X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักวาสนาคนเขลา

ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่เจ็ด-บทที่แปด

หน้าที่แล้ว1 of 26

บทที่เจ็ด

เพราะเรื่องวุ่นวายตอนเช้านี้ ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงออกจากจวนสายในที่สุด

รถม้าออกจากเมืองซูเฉิงมานานพอควร ภายในรถเงียบสนิทไร้เสียง ฉู่จิ้งเฟิงกระแอมอย่างอึดอัด ก้มหน้าลงถามหญิงสาวที่แอบเล่นชีเฉี่ยวป่าน อยู่ตรงมุมรถ “รั่วอวี๋กระหายน้ำหรือไม่ อยากกินแตงหวานสักชิ้นหรือไม่”

หลังจากพูดประชดเขาตอนเช้าแล้ว หญิงโง่ผู้นี้ก็ไม่สนใจเขาอีกเลย ถือกล่องของเล่นของตนเองเล่นอย่างสนุกสนาน ในตอนนี้นางดึงตุ๊กตาผ้าออกมาตัวหนึ่ง เริ่มด้วยการลูบผมเปียที่ทำจากขนแผงคอม้าก่อน จากนั้นก็ดึงมือของตุ๊กตาผ้าแล้วตีแรงๆ สามที “เด็กไม่ดี ต้องตี ทำผิดอีกจะไม่ให้เจ้าพบท่านแม่!”

ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าตนเองนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว ซือหม่าที่มีความชอบยิ่งใหญ่ของต้าฉู่ รู้สึกเพียงว่าใบหน้าที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องถูกนาง ‘ตบ’ จนแสบร้อน

เห็นสาวน้อยยังไม่หมดสนุกอยากจะอบรมตุ๊กตาผ้าอีก ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด หยิบแตงหวานชิ้นหนึ่งบนโต๊ะยื่นไปที่ปากของนาง แล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เด็กดี กินสองสามคำแล้วค่อยไปเล่นใหม่นะ”

หลี่รั่วอวี๋ส่ายหน้า ไม่ยอมช้อนตามองเขาเลย ฉู่จิ้งเฟิงสีหน้าเย็นชา ท่าทางเช่นนี้หากผู้อื่นเห็นเข้า คงตกใจจนฉี่รดกางเกงแน่นอน แต่น่าเสียดายในสายตาของคนปัญญาอ่อนผู้นี้ ท่าทางของฉู่จิ้งเฟิงก็เหมือนเป็นสิ่งลวง ไม่มีผลอะไรต่อนางเลย

และวันนี้ที่ตีหลี่รั่วอวี๋ไปสองสามทีนั้น ตอนนี้ย้อนคิดดูแล้ว เหมือนจะใช้แรงตีจนเสียงดังมาก ทำเกินไปบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงสะกดไฟโกรธลง แล้วตั้งใจพูดเสียงอ่อนโยน “ถ้าไม่กินแตงหวาน คุยอะไรกับข้าสักครู่ได้หรือไม่ บอกข้าสิว่าอีกครู่พบท่านแม่แล้วเจ้าจะพูดอะไร”

ได้ยินฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ หลี่รั่วอวี๋จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพูดว่า “จะบอกท่านแม่ว่ารั่วอวี๋จะเป็นเด็กดี อย่ามอบรั่วอวี๋ให้กับคนเลว…”

วันนี้นางทำมวยผมทรงโหนอาชา ปักปิ่นหงส์เอียงข้างเอาไว้ ไม่หวีผมหน้าม้าเหมือนหญิงสาวทั่วไปแล้ว แต่รวบขึ้นเปิดหน้าผากขาวสะอาด ทับทิมสีแดงกลางหว่างคิ้วทำเป็นรูปดอกไม้ ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษ แต่การแต่งกายแบบผู้ใหญ่นี้กลับประกอบกับแววตาไร้เดียงสา ท่าทางเช่นนี้กลับดึงดูดใจคน ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมตนเองได้

พอพูดถึงคำว่า ‘คนเลว’ นางก็ถลึงสองตา เชิดปลายคางขึ้น พลางกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง

ฉู่จิ้งเฟิงถูกแววตาของนางทำให้ใจลอย ไม่สนใจว่าเมื่อครู่ถูกด่า โน้มเข้าไปอยากจะจุมพิตริมฝีปากแต้มสีชาดของนาง แต่หลี่รั่วอวี๋แยกแยะได้ วันนี้เขาตีนางทำโทษนาง แล้วคิดจะมากินปากนาง นางไม่ให้เด็ดขาดจึงตั้งใจจะหลบเลี่ยง

น่าเสียดายที่ไฟราคะของฉู่จิ้งเฟิงปะทุขึ้นแล้ว ไม่ได้ลิ้มรสหวานบ้างมีหรือจะยอมถอย

เดิมทีการเดินทางกลับบ้านเจ้าสาวครั้งนี้วางแผนไว้อย่างดีเยี่ยม ในตัวรถม้าเล็กๆ นี้ตกแต่งได้เหมาะสมยิ่ง เดินทางโคลงเคลงไปถึงเมืองเหลียวเฉิง ขังนางเอาไว้แต่ในตัวรถ สะดวกแก่การลงมือ เป็นการเปิดโลกบางอย่างให้แก่นาง และนับว่าเป็นการปลอบใจให้กับความ ’คิดถึง’ ของตนเอง

แต่การตีสามทีนั้นทำให้แผนการอันงดงามสลายไปหมดสิ้น หญิงสาวที่เดิมทียังยอมให้เขาจูบ ตอนนี้กลับมีท่าทีตื่นตระหนกเหมือนสัตว์ป่าวิ่งหนีน้ำ ทำให้เขารู้สึกโมโหมาก… คิดถึงที่นางพูดเมื่อครู่ว่าจะไปจากเขา เขาจึงทำการรุนแรง ยึดลิ้นเล็กของนางไว้ไม่ยอมปล่อย หลอกล่อให้ลิ้นหวานนั้นสอดเข้ามาในปากของเขา จากนั้นตวัดดูดดึง จนกระทั่งร่างเล็กแข็งเกร็งในอ้อมกอดค่อยๆ อ่อนลง กลายเป็นน่ากินยิ่งขึ้น

หลี่รั่วอวี๋ถูกชายหนุ่มจุมพิตจนไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงอ่อนพับอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในจมูกล้วนมีแต่กลิ่นน่าดมจากตัวเขา นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอชายหนุ่มกินปากของนาง ตัวนางจะไร้เรี่ยวแรง หรือเขาจะเป็นปีศาจในหนังสือภาพของน้องชายที่มาดูดปราณของคนโดยเฉพาะ

ฉู่จิ้งเฟิงไม่รู้ว่าในใจหญิงงามคิดไปส่งเดชเช่นนั้น รู้สึกเพียงว่าจุมพิตจนไฟราคะลุกโชน แต่เพราะเดินทางไกล ใต้กระโปรงของหลี่รั่วอวี๋จึงสวมกางเกงขาสอบเพื่อสะดวกในการเดินทางผ่านป่า จะได้ไม่มียุงหรือแมลงบินเข้ามา แต่กางเกงแบบนี้ลวนลามได้ไม่ค่อยสะดวก มือของฉู่จิ้งเฟิงที่บีบคลึงทรวงอกสาวงามจึงค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ สอดเข้าไปในกระโปรงซ้อนหลายชั้น ลูบไปตามเรียวขาผ่านกางเกงกั้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น…

แม้จะโง่ทึ่มไป แต่ความรู้สึกของความเป็นหญิงยังคงอยู่ ส่วนที่ถูกแตะย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลี่รั่วอวี๋รู้สึกร้อนรนใจจึงออกแรงข่วนหน้าฉู่จิ้งเฟิง

รอยเก่าบนหน้าฉู่จิ้งเฟิงยังไม่จาง จะเติมรอยใหม่อีกไม่ได้ เขาจึงชักมือออกจากใต้กระโปรงมาคว้าข้อมือนางเอาไว้

หลี่รั่วอวี๋ถูกเขาลูบส่วนต้องห้าม ไม่รู้ว่าเหตุใดใบหน้าจึงร้อนผ่าว แต่ร่างของชายหนุ่มร้อนยิ่งกว่า เขาพาดอยู่บนตัวนางพลางหายใจหอบ หลี่รั่วอวี๋ช้อนตามองไปอย่างสงสัย กลับพบว่าเขาหลับตาแน่น รับรู้ว่านางไม่ขัดขืนอีกแล้ว จึงพลิกตัวไปนอนอยู่ข้างกายนาง

หลี่รั่วอวี๋ดึงกระโปรงพลางพลิกตัวมาทับแผ่นอกของเขา ในตอนนี้แสงแดดส่องเข้ามาในรถ ส่องกระทบใบหน้าของเขา จมูกโด่งสูง และริมฝีปากบางล้วนน่าดูมาก ยังมีดวงตาที่ปิดสนิทนั้น…

หลี่รั่วอวี๋สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงอยากจะจูบนาง จึงใช้ปากเล็กจูบแก้มและปลายจมูกของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แตะที่ริมฝีปากเขาราวผีเสื้อเกาะ รู้สึกว่ามันก็เท่านี้ ไม่เห็นมีรสชาติหวานเป็นพิเศษอะไรเลย

ฉู่จิ้งเฟิงนอนนิ่งอยู่กับที่ปล่อยให้นาง ‘ลวนลาม’ แต่พยายามสะกดไฟปรารถนาที่คนร่างเล็กเป็นคนปลุกปั่นนั้นให้สงบลง แม้จะไม่ส่องกระจก เขาก็รู้ว่าดวงตาประหลาดของเขาคงเปลี่ยนสีไปอีกแล้ว ทั้งยังเห็นว่าใกล้จะเข้าเมืองเหลียวเฉิงแล้ว หากทำให้หลี่รั่วอวี๋ตกใจร้องไห้อีก คงไม่ต้องเข้าบ้านแม่ยายจริงๆ แล้ว

พอเข้าเมืองเหลียวเฉิง รถม้าก็ลดความเร็วลง เมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ ชาวเมืองมีชีวิตเรียบง่าย เพิ่งกินเลี้ยงที่อุดมสมบูรณ์ของซือหม่าไป รสชาติสุราและเนื้อชั้นดีในปากยังไม่ทันจางหาย จะไม่นึกถึงความดีของคนเขาได้อย่างไร เมื่อเห็นขบวนรถหรูหราเข้าเมืองมาก็เดาได้ว่าซือหม่าพาเจ้าสาวคนใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด

เพียงชั่วครู่เด็กกลุ่มหนึ่งก็วิ่งตามขบวนรถกันอย่างสนุกสนาน สองฟากถนนมีชาวบ้านเบียดกันมาแสดงความยินดี ราวกับมาต้อนรับเขยของคนเมืองเหลียวเฉิงทั้งเมือง

ไปถึงหน้าประตูใหญ่ ฉู่จิ้งเฟิงก็สั่งการพ่อบ้านที่สอบถามประเพณีของเมืองเหลียวเฉิงมาอย่างดี ให้มอบเงินขวัญถุงให้กับพวกเด็กๆ ที่วิ่งตามหลังรถ

เงินขวัญถุงสำหรับการแต่งงานนี้ปกติแล้วให้คนละหนึ่งอีแปะก็พอ แต่พ่อบ้านกลับให้ทองเท่าเมล็ดถั่ว ไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ได้ ทำให้ทุกคนพากันโจษจันว่าคุณหนูรองหลี่แต่งเข้าบ้านคนมีฐานะสูงศักดิ์แล้วจริงๆ!

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้คนสาดน้ำล้างทางไว้แต่เช้า รอให้บุตรเขยพาบุตรสาวคนรองกลับมาเยี่ยมบ้าน

ก่อนเข้าเมือง ฉู่จิ้งเฟิงให้หล่งเซียงแต่งหน้าให้คุณหนูใหม่ จัดแต่งเสื้อผ้ากระโปรงให้เรียบร้อย ในตอนนี้ลงจากรถม้าก็กลายเป็นฮูหยินน้อยที่มีความงามสง่า

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดูบุตรสาวเรียก “ท่านแม่” อย่างเบิกบานใจ ท่าทางผิวพรรณเนียนนุ่มอมชมพู หัวใจที่ลอยคว้างก็วางลงได้ครึ่งหนึ่ง เรียกให้บุตรสาวกับฉู่ซือหม่าบุตรเขยสูงศักดิ์ล้างมือเข้าบ้านอย่างสบายใจ

เพราะกลับมาบ้านเกิด บุตรสาวจะนอนห้องเดียวกับบุตรเขยไม่ได้ จะได้ไม่นำเอาโชคลาภของบ้านเกิดไปด้วย ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงจัดให้ฉู่จิ้งเฟิงนอนในห้องหลักที่ว่างโล่งห้องหนึ่งในคฤหาสน์ ส่วนบุตรสาวคนรองนอนในห้องเดิมของนางตอนที่ยังไม่แต่งงาน

รอตกกลางคืน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงหาเวลาว่างเข้าห้องไปพูดคุยกับบุตรสาวคนรอง

หลี่รั่วอวี๋เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ สวมชุดลำลองสีกลีบบัว นั่งอยู่ข้างแท่นไม้คล้องนกเล่นกับนกแก้วจี๋เฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินเข้าไปโอบตัวบุตรสาวคนรอง หลังจากถามเรื่องอาหารการกินสองสามวันนี้ที่เมืองซูเฉิงแล้ว นางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสาวใช้แปลกหน้าที่คอยปรนนิบัติบุตรสาวสองสามคนนั้นไม่อยู่จึงลอบถามว่า “ซือหม่าดีกับลูกหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เอ่ยถามขึ้นทันที “หมายความว่าอย่างไร”

หลี่รั่วอวี๋ตอบว่า “พี่ฉู่บอกว่าวันหน้าจะให้ข้าไปหอเรียน เป็นเรื่องดี แต่เขาตีข้า เป็นเรื่องไม่ดี”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ก็ตกใจใหญ่ รีบดึงตัวบุตรสาวมาตรวจดูทั่วตัวแล้วถามอย่างตื่นตระหนก “เขาตีเจ้าที่ใด”

หลี่รั่วอวี๋ชี้ไปที่ฝ่ามือของตนเอง แล้วไม่ลืมที่จะพูดเสริมว่า “เขาไม่เพียงตีข้า…ยังตีบ่าวไพร่ด้วย กักขฬะอย่างมาก”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กุมมือขาวนวลนั้นเอาไว้ พลิกดูจนทั่ว ผิวพรรณขาวนวลทุกอณู เล็บนิ้วที่ตัดแต่งทาสีแดงด้วยสีทาเล็บที่ขึ้นชื่อ ทว่าไม่เห็นรอยบวมแม้แต่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ช้อนตาขึ้นมองไล่ไปตามมืองามและแขนก็เห็นจุดพรหมจรรย์ที่แลบออกมาจากคอเสื้อนั้นยังอยู่ดีไม่จางหาย

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตกใจอีกครั้ง ในใจมีเกลียวคลื่นถาโถมทันที ไม่สนใจความขวยเขินของบุตรสาว เอ่ยถามตามตรงว่า “เขานอนกับเจ้าแล้วหรือยัง”

หลี่รั่วอวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านแม่จึงพูดแต่จุดนี้ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ตอบตามตรง “นอนด้วยกันแล้ว”

“แล้ว…เขาแตะต้องเจ้าหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋ตอบอย่างไม่ขวยเขินว่า “เขาจูบนมของรั่วอวี๋ ยังแตะตรงนี้ด้วย” นางพูดพลางชี้ไปบริเวณใต้สะดือของตนเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็หน้าแดงทันที รู้สึกไม่สบายใจ… อมิตาภพุทธ มิน่าเล่าจึงอยากจะแต่งกับรั่วอวี๋ของพวกเรา เห็นเขารูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับท่าดีทีเหลว คืนแต่งงานอยู่บนเตียงด้วยกัน แต่ร่างกายของบุตรสาวยังไม่มีตำหนิใด เห็นได้ว่าซือหม่าใช้ไม่ได้ ที่อยากจะแต่งกับคนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้เรื่องราว ที่แท้ก็เพื่อปิดบังโรคของตนเองต่อหน้าคนอื่น

หลังจากเข้าใจจุดนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็พอวางใจลงได้ ขณะที่สงสารบุตรสาว นางก็ค่อยๆ มั่นใจขึ้น

ในเมื่อเรื่องนี้เขาไม่ไหว ภายหน้าก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรับอนุมาทำให้บุตรสาวทนทุกข์แล้ว เพียงแค่สงสารบุตรสาว มิต้องอยู่โดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตหรือไร

หลี่รั่วอวี๋กลับรู้สึกว่าท่านแม่ถามไม่ถูกประเด็น ตนเองถูกตี เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ท่านแม่เหมือนไม่เก็บมาใส่ใจ นางจึงยู่ปาก

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลูบผมของบุตรสาว คิดถึงหลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นรูปท้องชัดเจนแล้ว โจวอี๋เหนียงใกล้จะได้เป็นยายแล้ว แต่บุตรสาวคนรองของตนเองกลับถูกกำหนดให้ไม่มีผู้สืบทอด ในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ในตอนวันแต่งงานส่งหลี่รั่วอวี๋ออกไป ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่ก็หาเวลาว่างมาพูดคุยกับนาง ความหมายคร่าวๆ ก็คือ หลี่เสวียนเอ๋อร์ไปร้องที่ศาลบรรพชนเรื่องที่ท่านแม่ตนเองถูกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไล่ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่

เรื่องมาถึงวันนี้ นางไม่หวังว่าท่านแม่จะกลับเข้าคฤหาสน์สกุลหลี่ แต่ป้าย ‘ฝ่าคลื่นล่องทะเล’ ที่เป็นลายมือของอดีตฮ่องเต้ที่แขวนสูงไว้บนศาลบรรพชนสกุลหลี่ต้องมอบให้กับผู้สืบทอดเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่ที่แท้จริง

ส่วนนางหลี่เสวียนเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว สกุลหลี่ตอนนี้มีเพียงชื่อเปล่า แม้หลี่รั่วอวี๋จะแต่งงานกับซือหม่า ก็ไม่คู่ควรจะครอบครองป้ายสกุลต่อเรือนี้!

ไม่โทษที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่มาพูดคุยแทนหลี่เสวียนเอ๋อร์ วิชาต่อเรือนี้เป็นรากฐานชื่อเสียงของสกุลหลี่ สกุลอื่นแม้จะไม่มีวาสนาได้เคล็ดวิชา แต่อู่เรือของสกุลหลี่แต่ละรุ่นล้วนมอบเงินรายได้จำนวนหนึ่งเข้าศาลบรรพชน เพื่อเป็นเงินกองกลางของสกุลหลี่ และเป็นเครื่องหมายของการได้ดีแล้วไม่ลืมรากเหง้า

ส่วนหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็แสดงท่าทีทั้งเปิดเผยและเป็นนัยว่า หากไม่มอบแผ่นป้ายให้นาง วิชาของสกุลหลี่ก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่เสิ่นนับจากนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าสกุลหลี่รับผิดชอบไม่ไหว หนังสือประจำสกุลหน้าแรกบันทึกไว้ว่า… ‘สกุลหลี่ที่มาจากทะเลใต้ชำนาญการต่อเรือ ผ่านไปร้อยรุ่นก็ไม่เสื่อมถอย…’

หากมาถึงรุ่นของเขาแล้วต้องหยุดลง ไม่ต้องถูกด่าว่าเป็นลูกหลานสกุลหลี่ที่ไม่มีความสามารถไปหรือ

เมื่อเขาร่ายผลดีผลเสียให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกว่าคำด่านี้หนักเกินไป แต่จะให้นางมอบป้ายเกียรติยศของสกุลหลี่ให้กับลูกภรรยารองที่ลอบเรียนวิชาและขาดคุณธรรมผู้นั้น นางเองก็ไม่ยอม

ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่ถอนหายใจ บอกนางหากไม่อดทนกับเรื่องเล็กน้อยจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงเป็นหญิงที่ขาดคุณธรรมแล้วต้องเพิ่มข้อหาที่ว่าถูกแม่ใหญ่ไล่ออกจากบ้านอีกกระทง ตอนนี้การแต่งงานของบุตรสาวคนรองหลี่รั่วอวี๋ดีกว่าครั้งแรก ยังมีอะไรจะทนไม่ได้อีก สู้อภัยให้หลี่เสวียนเอ๋อร์ ให้นางดูแลอู่เรือ ทำงานต่อเรือที่หลี่รั่วอวี๋ยังทำไม่สำเร็จ ภายหน้าหากเสียนเอ๋อร์เติบโตแล้ว หากนางยังเห็นแก่ความดีของสกุลหลี่ก็ถ่ายทอดวิชาต่อเรือให้น้องชายก็พอ

‘ภาพครอบครัวสุขสันต์’ อันงดงามที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่วาดขึ้นมาภาพนี้เป็นเพียงความปรารถนา แต่พอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดถึงเรื่องใบรายการสั่งซื้อของอู่เรือที่ใกล้จะถึงกำหนดแล้วก็หัวโต

ช่างของอู่เรือล้วนมีความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าทำงานร่วมกับผู้ใดก็สามารถต่อเรือใหญ่ธรรมดาลำหนึ่งออกมาได้ แต่เรือสินค้าของสกุลหลี่ก็ดี เรือรบก็ช่าง ล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างจากเรือลำอื่น ฝีมือในการคัดเลือกไม้ วัตถุดิบที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ยังมีฝีมือการวัดมุมเรือและวางรายละเอียดอีก

ด้วยเคล็ดวิชาที่ไม่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ใดซึ่งแม้แต่คนงานเก่าเหล่านี้ก็ไม่รู้ ทำให้เรือของสกุลหลี่ถูกอดีตฮ่องเต้ทรงชื่นชมว่าเป็น ‘ฝ่าคลื่นล่องทะเล’

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ครุ่นคิดไปมา คิดว่าวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่จะถูกทำลายด้วยมือหญิงเช่นตนไม่ได้ จึงเตรียมจะอดกลั้นความโกรธนั้น รับหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมา อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวสกุลหลี่ หากไล่นางออกไป ทำให้เคล็ดวิชาของสกุลหลี่เผยแพร่สู่คนนอก ตนไม่กลายเป็นคนผิดของสกุลหลี่ไปหรือ

ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงยอมรับให้ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่อีกสองวันนำโจวอี๋เหนียงกับหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมาบ้าน และข้อเสนอในการเจรจาระหว่างสองฝ่าย

บุตรสาวคนโตหลี่รั่วฮุ่ยย่อมไม่ยอมรับ แต่นางก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ด้วยความโมโหจึงรีบกลับบ้านหลังจากพิธีแต่งงานในทันที จะได้ไม่ต้องเห็นโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกให้รำคาญใจ

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะตัดสินใจแล้ว แต่นางเป็นคนตัดสินใจไม่เด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้นางเป็นกังวล หากเป็นตอนที่ตัดสินใจไม่ได้ยังสามารถปรึกษาลูกคนรองได้ แต่ตอนนี้คิดไปคิดมา นางจึงตัดสินใจจะพูดเรื่องนี้กับลูกเขยที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านผู้นี้

แต่ฉู่จิ้งเฟิงนั้นแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่เข้าใกล้ได้ยาก เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ไม่กล้า แต่พอได้รู้เรื่องอาการป่วยของลูกเขย ก็รู้สึกว่าลูกเขยผู้เย็นชาและสูงศักดิ์ก็มีข้อด้อยที่เทียบคนอื่นไม่ได้เช่นกัน ทำให้นางโล่งใจลงได้บ้าง จึงมีความกล้าจะพูดคุยกับลูกเขย

ดังนั้นตอนกินอาหารเช้าวันที่สองหลังจากกลับมาเยี่ยมบ้าน นางจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉู่จิ้งเฟิงฟัง

ฉู่จิ้งเฟิงวางตะเกียบฟังฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จนจบอย่างอดทน คิดสักครู่จึงพูดว่า “ท่านแม่ยายมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์แอบฝึกก็คือวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถอนใจพูดว่า “เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่หลายวันก่อน เรือที่หลี่เสวียนเอ๋อร์ควบคุมการสร้างนั้นเคลื่อนมาที่อู่เรือของพวกเรา พวกคนงานเก่าแก่ในอู่เรือตรวจอย่างละเอียดแล้ว บอกว่าเป็นเรือตะลุยน่านน้ำวิธีการใหม่ในการต่อเรือของสกุลหลี่ และเรือแบบนี้สกุลหลี่ไม่ได้สร้างมาสามสิบปีเต็มแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์อายุน้อย ถ้าไม่ได้ขโมยเรียนวิชาจะต่อเรือแบบนั้นออกมาได้อย่างไร และข้าได้เอากุญแจบนคอรั่วอวี๋ไปเปิดกล่องลับของนายท่านแล้ว ในนั้นแม้จะมีเคล็ดวิชาอยู่ แต่หมึกล้วนเป็นของใหม่ เห็นได้ว่าถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์สับเปลี่ยนไป…”

ฉู่จิ้งเฟิงก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่ เห็นหลี่รั่วอวี๋ข้างกายที่ยังพยายามจับตะเกียบอยู่จึงพูดว่า “รั่วอวี๋เคยต่อเรือให้ข้า ข้าจำได้ว่านางเคยพูดว่าวิชาการต่อเรือก็เหมือนคนฝึกวรยุทธ์ ผู้ฝึกระดับล่างฝึกเพียงกระบวนท่า ผู้ฝึกระดับสูงจะฝึกจิตวิญญาณของวรยุทธ์ ไม่เช่นนั้นก็ต่อยอดไม่ได้ วิชาการต่อเรือใช่ว่าจะฝึกได้เพียงข้ามคืน แม้หลี่เสวียนเอ๋อร์จะขโมยเรียนเคล็ดวิชา ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ต้องรีบร้อนยอมรับนาง ตามที่ข้าดู นางรีบร้อนจะกลับมาแบบนี้ คงไม่ใช่เพียงเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น สกุลหลี่ต้องมีอะไรที่นางอยากได้ ข้าจะให้รั่วอวี๋อยู่ที่นี่สักพัก รอพบพวกนางสองแม่ลูกแล้วค่อยว่ากัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังเสียงพูดทุ้มนุ่มนวลของฉู่จิ้งเฟิงแล้วราวกับได้พบที่พึ่งทางใจ จึงวางใจลงได้ในที่สุด

ผ่านไปไม่กี่วัน หลี่เสวียนเอ๋อร์พาโจวอี๋เหนียงตามผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่มาที่บ้านจริงๆ แต่คนที่มาด้วยกลับมีเสิ่นหรูป๋อ และเว่ยกงกงแห่งจวนสิ่งทอรวมทั้งคุณชายใหญ่สกุลไป๋ด้วย

ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ตำแหน่งเจ้าบ้านในโถงรับแขกต้อนรับขบวน ‘แขกทรงเกียรติ’ ในใจลอบยิ้มเย็นชา ที่เขาตัดสินใจอยู่ต่อเห็นทีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยหัวอ่อนของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ตอนนี้ไม่กลายเป็นต้องถูกเสือและหมาป่าเหล่านี้มาถึงบ้านรุมทึ้งกินลงท้องตามใจชอบหรือ

ไป๋ฉวนจงนั้นมีความสุขุม แย้มยิ้มพลางประกบมือคารวะฉู่จิ้งเฟิง บอกเพียงได้ยินว่าฉู่จิ้งเฟิงกลับมาเยี่ยมบ้านภรรยา ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่คนสกุลหลี่มารวมตัวกันมาพบเขาด้วย

หลังจากที่ผู้เฒ่าผู้นำสกุลหลี่พูดถึงเรื่องที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะกลับเข้าสกุล หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็ถามถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ของอู่เรือด้วยความมั่นใจขึ้นมา

ฉู่จิ้งเฟิงเบื่อกับการหัวเราะเย็นชาแล้ว ในใจคิดว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง วิชาของหลี่เสวียนเอ๋อร์ยังไม่ลึกซึ้ง เพียงแค่เรียนรู้จากกระดาษเท่านั้น หากสกุลไป๋คิดจะต่อเรือใหญ่ที่ทรงอานุภาพ ก็หนีไม่พ้นคนงานที่สกุลหลี่ชุบเลี้ยงไว้นานปีและมีวิชาประสบการณ์มากมาย แต่คนงานสกุลหลี่ได้รับบุญคุณจากสกุลหลี่มานานนม มีความภักดีต่อครอบครัวผู้เป็นนาย เสิ่นหรูป๋อให้เงินจำนวนมากก็ดึงตัวไปไม่ได้ จึงได้คิดแผนน่าตื้นตันใจในการกลับเข้าสกุลนี้ ให้หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมาในสกุลหลี่ก่อน จากนั้นค่อยใช้เรื่องที่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้บุตรชายคนเล็กของสกุลหลี่เป็นเหยื่อล่อ แย่งชิงอู่เรือของสกุลหลี่

คิดถึงตรงนี้ เขาจึงรีบชิงพูดตัดหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “เสิ่นฮูหยินบอกว่าได้เรียนรู้เคล็ดวิชาสกุลหลี่ แต่น่าเสียดายวิธีการเรียนรู้เป็นแบบไม่ถูกต้อง เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรือที่เจ้าสร้างขึ้นมาดีเท่ากับเรือของหลี่รั่วอวี๋ผู้สืบทอดตัวจริงของสกุลหลี่”

หลี่เสวียนเอ๋อร์วันนี้มาเยือนด้วยความสุขอยู่บ้าง เพราะเรือตะลุยน่านน้ำที่นางเพิ่งสร้างขึ้นใหม่แม้แต่คนงานเก่าในอู่เรือก็ชมไม่ขาดปาก นางก็ยิ่งมีความมั่นใจ การพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นแม่สามีที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นก็ยังมีความมั่นใจอย่างมาก หลายวันก่อน สามีอารมณ์ไม่ดีเพราะหลี่รั่วอวี๋แต่งงานกับผู้อื่น แต่หลายวันนี้กลับอ่อนโยนเอาใจนางอย่างมาก

ตอนนี้ขอเพียงนางใช้เคล็ดวิชาบังคับกลับมาในสกุลหลี่ หลังจากได้รับแผ่นป้ายพระราชทานและอู่เรือร้อยปีแล้ว ดูสิว่าคนในเมืองเหลียวเฉิงผู้ใดยังจะกล้าพูดจาไม่ดีลับหลังนางหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก!

ทว่าตอนนี้ได้ยินคำพูดฉู่ซือหม่าผู้นี้แล้ว เหมือนสงสัยในความสามารถการต่อเรือของนาง จึงเม้มปากยิ้มบางๆ “ซือหม่าแม้จะเชี่ยวชาญการทหาร แต่สำหรับวิชาการต่อเรือนับว่าเป็นคนนอกวงการ เรือที่ข้าต่อขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ได้ส่งไปให้คนงานในอู่เรือเหล่านั้นดูแล้ว ความสามารถในวิชานี้ย่อมมีคนตัดสินแล้ว”

ในตอนนี้เอง เว่ยกงกงก็พูดแทรกด้วยรอยยิ้ม “ฉู่ซือหม่า ตอนนี้ท่านเป็นลูกเขยสกุลหลี่ ย่อมต้องเข้าข้างสกุลหลี่ แต่เสิ่นฮูหยินรับภาระสำคัญของกรมโยธา เรื่องเกี่ยวพันถึงแผ่นดิน ประมาทไม่ได้ จะให้เรื่องยิบย่อยของสกุลเหล่านี้มารบกวนแผนการของแผ่นดินไม่ได้ ตามความคิดของข้า เมืองเหลียวเฉิงแห่งเจียงหนานนี้เป็นเขตพื้นที่ของพระมาตุลาไป๋ ไม่ใช่ดินแดนรกร้างเขตเหนือของท่านซือหม่า พวกเราก็ทำตามขั้นตอนกันดีกว่า!”

ความหมายของเว่ยกงกงชัดเจนมาก ก็คือเตือนฉู่จิ้งเฟิงว่า ที่แห่งนี้เป็นเขตของสกุลไป๋ อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ

น่าเสียดายที่ซือหม่าต้าฉู่ชอบกินของอ่อนไม่กินของแข็ง เว่ยกงกงพูดจาแข็งกร้าวเช่นนี้ออกมา เขาจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ “แผ่นป้ายสกุลหลี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทาน ข้าย่อมมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ฐานะแท้จริงของผู้สืบทอดสกุลหลี่ ถ้าเสิ่นฮูหยินมีความสามารถจริง ย่อมไม่มีอะไรโต้แย้งได้ แต่ถ้าเป็นคนที่หลอกลวงแอบอ้าง แผ่นป้ายที่เป็นฝีพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ต้องมอบให้กับหญิงขาดคุณธรรมที่หลอกล่อพี่เขยท้องก่อนแต่งแล้ว… เว่ยกงกง คนที่ไม่มีแก่นรากอย่างท่านรับผิดชอบไหวหรือ”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็หน้าซีดเผือดลงในทันที นางกัดริมฝีปากถลึงตาจ้องฉู่จิ้งเฟิง

เว่ยกงกงก็โกรธจนนิ้วสั่นพูดว่า “ท่าน… ท่าน…ซือหม่า ท่านต้องพูดด่าอย่างนี้เลยหรือ ปากเดียวพูดด่าถึงสองคน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็นั่งไม่ติด คิดเพียงว่าลูกเขยผู้เพียบพร้อมผู้นี้เหมือนไม่ได้มาหาทางคลี่คลายเรื่อง แต่ดูเหมือนมาหาเรื่องมากกว่า!

เสิ่นหรูป๋อไม่อยากจะมาพูดจาเล่นลิ้นกับฉู่จิ้งเฟิง เขาจึงถามว่า “แล้วตามความเห็นของฉู่ซือหม่า ควรจะพิสูจน์ความสามารถภรรยาข้าอย่างไร จึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยอมอย่างเต็มใจ”

ฉู่จิ้งเฟิงเคาะโต๊ะแล้วอมยิ้มกล่าว “ข้ามีตัวเลือกอยู่ผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะเห็นด้วยหรือไม่”

ไป๋ฉวนจงเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “ถ้ามีคุณสมบัติพอจะตัดสินว่าเรือดีหรือไม่ ข้าย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าฉู่ซือหม่าพูดถึงผู้ใด”

“ผู้มีคุณสมบัติในการตัดสินยอดฝีมือที่สุด มีเพียงคนที่มีความสามารถเทียบเท่าศัตรู เช่นนั้นจะเชิญคุณชายเมิ่งมาเป็นคนตัดสินได้หรือไม่”

คำพูดของฉู่จิ้งเฟิงนี้ช่างเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่ง ทุกคนรู้เรื่องที่ตอนนี้เมิ่งเชียนจีทำงานให้กับสกุลไป๋ แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับเรียกคนผู้นี้มา ไม่เท่ากับยกก้อนหินทุ่มเท้าตนเองหรือ

แต่ในเมื่อเขาเสนอมาเช่นนี้ เสิ่นหรูป๋อกับไป๋ฉวนจงย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด ดังนั้นทุกคนจึงย้ายไปที่อู่เรือ แล้วส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเชิญเมิ่งเชียนจีที่เก็บตัวฝึกฝนออกมา

 

เมิ่งเชียนจีผู้นั้นไม่เจอกันไม่กี่วันหน้าตาเปลี่ยนไปมาก เดิมเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหมดจดขาวสะอาด ตอนนี้ผมเผ้ารุงรัง สองตาเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ สวมรองเท้าลำลองมาพบหน้าทุกคน หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าจะได้พบหลี่รั่วอวี๋ เมิ่งเชียนจีผู้นี้ให้ตายก็ไม่ยอมเปิดประตู

ทว่าท่าทางน่าตกใจของเขานี้ ทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่เดินทางมาด้วยซ่อนตัวอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงในทันที

หลังจากไป๋ฉวนจงอธิบายเรื่องราวให้เขาฟังแล้วก็พูดอย่างมีนัยว่า “คุณชายเมิ่ง ตอนนี้เสิ่นฮูหยินผู้นี้ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่มา และยินดีจะภักดีต่อสกุลไป๋ของข้า หวังว่าอีกครู่คุณชายเมิ่งจะช่วยตรวจสอบอย่างละเอียด”

หากเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก เพียงฟังก็เข้าใจความหมายในคำพูดของไป๋ฉวนจงแล้ว แต่น่าเสียดายสองเท้าเมิ่งเชียนจีไม่ได้แตะพื้นดินมากเท่าใด ได้ฟังคำพูดของไป๋ฉวนจงก็เพียงแค่มองสำรวจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ท้องโย้อยู่พักใหญ่ แล้วถลึงตาใส่หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ด้านหลังฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นเดินไปตามขั้นบันไดที่สร้างไว้ในอู่เรือ ขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่หลี่เสวียนเอ๋อร์ควบคุมการสร้าง

ถึงแม้เขาจะไม่เคยเรียนต่อเรือ แต่เพราะหลี่รั่วอวี๋ จึงได้ศึกษาผลงานของนางอย่างถ่องแท้ ถึงขั้นรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ไม่แพ้

แต่พอเขาขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่ภายนอกสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นและตรวจดูทั้งนอกใน รวมทั้งสั่งให้เปิดแผ่นกระดานเรือดูองค์ประกอบภายในแล้ว หัวคิ้วนั้นก็ยิ่งขมวดแน่น สุดท้ายไม่พูดอะไร ลงเรือจะเดินจากไป

ไป๋ฉวนจงย่อมต้องสั่งให้คนขวางเขาไว้ แล้วเอ่ยปากถาม “คุณชายเมิ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนี้เป็นวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่หรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงก็พูดแทรกอย่างช้าๆ “นั่นสิ เรือนี้เทียบกับฝีมือของหลี่รั่วอวี๋ได้หรือไม่”

ได้ฟังคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว ดวงตาสีเลือดของเมิ่งเชียนจีเบิกกว้างในทันที จ้องฉู่จิ้งเฟิงราวกับมองคนบ้า เพราะไม่ได้เอ่ยปากพูดเป็นเวลานาน เสียงนั้นจึงแหบแห้งยิ่ง “ท่านตาบอดหรือ แค่ขยะกองหนึ่ง ดูแล้วเสียสายตาของข้า จะเทียบกับหลี่รั่วอวี๋ได้อย่างไร”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา บรรดาช่างที่มามุงดูความคึกคักก็แตกฮือในทันที

พวกหลี่เสวียนเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีในทันใด คุณชายไป๋พูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เมิ่งเชียนจี เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

เมิ่งเชียนจีอยากจะกลับไปเก็บตัวฝึกฝนต่อในห้อง จึงพูดอย่างหมดความอดทน “องค์ประกอบของเรือนั่นยังมีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ข้างใน อย่าว่าแต่ตะลุยคลื่นเลย หกสิบลี้ก็ยังเคลื่อนออกไปไม่ถึง”

“เจ้าพูดเหลวไหล เรือนี้ทดลองเดินน้ำมาแล้ว จากเมืองเหลียวเฉิงเคลื่อนไปถึงเขาหวั่นซาน แล้วย้อนกลับมา ด้วยความเร็วเร็วเป็นพิเศษ!”

หลี่เสวียนเอ๋อร์โกรธจนสั่นไปทั้งตัว นางเกิดในสกุลต่อเรือ มีความคิดจะชิงดีชิงเด่นกับหลี่รั่วอวี๋มาตั้งแต่เด็ก เดินเข้าออกอู่เรือ ใช่ว่าจะไม่มีฝีมือทางเรือเลยแม้แต่น้อย กอปรกับได้ตำราการต่อเรือมา จึงมีความมั่นใจเป็นร้อยเท่า ถึงแม้เรือจะไม่ได้ออกมาจากอู่เรือสกุลหลี่ เรื่องคุณภาพย่อมบกพร่องไปบ้าง แต่จะแย่ถึงขั้นที่เมิ่งเชียนจีพูดเสียที่ไหน

เมิ่งเชียนจีได้ฟังคำพูดของหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้เหลือบตามอง นับนิ้วเหมือนหมอดูดวงชะตาแล้วพูดว่า “ข้าพูดผิดไปจริงๆ ถ้าตามที่เจ้าพูด ตอนนี้เรือลำนี้คงเคลื่อนไปได้ไม่ถึงหนึ่งลี้แล้ว”

ตอนนี้ชีวิตอันสงบของหลี่เสวียนเอ๋อร์อยู่ที่เคล็ดวิชาการต่อเรือนี้ นางร้อนใจอย่างมาก กลัวว่าไป๋ฉวนจงจะเชื่อคำพูดของคนบ้าแซ่เมิ่ง จึงเรียกคนงานเรือมาหลายคน ให้พวกเขาเอาเรือนี้ออกจากอู่เรือ ลองเคลื่อนไปบนน้ำดู

มุมการล่องน้ำของเรือน่าสนใจมาก ด้วยตัวเรือที่เบา คนงานเรือขับเคลื่อนไม่เท่าใดก็หันหัวเรือออกจากอู่เรือ ล่องไปบนผืนน้ำได้โดยง่าย

คนส่วนใหญ่ล้วนหลงใหลกับความเบาของเรือลำนี้ แต่เมิ่งเชียนจีกลับหลับตาลง ขมวดคิ้วฟังเสียงเบาบางที่ลอดออกมาจากในตัวเรือ

ฉู่จิ้งเฟิงดึงสายตากลับโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ก้มหน้าลงพบว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตนเอง หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน นางเงี่ยหูเหมือนฟังอะไรอยู่ ท่ามกลางสายลมเย็นจากแม่น้ำ ร่างบอบบางนั้นไหวเบาๆ

หญิงสาวผู้นี้จมอยู่กับวิชาการต่อเรือมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนที่นางเคยพูดเอาไว้ สิ่งที่ผู้ฝึกระดับสูงฝึกคือ ‘จิตวิญญาณ’ ในกระดูกของหญิงสาวราวกับสลักความรักของการต่อเรือนี้เอาไว้รวมถึงทั้งชีวิตของนาง แม้สมองจะกระเทือนจนเสียหายไป แต่พอเข้ามาในอู่เรือ นางยังทำกิริยาที่เคยทำเป็นพันหมื่นครั้งตามสัญชาตญาณ

หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นแบบนั้นเหมือนจะติดปีก ชั่วขณะต่อมาก็จะหนีเขาไปไกล เขาจึงขยับรัดแขนแน่น ตัดบทความคิดของหญิงสาว ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ลืมตาแล้วชูมือขึ้นอย่างยินดี ปากเล็กเผยอขึ้น ส่งเสียง “ฉึบๆ” ออกมา

ท่ามกลางเสียงยินดีของนาง เรือตะลุยน่านน้ำที่แล่นไปได้ไม่ไกลก็แตกออก ส่งเสียงดังสนั่น จากนั้นก็เริ่มจม!

หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สองมือของนางลูบท้องแล้วพูดพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ได้อย่างไร”

นางเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ จึงรีบพูดว่า “เรือจอดอยู่ในอู่เรือนี้… ต้องมี…ต้องมีผู้ใดลงมือทำอะไรกับเรือแน่นอน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังสั่งให้คนเรือในอู่เรือเอาเรือเร็วไปช่วยคนงานที่ตกน้ำขึ้นมา ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็เลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างร้อนใจว่า “ผู้ใดอยากจะไปแตะต้องเรือบอบบางของเจ้าล่ะ ตอนนี้คนงานบนเรือเหล่านั้นถ้าถูกช่วยออกมาได้หมดก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะไปเอาเรื่องที่สกุลเสิ่น”

ในตอนนี้เรือที่ออกไปช่วยคนกลับมาแล้ว โชคดีที่คนงานเหล่านี้ว่ายน้ำเป็น นอกจากที่บางคนได้รับบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรงถึงชีวิต

ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “อยากรู้ว่ามีคนแตะต้องเรือหรือไม่ไม่ยิ่งง่ายหรือ ขอเสิ่นฮูหยินเอาภาพเรือตะลุยน่านน้ำนี้ให้คุณชายเมิ่งตรวจดูก็ได้แล้ว”

เรื่องมาถึงขั้นนี้ เห็นสายตาไม่กระจ่างชัดของไป๋ฉวนจงแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็รู้ว่าจะได้ความเชื่อใจจากสกุลไป๋นั้นไม่ง่ายอีกต่อไป นางเชื่อมั่นว่าภาพวาดในความทรงจำของตนเองไม่ผิดพลาด จึงสั่งให้คนเอากระดาษพู่กันมาแล้วรีบวาดอย่างชำนาญ

เมิ่งเชียนจีรออย่างเบื่อหน่าย ทนไม่ไหวจึงเดินไปตรงหน้าหลี่รั่วอวี๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้

เมิ่งเชียนจีเดิมก็สงสัยเรื่องที่หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองกระทบกระเทือน เสียง “ฉึบๆ” ของหญิงสาวเมื่อครู่ เขาก็ได้ยินเช่นกัน ในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น

ในตอนที่หลี่เสวียนเอ๋อร์วาดภาพเรือนั้นเสร็จแล้วยื่นให้เมิ่งเชียนจี เมิ่งเชียนจีก็เข้าใจในทันที ลอบคิดในใจว่า หรือว่านางตั้งใจจะทดสอบข้า!

หลายปีก่อนหน้านี้ เขาเคยเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับหลี่รั่วอวี๋เรื่องการปรับเปลี่ยนเรือ แต่ตอนนั้นนางพูดเยาะหยันที่เขาเป็นคนไม่รู้เรื่องการต่อเรือ

วันนี้ต้องแสดงความสามารถให้นางได้รู้ เขาเมิ่งเชียนจีต่อให้เป็นวิชาการต่อเรือก็ไม่ยอมแพ้ผู้ใด

“ถ้าคิดจะทดสอบข้าก็เอาภาพวาดที่เป็นรูปเป็นร่างออกมา ภาพที่มีจุดบกพร่องเป็นร้อยเช่นนี้ จุดเชื่อมของเรือเห็นได้ชัดว่าทำเลียนแบบเรือสินค้า แม้จะทำให้เรือหนักมาก แต่ใช้กับเรือรบที่มีความเร็วสูงเพราะเรือว่างทำให้ลอยเกินไป และเมื่อครู่ข้าเปิดแผ่นไม้นั้นมองลงไป ไม้ที่ใช้ยึดตัวเรือเหล่านั้นกลับไม่ได้ทาสีน้ำมันกันน้ำเป็นพิเศษ เวลาเพียงไม่นานก็มีร่องรอยการผุเน่าแล้ว ย่อมใช้การจริงไม่ได้”

สีหน้าเสิ่นหรูป๋อยิ่งฟังยิ่งเคร่งเครียด ไม่หันไปมองหน้าหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก

หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้สึกร้อนรนใจยิ่ง พูดอย่างใจไม่อยู่กับตัวว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าทำตามที่บันทึกไว้ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ และหาช่างเรือที่ชำนาญมาต่อเรือให้…”

เมิ่งเชียนจีเบิกตาโต “ทำตาม ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ หรือ เจ้าเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ทางฝ่ายใด แม้แต่ข้ายังรู้ว่าสิ่งที่บันทึกใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ เป็นการออกแบบที่ผิดพลาดในการควบคุมการต่อเรือของผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่น ผู้สืบทอดสกุลหลี่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอต้องหาความผิดพลาดในนั้นออกมาได้ทั้งหมด และทำการปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง เช่นนี้จึงจะเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ได้ แต่เจ้ากลับทำตามในตำรานั้น สร้างตามแบบโดยไม่ปรับแก้… นี่อยากทำให้คนตายเท่าใดกัน”

พอคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ยืนไม่อยู่อีกต่อไป ขาอ่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังทันที

นางนึกขึ้นได้ทันใดว่าหลายปีก่อนเคยขอร้องพี่รองเอา ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้นางดู ตอนนั้นพี่รองเพียงแค่ปั้นหน้าบึ้งตึงพูดว่า ‘ให้เจ้าดูไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าชอบการต่อเรือจริง ก็ไปดูที่อู่เรือให้มาก ไปถามเอาความรู้จากคนงานเรือเหล่านั้นให้มากจะดีกว่า’

ตอนนั้นนางฟังคำพูดนี้แล้วก็ลอบแค้นอยู่ในใจ คิดว่าหลี่รั่วอวี๋ดูถูกชาติกำเนิดลูกภรรยารองอย่างนาง จึงบอกปัดให้นางไปเรียนรู้กับช่างเรือกักขฬะเหล่านั้น ตอนนี้จึงได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งในคำพูดของพี่รอง ผู้สืบทอดสกุลหลี่ตัวจริงมีเพียงเข้าใจเคล็ดวิชาทุกอย่างในการต่อเรือผ่านการลงมือทำจริงจังจนรู้ลึกซึ้ง แล้วสามารถต่อยอดไปได้ จึงจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้

ก็ไม่แปลกที่เรือที่ผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่นสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างเล็กๆ ในรายละเอียด นี่เกิดจากความคิดของแต่ละคนแตกต่างกัน และวิธีการสร้างแนวคิดใหม่บนพื้นฐานการส่งผ่านปากต่อปากนี้ จึงเป็นเหตุผลหลักที่เรือสกุลหลี่ไม่ถดถอยเป็นเวลานาน

เมิ่งเชียนจีพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดหวัง “อาจารย์ของข้ากับท่านพ่อของคุณหนูรองหลี่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ได้ยินว่านายท่านหลี่ในอดีตเสียเวลาสิบปีจึงแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดในตำรา แต่คุณหนูรองหลี่กลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองปีก็หาออกมาได้ ข้าขอถามท่าน ฮูหยินของท่านจริงๆ แล้ว…”

เขาอยากถามฉู่จิ้งเฟิงว่า หลี่รั่วอวี๋ปัญญาอ่อนจริงหรือไม่ แต่ไม่ต้องให้ฉู่จิ้งเฟิงตอบ เขาก็เห็นหลี่รั่วอวี๋ที่เดิมทีหลบอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงนั่งกินขนมถั่วแดงชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ เพราะเมื่อครู่ยกมือแรงไปสักหน่อย อาการที่หลงเหลือหลังจากตกม้าบาดเจ็บก็กลับมาอีกครั้ง มือจึงสั่นไม่หยุด มีเศษถั่วตกเต็มตัวไปหมด

เมิ่งเชียนจีไม่ได้ถามต่อไป เพราะเขาเห็นการกินโดยไม่สนใจคนรอบข้างของหลี่รั่วอวี๋แล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็นหญิงสาวที่สง่างามและเรียบร้อย ไม่มีทางกินอาหารเลอะเทอะต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้แน่นอน…

คิดถึงคำพูดที่เสิ่นหรูป๋อพูดกับเขาวันนั้นแล้ว เมิ่งเชียนจีก็เงยหน้าถอนใจยาวแล้วพูดอย่างเศร้าสลดว่า “เห็นทีวิชาของสกุลหลี่คงสูญสิ้นนับจากนี้แล้ว”

ชาตินี้เขาเทียบหญิงอ่อนแอผู้หนึ่งไม่ได้ ทำให้รู้สึกเสียดาย มักจะคิดว่าจะมีสักวันที่จะใช้ความสามารถแท้จริงมาเอาชนะนางได้ คิดไม่ถึงว่าความปรารถนานี้จะไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว

หญิงมีความสามารถน่าตกใจที่ต่อยอดความคิดได้กลับกลายเป็นปัญญาอ่อนโดยไม่มีลางบอกเหตุเลย… ช่างน่าเสียดายจริงๆ

เมิ่งเชียนจีพูดจบก็ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่โศกเศร้าเหมือนสอบตกนั้นอีก พูดพึมพำกับตนเองแล้วเดินจากไปอย่างปลีกวิเวกราวกับตู๋กูฉิวไป้

ไป๋ฉวนจงคาดไม่ถึงว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกับเสิ่นหรูป๋อจะมาปล่อยไก่ ทั้งเมิ่งเชียนจีที่เป็นที่ปรึกษาของเขาก็กลับมาหักหน้าของเขาเช่นนี้ ทำให้อยู่ดีๆ ต้องเสียหน้าต่อหน้าฉู่จิ้งเฟิง

ในตอนนี้เขาจึงพูดกับฉู่จิ้งเฟิงด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอก “เห็นทีเรื่องของสกุลหลี่ ไม่ต้องให้พวกเราคนนอกเหล่านี้มาร่วมวง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวลาก่อน… แต่เรื่องที่สกุลหลี่ดึงเวลาการต่อเรือของกรมโยธาจะปล่อยเลยตามเลยเช่นนี้ไม่ได้ รายละเอียดว่าจะจัดการอย่างไรเห็นทีต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับบรรดาบุตรสาวปรึกษากันสักหน่อย”

พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ นำเว่ยกงกงเดินจากไป

ส่วนเสิ่นหรูป๋อนั้น นิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นสักครู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจ เสียเวลาคิดอย่างรอบคอบ กลับทำการเลือกที่ผิดพลาด หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ทำร้ายเขาไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ทางด้านพระมาตุลาไป๋คงจะชี้แจงอะไรไม่ได้ในตอนนี้ หญิงสมควรตายผู้นี้ วางแผนทำให้เขาเมาสุราและหลงใหล ก่อนจะมีอะไรกับนาง เขาเดินผิดก้าวเดียวกลับกลายเป็นผิดพลาดทุกก้าวจริงๆ!

คิดถึงตรงนี้ เขาจึงรีบไปไกล่เกลี่ยต่อหน้าไป๋ฉวนจง ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ พาบ่าวไพร่เดินจากไปเลย

ถึงตอนนี้ หลี่เสวียนเอ๋อร์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางร้องไห้สะอึกสะอื้น โจวอี๋เหนียงประคองบุตรสาวท้องโตของตนเอง มองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับผู้เฒ่าผู้นำสกุลที่ส่ายหน้าถอนใจ รู้สึกเพียงว่าเสียหน้าอย่างมาก จึงรีบเรียกสาวใช้ให้รีบประคองบุตรสาวเดินจากไป

การมาอู่เรือครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้รับชัยชนะ ความอึดอัดใจตลอดหลายวันมานี้หายไปจนสิ้น

หากพูดเรื่องความชอบ ย่อมเป็นของลูกเขยซือหม่าของนางมาเป็นที่หนึ่ง

กลับถึงเรือน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั่งอยู่กลางโถง คิดจะให้รางวัลลูกเขยอย่างดี กำลังสั่งการเรื่องอาหารเย็นกับหลิ่วซื่อบ่าวหญิงอาวุโสที่คุมห้องครัว ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าตรงประตูหน้าเพิ่งฆ่าลาดำมาตัวหนึ่ง จึงสั่งให้เขาไปหิ้วเนื้อลาหลายชั่งกลับมาห่อเกี๊ยว คิดสักครู่ก็พูดกำชับหลิ่วซื่ออีกหลายคำ หลิ่วซื่อพยักหน้าแล้วถอยออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม

ตกเย็น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จัดโต๊ะอยู่ในโถง ถือเป็นการอำลาลูกเขย เพราะวันรุ่งขึ้นฉู่จิ้งเฟิงจะพาหลี่รั่วอวี๋กลับเมืองซูเฉิงก่อนแล้วค่อยกลับไปที่เมืองโม่เหอ

ฉู่จิ้งเฟิงนั่งลงไม่นาน บ่าวในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็ยกอาหารแต่ละจานเข้ามา

คฤหาสน์สกุลหลี่ร่ำรวยทุกรุ่น แต่เรื่องอาหารการกินไม่สนใจเรื่องความหรูหรา ทว่าตอนนี้ลูกเขยสูงศักดิ์มาเยือน จึงได้ตั้งอาหารที่ซื้อมาจากหอสุราจำนวนหนึ่ง แต่มีเอกลักษณ์ของเมืองเหลียวเฉิง จัดอาหารพื้นถิ่นท่ามกลางปลาและเนื้อแต่ละจานด้วย อย่างเช่นแตงกรอบดองยำถั่วเขียว หรืออย่างผักกาดสดราดน้ำเนื้อย่าง อาหารจานใหญ่จานเล็กวางเรียงกันเต็มโต๊ะ

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งคนให้ยกน้ำแกงเนื้อสีแดงสดร้อนควันระอุถ้วยหนึ่งมาวางตรงหน้าฉู่จิ้งเฟิง แล้วกำชับให้เขากินมากหน่อย

หลี่รั่วอวี๋ตาเป็นประกาย อาหารถ้วยนี้มีลักษณะเป็นชิ้นๆ เหมือนเนื้อแต่ก็ไม่ใช่ ราดน้ำพะโล้แดง กลิ่นหอมแตะจมูก จึงยื่นตะเกียบไปอย่างดีใจ “หอมๆ…จะกิน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตีหลังมือของหลี่รั่วอวี๋ “เจ้าเด็กผู้นี้ นี่ทำให้ซือหม่าโดยเฉพาะ ไม่ได้ทำให้เจ้ากิน”

หลี่รั่วอวี๋ยู่ปาก ในใจลอบบ่นว่าท่านแม่ลำเอียง จึงยื่นมือไปหยิบเนื้อห่านนึ่งชิ้นหนึ่งเข้าปากอย่างเก้ๆ กังๆ

ฉู่จิ้งเฟิงถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่านี่คืออาหารอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อึกอักแต่ไม่บอกอะไร พูดเพียงว่าอาหารนี้ดีมาก กล่อมให้ฉู่จิ้งเฟิงกินมากๆ หน่อย

ฉู่จิ้งเฟิงที่รู้เรื่องยามาบ้างดมออกว่าในอาหารมีกลิ่นอิ๋นหยางฮั่ว และตู้จง คงจะเป็นของที่ใช้บำรุงร่างกายบุรุษ จึงยื่นตะเกียบไปคีบหนึ่งชิ้นส่งเข้าปาก ตอนเข้าปากยังมีกลิ่นหอมปนเค็มของเครื่องพะโล้และสมุนไพร แต่พอเคี้ยวไม่กี่ทีกลับมีกลิ่นสาบจางๆ ฉู่จิ้งเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กลืนเนื้อลงท้องแล้วก็ไม่คิดจะกินอีก

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับมีดวงตาเปล่งประกาย คะยั้นคะยอให้เขากินให้มากหน่อย

ฉู่จิ้งเฟิงลังเลสักครู่ คิดว่าในเมื่อท่านแม่ยายตั้งใจเตรียมให้ จะไม่ไว้หน้าคงไม่ได้ จึงฝืนใจดื่มสุราแล้วกินไปอีกหลายชิ้น

หลี่รั่วอวี๋อยู่ด้านข้างมองอย่างอิจฉา เห็นการเคี้ยวของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

สุดท้ายด้วยทนการรบเร้าไม่ไหว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงคีบให้นางหนึ่งชิ้น แต่ปากกลับพูดเสียงแข็งว่า “ชิ้นเดียวก็พอแล้ว เจ้ากินไปก็เสียของ!”

แต่ว่าหลี่รั่วอวี๋เคี้ยวไม่กี่ทีก็คายทิ้ง ตัดความคิดเดิมทิ้งไป และตั้งใจกินตีนเป็ดตุ๋นกับไก่ต้มแปดทรัพย์ต่ออย่างมีความสุข

หลังอาหารเย็น ฉู่จิ้งเฟิงกลับถึงห้องพัก รู้สึกว่าในปากยังมีกลิ่นเหม็นคาวติดอยู่รางๆ จึงลุกขึ้นไปเดินเล่นในลานบ้าน พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลี่กับคนอีกผู้หนึ่งเดินผ่านนอกลาน มีเสียงพูดลอยมาตามสายลมโชยเอื่อยยามค่ำคืน “เห็นทีน้ำแกงวันนี้จะถูกปากท่านเขย”

“นั่นสิ! ที่ฆ่าวันนี้เป็นลูกลาจริงๆ บำรุงร่างกายได้อย่างดีเชียวนะ”

ได้ยินประโยคนี้แล้วฉู่จิ้งเฟิงก็ชะงักฝีเท้า ซ่อนตัวหลังระเบียงทางเดินยาวในลานบ้าน

“ดังนั้นฮูหยินจึงกำชับภรรยาข้าให้เอามาให้ท่านเขย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับเช่นนี้ เพราะร่างกายท่านเขยมีอะไรบกพร่องใช่หรือไม่”

“บำรุงมากเกินไปจริงๆ… เหมือนจะบำรุงอาการหย่อนสมรรถภาพ คงอยากให้คุณหนูรองรีบตั้งท้องกระมัง” คำตอบนั้นดูลังเลอยู่บ้าง

รอเสียงนั้นไกลออกไปแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว แต่ใบหน้านั้นเย็นเยือกราวน้ำแข็ง เขารู้มานานแล้วว่าแม่ยายของตนเองเป็นคนที่คิดทำอะไรไม่มีแบบแผน แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะนึกไปไกล ทำของบำรุงใหญ่ให้เขาเช่นนี้

เดิมทีเขายังสงสัยว่าเหตุใดทั่วร่างจึงร้อนรุ่ม ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว

เวลานี้ไม่มีแก่ใจไปโกรธฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่หลอกให้ตนเองกินของสกปรกเช่นนี้ เลือดทั่วร่างของเขาเหมือนจะไหลเวียนเร็วมาก

ฉู่จิ้งเฟิงเดินรุ่มร้อนอยู่หลายรอบ คิดสักครู่จึงก้าวเท้าเดินไปที่เรือนพักของหลี่รั่วอวี๋ ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋ยังไม่เข้านอนเช่นกัน กำลังนั่งหัวชนกับเสียนเอ๋อร์น้องชายอยู่บนชิงช้าอ่านหนังสือภาพด้วยกันอย่างสนุกสนาน

แม้ทั้งสองคนอายุจะต่างกันสิบปี แต่แววตานั้นกลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาด ดูมีความโง่ทึ่มไร้เดียงสาอยู่บ้าง แม้แต่สีหน้าตอนอ่านถึงฉากที่ตื่นตาตื่นใจก็ยังเหมือนกันทุกอย่าง

ซูซิ่วตาดี เห็นฉู่จิ้งเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูเรือนในทันทีจึงรีบส่งเสียงเรียก “ท่านซือหม่า ท่านมาหรือเจ้าคะ”

น่าเสียดายสองพี่น้องอ่านจนเพลิน แม้จะได้ยินเสียงของซูซิ่วแต่ก็ไม่ได้เหลือบมองมา เพียงแค่หัวเราะขบขัน

เห็นภาพนี้แล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกว่าความร้อนใจนั้นค่อยๆ ลดลง ตอนนี้นางเป็นเหมือนเด็กเล็ก หากฝืนทำตามใจเขาจะต้องทำให้นางกลัวอย่างแน่นอน เขาจะใจร้อนเพื่อจุดประสงค์เพียงชั่วคราวไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป

เขาคิดได้ดังนี้ ทางหนังสือภาพนั้นก็พลิกมาถึงหน้าสุดท้ายแล้ว จบตอนพอดี

สองพี่น้องอ่านแล้วยังไม่หมดสนุก จึงจุปากพลางปิดหนังสือ ในตอนนี้เสียนเอ๋อร์จึงช้อนตาขึ้นมองเห็นพี่เขย ร่างน้อยนั้นกระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งตัวอ้วนกลมมาหาฉู่จิ้งเฟิง แล้วยื่นมือไปจะให้เขาอุ้ม

หลังจากฉู่จิ้งเฟิงเข้ามาในเรือนหลังของคฤหาสน์สกุลหลี่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณหนูรองหลี่ที่เขารู้จักก่อนหน้านี้บางครั้งจึงมีความสุขุมฉลาดเฉลียวเกินอายุ เป็นเพราะคนในคฤหาสน์นี้ถูกปกป้องดีเกินไป มีความไร้เดียงสาแบบคนที่ไม่รู้จักโลก จึงทำให้คุณหนูรองที่รู้ความต้องทำตัวให้เป็นคนแข็งแกร่ง

ในคฤหาสน์แห่งนี้คนแก่เป็นเช่นนี้ เด็กก็เป็นเช่นเดียวกัน คนอื่นเห็นผมสีขาวเงินใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วล้วนหวาดกลัว มีเพียงคนแก่เด็กเล็กในคฤหาสน์นี้ที่มองอะไรไม่ออก พากันมาเข้าใกล้เขาอย่างสนิทสนม

คนแก่นั้นไม่ต้องพูดถึง คิดไปไกลถึงหาของบำรุงมาให้กินจนเลือดลมไหลเวียนวุ่นวาย

ส่วนเด็กน้อยผู้นี้ หลังจากเอาของเล่นแปลกๆ จากเมืองหลวงมากมายมาให้เขาเป็นของขวัญแล้ว ก็ไม่กลัวผมสีขาวเงินของตนเองเหมือนในตอนแรก คงเพราะเสียบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย ในบ้านก็ไม่มีชายฉกรรจ์พอเป็นที่พึ่งได้ จึงชอบมาเข้าใกล้เขา จะให้เขาอุ้มท่าเดียว จะต้องอบรมให้ดี ไม่เช่นนั้นภายหน้าจะดูแลสกุลหลี่ได้อย่างไรกัน

แม้ในใจฉู่จิ้งเฟิงจะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับอุ้มน้องภรรยาตัวกลมขึ้นมา

“พี่เขย ท่านแรงเยอะ โยนเสียนเอ๋อร์ขึ้นที เสียนเอ๋อร์ฝึกวิชาตัวเบา สามารถบินได้” เสียนเอ๋อร์ไม่กลัวเรื่องใหญ่โตมาแต่ไหนแต่ไร อยากจะลองเลียนแบบจอมยุทธ์ในหนังสือยืมแรงมาส่งแรง ลอยขึ้นสู่ฟ้าในเวลาเพียงชั่วครู่

ฉู่จิ้งเฟิงลองประเมินเนื้อติดมันในมือ รู้สึกว่าต่อให้มีสี่ปีกก็ยังยกเนื้อก้อนนี้ไม่ขึ้นเลย แต่พอเห็นหลี่รั่วอวี๋วิ่งเข้ามาหาเช่นกัน ยืนเข้าแถวรอตาแป๋วอยู่ด้านข้าง จึงออกแรงโยนเขาลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็รับไว้อย่างมั่นคง

เสียนเอ๋อร์ก่อนหน้าเคยเล่นแบบนี้กับอาหกที่กวาดพื้นอยู่ในลานเรือน แต่อาหกจะมีแรงมากเหมือนพี่เขยที่โยนเขาขึ้นสูงมากในพริบตาได้อย่างไร รอจนพี่เขยรับตัวเขาได้ ความตื่นเต้นตกใจของเขายังไม่คลายไป ดวงตาก็เปล่งประกาย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วพูดว่า “พี่เขยร้ายกาจจริงๆ เอาอีก! เอาอีก!”

ดังนั้นฉู่จิ้งเฟิงจึงทำแบบเดิมอีกหลายครั้งจนคนตัวเล็กหัวเราะร่วน พูดว่าสนุกไม่หยุด นี่ยิ่งทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ด้านข้างวิ่งวนร้อนใจ อยากให้คนในมือฉู่จิ้งเฟิงเป็นตนเองสักที

แต่แม่นมที่คอยดูแลเสียนเอ๋อร์อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรับตัวนายน้อยจากมือฉู่จิ้งเฟิงมา แล้วพาเขากลับไปนอน

หลี่รั่วอวี๋คิดว่าถึงตานางแล้ว จึงวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่จิ้งเฟิงอย่างตื่นเต้น แต่กลับถูกชายหนุ่มผลักออกเบาๆ ความฝันอยากเป็นจอมยุทธ์ของหญิงสาวมีรอยร้าวขึ้นในทันที รู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายจิตใจอย่างมาก จึงมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อด้วยน้ำตาปริ่มขอบตา

ฉู่จิ้งเฟิงเดิมคิดว่าตนเองจะเย็นชาได้ถึงที่สุด แต่พอเห็นแววตาของนางแล้ว กลับอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นก็โยนขึ้นกลางอากาศแล้วรับไว้มั่น

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกถึงลมผ่านข้างหู ร่างกายลอยขึ้นร่วงลง ราวกับจอมยุทธ์บินได้จริงๆ!

พอร่วงลงมาก็รีบโอบคอเขาเอาไว้พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่รู้เลยว่าร่างงามที่แตกต่างกับเด็กเล็กนั้นแนบชิดกับชายหนุ่มที่เพิ่งกินของบำรุงมามากเกินไป

ฉู่จิ้งเฟิงรัดแขนแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว สัมผัสถึงส่วนเว้าโค้งที่แนบติดตนเอง… รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเลือดลมไหลเวียนรุนแรงราวกระแสน้ำในแม่น้ำหวงเหอดังอยู่ในหู ในสมองมีภาพในหนังสือภาพแล่นผ่าน มันยอดเยี่ยมกว่าหนังสือที่เสียนเอ๋อร์อ่านเล่มนั้นอย่างแน่นอน

“ว้าย! ท่านซือหม่า ท่านเลือดกำเดาไหลเจ้าค่ะ!” ซูซิ่วที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

ความหวังดีของท่านแม่ยายไม่สูญเปล่าจริงๆ เลือดที่ถูกบำรุงจนระอุสุดท้ายก็พ่นออกมาจากจมูกโด่งเป็นสันของฉู่จิ้งเฟิง…

หลี่รั่วอวี๋ถูกการที่ฉู่จิ้งเฟิงจู่ๆ ก็มีเลือดกำเดาไหลทำให้ตกใจ นางอยู่นิ่งๆ ด้านข้างมองซูซิ่วหยิบผ้าฝ้าย ตักน้ำและผงยามาด้วย กว่าจะห้ามกำเดาของฉู่จิ้งเฟิงได้นั้นไม่ง่ายเลย

ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าเสียเลือดออกไป ความร้อนรุ่มในกายจึงค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง รอกลับไปถึงทางเหนือ…ต้องค่อยๆ สอนหญิงสาวผู้นี้ให้รู้เรื่องทางโลกบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่เลือดของเขาไหลย้อนกลับจนตาย…

บทที่แปด

เขยสกุลหลี่จะเดินทางกลับแล้ว ภายในรถม้าตอนที่นั่งมาล้วนบรรทุกของไว้เต็ม ตอนกลับก็จะปล่อยว่างไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้บ่าวไพร่ยกของห่อใหญ่ห่อเล็กขึ้นบนรถม้าที่ซือหม่านำมา

ตอนที่แต่งงาน มักจะกังวลว่าตนเองที่เป็นครอบครัวพ่อค้าบังอาจเอื้อมคว้าซือหม่าต้าฉู่ หากสินเจ้าสาวจากฝ่ายตนเองน้อยเกินไปหรือมีรสนิยมไม่พอจะทำให้บุตรสาวขายหน้าบ้านสามี ดังนั้นสินสอดแม้จะเป็นของมีชื่อมีราคา แต่ก็เหมือนขาดความยิ่งใหญ่ไป

แต่กลับบ้านเกิดมาครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าตนเองได้ความยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ยายกลับมาบ้างแล้ว รู้สึกว่าเขยของตนเองแม้จะมีท่าทางเย็นชา แต่แท้จริงเป็นคนกตัญญูอ่อนน้อมมาก ครั้งนี้บุตรสาวต้องไปทางเหนือ ไม่รู้ว่าตอนปีใหม่จะกลับมาได้หรือไม่ เช่นนั้นอาหารย่อมขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

ดังนั้นของที่ขนขึ้นรถม้าในครั้งนี้จึงเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น แตงกรอบดองของเมืองเหลียวเฉิงหลายไหใหญ่จึงเป็นตัวเอกที่ไม่อาจขาดได้ เนื้อหมักชิ้นใหญ่ที่รมควันกันเองก็เอาไปด้วยหลายชิ้น เพื่อไม่ให้บุตรสาวหาของไม่ได้ตอนอยากกินอาหารเมืองเหลียวเฉิง ยังมีน้ำมันดอกทานตะวันอีกหนึ่งไหใหญ่ ว่ากันว่าสิ่งนี้บำรุงสมองดีที่สุด เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไหว้วานให้โรงโม่เล็กที่ทางตะวันตกของเมืองสกัดออกมาให้

สำหรับเสื้อผ้า ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทียังเร่งทำรองเท้าหมวกเสื้อผ้าเด็กอ่อนจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นสภาพลูกเขยแล้ว คงยังไม่ได้ใช้ในเร็ววัน นางทอดถอนใจ ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างดี ลูกเขยเห็นแล้วจะได้ไม่อึดอัดใจ

ที่มีค่ามากที่สุดย่อมเป็นสุราสมุนไพรไหนั้น เพราะดองด้วยอวัยวะเพศที่เหลือจากทำน้ำแกงเนื้อลาวันก่อน พ่อบ้านลอบกำชับซือหม่าว่า “สุรานี้ดองอีกหนึ่งเดือนก็ดื่มได้แล้ว แต่ละครั้งห้ามดื่มมากเกินไป สุรานี้แรงมาก!”

ทำให้เหล่าทหารเก่าแก่ที่ฉู่จิ้งเฟิงพาติดตามมาขยิบตาให้กัน รอออกจากเมืองแล้ว กวนป้าจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน แม่ยายของท่านช่างดูแลครบถ้วนดีจริง แม้แต่สุราสมุนไพรบำรุงก็เตรียมพร้อมให้ท่าน เห็นทีนายน้อยคงใกล้จะมาแล้ว…”

ทว่าคำพูดหยอกเย้าที่เหลือถูกสายตาเย็นชาของฉู่จิ้งเฟิงถลึงใส่จนต้องกลืนกลับไป

เมื่อครู่ตอนออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่ แท้จริงแล้วก็เหนื่อยพอควร หลี่รั่วอวี๋หลายวันนี้อยู่ที่บ้านอย่างดี ทุกวันจะอยู่กับท่านแม่ หรือไม่ก็เล่นกับน้องชาย ไม่มีความกังวลใดเลย และไม่คิดเลยว่าจู่ๆ พี่ฉู่จะพานางจากไป พอคิดว่าตนเองต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกเศร้า พูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปขึ้นรถม้า

ทำเหมือนเด็กถูกบังคับให้ไปหอเรียน เกาะกรอบประตูไว้แน่น ร้องไห้น้ำตาเป็นสาย สุดท้ายก็ถูกฉู่จิ้งเฟิงอุ้มขึ้นรถม้าไป

ทว่าท่าทางน่าสงสารที่ถูกบังคับให้จากบ้านนั้น ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่ง

ว่ากันว่าคนปัญญาอ่อนไม่คิดแค้นไม่ใช่หรือ แต่ภรรยาของเขาผู้นี้กลับจำเรื่องถูกตีมือได้แม่น ก่อนขึ้นรถม้ายังพาดหน้าต่างรถฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บอกว่าต้องรีบรับนางกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นต้องถูกตีไม่ยอมให้พบท่านแม่แน่นอน

คิดถึงตรงนี้ แม้จะไม่ต้องดื่มของบำรุงนั้น ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกว่าตนเองคงถูกคนโง่ที่ลืมบุญคุณผู้นี้ทำให้โมโหจนเลือดออกเจ็ดทวารในสักวัน

เมื่อกลับถึงเมืองซูเฉิง ท่านหญิงไหวอินออกมาต้อนรับน้องชายน้องสะใภ้ด้วยตนเอง พอเห็นหลี่รั่วอวี๋ร้องไห้ตาแดงก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดยังมีน้ำตานองอยู่ล่ะ จิ้งเฟิงรังแกเจ้าหรือ ข้าตีเขาดีหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋ส่ายหน้าอย่างน่ารักพลางพูด “เขาบอกว่าอีกสองสามวันจะพารั่วอวี๋ไปขี่ม้า…ยังมีวัวแพะอีกกองใหญ่”

ท่านหญิงไหวอินยิ้มตบหลังมือของนางเบาๆ แล้วถามฉู่จิ้งเฟิง “ทำไมหรือ เจ้าจะจากไปแล้วหรือ จะไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือไร”

ฉู่จิ้งเฟิงส่ายหน้า “สกุลไป๋เดิมทีก็หวาดกลัวข้าอยู่แล้ว ถ้าอยู่นานจะยิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย สู้รีบกลับเมืองโม่เหอดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังพาคนสำคัญไปผู้หนึ่งด้วย…”

พอพูดเช่นนี้ กวนป้าที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ฟังรายงานจากองครักษ์แล้วก็พูดเสียงเบา “นายท่าน เอาตัวคนมาได้แล้ว อีกสองวันก็เดินทางออกนอกด่านได้แล้ว”

ฉู่จิ้งเฟิงพยักหน้า ท่านหญิงไหวอินฟังอยู่ด้านข้างก็รู้ดีเช่นกัน จึงยิ้มแล้วกล่าว “สกุลไป๋เสียเงินก้อนใหญ่ไปกับการต่อเรือรบ เจ้าไปถอนฟืนใต้กระทะ แม้แต่คนผู้นั้นก็ไม่เหลือให้พวกเขา ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกินจริงๆ”

ฉู่จิ้งเฟิงสบถเสียงเย็นชาพลางเอ่ย “ถ้าไม่เพราะคิดว่าเงินก้อนใหญ่นั้นเป็นของชาวเมืองเช่นกัน ก็จะรอให้พวกเขาต่อเรือรบเสร็จก่อนแล้วค่อยเปิดเผยความจริง ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระมาตุลาไป๋ไม่น้อยเลย สงครามทางเหนือเพิ่งสงบลง ก็คิดต่อเรือรบโดยไม่สนใจคำค้าน ต้องให้บทเรียนเขาเสียบ้าง ให้เขาสงบลงบ้างจึงจะดี”

หลี่รั่วอวี๋ฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน สนใจแต่เล่นเรือเล็กในมือของตนเองอยู่ข้างๆ แล้วตามพวกหล่งเซียงกลับห้องไป เรือเหล่านี้คนงานเรือเก่าแก่ผู้หนึ่งให้มาตอนไปที่อู่เรือเมื่อวาน มีเต็มหนึ่งหีบใหญ่ เดิมทีคนงานเรือผู้นี้จะทำให้หลานชายเล่น ผลปรากฏว่าเห็นคุณหนูรองหลี่จ้องเรือจำลองที่วางอยู่บนชั้นไม่วางตา จึงมอบเรือหีบนี้ให้คุณหนูรองทั้งหมด

พวกเขาคนงานเรือเก่าแก่เหล่านี้เห็นหลี่รั่วอวี๋ตั้งแต่เด็กจนโต แม้จะเป็นบุตรสาวของนายจ้าง แต่ปกติจะเข้าหาคนอื่นอย่างไม่วางท่า ตอนเพิ่งเริ่มเดินได้ก็มาเล่นที่อู่เรือกับนายท่านหลี่ ตอนนั้นนางก็เป็นเช่นนี้ ถือเรือจำลองเอาไว้ไม่ปล่อย…

ตอนที่ออกจากอู่เรือ เห็นหลี่รั่วอวี๋ฉีกยิ้มไร้พิษภัยให้พวกเขาราวกับเด็ก คนงานเก่าแก่หลายคนก็ร้องไห้ คุณหนูรองหลี่ที่พวกเขารักนับถือวันนี้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว จะไม่ให้คนรู้สึกปวดใจได้อย่างไร

หลี่รั่วอวี๋กลับไม่รับรู้ถึงความปวดใจของผู้อื่น กลับถึงห้องก็นอนคว่ำหน้าเล่นอยู่บนพื้นห้องหอ

ซูซิ่วกลัวว่าฮูหยินน้อยจะได้รับไอเย็น จึงสั่งคนไปยกพรมขนหนาม้วนหนึ่งที่ทางซีอวี้ส่งมาบรรณาการจากคลังเก็บของส่วนตัวท่านหญิงไหวอินมาปูไว้บนพื้นหน้าเตียง ให้ฮูหยินน้อยได้นอนเล่น

หล่งเซียงล้างผลหลี่ หวานมาถ้วยหนึ่ง กลัวว่าคุณหนูจะเผลอกลืนเม็ดลงคอ จึงใช้มีดไผ่เล็กๆ คว้านเม็ดออก จากนั้นก็คลุกน้ำตาลกรวดก่อนจะเอามาให้กิน

หลี่รั่วอวี๋กึ่งเอนตัวนอนบนพรมนุ่ม ใช้มือหยิบผลหลี่ขึ้นมากิน จากนั้นก็แกะเรือจำลองนั้นจนหลุดกระจัดกระจาย เพราะเล่นของเล่นเป็นประจำ จึงทำให้หลี่รั่วอวี๋ฟื้นตัวได้ไม่เลว จากตอนแรกที่กินน้ำมักจะถือถ้วยได้ไม่มั่น ถึงตอนนี้สามารถประกอบเรือเล็กที่แกะหลุดเหล่านี้ให้เป็นเหมือนเดิมได้แล้ว เพียงแค่บางครั้งมือจะสั่นอยู่บ้าง ทำให้เสียบเสากระโดงเรือผิดตำแหน่งจนหักเป็นสองท่อน

หลี่รั่วอวี๋มองดูเรือที่ซ่อมกลับเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วก็ให้รู้สึกรำคาญใจ จึงออกแรงขว้างเรือที่ประกอบได้เพียงครึ่งหนึ่งทิ้งไป

เรือน้อยขว้างใส่ตัวฉู่จิ้งเฟิงที่เพิ่งเดินเข้ามา ถูกเขารับเอาไว้ได้พอดี

“ไม่ได้ดั่งใจก็ขว้างปาข้าวของหรือ ไปเรียนธรรมเนียมนี้มาจากที่ใดกัน” เสียงพูดของชายหนุ่มทุ้มต่ำ ในดวงตาเปล่งประกายที่น่ากลัว

หลี่รั่วอวี๋แม้จะโง่เขลาทึ่มทื่อ แต่ดูสีหน้าเก่งที่สุด ตอนที่เขาตีหลังมือนางก็มีสีหน้าน่ากลัวแบบนี้เช่นกัน นางจึงก้มหน้าลงแล้วซ่อนมือไว้ด้านหลัง

ฉู่จิ้งเฟิงย่อมเห็นกิริยาเล็กน้อยนี้ แต่บนสีหน้ากลับไม่อ่อนลง เขามองดูบนพรมสูงค่าที่เปื้อนน้ำหวานจากผลหลี่คลุกน้ำตาล เหยียบแล้วพื้นรองเท้ารู้สึกเหนียว อกเสื้อของนางเปื้อนเป็นดวงๆ ดูเลอะเทอะเป็นอย่างมาก

หลี่รั่วอวี๋ฟังคำพูดเข้าใจ แม้ความเข้าใจจะมีจำกัดราวกับเด็กเล็ก แต่หากเพราะนางป่วยจึงละเลยเรื่องนี้ไป เกรงว่าจะยิ่งไม่มีระเบียบมากขึ้น

แม่ยายของเขานั้นเป็นคนตามใจลูก ที่ก่อนหน้านี้หลี่รั่วอวี๋เป็นคนมีระเบียบได้เกรงว่าคงเป็นเพราะพ่อตาของเขาที่ล่วงลับไปสอนได้ดี ตอนนี้ท่านพ่อตาไม่อยู่แล้ว มีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูแลเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียว เอาใจหลี่รั่วอวี๋จนมีสภาพเหมือนเสียนเอ๋อร์น้องภรรยาของเขา ทั้งวันเอาแต่ร่ายรำอาวุธ ขึ้นต้นไม้ปีนกำแพง ทำอะไรตามอำเภอใจเหลือเกิน

ครั้งก่อนแม้จะเข้าใจนางผิด แต่อารมณ์ไม่ดีก็ลงมือตีคนเช่นนั้นอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เมื่อวานที่อู่เรือก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ผู้ใดเอามาก็ตามจะยื่นมือไปหยิบ กินจนเศษอาหารเลอะเทอะเต็มตัวไปหมด

ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะรู้สึกว่าท่าทางการกินแบบนี้ยังนับว่าน่ารัก แต่สายตาที่ไป๋ฉวนจงมองมานั้นกลับฉายความดูถูกไว้รางๆ สิ่งนี้ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงลอบรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

แม้จะไม่ตั้งความหวังว่าหลี่รั่วอวี๋จะกลับเป็นเหมือนเดิมไว้มากนัก ถึงขั้นแอบหวังว่านางจะอยู่อย่างเชื่อฟังข้างกายเขาเช่นนี้ตลอดไป แต่หากนางเรียนรู้การวางตัวพอสมควรได้ ไม่ต้องถูกดูถูกหัวเราะเยาะ มิดียิ่งกว่าหรือ

เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงตัดสินใจจะดัดนิสัยไม่มีระเบียบของหลี่รั่วอวี๋ เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยเรื่องการปฏิบัติตัวต่อหน้าผู้อื่นและการรับของในชีวิตประจำวัน

รอกลับถึงทางเหนือ ย่อมต้องเชิญอาจารย์มาให้นางสักคน การเรียนรู้หนังสือเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือเรียนรู้กฎระเบียบที่หญิงในตระกูลใหญ่พึงมี

 

ตอนเก็บสัมภาระลงเรือใหญ่เริ่มเดินทางขึ้นเหนือ ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้ผ่อนปรนเรื่องการอบรมและกฎเกณฑ์ที่มีต่อภรรยาตนเอง

เดิมทีหลี่รั่วอวี๋นั่งเรือใหญ่อย่างตื่นเต้นยินดีมาก นางชอบความรู้สึกตอนยืนอยู่ตรงหัวเรือ ปล่อยให้ลมปะทะเข้าหน้า แต่ไม่ช้าก็พบว่าพี่ฉู่ผู้นี้เริ่มใจดำกับนางมากขึ้น

ตอนกินข้าวห้ามใช้มือเปล่าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บถ้วยชาม ปกติกินผลไม้ของว่างก็ห้ามกินจนเลอะเทอะเต็มตัว ต้องเอาผ้าเช็ดหน้ารองแล้วหยิบใส่เข้าปากทีละชิ้นเล็กๆ

สำหรับเรื่องนั่งเล่นบนพื้นยิ่งไม่ได้รับอนุญาต หากพบเข้าจะถูกริบของเล่น ต่อให้ร้องโวยวายอย่างไรก็ไม่คืนให้

ตอนเริ่มแรกหลี่รั่วอวี๋ยังเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่ถูกบีบบังคับจนไม่เป็นไปดังใจ หลังจากโมโหจนไม่กินข้าวแล้ว นางก็พบว่าไม่มีผู้ใดสนใจนาง แม้แต่หล่งเซียงที่ปกติจะดีกับนางที่สุดหลังจากถูกฉู่จิ้งเฟิงตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชาแล้วก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางอีก

วันนี้เดินทางเข้าใกล้เมืองวั่นโจวทางตอนเหนือแล้ว เรือใหญ่ที่พวกเขานั่งมาต้องเติมอาหารและน้ำ จึงเทียบท่าพักผ่อนครึ่งวัน

วันนี้ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว พอดี ร้านค้าในท้องถิ่นล้วนตุนสินค้าใหม่เตรียมไว้ขายกันอย่างคึกคักตอนเปิดตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว

หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานล้วนสวมเสื้อใหม่ปักปิ่นดอกไม้มาเดินตลาด คุณชายหนุ่มน้อยแต่ละบ้านก็มาตามหาดอกไม้ ตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยวมีรถม้าต่อกันเป็นขบวนยาว ผู้คนเบียดเสียดราวน้ำหลาก คึกคักยิ่งกว่างานโคมไฟวันปีใหม่เสียอีก

ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋ขึ้นฝั่งไปเที่ยวเล่นสักหน่อย แต่บังเอิญหลี่รั่วอวี๋ก่อเรื่องอดอาหาร เมื่อคืนไม่ได้กินอะไรและไม่สนใจผู้ใด เพียงแค่นั่งเศร้าสร้อยอยู่บนเตียง

ฉู่จิ้งเฟิงไปกล่อมให้นางกินอาหารด้วยตนเอง แต่นางกลับหลับตาแน่น ไม่ยอมมองหน้าเขาเลย

จะบอกว่าไม่ปวดใจก็เป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงสำคัญ หากใจอ่อนตอนนี้ ภายหน้าก็ยากจะตั้งกฎเกณฑ์ให้นางได้แล้ว ก็เหมือนการฝึกเหยี่ยวล่าสัตว์ไม่ให้นอน หากปล่อยให้เหยี่ยวหลับตาเพียงนิด ก็ไม่สามารถฝึกได้ นับว่าเสียเปล่าไป

บุตรชายภรรยาเอกสกุลฉู่มีเขาเพียงคนเดียว แม้จะมีน้องชายที่เกิดจากอนุของท่านพ่อ แต่ถูกเลี้ยงนอกจวนตั้งแต่เด็ก ไม่ได้อยู่ภายในจวน

ข้างกายไม่มีน้องสาวน้องชายอายุน้อย ฉู่จิ้งเฟิงย่อมไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่รู้ว่านอกจากตีและด่าแล้วควรจะใช้วิธีใดในการปราบเด็ก ทำได้เพียงเอากฎการลงโทษให้รางวัลแบบในกองทหารมาใช้กับหญิงปัญญาอ่อนผู้นี้

หลี่รั่วอวี๋ตอนนี้แยกแยะผิดถูกไม่ออก พูดเหตุผลก็ไม่ฟัง จะตีหรือด่าเพียงปลายนิ้วก็ไม่ได้ แต่ต้องให้นางเข้าใจว่ากฎที่ใช้ในคฤหาสน์สกุลหลี่เมื่อไปถึงเมืองโม่เหอแล้วต้องแก้!

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจใจแข็ง สั่งซูซิ่วกับหล่งเซียงเสียงเย็นชาว่าไม่ต้องไปสนใจนางอีก ส่วนตนเองรับคำเชิญจากวั่นจื่อเหลียงสหายสนิทบัณฑิตชื่อดังในเมืองวั่นโจวไปดื่มสุราที่คฤหาสน์ของอีกฝ่าย

วั่นจื่อเหลียงอายุเท่ากับฉู่จิ้งเฟิง เป็นจ้วงหยวน อันดับหนึ่งในรัชศกเทียนเอิน เขามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่หลงใหลลาภยศ หลังจากรู้ความเหลวแหลกของขุนนางในเมืองหลวงและความเหิมเกริมของสกุลไป๋แล้ว เป็นขุนนางได้หนึ่งปีก็ลาออกกลับบ้านเกิดมา

เขากับฉู่จิ้งเฟิงเป็นสหายในหอเรียนเดียวกัน ทั้งสองแม้จะไม่ค่อยพบปะพูดคุยกัน แต่การเป็นสหายไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา มิตรภาพนั้นไม่เคยจืดจาง

ภรรยาของเขาเป็นหลานสาวของกงซุนมู่อดีตอัครเสนาบดี เป็นคนมีใจกว้าง ไม่เคยก้าวก่ายการเป็นขุนนางของสามี สองสามีภรรยาเที่ยวชมธรรมชาติในเมืองวั่นโจวด้วยกันอย่างดี

สหายจากกันไปนาน ย่อมต้องดื่มสุราฉลอง แต่ครั้งนี้วั่นจื่อเหลียงพบว่าฉู่จิ้งเฟิงเอาแต่เหม่อราวกับจิตใจไม่อยู่กับตัว เขารู้ว่าสหายสนิทที่เย็นชาต่อสตรีมาตลอดผู้นี้แต่งกับสาวงามผู้หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “ซือหม่ามาครั้งนี้ เหตุใดจึงไม่พาฮูหยินที่เพิ่งแต่งงานมาด้วยเล่า จะได้พูดคุยแก้เบื่อกับภรรยาข้า”

ฉู่จิ้งเฟิงกลับยิ้มเศร้าบางๆ ส่ายหน้าไม่อยากพูดอะไรมาก

วั่นจื่อเหลียงเป็นคนง่ายๆ เห็นฉู่จิ้งเฟิงเหมือนอยากจะรีบกลับก็ไม่ได้ดึงตัวเอาไว้

ฉู่จิ้งเฟิงดื่มสุราฉลองแล้วก็ขี่ม้าจากคฤหาสน์สกุลวั่นกลับมาที่เรือ ตลอดทางล้วนมีหญิงสาวมาเดินตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว แต่ละคนยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อคิดถึงหญิงสาวบนเรือที่เอาแต่ใจอยู่นิ่งไม่ยอมกินข้าว เขาก็รู้สึกเคร่งเครียด

ตอนผ่านตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว เห็นแผงขายของแผงหนึ่งขายตุ๊กตาผ้าที่ให้เด็กเล่น หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเย็บอยู่หลังแผงนั้น

เขาลงจากม้าหน้าแผงนั้น เห็นผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตาผ้าเป็นผ้าไหมอย่างดี นุ่นใช้ยัดก็เป็นนุ่นอย่างดีที่ผลิตจากเมืองฉีหลู่ สีขาวสะอาด จับดูแล้วนุ่มมาก ดังนั้นจึงเลือกตุ๊กตาเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เติมนุ่นเข้าไปอีกสองชั่ง ทำให้เสือตัวอ้วนกลม

รอหญิงชราผู้นั้นเย็บปิดเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็จ่ายเงินแล้วหนีบเอาเสือขนาดหมอนหนุนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง

เมื่อวานเพราะเขาดุนางที่ทำชาพุทราหกใส่กระโปรงอีกแล้ว ทำให้หลี่รั่วอวี๋โกรธ กระชากฉีกตุ๊กตาผ้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เย็บให้นางแล้วโยนลงบนพื้น เขาเห็นนางคลายโกรธแล้วก็หยิบตุ๊กตาผ้าที่นุ่นทะลักออกมาขึ้นมากอดแล้วลอบเช็ดน้ำตา

หลังจากนั้นแม้ซูซิ่วจะมีฝีมือดีเย็บตุ๊กตาผ้าอย่างดี แต่มันได้ขาดไปแล้ว รูปร่างจึงไม่ค่อยสวยงาม

เดินทั่วตลาดกลับถึงบนเรือเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสอบถามซูซิ่วว่าฮูหยินกินอาหารเย็นหรือยัง ซูซิ่วตอบว่า “ฮูหยินเอาแต่อยู่ในห้องเรือ ไม่ยอมลุกขึ้น และไม่ได้กินอาหารเจ้าค่ะ”

ฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าเครียด เดินไปทางดาดฟ้าห้องเรือ นั่งนิ่งรับลมอยู่สักครู่ จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ดวงตาแม้จะเหลือบไปบนหนังสือ แต่ใจกลับครุ่นคิดว่าหลี่รั่วอวี๋มีนิสัยเป็นเด็ก ที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่แง่งอนและไม่สนใจเขา แต่เพียงชั่วครู่ก็ลืม แล้วเล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ ไม่เคยไม่ลดละเหมือนเช่นวันนี้มาก่อน

เสียงดังแปะ ฉู่จิ้งเฟิงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน เพิ่งเดินเข้าห้อง หัวคิ้วของฉู่จิ้งเฟิงก็ขมวดขึ้นมา ภายในห้องมืดดำไม่มีแสงสว่างเลย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ทันรอเรียกให้ผู้ใดมาจุดไฟก็อาศัยแสงจันทร์เดินไปที่หน้าเตียง เห็นหลี่รั่วอวี๋นอนตะแคงอยู่บนเตียง ร่างขดเป็นก้อนกลม

ฉู่จิ้งเฟิงเรียกเสียงเบาสองที หลี่รั่วอวี๋แค่นเสียงสบถสองที แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปแตะหน้าผากของหลี่รั่วอวี๋ สิ่งที่ส่งผ่านมาในมือคือความร้อน นี่นางกำลังมีไข้สูงไม่ใช่หรือ!

ฉู่จิ้งเฟิงหัวใจเย็นวูบ ตะโกนเรียกท่านหมอที่ติดตามขึ้นมาบนเรือทันที

ซูซิ่วกับหล่งเซียงก็ตกใจเช่นกัน ตอนฉู่จิ้งเฟิงตำหนิพวกนางสองคนว่าเหตุใดจึงไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย ทั้งสองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ จะให้พูดว่าก็ท่านเป็นคนสั่งเองว่า ‘อย่าเข้าห้องไปเกลี้ยกล่อมนาง รอให้นางหิวจัดก็จะลุกขึ้นมาเอง’ อะไรทำนองนี้ไม่ได้กระมัง

ท่านหมอตรวจชีพจรแล้วก็เขียนใบสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงสอบถามสาเหตุการป่วย ท่านหมอก็ตอบอย่างระวังตัวว่า “เรียนซือหม่า ฮูหยินกลัดกลุ้มในอก จากบ้านเกิดและคนทางบ้านมาก็เพิ่มความร้อนในตัวอยู่แล้ว ยังได้รับความเย็นจากลมแม่น้ำบนเรืออีก สาเหตุมารวมกัน จึงทำให้เลือดลมไม่ดีเข้ามาแทรก ทำให้ไม่อยากอาหาร เกิดอาการลุกลาม กินยาไม่กี่เทียบก็จะดีขึ้น… แต่ฮูหยินไม่เหมือนกับสตรีรุ่นราวคราวเดียวกัน บางครั้งในใจมีความกลัดกลุ้ม แต่ไม่รู้ว่าจะระบายให้ผู้ใดฟัง จะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม อย่าใช้ไม้แข็ง…”

ท่านหมอแม้จะพูดอ้อมค้อม แต่ฉู่จิ้งเฟิงฟังเข้าใจแล้ว

หลี่รั่วอวี๋แม้จะเป็นคนปัญญาอ่อน แต่หลังจากแต่งงานกับเขา การกินการสวมใส่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้จะเป็นหญิงฉลาดเฉลียวก็ยังคงค่อยๆ ปรับตัว นับประสาอะไรกับนางที่ไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงว่าท่านแม่ไม่ต้องการนางแล้ว จะไม่เกิดความอึดอัดใจได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้เขาเอาแต่ควบคุมนาง แม้แต่ความสุขในการกินเพียงอย่างเดียวก็ยังแย่งไปจนสิ้น ผลปรากฏว่าความร้อนรุ่มนี้ทำให้นางล้มป่วย คิดว่าเช้าวันนี้ก็ไม่สบายตัวแล้วกระมัง ดังนั้นจึงได้ไม่สนใจผู้ใด

แต่ตัวเขากลับออกไปดื่มสุราและกลับมาเพิ่งพบว่าหน้าผากของนางร้อนมาก

เพราะเร่งลดไข้ ยาที่ท่านหมอสั่งจึงเป็นยาน้ำที่ผสมไว้แล้ว แค่เพียงต้มให้เดือดก็ดื่มได้ทันที

หล่งเซียงยกยามา ตอนที่จะป้อนยาให้หลี่รั่วอวี๋กินอย่างระมัดระวัง ฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งประคองตัวหลี่รั่วอวี๋อยู่ด้านข้าง เห็นหญิงสาวที่เป็นไข้หนักรับจอกยามาแล้วคว้าผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างหมอนด้วยมือที่สั่นเทา พยายามทำตามกฎระเบียบที่เพิ่งเรียนรู้มาไม่กี่วันนี้ยกผ้าขึ้นวางใต้คาง ยาจะได้ไม่ไหลหกใส่ตนเอง

แต่มือนั้นสั่นแรงมาก ทำยากระฉอกออกมาหลายหยด หลี่รั่วอวี๋ป่วยจนทรุดกอปรกับมียาน้ำหยดเปื้อนเต็มตัว ทำให้นางพูดออกมาเสียงแผ่วเบาเหมือนแมว “รั่วอวี๋… ไม่ได้ตั้งใจ… มือเอาแต่สั่น… รั่วอวี๋โง่เขลา…”

คำพูดนี้เหมือนเข็มแหลมแทงเข้าหัวใจของฉู่จิ้งเฟิง ผ้าที่นางถืออยู่ในมือก็ดูระคายตาอย่างมาก…

ฉู่จิ้งเฟิงพยายามสะกดความรู้สึกประหลาดในใจเอาไว้ ก่อนจะดึงผ้าที่อยู่ในมือนางมาแล้วโยนไปบนพื้น “เด็กดี พวกเราไม่ใช้ผ้านี้แล้ว ดื่มยาให้หมด”

เขาพูดพลางรับถ้วยยามาและป้อนยาที่เหลือด้วยตนเอง

ทว่าหลี่รั่วอวี๋ดื่มยาหมดแล้ว กลับยังวุ่นวายกับคราบยาบนอกเสื้อของตนเอง เอามือไปปัดไม่หยุด

ฉู่จิ้งเฟิงใช้มือใหญ่กุมมือของนางเอาไว้ อดใจไม่ไหวก้มลงจูบหน้าผากร้อนระอุของนางเบาๆ “ไม่เป็นไร กินยาแล้วอีกครู่ต้องให้เหงื่อออก ตอนนี้ยังเปลี่ยนเสื้อไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกไอเย็น”

หลี่รั่วอวี๋ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง เห็นเขาไม่ดุนางเหมือนหลายวันก่อนจึงวางความกระวนกระวายใจลง พลิกมือจับมือใหญ่ของเขา เริ่มสะลึมสะลือเล็กน้อย

ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่ข้างกาย มีเพียงพี่ฉู่ผู้นี้ที่พึ่งได้ ก่อนจากท่านแม่ได้กำชับนางว่าต้องเชื่อฟังอย่าทำให้สามีโกรธ เพราะต่อไปนี้นางต้องฝากชีวิตไว้กับสามีผู้นี้ กินอาหารเขาเป็นคนดูแล หากทำให้เขาโกรธ จะถูกไล่ออกไปกลางถนน…

นางเคยเห็นสภาพการแย่งอาหารของขอทานกับแมวหมา ต้องปาก้อนหินใส่หมาดุร้ายเหล่านั้น จึงจะแย่งหมั่นโถวเปื้อนฝุ่นครึ่งลูกมาได้ นางคิดว่าหมั่นโถวนั่นอาจจะไม่อร่อย ดังนั้นได้ฟังคำพูดของท่านแม่แล้ว ในใจนางก็เริ่มกลัว กลัวว่าตนเองจะทำให้พี่ฉู่ไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ และต้องไปพเนจรกลางถนน

แต่จะทำอย่างไรไม่ให้พี่ฉู่ไม่ดุนางอีกเล่า ทำได้เพียงกินอาหารดีๆ ไม่ทำเสื้อเปื้อน แต่นางกลับทำได้ไม่ดี ทุกครั้งที่เห็นพี่ฉู่จ้องนาง นางก็ยิ่งร้อนใจจนจะขว้างปาของ… แต่นางไม่ได้อยากทำจริงๆ… นางหวังว่าพี่ฉู่จะยิ้มให้นาง…

คิดถึงตรงนี้ นางก็กุมมือใหญ่แน่นขึ้น ก่อนจะนอนหลับไป

ตอนที่หลี่รั่วอวี๋สร่างไข้ ก็เป็นเวลาเช้าในวันรุ่งขึ้นแล้ว

ระหว่างนั้นหล่งเซียงยกน้ำร้อนผสมสุรามาเช็ดแขนขาให้นางตลอด และเพราะต้องดื่มยารสขม ซูซิ่วจึงยกผลไม้เชื่อมหลากสีมาให้จานใหญ่ เผื่อนางจะเกิดความอยากกิน

หลังจากกินยาหมดแล้วหลี่รั่วอวี๋ก็กินข้าวต้มอีกถ้วย นางรู้สึกว่ามีกำลังมากขึ้นและจะลงจากเตียง แต่หล่งเซียงไม่ยอม “คุณหนูคนดีของบ่าว อย่าเอาแต่เล่นจนถูกไอเย็นอีกเลย นอนบนเตียงดีๆ ก่อนนะเจ้าคะ”

หลี่รั่วอวี๋กลิ้งไปมาบนเตียง เห็นที่มุมเตียงมีตุ๊กตาเสือตัวใหม่วางอยู่ก็ตะโกนดีใจทันที ก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดมันแนบติดหน้า แล้วดึงมันมาหนุนใต้หัว รู้สึกว่ามันนุ่มสบายมาก

หลังจากเล่นสักครู่ นางก็ลุกขึ้นพลางยื่นหน้าออกมาจากม่านเตียง เห็นฉู่จิ้งเฟิงเข้ามาพอดี จึงหดคอกลับเข้ามาด้านใน

รอจนชายหนุ่มพลิกเปิดม่านจึงพบว่า นางเอาหน้าซบลงไปบนตุ๊กตาเสือ นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงไม่ขยับ

ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปอุ้มนางขึ้นมาเบาๆ แล้วเอาหน้าแนบไปบนหน้าผากของนาง รู้สึกว่าไม่ร้อนแล้ว จึงวางใจลง ก้มหน้าถามว่า “ชอบตุ๊กตาเสือที่ข้าซื้อให้เจ้าหรือไม่”

หญิงสาวในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ลอบเหลือบมองสีหน้าของเขา จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

ความกลัวบนใบหน้าของนางอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด

หญิงผู้นี้เป็นคนที่เขาใช้วิธีมากมายเพื่อให้ได้มา แต่พอมาอยู่ข้างกายเขา เขากลับไม่ได้ดูแลนางให้ดี กลับร้องขอบังคับนางมากมาย คุณหนูรองสกุลหลี่เป็นคนชอบเอาชนะเพียงใด ตอนแรกเพียงเพราะเขาไม่พอใจการออกแบบเรือของนาง จึงสร้างความลำบากใจต่อหน้าทุกคน นางกลับไม่หลับไม่นอนอยู่กับพวกคนงานเรือที่อู่เรือสองวันสองคืนไม่ได้พักสายตาเลย

แม้จะตกม้าบาดเจ็บถึงสมอง แต่หญิงสาวที่ดูเหมือนโง่ทึ่มผู้นี้กลับเป็นเหมือนที่ผ่านมา มีศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลาย ตอนนี้คิดดูแล้ว ที่นางโกรธเพราะทำเสากระโดงเรือหักจนขว้างเรือทิ้ง ก็เพราะนางผิดหวังกับความพ่ายแพ้ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมมือทั้งคู่ของตนเองได้ไม่ใช่หรือ

คิดถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกจุกอก เห็นนางไม่อยากพูดคุยกับเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่สั่งซูซิ่วให้หยิบเสื้อคลุมตัวหนามาห่อตัวนางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็อุ้มนางไปที่ห้องหนังสือ

ฉู่จิ้งเฟิงโอบนางนั่งตรงหน้าโต๊ะตัวใหญ่ หลี่รั่วอวี๋พบว่าบนโต๊ะมีเรือเล็กที่นางทำเสียวันนั้นวางอยู่

ฉู่จิ้งเฟิงเปิดขวดใบหนึ่ง ใช้ท่อนไม้เขี่ยของเหลวสีเหลืองออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วอธิบายให้หลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ในอ้อมกอดฟัง “นี่ข้าสั่งให้คนงานเรือจับปลาใหญ่มา เอากระเพาะปลาออกมาเคี่ยวเป็นกาวกระเพาะปลา”

เขาพูดพลางสอนให้หลี่รั่วอวี๋เอากาวเหลวสีเหลืองทาไปบนเสากระโดงเรือส่วนที่แตก หลี่รั่วอวี๋พยายามจะบังคับมือให้มั่น กลัวว่าจะทำให้กาวน้ำหยดไปทั่ว แต่มือยังคงสั่นเทา ร่างของนางเกร็งเล็กน้อย กังวลว่าจะถูกชายหนุ่มตำหนิ

ทว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ใช้ผ้าเช็ดมืออุ่นเช็ดส่วนที่หยดออกมา จากนั้นมือใหญ่ก็กุมมือเล็กเอาไว้มั่น แล้วต่อเสากระโดงเรือส่วนที่หักเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง ปล่อยนิ่งไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ วางลงด้านข้าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง รอกาวแห้งแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ช่วยหลี่รั่วอวี๋เอามันไปเสียบไว้บนเรือเล็ก หลี่รั่วอวี๋หมอบลงบนโต๊ะดูอย่างละเอียดสักครู่ ช่างซ่อมได้ดีมากจริงๆ

หญิงสาวทนไม่ไหวหันไปยิ้มให้ฉู่จิ้งเฟิง รอยยิ้มนั้นสวยหวานมาก เป็นสิ่งที่หาได้ยากในหลายวันนี้

“ในเมื่อเจ้าป่วย พวกเราก็อยู่ที่เมืองวั่นโจวอีกสักพัก ตอนนี้ที่วั่นโจวมีตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว อีกสองวันกว่าจะวาย พรุ่งนี้ถ้าเจ้าไม่เป็นไข้อีก ข้าจะพาไปเที่ยวตลาดดีหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋อยู่บนเรือหลายวันนี้รู้สึกอึดอัดมาก ได้ฟังคำพูดนี้แล้วดวงหน้าก็เปล่งประกาย ลืมความเข้มงวดของเขาเมื่อหลายวันก่อนไปทันที ยกสองมือโอบคอของเขาอย่างมีความสุขแล้วถามว่า “ที่ตลาดนั่นมีหมาลอดบ่วงไฟหรือไม่ ครั้งก่อนท่านแม่เคยพารั่วอวี๋ไป… อยากไปดู”

ฉู่จิ้งเฟิงทนไม่ไหวจูบแก้มของนางเบาๆ พลางเอ่ย “มีหมดทุกอย่าง ถึงตอนนั้นรั่วอวี๋อยากได้อะไร ข้าจะซื้อให้เจ้า”

หากมีความหวังแล้ว อาการป่วยย่อมหายได้เร็ว

เมืองวั่นโจวผู้คนเรียบง่าย ดูแลความปลอดภัยดีมาก ดังนั้นแม้จะเป็นธิดาตระกูลใหญ่ก็สามารถพาสาวใช้มาเที่ยวชมตลาดได้โดยไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไร

ดังนั้นวันนี้พอไปถึงตลาด ฉู่จิ้งเฟิงก็ประคองหลี่รั่วอวี๋ลงจากรถม้า นำองครักษ์หลายคนพร้อมกับซูซิ่วและหล่งเซียงเดินเท้าเที่ยวตลาด

สถานที่นี้ห่างจากเจียงหนาน การกินการสวมใส่แตกต่างกับเมืองเหลียวเฉิงมาก หลี่รั่วอวี๋เห็นของกินอะไรก็รู้สึกแปลกใหม่ ในมือองครักษ์หลายคนข้างหลังหอบของห่อใหญ่ห่อเล็กเต็มไปหมดแล้ว

ในตอนนี้เอง ข้างหน้ามีเสียงประทัดดังขึ้น ที่แท้ข้างหน้ามียอดบุปผาของหอซิ่วชุนมาแสดงศิลปะการดีดพิณเดินหมากชงชาในงานเทศกาลฉีเฉี่ยว

ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีไม่อยากดู แต่จนใจที่หลี่รั่วอวี๋อยากรู้อยากเห็น จึงต้องพานางไปดู

เพราะป่วยหนักครั้งนี้ ปณิธานในการเป็นคนเข้มงวดที่ฉู่จิ้งเฟิงตั้งใจไว้จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นตลอดทางนี้จึงยอมทำตามใจนางทุกอย่าง

รอไปถึงหอซิ่วชุน ชาวเมืองทั่วไปดูได้แค่ตรงหน้าหอ แต่หากจ่ายเงินห้าสิบตำลึงก็ขึ้นไปชมใกล้ชิดบนชั้นสองได้ หากจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงก็สามารถดื่มชาที่ฉู่หวั่นเหนียงยอดบุปผาเป็นคนชงในห้องส่วนตัว

ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะไม่สนใจยอดบุปผาผู้นั้น แต่เห็นหลี่รั่วอวี๋เดินมาเหนื่อยแล้ว จึงสั่งให้กวนป้าที่อยู่ข้างหลังจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึง จองห้องส่วนตัวที่ติดด้านหน้า แล้วสั่งจานผลไม้และของว่างให้หลี่รั่วอวี๋ไว้กินรองท้อง

ในตอนนี้เอง หลังจากเสียงพิณดังลอยมาก็เห็นหญิงสาวในชุดชายยาวสีแดงสดผู้หนึ่งเดินขึ้นบนแท่นสูง

หลังจากแสดงตัวแล้ว หญิงผู้นั้นก็ขยับตัวร่ายรำไปตามดนตรี การแต่งตัวของนางราวกับนางฟ้า เรือนร่างอ่อนราวไร้กระดูก แม้แต่หลี่รั่วอวี๋ก็ดูอย่างเพลิดเพลิน ขนมครึ่งชิ้นที่อมไว้ในปากถึงกับลืมกลืนไปเลยทีเดียว

เมื่อร่ายรำจบหนึ่งเพลง คนบนหอล่างหอพากันส่งเสียงดังไม่หยุด และมีเศรษฐีมือเติบในห้องส่วนตัวชั้นสองสั่งกระเช้าดอกไม้อันใหญ่มาตั้งกองไว้ข้างแท่นแสดง

หลังจากแสดงศิลปะการดีดพิณและเขียนอักษรแล้วก็เป็นการแสดงชงชา ฉู่หวั่นเหนียงผู้นั้นแม้จะอยู่ในหอคณิกา แต่อากัปกิริยาเหนือกว่าธิดาตระกูลใหญ่มาก นั่งอยู่หน้าโต๊ะชงชากิริยาทุกอย่างลื่นไหลไม่มีที่ติเลย

หลังจากหลี่รั่วอวี๋เห็นนางชงชาเสร็จหนึ่งกาก็เทให้ตนเองหนึ่งถ้วย แล้วยกขึ้นอย่างงดงาม เม้มชิมไปหนึ่งคำ รายละเอียดทุกอย่างเหมือนกับกฎเกณฑ์ที่ฉู่จิ้งเฟิงตั้งให้กับนาง

พอก้มหน้ามองดูตนเอง แม้เมื่อครู่จะระวังมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังทำเศษขนมตกลงบนตัว หลังจากเห็นอากัปกิริยาอันงดงามของยอดบุปผาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็พอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่ฉู่จึงเข้มงวดกับนางเช่นนั้น

นางถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับฉู่จิ้งเฟิง “พี่สาวคนสวยผู้นั้น… รู้ธรรมเนียม รั่วอวี๋เรียนรู้ไม่ได้ เหตุใดพี่ฉู่ไม่แต่งกับนางล่ะ”

หลี่รั่วอวี๋เสียงใสแจ๋ว กอปรกับฉู่หวั่นเหนียงแสดงศิลปะการชงชา เน้นเรื่องความสงบของจิตใจ ฟังเสียงน้ำเดือดชงชา รับรู้ถึงความงามของชา ดังนั้นตอนแสดงการชงชา แขกที่มาดูอยู่ชั้นล่างแยกย้ายกันไปแล้ว ปิดประตูหน้าต่างที่เชื่อมกับถนนแล้ว ภายในห้องจึงเงียบสงบอย่างมาก

ดังนั้นเสียงของหญิงสาวจึงดังเป็นพิเศษ ทำให้ฉู่หวั่นเหนียงช้อนตาขึ้นมองมา ดวงตาคู่นั้นสั่นไหว ถึงกับไม่อาจเลื่อนสายตาหนีได้

ฉู่จิ้งเฟิงนวดขมับ คิ้วเรียวสองข้างขมวดเข้าหากัน ในใจคิดว่า… เป็นปัญญาอ่อนเสียที่ไหน เป็นคนจำแค้นฝังใจมาก อะไรเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น!

คำพูดนี้มีเหตุมีผลมาก นางคณิกาชื่อดังเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าหญิงในตระกูลใหญ่เลย มีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้เรียนดีดพิณเดินหมากเขียนอักษรวาดภาพอย่างดีมาแต่เด็ก มารยาทการรับรองคนรับของล้วนเป็นเลิศ และในตอนนี้ก็ฉวยโอกาสในเทศกาลฉีเฉี่ยวขึ้นแท่นแสดง แสดงความสามารถรอบด้านของตนเองก็เพื่อล่อให้เหล่าภมรทองจำนวนมากเข้ามาในหอสูบวิญญาณแห่งนี้เท่านั้นเอง!

เมื่อคิดได้ดังนี้ ตนเองบังคับให้หลี่รั่วอวี๋เรียนรู้เป็นศิลปะที่ใช้เพื่อทำให้ผู้อื่นชื่นชอบ แต่ภรรยาของเขาฉู่จิ้งเฟิงจะต้องให้ผู้อื่นมาชื่นชอบเพื่ออะไรกัน

ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนทำอะไรตามใจตนเองอยู่แล้ว ตอนนี้คิดตกในจุดนี้แล้ว จึงรู้สึกว่าการกระทำของตนเองเมื่อหลายวันก่อนนั้นหาเรื่องใส่ตัว ทำเรื่องไม่จำเป็น ทั้งยังทำให้ภรรยาต้องป่วยหนัก ปลายคางที่ค่อนข้างเรียวแหลมตอนนี้ยังมีท่าทางเหมือนคนป่วยอยู่หลายส่วน…

กวาดตาดุมองสายตาตื่นตะลึงของแขกที่มาหาความสำราญเหล่านั้นที่มองมาทางหลี่รั่วอวี๋ เขาหยิบงอบเย็บชายผ้าคลุมหน้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวมให้หลี่รั่วอวี๋แล้วก็พูดเสียงเบาด้วยท่าทีอ่อนโยน “รั่วอวี๋พูดถูกต้องแล้ว ธรรมเนียมเหล่านั้นใช่จะมีแต่ธิดาตระกูลใหญ่เท่านั้นที่เรียนรู้ได้ ต่อไปจะไม่บังคับรั่วอวี๋เรียนรู้แล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า”

หลี่รั่วอวี๋ยื่นมือไปพลิกเปิดผ้าคลุมหน้า ยิ้มงดงามให้ฉู่จิ้งเฟิงอย่างซาบซึ้งใจ ทำให้แขกเหล่านั้นเห็นแล้วใจสั่น ลอบคิดว่า… โอ้ นึกว่าฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้งามเป็นนางล่มเมืองแล้ว แต่กลับกลายเป็นดอกโบตั๋นที่งามสง่าไร้ความโดดเด่น ส่วนหญิงสาวในห้องผู้นั้นกลับมีความพิเศษ เพียงแค่มองก็รู้สึกว่ารูปโฉมงดงามแม้จะไม่ยั่วยวน นี่จึงจะเป็นความงามที่เรียกว่ามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภาได้เลยกระมัง

ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋คลายความอยากรู้แล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่นานนัก จึงดึงผ้าคลุมหน้าที่หน้าของนาง แล้วลุกยืนเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋เดินจากไป

ในตอนนี้เอง ยอดบุปผาฉู่หวั่นเหนียงกลับเดินลงจากแท่นแสดง ก้าวเท้ามาทางห้องของพวกเขา กวนป้าในใจคิดว่า… นายท่านมีวาสนาเรื่องสตรีจริงๆ หรือจะได้ยินคำพูดของฮูหยินแล้วจึงมาหาเรื่องด้วยตัวเอง

คิดไม่ถึงว่ายอดบุปผานั่นไม่ได้มองมาที่ฉู่จิ้งเฟิง แต่คารวะนอบน้อมให้กับหลี่รั่วอวี๋ “คุณหนูรองหลี่ ข้าน้อยรอจนได้พบท่านแล้ว ท่านมารับของที่ฝากไว้ใช่หรือไม่ ที่นี่คนมากวุ่นวาย ขอเชิญไปพูดคุยกันที่ลานด้านหลังเถิด”

หลี่รั่วอวี๋ที่ซ่อนใบหน้าอยู่หลังผ้าคลุมหน้าเบิกตาโต นางไม่รู้ว่าพี่สาวคนสวยผู้นี้เหตุใดจู่ๆ จึงมาเรียกนาง นางจึงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นสภาพการณ์นี้แล้ว ยอดบุปผาผู้นี้รู้จักหลี่รั่วอวี๋ด้วยหรือ! และเหมือนก่อนหน้านี้หลี่รั่วอวี๋ยังได้ฝากของอะไรไว้ที่นาง เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันใด

เขาจึงดึงมือของหลี่รั่วอวี๋ไว้อย่างไม่แสดงอาการ แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “อีกครู่ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าทำได้ดี จะซื้อโคมม้าวิ่งให้เจ้าอีกอันดีหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋ได้ฟังก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น จากนั้นรีบปิดปากแน่น

แล้วทั้งหมดก็เดินตามฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้ไปยังศาลาพักร้อนที่ลานด้านหลัง

แขกเงินหนาเหล่านั้นเห็นฉู่หวั่นเหนียงไม่ได้ยกน้ำชาก็จากไป ย่อมไม่พอใจ โชคดีสาวใช้ด้านข้างบอกว่าฉู่หวั่นเหนียงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านหลัง หลังจากนี้จะกลับมาต้อนรับแขกทุกท่านอีกครั้ง แขกเหล่านั้นจึงหยุดโวยวายลงได้

เพราะหลี่รั่วอวี๋มีผ้าคลุมปิดหน้า ฉู่หวั่นเหนียงจึงไม่เห็นความงุนงงของนาง เรื่องที่คุณหนูรองหลี่ได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บ ที่เมืองเหลียวเฉิงบ้านเกิดแม้จะรู้กันทั่ว แต่ไม่ได้ลือมาถึงทางเหนือดินแดนห่างไกลนี้

ฉู่หวั่นเหนียงมีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนาง แต่เพราะท่านปู่ล่วงเกินสกุลไป๋จึงถูกตั้งข้อหาความผิดตัดคอ ส่วนนางถูกจับมาเป็นนางโลมขุนนางอยู่ในหอคณิกา เพราะชาติกำเนิดนางทำให้มีประสบการณ์ไม่น้อย คบหาคนมีชื่อเสียงเป็นวงกว้าง มีการติดต่อคบค้าที่กว้างขวาง แต่ในจำนวนคนมีชื่อเสียงมากมายนี้ คนที่นางนับถือที่สุดคือคุณหนูรองหลี่ที่เก่งกาจเฉลียวฉลาดไม่แพ้บุรุษผู้นี้

ในอดีตตอนนางรับเทียบเชิญผนึกเงินไปท่องทะเลสาบ ถูกแขกเลวรังแก เพราะไม่ยอมตามใจจึงถูกโยนลงทะเลสาบโดยไม่มีผู้ใดช่วย ในตอนที่นางสำลักน้ำ คิดว่าต้องตายกลายเป็นอาหารปลา คุณหนูรองหลี่สั่งคนงานเรือให้ช่วยนางขึ้นมา แล้วบังคับเรือไปชนเรือสำราญของแขกเลวใช้อำนาจรังแกคนจนเป็นรูใหญ่ น้ำในทะเลสาบไหลเข้าเรือ จนกระทั่งบีบให้แขกเลวคุกเข่าโขกหัวบนดาดฟ้าหัวเรือขอโทษนาง คุณหนูรองหลี่จึงสั่งให้คนช่วยแขกเลวออกมาจากเรือที่ใกล้จมนั้น

แม้แต่ชายหนุ่มที่ชื่นชมในความงามของนาง ยังไม่กล้าล่วงเกินคนสกุลสูงศักดิ์เพื่อหญิงคณิกาผู้หนึ่ง นับประสาอะไรกับธิดาสกุลร่ำรวยผู้หนึ่ง! นางจึงรีบขอบคุณแล้วลงจากเรืออย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนูใจดีผู้นี้

ทว่าคุณหนูรองหลี่ที่ตะลุยไปทั่วใต้จรดเหนือกลับพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ‘อันธพาลเมื่อครู่บีบคุณหนูฉู่ให้ดื่มสุราจากรองเท้า คำร้องที่งดงามไพเราะของคุณหนูตรงไปตรงมา ไม่เสียทีที่เป็นชนรุ่นหลังของบัณฑิตฉู่ คุณหนูเป็นดอกบัวที่ซ่อนตัวอยู่ในโคลน แต่ความทะนงไม่ได้ลดลงไปเลย ช่างน่านับถือยิ่งนัก!’

ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ฉู่หวั่นเหนียงเคารพชื่นชมในตัวคุณหนูรองหลี่ที่อายุไม่มากแต่กลับมีความกล้าหาญรักความยุติธรรม

ตอนคุณหนูรองหลี่ถูกคนร้ายไม่รู้ฐานะทำร้ายบาดเจ็บ และถูกฉู่ซือหม่าแห่งต้าฉู่สั่งจับไปห้าเขตทางเหนือ ด้วยสถานการณ์อันตราย จึงมาซ่อนตัวในหอซิ่วชุนซึ่งคนอื่นคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาด

วันนี้จากกันไปนาน ได้พบกับหลี่รั่วอวี๋อีกครั้ง ฉู่หวั่นเหนียงจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมาก

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลี่รั่วอวี๋มาในครั้งนี้จึงพูดน้อยไปมาก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่จูงมือนางนี้เป็นผู้ใด แต่กลิ่นอายทั้งตัวนั้นทำให้คนใจสั่นอย่างไร้สาเหตุ และไม่รู้ว่าจะเป็นเสิ่นหรูป๋อว่าที่สามีของหลี่รั่วอวี๋หรือไม่

ดังนั้นนางจึงถามอย่างลังเลว่า “ขอถามว่าท่านนี้คือคุณชายรองเสิ่นใช่หรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินคำถามของยอดบุปผาแล้วก็พูดเสียงเข้มว่า “ถูกต้อง ไม่รู้ว่าของที่รั่วอวี๋ฝากไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ใด”

ฉู่หวั่นเหนียงเห็นหลี่รั่วอวี๋ปล่อยให้ ‘คุณชายรองเสิ่น’ ผู้นี้จูงมือโดยไม่รังเกียจ เห็นได้ว่ามีความรักลึกซึ้ง จึงเม้มปากยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหยิบของ

ไม่นานนางก็หยิบกล่องไม้ใส่กุญแจใบหนึ่งมามอบให้หลี่รั่วอวี๋ ทว่าถูกฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือใหญ่มารับไปแทน

“ตอนนั้นแผลจากคมกระบี่ของคุณหนูรองยังไม่หายดี คนแซ่ฉู่นั่นประกาศจับตามติดมาก ท่านยังดื้อดึงจะรวบรวมหญ้าแห้งไปที่ค่ายทหารสกุลฉู่ไปติดกับเอง หลังจากท่านจากไป ข้าน้อยก็นอนหลับไม่สนิทสักคืน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ถูกผีเห็นยังหวั่นจอมสังหารผู้นั้นทำร้ายถึงชีวิต แต่พอสืบดูหลายรอบแล้ว แม้แต่นายกองพันที่ออกมาจากค่ายทหารสกุลฉู่ก็ยังไม่รู้ร่องรอยของท่านหลังจากนั้น ส่วนหลงจู๊เฝิงที่ท่านบอกว่าจะมารับกล่องไม้นี้ก็ไม่เห็นเงาเสียที น่ากระวนกระวายใจจริงๆ…”

ฉู่หวั่นเหนียงพูดด้วยรอยยิ้มไปหลายประโยค แต่เสียงก็ค่อยๆ เงียบลง ในใจคิดว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋ที่ร่าเริงตอนนี้กลับเงียบเฉยไม่พูดจา

แต่เสิ่นหรูป๋อผมขาวผู้นั้นกลับมีแววตาคมกริบในทันใด

“แผลจากคมกระบี่หรือ นางมีแผลจากคมกระบี่เมื่อใดกัน”

ฉู่หวั่นเหนียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ที่สวมงอบผ้าคลุมนั้นด้วยสายตาลังเล ลอบคิดในใจว่า… ในเมื่อเป็นคนรู้ใจคุณหนูรอง เหตุใดจึงไม่รู้เรื่องที่คุณหนูถูกแทงที่ท้อง

ในตอนนี้เองประตูลานด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นดังลอยมา ก่อนจะเห็นเจ้าเมืองพาคนใต้บัญชารีบรุดมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นหน้าฉู่จิ้งเฟิงก็รีบสาวเท้าเข้าไป “ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านซือหม่าล่องเรือผ่านวั่นโจว ตอนนี้เพิ่งได้รับข่าว ไม่ได้มาต้อนรับใต้เท้า ต้องขออภัยด้วย”

ดวงตาของฉู่หวั่นเหนียงในตอนนี้เบิกกว้าง มองชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงหน้าอย่างหวาดกลัว “ซือหม่า… ท่าน…ท่านคือผี…ผีเห็น…ยังหวั่น… ฉู่…”

จะโทษว่ายอดบุปผาพูดติดอ่างไม่ได้ นางคิดไม่ถึงเลยว่าซือหม่าต้าฉู่ผู้สูงศักดิ์ที่อดีตเคยประกาศจับหลี่รั่วอวี๋จะมีวันที่จูงมือหลี่รั่วอวี๋มาพบนาง…

นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!

ในตอนนี้เองก็เห็นหญิงสาวสวมงอบคลุมหน้าพลิกเปิดผ้าคลุมหน้าอย่างเบิกบานแล้วตะโกนเสียงดัง “รั่วอวี๋ไม่ได้พูดอะไรเลย พี่ฉู่…พี่ต้องซื้อขนมโก๋แป้งข้าวเจ้าให้รั่วอวี๋กินอีกนะ!”

หน้าตาสะสวยงดงามนั้นคือหลี่รั่วอวี๋ไม่ผิดแน่นอน แม้แต่ไฝเม็ดกลมตรงคอนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านางในตอนนี้กลับดูเบิกบานใจไร้กังวล แววตาฉายความไร้เดียงสาออกมา ซึ่งไม่มีทางปรากฏบนใบหน้าสุขุมเกินกว่าอายุของหญิงสาวผู้นั้นเด็ดขาด…

ฉู่หวั่นเหนียงยืนตะลึงอยู่กลางศาลาพักร้อนนั้น ทำได้เพียงปากสั่นเทาเอ่ยถามหญิงสาวที่ไร้ความกังวลผู้นั้น “ท่าน…เป็นผู้ใดกันแน่”

ฉู่จิ้งเฟิงไม่มองหน้าเจ้าเมืองเมืองวั่นโจวที่เข้ามาป่วนเรื่อง แต่พูดสั่งการกวนป้าที่อยู่ข้างหลัง “เอาตัวหญิงผู้นี้ไป!” พูดจบก็จูงมือหลี่รั่วอวี๋ เดินตรงออกจากหอซิ่วชุน

ฉู่หวั่นเหนียงย่อมไม่ยอม ทว่าแม้แต่เจ้าเมืองยังไม่กล้าขวาง นับประสาอะไรกับแม่เล้า!

เรื่องน่ากลัวที่ว่าผีเห็นยังหวั่นฆ่าล้างเมืองภายในคืนเดียว ผู้ใดไม่เคยได้ยินบ้างเล่า เช่นนี้แล้วผู้ใดเลยจะกล้ารนหาที่ตายไปขวางซือหม่าจับตัวคนเล่า ดังนั้นจึงเห็นเพียงยอดบุปผาที่ก่อนหน้านี้ยังงดงามจับตา ถูกกวนป้าที่ร่างสูงใหญ่กำยำแบกนางขึ้นบ่าด้วยมือเดียวแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

รอจนแบกขึ้นเรือแล้ว ฉู่หวั่นเหนียงก็มีสภาพผมเผ้าหลุดลุ่ย ก่อนหน้านี้นางด่าต่อหน้าฉู่จิ้งเฟิงว่าเป็นผีเห็นยังหวั่นจอมสังหาร ตอนแรกแม้จะกลัว แต่ถูกบุรุษแบกไว้บนบ่าหน้าทิ่มดินอย่างกักขฬะแบบนี้ นางก็โกรธมากเช่นกัน จึงไม่หวาดหวั่นอะไรอีก อ้าปากด่าทันที

พอเข้าไปในโถงเรือใหญ่ หลังจากนางถูกกวนป้าโยนลงบนพื้นแล้วก็ถลึงตาจ้องฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งอยู่กลางโถงอย่างโมโห ท่าทางเหมือนจะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ท่าน

ฉู่จิ้งเฟิงแค่นเสียงสบถ ทว่าในใจกลับโมโหที่ตนเองรู้เรื่องในอดีตของหลี่รั่วอวี๋น้อยมาก

หญิงผู้นี้! สามคำสอนเก้าสำนัก ล้วนรู้จักไปทั่ว!

ที่เขาพาตัวยอดบุปผาผู้นี้มาด้วย เพราะเขาอยากรู้มากว่าเหตุใดตอนแรกหลี่รั่วอวี๋ขนสัมภาระการทหารไปส่งผิดเวลา ทำให้กองทัพของเขาเกือบจะประสบเคราะห์ร้ายกันหมด

ฉู่หวั่นเหนียงเมื่อรู้แล้วว่าชายผมสีขาวเงินผู้นี้คือผีเห็นยังหวั่นของต้าฉู่ ก็ปิดปากแน่นเหมือนกาบหอย ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย

แต่พอนางได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองกระทบกระเทือน ในดวงตาก็มีน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

ฉู่จิ้งเฟิงเห็นนางเป็นเช่นนั้นคงถามไม่ได้ความอะไร จึงไม่คิดจะถามอะไรอีก ได้แต่คุมตัวนางไว้ที่ห้องในเรือชั่วคราว ส่วนกล่องไม้ใบนั้นวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ถึงแม้จะใส่กุญแจไว้ แต่นิ้วเหล็กของฉู่จิ้งเฟิงออกแรงเพียงนิดก็บิดกุญแจให้หักจากกัน เปิดกล่องใบนั้นออกได้แล้ว ในกล่องนั้นมีจดหมายวางอยู่หลายฉบับ ฉบับหนึ่งเพื่อมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ในจดหมายเขียนถึงเรื่องหลังจากนางตาย บัญชี ร้านค้า อู่เรือทุกอย่างเขียนอย่างละเอียด และกำชับมารดาว่าหากมีคนต้องการยึดทรัพย์สมบัติสกุลหลี่ หากอีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่าก็ไม่ต้องปกป้องทรัพย์สมบัติทำลายชีวิตตนเอง นอกจากร้านที่เปิดเผยของสกุลหลี่แล้ว นางยังได้ใช้ชื่อหลงจู๊เฝิงซื้อที่ดินกิจการไว้ที่เมืองจินโจวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพียงพอให้มารดากับน้องชายใช้ชีวิตได้

จดหมายฉบับนี้เขียนไว้อย่างละเอียดถึงกว่าสิบหน้า

ฉู่จิ้งเฟิงมองดูตัวอักษรที่งดงามแต่ไม่ขาดพลังบนกระดาษแล้ว ก็รับรู้ได้ว่าหลี่รั่วอวี๋ยังมีห่วงต่อแม่ลูกสกุลหลี่ที่ไม่รู้เรื่องราวนั้นมากเพียงใด

จดหมายอีกสองสามฉบับเขียนให้หลงจู๊เฝิงกับคนดูแลขบวนเรือสกุลหลี่ ยังมีภาพผังพร้อมหมายเหตุอย่างละเอียดอีกหลายใบ เห็นได้ว่าเป็นภาพผังเรือรบที่อู่เรือสกุลหลี่กำลังเร่งสร้างอยู่ในตอนนี้

คิดภาพได้เลยว่าตอนนั้นหลี่รั่วอวี๋หอบเอาความคิดที่ว่าคงต้องตายหากเข้าไปในค่ายใหญ่ของเขาฉู่จิ้งเฟิง

ฉู่จิ้งเฟิงยืนขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องชั้นใน

หลังจากหลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า กินขาเป็ดตุ๋นเกาลัดหวานและไข่น้ำใส่เอ็นหอย กินหมั่นโถวนมแพะอีกครึ่งลูกแล้วก็นอนหลับไป

อย่างไรเสียก็ป่วยหนัก อีกทั้งวันนี้ยังเดินมาเป็นเวลานานอีก นางจึงเหนื่อยมาก กินอิ่มแล้วก็นอนหลับสนิทอย่างสบายใจ

ฉู่จิ้งเฟิงนั่งลงข้างเตียง มองดูใบหน้าเล็กที่มีเลือดฝาดใต้ผ้าห่มนั้นแล้วก็อดไม่ได้โน้มตัวลงไปจูบ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ พลิกเปิดผ้าห่ม ตรวจทั่วร่างของนางว่ามีบาดแผลใหม่หรือไม่

ในคืนวันแต่งงานแม้จะล่วงเกินหญิงร่างเล็กผู้นี้รุนแรงไป แต่ตอนนั้นเป็นไปด้วยความรีบร้อนและจมอยู่กับร่างเนียนนุ่มเนินอวบอิ่มนั้น จนลืมสังเกตว่านางมีบาดแผลหรือไม่

เขาตรวจดูไปทั่ว พลิกเปิดบังทรงสีชมพูอมแดงของนาง เผยให้เห็นหน้าท้องขาวเนียน ก่อนจะพบว่าข้างสะดือกลมมีแผลเป็นเล็กสีแดงอยู่จริงๆ

จำได้ว่าครั้งก่อน เพราะเขางับแผลเป็นรอยนี้ ร่างกายของหลี่รั่วอวี๋ก็แข็งเกร็งไปทันใด จากนั้นก็ร้องไห้โวยวายไม่หยุด ก่อนที่เขาจะคิดว่านางกลัวดวงตาประหลาดของตนเอง ไม่เคยคิดอย่างละเอียดถึงรอยแผลเป็นนี้ ตอนนี้ดูอย่างละเอียดแล้ว รอยแผลเป็นจากคมมีดนี้เป็นปกติทั่วไป แต่ผิวแผลเป็นนูนสูงมาก ปากแผลไม่ใหญ่ แต่ต้องลึกมาก อาวุธชิ้นนั้นต้องคมเป็นพิเศษไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน

จากคำที่ฉู่หวั่นเหนียงโพล่งออกมาก่อนหน้านี้ หลี่รั่วอวี๋ได้รับบาดเจ็บตอนที่ขนส่งสัมภาระทหาร จึงได้ส่งของล่าช้า แต่คนที่ทำร้ายนางเป็นผู้ใดกัน

ฉู่จิ้งเฟิงลูบบาดแผลที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้นั้นอย่างเบามือ อดคิดถึงภาพตอนที่นางเข้าไปขอรับโทษในค่ายด้วยตนเองไม่ได้

ตอนนั้นใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานเหมือนจะผอมลงไปมาก คงเป็นเพราะเสียเลือดและบาดเจ็บหนักแน่นอน ทว่าเขาเองก็ถูกพิษยังไม่หายดี ผมดำทั้งหัวกลายเป็นสีขาวเงินอย่างประหลาด จนถูกความโกรธบดบังสติไปเลยจริงๆ

ในตอนนั้นด้วยความโกรธจัดเขาจึงฆ่าม้าในขบวนสินค้าของนาง ทำลายเผารถม้า และไล่นางออกจากค่าย ประกาศกร้าวว่าต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก

ตอนนี้คิดดูแล้ว ความผิดพลาดใหญ่โตแบบนี้ไม่เหมือนความผิดที่หญิงสาวสุขุมโตกว่าวัยผู้นั้นจะทำได้ และทั้งที่เขาก็มีประกาศจับไปก่อนหน้า นางยังเสี่ยงตายมามอบตัว จะพูดอธิบายเหตุผลต่อหน้าก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ให้โอกาสนางได้พูด…

คิดถึง ‘คำสั่งเสีย’ อย่างละเอียดนั้นแล้ว เขาก็ลูบแก้มของหญิงสาวเบาๆ พลางเอ่ย “ตอนนั้นเจ้ากลัวข้าจะฆ่าเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ แล้ว…เหตุใดยังดื้อดึงจะมาหาอีกเล่า”

ในที่สุดเรือใหญ่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วันก็เข้าเขตเมืองโม่เหอ ก่อนจะเดินทางด้วยรถม้าต่ออีกสี่ชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงเขตพื้นที่ของฉู่จิ้งเฟิง

ตอนนี้อำนาจฮ่องเต้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น ผู้มีอำนาจแต่ละพื้นที่แย่งกันขยายอำนาจ การไม่ยอมมอบเสบียงส่งเครื่องบรรณาการนานหลายปีกลายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงในมือมีอาณาเขตมีอำนาจทหาร ก็เป็นผู้นำในเขตพื้นที่นี้ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เมืองหลวงก็ทำอะไรไม่ได้

อาณาเขตของฉู่จิ้งเฟิงกว้างขวางยิ่ง แม้อากาศทางเหนือจะไม่มีสี่ฤดูเหมือนทางใต้ แต่พื้นดินดีให้พืชผลในหนึ่งปีได้อย่างอุดมสมบูรณ์เช่นกัน แต่เมืองโม่เหอค่อนข้างห่างไกล ชาวเมืองในเขตมีไม่มาก ฉู่จิ้งเฟิงมองการณ์ไกล รู้ดีว่าหากเกิดสงครามขึ้น จะรอให้แดนไกลส่งเสบียงมาช่วยไม่ได้ จึงส่งเสริมให้ชาวเมืองบุกเบิกที่รกร้าง ขอเพียงบุกเบิกที่รกร้างเองและบริจาคเสบียงให้ทุกปีก็สามารถไปแจ้งที่จวนซือหม่าให้ออกโฉนด ไร่นานั้นก็จะตกเป็นของคนผู้นั้นทันที

ชาวเมืองจำนวนมากที่ระหกระเหินมาจากนอกเขตเพราะสงครามจึงหลั่งไหลมาที่เมืองโม่เหอ เพราะวิธีการบุกเบิกที่รกร้างนี้ ทำให้เมืองโม่เหอกลายเป็นเขตเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางเหนือภายในพริบตา

เพราะเอาชนะสงครามกับหยวนซู่ได้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย แม้จะถูกสกุลไป๋หน้าด้านไร้ยางอายบังคับยึดไปจำนวนหนึ่ง แต่ที่ดินส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฉู่จิ้งเฟิง

นายท่านไปทางใต้เป็นเวลานาน หลังจากกลับมายังพาฮูหยินที่เพิ่งแต่งใหม่จากทางใต้กลับมาด้วย ร้านรวงสองฟากถนนในเมืองจึงต่างพากันทำความสะอาดถนน แขวนโคมไฟแดงและติดป้ายอักษรแดงต้อนรับนายหญิงที่แต่งกลับมาจากทางใต้

หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ในรถม้าลอบมองออกมาข้างนอก รู้สึกว่าภาพสีแดงละลานตาและกลุ่มคนหัวดำที่พากันโห่ร้องพานให้เห็นแล้วใจสั่น

พอไปถึงจวนซือหม่า พ่อบ้านฉู่จงมายืนรอยิ้มยินดีรอรับซือหม่าพร้อมฮูหยินกลับจวนที่ประตูอยู่นานแล้ว

แม้จะไม่เคยเห็นฮูหยินซือหม่ามาก่อน แต่ฉู่จงรู้ว่าฮูหยินผู้นี้ต้องได้รับความรักจากใต้เท้าอย่างมาก ก่อนเข้าพิธีแต่งงานจึงสั่งให้คนส่งภาพตัวอย่างมาให้ ให้สร้างจวนซือหม่าใหม่ตามแบบสวนป่าเจียงหนาน ตอนนี้เรือนใหม่เริ่มลงมือสร้างแล้ว คาดว่าปีหน้าก็สามารถเข้าอยู่ได้

เขายังตั้งใจตกแต่งห้องนอนเดิมของซือหม่าเสียใหม่ ไม่รู้ว่าฮูหยินใหม่ผู้นี้จะชอบหรือไม่

ฉู่จิ้งเฟิงกลับรู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เพราะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปในที่ใหม่ จะกระวนกระวายไม่สบายใจไม่สดชื่นอยู่บ้าง จึงไปประคองนางลงจากรถม้าด้วยตนเอง

แล้วก็เป็นจริงดังคาด พอพลิกเปิดม่านรถ เขาก็เห็นนางขดตัวอยู่ที่มุมรถม้า คิดว่าคงถูกเสียงกลุ่มคนโห่ร้องเมื่อครู่ทำให้ตกใจ หลังจากพูดกล่อมอย่างอดทนแล้วในที่สุดนางจึงขยับตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ฉู่จิ้งเฟิงจึงอุ้มนางลงจากรถม้า แล้วก้าวยาวเข้าไปในจวน

พวกกวนป้าคุ้นเคยเรื่องเช่นนี้แล้ว แต่พวกบ่าวไพร่ในจวนซือหม่าทุกคนกลับเบิกตาโตอย่างตกใจ พูดอะไรไม่ออก

คนที่เสียงพูดอ่อนโยนราวกับพูดกล่อมเด็กเมื่อครู่ที่ว่า ‘เชื่อฟังนะ รั่วอวี๋คนดี…’ คือท่านซือหม่าผู้เยือกเย็นราวน้ำแข็งและไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีของพวกเขาจริงหรือ

เพราะกลัวว่าหลี่รั่วอวี๋จะกลัวคนแปลกหน้า หลังจากเข้าจวนซือหม่า สาวใช้ที่ปรนนิบัติใกล้ชิดนางยังเป็นคนที่พามาจากทางใต้ ฉู่จิ้งเฟิงถูกหญิงสาวผู้นี้หล่อหลอมจนจิตใจละเอียดอ่อนขึ้นมาก กลัวว่าหากนางไม่คุ้นเคย อาจจะกลัดกลุ้มจนป่วยเหมือนในครั้งก่อน

ในคืนวันนั้น เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องหนังสือ แต่นอนเป็นเพื่อนหลี่รั่วอวี๋ในห้องนอนหนึ่งคืน

แต่ในคืนนี้กลับทรมานใจคน เพราะมาอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคยหลี่รั่วอวี๋จึงติดเขาเป็นพิเศษ กอปรกับเคยชินกับการจูบของเขา จึงขยับเข้าอ้อมกอดของเขาเอง แล้วแลบลิ้นเล็กออกมาเล่นพิเรนทร์

ปลุกปั่นจนไฟในกายชายหนุ่มลุกโชน จูบปากเล็กนั้นจนบวมแดงราวกับทาสีชาดจึงยอมปล่อย แต่พอเขาคิดจะปลดปล่อย คนตัวน้อยผู้นี้เล่นจนเหนื่อยแล้วกลับพลิกตัวนอนหลับไปไม่รู้ตัว

ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงหลับตาลง ดมกลิ่นหอมสดชื่นจากร่างหญิงสาวข้างกาย พยายามสะกดความคับแน่นตรงหว่างขานั้น…

ตอนอยู่ที่เมืองวั่นโจว ฉู่จิ้งเฟิงส่งคนไปสืบเรื่องการได้รับบาดเจ็บของหลี่รั่วอวี๋ แต่คนที่ส่งไปผ่านไปหลายวันจึงกลับมารายงาน ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้เรื่องอะไรเลย รู้เพียงว่าหลงจู๊เฝิงที่หลี่รั่วอวี๋พูดถึงในจดหมายเกิดอุบัติเหตุตกเรือตายเพราะเมา ตอนนั้นคนหลายคนที่ติดตามไปด้วย บ้างก็ตายด้วยโรคฉับพลัน บ้างก็ถูกโจรจับตัวไปไร้ร่องรอย…

ตอนฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังข่าวเหล่านี้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น ความบังเอิญมากมายมารวมกันก็ไม่เหมือนเป็นความบังเอิญแล้ว หลี่รั่วอวี๋ตอนนั้นเจอเรื่องราวอะไรกันแน่ ตอนที่นางหลบรักษาบาดแผลกับฉู่หวั่นเหนียงในหอซิ่วชุนเป็นการหลบเลี่ยงประกาศจับจากเขา หรือว่า…หลบเลี่ยงอันตรายอย่างอื่น!

แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างไม่มีหลักฐาน หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อม มีทางเดียวคือสอบถามความจากปากของฉู่หวั่นเหนียง

แต่ฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้จงรักภักดีต่อหลี่รั่วอวี๋ และเห็นเขาเป็นศัตรู ทำอย่างไรจึงจะง้างปากของฉู่หวั่นเหนียงได้

มาถึงเมืองโม่เหอวันที่ห้า ฉู่หวั่นเหนียงที่ถูกคุมขังมาตลอดในที่สุดก็ถูกพ่อบ้านปล่อยตัวออกมา และถูกนำตัวมาที่สวนดอกไม้ในลานด้านหลัง

สกุลฉู่เป็นสกุลข้าหลวงมาหลายรุ่น รุ่นทวดได้แต่งงานกับองค์หญิงของอดีตฮ่องเต้ หลังจากนั้นหลายรุ่น จึงเชื่อมสัมพันธ์การแต่งงานกับราชวงศ์และสกุลสูงศักดิ์ ความแข็งแกร่งของสกุลไม่สามารถบรรยายได้เลย ฉู่หวั่นเหนียงก็นับว่ามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา แต่ตกไปอยู่ในหอคณิกา รู้จักคนในคฤหาสน์ต่างๆ มากมาย แต่ตอนเดินอยู่ในเรือนที่เรียบง่ายแต่ไม่ขาดความประณีตแห่งนี้แล้ว กลับสามารถสัมผัสได้ถึงรากฐานของสกุลฉู่ก็รู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นที่พลั้งปากพูดไปในวันนั้น

แต่ที่นางกังวลใจที่สุดคือหลี่รั่วอวี๋ เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่ดูร้ายกาจผู้นั้นหลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ จึงฉวยโอกาสตอนนางสมองเสื่อม บังคับเอานางมาเป็นของเล่น

ตอนเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลี่รั่วอวี๋สวมชุดกระโปรงสีขาวนวลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ตะโกนขึ้นไปข้างบนอย่างเบิกบานใจ “พี่ฉู่ ข้าอยากได้ไข่นกที่ใหญ่ที่สุดนั่น!”

ส่วนฉู่จิ้งเฟิงที่ดูมีบารมีเคร่งขรึมผู้นั้น สวมเสื้อแขนสั้นกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่ว เขี่ยรังนกอย่างตั้งใจ

ความสามารถที่ฝึกเพื่อฆ่าศัตรูในสนามรบเอามาใช้ในการเขี่ยรังนกทำได้อย่างง่ายดาย ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงยกเอารังนกลอยตัวลงมาจากบนต้นไม้ หญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นไม้ตื่นเต้นมองด้วยสายตานับถือ เขาก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง หลังจากยื่นรังนกให้หลี่รั่วอวี๋แล้วก็ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ยื่นมาให้เช็ดมือทั้งสองข้าง กิริยาท่าทางฉายความสง่างาม ราวกับเมื่อครู่เหมือนเพียงแค่เดินเข้าไปหยิบยาทิพย์หลายเม็ดในตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้ ยากจะเกิดความรู้สึกว่าฉู่จิ้งเฟิงแท้จริงแล้วก็มีความไร้เดียงสาอยู่มาก

ในศาลากลางสวนดอกไม้วางเตาถ่านเล็กไว้เตาหนึ่ง บนนั้นวางแผ่นเหล็กทาน้ำมันเอาไว้ ด้านข้างเป็นเนื้อสดหลากสี ยังมีต้นหอมกับหัวไช้เท้าหั่นเป็นแว่นอีกด้วย เห็นทีฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้จะว่าง อยากทำเนื้อย่างในสวนดอกไม้

หลังจากเช็ดสองมือเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงจึงนำหญิงสาวเอาไข่ที่เพิ่งเก็บลงมาตอกลงบนแผ่นเหล็ก จากนั้นก็วางเนื้อสดย่างไปพร้อมกัน ไม่นานไข่ผสมเนื้อที่โรยเกลือก็ส่งกลิ่นหอม

ส่วนหลี่รั่วอวี๋ที่มีความอยากเหมือนลูกสุนัขดวงตาเบิกโต มองดูฉู่จิ้งเฟิงใช้ไม้ไผ่คีบพลิกอาหารน่ากินนั้นไม่วางตา

ตอนที่พ่อบ้านพาฉู่หวั่นเหนียงเดินอ้อมระเบียงทางเดินยาวมาถึงศาลาพักร้อน ฉู่จิ้งเฟิงจึงช้อนตาขึ้นมองไปทางที่นั่งว่างด้านข้างแล้วพูดว่า “แม่นางฉู่หลายวันมานี้กินไม่ค่อยลง มาร่วมดื่มด้วยกันดีหรือไม่”

ฉู่หวั่นเหนียงมองดูหญิงสาวที่ยื่นหน้าเข้าไปในถ้วย จึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วยกชายกระโปรงนั่งลงข้างโต๊ะ

“คุณหนูรองหลี่ ท่าน…จำหวั่นเหนียงได้หรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋เห็นฉู่หวั่นเหนียงพูดกับตนเองก็เลียน้ำมันที่ริมฝีปาก จากนั้นดึงปลายลิ้นกลับแล้วพูดว่า “พี่คือพี่สาวที่ดื่มน้ำได้น่าดูมาก รั่วอวี๋จะเป็นเหมือนพี่…”

นางพูดพลางหยิบน้ำแกงบ๊วยที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเลียนแบบท่าทางการแสดงศิลปะการชงชาของฉู่หวั่นเหนียงที่นางเห็นในวันนั้นอย่างดี ดื่มอย่างช้าๆ หนึ่งอึก

ฉู่หวั่นเหนียงเดิมทียังไม่เชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อม วันนี้เห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้จึงเชื่ออย่างเต็มที่ ดวงตาก็ร้อนผ่าว จ้องฉู่จิ้งเฟิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ในใจคิดว่า… นี่เขาใช้วิธีเลวร้ายอะไรจึงทรมานหลี่รั่วอวี๋จนเป็นเช่นนี้

ฉู่จิ้งเฟิงพูดเสียงเข้ม “วันนั้นรั่วอวี๋มาหาข้าที่ในค่าย ข้าไม่ได้กล่าวโทษนาง นางส่งมอบสัมภาระการทหารก็กลับไปบ้านเกิดที่เมืองเหลียวเฉิง จากนั้นก็บาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุ ตอนที่ข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลียวเฉิง พอดีสกุลของนางกับสกุลเสิ่นถอนหมั้นกัน ดังนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายขอดองกับสกุลหลี่ รับรั่วอวี๋เป็นภรรยา ขอแม่นางฉู่อย่าได้มีใจเป็นศัตรูกับข้าเลย”

ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย็นชา แต่คนเช่นนี้หากยอมเอ่ยปากอธิบาย ก็นับว่ามีน้ำหนักในการพูดกล่อมได้

ฉู่หวั่นเหนียงคิดเชื่อมไปถึงภาพแผ่นป้ายแดงสองข้างทางตอนเข้าเมืองในวันนั้น ชาวเมืองพากันมาแสดงความยินดีในการแต่งงานของซือหม่า เห็นทีคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้โกหก

ฉู่จิ้งเฟิงเห็นท่าทางฉู่หวั่นเหนียงคลายลง และรู้ว่านางฟังเข้าหูไปหลายส่วนจึงพูดอีกว่า “เมื่อก่อนความไม่เข้าใจระหว่างข้ากับรั่วอวี๋สามารถลบให้หมดได้ เพราะตอนนี้นางเป็นภรรยารักของข้าแล้ว แม้นางจะเคยทำร้ายข้า ข้าก็ยินดี แต่ถ้าคนอื่นคิดจะทำร้ายนาง ข้าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นถ้าแม่นางฉู่สนิทสนมกับฮูหยินข้าจริง ขออย่าได้เก็บเงียบ เล่าเรื่องการถูกลอบทำร้ายของนางในครั้งนั้นให้ข้าฟังให้หมด”

ตอนนี้ตัวอยู่เรือนด้านหลัง ทุกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ ภายในศาลาก็มีถ้วยจานวางเรียง สุราหอมยั่วใจ เดิมควรเป็นเรื่องที่สบายอารมณ์ เขาพูดพลางใช้มีดสั้นคมกริบหั่นเนื้อแพะชิ้นใหญ่ การลงมีดเร็วและแม่นยำ เนื้อแดงสดถูกหั่นเป็นชิ้นบางเล็ก พูดถึงตอนนี้เขาก็ช้อนดวงตาลึกล้ำคู่นั้นขึ้นแล้วกล่าวทีละคำ “ถ้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ จะจับตัวมาฆ่าทิ้งแน่นอน!”

ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแน่น ในช่วงที่เหม่อนั้นเอง กลับเหมือนเห็นดวงตาของเขามีประกายสีแดงราวกับพญามัจจุราชแห่งความตาย…

“พี่ฉู่ รั่วอวี๋จะเอาไข่อีก…”

ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ทำตาแป๋วยื่นถ้วยกระเบื้องเข้ามาให้ฉู่จิ้งเฟิงรีบทอดไข่นกหอมฉุยออกมาอีกฟอง

ประกายแดงในดวงตาฉู่จิ้งเฟิงเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาของฉู่หวั่นเหนียง เห็นเพียงชายหนุ่มรูปงามยื่นมือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเปื้อนน้ำมันของหลี่รั่วอวี๋อย่างรักใคร่แล้วพูดว่า “กินช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนเมื่อวานที่รีบกินไป ทำให้ปวดท้อง”

เห็นภาพนี้แล้ว ฉู่หวั่นเหนียงก็นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณหนูรองหลี่ถูกลอบทำร้ายบนเรือระหว่างเดินทางผ่านวั่นโจว เพราะสถานการณ์คับขัน นางจึงให้คนใต้บัญชาขนย้ายสัมภาระการทหาร แอบลอบเข้ามาหลบในหอซิ่วชุนของข้าชั่วคราว เพราะแขกบางคนของหอซิ่วชุนมีนิสัยเลวร้าย ชอบทำให้หญิงในหอได้รับบาดเจ็บ จึงเลี้ยงดูท่านหมอไว้ผู้หนึ่ง ยาสมานแผลล้วนมีพร้อม ไม่เคยออกไปซื้อยาข้างนอก เพื่อหลบเลี่ยงสายตาคนร้ายที่ติดตามมา ข้าเคยถามคุณหนูรองว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่นางกลับบอกว่าคนที่เป็นหัวหน้าโพกหน้าไว้ เห็นเพียงแค่สองตา… ดวงตานั้นพิเศษมาก มันเป็นสีแดง…” พูดถึงตรงนี้ ฉู่หวั่นเหนียงก็จ้องตาของเขาแล้วพูดทีละคำว่า “ก็เหมือนใต้เท้าเมื่อครู่”

ฉู่จิ้งเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงหรี่ตาถามว่า “ในเมื่อแม่นางฉู่สงสัย เหตุใดยังบอกเรื่องนี้กับข้าอีก”

ฉู่หวั่นเหนียงฉีกยิ้มบางๆ หน้าตาดูงดงาม “ข้าน้อยหาเลี้ยงชีวิตในกลุ่มบุรุษ จะมองไม่ออกถึงความรักที่ใต้เท้ามีต่อคุณหนูรองหลี่ได้อย่างไร แม้จะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คือความจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใต้เท้าลงมือกับคุณหนูรองในตอนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ท่านจะหาเรื่องมาตัดโอกาสตัวเองไปเพื่ออะไร คนตาแดงผู้นั้นแม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คาดว่าใต้เท้าคงมีความคิดในใจแล้ว ข้าน้อยเชื่อว่ามีใต้เท้าคอยปกป้อง ต้องคุ้มครองคุณหนูรองได้ ข้าน้อยย่อมบอกท่าน ช่วยใต้เท้าอีกแรง”

ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋จึงสนิทสนมกับยอดบุปผาผู้นี้ แม้นางจะอยู่ในหอคณิกา แต่ประสบการณ์ที่พบเจอมีมากกว่าหญิงสาวในคฤหาสน์ทั่วไป

เขายกจอกสุราในมือขึ้นแล้วเชิญเป็นมารยาท “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณแม่นางฉู่แทนภรรยาของข้า!”

ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนที่หากผู้ใดมีคุณต้องตอบแทน จึงเตรียมจะไถ่ตัวแม่นางฉู่ผู้นี้ แล้วหาบ้านให้นางอยู่ในเมืองโม่เหอ

ฉู่หวั่นเหนียงขอบคุณความหวังดีของฉู่ซือหม่าแล้วพูดปฏิเสธโดยอ้อม “คุณหนูรองก็เคยเสนอว่าจะไถ่ตัวข้าน้อย แต่ข้าน้อยมีเรื่องในใจที่ยังสะสางไม่เสร็จ ต้องอยู่ต่อในหอคณิกาอีกระยะหนึ่ง ขอใต้เท้าให้คนส่งข้าน้อยกลับไปที่หอซิ่วชุนก็พอ…”

คนย่อมมีความคิดต่างกัน ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้บังคับ สั่งให้กวนป้าส่งฉู่หวั่นเหนียงกลับไปที่วั่นโจว

ก่อนจากกัน ฉู่หวั่นเหนียงรู้สึกอาลัยอาวรณ์จึงดึงมือหลี่รั่วอวี๋มาแล้วกระซิบพูดกับนางหลายประโยค

หลี่รั่วอวี๋ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พยักหน้าอย่างเป็นมิตร ตอนพูดแสดงความรู้สึกก็พูดได้คล่องขึ้นมาก “พี่สาว…ข้าไปกับพี่ดีหรือไม่ ขนมในหอนั่นอร่อยมาก ได้ยินหล่งเซียงพูดว่า ในหอของพี่ขอเพียงเต้นรำร้องเพลงให้คนดูก็มีข้าวให้กิน”

ฉู่หวั่นเหนียงบอกอารมณ์ไม่ถูก “คุณหนูรอง ต้องอ่านหนังสือเขียนหนังสือให้มากนะ ท่านจะเรียนรู้แต่ศิลปะที่ใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้อย่างไร”

หลี่รั่วอวี๋พยักหน้าอย่างแรง “พี่ฉู่บอกว่า อีกสองสามวันจะพารั่วอวี๋ไปหอเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นรั่วอวี๋ยังสามารถรู้จักสหายร่วมเรียนได้อีกมากมาย…”

คิดว่าสามารถไปหอเรียนเหมือนน้องชายเสียนเอ๋อร์ได้ สองตาของหลี่รั่วอวี๋ก็เปล่งประกายปรารถนาอยากเรียนรู้ออกมา

ฉู่จิ้งเฟิงแม้จะยืนอยู่ไกล แต่หูของเขาดีมาก ย่อมได้ยินถึงความเป็นห่วงของฉู่หวั่นเหนียง และคำพูดไร้เดียงสาที่หลี่รั่วอวี๋บอกว่าจะตามฉู่หวั่นเหนียงเข้าหอซิ่วชุน ใช้ดนตรีร่ายรำขออาหารกิน ในใจก็ไม่ยินดีขึ้นมาทันใด หากไม่ใช่เห็นแก่มิตรภาพของยอดบุปผากับหลี่รั่วอวี๋ และบุญคุณที่ช่วยชีวิตหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องจัดการความไม่ยินดีนั้นไป

หลังจากฉู่หวั่นเหนียงขึ้นรถจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ยังคงโบกผ้าเช็ดหน้าอย่างอาวรณ์

หลายวันมานี้ ฉู่หวั่นเหนียงสอนนางดีดพิณ แม้นางจะดีดไม่เป็นทำนอง แต่เลียนแบบท่าทางการนั่งดีดพิณบนเสื่อของฉู่หวั่นเหนียงก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนงามแล้ว! เมื่ออีกฝ่ายจากไปเช่นนี้ จะมีผู้ใดมาสอนนางดีดพิณอีกเล่า

ฉู่จิ้งเฟิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังตัวนาง พูดเสียงดังว่า “รีบกลับมา!”

หลี่รั่วอวี๋จึงหันไปมองแล้วเดินมาทางเขาอย่างเหงาหงอย

ฉู่จิ้งเฟิงเหลือบตามอง ถามว่า “ไม่ให้กินอาหารก็จะตามคนอื่นไปหรือ ท่านแม่เจ้าไม่เคยสอนเจ้าว่าควรปฏิบัติอย่างไรกับ ‘สามี’ หรือ ต้องอยู่ไม่ห่างกายไปไกล! ข้าเป็นท้องฟ้าของเจ้า! มีเหตุผลอะไรที่จะตามคนอื่นไป”

หลี่รั่วอวี๋งุนงง พูดอย่างอึดอัดว่า “ได้ยินท่านแม่พูดว่า… แต่ง…แต่งงาน สวมเสื้อกินข้าวไม่ต้องกังวล ท่านแม่บอกว่าแต่งงานกับพี่แล้ว พี่จะให้รั่วอวี๋สวมเสื้อผ้าอุ่นๆ กินอาหารจนอิ่ม ถ้าทำไม่ได้ ตอนกลับบ้านเกิดก็แอบไปบอกนาง นางจะหาวิธีรับข้ากลับบ้าน…”

พูดจบนางก็ลอบช้อนตาโตขึ้น เห็น ‘ท้องฟ้า’ ของตนเองเหมือนจะครึ้มอีกแล้ว ท่าทางเหมือนฝนจะตก จึงรีบขยับตัววิ่งออกห่าง

เห็นทีต้องรีบสั่งสอนหลี่รั่วอวี๋แล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ แต่คำว่า ‘สามีเป็นหลัก’ ต้องสลักใส่ใจ แต่จะสอนอย่างไรยังเป็นปัญหา ดังนั้นจึงจะทำตามความคิดเดิม คือเชิญอาจารย์หญิงเข้ามาสอนหนังสือ

แต่หลี่รั่วอวี๋กลับอยากทำเหมือนเสียนเอ๋อร์แบกกล่องหนังสือออกจากบ้านทุกวัน คบหาสหายร่วมเรียนสักกลุ่ม ความปรารถนาเรียบง่ายแบบนี้ยังทำให้ไม่ได้ จะไปเป็นเมฆขาวฟ้าครามของนางได้อย่างไร?

ฉู่จิ้งเฟิงจึงลงทุนเงินก้อนใหญ่ให้กับสำนักศึกษาที่อยู่ใกล้จวนซือหม่ามากที่สุด เพื่อใช้เป็นสำนักศึกษาส่วนตัวของฮูหยินซือหม่า

ในรัชศกนี้สำนักศึกษาสตรีไม่นับเป็นเรื่องแปลก แต่จำกัดสำหรับหญิงอายุน้อยที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น ถึงอายุสิบห้าสิบหกแล้วเป็นเวลาเรียนจบ ต้องเลี้ยงดูอบรมในบ้านเพื่อเตรียมแต่งงานแล้ว

ฉู่จิ้งเฟิงเห็นหลี่รั่วอวี๋อยู่กับฉู่หวั่นเหนียงหลายวันนี้ สามารถเรียนรู้ได้อย่างดี ไม่ต้องมีผู้ใดคอยดูก็เลียนแบบท่าทางการกระทำของฉู่หวั่นเหนียงเอง ทุกวันตอนดื่มชาจะกรีดนิ้วยกนิ้วชี้ขึ้น เห็นได้ว่าหลี่รั่วอวี๋ใช่ว่าจะเรียนได้ไม่ดี แต่นางเป็นคนชอบเอาชนะ จะไม่ให้คนพูดมาก ต้องหาสหายร่วมเรียนมาจำนวนหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกัน และจะได้ดูความก้าวหน้าของนางได้ด้วย

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เชิญอาจารย์สำนักศึกษามา สั่งให้เขาเขียนประกาศ บอกเพียงว่าจวนซือหม่าตั้งสำนักศึกษาสตรี รับหญิงอายุสิบสองสิบสามปีในเมืองเข้าเรียนเท่านั้น กำหนดว่าต้องมีนิสัยอ่อนโยน กิริยาเหมาะสม ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดใด หากคะแนนสอบเข้าเกณฑ์ก็สามารถเข้าเรียนได้

พอประกาศออกมา บ้านที่มีบุตรสาวอายุเข้าเกณฑ์ในเมืองล้วนตื่นเต้น สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ได้ยินว่ามีเพียงในสถานที่ที่ร่ำรวยเช่นเมืองหลวงจึงจะมี ธิดาสกุลร่ำรวยในท้องถิ่นหากคิดจะเรียนรู้ ปกติสามารถเชิญอาจารย์ไปสอนถึงบ้านได้ อาจารย์หญิงปกติจะหายาก และใช่ว่าทุกคนจะเชิญมาได้ สู้เข้าสำนักศึกษาจะสะดวกกว่า

มีคนอยากรู้มาสอบถาม ได้ความเพียงว่าในจวนซือหม่ามีเหล่าน้องสาวที่อายุถึงเกณฑ์ต้องการเข้าเรียน จึงได้ตั้งสำนักศึกษาสตรีขึ้น อาจารย์หญิงที่เชิญมาล้วนเก่งเป็นอันดับต้น หากสามารถเรียนจบจากสำนักศึกษานี้ได้ ภายหน้าต้นทุนตอนบุตรสาวออกเรือนจะไม่มากยิ่งขึ้นหรือ

ในวันสอบ สำนักศึกษามีคนมามากมายทันที เด็กสาวหวีผมเรียบร้อยทุกคนถูกนำเข้าไปสอบตอบคำถามในสำนักศึกษา

ธิดาครอบครัวบัณฑิตมากมายเพราะผ่านการเรียนรู้จากที่บ้านมาเร็ว ตำราบทกลอนล้วนท่องจำได้คล่องแคล่วแล้ว หยิบข้อสอบขึ้นมาอ่านก็แอบพ่นหัวเราะ ข้อสอบที่ออกคือเรื่องเบื้องต้นประเภทคัมภีร์สามอักษร กับระเบียบของศิษย์ เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาดูถูกสตรีอย่างนั้นหรือ จึงยกมือตวัดพู่กัน เขียนอักษรอย่างงดงามเป็นพิเศษ

หลังจากตอบคำถามเก็บข้อสอบไปแล้ว นอกจากเด็กสาวไม่กี่คนที่ก้มหน้าเศร้าออกมา เด็กสาวส่วนใหญ่ล้วนมีหน้าตายินดีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกให้ท่านพ่อท่านแม่รีบเตรียมกล่องหนังสือกับสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องพู่กันน้ำหมึก ตนเองต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน

แต่เมื่อถึงวันติดประกาศ คนเห็นกลับอ้าปากคางแทบหลุด เด็กสาวคนเก่งธิดาจากสกุลบัณฑิตหลายสกุลในเมืองสอบไม่ติดแม้แต่คนเดียว คนที่ถูกรับเข้าเรียนเป็นบุตรสาวของคนขายเนื้อ ธิดาของขุนนางก็มีบ้าง ซูเสี่ยวเหลียงธิดานายอำเภอซย่าเซี่ยนในเมืองโม่เหอก็สอบติดเช่นกัน แต่นางเป็นคนงุ่มง่ามที่ขึ้นชื่อ!

แม้ว่ากระดานประกาศคัดเลือกนี้จะทำให้คนไม่เข้าใจ แต่สำนักศึกษาก็ทำการเปิดสอนอย่างรวดเร็ว

ผมของหลี่รั่วอวี๋ถูกเกล้าเป็นสองจุก ห่อด้วยผ้าบางอยู่สองข้างหัว สวมชุดกระโปรงแขนเสื้อกว้างเข้ารูปสีขาวนวล เดิมทีนางเป็นหญิงเจียงหนานตัวเล็ก ดูแล้วเหมือนลดอายุไปอีกหลายปี เพราะนางกลัวเจ็บจึงไม่ได้ทำการเปิดหน้า ใบหน้าที่มีขนอ่อนกระจ่างใสจึงดูเหมือนหญิงอายุน้อยเพียงสิบสามปี

นางแบกกล่องหนังสือเล็กส่องซ้ายขวาหน้ากระจก ดูพอใจอย่างมาก พอหันไปดู เห็นฉู่จิ้งเฟิงยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าประตู ดวงตาก็มีรอยยิ้มในทันที เอียงคอถามว่า “พี่ฉู่ พี่ดูสิว่าชุดเรียนของรั่วอวี๋น่าดูหรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงใบหน้าเรียบเฉย ในใจลอบนึกอยากจะถอดชุดที่ดูงดงามนั้นออกให้หมด!

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าสายตาของพี่ฉู่น่ากลัว จึงแบกกล่องหนังสือเล็กรีบวิ่งออกประตูไปขึ้นรถม้า

วันนี้ไปสำนักศึกษาสิ่งสำคัญคือไปกราบไหว้รูปปั้นอาจารย์และแบ่งที่นั่ง ฟังอาจารย์หญิงแจ้งกฎระเบียบของสำนักศึกษา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาได้แล้ว

สาวใช้ที่ดูแลเรื่องพู่กันน้ำหมึกให้หลี่รั่วอวี๋ก็คือซูซิ่ว การดีดพิณเดินหมากเขียนอักษรวาดภาพไม่มีสิ่งใดที่นางไม่เชี่ยวชาญ หากหลี่รั่วอวี๋มีการบ้านใดที่ทำไม่ได้ มีนางคอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็ไม่ต้องถึงกับขายหน้าสหายร่วมเรียน

กำแพงสำนักศึกษาเรียบง่ายแบบโบราณ ป้ายชื่อก็เพิ่งแขวนขึ้นไปใหม่ เป็นอักษรคำว่า ‘สำนักศึกษาชิ่งซวี’ ที่ฉู่จิ้งเฟิงเป็นผู้ลงมือเขียนเอง

ชิ่งซวีเป็นหญิงมีความสามารถในราชวงศ์ก่อน เคยแต่งกายเป็นชายสอบได้จ้วงหยวน ตอนนี้ในละครยังมีบทที่พูดถึงนางโดยเฉพาะ ความหมายของชื่อนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นสำนักศึกษาสตรี

หลี่รั่วอวี๋ใจร้อน มาเร็วกว่าเวลามาก แต่ตอนลงจากรถม้าก็มีเด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนนางนำสาวใช้มายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ต่างเงยหน้าขึ้นจ้องแผ่นป้ายด้านบน แล้วอ่านทีละตัวอย่างช้าๆ “สำนัก… ศึกษา… โง่…เง่า!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง สาวใช้ข้างหลังเด็กสาวผู้นั้นก็ร้อนใจ พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู นั่นคือสำนักศึกษาชิ่งซวีเจ้าค่ะ! ชิ่งซวี!”

เด็กสาวผู้นั้นได้ฟังก็โล่งอกทันที “ข้าก็ว่าทำไมใช้ชื่อนี้ มันด่าคนไม่ใช่หรือ”

หลี่รั่วอวี๋ฟังชัดเจนแล้วจึงลงจากรถม้ามายืนอยู่ใต้แผ่นป้ายเลียนแบบการอ่านหนึ่งรอบอย่างดี “สำนัก…ศึกษา…ชิ่งซวี่!”

สาวใช้ด้านข้างผู้นั้นฟังแล้วก็อึดอัดมาก คิดว่าคุณหนูของตนเองทำขายหน้าต่อสหายร่วมเรียนจริงๆ!

แต่คุณหนูที่อ่านอักษรผิดผู้นั้นกลับไม่คิดอะไร แค่เพียงมองสำรวจหลี่รั่วอวี๋อย่างสงสัย “ขอถามว่าเจ้าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาใหม่นี้เช่นกันหรือ”

หลี่รั่วอวี๋พยักหน้าอย่างแรง

คุณหนูผู้นั้นยิ้มอย่างตื่นเต้น “ข้าชื่อซูเสี่ยวเหลียง เป็นบุตรสาวคนที่สามของซูกวงจงนายอำเภอซย่าเซี่ยน ขอถามว่าเจ้าชื่ออะไร”

ซูซิ่วที่อยู่ด้านข้างพูดตอบว่า “คุณหนูของข้าเป็นน้องสาวห่างๆ ของท่านซือหม่า ชื่อหลิวอวี๋เอ๋อร์ หรือเรียกสั้นๆ ว่ารั่วอวี่ ต่อไปคุณหนูเรียกนางว่ารั่วอวี่ก็พอเจ้าค่ะ”

ซือหม่ากำชับเอาไว้ ในเมื่อเป็นสหายร่วมเรียนกับเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามกลุ่มหนึ่งก็ไม่ต้องแสดงฐานะว่าฮูหยินแต่งงานมาแล้ว จะได้ไม่ถูกสหายร่วมเรียนตีตัวออกห่าง เช่นนี้ฮูหยินก็สบายใจ แต่ให้ซูซิ่วใช้ชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อจริง จะได้ไม่ทำให้คนสงสัย

ดังนั้นหลังจากเด็กสาวสองคนทำความรู้จักกันแล้ว ก็ก้าวเท้าเข้าประตูสำนักศึกษาพร้อมกัน

ไม่นาน รถม้าหน้าประตูก็ต่อกันเป็นขบวนยาว เด็กสาวเจ็ดแปดคนพากันแบกกล่องหนังสือเข้ามาในสำนักศึกษา

อาจารย์หญิงของสำนักศึกษาเป็นหญิงอายุราวสามสิบปี ใบหน้าหมดจด ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของบัณฑิตใหญ่โจวปิ่งถง นางหลงใหลโคลงกลอน ตั้งปณิธานว่าจะไม่แต่งงาน มีความรู้ด้านต่างๆ มากมาย

อาจารย์โจวนิสัยอ่อนโยน มีความอดทนต่อศิษย์หญิงเหล่านี้ หลังจากนำพวกนางไปกราบไหว้รูปปั้นอาจารย์แล้ว ก็แนะนำอาจารย์หญิงอีกหลายคนที่สอนศิลปะการดีดพิณและการชงชา จากนั้นนำพวกเขามายังที่โล่งแห่งหนึ่งในสำนักศึกษา ให้พวกนางพักผ่อนกินอะไรเล็กน้อยที่นี่ และใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน

บนพื้นหญ้าเขียวขจีปูเสื่อตาถี่เอาไว้ก่อนแล้ว ยังวางโต๊ะเล็กที่ประณีตเอาไว้ด้วย แต่ศิษย์หญิงคนอื่นไม่รู้ว่าวันนี้จะมีการร่วมกินอาหาร ในกล่องหนังสือนอกจากอุปกรณ์เขียนหนังสือแล้วไม่มีของอย่างอื่น ในชั่วขณะนี้ ทุกคนล้วนเหม่อมองโต๊ะเล็กว่างเปล่าเช่นกัน

ซูซิ่วย่อมเตรียมของมาแล้ว จึงให้บ่าวหญิงอาวุโสในสำนักศึกษามาช่วยเหลือ ยกกล่องอาหารสูงห้าชั้นลงมาจากรถม้า

อาหารในกล่องก็จัดอย่างประณีตทุกอย่าง ซูซิ่วสั่งพ่อครัวในจวนว่า นี่เป็นของที่เตรียมให้สำหรับเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปี ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่จึงเป็นของว่างที่ดูน่ากินและอร่อย

เกาลัดที่ปอกเปลือกแล้วคลุกด้วยน้ำตาลอ้อยวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในกล่องอาหารไม้เล็ก และตกแต่งด้วยดอกไม้น้ำตาลที่น่าดู เนื้อแห้งเลือกใช้สันในวัวชั้นดี หั่นเป็นเส้นยาวหมักสุราเหลืองกับเครื่องปรุงจากนั้นผัดน้ำมันตากลมให้แห้ง สำหรับขนมของว่างหลากสี ประณีตจนเห็นแล้วต้องชอบ สิ่งที่นำมากินคู่อาหารนอกจากจะเป็นชาชั้นดี ยังมีน้ำบ๊วยและน้ำสาลี่ดอกกุ้ยที่ผ่านการแช่น้ำแข็งมาแล้ว

เหล่าศิษย์หญิงที่มาเข้าเรียนในวันนี้แม้ว่าทางบ้านจะสุขสบายพอควร แต่ล้วนเป็นคนในพื้นที่เล็กๆ เรื่องอาหารการกินจะเทียบกับตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นถึงโหวได้อย่างไร ดังนั้นเมื่ออาหารถูกจัดเรียงเสร็จแล้ว ดวงตาแต่ละคนก็เริ่มเปล่งประกาย

แต่อย่างไรเสียก็เป็นสหายร่วมเรียนที่เพิ่งรู้จักกัน อยู่ที่บ้านถูกพ่อแม่พูดกำชับไว้ เข้าเรียนแล้วต้องวางท่าความเป็นธิดาผู้ดี จะให้สหายร่วมเรียนดูถูกไม่ได้ และในเมื่อเป็นการร่วมกินอาหารในสำนักศึกษา คงต้องมีการแต่งกลอนอะไรกันบ้าง

เมื่อคิดว่าต้องแต่งกลอนสด พวกเด็กสาวในที่นั้นกลับกังวล กลัวว่าคุณหนูที่มาจากจวนซือหม่าจะแต่งกลอนได้งดงามลึกซึ้งเกินไป หากแต่งต่อไม่ได้จะขายหน้า ด้วยความลังเลใจนี้ทำให้ลดความอยากอาหารไปไม่น้อย

แต่หลี่รั่วอวี๋กลับไม่กังวลมากมายอย่างนั้น ตอนเช้ารีบเปลี่ยนชุดจึงไม่ได้กินดี ตอนนี้จึงรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างจริงๆ หลังจากที่ซูซิ่วยกอ่างกระเบื้องน้ำแช่ใบปั้วเหอ ให้นางล้างมือแล้ว นางก็เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหวหยิบขนมพุทราเชื่อมสามสีขึ้นมา เคี้ยวไปพลางพูดเสียงไม่ชัดเจน “พวกเจ้า…เหตุใดจึงไม่กิน”

ในเมื่อเด็กหญิงจากจวนซือหม่าลงมือคนแรก เด็กหญิงที่เหลือก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย หันหน้ามองกัน แล้วยื่นมือไปหยิบอาหารอย่างหวาดกลัว รอจนอาหารรสเลิศเข้าปาก รสชาติหอมหวานผ่อนคลายความตื่นตระหนก ทุกคนจึงค่อยๆ เริ่มพูดคุยหัวเราะกัน

ศิษย์เหล่านี้ตอนเข้าเรียนล้วนได้รับคัดเลือกมาอย่างดี แม้จะไม่ใช่ปัญญาอ่อนแต่ก็มีข้อด้อยของตนเอง พูดติดอ่างก็มีไม่น้อย ทำให้เห็นไม่เด่นชัดว่าหลี่รั่วอวี๋พูดจาไม่มีลำดับแล้ว

เมื่อเทียบกันแล้ว ญาติห่างๆ ของจวนซือหม่าผู้นี้ ผิวขาวนวลหน้าตางดงามนั้นไม่ต้องพูดถึง ชาติกำเนิดก็ยังดีที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้ ที่หายากคือเป็นคนไม่วางท่า มาถึงครั้งแรกก็เอาของกินมากมายมาให้ทุกคน ช่างเป็นหญิงที่เรียบง่ายเข้ากับคนได้ง่ายเสียจริง!

ในจำนวนศิษย์มากมายเช่นนี้ ซูเสี่ยวเหลียงนั้นตกใจมากที่สุด นางนั่งติดหลี่รั่วอวี๋ มองดูคุณหนูรั่วอวี่ผู้นี้ใช้ส้อมเงินจิ้มเนื้อแห้งขึ้นมา แล้วจิ้มแตงกรอบดองที่หั่นเป็นชิ้นเล็กขึ้นมา วางพวกมันใส่ในแผ่นแป้งบางที่เปิดปากไว้ จากนั้นกระดกนิ้วชี้ขึ้นค่อยๆ กัดทีละคำ ท่าทางการกินนี้ฉายความสง่างามอยู่หลายส่วน

นางรีบทำตาม พอกัดเข้าไป แตงกรอบดองเมืองเหลียวเฉิงมีอานุภาพรุนแรงมาก แผ่นแป้งฟูนั้นจึงอร่อยขึ้นในทันใด เห็นคุณหนูรั่วอวี่ใส่บ๊วยและน้ำตาลกรวดลงในน้ำชา นางก็ทำตาม พอดื่มหนึ่งอึก รสชาติแห่งความสุขก็แทบจะกลายเป็นน้ำตาทะลักออกมาจากดวงตา

ความเปรี้ยวของแตงกรอบดองกับความหอมสดชื่นของชาสามอย่างยังวนอยู่ที่ปลายลิ้นและในใจซูเสี่ยวเหลียง คุณหนูรั่วอวี่ผู้นี้ช่างสมบูรณ์แบบ เป็นแบบอย่างของหญิงอายุสิบสองสิบสามได้เลย!

เพียงเวลาสั้นๆ ซูเสี่ยวเหลียงก็นับถือศิโรราบหลี่รั่วอวี๋ที่กินเก่งมาก

จนถึงวันต่อมาเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ เหล่าศิษย์หญิงรู้สึกโล่งอก ที่แท้วิชาในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการ สบายกว่าการเรียนในบ้านมาก ในแต่ละคาบเรียนให้เรียนรู้แค่สามตัวอักษร แล้วใช้กระดาษร่างอักษรมาเขียนตามอาจารย์หนึ่งรอบ เวลาที่เหลือก็ฟังคำสอนของอาจารย์ เนื้อหาใช้นิทานเรื่องเล่าที่สนุกสนานเป็นหลัก ทุกครั้งที่อาจารย์พูดจบ ศิษย์ทุกคนจะฟังเพลินอยู่ยังดึงสติไม่คืนมา

สำหรับวิชาที่เหลือเหล่าศิษย์สามารถเลือกได้ตามความชอบ หลี่รั่วอวี๋คิดว่าที่แท้ชีวิตในสำนักศึกษาสบายมีความสุขเช่นนี้เอง แม้ตัวอักษรของนางจะเขียนได้ไม่น่าดู แต่สหายร่วมเรียนรอบข้างก็มีความสามารถพอๆ กัน ไม่มีจุดที่โดดเด่นไปกว่ากัน

นางเลือกเรียนศิลปะการดีดพิณ ตั้งปณิธานว่าจะดีดเพลงให้ได้สักเพลง ภายหน้าตอนที่ได้พบฉู่หวั่นเหนียงอีกครั้งจะได้ดีดให้นางฟัง

แต่วิชานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับความนิยมเหมือนวิชาการฝีมือหรือการชงชา ในห้องพิณที่กว้างขวางมีเพียงนางกับซูเสี่ยวเหลียงสองคน

แต่อาจารย์เหมือนไม่ถือสาที่มีศิษย์น้อยเกินไป เห็นหลี่รั่วอวี๋เลือกเรียนวิชาดีดพิณ นางก็ดีใจ สอนอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ซูเสี่ยวเหลียงนั้นกลับไม่เหมาะกับวิชาดีดพิณที่งามสง่าแบบนี้ บทเพลงที่บรรเลงก็เหมือนเสียงแผงเหล็กตีปุยฝ้ายตามท้องถนน

หลี่รั่วอวี๋เพราะได้ฉู่หวั่นเหนียงสั่งสอน จึงดีดเพลงเด็ก ‘ดึงน้องชาย’ ทั้งที่นิ้วสั่นได้ ทำให้ซูเสี่ยวเหลียงอิจฉาได้อีกครั้ง

ตอนเลิกเรียน ซูเสี่ยวเหลียงรู้สึกเศร้าอยู่บ้างจึงพูดพึมพำว่า “ข้าโง่จริงๆ เรียนมาหนึ่งคาบดีดได้แค่เสียงตีปุยฝ้าย”

“เสี่ยวเหลียงไม่โง่ ตั้งใจเรียนก็จะฉลาดได้” หลี่รั่วอวี๋ลูบหัวของนาง เลียนแบบท่าทางของฉู่จิ้งเฟิงปลอบใจนาง

นับจากเริ่มป่วย หลี่รั่วอวี๋ไม่เคยมั่นใจเช่นนี้มาก่อน คงเป็นเหมือนคำพูดของพี่ฉู่ ขอเพียงเรียนหนังสือก็จะฉลาดได้ นางนึกอยากจะอยู่ในสำนักศึกษาตลอด และรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดทุกครั้งที่น้องชายเสียนเอ๋อร์ไปเรียนจึงร้องไห้ราวกับจะไปลานลงทัณฑ์

ตอนพักกลางวัน เหล่าสหายร่วมเรียนเอากล่องอาหารที่เตรียมมาเองออกมา ตอนพ่อแม่ตนเองได้ยินว่าไปสำนักศึกษาในวันแรก น้องสาวญาติห่างๆ ของจวนซือหม่าเตรียมอาหารมาเลี้ยงสหายร่วมเรียน จึงกลัวว่าบุตรสาวตนเองจะเสียมารยาท ทำให้คุณหนูตระกูลใหญ่ดูถูก ล้วนตั้งใจเตรียมอาหารรสเลิศมามากมาย

หนังหมูคลุกมะระของจ้าวชิงเอ๋อร์บุตรสาวโรงเชือดสัตว์ได้รับคำชมจากทุกคน เกิดในครอบครัวโรงเชือดสัตว์ หนังหมูจึงหั่นชิ้นใหญ่ ถอนขนออกแล้วหั่นเป็นเส้นกว้างขนาดนิ้วก้อย จากนั้นใช้กระเทียม เกลือและน้ำส้มสายชูผสมคลุกเคล้ากับมะระและถั่วลิสง นับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างดีในฤดูร้อน

รอจนถึงตอนเลิกเรียน พอหลี่รั่วอวี๋เดินออกจากประตูก็เห็นรถม้าหรูคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา หลี่รั่วอวี๋จำได้ รถม้านี้เป็นรถที่ฉู่จิ้งเฟิงนั่งออกจากจวนเป็นประจำ

พอนางวิ่งไปดู ฉู่จิ้งเฟิงก็พลิกเปิดม่านรถ โผล่หน้าออกมาจริงดังคาด หลังจากส่งภรรยาเข้าสำนักศึกษาแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็จิตใจไม่อยู่กับตัวทั้งวัน กังวลว่าหากนางไม่คุ้นเคยอาจจะร้องไห้งอแงได้ ไม่ทันรอให้ถึงเวลาเลิกเรียนจึงนั่งรถม้ามารอที่หน้าสำนักศึกษา เห็นหลี่รั่วอวี๋แบกกล่องหนังสือราวกับผึ้งตัวเล็กๆ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่” แล้ววิ่งมาทางเขาอย่างเบิกบานใจ หัวใจที่แอบลอยสูงของฉู่จิ้งเฟิงในตอนนี้จึงวางลงได้

เขาลงจากรถม้า รับกล่องหนังสือเล็กของนางไปแล้วถามว่า “อยู่สำนักศึกษามาหนึ่งวันเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่รั่วอวี๋เอียงคอคิดสักครู่จึงพูดว่า “กินอร่อยมาก!”

ฉู่จิ้งเฟิงเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อกินอร่อย ก็ไม่ได้เรียนเสียเปล่า…”

หลี่รั่วอวี๋พยักหน้า รู้สึกว่าคำพูดของพี่ฉู่มีเหตุผลมาก

“แล้ว… วันนี้คิดถึงข้าหรือไม่” คำพูดของฉู่จิ้งเฟิงชะงักไป แต่อย่างไรเสียก็เอ่ยถามออกมาแล้ว

หลี่รั่วอวี๋ย้อนคิดอย่างตั้งใจแล้วส่ายหน้าตามตรง “รั่วอวี๋ยุ่งมาก ไม่ได้คิดถึงพี่ฉู่เลย…”

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะพูดอะไรผิดไป ชายหนุ่มตรงหน้าจึงมีแววตาเศร้าสลด ท่าทางในชั่วขณะนั้นเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนนี้เอง เหล่าศิษย์หญิงที่เดินออกมาล้วนมองเห็นซือหม่าที่รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดายืนอยู่ข้างรถม้าก็พากันส่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้นออกมาเบาๆ

ปกติเฉพาะเวลาซือหม่านำขบวนทหารเดินรอบเมืองเท่านั้น จึงจะได้เห็นท่าทางสง่าของเขาตอนสวมชุดเกราะนั่งอยู่บนหลังม้า ตอนนี้เห็นความงามสง่าตอนเขาสวมชุดขุนนาง ดูหล่อเหลากว่าบัณฑิตบนแท่นแสดงละครเสียอีก ซือหม่าเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้เลยจริงๆ!

พวกนางเกิดความรู้สึกอิจฉาคุณหนูรั่วอวี่ขึ้นมาทันใดที่มีพี่ชายดีเช่นนี้มารับนางตอนเลิกเรียน พรุ่งนี้ต้องบอกให้พี่ชายมารับตนเองบ้างจึงจะดี!

หลังจากหลี่รั่วอวี๋ถูกฉู่จิ้งเฟิงประคองขึ้นรถม้าแล้วก็ยื่นหน้าออกมาถามว่า “พวกเราจะกลับบ้านหรือ”

แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด กลีบปากแดงของนางก็ถูกชายหนุ่มที่ขึ้นรถมาทีหลังอุดเอาไว้ ไฟโกรธที่ถูกจุดเมื่อเช้าผ่านความคิดถึงมาทั้งวันบ่มไว้จนสะกดไม่ไหวอีกต่อไป และถูกคำพูดซื่อสัตย์ของนางเมื่อครู่ทำให้ปวดใจ จึงอยากได้ความหวานมาปลอบใจสักครู่…

ชุดกระโปรงบนตัวเด็กสาวแม้จะปกปิดอย่างแน่นหนา แต่ทรงผมที่หวีเป็นจุกเรียบติดหัวดูเรียบง่ายแต่ยิ่งยั่วยวนใจ เขาเกลียดตนเองมาตลอดที่รู้จักหลี่รั่วอวี๋ช้าเกินไป ทำให้นางถูกหมั้นหมายไว้ก่อน จนในดวงตาไม่มีที่เหลือให้เขา แต่วันนี้ตอนเห็นนางแต่งตัวเป็นเด็กสาวเช่นนี้ ราวกับย้อนกลับไปสู่วัยแรกรุ่นของหลี่รั่วอวี๋จริงๆ

หลี่รั่วอวี๋ถูกจูบจนมึนงง แขนเสื้อกว้างไหลลื่นลงมาตามข้อมือขาว สิบนิ้วเกี่ยวกับผมยาวสีเงินของเขาแล้วลูบไล้อย่างคุ้นเคย…

เพราะอยู่ที่สำนักศึกษากินอิ่มเกินไป หลังจากเลิกเรียนหลี่รั่วอวี๋จึงยังไม่รู้สึกหิว เมื่อกลับถึงจวนก็แช่น้ำอยู่ในห้อง อาบน้ำเสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงตัวหลวม หลี่รั่วอวี๋วิ่งไปข้างกล่องหนังสืออย่างทนรอไม่ไหว หยิบตัวอักษรที่ตนเองเขียนในวันนี้เอาไปให้ฉู่จิ้งเฟิงที่อ่านเอกสารอยู่ในห้องหนังสือราวกับมอบของล้ำค่า

“พี่ฉู่รีบดูสิ นี่เป็นตัวอักษรที่รั่วอวี๋เขียนในวันนี้”

ฉู่จิ้งเฟิงถือกระดาษแผ่นนั้นด้วยมือเดียว เห็นบนนั้นเขียนคำว่า ‘สามี’ เอาไว้อย่างสวยงาม ฉู่จิ้งเฟิงแค่นเสียงสบถเบาๆ หนึ่งที อาจารย์โจวผู้นี้เอาแต่ประจบไม่รู้จักพลิกแพลง เขาสั่งให้นางถ่ายทอดเรื่องสามีเป็นหลัก แต่กลับมาเขียนบนกระดาษแผ่นใหญ่แค่นี้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงถามว่า “วันนี้อาจารย์สอนอะไรบ้าง”

หลี่รั่วอวี๋นั่งบนตักของเขา หลังพิงแผ่นอก ดึงผมสีเงินของเขาหนึ่งกำ “อาจารย์เล่านิทานให้พวกเราฟัง”

นิทานที่อาจารย์โจวเล่าในวันนี้น่าดึงดูดใจมาก หลี่รั่วอวี๋ฟังอย่างตั้งใจ แล้วทำเหมือนนกแก้วเลียนแบบเล่าเรื่องนั้นออกมาได้ไหลลื่นอย่างน่าประหลาด “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เพราะแผ่นน้ำขวางกั้น ทุกที่ไปมาหาสู่กันไม่ได้ รู้แต่ว่ามีตนเอง ไม่รู้จักคนอื่น เทพธิดาผู้หนึ่งสงสารมนุษย์โลกจึงสร้างเรือเทพ เรือยาวร้อยจั้ง ใบเรือสูงเทียมเมฆ มีเรือเทพแล้ว ภูเขานับพันทะเลนับหมื่นก็ไม่ใช่เครื่องกั้นขวาง มนุษย์เหมือนติดปีกเทพ ทำให้แสดงความสามารถของเทพไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้ทวยเทพบนสวรรค์โมโห ลงโทษเทพธิดาผู้นั้น บันดาลสายฟ้า ทำลายเสากระโดงเรือ ล่มเรือเทพจมลงสู่ก้นทะเลเหนือ…”

เล่าถึงตรงนี้ หลี่รั่วอวี๋ก็หายใจหอบเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “อาจารย์เล่าถึงตรงนี้ก็ไม่เล่าต่อแล้ว พี่ฉู่ พี่รู้หรือไม่ว่าเทพธิดาผู้นั้นสุดท้ายเป็นอย่างไร”

ฉู่จิ้งเฟิงย่อมรู้แก่ใจว่านิทานที่อาจารย์โจวเล่าออกมาตอนนี้หมายถึงผู้ใด

โจวเฉียนอวี่ผู้นั้นเป็นคนถือตัว แต่กลับเป็นสหายที่มีอายุแตกต่างกัน นางมาทางเหนือในครั้งนี้แม้จะมาเพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์กรรม แต่หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าหลี่รั่วอวี๋ แม้จะยอมจ่ายเงินหมื่นตำลึงทอง นางก็ไม่ยอมเข้าสำนักศึกษาเพื่อมาสอนศิษย์หญิงที่โง่ทึ่มเหล่านี้หรอก

เขาเคยกำชับนางว่า หลี่รั่วอวี๋กลัวคนแปลกหน้า อย่าเข้าใกล้มากเกินไป นางกลับดีจริง เล่าเรื่องมหัศจรรย์ท่อนนี้โดยอ้อม คิดจะทดสอบว่าหลี่รั่วอวี๋ลืมเรื่องราวในอดีตจริงหรือไม่อย่างนั้นหรือ

ยื่นมือไปลูบแก้มหลี่รั่วอวี๋แล้ว เขาก็คิดสักครู่ จึงพูดเล่าส่งเดชออกมาเช่นกัน “เทพธิดาผู้นั้นก็จมลงสู่ก้นทะเลตามเรือไป เดิมทีต้องจมอยู่ในนั้นตลอดกาล แต่ถูกจู๋อินเทพภูเขาจงซานผ่านมาเห็นเข้า จึงช่วยนางเอาไว้ จู๋อินนี้เป็นสัตว์เทพโบราณ ลืมตาเป็นกลางวัน หลับตาเป็นกลางคืน เป่าลมเป็นฤดูหนาว หายใจออกเป็นฤดูร้อน ลมหายใจเป็นลม ตัวยาวพันลี้ สีแดงทั้งตัว แต่เก็บตัวรักสันโดษ จู๋อินหลงรักเทพธิดาผู้นี้ ลงมือตะลุยสังหารจากทะเลเหนือไปถึงภูเขาจงซาน กลิ่นคาวเลือดยาวไปตลอดทาง ทวยเทพถูกฆ่าจนหวาดกลัว เทพทั้งสองจึงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนภูเขาจงซานนั้น”

แต่ว่า บทสรุปอย่างมีความสุขที่สามารถเรียกน้ำตาของเด็กๆ ได้นี้ไม่ได้ทำให้หลี่รั่วอวี๋ดีใจขึ้นมาเลย นางนั่งนิ่งคิดอยู่นาน “แต่ภูเขาจงซานไม่ใช่ทะเล เทพธิดาต้องอยากกลับสู่ทะเล นั่งบนเรือเทพที่นางสร้างขึ้นแน่นอน จู๋อินทำไมไม่ปล่อยนางกลับทะเลล่ะ”

มือที่ลูบแก้มนางชะงักไป ทันใดนั้นนางก็ถูกแขนแกร่งยกตัวขึ้นเบาๆ วางไว้บนโต๊ะหนังสือ ฉู่จิ้งเฟิงจ้องตาของนาง พูดเสียงเข้มว่า “เทพธิดาถูกตัดสิทธิ์ความเป็นเทพ กลับไปบนเรือเทพอีกไม่ได้ และเทพภูเขาจู๋อินก็รักเทพธิดามาก ถ้าเทพธิดาไปจากเขา จู๋อินคงคลุ้มคลั่ง ฆ่าคนไปทั่วฟ้า”

หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะตกใจ คิดสักครู่จึงพูดเสริมอีกประโยค “เทพธิดาผู้นั้นน่าสงสารจริง”

คิดไม่ถึงว่าพี่ฉู่ของนางได้ฟังคำพูดนี้แล้วจะถลึงตาจ้องนางอยู่นาน สุดท้ายก็พูดอย่างแปลกประหลาดว่า “คัดสิ่งที่เรียนในวันนี้ร้อยจบ เขียนไม่เสร็จห้ามกินข้าว”

หลี่รั่วอวี๋คิดไม่ถึงว่าพี่ฉู่ที่เดิมทียังใจดีอยู่จู่ๆ จะลงโทษนางจึงยู่ปากเล็กทันที แต่พอคิดถึงเรื่องของสหายร่วมเรียนซูเสี่ยวเหลียงหลังจากแสดงพลังแขน ขว้างก้อนอิฐ ทำให้โอ่งน้ำของท่านป้าในสำนักศึกษาแตกแล้วก็ร้องไห้พลางกอดขาท่านป้า ขอร้องไม่ให้บอกเรื่องนี้กับท่านพ่อของนาง สุดท้ายท่านป้าใจอ่อนรับปาก หลี่รั่วอวี๋จึงเกิดความคิดขึ้นทันที…

นางลุกขึ้นคุกเข่าลง เลียนแบบกอดขาของฉู่จิ้งเฟิงที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไป แนบหน้าถูไถไปบนขาแกร่งนั้นแล้วพูดว่า “พี่ รั่วอวี๋ผิดไปแล้ว ขอเพียงไม่ลงโทษรั่วอวี๋ รั่วอวี๋ยินดีเป็นวัวเป็นม้า! รั่วอวี๋… รั่วอวี๋ร้องเพลงให้พี่ฟังดีหรือไม่”

ยังไม่รอให้ฉู่จิ้งเฟิงเปลี่ยนสีหน้า นางก็รีบลุกขึ้น นั่งลงข้างพิณที่ตั้งวางไว้ในห้องหนังสือ ตั้งท่าบรรเลงเพลงพื้นบ้านที่วันนี้เพิ่งเรียนมาอย่างดี “จูงน้องชายคนโต ดึงน้องชายคนเล็ก เหยียบกระเบื้องแตกไม่ถึงพื้น…”

นี่เดิมทีเป็นเพลงพื้นบ้านขอพรให้มีบุตรชาย มีความหมายว่าขอให้คลอดบุตรชายไม่คลอดบุตรสาว แต่คำพูดพอออกมาจากปากเล็กนุ่มนิ่มนั้นแล้ว ‘จูงน้องชายคนโต ดึงน้องชายคนเล็ก’ นั้น กลับดึงจนหัวใจคนฟังว้าวุ่นไปหมด…

ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาคิดถึงภาพความงามของมือเล็กขาวดึงมือ ‘น้องชาย’ แล้ว ก็สะกดใจไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากพูดช้าๆ “ยอมทำทุกอย่างจริงหรือ ดึงให้ข้าสักคนได้หรือไม่”

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 26

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: