บทที่ 4
โรมานซ์ไม่ใช่โรแมนติก
‘ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจอกันเช้าวันเสาร์นะคะคุณเทพ’
ประโยคที่ภาพฟ้าพูดกับเทพบุตรเมื่อวานฟังดูเหมือนเธอจะมีเวลาเตรียมตัวอีกสักสองสามวันเป็นอย่างต่ำ แต่ไม่ใช่เลย เพราะพอเธอเปิดปฏิทินในมือถือดูก็พบความจริงที่ว่าวันเสาร์มันคือรุ่งเช้าของวันถัดไปเลยต่างหาก ส่งผลให้เมื่อคืนเธอต้องคุยกับชนาพรเรื่องขอย้ายออกไปอยู่ที่อื่นสักพัก และเร่งจัดกระเป๋าเดินทางในทันที โดยนายจ้างบุญทุ่มได้ส่งเมสเสจมาเสนอตัวขอช่วยเธอขนย้ายข้าวของไปบ้านเขาตั้งแต่ไก่โห่ เพราะจำได้ว่ารถของเธอยังอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมไม่เสร็จ ซึ่งพีทีสาวเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจคนอยู่แล้ว
เหมือนเดจาวู ภาพฟ้ากำลังนั่งชูคอเป็นตุ๊กตาหน้ารถของเทพบุตรอีกครั้งเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิดเพี้ยน แม้เช้านี้คนรวยจะไม่ได้ขับซูเปอร์คาร์มารับเธอ แต่รถยนต์ที่เขาใช้ก็ราคาเหยียบหลักหลายล้านจนหญิงสาวอดนึกในใจไม่ได้ว่าช่างเป็นบุญวาสนาก้นของเธอยิ่งนัก
โครก!
ดูเหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างจะฉายวนซ้ำราวกับมีคนกดกรอแผ่นหนังย้อนกลับ คนท้องร้องเพราะหิวข้าวเช้ายังคงวางฟอร์มไม่พูดไม่จา ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้เธอต่อไป แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นประโยคคำถามเดียวกันกับเมื่อคืนก็ถูกส่งออกมาจากคนปากหนัก
“คุณฟ้าหิวรึเปล่าครับ”
“หิวค่ะ”
คราวนี้ภาพฟ้าไม่ได้ตอบคำถามเอาใจใคร เพราะเธอเริ่มรู้สึกหิวหน่อยๆ แล้วเหมือนกัน สายตาหวานมองตัวเลขบนนาฬิกาดิจิตอลหน้าคอนโซลรถ เห็นว่าเวลาสมควรแล้วจึงหันไปมองข้างทางดูว่ามีเจ้าไหนเปิดขายแล้วบ้าง ก่อนจะเจอร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้เล็กๆ ขนาดหนึ่งคูหา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนขับหันมาถามความคิดเห็นของเธอพอดี
“อยากทานอะไรครับ”
“ร้านข้าวแกงตรงนั้นเปิดแล้ว แวะเลยก็ได้ค่ะ”
สิบนาทีต่อมาภาพฟ้ากับเทพบุตรเข้ามานั่งอยู่ในร้านขายข้าวราดแกงปักษ์ใต้ โดยทางร้านจัดโต๊ะและเก้าอี้ไว้รองรับลูกค้าเพียงสามโต๊ะเท่านั้น และเพราะอาหารใต้มีรสชาติจัดจ้านแม่ครัวเลยเตรียมผักหลากหลายชนิดไว้ให้กินแกล้มเผ็ดไม่อั้นฟรี ซ้ำยังมีน้ำพริกกะปิกลิ่นหอมแถมให้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพีทีสาวไม่ยอมให้ลูกศิษย์สั่งเมนูตามใจชอบตัวเองอย่างเมื่อคืนอีกแล้ว เธอพูดแกมบังคับให้เขาไปนั่งคอยก่อน พอสั่งอาหารเสร็จสรรพเจ้าตัวก็เดินตามมาที่โต๊ะรอให้เจ้าของร้านเดินมาเสิร์ฟ ไม่นานกับข้าวก็ถูกยกมาวางตรงหน้าคนทั้งคู่
ไข่ต้มยางมะตูม
คนถูกจ้างเพื่อมาดูแลด้านสุขภาพโดยเฉพาะส่งยิ้มเย็น ก่อนจะใช้ช้อนตัวเองงัดไข่แดงออกจากไข่ขาวทุกฟอง แล้วหย่อนทิ้งลงถังขยะข้างโต๊ะ โดยที่เทพบุตรไม่คิดจะถามหรือคัดค้านการกระทำของเธอเลย เขาทำเพียงกะพริบตาปริบๆ นั่งมองเท่านั้น และพร้อมให้ความร่วมมือกับเทรนเนอร์สาวอย่างเต็มที่
เมื่อภาพฟ้าจัดการทิ้งไข่แดงที่มีโคเลสเตอรอลสูงปรี๊ดลงถังขยะจนหมดแล้ว มือบางทั้งสองข้างจึงแบออกเป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือรับประทานได้
“ตามหลักโภชนาการแล้วไข่เป็นโปรตีนที่ดีที่สุด แถมไข่ขาวยังมีแคลอรีไม่ถึงยี่สิบ คุณเทพทานอย่างสบายใจได้เลยค่ะ อ้อ! บางทีคุณอาจจะต้องไปทานข้าวกับลูกค้า ฟ้าคงจะไปด้วยไม่ได้ งั้นฟ้าจะบอกเคล็ดลับควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อง่ายๆ ให้คุณจำไว้แล้วกันนะคะ ขอมือหน่อยค่ะ ข้างซ้ายหรือขวาก็ได้”
เทพบุตรทำตามเทรนเนอร์สาวอย่างว่าง่าย เขาเลียนแบบการขยับมือไปมาของอีกฝ่ายท่าทางตั้งใจเหมือนเด็กแถวหน้าห้องเรียน
“ในหนึ่งมื้อเราควรจะกินคาร์โบไฮเดรตแค่หนึ่งกำมือ” มือบางกำเข้าหากันเป็นตัวอย่าง ก่อนจะแบออกแล้วใช้นิ้ววาดไปตามจุดพร้อมอธิบายต่อ “โปรตีนหนึ่งฝ่ามือ และไขมันหนึ่งข้อนิ้วโป้ง”
”แล้วผักผลไม้ล่ะครับ”
“พวกใยอาหารไม่นับแคลอรีค่ะ ยิ่งผักใบเขียวกินเยอะๆ เลยได้จะดีมาก ส่วนผลไม้ฟ้าขอให้คุณระวังเรื่องปริมาณน้ำตาลไว้นิดนึง จำไม่ยากเลยใช่ไหมคะ”
“ข้าวแค่กำมือเดียว” เทพบุตรจดจ้องมือตัวเองที่กำหมัดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเงยมามองอีกฝ่ายหัวคิ้วขมวด “อิ่มแน่เหรอครับคุณฟ้า”
“คะ?!” เมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาทำเอาคนสอนถึงกับสตันไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามกลั้นก้อนขำในลำคอเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสีหน้าเป็นกังวลเกินเรื่องของฝ่ายตรงข้าม “อิ่มค่ะอิ่ม แต่เป็นอิ่มแบบพอดี สบายตัว ไม่จุก ไม่อึดอัด ในระยะแรกคุณเทพอาจจะยังไม่ชิน แต่เดี๋ยวร่างกายจะปรับตัวได้เอง ที่สำคัญอย่าลืมนะคะ เวลาเคี้ยวอาหารต้องช้าๆ ละเอียดแล้วค่อยกลืน”
เทพบุตรที่กำลังนั่งคิดตามคำพูดอีกฝ่ายอยู่ จำต้องสะดุ้งจากวังวนเมื่อภาพฟ้าส่งเสียงเร่งเร้าให้เขาปฏิบัติตามคำอธิบายของเธอ
“หยิบช้อนเร็วค่ะคุณเทพ”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวเช้าด้วยกันอยู่ ภาพฟ้าที่คุ้นชินกับรสธรรมชาติเพราะกินอาหารปรุงแต่งน้อยเป็นประจำทุกวันจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทว่าสำหรับอีกคนที่ติดกินอาหารรสจัดจ้านหนักหวาน มัน เค็มอย่างเทพบุตรถือว่าเป็นความทรมานทางจิตใจอย่างยิ่งในการตักข้าวเปล่ากับไข่ขาวไร้ซึ่งรสชาติเข้าปาก
“ขอใส่น้ำพริกนิดนึงได้มั้ยครับ” ในที่สุดความอึดอัดใจก็ผลักดันให้เขาพูดมันออกมาจนได้
โดยปกติแล้วชายหนุ่มไม่ใช่คนกินเผ็ด แต่ด้วยรสชาติที่แสนจะจืดชืดเสียเหลือเกินทำให้เขาอยากจะลองใส่น้ำพริกกะปิถ้วยเล็กๆ ตรงหน้าในข้าวของตัวเองดูหลังจากที่เหลือบมองมันอยู่นานสองนาน เผื่อว่ารสชาติของน้ำพริกจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการกินข้าวให้กับเขาได้บ้าง และพอเห็นอีกฝ่ายยอมพยักหน้าอนุญาต เขาก็ไม่รีรอที่จะทำตามความคิดตัวเองทันที
“แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
คนเข้มงวดยอมผ่อนปรนให้เพราะเห็นว่าเป็นครั้งแรก เลยยังไม่อยากกดดันอีกฝ่ายมาก ครูฝึกสาวอยากให้ลูกศิษย์ของตนค่อยๆ ปรับพฤติกรรมไปทีละเล็กทีละน้อยจะได้ไม่หมดกำลังใจไปเสียก่อน ทว่าทันทีที่ปลายลิ้นของอีกฝ่ายสัมผัสกับรสชาติของน้ำพริกกะปิในถ้วยเล็กๆ ภาพลักษณ์ของหัวหน้าฝ่ายการตลาดแฟตบอมบ์ที่เธอเคยเห็นมันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
“ซี้ด…อ้า…” คนกินเผ็ดไม่เก่งเริ่มห่อปากส่งเสียงครางออกมาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ “โอ๊ย! น้ำ ขอน้ำหน่อยครับ”
ภาพฟ้าที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนลืมไปตักน้ำมา เพราะทางร้านให้บริการตัวเองรีบลุกไปจัดแจงตามคำขอของอีกฝ่าย ใบหน้ากลมเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ ความร้อนของพริกทำให้น้ำในกายอวบขับออกมาผ่านทางต่อมเหงื่อและน้ำตา มือบางรีบยื่นแก้วให้กับคนร้องซี้ดซ้าดทันที ก่อนจะนั่งลงยังที่ของตัวเองตามเดิมแล้วหยิบกระดาษทิชชูส่งให้
“ค่อยๆ ดื่มค่ะคุณเทพ”
“โอ๊ย! อู้…เผ็ดๆๆ” เทพบุตรโวยวายพร้อมกับรับกระดาษจากหญิงสาวไปซับคราบน้ำที่หกเลอะเทอะตามตัว มืออวบพัดไปมารอบๆ ริมฝีปากแดงเจ่อของตน “ยังไม่หายเผ็ดเลยครับ ผมขอน้ำอีกได้ไหม”
หญิงสาวใช้วิธีหยิบแก้วของตนที่ยังไม่ได้ดื่มส่งให้เขาแทนเพื่อความต่อเนื่อง คนคอยเอาใจช่วยมองอีกฝ่ายกระดกน้ำลงท้องอย่างรวดเร็วเลยตัดสินใจวิ่งไปตักน้ำมาให้เขาอีกแก้ว แต่กว่าความเผ็ดของเทพบุตรจะทุเลาลงก็เล่นเอาเธอเหนื่อยจนหอบแฮก เพราะต้องวิ่งไปตักน้ำให้เขาสามสี่เที่ยวจนเจ้าของร้านกับลูกค้าโต๊ะอื่นพากันมองมาที่โต๊ะของเธอกันเป็นตาเดียว
“อีกสักแก้วไหมคะคุณเทพ”
“พอแล้วครับ ขอบคุณนะครับคุณฟ้า” ชายหนุ่มพูดพลางใช้กระดาษทิชชูที่ภาพฟ้าหยิบยื่นให้เช็ดรอบปาก “ถ้าไม่มีคุณผมต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วนี่ทานข้าวต่อไหวไหมคะ หรือจุกแล้ว”
คนน้ำเต็มกระเพาะจนรู้สึกจุกอย่างที่อีกฝ่ายว่ามองข้าวในจานคนถาม เห็นว่ามันพร่องไปแค่นิดหน่อยจึงตอบปัดอยากให้เธอรับประทานต่ออย่างสบายใจ
“ไหวครับ”
หลังจากจัดการอาหารลงท้องจนเกลี้ยงทั้งคู่จึงเรียกเจ้าของร้านมาเก็บเงิน ระหว่างนั่งรอเจ้าของร้านนับเงินทอนยื่นมาให้ ภาพฟ้าเหลือบไปเห็นคราบน้ำยังติดอยู่แถวสันจมูกของอีกฝ่าย เธอเลยหยิบกระดาษทิชชูมาทำท่าเช็ดบริเวณนั้น ก่อนส่งให้เขาซับทิ้งท้าย ด้วยกิริยาคล้ายกับคู่รักที่คอยเป็นห่วงเป็นใยกันจึงทำให้ทั้งคู่โดนเจ้าของร้านแซวเข้าให้
“พ่อหนุ่มนี่โชคดีนะ มีแฟนสวยแถมยังดูแลเอาใจใส่เอ็งดี๊ดี ไม่เหมือนผัวป้า วันๆ เอาแต่ส่องพระเครื่อง ไอ้แก่! ลงมาช่วยกันทำมาหากินหน่อยโว้ย…”
ภาพฟ้ากับเทพบุตรกลับเข้ามานั่งในรถเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อ โดยทั้งสองคนไม่คิดจะปริปากคุยกันถึงเรื่องที่ถูกป้าเจ้าของร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้แซวอีก ต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบจนกระทั่งล้อรถมาหยุดจอดหน้าประตูรั้วบ้าน ไม่ใช่สิ คฤหาสน์สีขาวหลังงาม ความเว่อร์วังอลังการเบื้องหน้าทำเอาผู้มาเยือนใหม่ถึงกับอ้าปากค้างเล็กน้อย เพราะไม่คาดฝันเลยว่าจะมีคฤหาสน์แบบนี้ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซ้ำยังเป็นใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครอีกด้วย
รวยเว่อร์
หญิงสาวก้าวขาลงมาจากรถพลางจับจ้องตัวบ้านที่นักสถาปัตย์ออกแบบโครงสร้างไว้อย่างสวยงาม มองผ่านเข้าไปภายในตัวตึกคฤหาสน์ เห็นการตกแต่งแนวหลุยส์ผสมกับยูโรเปี้ยนสไตล์
“สวัสดีค่ะ”
ภาพฟ้ายกมือไหว้เจ้าบ้านท่าทางภูมิฐานทั้งสองคน ที่เหมือนว่ากำลังรอคอยการมาถึงของเธออยู่เช่นกัน ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการด้วยน้ำเสียงฉาดฉาน
ปุรีภรรยาของเจ้าบ้านจึงแนะนำตัวเองกับสามีของเธอบ้าง ก่อนจะกล่าวชมแขกคนพิเศษของลูกชายตามความคิด
“พวกเราเห็นหนูทางทีวีว่าสวยแล้ว ตัวจริงสวยกว่าอีกนะจ๊ะ”
พอเจ้าตัวได้ยินแบบนั้นจึงส่งรอยยิ้มหวานตอบรับ
“อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองแล้วกัน” ปุริมผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของคฤหาสน์ปกรณ์เกียรติกล่าวเสริมต่อจากภรรยาด้วยท่าทางใจดีและเป็นมิตร ทำให้อาการเกร็งของว่าที่สมาชิกคนใหม่ในบ้านลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณค่ะ”
“ขาดเหลืออะไรก็บอกเจ้าเทพเอานะ ฉันกับคุณปุรีคงจะต้องขอตัวก่อน”
“อ้าว คุณพ่อกับคุณแม่กำลังจะออกไปไหนกันเหรอครับ”
เทพบุตรถามบุพการีด้วยสีหน้าสงสัย ไหงเมื่อคืนคู่รักบ้างานบอกกับเขาว่าวันหยุดจะพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่รับงานราษฎร์งานหลวงใดๆ ทั้งนั้น
“พอดีเมื่อเช้าคุณหญิงแขไขแกโทรมา บอกว่าอุโบสถที่พ่อกับแม่บริจาคเงินทำบุญไปสร้างเสร็จแล้ว แม่เลยชวนพ่อเขาแวะไปดูสักหน่อย” ปุรีเป็นฝ่ายไขข้อสงสัยของลูกชาย
“ใช่วัดที่ขอนแก่นรึเปล่าครับ”
“ใช่จ้ะ แม่กับพ่อคงจะกลับมาพรุ่งนี้ช่วงหัวค่ำเลย ฝากเราดูแลบ้านด้วยล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณหญิงปุรี” เทพบุตรแสร้งพูดเย้าหยอกมารดา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปใกล้กับผู้ให้กำเนิดเขาทั้งสอง “เดินทางปลอดภัยนะครับคุณพ่อคุณแม่”
ภาพฟ้ามองภาพครอบครัวปกรณ์เกียรติกอดกันกลมเกลียวด้วยรอยยิ้มสุขระคนเศร้า เพราะอดนึกถึงความทรงจำสมัยตอนตัวเองยังเป็นเด็กไม่ได้ มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าพ่อกับแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่
เธอสัญญาเลยว่าจะกอดพวกท่านแน่นๆ ทุกวัน
และถึงแม้คฤหาสน์หลังงามนี้จะใหญ่โตเมื่อเทียบกับสมาชิกที่อยู่อาศัย หากแต่ภาพฟ้ากลับสัมผัสได้ถึงความรัก ความสุข และความอบอุ่นของคนที่นี่ ทำให้ความวิตกกังวลที่ว่าเธอจะปรับตัวอยู่กับเทพบุตรได้หรือเปล่านั้นถูกลดทอนลงไปอย่างอัตโนมัติ
หลังจากรถตู้คันหรูเคลื่อนตัวนำพาสองประมุขของคฤหาสน์ปกรณ์เกียรติออกเดินทางไปยังสนามบินแล้ว คนมายืนรอส่งจึงหันมาสั่งเมดสองสาวข้างกายให้ไปยกกระเป๋าเดินทางของภาพฟ้าที่ท้ายรถตัวเอง แล้วตามไปยังห้องของหญิงสาวที่เมื่อวานพอกลับมาถึงบ้านชายหนุ่มก็สั่งคนให้ทำความสะอาดและจัดเตรียมเอาไว้ต้อนรับเธอโดยเฉพาะ
และทันทีที่ประตูห้องพักถูกเปิดออกให้เห็นถึงภายใน เจ้าของห้องคนใหม่ก็ถึงกับตะลึงเล็กน้อย ภาพฟ้าก้าวเข้าไปสำรวจห้องของตัวเองด้วยสายตาตื่นเต้น เธอเห็นการตกแต่งที่สวยงาม ได้กลิ่นหอมสะอาดอ่อนๆ อีกทั้งขนาดของห้องยังใหญ่กว่าห้องเดิมที่เธออาศัยอยู่ถึงสามเท่าตัว คนพยายามเก็บอาการเนื้อเต้นเอาไว้เดินไปมุมประตูกระจกใสที่พอเปิดออกไปน่าจะเป็นระเบียงรับลม มือบางหมายจะรูดผ้าม่านให้เลื่อนออกเพื่อดูวิวข้างนอก ทว่า…
“มันติดอะไรก็ไม่รู้อะค่ะคุณเทพ”
“ไหนครับ ขอผมดูหน่อย”
“นี่ค่ะ ตรง…ว้าย!”
ความที่หันไปไม่ทันระวังทำให้ภาพฟ้าชนเข้ากับผิวอกนุ่มๆ ของลูกศิษย์ไซส์ยักษ์เข้าอย่างจัง แต่เดชะบุญที่เขาวาดแขนเนื้อแน่นเปรี๊ยะมารองรับร่างของเธอเอาไว้ได้ทันกาล เลยกลายเป็นว่าคนเข่าพับเข่าอ่อนตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ทว่าสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวสัมผัสได้ชัดเจนเลยก็คือกลิ่นตัวของคนร่างท้วม มันหอม เหมือนจะเป็นน้ำหอมกลิ่นเดียวกับที่เธอชอบเสียด้วย
หอมจัง
ภาพฟ้าเผลอเคลิ้มไปกับกลิ่นที่ชื่นชอบจนลืมไปเสียสนิทเลยว่าสภาพท่าทางของตัวเองปัจจุบันเป็นยังไง จนเธอได้ยินเสียงอีกฝ่ายครางออกมาเพราะเริ่มหนักนั่นแหละหญิงสาวถึงได้คืนสติ แต่เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้เข้าใกล้กันขนาดนี้มาก่อน ส่งผลให้คนเผลอทำตัวซุ่มซ่ามไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหน งั้นเอาเป็นว่าสิ่งแรกที่เธอควรจะทำตอนนี้เลยก็คือพาตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของลูกศิษย์เจ้าบุญทุ่มโดยด่วน
“ฟ้าขอโทษค่ะคุณเทพ เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณฟ้าล่ะเป็นอะไรไหม”
“ถ้าบอกว่าเป็นก็แย่แล้วล่ะค่ะ เล่นล้มทับคุณเทพซะขนาดนั้น” หญิงสาวพูดตามความจริง ถ้าเธอเจ็บ เขาจะต้องเจ็บกว่าเธอแน่นอน “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฟ้าไม่ให้หัวร้างข้างแตก ไม่งั้นหมดราคาแย่เลย”
ท้ายประโยคภาพฟ้าเปลี่ยนเสียงพูดระดับปกติเป็นกระซิบเบาๆ ด้วยกิริยานั้นสามารถเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายออกมาได้ ว่าแต่เอ๊ะ! ถ้าสายตาเธอไม่ได้ผิดเพี้ยน เธอรู้สึกว่าแก้มกลมของเทพบุตรกำลังค่อยๆ เป็นวงแดง
“ยินดีครับ เอ…สงสัยว่าตัวดึงผ้าม่านอาจจะเสีย ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมออกไปตามเมดมาดูให้ก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเทพ”
“ครับ”
“แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ทำไมฟ้ารู้สึกว่า…” ไม่พูดเปล่าคนพยายามจับผิดยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้หน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ระวังตัว “แก้มของคุณเทพ…มันดูแดงๆ ผิดปกติ”
“อ๋อ! พอดีผมเป็นคนขี้ร้อน” เทพบุตรเขยิบตัวถอยห่างอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะใช้มือขยุ้มปกคอเสื้อตัวเองแล้วเขย่าๆ ไล่ลมเพื่อให้คนจอมสงสัยเห็นภาพไปด้วย “มากๆ”
“ร้อนเหรอคะ” ภาพฟ้าทวนคำพูดอีกฝ่ายเสียงหลงพร้อมกับก้าวไปหยิบรีโมตแอร์ตรงผนังมาดูตัวเลขบนจอแสดงผล “ยี่สิบสององศา”
เทพบุตรอึกอักเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีมากไปกว่าการกล่าวเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเสียงเรียบ
“ระวังเป็นหวัดนะครับ”
“คะ?”
“เอ่อ…งั้นเดี๋ยวผมไปตามเมดมาดูผ้าม่านให้ก่อน ยังไงก็พักผ่อนตามสบายนะครับคุณฟ้า ถ้าขาดเหลืออะไรแจ้งเมดได้เลย ไม่ต้องเกรงใจครับ”
กล่าวรัวๆ จบคนขี้ร้อนจนแก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุกก็พุ่งตัวออกจากห้องนอนของภาพฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่เท่านั้นก็มีเมดเดินเข้ามาซ่อมผ้าม่านให้กับหญิงสาวจนใช้การได้ตามปกติ พร้อมทั้งกำชับข้อความจากเจ้านายที่ว่าจะให้เมดอีกคนมาตามตัวเธออีกทีเมื่อถึงเวลาทานมื้อกลางวัน
อาหารจานหรูถูกยกมาเสิร์ฟวางลงตรงหน้าของผู้นั่งรอรับประทาน บนโต๊ะขนาดสิบคนมีเพียงภาพฟ้ากับเทพบุตรนั่งอยู่เพียงสองคนเท่านั้น เจ้าถิ่นอธิบายถึงประวัติสเต๊กเนื้อชั้นดีภายใต้ฝาครอบสแตนเลสให้สมาชิกคนใหม่ของบ้านฟัง ก่อนจะสั่งให้เมดสาวเปิดฝาครอบออก
แถ่นแทนแท้น…
“สเต๊กแซลมอนย่างกับผักลวกค่ะ”
ภาพฟ้าที่นั่งฟังอีกฝ่ายสาธยายถึงอาหารรสเลิศอยู่นานได้ทีพูดบ้าง ตาสวยเหลือบมองคนหน้ากลมที่พอเห็นเมนูอาหารในจานตัวเองเต็มตาแล้วถึงกับนั่งเงียบไป พีทีสาวเลยลุกยืนเต็มความสูง เดินไปหยิบส้อมกับมีดของอีกฝ่ายยัดใส่ในมือเจ้าตัวเป็นการเรียกสติ พร้อมกับอธิบายในส่วนของเธอบ้าง
“ถึงเวลาที่คุณเทพจะต้องควบคุมเรื่องแคลอรีอย่างจริงจังแล้วค่ะ ช่วงสายฟ้าส่งรายการอาหารที่มีสัดส่วนเหมาะกับคุณในแต่ละมื้อให้แม่ครัวไปแล้ว มีข้อสงสัยอะไรจะถามฟ้าไหมคะ”
“ไม่ครับ”
คนว่าง่ายขานตอบพลางจรดมีดในมือลงบนเนื้อแซลมอนย่าง ค่อยๆ หั่นแล้วใช้ส้อมจิ้มมันเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่พูดไม่จา ทว่าขณะที่พีทีสาวเดินวนกลับไปยังที่ของตัวเอง หมายจะหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้จำต้องสะดุ้งเฮือก เพราะจู่ๆ เทพบุตรก็ส่งเสียงฮึกเหิมดังออกมา
“ผมจะสู้!”
“สุดยอดไปเลยค่ะ” ภาพฟ้าพยักหน้าสนับสนุน เธอไม่เพียงแต่กล่าวชมลูกศิษย์ปากเปล่าเท่านั้น แต่เธอยังยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างมอบให้เขาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจอีกด้วย ทว่าจังหวะหนึ่งมุมปากบางแอบยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเกิดความคิดบางอย่าง
นี่สมมติถ้าเทพบุตรให้ความร่วมมือกับเธอดีแบบนี้ตลอดไปจนจบการเทรนล่ะก็ ตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์แฟตบอมบ์จะเป็นของใครไปได้อีกกันเล่า นอกเสียจาก…
หึหึ
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อย เทพบุตรก็อาสาพาสมาชิกคนใหม่เดินทัวร์โดยรอบคฤหาสน์ แน่นอนว่าภาพฟ้าตื่นตาตื่นใจไปกับความสวยงามของสถานที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของตัวเองไม่น้อย หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจไปทุกซอกทุกมุมที่เจ้าบ้านแนะนำตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น เพราะไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตมโหฬารแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต และแน่นอนว่าคนรวยเว่อร์แบบเทพบุตรจะต้องไม่พลาดที่จะสร้างฟิตเนสขนาดย่อมไว้ในคฤหาสน์ของตัวเอง
“ไม่ต้องไปยิมแล้วมั้งคะ”
ภาพฟ้าพูดขณะกวาดตามองไปยังเหล่าเครื่องออกกำลังกายสุดไฮเทคที่ตั้งอยู่ภายในห้องด้วยใบหน้าตะลึง หันไปทางซ้ายเห็นชั้นวางดัมเบลล์ไล่ระดับน้ำหนัก หันไปทางขวามีบาร์เบลเหล็กที่เจ้าบ้านลงทุนซื้อมาตั้งไว้เฉยๆ เพราะดูจากทรงคนข้างกายแล้วน่าจะยังไม่เคยลองใช้งานมาก่อนเลยด้วยความรู้สึก…
อยากเกิดมารวย
“คุณพ่อคุณแม่ผมท่านมาออกกำลังกายที่นี่ด้วยกันเป็นประจำครับ”
“แล้วตัวคุณเทพล่ะคะ มากับท่านด้วยรึเปล่า”
เทพบุตรส่ายหัวหน่อยๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะเดินนำหญิงสาวออกมาจากห้องฟิตเนสของคฤหาสน์ ก้าวตรงไปทางห้องมุมสุดติดกับผนัง มืออวบเปิดประตูห้องปริศนานั้น พร้อมกับหันมาบอกกับผู้ติดตามตนด้วยตาเป็นประกาย
“ผมชอบอ่านหนังสือมากกว่า”
ภาพฟ้าเดินตามเขาเข้าไปในห้องสมุดขนาดกำลังพอดี มีหนังสือน่าสนใจหลายเล่มวางเรียงรายกันอยู่บนชั้นไม้สีอ่อน ตัวห้องถูกตกแต่งเป็นโทนสีขาวเรียบหรู เหมาะกับเวลาที่เจ้าของบ้านต้องการมุมสงบ
“ฟ้าก็ชอบอ่านหนังสือนะ”
“จริงเหรอครับ คุณฟ้าชอบอ่านแนวไหน”
“อืม…นิยายโรมานซ์ค่ะ”
“โรแมนติก” เทพบุตรทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่
“ไม่ใช่ค่ะ โรมานซ์ก็คือโรมานซ์ เช่นเออ…” นิ้วเรียวดีดดังเป๊าะยามคิดออก “ฟิฟตี้เชดส์ คุณเทพเคยอ่านไหม”
เทพบุตรส่ายหัวพึ่บพั่บแต่เขาก็พอจะคุ้นชื่อเรื่องที่ภาพฟ้าพูดถึงอยู่บ้าง เพราะจำได้ว่าเรียวหนามเคยมาชวนเขาไปดูด้วยกันอยู่ แต่เพราะตัวอย่างหนังมันติดเรตเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรับได้ ชายหนุ่มจึงแกล้งทำเป็นงานยุ่งจนกระทั่งไม่เหลือรอบให้อีกฝ่ายดู แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหล่อนก็ไม่ได้งอแงให้เขารู้สึกไม่สบายใจเหมือนกับแฟนสาวของคนอื่น
“ใช่เรื่องที่สร้างเป็นหนังด้วยรึเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ แต่ฟ้ายังไม่ได้ดูเลย” หญิงสาวเว้นจังหวะการพูด ก่อนจะหรี่สายตาลงหวังจะเย้าอีกฝ่ายเล่น “ฮั่นแน่…คุณเทพดูแล้วเหรอ”
“ยังครับยัง แต่เรียวเคยมาชวนผมไปดูอยู่”
“อ้อ…” ภาพฟ้าพยักพเยิดหน้าจับผิดไม่เลิก
“คุณฟ้าครับ!”
คนชอบแกล้งกระตุกยิ้มสนุก “คะคุณเทพ”
“คุณแน่ใจนะครับว่าฟิฟตี้เชดส์มันจัดอยู่ในหมวดโรมานซ์”
“พอคุณเทพทักแบบนี้ ฟ้าก็เริ่มจะไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันค่ะ” เธอสารภาพตามตรงก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมา เพราะบางทีมันอาจจะถูกจัดอยู่ในหมวดอีโรติกเลยก็ได้ “แต่ไม่ว่าจะหมวดไหนมันก็สอนอะไรฟ้าได้อยู่นะ”
“สอน?”
“ค่ะ อย่างคุณเกรย์พระเอกในเรื่องน่ะ เหมือนจะมีชีวิตที่เพอร์เฟ็กต์ แต่ก็มีบางมุมจะต้องปกปิด อันที่จริงมนุษย์เราเกิดมาไม่มีใครนิสัยดีจนเป็นสีขาวล้วนหรือว่าเลวจนเป็นสีดำสนิทหรอก ทุกคนต่างเป็นสีเทาอยู่ที่ว่าจะเลือกเป็นสีเทาเฉดไหนต่างหาก ลองเปิดใจอ่านดูสิคะ ไม่เลวเลยนะ”
“อืม…หนังสือทุกเล่มให้ประโยชน์กับคนอ่านเสมอจริงๆ ด้วย”
“ใช่ค่ะ ถูกต้อง” ภาพฟ้าพยักหน้าเห็นด้วยโดยเจ้าตัวหารู้ไม่ว่านวนิยายโรมานซ์ชื่อดังกระฉ่อนโลกเรื่องที่แนะนำเทพบุตรไปอย่างไม่คิดอะไรนั้นจะเป็นประโยชน์ให้กับตนในอนาคตได้
วันนี้ชนาพรพา ‘สายธาร’ ลูกน้องคนสนิทในบริษัทที่เพิ่งรู้ผลสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาได้สำเร็จมาเลี้ยงฉลองในผับชื่อดังย่านทองหล่อ เวลาล่วงเลยผ่านเข้าใกล้จะวันใหม่ และแน่นอนว่าพวกพนักงานสี่ห้าคนที่ขอตามมาด้วยกำลังกรึ่มกันได้ที่ ดูเหมือนว่าทั้งโต๊ะจะมีแค่เธอกับสายธารเท่านั้นที่ยังคงมีสติอยู่เพราะดื่มไปเพียงนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นพูดคุยกันมากกว่า
“เดี๋ยวพี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ฝากน้ำดูแลเพื่อนด้วย”
“ได้ค่ะพี่เป็ด” สายธารรับคำเจ้านาย ก่อนจะมองตามแผ่นหลังชนาพรที่เดินหายตัวเข้าไปในกลุ่มนักเต้นเท้าไฟยามราตรี
คนถูกข้าศึกฝ่ายหน้าเข้ารุกรานพยายามหาช่องทางเดินผ่านฝูงชนเพื่อจะไปยังสุขาให้เร็วที่สุด ทว่าสายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่เจ้าตัวคุ้นตาเป็นอย่างดี แทนคุณ พรหมพิริยะ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมองไม่เห็นเธอแม้แต่นิดเดียว
“ไอ้บ้านั่น”
ชนาพรยืนมองอีกฝ่ายซุกไซ้ซอกคอของแม่สาวทรงโตบนตักตัวเองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าภาพสยิวนั้นทำให้หญิงสาวลืมไปเลยว่าเธอกำลังรีบร้อนไปเข้าห้องน้ำมากขนาดไหน
“เลว!”
ชนาพรถึงกับสบถคำหยาบออกมาอย่างสุดจะทน คนโกรธจัดแต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะไม่ใช่เรื่องของตนตรงๆ ไม่รีรอที่จะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงพร้อมกับกดถ่ายภาพ ซ้ำยังบันทึกวิดีโอเอาไว้เป็นหลักฐานให้เพื่อนที่เธอรักมากที่สุดใช้จัดการกับผู้ชายไม่รู้จักพอ เอาให้มันเถียงไม่ได้ ดิ้นไม่หลุด ทว่าเหมือนกับจังหวะนรก เพราะทันทีที่ชนาพรลดโทรศัพท์ในมือลงมาหมายจะเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงข้างหลัง สายตาคู่คมก็หันมาประสานเข้ากับสายตาเธอแบบพอดิบพอดี และแน่นอนว่าบรรณาธิการสาวไม่มัวยืนเอ้อระเหยคอยจนอีกฝ่ายเดินเข้ามาถึงตัวให้โง่
หนีสิจ๊ะ รออะไร
แต่จะไปไหนได้ล่ะในเมื่อกระเป๋าของเธอยังอยู่ที่โต๊ะ ชนาพรพยายามซ่อนตัวเองอยู่ในฝูงนักเต้น แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังเป้าหมายอย่างระแวดระวัง ดูเหมือนว่าพอแทนคุณเห็นเธอปุ๊บเขาก็ผลักสาวสวยอกตู้มที่นั่งอยู่บนตักตัวเองเสียจนร่างของหล่อนกระเด็น หญิงสาวซุ่มดูคนตัวสูงยืนชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟเหมือนเขากำลังพยายามใช้สายตาสอดส่องหาตัวเธอไปทั่วทั้งร้าน
ระหว่างที่ชนาพรกำลังทำเป็นยืนเขย่าแข้งขยับขาให้เนียนๆ ไปกับกลุ่มนักเต้นเพื่อหลบสายตาประดุจเหยี่ยวของแทนคุณอยู่นั้น แขนของเธอก็ถูกไอ้หนุ่มท่าทางเมาแอ๋ หน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากกลุ่มก่อการร้ายซีเรียกระชากให้หันไปหา แถมมันยังพยายามเต้นเบียดเอาตัวเองเข้ามาถูไถกับตัวเธอด้วย
อี๋…
“ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่ชอบ”
ชนาพรพยายามแสดงอาการขัดขืนให้คนในบริเวณนั้นเห็น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเธอเลย ทุกคนกำลังมึนและเมามันไปกับเสียงเพลงที่เปิดโดยดีเจสัญชาติยุโรปชื่อดัง ไหนจะแสงไฟสลัวส่งผลให้การต่อต้านของเธอถูกกลืนหายไป
“ฉันบอกให้ปล่อยไง ไอ้โรคจิต”
“ว่าผัวแบบนี้ได้ยังไงกันจ๊ะเมียจ๋า”
“ใครเมียแกยะ! ปล่อยฉันนะ!” ชนาพรเริ่มส่งเสียงดังโวยวาย และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะคนรอบข้างเธอตอนนี้หยุดเต้นแล้วหันมามองกันด้วยสายตางุนงง “ฉันบอกให้ปล่อ…”
“เฮ้ย! ไม่ได้ยินที่ยายนี่พูดเหรอ เธอบอกให้แกปล่อย”
ชนาพรหันขวับไปมองต้นเสียงปริศนา ก่อนจะชะงักงันไปเมื่อบุคคลที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอคือคนเดียวกันกับที่เธอกำลังหนีเขาอยู่
“นาย…”
“แล้วมึงเป็นใครวะ ถึงมาเสือกเรื่องของผัวเมีย” คนเมาไม่ได้สติสวนกลับพลางชี้หน้าเอาเรื่องแทนคุณ แต่มืออีกข้างยังจับแขนของชนาพรเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“อุแหวะ! หน้าตาอย่างกับโจร ฉันไม่เอาแกหรอก”
“หน็อย อีนี่!” คนเมาแต่ยังพอจับใจความคำพูดได้ทำท่าจะบันดาลโทสะใส่ชนาพร ทว่าในจังหวะที่ชายหน้าโจรง้างฝ่ามือหมายจะทำร้ายบรรณาธิการสาว หวังจะตบสั่งสอนผู้หญิงปากดี
ผัวะ!
มือหยาบกระด้างที่กำรัดแขนชนาพรจนเจ็บหลุดออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พร้อมกับร่างของคนเมาที่ร่วงกราวลงไปนอนกองกับพื้น และยังไม่ทันที่บรรณาธิการสาวจะได้ตกใจกับเรื่องทะเลาะวิวาทโดยมีตัวเองเป็นหนึ่งในสาเหตุ ร่างของเธอก็ถูกคนหัวร้อนกระชากกึ่งลากออกมาจากจุดเกิดเรื่อง วิ่งแท่ดๆ มาหยุดยืนคุยกับเขาอยู่นอกร้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป
“ขอบใจ”
“เธอเห็นอะไรบ้างเป็ด”
ชนาพรกลอกตามองบนใส่คนทำเป็นเมินคำขอบคุณของตัวเอง ถ้ารู้อย่างงี้แต่แรกเธอจะได้ไม่พูดให้เปลืองพลังงานชีวิตหรอก คนอะไรเห็นแก่ตัวแล้วยังไม่หัดรักษาน้ำใจคนอื่น
แย่! แย่มาก
“ก็ทุกอย่าง”
“ทุกอย่างยังไง”
“เริ่มจากนั่งตัก ค่อยๆ ไซ้คอ แล้วก็…”
“พอ” แทนคุณรีบเหยียบเบรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรวาบหวามมากจนเกินไป “เธอห้ามบอกเรื่องนี้กับฟ้าเด็ดขาด”
“ถามจริง นี่นายเมาป้ะเนี่ย” ชนาพรมองตอบอีกฝ่ายด้วยสายตาขบขัน เพราะดูท่าว่าคนทำผิดจะพูดง่ายราวกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ทั้งๆ ที่มันคือการนอกใจผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ดันเป็นเพื่อนรักของเธอเสียด้วย “หรือสมองขาดออกซิเจนชั่วขณะยะ”
“ไม่ขำ”
“ฉันก็ไม่ขำ” บรรณาธิการสาวโต้คำคืนฉับแบบหน้านิ่ง
“มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิงเธอไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าเรื่องเซ็กซ์มันไม่จำเป็นต้องใช้ความรักก็ได้ มันเกิดจากสัญชาตญาณดิบ”
“เข้าใจสิ ฉันเข้าใจว่ามันเป็นสัญชาตญาณดิบของผู้ชาย” ชนาพรกล่าวเสียงราบเรียบ “เพราะฉะนั้นนายก็ควรจะเอาประโยคที่พูดทั้งหมดไปอธิบายกับฟ้า ไม่ใช่กับฉัน”
“เธอไม่เข้าใจ”
“ฉันเข้าใจ เข้าใจว่ามันเป็นนิสัยของพวกมักมากในกาม ไม่รู้จักพอ มีแฟนอยู่แล้วแต่ลับหลังก็แอบย่องมามีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น โคตรเข้าใจว่ามันเป็นสันดานของนาย”
“เป็ด ฉันกับฟ้าไม่ได้เป็นอะไรกัน” แทนคุณโต้สวนทันควัน
ชนาพรส่ายหัวระอาพลางค่อยๆ ถอยเท้าออกห่างจากคนตัวสูงด้วยสายตารังเกียจ เธอไม่คิดเลยว่าผู้บริหารหนุ่มไฟแรงแบบแทนคุณจะมีตรรกะในเรื่องความรักที่พังและเพี้ยนได้ถึงเพียงนี้ กับอีแค่ไม่ได้ใช้สถานะคำว่า ‘แฟน’ มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรลับหลังเพื่อนของเธอก็ได้ เธอหมดคำพูดที่จะคุยกับผู้ชายคนนี้แล้ว
“เพื่อนของเธอปฏิเสธฉันกี่ครั้งแล้ว ถ้าเธอหยุดเข้าข้างฟ้าแล้วลองคิดสักนิด เธอจะเข้าใจว่าฉันมีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพวกเธอ แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย”
“แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่นายจะทำเลวกับฟ้าอยู่ดี”
“ฉันไม่เคยคิดจะนอกใจฟ้า ไม่เคยแม้แต่จะทำให้ฟ้าเสียใจ แต่เธอกำลังจะทำเป็ด ถ้าฟ้ารู้ฟ้าจะต้องเสียใจเพราะเธอ”
ชนาพรถึงกับยืนช็อกเมื่อจู่ๆ ความผิดทั้งหมดของอีกฝ่ายก็ถูกโยนตู้มมาทางเธอคนเดียว เธอไม่ได้ถูกแทนคุณล้างสมอง แต่เธอกำลังพยายามพิจารณาอย่างคนมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินเขา ถามว่าเธอรู้เรื่องที่หลายๆ ครั้งแทนคุณขอภาพฟ้าเป็นแฟนไหม ตอบเลยว่ารู้ และไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงได้บ่ายเบี่ยงชายหนุ่มมาโดยตลอด ความจริงถ้ามองจากในมุมคนอื่นเขาก็คงไม่ได้ทำผิดอะไรเพราะสถานะยังโสดสนิท แต่ถ้ามองอีกมุมเธอเป็นเพื่อนกับภาพฟ้า เธอก็ต้องเลือกเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่เขาโยนความผิดทุกอย่างมาให้เธอแบก เธอมองจากทุกมุมแล้วสรุปเลยสั้นๆ ว่า ‘เลว’
“เมื่อวานฉันเพิ่งคุยกับคุณแม่เรื่องที่จะขอฟ้าแต่งงาน ถ้าเธออยากจะไปบอกเขานักก็ตามใจ”
“นายกำลังจะขอฟ้าแต่งงาน แต่ก็ยังมานอนกับผู้หญิงอื่นเนี่ยนะ” ชนาพรมองคนพูดด้วยสายตาเคลือบแคลง “หัวใจนายทำด้วยอะไรวะ”
“ต้องให้ฉันย้ำเธออีกกี่รอบว่าเรื่องเซ็กซ์สำหรับฉันมันไม่ต้องใช้ความรัก เอาเป็นว่าฉันสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลยว่าฉันจะไม่ทำอีก ตกลงไหม”
“แทนคุณ นายรักฟ้าจริงๆ ใช่ไหม”
“มากที่สุด”
ชนาพรจ้องเขม็งใบหน้าของคนที่ตอบคำถามเธอกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของเขาดูจริงจังและไม่เสแสร้ง ทำให้คนพยายามใช้สมองแต่หัวใจคลุมเครือวิเคราะห์ไม่ตกว่าควรจะเชื่อคำพูดอีกฝ่ายดีหรือเปล่า ว่าแต่มันสมควรแล้วจริงๆ หรือที่เธอจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับความสัมพันธ์ของคนอื่น บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องของเวรกรรม แล้วเธอก็มีหน้าที่ค่อยซัพพอร์ตเพื่อนเวลาล้มมากกว่าจะเป็นคนทำให้เพื่อนล้มเสียเองไม่ใช่หรือ
“ถ้านายผิดสัญญา แทนคุณ พรหมพิริยะก็เป็นแค่หมาตัวนึง”
บทที่ 5
โคลัมบัสบอกว่าโลกกลม
นาฬิกาปลุกสีทองอร่ามบนโต๊ะลิ้นชักข้างหัวเตียงคิงไซส์ราคาเหยียบแสนทำหน้าที่ของมันตั้งแต่เวลาตีสี่ โดยการแผดเสียงแหลมสนั่นเสียดแทงเข้าแก้วหูชั้นในของคนพุงพลุ้ยที่นอนหลับอุตุกอดหมอนข้างฝันหวาน มืออวบตบปุ่มหยุดเสียงรบกวนนั้น เหวี่ยงผ้านวมขนห่านให้พ้นตัวพลางยันกายขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอิงกับหัวเตียง คนงัวเงียพยายามกลั้นหาวจนน้ำตาซึม เขาจำเป็นต้องรีบลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จเพื่อให้ทันนัดออกกำลังกายช่วงเช้ากับภาพฟ้า
เทพบุตรสะลึมสะลือ เหตุเพราะร่างกายยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ คนตาโหลยืนคอยเทรนเนอร์สาวตรงตีนบันไดหน้าคฤหาสน์พลางอ้าปากหาวหวอดๆ เป็นระยะ เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ถูกสั่งให้ต้องตื่นเช้าคือช่วงมัธยมต้นโน่น พอได้เวลาตีห้าเป๊งประตูตัวตึกคฤหาสน์ก็เปิดออกให้เห็นภาพหญิงสาวเกล้าผมทรงหางม้า เธอวิ่งเหยาะๆ ตรงมาหาเขาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
เทพบุตรเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำๆ ทุกวันเป็นเวลาครบสองสัปดาห์แล้ว
“เช้าๆ อากาศสดชื่นจังเลย คุณเทพว่าไหมคะ” ภาพฟ้าชวนคนตาปรือคุย ทว่าท่าทางที่ยังงัวเงียยืนโงนเงนทำให้เธอต้องกลั้นหัวเราะ
“ครับบบ…สดชื่น…”
“โธ่ ตื่นตัวหน่อยสิคะคุณเทพ ตื่นตัวๆ” เทรนเนอร์สาวกล่าวกระตุ้น ต่อด้วยออกคำสั่งให้คนรู้สึกสดชื่นจนตาจะปิดรอมร่อวอร์มอัพร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่งเผาผลาญไขมันในช่วงเช้า
“ตื่นตัวๆ” คนง่วงเหงาหาวนอนกล่าวทวนคำเสียงหลงขณะอ้าปากหาวออกมาอีกหวอดใหญ่พลางวิ่งเหยาะแหยะอยู่กับที่ไปด้วย
ในที่สุดภาพฟ้าก็อดทนไม่ไหว เธอหลุดขำพรืดเพราะอากัปกิริยาที่สวนทางกับคำพูดที่ว่า ‘ตื่นตัวๆ’ ของเจ้าตัวอย่างสิ้นเชิง แต่ยังดีที่เธอเนียนทำเป็นบิดเอวยืดเหยียดหันหน้าหลบไปด้านข้าง เทพบุตรเลยไม่ทันเห็น
“โอ้โห! ฟ้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปด้วยเลยค่ะ”
“แซวเก่งนะครับคุณฟ้า”
พอเห็นว่าเทพบุตรแสร้งทำเป็นหน้าบูด พีทีสาวเลยหัวเราะออกมาอย่างไม่ปกปิด ก่อนจะขยับร่างกายนำลูกศิษย์ยืดเหยียดกล้ามเนื้อต่ออีกสักพัก พอเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะพร้อมแล้วถึงกล่าวส่งสัญญาณ
“กายพร้อม ใจพร้อมแล้ว เราทำได้หรือยังคะคุณเทพ”
“ฟังแล้วรู้สึกอยากดื่มนมถั่วเหลืองเลยครับ พร้อมครับ!” คนอุ่นเครื่องจนร้อนได้ที่ขานตอบเสียงดังฟังชัด
ภาพฟ้ายิ้มรับพร้อมกับกำหมัดฮึดสู้ส่งให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเริ่มออกตัววิ่งนำไปก่อน เธอหันมามองนักวิ่งท่าทางอุ้ยอ้ายเป็นระยะๆ เห็นแววตาคนหุ่นหมีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น จึงเผลอแอบรู้สึกชื่นชมในความตั้งใจจริงของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
ภาพฟ้ากับเทพบุตรวิ่งลัดเลาะซอยเรื่อยมายังสวนสาธารณะขนาดย่อมไม่ใกล้ไม่ไกลจากคฤหาสน์ปกรณ์เกียรติมากนัก การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีต้นไม้น้อยใหญ่ และได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดทำให้ทั้งคู่รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เทรนเนอร์สาวมองไปยังผู้คนที่มาออกกำลังกายประปราย บ้างก็มาวิ่งจ๊อกกิ้งเหมือนกันกับเธอ บ้างก็มาปั่นจักรยาน หรือบางคนก็พกหนังสือพิมพ์รายวันมาอ่าน มานั่งฟังเพลงชมบรรยากาศของเช้าวันใหม่
โฮ่งๆ โฮ่งๆ โฮ่งๆ
เสียงเห่าติดต่อกันของสุนัขทำให้ภาพฟ้าชะลอฝีเท้าพลางคิดในหัวว่ากฎของสวนสาธารณะแห่งนี้ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้ามามิใช่หรือ เหตุไฉนยังมีคนกล้าพาสุนัขมาวิ่งเล่นอยู่อีก ทว่าพอหันหน้ากลับไปมอง ภาพที่เห็นทำเอาหญิงสาวเลิกหัวคิ้วสูง ถึงขั้นชะงักเท้าหยุดยืนอยู่ตรงนั้นทันที
ปอมเมอเรเนียนขนฟูตัวน้อยกับมนุษย์ร่างยักษ์กำลังใช้ภาษาตาฟาดฟันใส่กันอยู่
ภาพฟ้ายืนมองเทพบุตรกับเจ้าหมาตัวเล็กแต่ท่าทางเกรี้ยวกราดอย่างพิจารณา เธอสังเกตเห็นตัวสุนัขมีสายรัดอก เป็นไปได้ว่ามันอาจจะพลัดหลงจากเจ้าของและกำลังเสียขวัญอยู่ แต่ดูเหมือนว่าคนของเธอจะขวัญเสียมากกว่า ขาขาวก้าวเข้าไปหาคนตัวสั่นเทิ้มที่ยังจับจ้องเจ้าขนฟูอย่างไม่ละสายตา ไม่ขยับตัวไปไหน
เทพบุตรกลัวหมางั้นเหรอ
“คุณเทพ”
เสียงเรียกของภาพฟ้าปลิวหายไปกับสายลม สงสัยว่าคนกลัวจับจิตจะปิดการรับรู้ทุกอย่างของตัวเองแล้วเรียบร้อย พลันนั้นหญิงสาวก็หันไปเห็นคุณยายท่านหนึ่งทำท่าก้มๆ เงยๆ อยู่แถวพุ่มไม้กลางสวนเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง และเธอคิดว่าสิ่งที่คุณยายท่านนั้นกำลังตามหาน่าจะอยู่ตรงหน้าเธอนี่แหละ
ในจังหวะที่ภาพฟ้าเอี้ยวตัวหมายจะตะโกนบอกคุณยายว่าเจ้าหมาตัวน้อยอยู่ตรงนี้ มืออวบชุ่มเหงื่อก็คว้ามือของเธอหมับ เขาจับมือเธอแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไปไหน ทีแรกหญิงสาวตกใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายตามขอบหน้ากลมเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาหวาดกลัวมันจริงๆ เธอเลยเลือกจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมทั้งกระชับให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าเธอจะยังอยู่ข้างๆ เขา ไม่หนีไปไหนแน่นอน
“คุณยายคะ หมาอยู่นี่ค่ะ”
ภาพฟ้าหันไปทางเดิมแล้วส่งเสียง พอคุณยายท่านนั้นได้ยินก็รีบเดินลัดสนามมาทางที่เธอกับเทพบุตรยืนอยู่ทันที
ทำผิดกฎอีกแล้วนะคุณยาย
“ไอ้ฟักเหลือง เอ็งนะเอ็ง ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอยู่เรื่อย”
พอสุนัขเห็นเจ้าของปอมเมอเรเนียนตัวน้อยก็หยุดเห่าราวกับมีคนกดปุ่มสต็อป หางของมันตกลงพื้น ค่อยๆ เดินหงอยเข้าไปนั่งหน้าจ๋อยอยู่ข้างขาของคุณยาย
“ขอบใจมากนะอีหนู เจ้านี่มันวิ่งเร็ว ยายแก่แล้ววิ่งตามมันไม่ไหว” คุณยายบ่นพึมพำพลางก้มลงไปหยิบสายจูงเจ้าขนฟูมาคล้องแขนตัวเองไว้แล้วหันไปข่มขู่หมาต่อ “ถ้าเอ็งดื้อนักข้าจะจับเอ็งไปปล่อยวัดเสียให้เข็ด”
เจ้าสุนัขตัวน้อยแหงนมองหน้าเจ้านายตัวเองตาแป๋ว แถมยังส่งเสียงเห่าเบาๆ คล้ายกับกำลังบอกว่า ‘หนูขอโทษ’ ภาพนั้นทำให้เทรนเนอร์สาวอมยิ้มไปกับความฉลาดแสนรู้ของมัน
“ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย แต่หนูแนะนำว่าคุณยายรีบพาเจ้าฟักเหลืองออกจากที่นี่ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่มาเห็นดีกว่านะคะ เดี๋ยวโดนเรียกค่าปรับสองพันบาทเอานะ อย่าหาว่าหนูไม่เตือน” หญิงสาวพูดไม่พอยังใช้นิ้วชี้เน้นไปยังป้ายข้อห้ามต่างๆ ในสวนสาธารณะที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ยังพอเห็นตัวเลขราคาค่าปรับต่างๆ ได้ชัดเจน
“โอ้ว เอ็งเกือบจะทำข้าเสียตังค์แล้วไหมล่ะไอ้ฟักเหลือง” คุณยายหันไปตำหนิเจ้าหมาน้อยอีกครั้งแล้วหันมากล่าวขอบคุณเธออีกรอบ “ถ้าอย่างงั้นยายรีบไปก่อนนะ รักกันนานๆ ล่ะ”
“ระ…รักอะไรคะคุณยาย”
“อ้าว ก็หนูกับพ่อหนุ่มนี่ไง” คุณยายใช้สายตาชี้มาทางอวัยวะที่เรียกว่า ‘มือ’ ของภาพฟ้ากับเทพบุตรที่ยังคงจับกันคาเอาไว้อยู่ “เป็นแฟนกันไม่ใช่รึ”
“มะ…!”
“โอ๊ย…ยายว่ายายเห็นเจ้าหน้าที่เดินมาโน่นแล้ว ไปไอ้ฟักเหลือง รีบตามข้ามา”
คนที่เคยพูดว่าตัวเองอายุมากแล้ววิ่งไม่ไหวกำลังสับขาฉับๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุ้มเจ้าขนฟูวิ่งหนีเจ้าหน้าที่ออกจากสวนสาธารณะไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจฟังคำแก้ตัวใดๆ ของหญิงสาวที่ยังคงอ้าปากค้างเติ่งเตรียมจะพูดปฏิเสธ
ตึกๆ…
เสียงหัวใจของภาพฟ้าที่จู่ๆ ก็เต้นรัวแรงอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งใบหน้าที่อุ่นซ่านนับตั้งแต่ได้ยินประโยคที่ว่า ‘เป็นแฟนกันไม่ใช่รึ’ ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าหันไปสบตากับคนข้างกาย มือของเธอยังคงจับกับมือของเทพบุตรอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าควรจะปล่อยมันตอนไหนดี
ทำไมไม่ชักมือออก ทำไม
ภาพฟ้าใช้สายตาจับจ้องไปยังก้อนมือคนสองคนที่ยังกุมกันเอาไว้แนบแน่น โดยไม่คิดจะมองหน้าอีกฝ่าย จนกระทั่งเขารู้ตัว
“ขอโทษครับ” เทพบุตรกล่าวพร้อมกับปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระทันที “ผมกลัวจนขาดสติไปเลย คุณฟ้าโกรธผมรึเปล่า”
ภาพฟ้ารีบส่ายหน้าพึ่บพั่บ “อย่าคิดมากสิคะ ฟ้าเข้าใจว่าคุณเทพกลัวเจ้าฟักเหลืองมันจริงๆ”
“ขอบคุณนะครับ” พอได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธอะไรตน คนขี้กังวลก็ยิ้มออกมาได้ทันที “จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอหมาชื่อนี้เหมือนกันนะครับ ‘ฟักเหลือง’ ตลก”
ภาพฟ้าพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา ก่อนจะหัวเราะตามออกมา “ทำไมคุณเทพถึงกลัวหมามากขนาดนั้นคะ คุณเคยถูกหมากัดเหรอ”
“เปล่าครับ มันไม่เคยทำอะไรผมหรอก”
“อ้าว…”
“ช่วงวัยรุ่นผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นคนกลัวหมามากจนไม่กล้าเข้าใกล้ ทั้งๆ ที่มันก็ออกจะน่ารักขนาดนั้น คุณแม่เลยยอมเล่าให้ฟังว่าตอนผมเด็กๆ ประมาณสักสามขวบ ผมไปเดินตลาดสดกับคุณแม่ แล้วเห็นหมาตัวหนึ่งกระโจนกัดนิ้วพ่อค้าที่ตั้งใจจะเอาลูกชิ้นไปให้มันกินขาดกระเด็นเต็มสองตา คุณแม่บอกว่าตอนนั้นผมตกใจร้องไห้จ๊ากเลย หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นคนกลัวหมามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ได้เกลียดมันนะครับคุณฟ้า ผมแค่กลัว”
“ฟ้าเข้าใจค่ะ เด็กเพิ่งเกิดมาแค่สามปีเห็นอะไรแบบนั้นก็ต้องรู้สึกหลอนเป็นธรรมดา”
“ขอบคุณคุณฟ้านะครับที่เข้าใจ ความจริงผมก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้เรียวเขาฟังเหมือนกัน แต่เธอบอกว่าเวลามันผ่านมานานมากแล้ว ผมไม่ควรจมอยู่กับอดีต พอดีเธอเป็นคนรักหมามากน่ะครับ”
“อันที่จริงคุณเรียวเธอก็พูดถูกอยู่นะคะ คุณเทพไม่ควรจมอยู่กับอดีต”
“ครับ?”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเทพกลัวหมาหรอกค่ะ เรื่องอื่น”
คำพูดกำกวมมีความนัยซ่อนเร้นทำให้เทพบุตรขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจนัก ทว่าพอเห็นเทรนเนอร์สาวออกตัววิ่งต่อไปไม่รอแล้ว คนเริ่มจะตกตะกอนในสิ่งที่สาวเจ้าใบ้ได้เลยรีบเร่งฝีเท้าตาม
คงจะหมายถึงเรื่องเรียวหนามสินะ
การวิ่งออกกำลังกายกับเทพบุตรเป็นกิจวัตรประจำวันของภาพฟ้าไปเสียแล้ว หลังจากนั้นเธอกับเขาก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว ก่อนจะมานั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกับปุริมและปุรีอีกครั้งตอนเจ็ดโมงครึ่ง แล้วถึงจะเดินทางมาทำงาน
ภาพฟ้านั่งทำหน้าเซ็งเป็ดอยู่ในรถร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว ตาสวยกวาดมองถนนบนทางด่วนที่เธออุตส่าห์จ่ายเงินหลบรถติดจากเส้นทางปกติ ทว่ากลับมีการจราจรที่แย่ไม่ต่างกันเลยสักนิด รู้อย่างงี้สู้ติดรถเทพบุตรออกมา แล้วให้เขาหย่อนเธอลงแถวรถไฟฟ้าเหมือนตอนโฟล์กสวาเกนลูกรักยังซ่อมไม่เสร็จดีกว่า เพราะบริษัทแฟตบอมบ์ก็ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ทำงานของเธอมากนัก ห่างกันเพียงสองสามสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น ขืนเธอเข้างานสายบ่อยๆ แทนคุณจะได้สงสัยกันพอดีว่าทำไม แล้วถ้าความลับแตกโพละล่ะก็…
ซวยกันหมด
กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงบริษัทได้เล่นเอาภาพฟ้ากุมขมับไปเจ็ดแปดรอบ เธอยิ้มแย้มทักทายคุณ ‘มีนา’ พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ เห็นเจ้าหล่อนส่งยิ้มกลับมาท่าทางดูแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งสาวเท้าเข้ามาในห้องทำงานที่แทนคุณจัดไว้เพื่อให้เธอสะดวกสบายมีพื้นที่ส่วนตัวในบริษัท โดยโยนตำแหน่งพนักงานขายและที่ปรึกษาสมาชิกให้บังหน้า แน่นอนว่าพนักงานเฮลตี้เรียลหลายคนรู้ว่าเธอไม่ใช่คนวิ่งหาลูกค้า แต่ด้วยชื่อเสียงที่พอมีจากฐานแฟนคลับในเพจทำให้ลูกค้าเลือกที่จะวิ่งเข้าหาหญิงสาวไม่หยุด ทุกคนจึงหมดข้อครหาไปโดยปริยาย
พอเห็นกุหลาบช่อโตวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องภาพฟ้าก็รู้ทันทีว่าทำไมมีนาถึงส่งยิ้มแปลกๆ แบบนั้นมาให้ มือบางหยิบช่อดอกไม้มาค้นหาการ์ดว่าใครเป็นผู้ส่ง ก่อนจะช็อกไปกับข้อความที่เห็น
‘Love you From Taenkun’
เทรนเนอร์สาวขมวดคิ้วหน้ายุ่งเพราะนึกไม่ออกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอะไร ทำไมแทนคุณถึงจะต้องส่งดอกไม้ช่อโตพร้อมกับเขียนข้อความบอกรักให้เธอด้วย พอคิดจะออกไปถามคุณมีนาก็คาดว่าสาวเจ้าไม่น่าจะรู้แน่ เพราะขนาดตัวเธอเองแท้ๆ ยังไม่รู้เลย
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง เป็นจังหวะเดียวกันกับประตูห้องทำงานของภาพฟ้าถูกใครบางคนผลักเปิดเข้ามา โดยสาวเจ้าไม่ต้องเงยหน้าไปดูเลยว่าคนที่สามารถเดินเข้าและออกห้องเธอได้แบบไม่ต้องเคาะประตูเป็นใคร
“เที่ยงแล้วนะ ขืนฟ้ายังไม่หยุดทำงานทางกรมแรงงานได้ขอมาตรวจสอบบริษัทแทนกันพอดี”
หญิงสาวปิดแฟ้มเอกสารลงพลางเงยหน้ามองผู้พูดตาเป็นประกาย
“ดอกไม้เมื่อเช้าสวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“สุขสันต์วันครบรอบที่เราเจอกันครั้งแรกนะครับ ฟ้าคงจะจำไม่ได้”
“ใครว่าล่ะ” ภาพฟ้ารีบปฏิเสธแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ เพราะพอเธอเห็นแทนคุณให้ดอกไม้พร้อมเขียนคำหวานมาซะขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องฉุกคิดว่าต้องเป็นวันสำคัญอะไรสักอย่าง เธอเลยวานให้มีนาสั่งดอกไม้จากทางร้านมาเตรียมรอให้เขาแล้ว มือเรียวเอื้อมหยิบกล่องสีดำที่วางหลบไว้อยู่ใต้โต๊ะ โดยด้านในมีช่อดอกกุหลาบหลากสีซ่อนอยู่ขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มโชว์ฟันเรียงสวย
ให้มาให้กลับไม่โกง
“สุขสันต์วันครบรอบที่เราเจอกันค่ะ”
ภาพฟ้ายื่นช่อดอกไม้ให้กับคนตรงหน้า เห็นเขาพยายามแหวกหาการ์ดข้อความ คงหวังว่าจะได้เห็นคำหวานเหมือนกันสินะ แต่เปล่าเลย เธอสั่งให้ทางร้านเขียนแค่ว่า ‘ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งเท่านั้น’ มีนาทำหน้าที่เสร็จก็เดินกลับออกไปพักเที่ยงตามเวลา ทั้งห้องจึงเหลือเพียงเธอกับแทนคุณสองคนอีกครั้ง
“ว้า…เมื่อไหร่ฟ้าจะยอมใจอ่อนให้แทนสักทีนะ”
“แทนพูดเหมือนว่าไม่มีใครรู้เรื่องของเราเลยอย่างนั้นแหละ” ภาพฟ้าพูดพร้อมกับลุกจากเก้าอี้พลางหยิบกระเป๋าแบรนด์หรูมาสะพายเข้าหัวไหล่
“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ แทนอยากได้ความชัดเจนมากกว่าที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้นะฟ้า”
“โอเคค่ะโอเค…เอาไว้ฟ้าจะพิจารณานะคะ แต่ตอนนี้เราไปหาข้าวเที่ยงกินกันก่อนดีกว่าไหม ไส้ลูกจ้างกิ่วจะแย่แล้วค่ะท่านประธาน”
“ไหนๆ ใครลูกจ้าง แทนเห็นแต่ว่าที่เมียท่านประธานในอนาคตยืนอยู่ตรงเนี้ย”
“หง่อว…ไปกันเถอะค่ะ ฟ้าหิวข้าวแล้ว”
แทนคุณส่ายหัวท้อใจกับว่าที่แฟนสาว เพราะพอเขาถามถึงเรื่องการคบหากันทีไรเจ้าตัวก็จะบ่ายเบี่ยงแบบนี้ตลอด ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเร่งรีบอะไรเจ้าหล่อนนักหรอก แม้ว่าเวลามันจะสมควรมานานแล้วก็เถอะ แค่บางครั้งเขาก็อยากได้ความมั่นใจเหมือนกันว่าสรุปแล้วทุกวันนี้เขากับภาพฟ้าเป็นอะไรกันแน่ มันเป็นความพิเศษที่มากกว่าการเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ยังไม่พัฒนาไปใกล้คำว่าแฟนเสียที
แล้วแบบนี้เขาจะหยุดรักสนุกไปเพื่ออะไร
แทนคุณขับรถพาว่าที่แฟนสาวมาร้านอาหารไทยต้นตำรับแถวทองหล่อ เพราะเขาจำได้ว่าเมื่อคืนตอนเฟซไทม์กันเจ้าหล่อนบ่นอยากกินเมี่ยงบัวหลวงกับต้มจิ๋วกุ้ง ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟทั่งคู่นั่งพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่ราวกับคนเป็นแฟนกัน หากแต่ความจริงแล้วสถานะไม่ใช่
“เฮ้ย! นั่นมันไอ้ตรัยนี่”
“ใครกันคะ” ภาพฟ้ามองตามสายตาของแทนคุณไปยังโต๊ะอาหารมุมในสุดของร้าน “เพื่อนแทนเหรอ”
“ครับ เพื่อนกลุ่มเดียวกันสมัยเรียนอัสสัม ไม่ได้เจอหน้ามันจะสิบปีได้แล้วมั้ง อ๊ะ มากับสาวเสียด้วย สงสัยผมจะต้องเข้าไปทักทายมันซะหน่อย ฟ้าไปด้วยกันนะครับ”
“จะดีเหรอคะ ดูเหมือนพวกเขาน่าจะต้องการความเป็นส่วนตัวนะแทน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นานๆ ผมจะบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่าสักที” ว่าจบแทนคุณก็ลุกเดินดุ่มๆ ไปทางโต๊ะที่ว่า ทำให้ภาพฟ้าจำต้องเดินตามเขาไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“สวัสดีครับคุณฤทธิ์ตินัย หายหน้าหายตาไปจากเพื่อนฝูงเลยนะเอ็ง”
คนถูกเรียกหันขวับหาที่มาของเสียง ก่อนจะเจอต้นตอยืนอยู่ข้างโต๊ะตัวเอง แวบแรกภาพฟ้าเห็นทันว่าสีหน้าของอีกฝ่ายมีความตระหนก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนด้วยกันเดินเข้ามาทัก
“ข้าก็ยังอยู่ในกรุ๊ปไลน์ แต่แค่ยุ่งๆ เลยไม่ได้ตอบ”
“ไม่ได้ตอบหรือไม่ได้อ่านเลยวะฮะไอ้ผู้กำกับคิวทอง”
ฤทธิ์ตินัยเลือกจะไม่โต้ตอบเพราะสิ่งที่แทนคุณพูดมาเป็นความจริงทุกคำ เขาไม่ได้อ่านแชตเพื่อนสมัยเรียนมัธยมเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ทุ่มเทกับการทำงานเป็นหลัก
“ปีนี้ข้าก็คิดๆ อยู่ว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่น ว่าแต่เอ็งเถอะ เจอกันครั้งล่าสุดไม่ใช่คนนี้นี่”
“ไม่เจอเป็นสิบปี เอ็งเล่นข้าไม่ได้หรอกเว้ยไอ้ตรัย” แทนคุณย้อนพลางหัวเราะชอบใจ “ทำมาเป็นพูดดี แล้วเอ็งล่ะอะไรยังไง ไม่คิดจะแนะนำคุณคนสวยให้เพื่อนรู้จักหน่อยเหรอครับ”
แทนคุณแซวพลางใช้หางตาเหล่หาผู้หญิงหน้าหวานที่เพื่อนพามาทานข้าวด้วย ทว่าภาพฟ้าที่ยืนสังเกตอยู่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายถอดสีอย่างชัดเจน เธอเลยสะกิดแขนคนของตัวเองเบาๆ ให้พอรู้ตัว
“เธอชื่อเรียวหนาม มาหยา” ฤทธิ์ตินัยชะงักคำพูดเหมือนหยุดคิดเล็กน้อย “เป็นนางเอกละครเรื่องใหม่ของข้า”
“แค่นั้นจริงเหรอวะ” แต่ดูเหมือนว่าความคะนองปากจะทำให้แทนคุณหยุดแซวเพื่อนเก่าต่อไม่ได้
“ก็เออสิวะ ไม่มีอะไรในกอไผ่เว้ย”
“สวัสดีค่ะ”
ภาพฟ้าจดจ้องเรียวหนามไม่วางตา เห็นเจ้าหล่อนยกมือไหว้อย่างสวยงามตามแบบฉบับกุลสตรีไทย ต่อด้วยคลี่รอยยิ้มหวานทักทาย เธอมองจากการแต่งตัวอีกฝ่ายดูจะเป็นคนเรียบร้อย ท่าทางน่าจะเป็นผู้หญิงพูดน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเรียวหนาม” แทนคุณกล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร ก่อนจะเหล่มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เชื่อในคำพูดที่ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่เท่าไหร่นัก “เรียกผมว่าแทนก็ได้ครับ อ้อ! ลืมแนะนำไปเลย นี่ภาพฟ้า ว่าที่ภรรยาของผมในอนาคต”
“แทน…” ภาพฟ้าใช้สายตากล่าวตำหนิคนข้างกายก่อนจะหันมาทักทายคนรู้จักใหม่ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณตรัย คุณเรียวหนาม”
แม้ภายนอกภาพฟ้าจะวางตัวเป็นปกติ แต่ความคิดภายในหัวกำลังสับสนและว้าวุ่น หญิงสาวอยากจะหยิบสมาร์ตโฟนในกระเป๋าสะพายข้างตนออกมาเสิร์ชหาข้อมูลแม่นางเอกสาวตรงหน้าใจแทบขาด ถ้าเธอใคร่อยากเห็นว่าหน้าตาแฟนเก่าของเทพบุตรเป็นยังไงสักนิด ป่านนี้คงได้รู้กันแล้วว่าโลกมันกลมอย่างที่โคลัมบัสกล่าวไว้จริงรึเปล่า
(โปรดติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.