบน”

“ไม่รู้สิ น้ำมะนาวสตรอเบอรี่ละกัน” น้ำตาลนี่แหละเจ๋งสุด

“แก้วเล็ก กลาง หรือใหญ่”

ผมดูราคาในเมนู “แก้วเล็ก แก้วเล็กแน่นอน” ห่า เสียเงินสามเหรียญห้าสิบเพื่อแก้วเล็กๆ ใส่น้ำแข็งครึ่งหนึ่งกับน้ำผลไม้ครึ่งหนึ่งเนี่ยนะ ผมใช้เงินสองเหรียญเจ็ดสิบห้าซื้อเมโทรการ์ดขาไปรอบเดียวไปผจญภัยแบบเหลือเศษยังได้เลย ซื้อน้ำส้มได้ตั้งแกลลอน หรือซื้อสกิตเติลส์สามห่อกับสวีดิชฟิชอีกห้าห่อได้ที่ร้านตรงหัวมุม

“จัดไป” ซาแมนธาพูด เธอวาดหน้าคนยิ้มใต้ชื่อผม “อีกไม่กี่นาทีก็จะเลิกแล้ว ขอฉันรับออเดอร์แถวนี้หมดก่อนนะ”

เรารออยู่ตรงปลายบาร์ ผมแอบมองหนุ่มในชุดมนุษย์เพลิงอีกรอบ ตอนนี้เขาใส่หูฟังแล้ว ผมสงสัยจังว่าเขาฟังเพลงอะไรอยู่ ฮัดสันชอบเพลงคลาสสิกหลายเพลง ส่วนผมชอบเพลงอะไรก็ตามที่กำลังดังในเดือนนั้นๆ ผมไม่ได้ชอบหาเพลงใหม่ๆ ฟัง แต่ถ้ามันติดหู ผมได้หมด คงจะดีถ้าผมได้คบกับคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันระหว่างออกทริปชมชีวิตนอกเมือง แค่ใส่หูฟังคนละข้างและอินไปกับเพลงที่ฟังด้วยกันขณะผ่อนคลายอยู่ที่ไหนสักแห่งเงียบๆ

ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นจากโต๊ะตรงมุมร้านแล้วใช้ทิชชูเช็ดโต๊ะ และก่อนที่ผมจะเข้าไปดูว่าเธอจะไปรึยัง อีแร้งสองตัว…โทษที ผมหมายถึงผู้ชายใส่สูทสองคนพร้อมอาหารกลางวันของพวกเขา…ก็เข้ามาเอาโต๊ะไป

“นายน่าจะให้ฉันไปจองโต๊ะไว้” ผมพูด

“เธอเจ๋งใช่มั้ยล่ะ” ดีแลนถาม

“อืม” ผมตอบไปโดยอัตโนมัติ

ซาแมนธาออกมาจากหลังเคาน์เตอร์และฮัมชื่อเราเป็นทำนอง “ได้แล้วจ้า” เธอเดินมาที่ปลายบาร์ “ขอบใจที่แวะมานะ”

“ดีแลนไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว” ผมพูด “ฉันด้วย ก็อย่างที่เห็น”

“ดีกว่านั่งทำการบ้านอยู่บ้านใช่มั้ยล่ะ” ดีแลนพูด

ผมแค่พยักหน้า

ผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ผมต้องเรียนเสริมฤดูร้อน แค่นี้ก็น่าอายพอแล้วกับการที่ผมต้องนั่งอยู่ต่อหลังชั่วโมงโฮมรูมตอนท้ายเทอมเพราะไม่ได้รับใบเกรดและต้องไปเจออาจารย์แนะแนว ทุกคนในชั่วโมงโฮมรูมรู้เลยว่าแบบนี้ผมต้องไปคุยเรื่องเรียนเสริมฤดูร้อนไม่งั้นก็ไปซ้ำชั้นเกรดสิบเอ็ดที่โรงเรียนอื่น ผมน่าจะเลือกอย่างหลัง จะได้ใช้เวลาช่วงฤดูร้อนได้เต็มที่และไม่มีฮัดสันอยู่รอบๆ ในเดือนกันยาและเดือนอื่นๆ

ซาแมนธาจิบมอคค่าเย็นใส่เอสเพรสโซสี่ชอตไม่มีไขมันใส่น้ำเชื่อมหนึ่งปั๊มกับวิปครีม ผมว่าเธอดูออกว่าการคุยเรื่องเรียนเสริมฤดูร้อนมันน่ากระอักกระอ่วนและเป็นหัวข้อที่อ่อนไหวสำหรับผม ผมล่ะอยากให้เพื่อนสนิทตัวเองหัวเร็วเรื่องนี้บ้างจัง “ฉันชอบทำงานที่นี่นะ แต่ก็คิดถึงเวลาอิสระของตัวเองเหมือนกัน แต่วันหนึ่งฉันอยากทำธุรกิจ และแม่ฉันก็บอกว่ามันจะดีกว่าถ้าฉันได้ลองทำงานทุกรูปแบบเท่าที่เป็นไปได้ก่อนจะไต่เต้าขึ้นไปสูงๆ ฉันจะได้ไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่คาดหวังงานที่ดีจากลูกจ้างที่แค่หาเงินอยู่รอดไปวันๆ”

“ธุรกิจแบบไหนเหรอ” ผมถาม

“ฉันอยากสร้างแอพฯ เกมของตัวเอง ฉันมีไอเดียอยู่ มันจะคล้ายกับเกมฟรอกเกอร์ แต่แทนที่จะเป็นถนนที่มีรถผ่านไปมาตลอดเวลา ฉันจะเปลี่ยนเป็นทางเท้าในนิวยอร์ก นายจะตายถ้าถูกรถเข็นช้อปปิ้งชนหรือเสียแต้มถ้านายเดินตัดหน้านักท่องเที่ยวที่กำลังถ่ายรูป อะไรประมาณนั้น”

“ฉันคงเล่นเกมนั้นจนตาแฉะแล้วครองอันดับต้นๆ แน่” ผมพูด “ดีแลนเพิ่งเล่นเกมนี้เวอร์ชั่นจริงไประหว่างทางที่เรามาที่นี่เนี่ย”

“เอ๋า ก็ฉันไม่อยากพลาดช่วงพักของเธอนี่” ดีแลนพูด เขาดูอายๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ และคำว่าอายไม่ใช่คำที่ผมใช้กับดีแลนบ่อยด้วย น่ารักดีนะที่เวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับเขา เขาอยู่ในช่วงความหวานระดับฮันนีมูนแบบคลาสสิก ช่วงที่ทุกคนคิดว่าพวกเขากำลังขี่ยูนิคอร์นบนสายรุ้งลอยฟ้าและดื่มสมูธตี้สกิตเติลส์ไปด้วย แต่ในท้ายที่สุดคุณจะคิดได้ว่ายูนิคอร์นมันก็แค่ม้าใส่คอสตูม แถมตอนนี้คุณยังฟันผุอีก

ซาแมนธายิ้มให้เขา เหมือนเธออยากชมว่าที่เขาทำมันน่ารักแต่ก็ยั้งตัวเองไว้ “ก็ตามนั้นแหละ ฉันอยากทำแอพฯ ถ้านายมีไอเดียอะไรที่ฉันน่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ บอกด้วยนะ” เธอขยิบตา มันไม่ได้เป๊ะแต่ก็ดูมีเสน่ห์อยู่ดี

“เธอทำแอพฯ กันโง่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ช่วยคนตามหาเนื้อคู่ได้มั้ย”

“ฉันอยากได้คำแนะนำที่ฟังดูง่ายกว่านี้หน่อย อย่างแอพฯ พาหมาเดินเล่นแบบมีลูกเล่นแปลกๆ แต่ก็ได้แหละ”

ผมชอบเธอมากเลย คงเซ็งแย่ถ้าต้องเลิกคบกับเธอ บางทีผมอาจจะเป็นเพื่อนกับเธอลับหลังดีแลนก็ได้นะ แบบเป็นชู้ทางมิตรภาพ

“ฉันรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่นายต้องรับมือเอง แต่นายเป็นไงบ้างหลังจากเลิกกับแฟนไปน่ะ” ซาแมนธาถาม ผมตกใจที่เธอรู้เรื่องฮัดสันด้วย คงเร็วไปสำหรับดีแลนที่จะทำลายความเงียบน่าอึดอัดด้วยการเล่าให้ซาแมนธาฟังว่าทำไมเขาถึงเลิกกับแฮเรียต เขาอ้างว่าแฮเรียตแค่อยากมีแฟนไว้ลงอินสตาแกรมและไม่ได้ชอบเขาจริงๆ แต่ผมรู้ว่าดีแลนก็แค่ตื่นมาวันหนึ่งและรู้สึกเบื่อขึ้นมา ก็นะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาเล่าให้คนที่อาจจะได้คบกันฟังหรอก

“แฟนคนแรก เลิกครั้งแรก มีคนเกลียดฉันจริงๆ เป็นครั้งแรก ฉันแค่อยากให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้น่ะ” ผมพูด

“เสียใจด้วยนะ” ซาแมนธาบอก

“มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะแหละ” ผมดื่มน้ำมะนาวสตรอเบอรี่หมดในสี่จิบเหมือนเวลาผู้ใหญ่เครียดๆ กระดกเหล้า แล้วผมก็กินน้ำแข็งต่อเพราะมันรวมในราคาที่ผมจ่าย เวรเอ๊ย

“หวังว่าเขาจะคิดได้นะ” ซาแมนธาพูด

“เขาพลาดเอง” ผมพูดและพยายามไม่คิดอะไร ก่อนจะตีหน้าเพื่อนซี้มีความสุขอีกรอบ “ไททานิกล่ะ เป็นไง”

“ฉันชอบเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว” ซาแมนธาพูด “แต่ตอนนี้อยากดูเรื่องโปรดของดีแลนมากกว่า”

ทรานส์ฟอร์เมอร์สคือที่สุดแล้ว” ดีแลนบอก

ซาแมนธาเบ้หน้า “คงต้องเป็นมื้อเย็นพรุ่งนี้แทน ฉันพานายไปร้านอาหารทะเลที่เคยเล่าให้ฟังได้นะ”

“พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์สิบสาม” ผมพูด

“จริงด้วย! แต่ฉันไม่ได้เชื่อเรื่องโชคลางอะไรนะ ไม่ต้องห่วง” ซาแมนธาพูด

“ฉันก็เหมือนกัน” ดีแลนว่า “ให้ฉันเดินลอดใต้บันไดลิง แบบชิลๆ เลยก็ยังได้”

“อาฮะ เหมือนตอนแปดขวบที่นายแขนหักในชั่วโมงต่อมา” ผมพูด ตอนนั้นความเจ็บทำเขาสติแตกจนแพนิก เขามั่นใจว่าตัวเองกำลังจะตายและอาการแย่มากๆ แต่ผมเป็นเพื่อนที่ดี ผมเลยไม่เคยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก ผมดีใจมากเลยที่ตอนนั้นผมไม่ได้เห็นเขาขี่จักรยานล้ม

“ก็แค่เรื่องบังเอิญแย่ๆ” ดีแลนบอก

“หรือไม่นายก็ดวงซวย” ผมยักไหล่ “ไงก็เถอะ เรามีประเพณีอยู่ คือเราจะดูหนังสยองขวัญที่บ้านบ็อกส์ในวันศุกร์สิบสาม” พวกเราทำตามประเพณีนี้ไม่เคยขาดตั้งแต่เกรดแปด “ฉันรู้สึกอยากดูชัคกี้”

“ทำไมต้องชัคกี้ล่ะ” ซาแมนธาถาม

“เพราะมันเจ๋งน่ะสิ เหมือนทอยสตอรี่แบบประสาท”

“ฉันจะไม่ทำลายประเพณีแน่นอน” ซาแมนธาพูด “ฟังดูเยี่ยมไปเลย”

ดีแลนมองผมทางหางตา

ผมไม่ได้อยากจะขัดจังหวะเขาเลยนะ แต่ผมค่อนข้างอ่อนไหว และดีแลนจะเบี้ยวผมเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักไม่ถึงอาทิตย์ไม่ได้ต่อให้เธอคนนั้นเจ๋งแค่ไหนก็ตาม เมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมา ฮัดสันกับผมวางแผนจะไปดูเอ็กซ์เม็นภาคใหม่กัน และนั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้ฮัดสันรู้สึกตื่นเต้นได้หลังจากพ่อกับแม่เขาหย่ากัน แต่หนังดันเข้าวันศุกร์สิบสาม ผมเลยยกเลิกนัดแบบเพื่อนที่ดีควรทำ แล้วฮัดสันก็ไปดูกับแฮเรียตแทน

“เธอน่าจะมาดูด้วยกันนะ” ผมพูด และผมหมายความตามนั้นจริงๆ “จะทำเหมือนฉันเป็นก้างขวางคอก็ได้”

“ฉันว่าฉันต่างหากที่จะกลายเป็นก้างขวางคอ” ซาแมนธาพูด

“เบน ไปหาผู้ชายสักคนมาจะได้เป็นเดตคู่ดีกว่า”

“โอเค ได้เลย เดี๋ยวหันไปหาใครสักคนแถวนี้แหละ”

ผมแกล้งทำเป็นหันหลังแล้วสบตาเข้ากับหนุ่มน่ารักในเสื้อมนุษย์เพลิง ผมหันกลับมาหาดีแลนกับซาแมนธาพร้อมแก้มแดงก่ำ จักรวาลเริ่มทำงานอีกแล้ว ผมอยากเข้าไปจีบเขา เขาอาจจะเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ฮัดสันทิ้งไว้ก็ได้

“ฉันจะเข้าไปทักผู้ชายคนนั้น” ผมประกาศ

“อู้ว คนไหนเหรอ” ซาแมนธาถาม

“ผู้ชายที่ใช้แล็ปท็อปน่ะ” ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีผู้ชายใช้แล็ปท็อปอยู่ตั้งสี่คนในระยะสายตาของผม “คนที่ใส่เสื้อมนุษย์เพลิง”

“เอาเลยพวก” ดีแลนพูด “ไปเอามาเลย เอาเลย! เอาเลย!”

ไปเอามาเลย ฮัดสันไม่ใช่คนเดียวที่เดินหน้าต่อได้สักหน่อย ผมต้องไม่ใจฝ่อ ผมเดินไปหาเขาแล้วกะจะทำเป็นหยอกว่าเขาแย่งโต๊ะผมไปและ…

สาวผิวเข้มอย่างแจ่มเดินมาที่โต๊ะเขาก่อนจะจูบเขาที่ริมฝีปาก

ผมเดินกลับมาหาดีแลนกับซาแมนธา

“เขาเป็นชายแท้แหงล่ะ” ผมพูด

“เขาอาจจะเป็นไบก็ได้” ดีแลนพูด “และมีความสัมพันธ์แบบเปิด”

“หรือไม่ชีวิตก็ห่วยเอง” ผมพูด “และฮัดสันอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ต้องการฉัน”

“เอเลี่ยนนั่นต้องการนายไง” ดีแลนบอก

“เอเลี่ยนเหรอ” ซาแมนธาถาม

“แต่ฉันไม่มีทางได้เจอเขาอีกนี่” ผมพูด

“ไม่เอาน่า ต้องมีอะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่างสิที่เราเอามาใช้ตามหาเขาได้”

เอเลี่ยนไหนเหรอ” ซาแมนธาถามอีกที

“ฉันเจอผู้ชายคนหนึ่งที่ที่ทำการไปรษณีย์” ผมตอบ “ชื่ออาร์เธอร์ แต่ฉันไม่รู้นามสกุลเขาและฉันไม่ได้บอกชื่อตัวเองไปด้วย เท่าที่จำได้”

“โอ้พระเจ้า” ซาแมนธาบีบแขนผมแล้วกระโดดดึ๋งๆ “ฉันชอบเรื่องลึกลับ แพทริก เพื่อนสนิทฉัน…”

“เพื่อนสนิทเธอเป็นผู้ชายเหรอ” ดีแลนถาม

“…เรียกฉันว่าแนนซี ดรูว์ แห่งโลกโซเชียล…”

“แพทริกเป็นเกย์รึเปล่า”

“…เพราะฉันช่วยเขาตามหาผู้หญิงคนหนึ่งในเน็ต…”

“หรือว่าเป็นไบ”

“…ที่เขาเจอที่พิธีจบการศึกษาของพี่ชายเขา”

ผมเมินคำพูดแทรกน่าปวดหัวของดีแลนและโฟกัสที่ซาแมนธา “เธอหาผู้หญิงคนนั้นเจอได้ไงน่ะ”

“เขาเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังเกี่ยวกับพิธีจบการศึกษาจะได้มีคีย์เวิร์ดไปหาในทวิตเตอร์ได้ เหมือนชุดครุยสีเบจน่าเกลียดหรือคำพูดโดนๆ ของคนกล่าวสุนทรพจน์อะไรงี้ แล้วเราก็ไล่หาตามแฮชแท็กเกี่ยวกับพิธีจบการศึกษาเป็นบ้าเป็นหลังในอินสตาแกรมจนเจอเธอ กลายเป็นว่าเธอไม่มีทวิตเตอร์น่ะ”

“โว้ว”

“โอเค แต่ขอล่ะ กลับมาสนแพทริกหน่อย” ดีแลนว่า

ซาแมนธาจับไหล่ดีแลนทั้งสองข้าง “แพทริกเป็นเหมือนพี่ชายของฉัน เจ้าคนโรคจิต โอเคมั้ย โอเคแหละ เบน บอกฉันทุกอย่างที่นายรู้เกี่ยวอาร์เธอร์มาเลย”

“ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันลองหาเขาในทวิตเตอร์แล้วแต่ไม่เจออะไรเลย”

“แล้วนายใช่แนนซี ดรูว์แห่งโลกโซเชียลรึเปล่า” ซาแมนธาถาม

ผมยิ้ม ดีจังที่เธอใจกว้าง หรือไม่เธออาจจะแค่เบื่อๆ อยู่ก็ได้ จะอย่างไหนก็เถอะ ผมก็เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับทุกอย่างที่ผมลองหาในทวิตเตอร์แล้วอยู่ดี

“ฉันต้องรู้มากกว่าแค่เนกไทรูปฮอตดอกกับจอร์เจียนะ” ซาแมนธาบอก “มันก็พอได้แหละ แต่ไม่เอาน่า เขามาใช้เวลาหน้าร้อนที่นี่ทำไม”

“อ้อ เพราะแม่เขาน่ะ แม่เขาเป็นทนายและกำลังจัดการคดีหนึ่งอยู่”

“นายรู้มั้ยว่าบริษัทไหน หรือคดีอะไร” ซาแมนธาเอามือถือขึ้นมาจดโน้ต ไอ้สร้างแอพฯ อะไรน่ะช่างแม่งเถอะ เธอควรเป็นนักสืบมากกว่า

“ไม่รู้ทั้งคู่เลย แต่บริษัทที่นี่มีสาขาที่จอร์เจียด้วย ที่มิลตัน รัฐจอร์เจีย! เขามีลุงแก่ชื่อมิลตัน” ผมพูด

“ลุงแก่นี่ลุงเฉยๆหรือว่าลุงทวด”

“เอ้อ” ผมจำไม่ได้ เลยยักไหล่

“สมองที่เรียนเสริมฤดูร้อนเล่นงานเข้าให้แล้ว” ดีแลนพูด

สิ่งที่ดีแลนพูดค้างคาใจผมนานกว่าที่ควร ผมรู้ว่าผมต้องเรียนเสริมฤดูร้อน ผมตื่นมาพร้อมอาการแน่นในอกที่โห่ร้องว่าชีวิตบัดซบทุกเช้า โรงเรียนเสริมฤดูร้อนคือที่ที่ผมต้องเผชิญหน้ากับแฟนเก่าและอนาคตอันน่าหวาดกลัว ผมไม่ใช่คนแบบอาร์เธอร์ที่ฝันอยากเข้ามหา’ลัยดีๆ

“เยล!” ผมพูด

“ไรนะ” ดีแลนดูงงโคตรๆ

“อาร์เธอร์บอกว่าเขาแวะไปมหา’ลัยเยลมา เขาดูเด็ก แต่เขาอาจเริ่มเรียนที่นั่นตอนฤดูใบไม้ร่วงก็ได้ใช่มั้ยล่ะ”

“ข้อมูลมีประโยชน์สุดๆ” ซาแมนธาบอก “เดี๋ยวต้องกลับไปอยู่หลังเคาน์เตอร์แล้ว มีอะไรอีกมั้ย”

ผมนึกถึงเรื่องดีๆ ที่คงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ อย่างตอนที่เขาดูกระอักกระอ่วนตอนพูดเรื่อง ‘ของผมใหญ่’ ตอนที่เขาดูสดใสขึ้นมาหลังรู้ว่าผมเองก็เป็นเกย์ทั้งๆ ที่ผมกำลังบอกเขาว่าผมเพิ่งเลิกกับแฟนมาหมาดๆ หรือศรัทธาอันแรงกล้าที่เขามีให้จักรวาลอย่างกับมันคือเพื่อนของเราจริงๆ แล้วผมก็จำเรื่องที่มีประโยชน์ขึ้นมาได้

“เขาจะกลับไปจอร์เจียตอนหมดหน้าร้อน” ผมบอก…หาเขาไปก็เท่านั้น

“ยิ่งต้องรีบหาให้เจอเลย!” ซาแมนธาฉีกยิ้มเหมือนเธอครองความหวังทั้งหมดในโลกใบนี้ ผมล่ะอยากให้เธอแบ่งมาให้ผมบ้าง เพราะไม่มีทางหรอกที่จักรวาลเดียวกันกับที่ขังผมไว้กับแฟนเก่าที่โรงเรียนเสริมฤดูร้อนจะพาผมมาเจอกับหนุ่มน่ารักอีกครั้ง “โอเค ต้องรีบไปแล้ว” เธอกอดผม กลิ่นเธอเหมือนเอสเพรสโซกับสโคน “ดีใจจริงๆ นะเบนที่ได้เจอนาย หวังว่าฉันจะไขปริศนานี้ออกและช่วยให้นายเจอผู้ชายที่นายตามหานะ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันมั่นใจว่าจะมีคนเจ๋งๆ ผ่านมาแล้วตกหลุมรักนายหัวปักหัวปำเลย”

“บางทีคนคนนั้นอาจจะอยู่ในชีวิตของนายมานานแล้วก็ได้นะ” ดีแลนพูดและวางมือลงบนมือของผม

ซาแมนธาหัวเราะ “ว่าแล้วเชียว พรุ่งนี้ฉันเป็นก้างขวางคอแหงๆ”

“ไม่ต้องกลัว ว่าที่ภรรยาของฉัน ถ้าคืนพรุ่งนี้เธอรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา ฉันจะดูแลเธอเอง” เขายิ้มให้เธอ

แต่ซาแมนธาไม่ยิ้มตอบ เธอมองพื้นและเกาหัวตัวเอง

ผมเห็นตอนดีแลนคิดได้ว่าตัวเองออกตัวแรงไปหน่อย…ว่าซาแมนธาอาจจะไม่อยากคุยเรื่องแต่งงานหลังจากรู้จักเขาได้สองวัน

“ไว้คุยกันนะ” เธอเดินไปหลังเคาน์เตอร์ ใส่หมวก และกลับไปทำงาน

“โอ้ไม่นะ” เขาพูด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“แค่ล้อเล่นเอง”

“เว้นระยะห่างให้เธอหน่อย เธอทำงานอยู่ ไว้ค่อยคุยทีหลัง”

ดีแลนเดินนำออกจากร้าน “มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ จริงเหรอวะ”

เขาหันกลับไปสองสามรอบเหมือนพยายามจะดูว่าเธอมองเขาตอนเดินออกมารึเปล่า บางทีเขาอาจจะมองเธอเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: