X
    Categories: First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอ บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 1 ตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่ว

ไม่ง่ายเลยกว่าเวินอี่ฝานจะได้หยุดพักผ่อนสักที คืนนี้เธอเลยเลือกดูหนังสยองขวัญเสียจนดึกดื่น

ดนตรีประกอบและเสียงกรีดร้องในหนังทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ทุกฉากดูจืดชืดราวกับน้ำเปล่า ไม่มีฉากใดที่ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด ที่เธอฝืนดูจนจบได้ เพราะรู้สึกไม่อยากให้มันค้างคา

พอคำว่าจบบริบูรณ์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เวินอี่ฝานถึงกับรู้สึกเหมือนหลุดพ้น ความง่วงงุนเข้าครอบงำ ขณะที่เธอดำดิ่งเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกตบอย่างแรงทีหนึ่ง

เสียงดังปัง!…

เวินอี่ฝานสะดุ้งลืมตาตื่นในทันที แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาจากรอยแยกของผ้าม่านตรงหน้าต่าง

เธอมองไปยังประตู ได้ยินเสียงพึมพำของชายหนุ่มที่กำลังเมามาย รวมถึงเสียงฝีเท้าที่เดินโซซัดโซเซไปอีกทาง

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดประตูซึ่งกลบเสียงการเคลื่อนไหวอื่นแทบจะทั้งหมด

เธอจ้องอยู่ที่ประตูอีกหลายวินาทีจนกระทั่งเสียงเงียบสนิท ถึงได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง

เวินอี่ฝานเม้มปาก แล้วอารมณ์เดือดพล่านก็ตามมา

อาทิตย์นี้มันครั้งที่เท่าไหร่กันแล้ว!

พอความง่วงงุนถูกขัดจังหวะ เวินอี่ฝานก็ไม่สามารถนอนหลับต่อได้อีก เธอพลิกตัวไปมา ลองหลับตาอีกครั้ง เบนความสนใจไปนึกถึงหนังที่ดูเมื่อครู่อย่างเซ็งๆ

เอ๊ะ

เหมือนจะเป็นหนังผีไม่ใช่เหรอ

หรือว่าจะเป็นหนังผีที่ลงทุนน้อย คงนึกว่าจะทำให้คนขนหัวลุกได้สินะ

ขณะสะลึมสะลือก็มีภาพใบหน้าผีในหนังผุดขึ้นมาในความคิดของเวินอี่ฝานอย่างประหลาด

หลังจากผ่านไปสามวินาทีเธอก็ลุกขึ้นในทันใดแล้วเปิดโคมไฟตรงหัวเตียง

เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยงคืน เวินอี่ฝานหลับไม่ค่อยสนิทนัก ในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นเธอมักจะรู้สึกว่าใบหน้าผีอาบเลือดกำลังจ้องเธออยู่จากด้านข้าง จนกระทั่งฟ้าสางเธอจึงฝืนหลับลงไปได้

 

เวินอี่ฝานสะดุ้งตื่นด้วยเสียงเรียกเข้าจากมือถือ

เพราะนอนดึกและนอนหลับไม่เต็มอิ่มจึงรู้สึกเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงศีรษะจนเจ็บจี๊ด เธอรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาอย่างเชื่องช้าแล้วกดรับสาย

เสียงเนิบทุ้มของจงซือเฉียวเพื่อนรักสมัยเรียนดังมาจากปลายสาย

“เดี๋ยวฉันค่อยโทรกลับไปหาเธอนะ”

“…”

เวินอี่ฝานหนังตากระตุก สมองหยุดทำงานไปสองวินาที

อยู่ดีๆ ก็โทรมาปลุกนี่ก็ถือว่าแย่อยู่แล้วนะ ไม่คิดเลยว่าจะมาแค่ตัวอย่างหนัง ไม่ได้มาทั้งเรื่อง

ความง่วงเหงาหาวนอนระเบิดโพลงออกมาเป็นคำพูดในชั่วพริบตา “เธอตั้งใจจะ…” ทว่ายังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็วางสายไปเสียแล้ว

เวินอี่ฝานคล้ายชกลงบนฝ้ายเธอลืมตาขึ้นโดยพลันแล้วถอนใจอย่างหงุดหงิด นอนอยู่บนเตียงอีกสักพักก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาแวบหนึ่ง

เกือบบ่ายสองโมงแล้ว

เธอจึงไม่นอนขี้เกียจอีกต่อไป คว้าเสื้อคลุมมาแล้วลุกขึ้นจากเตียง

หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องน้ำ ขณะแปรงฟันมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอยื่นมือไปสไลด์หน้าจอแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟนทันที

จงซือเฉียวเอ่ยปากก่อน “อี่ฝาน! ฉันเพิ่งเจอเพื่อนสมัย ม.ปลาย หัวฉันมันแผล็บเลย แถมยังไม่ได้แต่งหน้าด้วย ฉันอายจะตายอยู่แล้ว!”

“อย่างเธอจะตายง่ายๆ ได้ยังไง” ฟองเต็มปากเวินอี่ฝาน ทำให้เธอพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “นี่เธอไม่ได้ชนกระเบื้องเองเหรอ”

“…” จงซือเฉียวเงียบไปสามวินาที ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำด้วย “คืนนี้ออกมาเที่ยวกันมั้ยคุณนักข่าวเวิน คุณทำโอทีติดต่อกันมาอาทิตย์นึงแล้วนะ ถ้ายังไม่หาความสุขใส่ตัวเองบ้าง ฉันกลัวว่าเธอจะตายโดยไม่รู้ตัว”

“อืม จะไปเที่ยวไหนล่ะ”

“ไปเที่ยวทางฝั่งสถานีเธอเป็นไง ไม่รู้ว่าเธอเคยไปมั้ย เพื่อนที่ทำงานฉันบอกว่าทางโน้นมีผับอยู่ร้านนึง เจ้าของหล่อชะมัดยาด…” จงซือเฉียวชะงักไป “เอ๊ะ ทำไมทางฝั่งเธอถึงมีเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ อยู่ตลอดล่ะ เธอกำลังล้างจาน?”

“ฉันกำลังล้างหน้าแปรงฟันอยู่”

จงซือเฉียวตกตะลึง “เธอเพิ่งตื่นเหรอ!”

เวินอี่ฝานตอบอืมอย่างขอไปที

“นี่มันบ่ายสองแล้วนะ ถ้าเป็นวันทำงานก็หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว” จงซือเฉียวรู้สึกแปลกใจ “เมื่อคืนเธอไปทำอะไรมาฮะ”

“ดูหนังผี”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องตื่นจากฝันมาเจอผี”

เห็นได้ชัดว่าจงซือเฉียวเคยดูหนังเรื่องนี้ เธอพลันสำลัก “หนังแบบนั้นยังเรียกว่าหนังผี?”

“พอดูจบฉันก็นอนเลย” เวินอี่ฝานทำเหมือนไม่ได้ยินที่เพื่อนพูด ดึงผ้าขนหนูจากด้านข้างมาเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า “สุดท้ายจู่ๆ ฉันก็ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเจอผีเข้าล่ะ เหมือนกับในหนังเป๊ะ”

“…”

“ฉันเลยต้องฟัดกับผีทั้งคืน”

จงซือเฉียวพูดไม่ออกอยู่บ้าง “อยู่ดีๆ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นหนังเรตสิบแปดบวกแล้วล่ะ”

เวินอี่ฝานเลิกคิ้ว “แล้วทำไมต้องเป็นหนังเรตสิบแปดบวกด้วยล่ะ”

“เรื่องบ้าอะไรถึงต้องมาฟัดกันทั้งคืน”

“…”

“พอได้แล้ว อย่าไปยุ่งเรื่องผีเลย พี่ว่าพี่พาน้องไปเที่ยวผู้ชายดีกว่า” จงซือเฉียวยิ้มตาหยี “หนุ่มหล่อสดๆ ซิงๆ เร่าร้อนไปถึงทรวง”

“งั้นฉันขอไปยุ่งกับผีต่อดีกว่า” เวินอี่ฝานหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องน้ำ “อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียตังค์ฟรี”

“ใครใช้ให้เสียตังค์ล่ะจ๊ะ พวกเราไปเที่ยวผู้ชายแบบฟรีๆ ก็ได้”

“หา?”

“พวกเราแค่ใช้สายตาเหล่ผู้ชายก็พอ”

“…”

พอวางสายเวินอี่ฝานก็แจ้งเจ้าของบ้านไปทางวีแชตถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็เสริมไปอีกประโยคด้วยความลังเลว่าหลังจากหมดสัญญาแล้วเธออาจจะไม่เช่าต่อ

เมื่อสองเดือนก่อนเธอย้ายจากเมืองอี๋เหอมายังเมืองหนานอู๋ จงซือเฉียวเป็นคนช่วยหาห้องพักนี้ให้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือนี่คือห้องชุดที่เธอเช่าร่วมกับคนอื่น ห้องชุดขนาดแปดสิบตารางเมตร เจ้าของตกแต่งโดยแบ่งห้องพักออกเป็นสามห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำอยู่ในตัว ดังนั้นจึงไม่มีส่วนของห้องครัวและระเบียง

แต่ที่มันดีก็ตรงค่าเช่าถูกนี่แหละ

เวินอี่ฝานไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมายเกี่ยวกับที่พักอาศัย อีกอย่างเธอพักอยู่ที่นี่ก็เดินทางสะดวกสบาย สภาพแวดล้อมโดยรอบก็คึกคัก เธอเคยคิดที่จะเช่าระยะยาว จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เธอออกจากห้องพักแล้วพบกับชายหนุ่มที่พักอยู่ห้องตรงข้าม…

สถานการณ์ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจนมีสภาพอย่างเช่นในตอนนี้

ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดวงตะวันก็ลาลับภูเขาไปแล้ว ภายในห้องพักที่เล็กและแคบถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม บ้านเรือนมากมายทยอยกันเปิดไฟจนสว่าง ทั่วทั้งเมืองสว่างไสวขึ้น ตลาดโต้รุ่งก็ค่อยๆ คึกคัก

เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว เวินอี่ฝานก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแต่งหน้าบางๆ จงซือเฉียวกระหน่ำส่งข้อความมาหาเธอทางวีแชตไม่หยุด

เวินอี่ฝานคว้ากระเป๋าใบเล็กมาจากเสาที่แขวนเสื้อผ้าและหมวก แล้วตอบไปด้วยข้อความเสียง

“กำลังจะออกจากบ้านแล้วจ้า”

เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องพักก็เหลือบมองไปทางฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งแล้วรีบซอยเท้าให้เร็วขึ้นเล็กน้อย ตรงดิ่งไปทางบันไดเพื่อลงไปยังด้านล่าง

 

พวกเธอนัดพบกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน

สถานที่ที่ทั้งสองกำลังจะมุ่งหน้าไปคือผับที่จงซือเฉียวพูดถึงในวันนี้ ผับแห่งนั้นอยู่ตรงข้ามกับจัตุรัสซั่งอัน พอเดินผ่านอุโมงค์ไปก็จะเห็นไฟนีออนซึ่งตกแต่งอยู่บนป้ายของแต่ละร้านเรียงรายเป็นแถบ

ย่านนี้จะคึกคักเพียงในยามค่ำคืนเท่านั้น เป็นถนนแห่งผับบาร์อันเลื่องชื่อของเมืองหนานอู๋ ถูกขนานนามว่าถนนตั้วลั่ว

เพราะยังไม่เคยมาย่านนี้พวกเธอจึงมองหาอยู่นาน จนในที่สุดก็เห็นผับแห่งนั้นอยู่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง

ชื่อผับแห่งนั้นก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ‘จยาปัน’

ป้ายร้านสีดำสนิทดูเรียบง่ายเป็นพิเศษ ตัวอักษรเรียงกันเป็นระเบียบได้สัดส่วนขับแสงสีขาวนวล ให้ความรู้สึกเหมือนอ่อนน้อมถ่อมตน ดูคล้ายเป็นร้านทำผมเล็กๆ ท่ามกลางไฟนีออนหลากสีที่กำลังยิงฟันกางเล็บ ใส่กัน

“ไอเดียเจ๋งดีนะ” เวินอี่ฝานจ้องมองสักพักพลางวิจารณ์ “มาเปิดร้านทำผมในย่านผับบาร์ ถ้าอยากมาล่าสาวๆ ที่นี่ก็จะต้องมาเสริมหล่อที่ร้านนี้ซะก่อน”

จงซือเฉียวกระตุกมุมปาก ดึงเพื่อนเข้าไปด้านใน “อย่าพูดมั่วซั่วน่า”

เหนือความคาดหมาย ด้านในไม่ได้เงียบเหงาเหมือนที่เวินอี่ฝานคาดคิดเอาไว้

ถือว่าพวกเธอมาเร็ว ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ผู้คนแน่นขนัด ทว่าที่นั่งภายในร้านก็ถูกครอบครองอย่างกระจัดกระจายไปกว่าครึ่งแล้ว

หญิงสาวบนเวทีก็กำลังนั่งกอดกีตาร์ ร้องเพลงไปพลางหลุบตาลง บรรยากาศดูผ่อนคลาย บาร์เทนเดอร์ย้อมผมสีทองที่เคาน์เตอร์บาร์ด้านหน้าคล้ายกำลังเล่นมายากลอยู่ เขาโยนขวดผสมเหล้าด้วยท่วงท่าที่ดูสบายและช่ำชอง

พอเวินอี่ฝานหาที่นั่งได้แล้วก็สั่งเหล้าราคาถูกที่สุด

จงซือเฉียวมองไปโดยรอบ รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “เจ้าของร้านไม่อยู่เหรอ ฉันยังไม่เห็นหนุ่มหล่อสักคน”

เวินอี่ฝานเท้าคาง เอ่ยไปเรื่อยเปื่อย “อาจจะเป็นหนุ่มบาร์เทนเดอร์คนนั้นก็ได้นะ”

“เหลวไหล!” จงซือเฉียวรับไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด “เพื่อนที่ทำงานฉันที่มาถนนตั้วลั่วบ่อยๆ บอกว่าเจ้าของผับนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่วเลยล่ะ”

“ไม่แน่ว่าอาจจะอุปโลกน์ขึ้นมาเอง”

“…”

เวินอี่ฝานสังเกตเห็นจงซือเฉียวแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยนั่งยืดตัวตรงเล็กน้อย พูดเน้นเสียงว่า “ก็ไม่แน่นะ”

จงซือเฉียวร้องฮึในทันใด

ทั้งสองคนหาเรื่องมาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จงซือเฉียวก็พูดถึงเรื่องเมื่อตอนบ่าย “จริงสิ วันนี้ฉันดันเจอกับรองหัวหน้าตอน ม.สี่ เขาก็เรียนที่มหา’ลัยหนานอู๋เหมือนกัน เหมือนว่าจะอยู่หอเดียวกับซังเหยียนด้วย แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนนะ”

เวินอี่ฝานตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้

“จะว่าไปเธอยังจำ…” จงซือเฉียวพูดพลางเหลือบไปมอง จู่ๆ สายตาเธอก็หยุดอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ “เอ๊ะ เธอมองไปทางทิศสิบนาฬิกานั่นสิ ‘ตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่ว’ มาแล้วใช่มั้ย”

ในขณะเดียวกันนั้นเองเวินอี่ฝานก็ได้ยินคนเรียก “พี่เหยียน”

เธอมองตามไป

ไม่รู้ว่ามีหนุ่มคนหนึ่งไปยืนข้างบาร์เทนเดอร์ผมทองตั้งแต่เมื่อไหร่

แสงภายในผับมืดสลัว ชายหนุ่มคนนั้นยืนหลังพิงเคาน์เตอร์บาร์ เอียงคอเล็กน้อยคล้ายกำลังคุยกับบาร์เทนเดอร์อยู่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำสนิท ตอนนี้ถึงเขาจะค้อมตัวลงเล็กน้อยก็ยังสูงกว่าบาร์เทนเดอร์ด้วยซ้ำ

นัยน์ตาดำขลับ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนไม่ค่อยแคร์สังคมเท่าไหร่

โคมไฟหลากสีหมุนวนไปมาเหนือศีรษะเขา พาดลำแสงลงบนใบหน้าเขาเป็นครั้งคราว

เวินอี่ฝานจำอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา

“มายก็อด!” จงซือเฉียวคงจะเห็นเหมือนกับเธอ จึงพูดเสียงสูงปรี๊ดด้วยความตื่นตระหนกตกใจ “เพื่อนจ๋า! ตัวท็อปก็คือซังเหยียนนี่เอง!”

“…”

“ทำไมพอฉันพูดถึงเขาก็ได้เจอตัวเป็นๆ เลยล่ะ…เธอยังจำเขาได้มั้ย ก่อนที่เธอจะย้ายโรงเรียนเขายังเคยตามจีบเธอ…”

พอได้ยินประโยคนี้ ขนตาของเวินอี่ฝานก็สั่นไหวเล็กน้อย

เวินอี่ฝานรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้าง ช่วงเวลานั้นมีบริกรเดินผ่านมาพอดี ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากขัดจังหวะเพื่อนก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังขึ้นในทันใด เมื่อเงยหน้ามองจึงได้เห็นว่าบริกรคนนั้นคล้ายจะโดนชนเข้า ถาดในมือก็เอียงเล็กน้อย แก้วเหล้าที่อยู่บนนั้นก็เอียงตามไปด้วย

…ซึ่งเอียงมาทางเธอ

เหล้าผสมกับน้ำแข็งหกรดมาบนไหล่ด้านซ้ายของเวินอี่ฝานแล้วไหลลงไปตามทาง วันนี้เธอสวมเสื้อกันหนาวตัวหลวมมา ตอนนี้เสื้อของเธอเปียกไปกว่าครึ่งแล้ว ความหนาวเหน็บแทรกซึมเข้ามาจนหนังศีรษะด้านชา

เวินอี่ฝานสูดลมหายใจเข้าแล้วยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ

เสียงภายในร้านดังอึกทึก เหตุการณ์นี้ก็ไม่ถือว่าเล็ก

บริกรคนนั้นหน้าซีดเผือดคล้ายตื่นตระหนกตกใจ กล่าวขอโทษไม่ขาดปาก

จงซือเฉียวยืนขึ้น ช่วยเวินอี่ฝานปัดน้ำแข็งบนเสื้อผ้า เอ่ยพลางขมวดคิ้ว “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร” เวินอี่ฝานเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธอะไรนัก พลันมองไปทางบริกรคนนั้น “ไม่ต้องขอโทษแล้วจ้ะ ทีหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน” จากนั้นเธอก็พูดกับจงซือเฉียว “ฉันจะไปจัดการในห้องน้ำแป๊บนึง”

พูดจบเธอก็ช้อนตาขึ้นเล็กน้อยจึงพลันประสานเข้ากับสายตาของใครบางคนโดยไม่คาดฝัน ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำ เย็นชา และคลุมเครือ

หญิงสาวชะงักค้างไปสองวินาที

เวินอี่ฝานถอนสายตากลับทันทีแล้วเดินไปทางห้องน้ำหญิง

พอเจอห้องน้ำว่างเธอก็เข้าไปถอดเสื้อกันหนาวออก ด้านในเหลือเพียงเสื้อยืดแนบเนื้อ

โชคดีที่มีเสื้อกันหนาวกันเอาไว้ เสื้อยืดด้านในจึงไม่เปียกมากนัก

เวินอี่ฝานหยิบเสื้อกันหนาวไปที่อ่างล้างมือ เธอดึงกระดาษชำระมาชุบน้ำเล็กน้อย พยายามเช็ดคราบเหล้าบนตัวออกไปจนสะอาด

หลังจากจัดการเสื้อผ้าเสร็จเสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว เธอก็เดินออกจากห้องน้ำไป

หางตาพลันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงทางเดิน เวินอี่ฝานมองไปโดยไม่รู้ตัวก่อนจะชะงักฝีเท้าทันที

ชายหนุ่มคนนั้นยืนพิงผนังอยู่ ปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งไว้ ก้มหน้าลงอย่างเกียจคร้าน หน้าตาดูเอ้อระเหยและไร้อารมณ์ ส่วนที่ดูแตกต่างจากเมื่อครู่คือเขาถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกแล้วถือเอาไว้อย่างสบายๆ

บนร่างเขาเหลือเพียงเสื้อยืดสีดำตัวเดียว

นับจากที่พบกันครั้งสุดท้าย เวลาก็ล่วงเลยมาหกปีแล้ว

เวินอี่ฝานไม่แน่ใจว่าเขาจะยังจำเธอได้ไหม เธอไม่รู้ว่าควรทักทายเขาหรือเปล่า ความคิดในหัวตีกันไปมาไม่กี่วินาที ในที่สุดเธอก็หลุบตาลง กัดฟันเดินออกไป แสร้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ไปเลยแล้วกัน

ผับแห่งนี้ตกแต่งด้วยโทนสีเข้มแบบเรียบง่าย ลวดลายบนแผ่นกระเบื้องหินอ่อนซึ่งแผ่กระจายออกไปอย่างไม่มีแบบแผนสะท้อนกับแสงไฟ เธออยู่ตรงนี้ยังได้ยินเสียงเพลงอันแผ่วเบาจากนักร้องสาวที่แฝงไปด้วยความอาลัยรัก ซาบซึ้งจับใจ

เธอเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเรื่อยๆ ขณะกำลังจะเดินผ่านเขาไป ทันใดนั้น…

“เฮ้” เขาก็โพล่งออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไร ฟังดูเหนื่อยหน่ายด้วยซ้ำ

เวินอี่ฝานชะงักฝีเท้า กำลังจะหันไปมองอีกฝ่าย

ทว่าขณะที่ยังไม่ทันได้ป้องกันตัว จู่ๆ ชายหนุ่มก็โยนเสื้อแจ็กเก็ตในมือใส่หน้าเธอ บดบังการมองเห็นของเธอไปกว่าครึ่ง เวินอี่ฝานตะลึงไปโดยพลันแล้วยกมือไปดึงมันลงมาทันที เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

ซังเหยียนยังคงหลุบตา ไม่เงยหน้าขึ้นมา เขาดับบุหรี่ลงบนถังขยะด้านข้าง

ทั้งสองคนยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

คล้ายว่าเวลาจะผ่านไปนาน ทว่าในความเป็นจริงกลับเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ซังเหยียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตาเธอด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความห่างเหิน

“คุยกันหน่อยสิครับ” เขาเอ่ยขึ้น

บทที่ 2 ผับปกติ

ไม่ได้พบหน้ากันเสียหลายปี ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกันจวบจนวันนี้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลยสักครั้ง มันรางเลือนเสียจนเวินอี่ฝานแทบจะลืมไปแล้วว่ายังมีคนผู้นี้อยู่

ทว่าเธอก็ยังคงจำได้

ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน บรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่

เธอไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้ามาช่วยเหลือถามไถ่ในตอนที่เห็นเธอมีสภาพเช่นนี้

ความคิดแวบแรกของเวินอี่ฝานก็คือเขาอาจจะจำคนผิด ทว่าก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาคืออาจจะเป็นไปได้ว่าหลายปีมานี้ซังเหยียนค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นคนใจกว้าง ไม่ใส่ใจกับเรื่องราวในอดีตพวกนั้นแล้ว ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความบาดหมางครั้งเก่าก่อน เป็นเพียงแค่การสนทนาเมื่อได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง

เวินอี่ฝานเลิกล้มความคิดเหล่านั้นแล้วยื่นเสื้อแจ็กเก็ตคืนเขา แววตาแฝงไปด้วยคำถามและความสงสัย

ซังเหยียนไม่ได้รับเสื้อแจ็กเก็ตคืนมา เขามองผ่านมือเธอไป จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ผมคือเจ้าของผับแห่งนี้ครับ”

มือของเวินอี่ฝานชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ปฏิกิริยาของเธอออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง

วินาทีนั้นเธอยังไม่ค่อยเข้าใจ

ความหมายคือเขากำลังแนะนำตัวเอง? หรือจะโอ้อวดว่าตอนนี้เขามีหน้าที่การงานดีแค่ไหน ยังหนุ่มยังแน่นก็เป็นเฟยหวงทะยานฟ้า* แล้ว เป็นถึงเจ้าของผับ

ในสถานการณ์เช่นนี้เธอยังเบี่ยงเบนความสนใจ ใจลอยไปนึกถึงคำพูดของจงซือเฉียว

‘เจ้าของผับนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่วเลยล่ะ’

เวินอี่ฝานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองใบหน้าชายหนุ่มเสียหลายที

ผมเขาดกดำ ดวงตาเป็นประกายดำขลับ คิ้วคมเข้มได้สัดส่วน ภายใต้แสงไฟสลัวแบบนี้ยิ่งทำให้เขาดูเย็นชา

ความใจร้อนดื้อรั้นในอดีตจางลงไปบ้างแล้ว หน้าตาอ่อนเยาว์แปรเปลี่ยนเป็นมีอำนาจเฉียบขาด ร่างผอมสูงดูแข็งแรงบึกบึน เสื้อสีดำก็ไม่อาจบดบังความหยิ่งยโส ไม่แคร์ใคร เอาแต่ใจ และยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางลงได้

หากจะบอกว่าเขาเป็นตัวท็อป…ก็ดูสมคำเล่าลือจริงๆ

ซังเหยียนโพล่งออกมาอีกช้าๆ เพื่อดึงสติของเธอกลับมา

“ผมแซ่ซังครับ”

“…”

เขาบอกว่าเขาแซ่ซัง? ดังนั้นก็หมายความว่าเขาจำฉันไม่ได้ เขากำลังแนะนำตัวเองอยู่สินะ

พอเวินอี่ฝานเข้าใจถึงสถานการณ์จึงเอ่ยอย่างสงบ “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับ เพราะความผิดพลาดของพวกเรารบกวนและสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับคุณ” ซังเหยียนกล่าว “หากคุณต้องการอะไร บอกผมได้เลยนะครับ อีกอย่างทางร้านเราจะไม่คิดค่าเครื่องดื่มทั้งหมดของคุณในคืนนี้ หวังว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ดีๆ ของคุณนะครับ”

ชายหนุ่มกล่าวคำว่า ‘คุณ’ ในทุกประโยค ทว่าเวินอี่ฝานกลับไม่รู้สึกว่าเขากำลังให้เกียรติเธอเลยสักนิด

น้ำเสียงของเขายังคงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา พูดจาก็คล้ายพูดอย่างขอไปที ฟังดูเกียจคร้าน เย็นยะเยือก และน่าตีนัก

เวินอี่ฝานส่ายหน้า เอ่ยอย่างสุภาพ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่เป็นไร”

พอได้ยินที่เธอพูด คิ้วของซังเหยียนก็คลายลงคล้ายจะถอนใจโล่งอก เขาคงคิดว่าเธอเจรจาง่าย น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง เอ่ยพลางพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็ถอนสายตากลับก่อนจะก้าวเท้าจากไป

เสื้อแจ็กเก็ตของเขายังอยู่ในมือเวินอี่ฝาน เธอจึงเรียกเขาทันที “ซัง…”

ซังเหยียนหันหน้ามาโดยพลัน

ขณะสบตากับเขา จู่ๆ เธอก็นึกได้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นแค่คนแปลกหน้า คำว่า ‘เหยียน’ จึงติดอยู่ที่ลำคอ

พอสมองเบลอเวินอี่ฝานก็ไม่รู้ว่าควรเรียกเขาว่าอะไรดี

บรรยากาศเงียบงันจนน่าอึดอัด ในขณะที่เธอร้อนใจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ความว่างเปล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยคำพูดที่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ขณะใจลอยเมื่อครู่ สองคำผุดขึ้นมาในความคิด เธอจ้องหน้าเขา เอ่ยต่ออย่างเชื่องช้าไปหนึ่งจังหวะ

“…ตัวท็อป”

“…”

ดวงตาทั้งสองคู่สอดประสานกัน

โลกได้เงียบงันลงอีกครั้ง

ท่ามกลางฉากที่เกือบจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง เวินอี่ฝานคล้ายกับเห็นหว่างคิ้วของเขาขยับเล็กน้อยจนเกือบจะไม่สังเกตเห็น

“…”

หืม? เมื่อครู่ฉันพูดอะไรออกไปนะ

ซังตัวท็อป

ซัง ตัว ท็อป

อ๋อ ซัง

อ๊ากๆๆๆๆๆๆๆ!

ซังตัวท็อปๆๆๆ!!!

“…”

เวินอี่ฝานหยุดหายใจไปทันที เธอเกือบรักษาสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ไม่กล้ามองหน้าของซังเหยียนอีกเลย ได้แต่เม้มปากแล้วยื่นเสื้อแจ็กเก็ตคืนเขาอีกครั้ง

“เสื้อของคุณค่ะ”

วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือทำเหมือนกับที่เธอเคยทำมาในอดีต ซึ่งก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

เธอคิดจะปล่อยเพลงประกอบฉากผ่านไป แต่ซังเหยียนไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอ

เขาหันหน้ามา พูดซ้ำอย่างช้าๆ “ซัง…ตัว…ท็อป?”

เวินอี่ฝานแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “อะไรนะคะ”

บรรยากาศเงียบงันไปชั่วครู่

ซังเหยียนจ้องมาที่เธอ เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไม่นานก็ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงส่งเสียง “หืม” โดยลากเสียงให้ยาวและสูงขึ้น ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางราวกับ ‘เป็นอย่างนี้นี่เอง’

“ขอโทษครับ ที่นี่เป็นผับปกตินะครับ”

“…”

ความหมายจากคำพูดของเขาก็คือ ‘ผมรู้ดีว่าผมหล่อมาก แต่ผมไม่เคยคิดที่จะให้บริการเป็นโฮสต์ ขอให้คุณระวังคำพูดด้วยครับ’

เวินอี่ฝานอยากจะอธิบายบ้าง แต่เธอก็ไม่รู้จะชี้แจงอย่างไรเหมือนกัน

เธอแอบถอนใจ ขี้เกียจจะไปต่อปากต่อคำกับเขา อย่างไรเสียวันหน้าก็คงจะไม่ได้พบกันอีก เธอจึงตัดสินใจทุบหม้อตีไหให้รู้แล้วรู้รอดไป เอ่ยคล้อยตามเขาอย่างนึกเสียดาย

“งั้นเหรอคะ น่าเสียดายจัง”

“…”

ซังเหยียนหน้าเจื่อนไปทันที

ทว่าก็ดูเหมือนเธอจะคิดไปเอง

เวินอี่ฝานกะพริบตาทีหนึ่ง พอเห็นสีหน้าเขายังคงไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ ราบเรียบเหมือนกับบ่อน้ำโบราณ เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ยิ้มตอบอย่างมีมารยาทก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“นี่เสื้อของคุณค่ะ”

แต่ซังเหยียนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับคืนไป

สิบกว่าวินาทีต่อมาเวินอี่ฝานสังเกตเห็นว่าเขาจ้องที่มุมปากของเธออย่างแปลกใจ สายตาเขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่

สายตาเขาหยุดนิ่งอยู่อย่างนี้…

“การได้สวมเสื้อของผม” ซังเหยียนชะงักเล็กน้อย จู่ๆ ก็เผยยิ้มบางๆ “ก็น่าดีใจออกไม่ใช่เหรอครับ”

“…” เวินอี่ฝานอึ้งไป

“ถึงผมจะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าตัวผมเองจะดังยิ่งกว่าผับซะอีก?” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ในคำพูดแสดงถึงความเข้าใจอยู่หลายส่วน ราวกับกำลังหาทางลงให้เธอ “คุณเอากลับไปเป็นของที่ระลึกแล้วกันนะครับ”

“…”

 

“เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ เหรอเธอ” จงซือเฉียวถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง พลันระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากออกมา “โคตรเจ๋ง ทำไมเขาไม่พูดตรงๆ เลยว่าให้เธอเอากลับไปแขวนที่ข้างฝา”

เวินอี่ฝานเอ่ยช้าๆ “เขาก็หมายความประมาณนั้นแหละ”

จงซือเฉียวกลั้นหัวเราะ ปลอบใจเพื่อนสองสามประโยคพอเป็นพิธี

“อย่าไปใส่ใจเลย เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยไป ซังเหยียนก็รู้แล้วนี่ว่าเธอมาที่นี่เพื่อมองเขาน่ะ”

“เธอลืมเป้าหมายที่เราสองคนมาที่นี่ไปแล้วเหรอ”

“หืม?”

“พวกเราไม่ใช่มาเพื่อ ‘เหล่’ หรอกเหรอ” เวินอี่ฝานเอ่ย “คำว่า ‘มอง’ จะเหมาะกับคนอย่างเขาได้ยังไงล่ะ”

“…”

จงซือเฉียวเริ่มหัวเราะฮ่าๆ อีกครั้ง

เวินอี่ฝานก็หัวเราะตามไปด้วย “พอได้แล้ว เธอควบคุมตัวเองหน่อยสิ รอให้เขาไปก่อนแล้วค่อยมาขำก๊าก เขายังนั่งอยู่ตรงนั้นนะ”

ในเวลานี้มีลูกค้านั่งบนเก้าอี้สูงด้านหน้าเคาน์เตอร์บาร์จนเต็มแล้ว ซังเหยียนนั่งอยู่ริมสุด เขากระดกแก้วใสๆ ดื่มไปอึกหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน หน้าตาดูสงบผ่อนคลาย คล้ายคุณชายใหญ่จากตระกูลเศรษฐีผู้รักอิสระ

พอจงซือเฉียวเห็นสภาพการณ์แบบนี้ก็เก็บอาการได้ในที่สุด

บังเอิญบริกรที่ทำเหล้าหกใส่เวินอี่ฝานเดินมาถึงพอดี

บริกรคนนี้เป็นผู้ชาย ดูเหมือนอายุยังน้อย ใบหน้ามีเบบี้แฟต เขาถือถาดไว้ในมือ เสิร์ฟเหล้าด้วยท่วงท่าระมัดระวัง จากนั้นก็คืนเงินที่เวินอี่ฝานจ่ายไปเมื่อครู่นี้แนบรวมมากับใบเสร็จ

“นี่คือเหล้าของคุณครับ”

เวินอี่ฝานมองไปที่เงิน “นี่คือ…”

บริกรชายจึงรีบอธิบายโดยไม่รอให้เธอถามจบ สีหน้าเขาดูกลัดกลุ้มเล็กน้อย

“ต้องขออภัยด้วยครับ เมื่อครู่นี้เป็นความผิดของผมเอง เจ้าของร้านสั่งมาว่าโต๊ะนี้ไม่เก็บเงินครับ”

เวินอี่ฝานจึงเพิ่งนึกถึงคำพูดของซังเหยียน ทันใดนั้นเธอก็ปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก เอาเงินกลับไปเถอะจ้ะ”

บริกรชายส่ายหน้า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ถ้าคุณยังต้องการอะไรอีก เรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”

ท่าทางของเขาดูเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เวินอี่ฝานหยิบเสื้อแจ็กเก็ตที่วางอยู่ด้านข้าง

“เมื่อกี้ตอนที่ฉันไปเข้าห้องน้ำ เก็บเสื้อแจ็กเก็ตตัวนี้ได้ตรงทางเดิน อาจจะเป็นของลูกค้าคนไหนที่ไม่ระวังทำหล่นไว้น่ะจ้ะ”

บริกรชายรีบรับมา “โอเค ขอบคุณครับ”

พอเขาเดินจากไป จงซือเฉียวก็ขยิบตามาทางเธอ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เวินอี่ฝานจึงอธิบายสั้นๆ

จงซือเฉียวทำตาโต “เขาพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอยังต้องจ่ายไปอีกล่ะ”

“คนเปิดร้าน ทำธุรกิจ มันไม่ง่ายนะ” เวินอี่ฝานจิบเหล้าอึกหนึ่ง “ไม่ต้องไปเอาเงินหลายร้อยหยวนคืนด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก”

“ทำไมเธอยังเป็นห่วงลูกเศรษฐีอยู่ล่ะ ห่วงว่าเขาจะลำบากที่มาเปิดร้านของตัวเอง เรื่องที่คุณชายคนนี้รวยก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวันนะ” จงซือเฉียวเอ่ยถาม “แต่ว่าเขาจำเธอไม่ได้จริงๆ เหรอ”

เวินอี่ฝานคาดเดาอย่างมีเหตุมีผล “น่าจะจำไม่ได้มั้ง”

“จำไม่ได้?” จงซือเฉียวรู้สึกว่าช่างไร้สาระสิ้นดีจึงโพล่งออกมา “นี่เธอไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองหน้าตาเป็นยังไง แล้วยังมีคำว่า ‘ฝาน’* อยู่ในชื่อ เธอคิดจริงๆ เหรอว่าตัวเองหน้าตาธรรมดาอะ”

“…” เวินอี่ฝานเกือบจะสำลัก เธอพูดไม่ออก กลับรู้สึกนึกขำ “ฟังจากน้ำเสียงเธอ ฉันยังนึกว่าเธอด่าฉันอยู่นะ”

แต่จะโทษจงซือเฉียวที่รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลยไม่ได้ เพราะเวินอี่ฝานสวยสะดุดตามาก ซึ่งไม่เข้ากันกับนิสัยเรียบร้อยของเธอเลยสักนิด หน้าตาเธอสวยพราวเสน่ห์ สวยถึงขั้นแฝงความยั่วยวนเอาไว้ ดวงตาที่คล้ายจิ้งจอกคู่นั้นเหมือนจะกระชากวิญญาณคนออกมาได้ หางตาตวัดขึ้นเล็กน้อย ทุกท่วงท่าล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดใจ

เธอนั่งอยู่ในผับที่มืดสลัวอย่างนี้ก็เหมือนกับเปล่งแสงออร่าออกมา

จงซือเฉียวรู้สึกมาตลอดว่าเวินอี่ฝานสามารถโด่งดังรวยล้นฟ้าได้ด้วยหน้าตาแบบนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าท้ายที่สุดเธอกลับมาทำอาชีพนักข่าวที่แสนลำบากลำบน

“แล้วตอนนี้หน้าตาเธอก็ไม่ได้ต่างไปจากตอน ม.ปลาย เลย ก็แค่ผมสั้นกว่าตอนนั้น…” จงซือเฉียวเหลือบมองการเคลื่อนไหวของทางฝั่งนั้น แล้วก็เปลี่ยนคำพูดในทันที “ก็ได้ อาจจะเป็นไปได้”

“…”

“รูปร่างหน้าตาอย่างเขา หลายปีมานี้คงมีสาวๆ เข้ามาป้วนเปี้ยนไม่น้อย ไม่แน่อาจจะมีหลายคนที่รูปร่างหน้าตาประมาณเดียวกับเธอ”

พอเวินอี่ฝานได้ฟังก็เท้าคางพลางมองไปทางซังเหยียน

คราวนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้าไปทักทายเขาจากด้านข้าง

หญิงสาวคนนั้นดูท่าจะไม่กลัวหนาวเอาซะเลย เธอสวมกระโปรงสั้นรัดรูป เผยให้เห็นขาที่เรียวยาวขาวเนียน เธอยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ เอียงคอไปชนแก้วกับเขา ยิ้มโปรยเสน่ห์อย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนโค้งเว้าของรูปร่างก็ถูกแต่งแต้มด้วยท่วงท่าที่เย้ายวนอย่างเห็นได้ชัด

ซังเหยียนช้อนตาขึ้นมองหญิงสาวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

ด้วยบรรยากาศแบบนี้ทำให้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกของการจีบเข้าไปหลายส่วน

หัวข้อสนทนานี้ช่างสั้นเหลือเกิน เดี๋ยวเดียวจงซือเฉียวก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น

เสียงของจงซือเฉียวดึงความสนใจของเวินอี่ฝานกลับมา เธอเบนสายตากลับโดยพลัน แล้วสนทนากับเพื่อนต่อ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่

เมื่อนักร้องสาวร้องเพลงสุดท้ายจบ เวินอี่ฝานก็สังเกตว่าได้เวลาแล้วจึงถามขึ้น

“เกือบสี่ทุ่มแล้วนะ พวกเรากลับกันเถอะ”

จงซือเฉียว “โอเคจ้า”

ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกผับ

จงซือเฉียวจับแขนของเวินอี่ฝานไว้ ตามองมือถือพลางพูด “เซี่ยงหล่างเพิ่งบอกฉันว่าเขาจะกลับจีนเดือนหน้า ครั้งหน้าพวกเราออกมาเที่ยวกับเขาแล้วกันนะ ไปผับที่เต้นดิสโก้ได้ดีกว่า ที่นี่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่”

เวินอี่ฝานรับคำทันที “ดีๆ”

ก่อนจะออกจากร้านเธอยังมองไปทางเคาน์เตอร์บาร์แวบหนึ่ง

ซังเหยียนยังนั่งอยู่ที่เดิม หญิงสาวที่อยู่ข้างเขาเหมือนว่าจะเปลี่ยนคนแล้ว หน้าตาเขายังคงไร้อารมณ์ เหมือนกับว่าเขาไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น

การได้พบกับเธอโดยบังเอิญก็เหมือนกับที่เขาแสดงออกมา เป็นแค่การพบกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนก็เท่านั้น

เวินอี่ฝานพลันใจลอย

เธอนึกย้อนไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบเขา ก่อนที่พวกเธอจะตัดขาดการติดต่อจากกัน

ในค่ำคืนหนึ่งที่แสนเงียบเหงาไร้ซึ่งดวงจันทร์ เมฆหมอกปกคลุมเมืองเล็กๆ ฝนตกพรำๆ ไม่ขาดสาย ภายในซอยแคบๆ ที่มีไฟส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียว แมลงเม่าบินชนกันไปมาอย่างอาจหาญ

ปลายผมของหนุ่มน้อยเปียกปอน หยดน้ำเกาะอยู่ที่ขนตา ผิวขาวเกลี้ยงเกลา แสงเจิดจ้าในดวงตากลับถูกทำให้ดับมอดลง

ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับภาพลวงตา

เธอลืมไปแล้วว่าตอนนั้นตัวเธอเองรู้สึกอย่างไร

เธอจำได้เพียงว่า…

ซังเหยียนเรียกเธอด้วยเสียงแหบแห้ง ‘เวินอี่ฝาน’ จากนั้นก็หลุบตาลงพลางหัวเราะเยาะตัวเอง ‘ฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นปะ’

แล้วเธอก็จำได้ว่าในเวลานั้นเขาสูญเสียความหยิ่งทะนง มองตนเองราวกับเป็นสิ่งสกปรกโสโครกที่ใครๆ ก็อยากจะหลีกหนีไปให้ไกล

‘วางใจเถอะ’ เขายิ้ม ‘ฉันจะไม่มากวนเธออีก’

 

ตั้งแต่ที่ทำเหล้าหกรดลูกค้า อวี๋จัวก็ไม่สบายใจมาตลอด จะทำอะไรก็ระแวงไปหมด กลัวว่าจะทำผิดพลาดอีก ซึ่งจะเป็นการยั่วโทสะของเจ้าของร้านที่เพิ่งดับมอดลงไปให้ปะทุขึ้นมาอีกได้

หลังจากรอให้ลูกค้าโต๊ะนั้นจากไป เขาก็เดินเข้าไปเก็บโต๊ะ

ในระหว่างที่อวี๋จัวเก็บแก้วเหล้า พอเขาหยิบแผ่นไม้ที่หนีบใบเสร็จขึ้นมาก็พบว่าข้างใต้นั้นทับแบงก์สีแดงไม่กี่ใบอยู่

เขาชะงักไปทันที ทั้งยังสังเกตเห็นสร้อยข้อมือตกอยู่ใต้เก้าอี้ด้วย

อวี๋จัวเก็บมันขึ้นมาแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยสีหน้าหนักใจ เขาดันถาดเข้าไปด้านใน เอ่ยกับบาร์เทนเดอร์ผมทองว่า “พี่เสี่ยวเหอ ลูกค้าโต๊ะ K11 ทำตกไว้ครับ”

เหอหมิงป๋อรับไปแล้วเงยหน้าเอ่ยว่า “จริงสิ เสื้อตัวนั้นที่นายเพิ่งหยิบมา พี่ดูแล้วทำไมมันเหมือนกับของพี่เหยียนเลยล่ะ”

“หา?! ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกค้าบอกว่าเก็บได้ตรงทางเดินแถวห้องน้ำครับ” เมื่ออวี๋จัวนึกถึงเรื่องเงินก็เกาหัวแกรกๆ “พี่ พี่เหยียนเพิ่งสั่งว่าไม่ให้เก็บเงินโต๊ะนี้ แต่ว่าเงินที่เอาไปคืนลูกค้าโต๊ะ K11 ลูกค้ากลับไม่ได้เอาไป ผมควรจะบอกพี่เหยียนมั้ยครับ”

เหอหมิงป๋อเหลือบมองอีกฝ่าย “ก็ไปยอมรับผิดซะ”

“…” อวี๋จัวพลันสับสน รู้สึกว่าตัวเองจะต้องอธิบายอะไรสักหน่อย “พี่ ไม่ใช่ว่าผมจะมุบมิบเงินนะ ลูกค้าโต๊ะ K11 ไม่เอาไปเอง ผมอุตส่าห์บอกเธอตั้งหลายรอบแล้ว”

เหอหมิงป๋อหยิบถุงพลาสติกใสมาใส่สร้อยข้อมือพลางเอ่ยยิ้มๆ “พี่เหยียนไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นนะ”

“…” ก็จริง

แม้ว่าอวี๋จัวจะคิดแบบนี้เช่นกัน แต่ขณะกำลังขึ้นไปหาซังเหยียนก็ยังอดลังเลไม่ได้

ซังเหยียนนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ทั้งคืน ไม่รู้ว่าขึ้นไปชั้นสองตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้อีกฝ่ายนั่งอยู่ด้านในสุดของโซฟายาว หน้าตายังคงเฉยเมย

ไม่รู้ว่าซังเหยียนได้ยินคำสารภาพของเขาหรือเปล่า

ซังเหยียนไม่พูดไม่จาอะไร หมุนแก้วใสในมือเล่นไปตามใจ

บรรยากาศคล้ายจะกดดัน

อวี๋จัวยังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อไปเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ “นี่อาจจะไม่ใช่เงินค่าเหล้า เมื่อกี้ผมได้ยินลูกค้าสองคนนี้พูดว่า…” พอพูดมาถึงจุดนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้ฟังดูแปลกชอบกล จึงพึมพำขึ้นมาว่า “แต่บริเวณโดยรอบเสียงดังมาก ผมได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ผมจึงไม่ค่อยแน่ใจ…เธอพูด…พูดว่า…”

พออวี๋จัวสบตาเข้ากับดวงตาเย็นชาของซังเหยียน เขาก็ดูจะฉลาดขึ้นมา พูดจาราบรื่นขึ้นมาทันใด “ผมได้ยินเพื่อนของลูกค้าท่านนี้ถามเธอว่าที่มาผับนี้ก็เพื่อที่จะมามองพี่เหยียนไม่ใช่เหรอ เธอตอบว่าไม่ใช่”

ซังเหยียนกลอกตาเล็กน้อย

“จากนั้นเธอก็พูดว่ามาเพื่อเหล่…”

ซังเหยียนอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก “…”

อวี๋จัวยังคงเล่าต่อ “เพราะฉะนั้นนี่ก็อาจจะเป็นเงินที่พวกเธอจ่ายเพื่อมาเหล่พี่…”

“…”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: