บทที่ 2 บ้านปิยะไพศาล
ได้กลับมาอีกครั้งเฉยเลย แถมมาในฐานะลูกค้าด้วย…ปริยากรกลับมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่วางแผ่นป้ายชื่อบริษัทกับออดภายในอาคาร ทว่าวันนี้บนโต๊ะมีกระถางแคคตัสขนาดเล็กกับตุ๊กตากระเบื้องมาตั้งประดับเพิ่มด้วย มุมปากของเธอยกเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่ดวงหน้าสวยจะหันไปมองทางบันไดเมื่อได้ยินเสียงติ๊ดเบาๆ จากการปลดล็อกดิจิตอล
“ขอโทษที่ให้รอนะน้องปีย่า” อาชวินส่งรอยยิ้มมาทักทาย
“แป๊บเดียวเองค่ะ” หญิงสาวส่งรอยยิ้มตอบกลับไป จากนั้นก็ยกถุงในมือให้อีกฝ่ายดู “วันนี้ปีย่าซื้อครัวซองต์ร้านเดิมมาฝากอีกแล้ว คราวก่อนปินบ่นบอกว่ายังกินไม่สาแก่ใจ ปีย่าเลยซื้อมาให้กินจนแคลอรีท่วมกล่องนึง ส่วนอีกกล่องให้คนในออฟฟิศพี่วินนะคะ”
“ขอบคุณครับ น้องปีย่าใจดีตลอดเลย” ชายหนุ่มรับถุงไปแล้วผายมือไปทางบันไดเป็นเชิงเชื้อเชิญ
ปริยากรเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับสถาปนิกหนุ่ม อดคิดไม่ได้ว่ามันแทบจะเป็นภาพเดียวกับเมื่อคราวก่อนที่เธอมากินเลี้ยงย้ายสำนักงาน อาชวินกับวีรากรช่างสมเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ
“ปีย่าเพิ่งรู้เรื่องที่เขาใหญ่จากคุณพ่อเมื่อวันก่อนเอง รู้ทีหลังพี่วินอีก หวังว่างานด่วนลักษณะนี้จะไม่ทำให้ทางพี่วินลำบากมากนะคะ บางทีคุณพ่อก็ใจร้อนแบบนี้”
“ถ้าพูดตามตรงก็ลำบาก แต่มันเป็นความลำบากตามปกติของบริษัทสถาปนิกน่ะแหละ” ในสุ้มเสียงของชายหนุ่มมีแววขบขันเจืออยู่ “มีงานยังไงก็ดีกว่าไม่มีงาน ที่สำคัญเป็นงานใหญ่ในลักษณะที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วย”
“บริษัทพี่วินไม่เคยทำหมู่บ้านมาก่อนเลยเหรอคะ”
“เคยทำแต่หมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ น่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่ ปกติบริษัทพี่จะได้งานพวกตึกสูงตึกพาณิชย์มากกว่า แล้วส่วนใหญ่พอมีพอร์ตงานแบบไหน งานต่อไปที่เข้ามาก็จะเป็นงานแบบเดียวกัน” เขาบอก “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงงานนี้พี่ไม่ให้เสียชื่อทั้งบริษัทตัวเองและทางฝั่งน้องปีย่าแน่”
“ปีย่าไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ” ดวงหน้าสวยส่ายไปมาทั้งรอยยิ้ม เธออาจเพิ่งรู้จักกับอีกฝ่ายไม่นาน แต่เท่าที่ฟังปภาวรินท์เล่าถึงแฟนตัวเองแล้วเธอก็ไม่ห่วงเรื่องนั้นเลย
อาชวินถามเรื่องเครื่องดื่ม พอเธอปฏิเสธเขาจึงเดินนำเข้าสู่ห้องทำงาน แต่เขาเปิดประตูห้องทิ้งเอาไว้ อึดใจถัดมาวีรากรก็เดินถือแท็บเลตเข้ามาในห้องพร้อมกับดึงประตูปิด
“วีจะเป็นเฮดของงานนี้ ก็คือจะเป็นคนที่น้องปีย่าต้องบ่นใส่และคอยสั่งให้แก้งาน”
“เอ๊ะ” ปริยากรที่กำลังยกมือไหว้วีรากรชะงักไปนิดหนึ่ง ครั้นเขาหันมามองและได้สบตากันก็รีบอธิบาย “คือปีย่าเคยได้ยินจากปินว่าปกติงานประมาณนี้จะเป็นพี่วินดูแลน่ะค่ะ”
“น้องปีย่าเข้าใจถูกแล้ว แต่อย่างที่เราคุยกันว่างานนี้มันกะทันหัน แถมอาจต้องไปอยู่เขาใหญ่เป็นพักๆ พี่มีงานที่ต้องเจอลูกค้าต้องเข้าประชุมเยอะ ถ้าวีไปจะเหมาะกว่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก วีก็ทำบริษัทนี้มาพร้อมกันกับพี่นี่แหละ ทำหมู่บ้านให้น้องปีย่าได้สบายมาก” อาชวินอธิบาย ขณะเดียวกันก็สบตากับเพื่อนรักอย่างล้อเลียน ด้วยทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่กับงานนี้ ทั้งจากเนื้องาน ความกะทันหัน รวมไปถึงการที่ต้องมานั่งเคลียร์งานอื่นจนหัวปั่นในเวลานี้
“ปีย่าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวรีบโบกไม้โบกมือ เกรงวีรากรจะเข้าใจผิด
“วินมันแค่ไม่อยากทำงานนี้เพราะกลัวว่าถ้าตีกับน้องปีย่าแล้วจะมีปัญหากับน้องปินพ่วงไปด้วยน่ะ” คนที่ปกติไม่ค่อยพูดอะไรบอกหน้าตาย อาชวินหันขวับไปทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เพื่อน แต่คนต้นเหตุก็หาได้ใส่ใจแล้วก้มลงคลี่กระดาษแผ่นใหญ่ลงบนโต๊ะทำงาน
“ปกติที่ไม่ค่อยให้วีไปยุ่งกับลูกค้าไม่ใช่เพราะพูดไม่เก่ง แต่กลัวพูดแล้วจะทำลูกค้าฉีกสัญญานี่แหละ แต่ในฐานะที่น้องปีย่าเป็นคนกันเอง พี่เลยคิดว่าไม่เป็นไร ถ้ามันกวนมากๆ พี่อนุญาตให้น้องปีย่าเอากระบอกใส่แบบฟาดวีได้เลย” อาชวินหันกลับไปหาสาวสวยพร้อมกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้อีกฝ่าย
“ถ้าน้องปีย่าไม่ชอบงานตรงไหนยังไงก็บอกมาได้เลยนะครับ เยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องเกรงใจ พี่อยู่นอกสถานที่แก้งานไม่สะดวก ยังไงพี่ก็ต้องส่งกลับมาให้วินแก้อยู่แล้ว” วีรากรศอกกลับแทบจะทันทีเช่นกัน
ความไม่ยอมกันของสองหนุ่มทำให้ปริยากรทำตาโต ก่อนจะหัวเราะกิ๊กออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พูดตามจริงบทสนทนานี้ทำให้เธอนึกถึงตัวเองยามคุยกับปภาวรินท์อยู่หน่อยๆ ด้วย
หญิงสาวพอจะทราบจากเพื่อนรักมาก่อนว่าถึงวีรากรจะดูนิ่งๆ เงียบๆ แต่ความจริงแล้วใจดีมาก เมื่อบวกกับที่ได้ฟังเขาคุยสนุกสนานกับอาชวินแบบนี้แล้วบางทีการทำงานร่วมกันก็อาจจะไม่น่ากังวลเท่าไหร่ ว่าแต่…คุยงานกับผู้ชายหล่อๆ นี่ชวนเจริญตาเจริญใจจริงๆ นะเนี่ย
ปริยากรมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ทราบข้อมูลทั้งหมดจากสองหนุ่มสถาปนิก ลำพังเรื่องที่พ่อเตรียมที่ดินให้พร้อมสำหรับการก่อสร้างไว้แล้วนั้นไม่เท่าไหร่ แต่นี่ท่านถึงขั้นเตรียมระบบสาธารณูปโภคแถมสั่งให้พวกอาชวินช่วยหาบ้านสำเร็จรูปเพื่อเอาไว้ให้เธอใช้เป็นที่พำนักตอนไปเขาใหญ่เรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก ทั้งที่เธอคิดว่าไปค้างโรงแรมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนหาบ้านไปตั้งเพื่อใช้ไม่กี่ครั้ง
นี่ยังไม่นับเรื่องที่พ่อจะสร้างบ้านให้เธอหนึ่งหลัง โดยให้เลือกที่ตั้งของบ้านได้ก่อนเลย จากนั้นจึงค่อยให้สถาปนิกวางแบบแปลนของหมู่บ้านที่เหลือ หนำซ้ำยังให้ออกแบบธีมหมู่บ้านตามสไตล์ของบ้านที่เธอเลือกด้วย
อันที่จริงก็เคยมีอยู่บ้างเหมือนกันที่บันลือคิดวางแผนอะไรแล้วลืมบอกลูกสาวอย่างเธอ แต่สำหรับครั้งนี้ก็ถือว่าเกินไปกว่าครั้งก่อนๆ มากทีเดียว ปริยากรรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเกินกว่าที่พ่อจะลืมบอก…ทว่าอย่างไรเธอก็พยายามตัดสินใจและตอบคำถามสองหนุ่มสถาปนิกให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานง่าย ถึงแม้เธอจะแทบไม่รู้อะไรเลยก็ตาม
ปริยากรเหลือบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของวีรากร เวลานี้ภายในห้องทำงานเหลือแค่เธอกับเขาสองคนเนื่องจากอาชวินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก เขามีทีท่าครุ่นคิด จนผ่านไปพักหนึ่งเธอจึงตัดสินใจออกปากถาม
“รายละเอียดครบพอให้ทำงานได้ใช่ไหมคะ”
“พอครับ น้องปีย่าบอกความชอบไว้ละเอียดพอสมควรเลย พี่แค่กำลังคิดว่าจะทำอะไรยังไงได้บ้าง ไม่ต้องห่วงนะ”
สถาปนิกหนุ่มหันมาส่งยิ้มให้ เธอจึงยิ้มตอบกลับไป…ตอนแรกเธอคุยกับอาชวินมากกว่าด้วยความที่คุ้นเคยกันดี แต่พอเหลือเธออยู่กับวีรากรตามลำพังก็ไม่มีปัญหาอะไร การได้เห็นเขาลับฝีปากกับเพื่อนสนิทนั้นช่วยทำให้เธอแน่ใจว่าถึงชายหนุ่มจะดูเงียบขรึม ทว่าก็ไม่ใช่คนที่คุยด้วยยาก ที่สำคัญเขายังทั้งใจเย็นและใจดีอีกด้วย พอแน่ใจว่าเธอแทบไม่รู้เรื่องเลย เขาก็ช่วยอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้ฟังอย่างละเอียดและเข้าใจง่าย ปริยากรเลยสบายใจในการคุยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อครู่ชายหนุ่มเอาตัวอย่างคลังรูปบ้านคันทรี่เฮ้าส์ที่เธออยากได้มาให้ดู จากนั้นเขาก็ให้เธอจิ้มเลือกแบบหรือส่วนที่ชอบจากภาพที่เห็น
“พวกพี่ทำบ้านสไตล์คันทรี่เฮ้าส์ที่น้องปีย่าชอบให้ได้แน่ๆ แต่ขอแจ้งไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ได้รายละเอียดครบทุกอย่างตามที่น้องปีย่าบอกไว้นะ เพราะคงต้องขอดูความเหมาะสมเป็นหลัก”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ปีย่าเข้าใจ ขอแค่บ้านออกมาสวยพอ” เธอพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม
“ถ้าไม่สวยให้โทษวินครับ” สถาปนิกหนุ่มบอกหน้าตาย หญิงสาวเลยหัวเราะออกมาแล้วก็อดหยอกเขาไม่ได้
“พี่วีเป็นเฮดของโครงการนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ก็เพราะเป็นเฮด พี่ถึงสามารถสั่งให้วินเป็นคนทำได้ไง”
ปริยากรหัวเราะออกมาอีกจนได้ รู้สึกประทับใจกับผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“เอาล่ะ ทางพี่ยังไม่ได้เห็นที่ดินด้วยตาของตัวเอง แต่ส่งเพื่อนที่อยู่แถวนั้นไปสำรวจดูเบื้องต้นแล้ว มีวิวแบบไหนที่น้องปีย่าชอบเป็นพิเศษไหมครับ อยากได้ใกล้ทะเลสาบหรือเปล่า”
“ทะเลสาบเหรอคะ ที่ดินตรงนั้นมีทะเลสาบด้วยเหรอ” หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีครับ แต่น่าจะต้องขุด ส่วนหนึ่งเพื่อความสวยงาม และเท่าที่เพื่อนพี่ประเมินไว้น่าจะต้องมีเพื่อช่วยรับน้ำด้วย…จุดที่น่าจะขุดทะเลสาบคือแถวนี้” วีรากรลุกขึ้นแล้วจิ้มนิ้วลงบนจุดหนึ่งของแผนที่ทางอากาศ ก่อนจะย้ายไปชี้บนรูปแปลงที่ดินเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
ตอนแรกปริยากรแค่ยืดตัวชะเง้อดู แต่สุดท้ายก็ต้องลุกยืนด้วยอีกคนเพื่อจะได้มองให้ชัดขึ้น…หญิงสาวฟังสถาปนิกหนุ่มอธิบายอย่างตั้งใจ คอยถามเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องตรงกัน
“น้องปีย่าอยากไปดูที่ด้วยตัวเองก่อนไหมครับ พอมีเวลารึเปล่า อาจจะดีกว่าเลือกจากแค่ในรูปภาพก็ได้นะ”
“พี่วีหรือพี่วินจะขึ้นไปที่เขาใหญ่ด้วยไหมคะ”
“พี่ว่าจะขึ้นไปช่วงสุดสัปดาห์นี้ครับ”
“งั้นปีย่าขอติดไปด้วยได้ไหม เพราะถึงปีย่าขึ้นไปดูคนเดียวก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีแหละ”
“ได้อยู่แล้วครับ” วีรากรพยักหน้ารับ โล่งใจที่หญิงสาวเป็นฝ่ายออกปากเอง เพราะด้วยลักษณะงานเขาไม่ควรปล่อยให้เธอไปคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปนิกหรืองานด้านความปลอดภัย แต่ถ้าให้เขาออกปากชวนก็อาจจะแปลกๆ
ปริยากรฉีกยิ้มกว้างทันที จากนั้นเธอก็พยักพเยิดไปทางแผ่นกระดาษบนโต๊ะ
“ปีย่าถ่ายรูปไว้ได้ใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
พอได้รับการรับรอง หญิงสาวก็หันไปเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อถ่ายรูปกระดาษแผ่นใหญ่บนโต๊ะ ทว่าด้วยขนาดใหญ่โตของมัน ลำพังแค่การยืดแขนขึ้นจนสุดจึงไม่เพียงพอจะเก็บภาพทั้งหมดได้ ดังนั้นเธอจึงเขย่งร่างบนรองเท้าส้นสูง แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะสูงพอหรือเปล่าปริยากรเลยต้องพยายามเขย่งให้มากที่สุด อาศัยแค่ปลายเท้าในการทรงตัว มันเป็นกิริยาที่เธอทำไปโดยอัตโนมัติ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ทว่าคราวนี้เธอดันโน้มตัวไปข้างหน้ามากเกินไปจนชนเข้ากับขอบโต๊ะ ครั้นพยายามจะกระเด้งตัวกลับเพื่อทรงตัวให้ได้ก็กลับกลายเป็นว่าท่าทางนั้นทำให้เธอเสียหลักหนักกว่าเดิม และรองเท้าส้นเข็มก็ยิ่งส่งเสริมให้สถานการณ์ดำเนินไปทางในเลวร้ายขึ้นเสียอีก
ปริยากรร้องอุทานออกมาเบาๆ แต่ขณะที่สองแขนกำลังแหวกว่ายอากาศอย่างพยายามหาจุดสมดุลเพื่อทรงตัวอีกครั้ง เธอก็ค้นพบว่ามีท่อนแขนแข็งแรงมารองแผ่นหลังพร้อมกับที่มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของเธอ ร่างโปร่งหยุดกึกในบัดดล แต่ยังไม่ทันที่สมองจะไล่ตามทันว่าเกิดอะไรขึ้น ความตกใจก็พุ่งพรวดขึ้นมาอีกเมื่อตระหนักว่าโทรศัพท์กำลังจะหลุดจากมือ เครื่องมือสื่อสารตกลงตามแรงโน้มถ่วงแทบจะเหมือนภาพสโลว์โมชั่นในสายตาผู้เป็นเจ้าของ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือหนึ่งยื่นมาคว้าโทรศัพท์เอาไว้อย่างง่ายดาย เธอกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันขวับไปหาชายหนุ่มตามสัญชาตญาณ
วีรากรยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้เจ้าของหน้านิ่ง หญิงสาวรับมาแบบงงๆ แล้วเขาก็ออกแรงดันให้เธอยืนตรงโดยใช้อีกมือช่วยประคอง
“ขาไม่ได้พลิกใช่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก ถ้าเมื่อกี้ไม่มีพี่วีอยู่ปีย่าแย่แน่”
ปริยากรยกมือไหว้ทั้งโทรศัพท์มือถือ กิริยาของเธอทำให้เขาแปลกใจ มุมปากของสถาปนิกหนุ่มยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขณะปล่อยมือจากร่างโปร่ง
“ให้พี่ช่วยถ่ายรูปให้ไหม” เขาถามแต่ก็ไม่ได้รอคำตอบ ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองผนังด้านหนึ่งที่มีไวต์บอร์ดขนาดใหญ่ติดอยู่ “หรือเอาไปติดไว้บนไวต์บอร์ดดี…เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่ลองถ่ายรูปจากบนโต๊ะก่อนแล้วกัน เผื่อใช้ได้”
“โอเคค่ะ” หญิงสาวอมยิ้มขณะกดเปิดแอพพลิเคชั่นกล้องถ่ายรูปแล้วส่งโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่าย
วีรากรรับไปแล้วยืดแขนสูงเพื่อถ่ายรูป สาวสวยไม่ได้ใส่ใจวิธีที่เขากะระยะถ่ายรูป ด้วยความสนใจถูกดึงไปยังมัดกล้ามที่โผล่พ้นแขนเสื้อเชิ้ต
มิน่าเมื่อกี้ถึงช่วยเธอได้แบบครั้งเดียวอยู่ แต่ที่น่าสนใจคือเขายังคว้าโทรศัพท์มือถือเธอต่อได้อย่างสบายๆ ด้วย…เป็นสถาปนิกที่เท่เกินไปไหมเนี่ย
บันลือกำลังนั่งดูข่าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอได้ยินเสียงทักทายสดใสของลูกสาวก็หันไปมอง ครั้นเห็นร่างโปร่งระหงอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนทะมัดทะแมงเข้าชุดกับรองเท้าผ้าใบก็เอ่ยทัก
“ว่าไง วันนี้ลูกพ่อดูพร้อมลุยมากเลยนะ”
“เผื่อไว้ค่ะ ถึงจะเคลียร์ที่ดินที่เขาใหญ่ไว้แล้วแต่มันก็ยังเป็นแค่ที่ดินนี่นา”
“ดีแล้ว” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า ขณะที่ฝ่ายลูกสาวหันไปมองแม่บ้านซึ่งกำลังจะเดินผ่านห้องอาหารไป
“แขกมาแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันไปรับเองค่ะ”
“ไปรับเองเลยเหรอ” บันลือเลิกคิ้ว ปกติแล้วที่บ้านนี้มักจะให้แม่บ้านเป็นคนไปรับแขกและพามาพบเจ้าของบ้าน เว้นแต่เป็นคนที่สนิทสนมหรือมีความสำคัญจริงๆ
“เมื่อวันก่อนพี่เขาเดินมาส่งปีย่าที่รถตั้งไกล” สาวสวยบอกก่อนจะออกจากห้องไป
ผู้เป็นพ่อมองตามไป สบายใจขึ้นบ้างที่ดูเหมือนลูกสาวจะเข้ากับวีรากรได้ดี เพราะอย่างไรหลังจากนี้ทั้งสองคงต้องใช้เวลาด้วยกันอีกพักใหญ่ทีเดียว
บันลือกดรีโมตปิดโทรทัศน์ตอนรายการข่าวตัดเข้าช่วงโฆษณา พอดีกับที่ปริยากรพาสถาปนิกหนุ่มเข้ามาในห้องอาหาร หลังจากสบตากัน สองบุรุษต่างวัยก็ทักทายกันตามที่ปริยากรแนะนำให้รู้จักประหนึ่งไม่เคยเจอกันมาก่อน
“ปีย่าเล่ารายละเอียดที่เราคุยกันให้คุณพ่อฟังแล้วค่ะ แต่ยังไงพี่วีช่วยคุยกับคุณพ่ออีกทีแล้วกัน เผื่อคุณพ่ออยากปรับเปลี่ยนอะไร”
“พ่อบอกแล้วไงว่าให้ปีย่าเป็นคนจัดการดูแลโครงการนี้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการตัดสินใจทั้งหมดด้วย”
“งั้นเอาเป็นว่าพี่วีช่วยคุยกับคุณพ่ออีกรอบ เผื่อปีย่าตกหล่นอะไรไป แล้วก็เผื่อคุณพ่อจะมีคำแนะนำด้วย ยังไงคุณพ่อก็เคยทำอสังหาฯ มาไม่น้อย” ปริยากรแก้ ก่อนที่ดวงหน้าสวยจะผินไปหาสถาปนิกหนุ่มแล้วขยิบตาให้
“เรานี่นะ” บันลือส่ายหน้าไปมาขันๆ “เอ้า เชิญๆ คุณวี กินข้าวแล้วคุยกัน แต่ยังไงก็ระวังปีย่าเอาไว้ด้วยนะ ลูกสาวผมหาทางให้ได้สิ่งที่ต้องการเสมอแหละ”
“คุณพ่อ ปีย่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย” สาวสวยแย้งเสียงใส แล้วหันกลับไปสนใจผู้มาเยือนอีกรอบ “บ้านนี้กินมื้อเช้าหนักไม่ต่างกับมื้ออื่นเท่าไหร่ พี่วีกินได้ไหมคะ หรืออยากได้ของเบาๆ บอกได้นะ”
“ปกติพี่กินมื้อเช้าเยอะอยู่แล้วครับ”
“งั้นเราก็อยู่ด้วยกันได้” เธอหัวเราะ “เชิญตามสบายเลยนะคะพี่วี เติมข้าวได้ไม่ต้องเกรงใจ”
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารช่วงแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปเขาใหญ่ในวันนี้ จากนั้นปริยากรจึงเบนหัวข้อสนทนาเข้าสู่เรื่องการวางแปลนหมู่บ้าน แล้วปล่อยให้สองบุรุษต่างวัยคุยกัน ส่วนเธอก็นั่งกินไปฟังไป นานๆ จึงค่อยส่งเสียงขึ้นมาทีหนึ่ง
วันนี้หญิงสาวจะเดินทางไปเขาใหญ่พร้อมกับวีรากรตามที่นัดกันไว้ เธออยากให้เขาได้เจอกับบันลือก่อนจึงชวนเขามากินข้าวเช้าด้วยกันเสียเลย ทีแรกเขาดูแปลกใจแต่สุดท้ายก็ตอบรับ ปริยากรเดาเอาเองว่าลึกๆ อีกฝ่ายอาจโล่งใจก็ได้ที่จะได้คุยกับคนที่พอรู้เรื่องด้านอสังหาริมทรัพย์บ้าง ซึ่งเท่าที่ฟังเธอก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ชวนสถาปนิกหนุ่มมาเจอบันลือ เพราะฟังแล้วทั้งสองพูดจาภาษาเดียวกันและได้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับงานมาก
‘แกรู้สึกว่าโดนมอง แล้วพอหันไปก็เจอสายตาพี่วีเหรอ’ ปภาวรินท์ถามอย่างแปลกใจหลังจากเธอเล่าเรื่องเมื่อวันย้ายสำนักงานให้ฟัง
‘อืม แต่คิดไปคิดมาฉันว่าอาจจะเป็นความบังเอิญมั้ง คือจากจุดที่เขายืนอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอพวกเราพอดีน่ะ เขายืนเล่นมือถือก็ก้มๆ เงยๆ อยู่แล้ว’
‘คงเป็นอย่างนั้นแหละ’ เพื่อนร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก
‘แปลก’ ปริยากรหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘ปกติแกควรจะกรี๊ดกร๊าดแล้วพยายามจับคู่ให้ฉันกับพี่วีสิ ยิ่งแกปลาบปลื้มพี่วีอยู่ด้วย’
ปภาวรินท์เหวอไปนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าดิก
‘แหม ฉันก็อยากจับคู่หรอก พี่วีดีจะตาย แต่แบบว่ามีอยู่วันนึงฉันตามพี่วินไปบ้านพี่วีมา คุณพ่อพี่วีพูดเรื่องที่พี่วีเป็นฤๅษีไม่ยอมมีแฟนไรงี้ แล้วพี่วีบอกว่าเขาแค่รอเจอแฟน ตอนนี้ยังไม่เจอเลยยังไม่มีแฟน แค่นั้นเอง…ฉันเลยคิดว่าพี่วีเป็นพวกไม่คิดจะลองคบหรือศึกษาใครดูหรอก ถ้าเจอแล้วใช่คือใช่ และก็มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่รู้ว่าใช่หรือเปล่า จับคู่ไปก็เท่านั้นจริงไหม’
เหตุผลที่เพื่อนให้มานั้นฟังเข้าใจได้ ขณะเดียวกันมันก็น่าสนใจทีเดียว ภาพลักษณ์ของวีรากรดูเข้าถึงยากกว่าอาชวิน แต่ความจริงเขาใจดีและเป็นมิตรไม่แพ้เพื่อนสนิทเลย เมื่อวันก่อนที่เธอไปบริษัทสถาปนิก Archwin ตอนกลับเขายังอุตส่าห์ตามไปส่งทั้งๆ ที่เธอจอดรถไว้ตั้งไกล
‘ก็เพราะน้องปีย่าจอดรถไว้ไกลพี่ถึงต้องเดินไปส่งไง’
ชายหนุ่มพูดไว้อย่างนั้นตอนที่เธอทักท้วง…ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ปริยากรก็ลงความเห็นว่าวีรากรเป็นผู้ชายที่เท่มาก อยากเห็นจริงๆ เลยว่า ‘แฟน’ ที่เขารออยู่จะเป็นคนยังไง
ปริยากรหยุดเช็กความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัว ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าเป้ซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน อาชวินบอกเอาไว้ว่าบ้านสำเร็จรูปที่เธอเลือกจะถูกส่งไปติดตั้งให้เรียบร้อยก่อนเธอไปถึง เขาแนะนำให้เอาของใช้ไปทิ้งไว้ที่นั่นได้เลย ซึ่งเธอก็ตัดสินใจทำตามนั้น หลังกินมื้อเช้าเสร็จเธอจึงมาเข้าห้องน้ำและหยิบข้าวของบนห้องนอน
หญิงสาวซอยเท้าลงบันไดด้วยความรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้วีรากรรอนาน อีกอย่างทั้งเขาและเธอต่างไม่เคยไปดูที่ดินที่เขาใหญ่มาก่อน รีบออกเดินทางเผื่อไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร แต่พอลงมาถึงชั้นล่างเธอก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นฉัตรชัย น้าชายของตนเองเลี้ยวจากโถงทางเดินเข้าไปสู่พื้นที่ห้องรับแขก
ยุ่งอีกแล้ว…ปริยากรกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะสืบเท้าเดินต่อแม้จะลังเลว่าควรเข้าไปทักน้าชายหรือเปล่า
“จะมาทำไมไม่บอกก่อนล่ะฉัตร ดีนะที่วันนี้ฉันไม่ได้ไปข้างนอก” เสียงของบันลือลอยออกมาจากห้องรับแขก
“ผมโทรมาถามแล้ว พอรู้ว่าวันนี้พี่อยู่บ้านถึงมา…แต่ไม่รู้ว่าพี่มีแขก”
“เพื่อนปีย่าน่ะ”
“เพื่อน…”
“เราไปคุยกันที่ห้องทำงานเถอะ” บันลือส่งเสียงขัด “คุณรอปีย่าสักแป๊บนะ ปีย่าไม่ใช่คนโอ้เอ้ เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
ท่อนหลังบันลือน่าจะพูดกับวีรากร ปริยากรฟังแล้วเสียดายหน่อยๆ รู้สึกว่าเมื่อครู่ควรจะหลบฉากแล้วรอพ่อพาน้าชายพ้นไปก่อนดีกว่า แต่จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินต่อกระทั่งเจอกับทั้งสองคนซึ่งเพิ่งเลี้ยวออกจากห้องพอดี
“อ้าว คุณน้า ไปไงมาไงคะเนี่ย” หญิงสาวยกมือไหว้อีกฝ่าย ปั้นหน้าแปลกใจได้อย่างแนบเนียน
“น้าก็ไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้วนี่ เราเป็นไงบ้างล่ะ” ฉัตรชัยกวาดตามองหลานสาว
“สบายดีอย่างที่เห็นค่ะ ความจริงเมื่อเดือนก่อนปีย่าซื้อขนมไปฝากคุณน้าด้วย แต่แม่บ้านบอกคุณน้าไม่ได้กลับบ้านเป็นอาทิตย์แล้ว”
“น้าไปเที่ยวกะทันหันน่ะ”
“เสียดายจัง ปีย่ากำลังจะออกไปข้างนอกพอดี อดอยู่คุยกับคุณน้าเลย เอาไว้เดี๋ยวว่างๆ ปีย่าแวะไปหาอีกทีนะ”
“ออกไปข้างนอก?” ฉัตรชัยทวนคำแล้วหรี่ตาลง “กับคนในห้องรับแขกน่ะเรอะ เป็นแค่เพื่อนแน่ใช่หรือเปล่า เช็กดูดีแล้วใช่ไหมว่าไม่ใช่พวกที่จะมาปอกลอกเราน่ะ”
“คุณน้าห่วงทรัพย์สินของปีย่ามากกว่าที่ปีย่าห่วงอีก” หญิงสาวหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขบขัน “เอาล่ะ ปีย่ามีธุระ ต้องไปแล้วค่ะ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”
ปริยากรยกมือไหว้ผู้เป็นน้า ก่อนที่เธอจะหันไปส่งยิ้มและเอื้อมไปบีบมือบันลือแบบรู้กัน จากนั้นเธอก็เลี้ยวเข้าสู่ห้องรับแขก วีรากรนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าท่าทางนิ่งเช่นเคย แต่เธอก็ยังอดบ่นน้าชายไม่ได้อยู่ดี เพราะเมื่อครู่อีกฝ่ายไม่ได้พยายามออมเสียงเลย เป็นไปได้มากทีเดียวที่ชายหนุ่มจะได้ยินคำพูดของฉัตรชัย
“พี่วี ขอโทษที่ให้รอนะคะ ไปกันเลยไหม”
“ครับ” สถาปนิกรูปหล่อพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนทันที
เมื่อเลี้ยวออกจากห้องรับแขก หญิงสาวก็พบว่าพ่อกับน้าชายหายไปแล้ว ซึ่งถือว่าดี เพราะเธอคาดเดาไม่ได้เลยว่าฉัตรชัยจะพูดหรือทำอะไรอีก รายนี้ยืนหนึ่งเรื่องทั้งพูดและทำสิ่งต่างๆ แบบไม่แคร์ใครอยู่แล้ว เรื่องนี้แก้ไม่หาย ฉัตรชัยไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เธอจำความได้กระทั่งตอนนี้ จนเธอเลิกคาดหวังไปแล้ว
“ปกติเวลาพี่วีขับรถทางไกลชอบแบบไหนคะ ระหว่างขับรถเงียบๆ หรือว่าให้มีคนคุยด้วยจะได้ไม่ง่วง” ปริยากรถามขณะคาดเข็มขัดนิรภัย
“ได้หมดครับ ถ้าคนที่ไปด้วยอยากคุยพี่ก็คุยได้ หรือถ้าอยากหลับพี่ก็ขับรถคนเดียวได้”
“ปีย่าถามเพราะกลัวเดี๋ยวชวนคุยแล้วพี่วีรำคาญ แต่คนขับบางคนก็ชอบให้มีเพื่อน อย่างยายปินเนี่ย ถ้าขับรถไกลๆ ชอบง่วง” เธออธิบายเสียงใส
“เขาใหญ่ไม่ไกลมาก ระยะทางแค่นี้ปกติพี่ยังไม่ทันง่วง แต่ถ้าน้องปีย่าหิวหรืออยากเข้าห้องน้ำก็บอกเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
หญิงสาวหันไปส่งยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย อันที่จริงวันนี้เธอจะขับรถไปเองก็ได้ แต่ที่ตัดสินใจขอติดรถเขาไปเพราะอยากลองใช้เวลากับวีรากรดูสักหน่อย อย่างไรหลังจากนี้คงต้องทำงานร่วมกันอีกนาน แถมอาจจะต้องไปค้างที่เขาใหญ่ด้วย ถ้าสนิทกับเขาสักหน่อยแล้วเข้ากันได้น่าจะดีกว่า
“เมื่อกี้พี่วีน่าจะได้เจอคุณน้าของปีย่าแล้วใช่ไหมคะ ผู้ชายที่ไว้ผมยาวประบ่าน่ะ”
“ครับ แต่ไม่ได้คุยกัน”
“คุณน้าชื่อฉัตรชัยค่ะ เป็นน้าชายของปีย่า ต่อไปพี่วีอาจจะได้เจอเขาอีก ถ้าเขามาพูดอะไรเกี่ยวกับงานที่เราทำด้วยกันพี่วีไม่ต้องสนใจนะคะ คนที่มีอำนาจตัดสินใจคือคุณพ่อกับปีย่าแค่สองคน แล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาปีย่าได้เลย” ปริยากรพูดเสียงเรียบเรื่อย เธอตัดสินใจว่าควรจะต้องบอกข้อมูลกับเพื่อนร่วมงานไว้ให้ชัดๆ เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง เพราะรู้จักนิสัยของญาติตัวเองดี
“โอเคครับ ขอบคุณมาก น้องปีย่าเป็นลูกค้าแบบที่ช่วยให้ทำงานง่ายมาก” มุมปากของชายหนุ่มยกเป็นรอยยิ้ม เขากำลังคิดเรื่องฉัตรชัยอยู่เหมือนกัน ทว่าเป็นในแง่ที่ว่าอีกฝ่ายเป็น ‘คนใกล้ตัว’ ซึ่งเข้าข่ายบุคคลต้องสงสัยของบันลือ ส่วนในแง่ของงานสถาปนิกก็ถือว่าดีทีเดียวที่ปริยากรให้ความชัดเจนแบบนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีบ่อยๆ ที่งานยุ่งยากเพราะคนรอบตัวลูกค้า
ปริยากรสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ อันที่จริงเธอไม่อยากพูดถึงน้าชายในลักษณะนี้ แต่มันจำเป็น…ตั้งแต่จำความได้แม่ของเธอมักเป็นห่วงและเดือดร้อนใจเพราะน้องชายอยู่เนืองๆ บันลือไม่อยากยุ่งกับฉัตรชัย ทว่าเห็นแก่ภรรยาเลยพยายามช่วยเหลือ กระทั่งแม่ของเธอจากไปแล้วพ่อก็ยังติดอยู่ในบ่วงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
ฉัตรชัยเป็นคนจับจด ด้วยความที่ครอบครัวพอมีฐานะเลยไม่เดือดร้อนอะไรนัก พอโตขึ้นมาเขาก็ผลาญเงินไปกับการลงทุนทำธุรกิจต่างๆ ซึ่งล้วนล้มเหลว เพราะส่วนใหญ่เป็นการทำตามกระแส หรือไม่ก็ลงทุนตามที่เพื่อนพ้องชักจูง จากนั้นก็โดนโกงบ้าง เจ๊งไปเองเนื่องจากไม่ได้ใส่ใจดูแลบ้าง…จนบันลือเริ่มเข้าสู่เวทีการเมืองก็ยังดึงฉัตรชัยไปช่วย หวังให้อีกฝ่ายมีความรับผิดชอบขึ้นสักหน่อย แต่สุดท้ายก็เหลวจนพ่อของเธอตัดสินใจปล่อยฉัตรชัยกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม
ปัจจุบันทรัพย์สินของน้าชายเธอเริ่มร่อยหรอ แม่ของปริยากรอ่านเกมขาดจึงแบ่งทรัพย์สินส่วนตัวของตนเองเก็บสำรองไว้ให้น้องชายส่วนหนึ่ง บันลือไม่ได้ว่าอะไรเนื่องจากเห็นว่าลำพังทรัพย์สินของเขาก็เพียงพอสำหรับลูกสาวอยู่แล้ว ปัจจุบันพ่อของเธอเป็นคนดูแลมรดกที่ภรรยาทิ้งไว้ พอฉัตรชัยต้องการความช่วยเหลืออะไรก็จะต้องมาหาบันลือ
ครั้งนี้ก็คงเรื่องเดิม…หญิงสาวเดาอย่างอ่อนใจ ขณะเดียวกันก็นึกเป็นห่วงพ่อไปด้วย เพราะฉัตรชัยมาหาทีไรท่านต้องเหนื่อยใจทุกที เธอหวังว่าคราวนี้จะไม่แย่นักแล้วกัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.