บทที่ 3
“โม่เอ๋อร์เด็กโง่ ตอบแทนบุญคุณใช่ว่าคืนสิ่งของก็จบที่ไหนเล่า หากเรานำเสื้อคลุมไปคืน ก็เพียงแค่คืนสิ่งของที่ยืมมาตั้งแต่แรกเท่านั้น บุญคุณในนั้นกลับไม่ได้คืนให้แม้สักครึ่ง”
เห็นเครื่องหน้าอันประณีตของสาวน้อยยับย่นเหมือนรอยบนซาลาเปาไส้เนื้อ ปากที่เชิดขึ้นก็ยื่นออกจนสามารถนำไปแขวนเนื้อหมูได้สามชั่ง ผู้เป็นพี่สาวจึงรีบปลอบ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว โม่เอ๋อร์ไม่โง่เลย ที่โง่นั้นคือพี่สาวต่างหาก ที่นึกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยและลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ทั้งยังคิดจะปิดบังเจ้า ความจริงแล้วเจ้าเห็นอย่างถ่องแท้ถี่ถ้วน เห็นว่าเขาหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่นี้ออกมาจากกระเป๋าบนหลังม้าใหญ่ตัวนั้น พันโอบรอบพวกเราไว้”
“เจ้าก็เห็นว่าที่นั่นพอตกกลางคืนแล้วหนาวเย็นเพียงใด ลมก็คลุ้มคลั่งรุนแรง เขาสละเครื่องป้องกันความหนาวเพียงอย่างเดียวที่มีให้กับพวกเรา แต่ตัวเองกลับสวมใส่แค่เสื้อบางๆ และทั้งที่งานยุ่งออกขนาดนั้น ยังไม่ลืมที่จะฝากฝังข้ากับเจ้าให้คนอื่นดูแล…” หยุดไปครู่หนึ่ง “เพราะฉะนั้นเจ้าว่าควรทำดีต่อเขาหรือไม่”
“อืม…ที่โม่เอ๋อร์อยากถามก็คืออย่างไรถึงเรียกว่าดี อย่างไรถึงเรียกว่าตอบแทนบุญคุณใช่หรือไม่” นางขบริมฝีปากคิด หยุดไปเป็นนานค่อยกล่าวขึ้น “อ้อ…ก็คือเวลามีของดี ให้เก็บบางส่วนไว้ให้เขา อะไรที่เขาชอบ ก็หามาให้เขาถึงตรงหน้า”
เขาบอกว่า…
‘พรุ่งนี้ข้าไม่มาแล้ว’
นั่นแสดงว่าพรุ่งนี้เขาคงจะออกจากเมืองหลวงไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
นางรู้ว่าเขาจะไปพรุ่งนี้เช้า เพราะว่าวันนี้เขายังต้องไปสอนการต่อสู้ที่ลานเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุดของตรอกซงเซียง
เมื่อเขามาสอนการต่อสู้ในตรอกซงเซียง หากเป็นช่วงเวลาหลังเที่ยง จะเริ่มสอนในยามเว่ย และเลิกชั้นเรียนที่ปลายยามเซิน นับเป็นเวลาสองชั่วยามเต็มๆ
วันในฤดูหนาวท้องฟ้าจะมืดเร็ว เพิ่งถึงช่วงยามเซิน ท้องฟ้าและเมฆในที่ไกลออกไปก็เริ่มย้อมเป็นสีส้มแสด ในสีแสดมีสีแดง ในสีแดงแซมสีม่วง ในสีม่วงยังแทรกด้วยหยาดน้ำหมึกสีดำ มีฝูงนกบินผ่านฟากฟ้า ราวกับกำลังหาทางกลับรัง บินตามกระแสลม กลางคลื่นท้องฟ้าไร้ขอบเขต
เมื่อการสอนการต่อสู้จบลง เมิ่งอวิ๋นเจิงจะคุยกับเด็กไม่กี่คนที่มาขอให้สอนเป็นการส่วนตัว หลังจากให้คำชี้แนะทีละคนแล้ว พอเขากำลังจะหมุนตัวเตรียมจากไป ก็มองเห็นแม่นางที่ขายโจ๊กผู้นั้นยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของตรอก
ผ้าโพกศีรษะสีเขียวที่นางสวมเวลาต้มโจ๊กถูกปลดลงแล้ว เส้นผมอ่อนนุ่มยามต้องแสงท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำกลายเป็นสีแดง ขับให้ผิวขาวของใบหน้าอ่อนลงราวกับน้ำนม คิ้วของหญิงสาวสองเส้นโค้งโอนอ่อนดั่งวาดเขียนขุนเขาไกล ยามก้มหน้าพริ้มตา ให้ความรู้สึกที่ยากจะเอ่ยคำบางประการ
ยามนี้มือขวานางถือตะกร้าไม้ไผ่หนึ่งใบ มือซ้ายกำลังจูงน้องสาวตัวน้อย เมื่อเห็นเขามองไป ดวงตาของนางก็สั่นสะท้านราวกับกวางน้อยที่ตื่นตกใจ ก่อนจะกลับสู่ท่าทีอันอ่อนโยนตามเดิม ทั้งยังคลี่ยิ้มให้เขาอย่างงดงาม
เขาเข้าใจในทันใด ว่าแม่นางตั้งใจมารอคอยที่ตรงนั้น และผู้ที่นางรอคอยก็คือเขา
ไม่ทราบว่าในทรวงอกเต้นเร่าอย่างบ้าคลั่งเพราะอะไร เขาหักห้ามความรู้สึกที่อยากจะใช้มือทุบอกเอาไว้ ลอบผ่อนลมหายใจ และมองดูนางที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“ท่านเมิ่ง” นางพยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งที่เห็นแล้วว่านางมีรูปร่างแบบบาง แต่พอตอนนี้ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากัน เขายิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวช่างตัวเล็ก ศีรษะสูงสุดเพียงอกของเขา…อืม หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเขารูปร่างสูงใหญ่กำยำ แข็งแรงล่ำสัน ฝ่ามือใหญ่ราวใบพัด พอมาเทียบกันจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเตี้ยเล็กเกินไป
นางตัวเล็ก น้องสาวนางก็ยิ่งตัวเล็ก ต่างเป็น ‘สิ่งเล็กๆ’ ที่เห็นแล้วทำให้อยากปกป้อง
ทุกครั้งที่ไปกินโจ๊กที่เรือนหมู่ คนที่การได้ยินเป็นเลิศอย่างเขาแม้จะรออยู่ในครัวเล็กๆ ก็ยังได้ยินเสียงจากห้องนอนที่อยู่ติดกันได้อย่างชัดเจน เวลาที่นางง่วนอยู่กับงานในครัว น้องสาวนางมักจะหลับสนิทอยู่บนเตียงยาว แต่จะมีสองสามครั้งที่เด็กสาวตื่นขึ้นมา และดูเหมือนจะอายคนแปลกหน้าจนไม่กล้าออกมา จึงเฝ้าอยู่ที่ข้างประตู บนแผ่นประตูที่ทั้งบางทั้งเก่าคร่ำมีตาแมวที่ขนาดเล็กยิ่งกว่าเหรียญทองแดง สาวน้อยจะพิงอยู่ตรงนั้นและมองลอดผ่านตาแมวเข้ามาในครัว
เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เคยสบสายตากับดรุณีน้อยมาก่อน นึกไม่ถึงว่ามาวันนี้เด็กสาวจะเอ่ยประโยคนั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย
เขามาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มาทุกวันเพื่อ…ขอกิน
พอนึกถึงว่าตอนนั้นช่างน่ากระอักกระอ่วน ทั้งยังทำให้แม่นางที่เป็นคนทำโจ๊กต้องออกมาแก้ต่างให้
และเพราะเขาดูเป็นคนเคร่งขรึมเย็นชามาแต่กำเนิด ผู้อื่นไม่กล้าไถ่ถามมากความ เรื่องในตอนนั้นจึงยังไม่ทันคลี่คลาย ประจวบกับทางหน่วยประตูหกบานส่งผู้ช่วยมาจับกุมอันธพาลทั้งสามของสกุลจ้าวไป ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนไว้พอดี
ตอนนี้พอเห็นหญิงสาวพยักหน้าทักทาย เขาก็พยักหน้าตอบ เอ่ยอย่างสุภาพ…
“อันธพาลที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงไว้สามคนเมื่อเช้า ข้าให้หน่วยประตูหกบานคุมตัวไปขังแล้ว จ้าวชิ่งไหลเองก็มีคดีติดตัวไม่น้อย ทางหน่วยประตูหกบานอยากจับเขามานานเพียงแต่ยังไม่มีโอกาส ครั้งนี้ดูจากการที่ลูกน้องสามคนของเขาออกมาข่มเหงรังแกผู้คนพอดี สามารถซัดทอดถึงเขาได้ไม่ยาก แม่นางเจียงกับน้องสาวสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารังควานถึงที่”
อันที่จริงเขาควรจะถามอย่างใคร่ครวญ ว่านางถูกชาวบ้านในตรอกซงเซียงติฉินนินทาหรือไม่
บุรุษอย่างเขาไปปรากฏตัวที่เรือนหมู่เพื่อรอกินโจ๊กของนางอยู่ทุกวัน เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไปย่อมทำลายชื่อเสียงของหญิงสาว ผู้อื่นไม่กล้ามาถามกับเขา แล้วนางเล่า จะต้องรับมือจนเหนื่อยล้าหรือไม่
แต่ท่าทีที่สงบนิ่งของนางนั้นคือความเอียงอาย ทว่าก็ไม่ได้คิดจะหลบหน้า ราวกับอยากปล่อยให้เรื่องวุ่นวายเมื่อเช้านั้นผ่านพ้นไป ดูนางไม่ได้ใส่ใจนัก หากเขาถามขึ้นมาอีกจะยิ่งทำให้นางวางตัวไม่ถูก
คำถามมาถึงปลายลิ้นคาอยู่ในริมฝีปากนุ่มที่เผยอออก เขาหลุบตามองดรุณีน้อยที่ชื่อว่า ‘โม่เอ๋อร์’ อีกฝ่ายพอสบตากับเขาก็หลบเร้นในทันที โหนกแก้มโป่งพองอย่างเห็นให้ชัด ดึงให้สองแก้มทั้งกลมทั้งตึงราวกับเป็นกระต่ายที่ตะกลามกินหัวไช้เท้าแล้วลืมกลืน จนเขาอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้
เจียงหุยเสวี่ยรู้ดีว่าเรื่องที่มือปราบเทวดาปราบปรามคนชั่ว และออกหน้าให้พวกนางสองพี่น้องที่แผงร้านขายโจ๊ก เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป กิจการขายโจ๊กร้านเล็กๆ ของนางย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้อง
เพียงแต่คำพูดคนแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
นางมารออยู่ที่นี่ในเวลานี้ ในลานเล็กของตรอกซงเซียงที่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่มีใครไม่แอบกระซิบกระซาบ…นางขบริมฝีปาก ในใจลอบรู้สึกยินดี
แต่ว่าเอาเถิด ผู้อื่นจะพูดอย่างไรก็พูด หากคิดจะหลบหน้าเขาตอนนี้ ก็คงสายไปเสียแล้ว
จึงเดินออกไปตามที่ตั้งใจไว้ เป็นตัวของตัวเองก็พอ
“ขอบคุณท่านเมิ่งที่ดูแล” นางกล่าวเสียงเบา
เมิ่งอวิ๋นเจิงรับคำคราหนึ่ง หยุดไปชั่วครู่แล้วถามขึ้น “ไฉนแม่นางโม่เอ๋อร์จึงไม่มีความสุข”
พลันได้ยินผู้อื่นถามถึง โม่เอ๋อร์น้อยก็ตัวแข็งค้าง หลบไปอยู่ข้างหลังพี่สาวครึ่งตัว ก้มหน้าไม่พูดจา
เจียงหุยเสวี่ยดึงมือเล็ก แล้วก็ลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กสาว เรียกอย่างให้กำลังใจ “โม่เอ๋อร์…”
ดรุณีน้อยยังคงนิ่งเงียบ แต่เท้าข้างหนึ่งเริ่มเขี่ยไปมาบนพื้นดิน
“อ้อ ที่แท้โม่เอ๋อร์ก็ลืมคำพูดพี่สาวไวขนาดนี้เชียว” นางรำพึงอย่างเศร้าสร้อย
“ไม่ใช่!” เด็กสาวรับไม่ได้ที่ถูกเข้าใจผิด จึงเงยหน้าขึ้นปฏิเสธ “ไม่ได้ลืมเสียหน่อย!”
“ที่แท้ก็ไม่ได้ลืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจียงหุยเสวี่ยยังคงยิ้มให้กำลังใจ “ในเมื่อไม่ได้ลืม ไหนบอกพี่มาว่าต้องทำอย่างไร”
เดิมเมิ่งอวิ๋นเจิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เข้าใจว่าโม่เอ๋อร์ขี้อาย กลัวเกรงเขาที่ทำหน้าตาเคร่งขรึม และมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำมากจึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ชั่วอึดใจต่อมา เด็กสาวก็แย่งตะกร้าไม้ไผ่ที่พี่สาวถืออยู่ในมือแล้วเดินออกมา ส่งยื่นให้เขาโดยตรง
“ให้เจ้า!”
สายตาของสาวน้อยยังคงลดต่ำไม่ยอมมองดูเขา แต่เสียงที่อู้อี้กระแทกเข้าโสตประสาท
“ให้เจ้า!”
เมิ่งอวิ๋นเจิงมองไปยังเจียงหุยเสวี่ยทันที เห็นหญิงสาวยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ขวยเขินเอียงอาย พอเขารู้ตัวอีกที ก็ยื่นมือไปรับตะกร้าไม้ไผ่ที่โม่เอ๋อร์ส่งมาให้แล้ว
ตะกร้าไม้ไผ่เมื่อถืออยู่ในมือของแม่นางทั้งสองดูค่อนข้างใหญ่ แต่พอมาอยู่ในมือของเขากลับดูเหมือนหดลงเพราะโดนน้ำ
กลิ่นหอมของอาหารโชยมาแตะจมูก ก่อนหน้านี้ยามเข้าใกล้พวกนางสองพี่น้องก็ได้กลิ่น มาตอนนี้ถือตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในมือ กลิ่นหอมก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
เขาเปิดผ้าขาวที่คลุมไว้ด้านบนออกโดยไม่รู้ตัว ก้นตะกร้ายังรองผ้าผืนหนาไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้านในอัดแน่นไปด้วยขนมทรงสี่เหลี่ยมที่เรียงขนัด ขนมสีน้ำตาลแซมสีแดง เป็นสีของน้ำตาลทรายกับสีแดงของพุทราแดง ผสมกับสีจากการเคี่ยวน้ำผึ้งข้นๆ ด้วยไฟ กลิ่นของวัตถุดิบพวยพุ่งออกมาทั้งหมด กลิ่นหวาน กลิ่นหอม กลิ่นเข้มข้นของน้ำผึ้ง ชั้นแรกตามด้วยอีกชั้นหนึ่ง
เขาพยายามควบคุมสีหน้าของตนเอง เพียงรู้สึกรุ่มร้อนในอก ลำคอหดเกร็ง น้ำลายเอ่อขึ้นมาจากโคนลิ้น ทำให้เขาไม่อาจไม่กลืนลงไปจนลูกกระเดือกพลอยขยับขึ้นลงตาม
ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อม
นางบอกว่าของหวานชนิดนี้ก็เหมือนกับโจ๊กขาวห้าสหาย ต่างก็เป็นของกินที่คนทางชายแดนตะวันตกกินกันบ่อยๆ และเพราะนางทำมาเยอะมาก ดังนั้นจึงอยากแบ่งให้เขาชิม
รสชาติที่ให้สัมผัสนุ่มละมุนและหวานแต่ไม่เลี่ยนเช่นนั้นเป็นรสชาติที่เขาชอบ ชอบมาก ว่าตามจริงก็คือเขาชอบมันมากเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ตัวเขาที่ฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ต้องอดทนต่อความยากลำบาก จึงรู้จักยับยั้งชั่งใจจนเป็นนิสัย เขาสามารถกินขนมจานเล็กๆ ที่นางให้เป็นบางครั้งจนเกลี้ยง แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอกินเองหรือขอกินเพิ่มมาก่อน มาเวลานี้ขนมทั้งตะกร้ามาอยู่ในมือเขาโดยไร้ซึ่งคำอธิบาย แล้วเขาจะทำอย่างไรดี
หญิงสาวตรงหน้าเขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เมื่อบ่ายเหลือเวลาว่าง เลยทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมออกมาเข่งหนึ่ง ขนมยังคงอุ่นอยู่ ท่านเมิ่งจะกินแบบเพิ่งอบร้อนไปบางส่วนก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ออกจากเมืองหลวงไปทำงานจะพกติดตัวไปก็ได้ สามารถถนอมรสชาติได้นานถึงหกเจ็ดวันไม่มีปัญหา เวลาที่ท่านอยู่บนหลังม้าแล้วรู้สึกหิวหรือว่าอยากกิน ก็หยิบมากินแก้หิวแก้อยากได้ทุกเมื่อ” นางลูบศีรษะของน้องสาวพลางเอ่ยขึ้น…
“ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเป็นของโปรดของโม่เอ๋อร์ โม่เอ๋อร์บอกว่าขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเข่งหนึ่ง นางเก็บเองไว้ครึ่งหนึ่ง แบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่ง เรื่องเมื่อเช้านี้ ต้องขอบคุณที่ท่านเมิ่งให้ความคุ้มครอง และก็ต้องขอโทษท่านด้วย”
คิ้วหนาของเมิ่งอวิ๋นเจิงเลิกขึ้นสูง
ขอบคุณเรื่องเมื่อเช้า? ย่อมต้องขอบคุณเรื่องที่เขาลงมือสั่งสอนนักเลงสามคนที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงเอาไว้
ส่วนเรื่องที่ขอโทษ…คือเรื่องที่ดรุณีน้อยพูดจาไม่ยั้งคิด เปิดเผยเรื่องที่เขามารอกินโจ๊กทุกวัน แล้วยังกล่าวหาว่าเขามาขอกิน มากินโดยไม่จ่ายเงินต่อหน้าคนจำนวนมาก
ดังนั้นนางจึงรู้สึกผิด เข้าครัวทำขนมด้วยตนเอง แล้วให้น้องสาวนำมาส่งให้เขากับมือ? แต่ความจริงแล้วคนที่ควรรู้สึกผิดคือเขาต่างหาก เป็นเขาเองที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ก่อให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นเมื่อเช้า
ขอเพียงเป็นผู้มีสายตาอย่างไรก็ต้องดูออก ว่าภายใต้การบงการกึ่ง ‘กระตุ้น’ ของพี่สาว สาวน้อยส่งมอบตะกร้าขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมนี้ด้วยความหวงแหนอย่างมาก ครั้งนี้เมิ่งอวิ๋นเจิงจึงทำเป็นมองไม่เห็น ตอบกลับผู้อื่น “ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ไม่มีอะไรต้องขอโทษ แต่ต้องขอบคุณแม่นางโม่เอ๋อร์ที่ยินยอมเสียสละของโปรด”
ดรุณีน้อยความจริงเป็น ‘สิ่งเล็กๆ’ ศีรษะสูงเท่าเอวของเขา พอได้ยินเขาพูดคำว่า ‘เสียสละ’ ราวกับว่าตัวโม่เอ๋อร์เองถูกอะไรเฉือนเข้าเนื้อจริงๆ เครื่องหน้าทั้งห้าบูดเบี้ยวเหมือนได้รับความเจ็บปวด
เมิ่งอวิ๋นเจิงเห็นหญิงสาวผู้เป็นพี่สาวแสดงสีหน้าอย่างไม่อาจทำเช่นไรได้ ราวกับว่าทั้งโมโหและขบขัน แต่นางก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงลูบไล้ศีรษะและไหล่บางของน้องสาว ตีแก้มที่โป่งพองอย่างเบามือ ความอ่อนโยนเพิ่มพูนเท่าทวี
เขาลอบสูดหายใจเข้าออกลึกๆ พอผ่านไปสองลมหายใจแล้ว ค่อยหยิบกล่องแบนเล็กๆ ออกมาจากอก แล้วยื่นให้ “นี่คือของที่เมื่อเช้านำมาจะให้แม่นาง แต่ว่าข้าลืมให้”
เจียงหุยเสวี่ยช้อนตามองอย่างตกใจ “นี่คือ?”
เขากล่าวเสียงนุ่มนวล “ยาพอกทาแผลพุพอง สามารถรักษาแผลฟกช้ำดำเขียว ได้ยินท่านหมอบอกว่ามีสรรพคุณในการรักษาแผลเป็น”
“…แผลพุพอง?” นางถอนมือออกจากศีรษะของโม่เอ๋อร์ อดไม่ได้ที่จะกดมือลงบนแขนอีกข้างหนึ่ง
ภายในแขนเสื้อ แขนเล็กของนางมีผิวหนังบางส่วนยังคงบวมแดงและปวดแสบ เป็นแผลโดนลวกที่เมื่อวานไปแตะถูกหม้อเหล็กโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่กำลังทำโจ๊ก แผลมีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งฝ่ามือ แต่บาดแผลและความเจ็บปวดเช่นนี้ เมื่อใช้น้ำสะอาดล้างแล้วนางก็ไม่ได้ใส่ใจอีก จึงไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งยังไปหายาทาแผลมาให้นาง
ในเวลานี้ บรรดาเด็กที่เลิกเรียนการต่อสู้หลายคนยังคงอยู่ในลานเล็ก บ้างก็เข้ามาจูงมือโม่เอ๋อร์ บ้างก็เข้ามาเรียก…
“พี่สาวน้อย พี่สาวน้อย ทางนี้ ทางนี้! มาทางนี้!” พอเห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงหันไปตามเสียง เสียงเรียกนั้นก็ชะงักด้วยความลังเล ลดลงเป็นเสียงกระซิบ “มานี่…พี่สาวน้อยมาทางนี้…”
เป็นปั้งโถวหลานชายของตาเฒ่าเฉียว เด็กชายอายุยังไม่ครบแปดขวบ มีนิสัยประหลาดมาก ชอบมาชวนโม่เอ๋อร์ไปเล่นด้วยเป็นประจำ
ใบหน้าที่เหมือนล้อมด้วยเมฆทะมึนของโม่เอ๋อร์ยิ้มกว้างในทันที สองตาเป็นประกาย
สาวน้อยเงยหน้ามองดูพี่สาวก่อน พอเห็นพี่สาวยิ้มและพยักหน้าให้ โม่เอ๋อร์ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ทิ้ง ‘ความเจ็บใจ’ ที่ต้องแบ่งขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้นไว้เบื้องหลัง วิ่งก้าวเล็กๆ ไปหาปั้งโถวกับเด็กอีกไม่กี่คนที่อีกด้านหนึ่ง
พวกเด็กๆ ดูเหมือนกำลังจะเล่น ‘ทหารจับโจร’ จึงแบ่ง ‘กองกำลัง’ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว โม่เอ๋อร์ย่อมต้องเข้าไปสมทบกับปั้งโถว
เจียงหุยเสวี่ยถอนสายตากลับมาจากพวกเด็กๆ แล้วมองดูคนตรงหน้า สายตาของเขาจดจ้องมองนิ่งดุจแฝงความหมายลึกซึ้งใด ทำให้แก้มของนางอยู่ๆ ก็ร้อนผ่าวราวกับที่ตรงนั้นโดนลวก
นางขบคิดชั่วครู่ กลืนน้ำลาย ก่อนจะรวบรวมเสียงกลับคืนมา “…เมื่อเช้าท่านเมิ่งย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าลืมให้ยาทาแผลกล่องนี้ใช่หรือไม่ พอท่านมาก็พบว่ามีคนมาก่อเรื่องที่หน้าร้าน จึงไม่อาจไม่ออกหน้า ถูกหรือไม่”
ความจริงแล้วเมิ่งอวิ๋นเจิงไม่ได้ลืมมอบยาให้ เพียงแต่พอเขาซ่อนยาทาแผลไว้ในอกแล้วเกิดลังเลขึ้นมา
แผลโดนลวกบนแขนของนางอยู่ใกล้กับข้อพับข้อศอก เมื่อวานเขามากินโจ๊ก นางเผลอพับแขนเสื้อขึ้นทำให้เขาสังเกตเห็น แต่นางไม่พูดถึง เขาจึงไม่อยากถามโดยตรง มิฉะนั้นจะดูเหมือนกับว่าเขาจับตามองนางอยู่ตลอดเวลา วันนี้เขาจึงตั้งใจนำยาทาแผลมาให้โดยเฉพาะ ในขณะที่เขายังไม่ทราบว่าควรจะให้ยาอย่างไรดี นางก็ออกไปทำงานยุ่งตัวเป็นเกลียวอยู่หน้าแผงขายโจ๊กแล้ว
เดิมเขาจากไปแล้วจริงๆ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุด นางได้รับบาดเจ็บแท้ๆ เขายังเอาแต่กลัดกลุ้มกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างจะมอบยาให้นางอย่างไรดี
จับตาดูนางอยู่แล้วอย่างไร เขาก็มองดูนางมาตลอดจริงๆ
คำถามที่นางถาม เขาไม่ได้ตอบ เพียงพูดนิ่งๆ ว่า “เก็บยาไว้เถิด พอกทาวันละสองครั้งลงบนแผลได้เลย ไม่ช้าก็จะหายดี”
ในที่สุดเจียงหุยเสวี่ยก็ยื่นมือออกไปรับกล่องยาทาแผลที่เขาให้มาถือไว้แน่น ค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ขอบคุณ…”
“อืม” เมิ่งอวิ๋นเจิงรับคำคราหนึ่ง มองดูผมหน้าม้าที่ปลิวไสวอยู่บนหน้าผากกับขนตาดำพริ้มงอนของนาง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อยากจะบอกนางว่าพรุ่งนี้เขาจะออกจากเมืองหลวง คงไม่ไปกินโจ๊กที่เรือนหมู่ อยากบอกนางว่าไม่ต้องรอเขา ขณะกำลังจะอ้าปาก พลันนึกได้ว่าบอกไปแล้ว
เขารู้ดีว่าได้บอกไปแล้ว แต่ก็ยังนึกห่วงอย่างไม่มีเหตุผล เขาไม่นึกมาก่อนว่าตนจะเป็นคนเรรวนเช่นนี้
เวลานั้น เขาไม่มีคำพูดใดจะกล่าว ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ทั้งที่ควรจะเอ่ยอำลาได้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังมีอะไรจะพูด ท่าทีเช่นนั้นทำให้สองเท้าของเขามิอาจขยับเขยื้อน ทำได้เพียงจ้องมองและรอคอยอย่างสงบนิ่ง
เป็นไปตามที่เขาคาด ตรงหน้าเขา หญิงสาวที่เดิมเอาแต่ก้มหน้าพูดพึมพำได้รวบรวมความกล้า เงยหน้าที่มีดวงตาฉ่ำน้ำแฝงแววเมฆหมอกขึ้นมา จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก แต่ก็คิดหาเหตุผลไม่ออก ทำได้เพียงถามออกมา เสียงอ่อนหวานนั้นฟังดูเอียงอาย…
“ข้ามีเรื่องที่ค้างคาในใจ อยากจะขอคำอธิบาย จึงมาเรียนท่านเมิ่งโปรดช่วยไขให้กระจ่าง”
เขานิ่งไป แววตาสุขุมนุ่มลึกดุจสายธาร “เชิญถาม”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเจียงหุยเสวี่ยลอบกำเป็นหมัดเล็กๆ หายใจเข้าแล้วพูด “ตั้งแต่ที่ร้านขายโจ๊กให้ชิมอาหารจนเปิดกิจการถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเวลาได้เดือนกว่าแล้ว ต้องขอบคุณท่านเมิ่งที่คอยสนับสนุน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ นั้นมีประโยชน์จริง และข้าก็รู้สึกว่าฝีมือของตัวเองถึงขั้นแล้ว เพียงแต่กินโจ๊กแบบเดิมอยู่ทุกวัน คนเราหากกินแต่รสชาติเดิมๆ จะเป็นของเลิศรสเพียงใดก็ต้องมีวันเบื่อบ้าง แต่ท่านยังคงมาที่เรือนหมู่ทุกวัน หรือท่านจะมาเพราะโจ๊กหนึ่งชามจริงๆ ไม่มีสาเหตุอื่นใด”
‘ชายผู้หนึ่งมาขอโจ๊กเจ้ากินทุกวัน เจ้าคิดว่าเขามาขอกินเพียงแค่อาหารเท่านั้นหรือ’
คำพูดของท่านยายเฉียวทำให้นางหัวหมุนตาพร่า แต่นางจะไม่คำนึงถึงก็ไม่ได้
‘เจ้าเด็กคนนี้ กลายเป็นแม่นางใหญ่อายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าใจ’
ก็ข้าไม่เข้าใจ!
นางคิดว่าตนเองขายโจ๊ก เขามากินโจ๊ก นางประกอบกิจการค้าขายเล็กๆ เขาก็เป็นลูกค้าที่มาอุดหนุน เรื่องราวไม่มีทางโปร่งใสมากไปกว่านี้แล้ว แต่พอคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด…ความจริงกลับไม่ธรรมดา
นางคาดเดาไม่ถูกและก็ดูไม่ออก จึงอดที่จะถามตามตรงไม่ได้ นางอยากทราบแน่ชัดถึงเจตนาของเขา แล้วรอให้ความจริงกระจ่าง จากนั้นนางก็จะได้…จะได้…นางก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรได้ แต่อย่างน้อยนางก็จะได้ไม่สับสนว้าวุ่นหรือละเมอเพ้อพกเพราะคำพูดของท่านยายเฉียว
เขาเหมือนถูกคำพูดของนางโจมตี
คิ้วรูปดาบหนาดกดำของเขากระตุกและเหยียดตรงดุจสันเขา แต่ไม่ช้าก็กลับสู่ท่าทีสำรวมดังเดิม
“แม่นางเจียงคิดว่าหากผู้แซ่เมิ่งไม่ได้มาเพื่อกินโจ๊ก แล้วมาเพื่ออะไร” เขาถามทำลายความเงียบด้วยคำถามเดิม
นางขบด้านในริมฝีปาก ฝืนใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยายเฉียวบอกว่าเรื่องเช่นนี้ ข้าที่เป็นสตรีไม่สะดวกจะออกปาก แต่ก็อยากไถ่ถามให้ชัดเจน จะได้ทราบแน่ชัดว่าหากท่านเมิ่งไม่ได้มาเพราะ ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ แล้วมาเพราะอะไร” นางก็ถามด้วยคำถามเดิมเช่นกัน ถามจนเลือดในผิวนางฉีดพล่าน เหงื่อผุดซึมทั่วร่าง ตัวร้อนจนไอเริ่มขึ้น
ตามด้วยความเงียบระหว่างทั้งสองอีกครั้ง แต่ว่าดวงตาของนางนิ่งและกระจ่างใส ไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตา แม้ว่าใจจะเต้นรัวราวกับจะกระดอนออกจากอก ปวดร้าวถึงเพียงนั้น นางยังคงมองเขาและเฝ้ารอคำตอบ
จากนั้นนางก็เห็นริมฝีปากเขาเผยอออกช้าๆ ได้ยินเสียงสุภาพราบเรียบของเขาพูดว่า… “ไม่ได้มาเพราะเหตุอื่น ข้ามาเพราะโจ๊กชามหนึ่งจริงๆ”
แก้วหูนางสั่นสะท้าน ห้องหัวใจก็สั่นสะท้าน ได้ยินเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง…
“ข้าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ไปรอกินโจ๊กที่ครัวเล็กทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง สร้างความสับสนให้แม่นางแล้วจริงๆ และเรื่องที่ท่านยายเฉียวชอบผูกสานวาสนาให้ผู้อื่น ทุกคนในตรอกซงเซียงล้วนทราบดี หากยายเฒ่าจะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก แต่ว่าผู้แซ่เมิ่งกลับไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ข้าย่อมไม่…ไม่ได้…” ริมฝีปากดุจขุนเขาเม้มเข้าหากัน พูดขึ้นอย่างใคร่ครวญ “อืม…ย่อมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยต่อแม่นาง ความรู้สึกที่ผู้แซ่เมิ่งมีต่อแม่นางนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างบุรุษและสตรี ข้ามาเพื่อโจ๊กชามเดียวไม่มีสิ่งใดแอบแฝง”
เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกเหมือนไฟที่พลุ่งพล่านใต้ผิวพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดบนศีรษะ ทำให้ศีรษะของนางพองโต นัยน์ตาปวดแปลบ ราวกับได้รับการตบแรงๆ หลายฝ่ามือจนเสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู ทั่วทั้งใบหน้าร้อนรุ่มไปหมด
มาถึงตอนนี้ นางค่อยรับรู้ถึงความในใจที่แท้จริงของตนเองเสียที
หลังจากการเลอะเลือนในครั้งนี้ นางรู้แล้วว่าใจตนเองโอบอุ้มความคาดหวังรอคอย คาดหวังอย่างลับๆ ว่าจะได้ยินคำตอบที่ต่างออกไปจากปากของเขา
และก็เป็นตอนนี้อีกเช่นกัน นางค่อยเข้าใจว่าโดยที่นางไม่ทันรู้ตัว…นางก็เห็นตนเองเป็นเช่นหญิงสาวธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
ไม่มีใครไม่อยากเป็นที่ชื่นชอบ เอาใจใส่ มองด้วยสายตาที่ชื่นชม แต่อารมณ์ความรู้สึกคลั่งแค้นในรักและโศกเศร้าเสียใจ ยังคงเป็นสิ่งที่มากเกินจำเป็นสำหรับเจียงหุยเสวี่ย
นางนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าตนมีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากพอแล้ว จะเอาปัญญาจากที่ไหนไปคิดเรื่องหาความสำราญใส่ตัวและกำกวมไม่ชัดเจนเช่นเรื่องระหว่างบุรุษกับสตรี
เมิ่งอวิ๋นเจิงกล่าวอย่างไม่ปิดบังและตรงไปตรงมา บอกให้ทราบอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว
ไม่ว่านางจะอายแทบทนไม่ได้ รู้สึกทั่วทั้งร่างร้อนผ่าวและเหน็บหนาวไขสันหลังเพียงใด แต่ก็คิดว่าทำให้นางรู้สึกเข็ดหลาบเช่นนี้ ยังดีกว่าเป็นเช่นอื่น
เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก็ดี
“อย่างนั้น…ข้าทราบแล้ว” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ความร้อนระอุในดวงตาเอ่อขึ้นอย่างไม่อาจสะกดกลั้น นางยิ่งต้องฝืนอดทนเอาไว้ แม้แต่ริมฝีปากยังคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนแสนจืดจาง “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านเมิ่งจะชื่นชมโจ๊กขาวห้าสหายที่ข้าทำถึงเพียงนี้ ข้าจะคงรสชาติเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทำให้ความชื่นชมของพวกลูกค้าเสียเปล่าแน่”
นางยิ้มขึ้นอีกครั้ง ไม่รอให้เขาตอบคำก็ย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความคารวะ แล้วหมุนกายมุ่งไปหาพวกเด็กๆ
แต่แล้ว…
“แม่นางเจียง ผู้แซ่เมิ่งไปเยือนทุกวันเพราะโจ๊กหนึ่งชาม หรือพูดอีกอย่างก็คือเพราะเจ้า”
อะไรนะ
นางชะงักฝีเท้าทันที แต่เพราะหยุดอย่างกะทันหัน ร่างกายครึ่งท่อนบนจึงส่ายโงนเงนเล็กน้อย
ทันใดนั้น นางก็หันกลับไป ชายที่เล่นงานนางกลับแบบไม่ทันให้ตั้งตัวยังคงท่าทีสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง นอกเสียจากแววตามีเงื่อนงำชวนให้คนขบคิด
ที่แท้เขาหมายความว่าอย่างไร เขาทำให้นางสับสนไปหมดแล้ว!
อาจเป็นเพราะสีหน้าที่ดวงตาของนางเบิกกว้างและจ้องมองโดยไม่กะพริบบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกในใจอย่างเด่นชัด ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม เขาก็พูดขึ้น “สมัยเด็กข้าตัวผอมแคระแกร็น ป่วยเป็นโรคกระเพาะและลำไส้ง่าย มักจะไม่ค่อยอยากอาหาร ตอนที่มารดาข้ายังมีชีวิตอยู่ นางมักจะทำโจ๊กสมุนไพรเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ข้า” มุมปากที่หนาและแข็งแรงเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและแฝงความโศกเศร้า “บิดาล้มป่วยและด่วนจากไป มารดาจึงเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่เพียงลำพัง บ้านในตรอกซงเซียงนั้นยากจนข้นแค้นถึงขั้นขัดสน ตอนนั้นเพื่อซื้อสมุนไพรมาทำโจ๊กบำรุงร่างกายให้ข้า มารดาข้าซักผ้าซ่อมแซมเสื้อให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นงานเหนื่อยยากเพียงใดก็ยอมทำ…”
เจียงหุยเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรเช่นนี้ ดวงตาที่จับจ้องแน่วแน่ของนางในที่สุดก็สั่นไหว “…นั่นเป็นเพราะมารดาท่านรักใคร่ทะนุถนอมท่าน นางรักท่านยิ่ง”
“ใช่” เขาพยักหน้า รอยยิ้มขรึมลง “นางเป็นเช่นนั้น”
เจียงหุยเสวี่ยพลอยพยักหน้าตาม เดิมนางคิดจะถามเรื่องสมัยเด็กของเขา ดวงตาดุจมุกของนางพลันชะงักไปราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “ท่านเมิ่ง…” นางหันกลับไปมองหน้าเขา “เมื่อครู่ท่านเพิ่งพูดว่า…บ้านในตรอกซงเซียงนั้นยากจนข้นแค้น แสดงว่าสมัยเด็กท่านเคยอาศัยอยู่ที่นี่?”
ใบหน้าที่มีเค้าโครงชัดเจนของบุรุษฉายแววประหลาด แต่ก็ยังพยักหน้ารับคำ “ใช่”
“ท่านเคยอยู่ที่นี่…ที่แท้เป็นเช่นนี้ ฉะนั้นท่านถึงได้เข้ากับพวกเด็กๆ ที่ท่านชี้แนะวิชาการต่อสู้ได้ดี เพราะท่านก็เติบโตมาในตรอกซงเซียงเช่นกัน…” นางพูดกึ่งอุทานกึ่งถาม มองไปทางกลุ่มเงาร่างเล็กๆ มีชีวิตชีวาเปี่ยมพลังที่อยู่ร่วมกับโม่เอ๋อร์
เมิ่งอวิ๋นเจิงส่งเสียงรับคำ แล้วเอ่ยขึ้น “มารดาข้าได้ยินมาว่าเรียนวิชาการต่อสู้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มารดาจึงให้ข้าไปเรียนวิชายุทธ์จากอาจารย์พร้อมกับเด็กคนอื่นๆ ในตรอกซงเซียงตั้งแต่ข้าอายุยังไม่ครบห้าขวบ ตอนนั้นมู่เจิ้งหยางอาจารย์ข้าเป็นถึงมือปราบเทวดา รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีของหน่วยประตูหกบาน ไม่ว่างานของทางการของท่านผู้เฒ่าจะรัดตัวเพียงใด ขอเพียงคนยังอยู่ในเมืองหลวง ก็จะหาเวลาว่างมายังตรอกซงเซียงเพื่อชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเด็กๆ ข้าฝึกวิชาร่วมกับพวกเขาเป็นเวลาสองปี พออายุเจ็ดขวบค่อยกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ พอข้าอายุครบสิบปี มารดาข้าล้มป่วยอย่างกะทันหันเพราะพิษความเย็น ไม่อาจอยู่จนพ้นฤดูหนาว ปีนั้นเองข้าจึงย้ายออกจากตรอกซงเซียงไปอยู่ที่จวนสกุลมู่ คอยติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์”
เขาอธิบายจบแล้ว แต่ว่าสีหน้าท่าทางของหญิงสาวยังคงลุ้นระทึก ราวกับกำลังรอให้เขาขยายความให้มากขึ้นอีก
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “…ภายหลังข้าทั้งร่ำเรียนวิชายุทธ์ทั้งติดตามอาจารย์ไปทำงานทั่วทุกหนแห่ง จนได้รับตำแหน่งราชการ ราชสำนักจึงปูนบำเหน็จให้เป็นเรือนหลังหนึ่ง ที่นั่นจึงกลายเป็นที่อยู่ของผู้แซ่เมิ่งยามกลับมาเมืองหลวงในทุกวันนี้”
เจียงหุยเสวี่ยจึงถามเข้าประเด็นในรวดเดียว “อย่างนั้นตอนท่านยังเด็ก สถานที่ที่ท่านอยู่อาศัยกับมารดาในตรอกซงเซียงยังคงอยู่หรือไม่”
เขาแสดงสีหน้าประหลาดพิกลออกมาอีกครั้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “พื้นที่เดิมยังคงอยู่ ตัวบ้านก็ยังคงอยู่ คือที่ที่เจ้ากับน้องสาวพักพิงอาศัยในตอนนี้”
แม้ว่าจะพอเดาได้บางส่วนแล้ว แต่พอได้ยินคำตอบยืนยันจากปากเขา อกซ้ายของนางพลันเต้นแรง
เมิ่งอวิ๋นเจิงเอ่ย “หลังจากออกติดตามอาจารย์ร่ำเรียนวิชายุทธ์และว่าราชการ ก็ไม่ค่อยได้กลับไปพักอาศัยที่เรือนหมู่อีก แต่หลายปีมานี้ได้ตาเฒ่าเฉียวและท่านยายเฉียวช่วยดูแลให้ เมื่อหลายเดือนก่อน ท่านยายเฉียวมาบอกข้าว่าห้องหับถ้าไม่มีคนอยู่อาศัยจะทรุดโทรมได้ง่าย มิสู้ปล่อยให้เช่าดีกว่า ข้าจึงตกปากรับคำไป แล้วฝากฝังให้ท่านยายเป็นคนจัดการ พอกลับมาเมืองหลวงครานี้ พวกเจ้าก็เข้ามาอยู่ที่นั่นแล้ว ท่านยายเฉียวยังนำเงินค่าเช่าห้องมาให้ข้า ข้าให้นางเก็บไว้เองทั้งหมด ไม่ขอรับส่วนแบ่งแม้สักครึ่ง” ลูกกระเดือกเขาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน “ห้องเล็กแห่งนั้นในเรือนหมู่คือบ้านเก่าของผู้แซ่เมิ่งเอง ข้านึกว่าแม่นางทราบอยู่แล้ว กลับกลายเป็นไม่ทราบมาก่อนเลยหรือ”
เจียงหุยเสวี่ยส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วก็ส่ายหน้าซ้ำอีก
นี่คือวาสนาเช่นไรกัน
วันนั้นนางกระโดดลงจากภูเขาซวงอิงก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขา มีเขาคอยดูแลอย่างลับๆ พอออกเดินทางไกลจากชายแดนตะวันตก มายังเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง พบเจอผู้คนและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาโดยสิ้นเชิง แต่กลับได้มาพบพานกันอีกครั้ง เช่นนี้ก็แล้วไป นางคาดไม่ถึงว่าจะได้เกี่ยวพันกับเขาลึกซึ้งเช่นนี้ เพราะที่ที่นางกับโม่เอ๋อร์เข้ามาลงหลักปักฐานกลับเป็นสถานที่ที่สำคัญเอามากๆ ของเขา!
นางพูดขึ้นช้าๆ “เหมือนท่านยายเฉียวเคยบอกว่านางช่วยดูแลที่นั่นให้ผู้อื่น ข้าก็คิดว่าคนที่นางช่วยคงจะเป็นญาติของนาง จึงไม่ได้ถามให้มากความ…ค่าเช่าห้องก็ราคาถูกมาก เมื่อมาพักอาศัยแล้ว แม้แต่ส่วนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาของแผงด้านหน้าร้านเฉียวจี้ยังยกให้ข้าใช้ขายโจ๊ก โต๊ะเก้าอี้และหม้อชามภาชนะทุกอย่างในร้านก็มีพร้อม ไม่จำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย ประหยัดแรงไปตั้งมาก ข้าคิดจะจ่ายเงินเพิ่ม แต่ว่าบ้านสกุลเฉียวไม่ยอมรับเอาไว้…ที่ท่านตาและท่านยายเฉียวดูแลอย่างใจกว้างเช่นนี้ ข้าว่าคงเป็นเพราะท่านเมิ่งไม่ยอมรับเงินส่วนแบ่ง เช่นนี้แล้วความกรุณาจึงมาตกอยู่ที่ข้า ผู้เฒ่าทั้งสองรับเพียงเงินค่าเช่า แล้วก็สรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ข้า”
เมิ่งอวิ๋นเจิงได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้น เค้าโครงใบหน้ายังคงเฉยชาดังเดิม แต่คิ้วและดวงตาหล่อคมเคร่งขรึมกลับเป็นประกาย “ที่นั่นพื้นที่คับแคบ หากแม่นางเจียงยินดีพาน้องสาวมาอยู่อาศัย ทำให้ทุกอย่างในบ้านเก่ากลับมามีชีวิตอีกครั้งแทนผู้แซ่เมิ่ง ข้าย่อมได้รับผลประโยชน์”
“ที่นั่นดีมาก เป็นที่ที่ดีที่สุดที่ข้ากับโม่เอ๋อร์เคยอยู่มา” นางลิ้นพันกันเล็กน้อย สองแก้มแดงขึ้นอีกครั้งและค้อมศีรษะลง
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ คิ้วของเมิ่งอวิ๋นเจิงขมวดเล็กน้อยแทบสังเกตไม่ออก คิดอยากจะถามรายละเอียดให้มากขึ้นแต่ก็กลัวว่าจะล่วงเกิน สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเจียงอยู่จนคุ้นเคยเช่นนั้นก็ดีแล้ว บ้านพักอาศัยเก่าของข้าต้องฝากแม่นางเจียงดูแลแล้ว ส่วนเรื่องที่ท่านยายเฉียวนึกคิดเช่นนั้น ต้นเหตุเป็นเพราะข้า ทำให้ชื่อเสียงของแม่นางเสียหาย ภายหน้าข้าจะไม่…”
“ท่านเมิ่งอย่าได้เลิกมา!”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นในทันที กระแทกวาจาใส่เขา เสียงของเมิ่งอวิ่นเจิงจึงชะงักในทันใด เห็นใบหน้าของนางเป็นสีแดงซ่าน ใบหูของตนเองก็เห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“แม่นางเจียง ข้า…”
“ทุกวันที่ท่านเมิ่งมากินโจ๊ก ข้าเองก็รอคอยให้ท่านมาหา ข้าชอบท่าทางตอนกินโจ๊กของท่าน มองแล้ว รู้สึกจิตใจสงบดี รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่ทำโจ๊กชามนั้นขึ้นมา” ริมฝีปากนางสั่นระริก แต่ดวงตากลับสงบนิ่งมั่นคง มีเพียงสองแก้มที่แดงราวกับว่าเลือดจะไหลออกมา “…ท่านเมิ่งอย่าได้เลิกมา ข้าไม่สนว่าผู้อื่นจะพูดเช่นไร หวังว่าท่านเมิ่งก็จะไม่ใส่ใจเช่นกัน พวกเราทั้งสอง…ในเมื่อพวกเราทั้งสองไม่มีเรื่องระหว่างชายหญิง และได้คุยกันให้กระจ่างแล้ว ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเดิม ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น”
ปกติแล้วเมิ่งอวิ๋นเจิงมักจะไม่ค่อยพูด และไม่เคยมีช่วงเวลาที่พูดอะไรไม่ออกมาก่อนเลย
ในอกเขาเหมือนมีลมปราณติดขัด จะขับลมออกก็ไม่ได้ จะไม่ขับออกก็ไม่ได้ทั้งที่ไม่มีลมจะให้ขับแท้ๆเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ได้แต่จับจ้องใบหน้าของหญิงสาวที่ยังคงแดงฉานและพยายามรักษาความเยือกเย็นเอาไว้สุดฤทธิ์
เขาคิดว่าเขาต้องพูดอะไรเสียบ้าง
นางพูดความในใจออกมาหมดแล้ว ควรจะเป็นทีของเขาที่ต้องตอบรับบ้าง เพราะฉะนั้นต้องพูดอะไรเสียบ้างถึงจะถูก
พูดขอบคุณนางอย่างเรียบง่ายธรรมดาสักคำก็ยังดี ดีกว่าจ้องนางแน่นิ่งไม่ส่งเสียงแม้สักครึ่งคำ
หน้าผากเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยพลันฉุกคิดได้ว่าสีหน้าท่าทางที่ ‘ไม่กล่าววาจา เอาแต่จ้องมองคน’ ของตนนี้ดูเย็นชาไร้อารมณ์อย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาจ้องมองพวกโจรขโมยจนชิน แค่มองเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนชั่วสารภาพความจริงอย่างเชื่องเชื่อและคุกเข่าร้องขอขมา แต่เขาไม่มีเจตนาจะจ้องมองนางเช่นนั้น เขาแค่…แค่…
“แม่นางเจียง ข้า…”
“ศิษย์พี่ใหญ่ถืออะไรอยู่ในมือหรือ” พร้อมกันนั้น เสียงสดใสของสตรีก็ดังขึ้นที่ข้างหลังเขา คนผู้นั้นแย่งตะกร้าไม้ไผ่ที่เขาถือไว้ในมืออย่างหลวมๆ ไปโดยไม่บอกไม่กล่าว พอกระโดดออกห่างแล้วก็เปิดผ้าที่คลุมด้านในออกทันที
“อะไรน่ะ อะไร”
“หอมยิ่ง! พวกเรามาดูกันเถิดว่าเป็นของดีอะไร!”
“เอ้อร์หม่าเจ้าอย่าเบียดสิ!”
“หอมขนาดนี้ต้องเป็นของกิน หากไม่รีบมาแย่ง ไม่ช้าหมดแน่นอน!”
“เจ้าเป็นผีอดอยากกลับชาติมาเกิดหรือ วันทั้งวันดีแต่จะแย่งของกิน!”
“ข้าจะแย่ง! กลัวเจ้าได้กินง่ายเกิน!”
เมื่อตะกร้าไม้ไผ่ถูกแย่งไป เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ยืนนิ่งกับที่ไม่ไหวติง เนื่องจากผู้ที่แย่งของไปจากมือเขาคือศิษย์น้องของเขาเอง และคนหลายคนที่มาล้อมกินของในตะกร้าอย่างตะกละตะกลาม ก็เป็นสหายร่วมงานสมัยที่เขายังทำงานของทางการในหน่วยประตูหกบาน
ศิษย์น้องของเขา เป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ นางแซ่มู่นามไคเวย เป็นบุตรีของอาจารย์ผู้มีพระคุณ อายุน้อยกว่าเขาเพียงสองเดือน
เขากับศิษย์น้องเรียนหนังสือฝึกปรือวิชายุทธ์และเติบโตมาด้วยกัน ยามมีเรื่องวิวาทก็สู้เคียงกัน ยามมีภัยก็ร่วมกันเผชิญ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ยามนี้นางมาแย่งตะกร้าไปจากเขา ความจริงก็ไม่มีอะไร แค่ก่อกวนกันมาตั้งแต่เด็กจนเคยชิน แต่ว่า…เขากลับรู้สึกเหน็บหนาวไขสันหลัง กรามขบกันแน่น เหมือนเวลาที่ได้รับแรงกดดันจากศัตรู
สี่ปีก่อน ศิษย์น้องมู่ไคเวยอายุครบสิบห้า ก็เข้าหน่วยประตูหกบานเพื่อฝึกฝน ทุกวันนี้ หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นไปคลุกคลีกับบุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งกลุ่มจนกลายเป็นพี่น้องชาวยุทธ์ที่แท้จริง อากัปกิริยาจึงดูยิ่งโลดโผน
“เป็นขนมแป้งนึ่ง!” มู่ไคเวยโห่ร้องดีใจ หยิบขึ้นมาโดยไม่ถามไถ่และส่งเข้าปากทันที
“อืม อืม…อร่อย กลิ่นพุทราเชื่อมหอมมาก อร่อยมาก!”
หากตะกร้าไม้ไผ่ยังอยู่ในมือของเมิ่งอวิ๋นเจิง มือปราบน้อยใหญ่ทั้งหลายของหน่วยประตูหกบานอาจจะยังไม่กล้าก่อความวุ่นวาย แต่พอตะกร้าถูกมู่ไคเวยแย่งไป ทั้งยังเป็นคนเปิดกินก่อน ชายฉกรรจ์ในชุดเจ้าหน้าที่ของทางการอีกห้าหกคนก็เปิดศึกแย่งของกินกันในทันที ‘สถานการณ์ศึก’ ดุเดือดมาก…
“เถี่ยต่าน เจ้าอายเป็นหรือไม่ ของมาถึงปากแล้ว ยังเอานิ้วมาล้วงอีก!”
“ครั้งก่อนกินขนมโก๋นึ่งถั่วแดงของท่านยายหลิวที่ถนนตะวันออก ข้าเอาเข้าปากแล้ว เจ้าก็ทำพิเรนทร์เช่นนี้!”
“ต้าจิ่งเจ้าสารเลว ไวมากนักหรือ ได้! ต่อยก็ต่อย พวกเราลุย!”
“มัวต่อยตีอะไรกัน ของจะหมดแล้วนา!”
“มารดามันเถิด เช่นนี้ไม่ถูกต้อง!”
“หยิบก่อนชนะ ใครถกความถูกต้องกับเจ้ากัน!”
คำกล่าวที่ว่า ‘สองผลท้อฆ่าสามขุนพล’ ได้ฉันใด ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมก็ทำให้เหล่ามือปราบที่เดียดฉันท์ความชั่วและซื่อสัตย์ปราดเปรียวของหน่วยประตูหกบานบาดหมางกันเองได้ฉันนั้น
มู่ไคเวยที่เป็นคนส่งขนมแป้งนึ่งเข้าปากเป็นคนแรก กลับปล่อยตะกร้าไม้ไผ่ แล้วเดินออกมาจากวง
หญิงสาวสวมชุดเจ้าหน้าที่ทางการรูปร่างไม่สูงนัก มีท่าทีดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก มู่ไคเวยเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง เงาร่างปราดเปรียว มายืนกระทบไหล่ที่ข้างกายเมิ่งอวิ๋นเจิง
“ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้นเป็นแม่นางทำเองกับมือหรือ” มู่ไคเวยถามและยิ้มให้สตรีที่งดงามตรงหน้า หญิงสาวลิ้มรสของน้ำผึ้งบนริมฝีปากและในซอกฟันแล้วแสดงความเห็น “หวานแต่ไม่เลี่ยน หอมนุ่มละมุนละไม อร่อยมาก ข้ากล้ารับรองเลยว่าศิษย์พี่จะต้องชอบแน่นอน”
เมื่อลงหลักปักฐานในเมืองหลวง เจียงหุยเสวี่ยย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมู่ไคเวยมาก่อน อีกฝ่ายเป็นสตรีเพียงคนเดียวในหน่วยประตูหกบาน แต่ฝีไม้ลายมือในการปฏิบัติหน้าที่นั้นเรียกได้ว่ารวดเร็วดุจสายฟ้าวายุ ทั้งกล้าหาญและเจ้าแผนการ การกระทำยิ่งคล่องแคล่วว่องไวกว่าเหล่าบุรุษ หลายวันก่อน นักเล่านิทานที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแต่งเรื่องของมู่ไคเวยจนกลายเป็นผลงานอีกหลายชิ้น และนำไปเล่าอย่างออกรสตามโรงน้ำชาหอสุรา ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงได้รับฉายาในยุทธภพเพิ่มโดยปริยาย เรียกว่า ‘อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง’
ยามนี้หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นที่ได้ฉายาว่าอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงผู้นั้นกำลังส่งยิ้มให้นาง คิ้วตากระจ่างใสมองมาตรงๆ รอยยิ้มเปิดเผยจริงใจให้ความเป็นมิตรยิ่ง แต่ใจของเจียงหุยเสวี่ยกลับสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว
“ชอบก็ดีแล้ว ขอบคุณแม่นางมู่ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกท่านที่อุดหนุนชมเชย” นางเอ่ยเสียงเบา กล่าวจบก็ไม่มองไปทางพวกเขาศิษย์พี่น้องอีก เพียงย่อกายคารวะ “ข้าควรกลับได้แล้ว พรุ่งนี้ท่านเมิ่งออกเดินทาง ขอให้ทุกสิ่งราบรื่น ทุกอย่างเรียบร้อยปลอดภัย” นางโน้มศีรษะคารวะอีกครั้ง หมุนกายเดินไปทางเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานในที่ห่างออกไปไม่ไกล และมองหาเงาร่างของโม่เอ๋อร์ แต่ว่าข้างหลังนาง มีสายตาของหญิงชายคู่หนึ่งยังคงจับจ้องนางอยู่
“ศิษย์พี่ ข้าไปทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจหรือไม่” มู่ไคเว่ยมีสีหน้าว้าวุ่นใจ เอามือเท้าเอว แล้วยืนด้วยท่าทางห้าวหาญท้าทายฟ้าดิน
บุรุษที่อยู่ด้านข้างไม่พูดสักคำ ยกแขนขึ้นมาสอดประสานกันที่หน้าอก ทันใดนั้น เงาร่างสูงใหญ่ก็แผ่รัศมีความกดดันที่ไร้รูปร่างออกมา
มู่ไคเวยถอนสายตากลับมาจากร่างของหญิงสาวที่วิ่งจากไปเพราะถูกทำให้แตกตื่น เลื่อนมามองทางศิษย์พี่ของตน แล้วก็เปิดปากพูด…
“เอ่อ…วันนี้กลุ่มของพวกข้ารับผิดชอบเฝ้าเวรยามที่เฉิงเป่ย นานๆ ทีจะเห็นท่านเดินอยู่กับแม่นางสักคนนี่นา ข้าเปล่าทำอะไรนะ ก็แค่จะ…สืบดูว่ามันเป็นมาอย่างไรกัน จะบอกกับผู้อื่นแค่ไม่กี่ประโยคว่าให้ดีต่อท่านสักหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ศิษย์พี่อย่าเงียบสิ ท่านเอาแต่จ้องไม่ยอมพูด ข้าเห็นแล้วรู้สึกปวดท้อง ช้าก่อน! หรือว่าจะเป็นเพราะขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้น?” เอ๋? นางพูดตรงจุดแล้วสินะ!
เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น มู่ไคเวยก็รีบยกแขนตรง ชี้ไปยังสหายหน่วยประตูหกบานที่เพิ่งแย่งชิงของกินเสร็จ แล้วตะโกนเสียงโหยหวน “ข้ากินไปแค่ชิ้นเดียวชิ้นเล็กๆ เป็นชิ้นที่เล็กมากๆ จริงๆ นะ แค่พอลิ้มรสชาติเท่านั้นเอง ที่เหลือทั้งหมดเป็นพวกเขามาแย่งไป ศิษย์พี่โกรธแล้วก็ไปลงที่พวกเขาสิ ข้าเป็นหนึ่งในผู้บริสุทธิ์นะ”
“เอ๊ะ?”
“เอ๋?”
“หืม?”
“หา!”
“เอ่อ…”
เหล่าชายฉกรรจ์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่กวาดขนมแป้งนึ่งจนหมดยังไม่ทันได้เลียหรือเช็ดคราบน้ำตาลที่เปื้อนรอบปากให้สะอาด ก็ถูกสายตาที่ลุกเป็นไฟของบุรุษจ้องจนขนลุกชัน เสียงที่เปล่งออกจากลำคอล้วนเป็นเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกหนึ่งคำ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.