X
    Categories: ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ฉู่หวังเฟย ชายาสองวิญญาณ บทนำ – บทที่ยี่สิบ

หน้าที่แล้ว1 of 21

บทนำ ชาติก่อนและชาตินี้

 ‘ปัง!’ เสียงลั่นไกพลันดังขึ้น อวิ๋นเชียนเมิ่งถลาไปอยู่หน้าเพื่อนร่วมงานแล้วล้มลงกับพื้นไปตามเสียงนั้น…

เมฆหมอกลอยตลบอบอวลตรงหน้า คล้ายความฝันแต่ก็มิใช่ความฝัน ทว่าภาพเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ปรากฏขึ้นในสมองของอวิ๋นเชียนเมิ่ง…

“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…ขอร้องท่าน…อย่าถอนหมั้นเลยนะเจ้าคะ! ขอร้องท่าน…” ภายในตำหนักจินหลวนอันวิจิตรตระการตาสะท้อนเสียงวิงวอนอันขมขื่นแผ่วเบาของเด็กสาวอยู่เนิ่นนาน

ทว่าท่าทางน่าสงสารของเด็กสาวมิได้นำพาให้ทุกคนเกิดความเวทนา เหล่าข้าราชบริพารกำลังปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเจ้านายตนเองอย่างแข็งขัน แต่เจ้านายหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับมองไปยังบุรุษซึ่งถูกเด็กสาวอ้อนวอนอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

“เฉินอ๋อง เจ้าดู…” ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรกวาดพระเนตรมองอัครเสนาบดีอวิ๋นแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปทางเฉินอ๋องซึ่งยืนอยู่กลางท้องพระโรงด้วยความลำบากพระทัยเล็กน้อย

เด็กสาวเห็นฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทรงมีพระพักตร์หนักพระทัย ในดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาฉายประกายเศษเสี้ยวความหวัง ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นมองไปยังเฉินอ๋องซึ่งอยู่ข้างๆ ตนด้วยแววเว้าวอนยิ่งกว่าเดิม หวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจ

“กระหม่อมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ขอฝ่าบาททรงช่วยให้สมปรารถนาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยของเฉินอ๋อง

“ไม่เอานะ…ไม่เอา…” เด็กสาวทนรับคำปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของเฉินอ๋องไม่ไหว นางส่ายศีรษะไปมา หยาดน้ำในดวงตาไหลพรากมากกว่าเดิม กลีบปากอ่อนนุ่มสั่นเทาน้อยๆ เนื่องจากได้รับความสะเทือนใจมากเกินไป ทว่าสีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยมของเฉินอ๋องกลับทำให้เด็กสาวทัดทานอย่างรุนแรงในใจแต่มิกล้าแสดงออกมาให้ประจักษ์ นางทำได้เพียงอึ้งงันพูดพึมพำกับตนเอง

อีกทั้งภายในท้องพระโรง ทุกคนยิ่งกลั้นลมหายใจเพราะคำตอบของเฉินอ๋อง

เด็กสาวสีหน้าซีดขาวราวกับหิมะ นัยน์ตาเว้าวอนกวาดมองไปรอบๆ ท้องพระโรงอีกครา จากนั้นกัดริมปากล่างของตนโดยพลันแล้วคุกเข่าให้เฉินอ๋องที่อยู่ตรงหน้า

“ท่านอ๋อง…เมิ่งเอ๋อร์ขอร้องท่าน…อย่าถอนหมั้นเด็ดขาดนะเจ้าคะ…ขอร้องท่าน…” ริมฝีปากบางยังคงเอ่ยวิงวอนด้วยเสียงขาดๆ หายๆ เด็กสาวไม่สนใจสายตาชิงชังของทุกคน โขกศีรษะให้เฉินอ๋องอย่างรุนแรง

เสียงสูดหายใจเบาๆ พลันดังขึ้น สายตาดูหมิ่นพุ่งไปยังเด็กสาวที่กำลังโขกศีรษะไม่หยุดผู้นั้นในทันใด

ครั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน อีกทั้งเสียงโขกศีรษะที่ข้างหูซึ่งดังขึ้นไม่หยุด ทำให้เฉินอ๋องที่เดิมทีทอดสายตามองออกไปแสนไกลพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็ก้มลงมองเด็กสาวข้างๆ ตนด้วยสายตาเจือความเกลียดชัง เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดอ่อนแอและร้องไห้สะอึกสะอื้นของนาง สีหน้าเขาก็ยิ่งมืดทะมึน เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นกว่าเดิม “ข้าไม่มีทางรับสตรีขี้ขลาดปวกเปียกอย่างเจ้าเป็นชายาเด็ดขาด!”

สิ้นคำเฉินอ๋องก็เบนสายตาไปจากร่างบางตรงหน้า ไม่เอ่ยวาจาใดอีก

ได้ยินคำตอบตัดรอนเช่นนี้ สองไหล่ของเด็กสาวก็พลันลู่ลง ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง ริมฝีปากล่างที่ถูกฟันกัดแน่นมีโลหิตไหลซึมออกมามากกว่าเดิม

ถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นต่อหน้าธารกำนัล ถึงแม้อวิ๋นเชียนเมิ่งจะเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ แต่เกรงว่าการที่ชาตินี้นางจะได้แต่งให้ผู้อื่นนั้นคงกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ไปเสียแล้ว อีกทั้งยามนี้สายตารังเกียจของทุกคนยิ่งทิ่มแทงตรงมาที่อวิ๋นเชียนเมิ่ง ทำให้นางหัวเราะร่าขึ้นมาคล้ายกับเสียสติไปชั่วขณะ

“เฮอะๆ…เฮอะๆ…” หยดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มไม่สิ้นสุด ร่างของเด็กสาวที่ฟุบหมอบอยู่กับพื้นสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง หัวเราะเสียงดังลั่นราวกับคลุ้มคลั่งก็มิปาน

อวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ เงยดวงหน้างามพิสุทธิ์ขึ้น พิศมองเฉินอ๋องซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลอีกครั้ง

“ท่านอ๋องไม่ต้องการข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะมีหน้าอยู่ต่อไปอย่างไรได้” อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดพึมพำกับตนเอง พร้อมหยัดกายยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ทว่าสายตายังคงไม่หันเหออกจากร่างของเฉินอ๋อง

ท่าทางราวกับจวนเจียนหัวใจสลายนี้ช่างชวนให้น่าเวทนายิ่งนัก ทว่าดวงหน้าเศร้าสร้อยของนางกลับมิได้รับสายตาเวทนาจากเฉินอ๋องแม้เพียงน้อยนิด

ดวงตาที่พร่าเลือนของอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ หันเหไปยังเสามังกรสีแดงภายในท้องพระโรง ก่อนที่นัยน์ตาจะปรากฏแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ออกมาอย่างชัดเจนยิ่ง

“เร็วเข้า! รีบขวางนางไว้!” ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ซึ่งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของอวิ๋นเชียนเมิ่งร้องตะโกนขึ้นทันที ทุกคนพลันตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

‘ตึง!’ เสียงกระแทกดังก้องตำหนักจินหลวนอันงามวิจิตรโอ่อ่าในทันใด…

บทที่ 1 ถอนหมั้นในท้องพระโรง

 ศีรษะเจ็บปวดราวกับจะปริแตก อวิ๋นเชียนเมิ่งพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งทั้งสองข้าง แต่กลับพบว่าสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาข้างขวาคือสีแดงฉาน

ศีรษะซึ่งเดิมทีปวดแปลบไม่หยุด ยามนี้ยิ่งทวีความเจ็บปวดรวดร้าวพร้อมกับการลืมตาขึ้นของนาง

ในสายตาที่พร่าเลือน อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอายโบราณ อีกทั้งนอกจากกลิ่นหอมที่อบอวลอยู่รอบด้านแล้วยังเจือด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

อวิ๋นเชียนเมิ่งจำได้ว่าตนเองกำลังปฏิบัติภารกิจไล่หาตัวหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติดกับเพื่อนร่วมงานที่สถานีตำรวจอยู่แท้ๆ แล้วทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

ศีรษะที่ได้รับบาดเจ็บพลันปวดแปลบ ในสมองของอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา…

เจ้าของร่างนี้ก็ชื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งเช่นเดียวกัน เป็นบุตรสาวในภรรยาเอกของอวิ๋นเสวียนจือ อัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นซีฉู่ ทว่าชวีซื่อ มารดาผู้ให้กำเนิดกลับป่วยเสียชีวิตตอนอวิ๋นเชียนเมิ่งอายุครบเดือน

ในจวนอัครเสนาบดีฝ่ายขวาอันกว้างขวางโอ่อ่าก็ได้ซูชิงซึ่งเป็นอนุภรรยาของอวิ๋นเสวียนจือควบคุมดูแลนับแต่นั้นมา

อวิ๋นเชียนเมิ่งสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเด็กจึงทำให้มีนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอ ถูกน้องสาวต่างมารดารังแกดูหมิ่นแต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน โชคดีที่พี่สาวร่วมอุทรของชวีซื่อเป็นไทเฮาองค์ปัจจุบันของแคว้นซีฉู่ พระนางทรงจัดแจงให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหมั้นหมายเป็นชายาเฉินอ๋องตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่หารู้ไม่ว่าในใจเฉินอ๋องมิได้เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้เลย ยามนี้ถึงได้โวยวายขอราชโองการถอนหมั้นไปถึงตำหนักจินหลวน จึงนำไปสู่เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงก่อนหน้านี้

ภาพเหตุการณ์ในสมองหยุดลงในชั่วพริบตาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งโขกเสาตาย ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้พลันรู้สึกปวดศีรษะมากผิดปกติ อดส่งเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดเบาๆ มิได้

“เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าฟื้นเสียที!” เสียงตกใจระคนดีใจดังขึ้นเหนือศีรษะในทันที

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินสุ้มเสียงที่แฝงด้วยความน่าเกรงขามนั้น หลังจากรอให้ความมืดมิดตรงหน้าค่อยๆ จางหายไปถึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยามนี้กลับเห็นว่ามีสตรีอายุราวๆ สี่สิบปีนั่งอยู่ข้างเตียง ในดวงตานางเจือด้วยแววเป็นกังวล ทว่าความสูงศักดิ์น่ายำเกรงบนสีหน้ากลับทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความหวาดหวั่น กอปรกับชุดชาววังสีแดงเข้มของนาง บนศีรษะปักด้วยปิ่นทองหงส์คาบมุก เกรงว่าไทเฮาที่ปรากฏในสมองเมื่อครู่ก็คือนางนี่แหละ!

“ไทเฮา…” ใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งปรากฏความหวาดเกรง ดิ้นรนหมายจะลงไปนั่งบนพื้น แต่จนปัญญาที่ร่างกายไม่เป็นใจ ไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็ตัวเอียงกระเท่เร่พิงเสาเตียง ทำได้เพียงมองไปยังไทเฮาซึ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาขออภัย

“นางเด็กน้อยไฉนถึงหัวรั้นเช่นนี้ สุ่ยเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์ ยังไม่รีบประคองเจ้านายพวกเจ้าให้นอนดีๆ อีก” ไทเฮาทรงประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยพระองค์เอง จากนั้นตรัสสั่งสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยพระสุรเสียงเย็นเยียบทันที

“เจ้าวางใจเถิด เรื่องวันนี้ข้าจะไม่ปล่อยไปเฉยๆ แน่!” ไทเฮาทอดพระเนตรสีหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของอวิ๋นเชียนเมิ่ง โทสะในดวงพระเนตรทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พระนางหันพระวรกายเล็กน้อย สายพระเนตรเย็นเฉียบพุ่งไปยังชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง ยิ้มเย็นพลางตรัส “เมื่อครู่ตอนอยู่ในท้องพระโรง เหตุใดอัครเสนาบดีอวิ๋นถึงไม่เอ่ยวาจาใดๆ คิดว่าหลานสาวของข้าไม่ควรค่าให้เอ่ยวาจาอย่างนั้นหรือ หรือว่าเมิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า”

บุรุษผู้นั้นถูกไทเฮาซักไซ้ถาม สีหน้าจึงย่ำแย่โดยพลัน กล่าวอย่างนอบน้อมทันที “ไทเฮาโปรดทรงระงับความพิโรธ กระหม่อมเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉินอ๋องจะเอ่ยเรื่องถอนหมั้นในท้องพระโรง พอกระหม่อมได้สติกลับคืนมา เมิ่งเอ๋อร์ก็…”

ครั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ค่อยๆ หันไปยังบุรุษที่อยู่ข้างเตียงผู้นั้น ถึงแม้จะเอ่ยวาจาอย่างเคารพนบนอบ แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นกลับไม่มีความรักใคร่บุตรสาวของตนเองแม้แต่น้อยนิด สิ่งที่แฝงมากับอากัปกิริยานอบน้อมนั้นมีเพียงขนบจารีตระหว่างขุนนางและนายเหนือหัวเท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าใจในบัดดล เกรงว่าหญิงสาวที่ตายไปแล้วแม้แต่ก่อนเกิดมาก็ไม่เคยได้รับความรักจากอวิ๋นเสวียนจือ ถึงได้พบกับจุดจบน่าสังเวชปานนี้

และตนเองก็โชคร้ายถูกยิง แต่กลับมีชีวิตรอดมาอยู่ในร่างนี้แทนหญิงสาวผู้นั้น

หัวคิ้วขมวดแน่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ หากมิใช่เพราะความเจ็บปวดบนศีรษะบอกนางว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง อวิ๋นเชียนเมิ่งคงคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องรีบแก้ไขการหมั้นหมายที่ทุกคนไม่เห็นชอบนั้นโดยเร็วที่สุด

“ไทเฮาเพคะ” เสียงอ่อนระโหยเบี่ยงเบนความสนใจของไทเฮาได้ในทันที อวิ๋นเชียนเมิ่งพยายามยืนขึ้นโดยมีสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์คอยประคอง นางคารวะไทเฮาอย่างนิ่มนวล

“เจ้าทำอะไรน่ะ รีบนอนลงเร็วๆ เข้า มีเรื่องอันใดรอให้บาดแผลหายก่อนค่อยว่ากัน” ความเย็นชาในพระเนตรของไทเฮาหายวับไปทันใด พระนางทอดพระเนตรอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่สงสาร ยิ่งกว่านั้นพระหัตถ์ข้างหนึ่งยังถือผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดรอยเลือดที่ติดอยู่บนตาขวาให้นางอีกด้วย

“ไทเฮาทรงเวทนาเมิ่งเอ๋อร์ เป็นวาสนาของเมิ่งเอ๋อร์ยิ่งนัก เพียงแต่เมิ่งเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง ขอไทเฮาทรงช่วยให้สมปรารถนาด้วยเพคะ” พูดไปอวิ๋นเชียนเมิ่งก็คุกเข่าลง ไม่ว่าสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์จะดึงอย่างไรก็ดึงไม่ขึ้น

พอเห็นท่าทีแข็งกร้าวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง อวิ๋นเสวียนจือซึ่งอยู่อีกด้านก็พลันขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นเอ่ยว่า “อะไรอีกเล่า! ที่เจ้าทำก่อนหน้านี้ก็สูญศักดิ์ศรีคุณหนูจวนอัครเสนาบดีจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ยังจะกล้าพูดข่มขู่ไทเฮาอีก เจ้า…”

“เมิ่งเอ๋อร์อยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าท้องพระโรงเพคะ” แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่รอให้อวิ๋นเสวียนจือตำหนิจบก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“ได้!” ไทเฮาถึงกับโพล่งตอบรับคำขอร้องของอวิ๋นเชียนเมิ่งในทันที

“แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าห้ามทำการบุ่มบ่ามอีก!” ทว่ายามสายพระเนตรของไทเฮากวาดมองยังบาดแผลบนศีรษะของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับตรัสเสริมอีกหนึ่งประโยค คล้ายกับทรงกังวลว่าพออวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเฉินอ๋องจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะอีกครั้ง

อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำเตือนในวาจาไทเฮาออกจึงก้มหน้าน้อยๆ เอ่ยปากอย่างสุขุมเยือกเย็น “เพคะ”

“อัครเสนาบดีอวิ๋นก็ตามข้ามาแล้วกัน อย่างไรเจ้าก็เป็นบิดาของเมิ่งเอ๋อร์” ไทเฮาทรงหันกลับไปตรัสกับอวิ๋นเสวียนจือ พระเนตรเฉียบแหลมคู่นั้นฉายแววติเตียน เหมือนกับกำลังตำหนิว่าอวิ๋นเสวียนจือไม่ห่วงใยบุตรสาว

เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่พอพระทัยที่ไทเฮามีต่อตนเอง อวิ๋นเสวียนจือจึงช้อนสายตากวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่กำลังก้มหน้าแวบหนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างพินอบพิเทา “น้อมรับบัญชาไทเฮา”

คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่างเท้าเดินไปยังตำหนักจินหลวนภายใต้การนำของไทเฮา

อาจเป็นเพราะไทเฮาทรงเห็นใจที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจึงผ่อนฝีพระบาทลง แต่กลับเป็นการให้เวลาอวิ๋นเชียนเมิ่งทำความคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของบุคคลต่างๆ พอดิบพอดี

“กระหม่อมถวายบังคมไทเฮา อ้าว คุณหนูอวิ๋นผู้นี้เป็นอะไรไปหรือ ไฉนถึงเปรอะเปื้อนโลหิตไปทั่วทั้งร่างเล่า” ขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจัดการกับภาพเหตุการณ์ในสมอง เสียงหยอกล้อก็ดังขึ้นจากเบื้องหน้า เสียงเยาะเย้ยถากถางนั้นทำให้ฝีเท้าของทุกคนหยุดลงชั่วคราว

“เหตุใดอัครเสนาบดีฉู่จึงมาอยู่ที่นี่ได้” เมื่อเห็นว่ามีคนเอาสภาพของอวิ๋นเชียนเมิ่งมาพูดล้อเลียนอย่างโจ่งแจ้ง สีพระพักตร์ของไทเฮาก็ง้ำงอเล็กน้อย ในพระสุรเสียงเจือด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจนยิ่ง

อวิ๋นเสวียนจือก็ใบหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน ริมฝีปากที่เม้มแน่นกลับเผยความโกรธเกรี้ยวของตนออกมา

อวิ๋นเชียนเมิ่งเงยหน้าขึ้นน้อยๆ สายตามองเลยผ่านไทเฮาที่อยู่ตรงหน้าไปยังบุรุษใบหน้าประดับรอยยิ้มผู้หนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าตำหนักจินหลวน เขาสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งชั้นเอกสีม่วงอมแดง รูปร่างสูงสง่าขับเน้นให้ดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก โดยเฉพาะจอนผมเป็นระเบียบราวมีดตัด คิ้วเข้มดุจหมึกวาด ใบหน้าราวกลีบดอกท้อ ดวงตาวาววับดั่งลูกคลื่นแห่งสารทฤดู ยามนี้กำลังจ้องมองพวกเขาคล้ายกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ยิ่งทำให้คนผู้นี้ดูหล่อเหลาอย่างยิ่งยวด ชวนให้คนสนอกสนใจยิ่งกว่าเฉินอ๋องผู้เย็นชาในความทรงจำเสียอีก

เมื่อครู่ไทเฮาเพิ่งจะตรัสเรียกเขาว่า ‘อัครเสนาบดีฉู่’ เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่เฟยหยางผู้เลื่องชื่อกระมัง

“กราบทูลไทเฮา กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลฝ่าบาท จึงประจวบเหมาะพบกับไทเฮาพอดิบพอดีพ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้จะตอบคำถามของไทเฮา แต่สายตาของฉู่เฟยหยางกลับจ้องผ่านทุกคนไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่แฝงความฉลาดเฉลียวท่ามกลางรอยยิ้มบางๆ ยามเห็นสีหน้าเยือกเย็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลบทับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนจะเลิกม่านประตูออกด้วยตนเอง ทูลเชิญไทเฮาเสด็จเข้าไปด้านใน

การกระทำของฉู่เฟยหยางทำให้พระเนตรของไทเฮามีแววหงุดหงิดวาบผ่าน ทว่าขันทีผู้น้อยได้รายงานไปยังด้านในว่าพระนางเสด็จมาถึงแล้ว จึงได้แต่เดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมกับฉู่เฟยหยาง

“เหตุใดเสด็จแม่ถึงเสด็จมาด้วยองค์เองเล่า” ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทรงให้เกียรติไทเฮายิ่ง จึงลุกยืนขึ้นต้อนรับไทเฮา

ยามที่เฉินอ๋องซึ่งเดิมทียืนอยู่ในท้องพระโรงมองเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความชิงชังในดวงตาของเขาก็พลันปรากฏขึ้นทันที

เพียงแต่ครั้งนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้มีท่าทีตระหนกตกใจหรือเศร้าหมองเพราะความรังเกียจที่ชัดแจ้งของเฉินอ๋องแต่อย่างใด ตัวนางในยามนี้ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในท้องพระโรงตามหลังไทเฮาโดยมิได้แยแสต่อสายตาใครทั้งสิ้น

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะทะสู่ใบหน้าของทุกคนในท้องพระโรง สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจดจ้องอยู่ที่เสามังกรสีแดงเสานั้นอย่างห้ามไม่อยู่

ถึงแม้เสานั้นจะถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่บนพรมรอบๆ ยังคงเหลือรอยเลือดสีแดงเข้มอยู่ กลิ่นเครื่องหอมที่ลอยตลบอบอวลในท้องพระโรงจึงยังคงไม่สามารถกลบกลิ่นคาวเลือดที่แสบจมูกนั้นได้

สีหน้าเย็นชาของเฉินอ๋องนั้นยามมองเห็นนางดวงตาก็ปรากฏความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เศษเสี้ยวความโกรธวาบผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง

ดูท่าว่าในใจของเฉินอ๋อง ชีวิตคนคงด้อยค่าถึงเพียงนี้!

ถึงแม้ตนเองจะไม่เห็นด้วยกับการที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปลิดชีพตนเองและยังเหยียดหยามความอ่อนแอของนางยิ่งนัก แต่คนผู้นี้ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว นางก็เป็นเพียงแค่คนน่าสงสารผู้หนึ่งเท่านั้น

อวิ๋นเชียนเมิ่งถวายบังคมฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตามทุกคนเล็กน้อย จากนั้นยืนนิ่งอยู่อีกด้าน สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า เมินเฉยเฉินอ๋องไปโดยสิ้นเชิง

“ย่อมมาเพราะเรื่องยายหนูเมิ่งน่ะสิ เฉินอ๋อง ยายหนูเมิ่งเป็นธิดาในภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นหลานสาวของข้า เจ้ายังมีอันใดไม่พอใจอีก” เฉินอ๋องยืนอยู่ในท้องพระโรงด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ความโกรธกริ้วฉายวาบอยู่ในพระเนตรของไทเฮา

วาจาของไทเฮาทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอดลอบขมวดคิ้วกับตนเองไม่ได้ ก่อนจะแสร้งทำท่าทางหลงใหลในทันที จดจ้องเฉินอ๋องด้วยความรักลึกซึ้งอีกครา ปากเอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว “ท่านอ๋อง…”

เสียงเรียกอันลุ่มหลงทำให้ในดวงตาเฉินอ๋องราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็ง เอ่ยอย่างไม่ยั้งไมตรียิ่งกว่าเก่า “ข้าพูดกระจ่างแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันรับเจ้าเป็นภรรยาเด็ดขาด เก็บความเพ้อฝันในใจเจ้าไปเสีย”

“วาจานี้ท่านอ๋องพูดจริงหรือเจ้าคะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตาเลื่อนลอยเมื่อครู่ เอ่ยปากย้ำเพื่อความแน่ใจอย่างเยือกเย็นผิดปกติ

“จริงแท้แน่นอน!” เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงท่าทางอ่อนแอก่อนหน้านี้ของนาง เฉินอ๋องก็เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“เช่นนั้นก็ตามแต่เฉินอ๋องปรารถนา!” วาจาของเฉินอ๋องเพิ่งจะสิ้นคำ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็พูดตอบทันที สุ้มเสียงเย็นเยียบกระทบเข้าหูของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น วาจานี้กล่าวเพียงประโยคสั้นๆ ทว่ากลับทำให้ทุกคนตกใจจนตะลึงงันไป

ไม่มีใครเข้าใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก่อนหน้านี้ยังอ้อนวอนขอร้องจนถึงขั้นคัดค้านอย่างไม่เสียดายชีวิต ไฉนถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ถึงกับช่วยให้เฉินอ๋อง ‘สมปรารถนา’

สิ่งนี้ทำให้ในใจของทุกคนสับสนงุนงงยิ่ง คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งใช่ศีรษะกระแทกจนสมองใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะหรือไม่ จึงพากันมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงด้วยความหวาดระแวง

ถึงแม้อวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้หน้าผากได้รับบาดเจ็บจนรูปโฉมเสียหาย ทว่าความสุขุมเยือกเย็น แววไม่นบนอบไม่โอหังในดวงตากลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งกว่าคืออวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละคน รัศมีแห่งความมั่นใจในตนเองกำจายออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กาย ถึงกับทำให้ทุกคนตะลึงลานในทันใด

“เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลแผนแกล้งปล่อยเพื่อจับของเจ้า?” ยามนี้เสียงเย้ยหยันกลับทำลายความเงียบสงัดในท้องพระโรง เฉินอ๋องมองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยดวงตาเปี่ยมแววหยามเหยียด วาจาที่ออกมาจากปากหมิ่นเกียรติอย่างถึงที่สุด

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้มจางๆ ท่ามกลางสายตางุนงงประหลาดใจของทุกคน จากนั้นคุกเข่าคำนับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทันที “ขอฝ่าบาททรงประกาศราชโองการล้มเลิกสัญญาหมั้นหมายของหม่อมฉันกับเฉินอ๋องด้วยเพคะ นับแต่นี้ไปบุรุษแต่งงานสตรีออกเรือน ต่างคนต่างไม่เกี่ยวข้องกัน!”

ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับพูดจริง!

หากบอกว่าวาจาของนางก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนคิดในใจว่าเป็นเพราะความโกรธเกรี้ยว แต่ยามนี้เห็นนางถึงกับทูลขอราชโองการด้วยตนเอง ในดวงตาของทุกคนพากันทอประกายความรู้สึกที่แตกต่างกันไป

“เมิ่งเอ๋อร์ เลิกพูดจาเลอะเลือนเสีย ข้าจะเป็นธุระให้เจ้าเอง จะยอมให้เจ้าตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตโดยพลการได้เยี่ยงไร!” ผู้ที่เปล่งเสียงขึ้นเป็นคนแรกก็คือไทเฮา พระนางถลึงพระเนตรใส่อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาเปี่ยมแววตักเตือน ยิ่งกว่านั้นพระหัตถ์ข้างหนึ่งยังกดหัวไหล่ของอวิ๋นเชียนเมิ่งเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย พระนางลอบออกแรงเบาๆ เตือนให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหุบปาก

“เมิ่งเอ๋อร์ขอบพระทัยไทเฮามากเพคะที่ทรงห่วงใย แต่ว่าเฉินอ๋องมิได้มีใจให้ข้า แล้วข้าจะไปบีบบังคับให้ผู้อื่นลำบากใจได้อย่างไร ถึงแม้เมิ่งเอ๋อร์แต่งงานไปก็เกรงว่าคงจะไม่มีความสุข ไทเฮาทรงเห็นใจเมิ่งเอ๋อร์ กลัวว่าเมิ่งเอ๋อร์คงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากสินะเพคะ” ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับไม่รู้สึกถึงความลำบากยากเข็ญของไทเฮาเลยแม้แต่น้อย กลับเอ่ยปากด้วยใบหน้าแน่วแน่ ทำให้ไทเฮาหาวาจามาโต้แย้งไม่ได้ชั่วขณะ

เฉินอ๋องซึ่งอยู่อีกด้านเพิ่งพบว่าบัดนี้ตนเองถูกหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งเล่นงานเข้าให้จริงๆ!

ก่อนหน้านี้แสร้งทำท่าทางน่าสงสารเวทนา แต่พอหลอกให้เขาพูดเสร็จก็เปลี่ยนหน้าโดยพลัน

ยามนี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งใบหน้าสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็นผิดปกติไร้ซึ่งความหลงใหลที่มีต่อเขาอีกต่อไป พลันทำให้ในใจเฉินอ๋องรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทั้งๆ ที่เมื่อครู่สตรีผู้นี้ยังฆ่าตัวตายเพราะเขาอยู่เลย แล้วเหตุใดถึงมีท่าทีไม่แยแสเขาเช่นนี้เล่า

“อวิ๋นเชียนเมิ่ง เจ้า…” เฉินอ๋องเพิ่งคิดจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกเสียงของบุรุษหนุ่มจากอีกด้านตัดบทเอาดื้อๆ

“ฝ่าบาท ในเมื่อเฉินอ๋องกับคุณหนูอวิ๋นต่างยินยอมล้มเลิกสัญญาหมั้นหมาย แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ดลบันดาลให้ผู้อื่นสมปรารถนาเล่าพ่ะย่ะค่ะ โลกนี้จะได้ลดคู่เวรคู่กรรมลงไปอีกหนึ่งคู่” ไม่คาดว่าฉู่เฟยหยางซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งวาจาของเขายังดึงดูดสายตาโกรธเกรี้ยวของเฉินอ๋องได้ทันที

การแต่งงานของชินอ๋อง* ผู้หนึ่งใช่เรื่องที่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายสามารถเจ้ากี้เจ้าการได้เสียที่ไหน

เพียงแต่การถอนหมั้นครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน หากยามนี้ตนเองรั้งอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้นั้นไม่เท่ากับว่าเขาตบปากตนเองหรอกหรือ

ในระหว่างที่เฉินอ๋องกำลังครุ่นคิด อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ขอฝ่าบาทกับไทเฮาทรงเห็นแก่ที่เมิ่งเอ๋อร์สูญเสียมารดาตั้งแต่เยาว์วัยช่วยให้เรื่องนี้สมปรารถนาด้วยเพคะ”

เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าแน่วแน่ ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กับไทเฮาจึงแลกเปลี่ยนสายพระเนตรกันแวบหนึ่ง ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่แล้วถึงตรัสด้วยความเสียดาย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ยกเลิกไปเสีย”

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เมื่อได้ยินคำตอบที่ตนเองพอใจ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก้มศีรษะขอบพระทัยฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เสียงใส

“เสด็จแม่ เรื่องที่เหลือต้องขอให้พระองค์เปลืองแรงแล้ว เรายังมีเรื่องต้องปรึกษากับอัครเสนาบดีฉู่” เมื่อเห็นว่าละครฉากนี้สิ้นสุดลงในที่สุด ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้จึงตรัสกับไทเฮาอย่างนอบน้อม แต่สุดท้ายแล้วพระเนตรที่แฝงด้วยความเฉียบขาดคู่นั้นกลับกวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก้มหน้ามาโดยตลอด

ไทเฮาทอดพระเนตรฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสเช่นนั้น ในพระทัยจึงอดผิดหวังมิได้ ทว่าบนพระพักตร์ยังคงเยือกเย็นดังเดิม ก่อนตรัสขึ้นอย่างอ่อนโยน “ราชกิจเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าจะพาเด็กคนนี้กลับวังข้าก่อน”

สิ้นคำก็ทรงนำทุกคนออกจากตำหนักจินหลวน แต่ยามที่เฉียดผ่านฉู่เฟยหยาง ฝีพระบาทของไทเฮากลับหยุดชะงักเล็กน้อย แววพระเนตรอ่อนโยนกลับกวาดมองฉู่เฟยหยางอย่างแฝงด้วยความเฉียบขาดแวบหนึ่ง

ทว่าฉู่เฟยหยางกลับประดับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าไว้ตลอดเวลา ไม่หวาดกลัวสายพระเนตรที่แฝงความน่ายำเกรงของไทเฮาแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่เคยมองดูเขาเลย

“ไทเฮา กระหม่อมยังมีธุระ ขอทูลลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!” เพิ่งจะก้าวออกจากท้องพระโรง เฉินอ๋องก็หาข้ออ้างแล้วหันกายจากไป ทว่าสายตาปราดสุดท้ายก่อนจากไปกลับมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะคู่นั้นจ้องตรงมายังอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับจะทิ่มแทงให้ทะลุร่างนาง

ครั้นทุกคนกลับไป ไทเฮาจึงถอดรอยแย้มพระโอษฐ์บนพระพักตร์ออก มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เจ้ากี้เจ้าการตัดสินใจเอาเองด้วยสายพระเนตรระคนแววเย็นเยียบ

“ขอไทเฮาทรงลงโทษที่เมื่อครู่เมิ่งเอ๋อร์ใจกล้ากระทำการบุ่มบ่ามด้วยเพคะ” หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าไทเฮาทรงไม่พอพระทัย นางรีบคุกเข่าลงรับผิดทันที แต่กลับถูกไทเฮาประคองขึ้นมา

ในพระทัยไทเฮาพลันบังเกิดความประหลาดใจต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ จากนั้นก็เข้าใจเหตุผลในทันที สายพระเนตรติเตียนเบนไปยังอวิ๋นเสวียนจือ ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “ช่างเถิด วันนี้เจ้าได้รับความคับข้องใจมากพอแล้ว ประเดี๋ยวนั่งราชรถหงส์ของข้ากลับจวนไปพักผ่อนให้ดีๆ เถิด บาดแผลบนศีรษะเจ้าต้องรักษาให้หายนะ หากอี๋เหนียง ที่จวนอัครเสนาบดีไม่ยินยอม เจ้าก็ให้สุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์กลับมาหาข้า”

ว่าแล้วไทเฮาก็ทรงหยิบป้ายทองขนาดเท่าฝ่ามือออกมามอบให้สุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมรับสั่งว่า “หากคุณหนูมีเรื่องใดที่จวน ป้ายคำสั่งนี้สามารถทำให้เจ้ากับปิงเอ๋อร์เข้าออกวังของข้าได้อย่างอิสระ”

สิ้นคำไทเฮาก็ไม่รั้งรออีก พานางกำนัลของตนออกจากท้องพระโรงทันที เหลือเพียงอวิ๋นเสวียนจือที่สีหน้าย่ำแย่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสงบ

บทที่ 2 กลับจวนอัครเสนาบดี เรียกตัวคนสนิท

 หน้าประตูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดีในยามนี้ ซูชิงซึ่งมีฐานะเป็นอนุภรรยาใบหน้าเปี่ยมยิ้มรอสามีของตนกลับมา ยิ่งกว่านั้นอวิ๋นรั่วเสวี่ยผู้เป็นบุตรสาวซึ่งอยู่ข้างๆ นางกำลังชะเง้อคอรอดูเรื่องตลกมากกว่า

แต่ไหนแต่ไรมาข่าวสารภายในวังก็แพร่กระจายรวดเร็ว เรื่องที่อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะโขกศีรษะกับเสาเพื่อฆ่าตัวตายนั้น เกรงว่าจวนตระกูลขุนนางทั้งหมดในเมืองหลวงคงจะได้รับข่าวกันทั่วแล้ว

นี่ทำให้แม่ลูกคู่นี้มีประกายลำพองใจวาดผ่านในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ต้องให้ถึงมือตนเองก็กำจัดหนามยอกอกไปได้อันหนึ่ง จะไม่ให้พวกนางมีความสุขได้อย่างไร

ถ้าหากอวิ๋นเชียนเมิ่งตายไปจริงๆ วันที่ซูชิงจะได้เป็นภรรยาเอกของอวิ๋นเสวียนจือก็คงจะมาถึงในไม่ช้า

ถึงจะโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่นางก็ต้องแบกรับชื่อเสียว่าถูกถอนหมั้นตลอดไป ต่อให้นางมีสถานะเป็นถึงบุตรสาวในภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดี แต่ชาตินี้ก็คงไม่อาจหาสามีที่เพียบพร้อมได้อีก

“เอ๋? เหตุใดถึงเป็นราชรถหงส์ ท่านพ่อกลับมาแล้วมิใช่หรือ” ราชรถหงส์อันงามวิจิตรค่อยๆ สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของทุกคน ทว่ากลับไม่เห็นเกี้ยวขุนนางของอวิ๋นเสวียนจือ จึงทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยเอ่ยถามซูชิงที่อยู่ด้านข้างด้วยความงุนงง

แต่ซูชิงในตอนนี้กลับหุบรอยยิ้มบนใบหน้า ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางมองราชรถหงส์ที่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คิดคาดเดาในใจ

ราชรถหงส์ค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี สุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์เลิกผ้าม่านพลางประคองคนที่อยู่ด้านในออกมาอย่างระมัดระวัง

ชายกระโปรงที่เปรอะเปื้อนรอยเลือดสีแดงเข้มตกกระทบสู่ดวงตาของทุกคนตามการเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ด้านใน

อวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งก้าวออกมาจากราชรถหงส์หน้าผากพันด้วยผ้าขาวบางเป็นชั้นหนา รอยโลหิตสีแดงสดซึมออกมาจากผ้าขาวบางรางๆ

เนื่องจากอวิ๋นเชียนเมิ่งเสียเลือดมากเกินไปจึงทำให้ใบหน้าซีดเซียว แม้จะมีสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์คอยพยุง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง

อวิ๋นรั่วเสวี่ยดวงตาปรากฏแววเย้ยหยันด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ไม่รอให้ซูชิงดึงตัวไว้นางก็เดินเข้าไปหาอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างงามสง่า ขวางอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้หน้าประตูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี

“ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือ หรือว่าเข้าวังครั้งนี้มิได้อยู่ดีกินดี เหตุใดถึงอยู่ในสารรูปเช่นนี้ได้เล่า” อวิ๋นรั่วเสวี่ยสาวเท้าก้าวใหญ่ก้าวเดียวก็มาถึงตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งพลางกล่าวด้วยท่าทางเย้ยหยัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นรอยเลือดที่ยังไม่ได้เช็ดทำความสะอาดบนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ่งหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้กลับมองผ่านอวิ๋นรั่วเสวี่ยเลยไปยังซูชิง เห็นฝีเท้าที่เดิมทียกขึ้นของนางเก็บกลับไป อมยิ้มมุมปากมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยดูหมิ่นตนแต่กลับไม่เอ่ยปากห้าม เห็นได้ชัดว่าซูชิงต้องการเยาะเย้ยตนเองผ่านอวิ๋นรั่วเสวี่ย

ยามนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะการมาของราชรถหงส์ดึงดูดประชาชนจำนวนไม่น้อย ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อบ้านคนใหญ่คนโตแห่งนี้จึงค่อยๆ พากันมองดูเรื่องตลกโดยไม่หวั่นเกรงพระราชอำนาจ

อวิ๋นเชียนเมิ่งหันหน้าเล็กน้อย มองดูเกี้ยวขุนนางของอวิ๋นเสวียนจือซึ่งอยู่ด้านหลังค่อยๆ ใกล้เข้ามา จากนั้นสลัดสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ที่ประคองตนเองอยู่ออกแล้วกล่าวด้วยเสียงดังก้องว่า “บุตรสาวอนุภรรยาพบพี่สาวบุตรภรรยาเอกแล้วไม่ต้องคำนับตั้งแต่เมื่อไร หรือว่านี่คือวิธีการอบรมสอนสั่งของซูอี๋เหนียง ซ้ำวันนี้ยังทำโอหังอวดดีหน้าประตูจวนอัครเสนาบดีถึงเพียงนี้ หรือว่าไม่สนใจภาพลักษณ์สัตย์ซื่อเที่ยงตรงของท่านพ่อเลย!”

ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกไป ผู้คนก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา สายตาทั้งหมดค่อยๆ พุ่งไปยังซูชิงและอวิ๋นรั่วเสวี่ย

พวกซูชิงตะลึงลาน ไม่รู้ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลายเป็นคนแข็งกร้าวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ซูชิงสะกดกลั้นความประหลาดใจเอาไว้ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาช้าๆ ในดวงตารูปเมล็ดซิ่ง อันงดงามปรากฏความเกลียดชังออกมาเล็กน้อย ทว่ายามเดินเข้ามาใกล้ข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณหนูใหญ่ไยต้องโมโหด้วยเล่า เรื่องที่เฉินอ๋องยกเลิกการแต่งงานระหว่างเจ้ากับเขาไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราสักหน่อย เหตุใดคุณหนูใหญ่ต้องมาลงกับพวกเราด้วยเล่า หรือเพราะเห็นว่าพวกเรารังแกง่าย” พูดจบสองแม่ลูกก็พากันหลั่งน้ำตา

ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็หันไปหาอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้ง พอข่าวอันน่าตื่นตระหนกถึงขีดสุดเช่นนี้แพร่ออกมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงคาดเดาต่างๆ นานาก็ค่อยๆ ดังระงม

“หุบปาก!” ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือที่ลงมาจากเกี้ยวรีบเดินเข้ามา สีหน้าที่เดิมทีก็ย่ำแย่อยู่แล้ว เมื่อได้ยินซูชิงพูดเรื่องของอวิ๋นเชียนเมิ่งออกมาในที่สาธารณะก็ยิ่งถมึงทึงขึ้นไปอีก

“ท่านพ่อ! ใจเมิ่งเอ๋อร์รู้ดีเจ้าค่ะ เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีมารดาคอยดูแล อี๋เหนียงและน้องสาวต่างมารดาในจวนอัครเสนาบดีนี้จึงไม่เห็นเมิ่งเอ๋อร์อยู่ในสายตา เพราะเรื่องที่เมิ่งเอ๋อร์ไม่อาจควบคุมได้ในครั้งนี้ จึงคิดจะขับไล่เมิ่งเอ๋อร์ออกจากจวน ท่านพ่อ ถ้าหากจวนอัครเสนาบดีอันใหญ่โตนี้ไม่อาจรองรับเมิ่งเอ๋อร์ เช่นนั้นเมิ่งเอ๋อร์ก็ได้แต่ไปที่วังของไทเฮา อย่างน้อยไทเฮาก็ยังจริงใจต่อลูก” ครั้นเห็นอวิ๋นเสวียนจือปรากฏตัว เงาร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็สั่นเทิ้มน้อยๆ คิ้วใบหลิวพลันขมวด น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายในทันที ร่ำไห้คร่ำครวญเสียงดัง

เมื่อทุกคนได้ยินก็ค่อยๆ เข้าใจว่าจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้อนุภรรยาวางอำนาจบาตรใหญ่ จึงอดสงสารคุณหนูใหญ่ที่ไร้มารดาผู้นี้ไม่ได้

ซูชิงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเสียงร่ำไห้ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง มือที่เดิมทีกำลังเช็ดน้ำตาก็พลันชะงักกึก ในใจบีบรัดแน่น สายตามองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางในวันนี้ถึงแตกต่างไปจากทุกที

ทว่าเมื่ออวิ๋นเสวียนจือเห็นปฏิกิริยาของทุกคน แล้วยังได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งพาดพิงถึงไทเฮา สายตาที่มองมายังพวกซูชิงก็ยิ่งเผยโทสะ ไม่รอให้ซูชิงพูดแก้ตัวก็กล่าวอย่างโมโหทันที “ซูอี๋เหนียงเป็นสตรีแต่กลับออกนอกจวนโดยพลการ กักบริเวณสิบวัน! อวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่เคารพพี่สาว เพิกเฉยลำดับขั้นอาวุโส กักบริเวณครึ่งเดือน!”

“ท่านพ่อ ท่านพูดแทนนางอย่างนั้นหรือ” พอได้ยินว่าถูกกักบริเวณ อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทันที ดวงตามองไปทางอวิ๋นเสวียนจืออย่างไม่อยากเชื่อ แต่นิ้วที่สั่นระริกกลับชี้ตรงไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่ง

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูนิ้วที่เกือบจะแตะโดนปลายจมูกของตน ยิ้มเย็นในใจ เอ่ยปากทันที “ฉวีกงกง!”

“ขอรับ!” ขันทีในชุดชาววังสีแดงเข้มผู้หนึ่งเดินมาข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเร็วไว

“เรื่องในวันนี้เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่” ไม่รอให้อวิ๋นเสวียนจือเอ่ยปากพูดจบ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ในสายตาที่พุ่งไปยังอวิ๋นรั่วเสวี่ยแฝงด้วยแววเย้ยหยันเข้มข้น แต่ใบหน้ายังคงอ่อนแอหาใดเปรียบ ชวนให้คนสงสารยิ่งนัก

“เรียนคุณหนู เห็นชัดแล้ว เมื่อกลับไปจะกราบทูลทุกอย่างแก่ไทเฮาแน่นอนขอรับ” ขันทีผู้นั้นเป็นคนเก่าคนแก่ข้างพระวรกายไทเฮา ย่อมเข้าใจความหมายของอวิ๋นเชียนเมิ่งดี

ความจริงไม่ต้องพูดถึงว่าคุณหนูอวิ๋นมีไทเฮาคอยหนุนหลัง ต่อให้เป็นคุณหนูในภรรยาเอกของครอบครัวธรรมดาๆ ก็ไม่อาจถูกบุตรอนุภรรยาชี้จมูกก่นด่าได้ นี่ทำให้ข้าราชบริพารของวังไทเฮาทุกคนพากันไม่พอใจต่อหลักการครองเรือนของอวิ๋นเสวียนจือยิ่งนัก

“เช่นนั้นก็รบกวนกงกงด้วย วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ฝั่งไทเฮาคงต้องการใช้คน ข้าไม่รั้งทุกท่านไว้แล้ว” อวิ๋นเชียนเมิ่งเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วค้อมกายคารวะฉวีกงกงผู้นั้นเป็นการแสดงความเคารพ

“เข้าใจแล้วขอรับ คุณหนูอวิ๋นโปรดรักษาร่างกายให้ดีๆ” สิ้นคำฉวีกงกงผู้นั้นก็คำนับอวิ๋นเสวียนจือและอวิ๋นเชียนเมิ่งเล็กน้อย จากนั้นนำทุกคนวกกลับวัง

“ท่านพ่อ ลูกเหนื่อยแล้ว ขอกลับห้องก่อนนะเจ้าคะ” พอทุกคนแยกย้ายกลับไป อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ไม่อาลัยอาวรณ์สนามรบนี้อีก เมื่อคำนับอวิ๋นเสวียนจืออย่างอ่อนโยนแล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในจวนโดยมีสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์คอยประคอง

“ท่านพ่อ…” พออวิ๋นเชียนเมิ่งไปแล้ว อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ขยับเข้ามาข้างกายอวิ๋นเสวียนจือด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ สองมือดึงแขนเสื้ออวิ๋นเสวียนจืออย่างออดอ้อน พอเปิดปากก็คิดจะสาดโคลนใส่อวิ๋นเชียนเมิ่ง

ทว่ากลับถูกซูชิงดึงกลับไปอยู่ข้างกาย

“เสวี่ยเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาทเด็ดขาด การตัดสินใจของท่านอัครเสนาบดีเมื่อครู่ถูกต้องแล้ว รีบตามแม่กลับห้องไปสำนึกผิดเดี๋ยวนี้” มือของซูชิงที่จับอวิ๋นรั่วเสวี่ยไว้บีบเบาๆ แววตาค่อยๆ มืดทะมึน บอกเป็นนัยให้บุตรสาวอย่าวู่วาม

ศึกในวันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นฝ่ายชนะอย่างเห็นได้ชัด

 

“คุณหนู เมื่อครู่นายท่านคงจะทำไปเพื่อปกป้องพวกซูอี๋เหนียงนะเจ้าคะ” ทั้งสามทะลุผ่านสวนดอกไม้ของจวนอัครเสนาบดี เดินไปยังเรือนฉี่หลัวซึ่งเป็นที่พำนักของอวิ๋นเชียนเมิ่ง เมื่อเห็นว่าในสวนไม่มีบ่าวรับใช้คนอื่นๆ อยู่ สุ่ยเอ๋อร์จึงเอ่ยเสียงเบา

ครั้นได้ยินเช่นนั้นมุมปากของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็อดยกยิ้มเย็นชาขึ้นมามิได้ เรื่องนี้สุ่ยเอ๋อร์ก็ยังมองออก มีหรือนางจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าถ้าหากวันนี้นางไม่แสดงพลังออกมา แม้แต่ประตูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดีคงจะเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ

ซูชิงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยคงจะได้ข่าวตั้งแต่แรกแล้วแน่ๆ ถึงได้คิดจะทำให้นางอับอายที่หน้าประตูจวน แล้วยืมปากของผู้คนโดยรอบขับไล่นางออกจากจวน แต่ว่าต่อให้พวกนางคิดคำนวณเป็นพันเป็นหมื่นตลบก็คิดไม่ถึงว่ายามนี้สิ่งที่อาศัยอยู่ในเปลือกนี้มิใช่อวิ๋นเชียนเมิ่งผู้อ่อนแอคนเดิมอีกแล้ว

ในเมื่อนางมาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกต่างมิตินี้แค่วันเดียวก็จะไม่ยอมถูกผู้อื่นรังแกโดยเด็ดขาด

‘ตึง’ ยามนี้เสียงถังไม้ร่วงดังเข้าหูคนทั้งสาม

“คุณหนู…” ไม่รอให้ทั้งสามหันหน้ากลับมาก็พลันรู้สึกว่ามีลมเบาๆ พัดผ่านไป เงาร่างสีน้ำตาลคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเจ้าคะ ไฉนถึงโลหิตโซมกายเช่นนี้เล่า” ผู้ที่มาใหม่ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา คว้าชายกระโปรงอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมกับร่ำไห้กล่าวอย่างโศกเศร้า

อวิ๋นเชียนเมิ่งก้มหน้าลง มองเห็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ในสมองมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยพลัน นี่คือสาวใช้ประจำตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ชวีซื่อเหลือเอาไว้ให้

ทว่าซูชิงไม่ยอมรับคนของชวีซื่อจึงขับไล่มู่ชุนคนนี้ไปอยู่ที่โรงเก็บฟืน ต้องทำงานหนักทุกวัน

ยามนี้เห็นมู่ชุนใบหน้าเหลือง เส้นผมแตกแห้ง อาภรณ์มีแต่รอยปะชุน เห็นได้ชัดว่าถึงแม้นางจะอยู่ห่างจากอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ซูชิงก็มิได้ดูแลนางเป็นอย่างดีขึ้นเลย ทว่าสาวใช้ผู้นี้จงรักภักดียิ่ง มักจะแอบหนีมาเยี่ยมอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เรือนฉี่หลัวเป็นประจำ

ตอนนี้เห็นมู่ชุนร่ำไห้ไม่หยุด เพื่อมิให้ถูกผู้ประสงค์ร้ายเห็นเข้า อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงประคองนางขึ้นมา ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “ข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าสิ ผ่ายผอมลงอีกแล้ว”

ยามมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งสัมผัสโดนมือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยรอยแตกกร้านของมู่ชุน โทสะก็ท่วมท้นในหัวใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ทว่ามู่ชุนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งแย้มยิ้มให้ตนเองก็ถึงกับลืมร้องไห้ สายตาจ้องคุณหนูที่อยู่ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ อดคิดในใจไม่ได้ว่าคุณหนูกลายเป็นคนเบิกบานเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรหนอ

มู่ชุนเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว พยายามยิ้มตอบ “บ่าวไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่คุณหนูสบายดีก็พอ”

“สุ่ยเอ๋อร์ ไปแจ้งพ่อบ้าน นับตั้งแต่วันนี้ไปมู่ชุนคือสาวใช้ใหญ่ของเรือนฉี่หลัว ไม่ต้องกลับไปโรงเก็บฟืนอีก!” พูดจบก็พามู่ชุนเดินกลับเรือนฉี่หลัว

 

เรือนฉี่หลัวเป็นเรือนพักอาศัยที่ตั้งอยู่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือสุดของจวนอัครเสนาบดี ขาดการซ่อมแซมมาหลายปี วัชพืชขึ้นรกครึ้ม ห้องหับเก่าโทรม

ตั้งแต่ประตูทางเข้าเรือนจนถึงห้องนอนมีแต่ดินโคลน แตกต่างกับทางที่ปูด้วยหินรูปทรงไข่ห่านในสวนดอกไม้ของจวนราวฟ้ากับเหว

“คุณหนู ลำบากท่านแล้ว เดี๋ยวบ่าวจะทำความสะอาดให้ใหม่หมดเลยนะเจ้าคะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งชะงักเท้าอยู่หน้าประตูเรือน สายตาของมู่ชุนสัมผัสได้ถึงสภาพอันรกร้างวังเวงภายในเรือนฉี่หลัว จึงเอ่ยอย่างเอาใจใส่ทันที โดยเฉพาะครั้งนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งต่อกรกับซูอี๋เหนียงเพื่อนางอย่างไม่นึกหวาดกลัว ยิ่งทำให้มู่ชุนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะปรนนิบัติรับใช้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นอย่างดี

“ไม่ต้องรีบร้อน รอให้พ่อบ้านมาก่อนค่อยว่ากัน พวกเจ้าช่วยข้าเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิด” อวิ๋นเชียนเมิ่งห้ามมู่ชุนไว้ จากนั้นก็กำชับปิงเอ๋อร์ “พอพ่อบ้านมาถึง เจ้าก็ไปห้องหนังสือเชิญท่านพ่อมา”

“เจ้าค่ะคุณหนู” แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงคาดเดาได้ว่าพ่อบ้านจะต้องมาแน่ๆ แต่ปิงเอ๋อร์ก็ยังคงรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ทว่าความเร็วของพ่อบ้านคนนี้ทำให้คนไม่กล้าชมเชยจริงๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จครึ่งชั่วยาม แล้วถึงเห็นเขาพาบ่าวรับใช้หลายคนเข้ามาในเรือนฉี่หลัวอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“บ่าวคารวะคุณหนูขอรับ” ผ่านเรื่องเมื่อครู่มา บนใบหน้าพ่อบ้านจึงย่อมเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งมากขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าสายตาที่เงยขึ้นน้อยๆ นั่นกลับพุ่งไปยังมู่ชุนอย่างอำมหิต

“พ่อบ้านจ้าวพาบ่าวรับใช้เข้ามาในเรือนฉี่หลัวของข้าได้อย่างไร” อวิ๋นเชียนเมิ่งยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นจิบน้ำเปล่าในถ้วยเบาๆ หนึ่งอึก แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ทว่าสายตากลับตกลงบนเศษหญ้าต้นวัชพืชภายในเรือนฉี่หลัวอยู่ตลอดเวลา

“บ่าวได้ยินว่าคุณหนูต้องการตัวนางเด็กมู่ชุนคนนี้ ทีแรกฮูหยินเป็นคนไล่นางเด็กนี่ไปอยู่โรงเก็บฟืน แต่ยามนี้กลับเลื่อนขั้นนางเป็นสาวใช้ใหญ่ เกรงว่าจะไม่อาจทำให้คนอื่นๆ ยำเกรงได้” วาจาของพ่อบ้านทำให้ร่างมู่ชุนสะดุ้งเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ สายตานางพลันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความกังวลใจเล็กน้อย

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับวางถ้วยชาในมือลงอย่างอ้อยอิ่ง แล้วจึงยิ้มบางๆ มองไปทางพ่อบ้าน ริมฝีปากแดงขยับเบาๆ “ฮูหยิน? พ่อบ้านหมายถึงซูอี๋เหนียงกระมัง เรื่องนี้ข้าไม่เข้าใจ อี๋เหนียงที่ออกหน้าออกตาไม่ได้ผู้หนึ่งให้บ่าวรับใช้ในจวนเรียกขานว่าฮูหยินได้ตั้งแต่เมื่อไร”

ต่อให้หลับฝันพ่อบ้านก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะจับเรื่องคำเรียกไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นนี้ ในใจอดหงุดหงิดที่ตนเองสะเพร่าไม่ได้

ตอนนี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าอ่อนโยน มุมปากอมยิ้ม ก็อดลอบคิดในใจไม่ได้ว่าหากมิใช่เพราะมีไทเฮาหนุนหลัง คุณหนูใหญ่ผู้นี้คงไม่พูดวาจาเช่นนี้แน่ คาดว่าตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งคงแค่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญเท่านั้น นางคงจะไม่กล้าล่วงเกินพ่อบ้านอย่างตนจริงๆ หรอก

ดังนั้นพ่อบ้านจึงแสยะยิ้มมุมปาก แก้ต่างโดยที่ไม่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในสายตา “คุณหนูไยต้องโมโหด้วยล่ะขอรับ ถึงแม้ตำแหน่งของซูอี๋เหนียงยังไม่ได้เลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการ แต่หลายปีที่ผ่านมาทุกคนต่างก็เรียกขานกันเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านเองก็ยอมรับกลายๆ คุณหนูอย่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกต้องร้าวฉานเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลยขอรับ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะใช้สิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างจึงมิได้หงุดหงิดโมโห แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเข้มข้นขึ้นหนึ่งส่วน

“วาจานี้ของพ่อบ้านข้าไม่อยากฟังแล้ว ความผูกพันประสาพ่อลูกของข้ากับท่านพ่อจะเกิดความร้าวฉานเพราะเรื่องของคนอื่นได้อย่างไร” ถึงแม้จะถามกลับเสียงเบา แต่สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับทำให้คนใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

พ่อบ้านเองก็หวาดกลัวขึ้นมาทันใด ทว่าเดาไม่ออกว่าตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งโกรธจริงหรือแกล้งโกรธจึงทำได้เพียงรีบยิ้มกล่าวขออภัย “ใช่ๆ ขอรับ คุณหนูพูดถูกที่สุดเลยขอรับ! แต่หลายปีมานี้เรียกจนติดปากแล้ว ในจวนก็ได้ซูอี๋เหนียงเป็นคนคอยดูแล หากไม่มีสถานะกำราบไว้ เกรงว่าบ่าวรับใช้ปากเปราะพวกนั้นคงจะไม่เชื่อฟัง”

พ่อบ้านพูดพลางสังเกตสีหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ขณะเดียวกันก็บอกความจริงแก่อวิ๋นเชียนเมิ่งว่าซูอี๋เหนียงเป็นคนควบคุมดูแลจวนอัครเสนาบดีได้อย่างถูกเวลา หวังว่านางจะรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

“หลักการนี้ข้าไม่เข้าใจหรอก จำได้ว่าตอนซูอี๋เหนียงแต่งเข้ามา ท่านพ่อก็มิได้แต่งตั้งฐานะใดให้นาง หากมิใช่เพราะวันนี้ท่านพ่อเรียกนางว่า ‘ซูอี๋เหนียง’ ที่หน้าประตูจวนด้วยตนเอง เกรงว่านางในตอนนี้มากสุดคงเป็นได้แค่เมียบ่าวไม่ก็บ่าวรับใช้ แต่พ่อบ้านจ้าวกลับใช้เหตุผลนี้มาถกเถียงกับข้า เหตุใดเรื่องที่ท่านพ่อยอมรับแล้ว คนที่เป็นบ่าวรับใช้อย่างพวกเจ้ากลับทำต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง” รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับการเอ่ยปากซักไซ้ แทนที่ด้วยความสูงศักดิ์ที่ชวนให้คนหวั่นเกรง โดยเฉพาะความฉลาดเฉลียวที่ไม่อาจบดบังได้ในดวงตา ทำให้ในใจพ่อบ้านจ้าวพลันบีบแน่น ความหยามเหยียดในดวงตาที่มีต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งมลายหายไปโดยพลัน

“ไฉนจู่ๆ พ่อบ้านจ้าวถึงไม่พูดไม่จาเล่า หรือว่าสถานะของข้าต้อยต่ำกว่าอี๋เหนียง” เมื่อเห็นพ่อบ้านจ้าวก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปตรงหน้าเขาอย่างเชื่องช้า แววตาเยียบเย็นกวาดมองข้ารับใช้ที่ตั้งแถวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมเปล่งเสียงฮึเบาๆ ความเย็นเยือกทั่วร่างทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

“บ่าวมิกล้า มิกล้า! คุณหนูย่อมสูงศักดิ์กว่าอี๋เหนียงมากอยู่แล้วขอรับ บ่าวพูดผิดไป ขอคุณหนูอย่าได้ถือสา วันนี้คุณหนูเรียกบ่าวมาเพราะเรื่องของมู่ชุนมิใช่หรือขอรับ” เมื่อเห็นว่าเถียงเรื่องซูชิงไปก็ไม่ได้ประโยชน์ พ่อบ้านจ้าวจึงรีบเบี่ยงหัวข้อสนทนา มิหนำซ้ำยังยกมือข้างหนึ่งขึ้น หมายจะให้ข้ารับใช้ที่ตั้งแถวอยู่ด้านหลังมัดตัวมู่ชุนไป

“ช้าก่อน!” อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับส่งเสียงห้ามพวกเขาไว้

ทุกคนพลันตื่นตกใจ พากันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นนางสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จ้องมองพวกพ่อบ้านด้วยสายตาเปี่ยมแววเย็นชา ทำให้ในใจพวกข้ารับใช้พากันเกิดความกลัวเกรง

“ข้าแค่ให้สุ่ยเอ๋อร์ไปแจ้งพ่อบ้าน ไม่ได้ให้พ่อบ้านระดมคนมาจับตัวนาง หรือว่าข้าต้องการสาวใช้คนหนึ่งก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากพ่อบ้านด้วย” สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งทิ่มแทงใส่พ่อบ้านราวกับคมดาบที่แหลมคมด้ามแล้วด้ามเล่า

“คุณหนู แต่ซูอี๋เหนียง…” พ่อบ้านจ้าวกำลังจะถกเถียง แต่กลับเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งขอบตาแดงขึ้นโดยพลัน เดินตรงไปยังด้านหลังตนเอง

“ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือ น้ำตาเอ่อคลอในขอบตา แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งแสร้งทำเป็นเข้มแข็งยอบกายคำนับอวิ๋นเสวียนจือที่เดินเข้ามาในเรือนฉี่หลัว

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เห็นในเรือนฉี่หลัวมีข้ารับใช้ยืนอยู่มากมายหลายคน ในดวงตาอวิ๋นเสวียนจือพลันปรากฏโทสะ ถึงจะไม่ค่อยชอบอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ จะปล่อยให้ข้ารับใช้ต่ำต้อยพวกนี้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของคุณหนูได้อย่างไร มิหนำซ้ำยามนี้ยังเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจ โทสะบนร่างอวิ๋นเสวียนจือก็ยิ่งเพิ่มทวี เดินตรงพรวดไปตรงหน้าพ่อบ้านจ้าว นัยน์ตาคมปลาบจ้องเขม็งจนพ่อบ้านจ้าวขนลุกไปทั่วทั้งร่างด้วยความหวาดหวั่น

พ่อบ้านจ้าวคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสวียนจือจะปรากฏตัวขึ้นที่เรือนฉี่หลัวในเวลานี้ มิหนำซ้ำหลายปีมานี้อวิ๋นเสวียนจือก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้าเรือนพักของอวิ๋นเชียนเมิ่งเลย ยิ่งกว่านั้นยังไม่สนใจไยดีอวิ๋นเชียนเมิ่ง นี่เป็นเรื่องที่คนในจวนอัครเสนาบดีรู้กันทั่ว การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้พ่อบ้านขมวดคิ้วขึ้นทันใด

แต่อย่างไรพ่อบ้านจ้าวก็เคยผ่านโลกมามาก จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันที เอ่ยพูดขึ้นว่า “ท่านอัครเสนาบดี นี่…”

แต่กลับถูกตัดบทเอากลางคันอีกครั้ง

“ท่านพ่อ ลูกไร้ความสามารถ แค่ต้องการขอสาวใช้คนหนึ่งมาปรนนิบัติตนเอง แต่ไม่คิดว่ากฎระเบียบจวนอัครเสนาบดีมีมากมายราวกับขนวัว ต้องผ่านการเห็นชอบจากซูอี๋เหนียง ผ่านการเห็นชอบจากพ่อบ้าน” อวิ๋นเชียนเมิ่งกวักมือเรียกให้มู่ชุนมาตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือ เช็ดน้ำตาเบาๆ กล่าวอย่างระมัดระวัง ดวงตาที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความเยียบเย็นยามนี้กลับทอประกายหวาดกลัว

“ท่านอัครเสนาบดี ไม่ใช่นะขอรับ ถึงบ่าวจะยืมความกล้าจากสวรรค์ก็มิกล้าทำตัวเป็นเจ้านายคุณหนูหรอกขอรับ” พอพ่อบ้านเห็นอวิ๋นเสวียนจือสีหน้าไม่ดีจึงรีบพูดแก้ทันที

ทว่าภาพบ่าวรับใช้จำนวนมากที่ยืนอยู่ในเรือนฉี่หลัวมิใช่สิ่งที่เขาพูดแก้ตัวประโยคเดียวก็จะลบล้างได้ ยามนี้ดวงตาอวิ๋นเสวียนจือเผยแววโหดเหี้ยม นัยน์ตาที่มองไปยังพ่อบ้านเต็มไปด้วยความดุร้าย

“ท่านพ่อ” ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเอ่ยเสียงแผ่ว นางก้มหน้าพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไรสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ก็เป็นคนของไทเฮา เพื่อความสงบสุขของครอบครัวแล้ว ต่อให้ลูกได้รับความอยุติธรรมก็ไม่อาจพร่ำบอกกับพวกนางได้ แต่มู่ชุนเป็นบ่าวของจวนนี้ ถึงลูกจะพูดอันใดผิดไปก็แพร่ไปไม่ถึงพระกรรณไทเฮา”

อวิ๋นเสวียนจือคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะพูดเช่นนี้ โทสะบนร่างสลายหายไปครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังมองไปที่นางด้วยดวงตาระคนรอยยิ้ม เอ่ยชมเชยอย่างอดไม่ได้ “เมิ่งเอ๋อร์รู้ประสีประสาจริงๆ”

จากนั้นมองไปยังพวกพ่อบ้านด้วยสีหน้าน่ายำเกรง “ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก! จำไว้ให้ดีว่านี่คือเรือนพักของคุณหนูใหญ่ พวกเจ้าจะเข้าออกตามอำเภอใจได้อย่างไร ต่อไปหากคุณหนูใหญ่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากซูอี๋เหนียง”

“ขอรับๆ บ่าวทราบแล้ว” พ่อบ้านจ้าวเห็นว่าตนเองรอดพ้นหายนะจึงละล่ำละลักรับคำทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็พาคนของเขาหายไปจากหน้าอวิ๋นเสวียนจือ

พอเห็นผู้คนสลายแยกย้าย อวิ๋นเสวียนจือก็หันกายคิดจะจากไป แต่เมื่อเห็นเรือนฉี่หลัวแห่งนี้ชำรุดทรุดโทรมจนดูไม่ได้ และยังเห็นว่าข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งมีข้ารับใช้คอยปรนนิบัติเพียงสามคน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้พ่อจะให้พ่อบ้านจ้าวพาคนมาซ่อมแซมเรือนนี้สักหน่อย ถึงแม้ครานี้ลูกจะถูกเฉินอ๋องถอนหมั้น แต่ก็ยังมีไทเฮาคอยเป็นธุระให้ เจ้าจงอย่าได้ถือสาเลย”

เมื่อเห็นอวิ๋นเสวียนจือเอ่ยเตือนตนเองอีกครั้งอย่างไม่วางใจ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รื้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา แต่ใบหน้ายังคงว่านอนสอนง่ายเช่นเดิม เดินไปส่งอวิ๋นเสวียนจือถึงหน้าประตูเรือนด้วยตนเอง แล้วจึงทำความเคารพ เอ่ยเสียงนอบน้อม “ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านพ่อโปรดวางใจ”

ในขณะที่ทางด้านอวิ๋นเชียนเมิ่งถือไพ่เหนือกว่า แต่ทางซูชิงกลับเพลิงโทสะเต็มท้อง

พอนางได้ยินคำรายงานของพ่อบ้านจ้าว ดวงตาคู่งามซึ่งเดิมทีอ่อนละมุนก็เปล่งประกายความโหดเหี้ยมในทันใด มือที่กำผ้าเช็ดหน้ายิ่งบีบแน่นขึ้น

“ฟังข้าให้ดี ต่อไปนี้เบี้ยรายเดือนของเรือนฉี่หลัวให้จ่ายช้ากว่ากำหนดสิบวัน”

นางอยากจะดูนัก ถ้าหากไม่มีเบี้ยรายเดือน อวิ๋นเชียนเมิ่งจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร!

บทที่ 3 เล่นงานพ่อบ้าน

 ภายใต้แสงมืดสลัว อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นในกระจกสะท้อนภาพเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สำรวจดูรูปโฉมที่แท้จริงของร่างกายนี้ เด็กสาวในกระจกแม้จะสีหน้าจะซีดเซียว แต่ความซีดเซียวนั้นไม่สามารถปกปิดรูปโฉมงามล้ำของนางลงได้ บนใบหน้ารูปไข่ห่านผ่ายผอมฝังไว้ด้วยนัยน์ตาสีดำเป็นประกาย ภายใต้แสงมืดมิดกลับเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าเพชร แม้ปากรูปกระจับจะไร้สีเลือด ทว่าอวบอิ่มอ่อนนุ่ม ประกอบเข้ากับคิ้วใบหลิวที่ดำสนิทโดยไม่ต้องแต่งเติม คล้ายดั่งเป็นภาพวาดงดงามยิ่ง

ยามนี้มู่ชุนปล่อยผมยาวของอวิ๋นเชียนเมิ่งลง เส้นผมดำเป็นมันวาวก็สยายลงบนหัวไหล่ราวกับน้ำตก ขับเน้นให้ดวงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสวยสดงดงามยิ่งขึ้น

แม้อวิ๋นเชียนเมิ่งจะสวมอาภรณ์เก่าซอมซ่อ แต่ก็มองเห็นเรือนร่างสะสวยมีส่วนโค้งส่วนเว้าของนางออกได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเอวบางที่ราวกับจะกุมได้ด้วยฝ่ามือเดียว สัดส่วนรูปร่างจึงยิ่งดูสวยงามอย่างที่สุด

แต่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ถึงแม้นางจะผิวพรรณขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่กลับขาดความสดใส ดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความสดใสผุดผ่องโดยสิ้นเชิง เหมือนกับห้องนอนที่อัตคัดขาดแคลนที่ไร้การประดับตกแต่งและพลังชีวิตแห่งนี้

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกได้ว่ามู่ชุนยังจะถอดชุดตัวในสีขาวของนางออกไป จึงเบี่ยงตัวหลบด้วยความไม่เคยชิน เดินไปยังฉากกั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปที่ห้องหนังสือ รายงานท่านพ่อว่าทางข้าต้องการเชิญหมอมาเปลี่ยนยา”

“เจ้าค่ะ ให้สุ่ยเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์ดูแลคุณหนูอาบน้ำนะเจ้าคะ” มู่ชุนเป็นห่วงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะไม่มีคนคอยรับใช้จึงเอ่ยอย่างไม่วางใจ

อวิ๋นเชียนเมิ่งชะงักมือที่กำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ให้สองคนนั้นไปเฝ้าหน้าประตูก็แล้วกัน”

“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนกราน มู่ชุนก็ไม่พูดให้มากความ พอหมุนกายปิดประตูให้นางเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือทันที

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินเข้าไปนั่งในถังอาบน้ำ ย้อนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ถึงไทเฮาจะแสดงออกว่ามีท่าทีห่วงใยตนเอง แต่เหตุใดจึงไม่มอบป้ายทองให้ตนโดยตรง แต่กลับมอบให้สุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์แทน หรือในพระทัยไทเฮาจะไม่ทราบว่าเมื่อป้ายทองนี้อยู่ในมือตนถึงจะมีพลังอำนาจมากกว่า

ไม่สิ ไทเฮาทรงเข้าใจดี พระนางเข้าใจกระจ่างยิ่งนัก กลัวแต่ว่าไทเฮาทรงมีเจตนาอื่นแอบแฝง ด้วยเหตุนี้ถึงไม่ยอมมอบป้ายทองให้ตน

ส่วนสุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์นั้นคงจะเป็นหูตาที่ไทเฮาทรงวางตัวให้อยู่ข้างกายตนกระมัง

นัยน์ตาที่อบอวลด้วยไอน้ำลึกล้ำขึ้นโดยพลัน บนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายประกายดุร้ายผ่านวูบ ดูท่าทั้งจวนอัครเสนาบดีทั้งวังหลวงล้วนมีแต่อันตรายรอบด้าน คนที่ดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียวกลับแอบแฝงเจตนาร้ายเอาไว้อย่างแท้จริง หากตนไม่รอบคอบทุกย่างก้าวก็คงจะกลายเป็นเนื้อในปากของพวกเขาแล้ว

 

ภายในห้องหนังสือเวลานี้ซูชิงหอบหายใจฮักซบอยู่บนร่างอวิ๋นเสวียนจือ นิ้วเรียวบางวาดไล้บนอกอีกฝ่ายเบาๆ บ่นอุบว่า “เสวียนจือ บุตรสาวของท่านดูไม่ค่อยเหมือนทุกที วันนี้ก็ทำให้พวกเราอับอายที่หน้าประตูจวน ซ้ำท่านยังสั่งอีกว่าเรื่องของนางไม่ต้องผ่านความเห็นข้า เกรงว่าภายภาคหน้าจวนอัครเสนาบดีคงถูกนางก่อกวนจนปั่นป่วนวุ่นวายแน่ๆ”

อวิ๋นเสวียนจือไหนเลยจะไม่เข้าใจในความหมายของซูชิง แต่หลายปีมานี้เขาไม่เคยได้เข้าไปในเรือนพักอาศัยของอวิ๋นเชียนเมิ่ง วันนี้พอได้เห็น เด็กคนนั้นก็น่าสงสารมากเช่นกัน

ผู้คนพูดกันว่าเด็กที่ไม่มีมารดาน่าสงสารที่สุด ถึงจะมีซูชิง แต่อย่างไรก็กั้นกันด้วยหนังท้องหนึ่งชั้น ไม่มีทางดีกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างสุดหัวใจได้ กอปรกับวันนี้ไทเฮาทรงตรัสชัดเจนแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้มีความผูกพันระหว่างพ่อลูกกับอวิ๋นเชียนเมิ่งสักเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำบ้าง

มือใหญ่กุมมือเล็กไม่อยู่สุขของซูชิงเอาไว้ อวิ๋นเสวียนจือพูดเสียงเบา “ทนอีกระยะหนึ่งก็แล้วกัน นางไม่มีทางอยู่ในจวนอัครเสนาบดีได้ตลอดชีวิตหรอก อย่างไรเสียไทเฮาก็คงจะหาคนดีๆ ให้นาง”

ได้ยินอวิ๋นเสวียนจือพูดเช่นนี้ ซูชิงก็หยัดกายขึ้นจากอ้อมกอดของเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ในดวงตางามเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ทำเหมือนข้าไม่ยอมรับนางอย่างนั้นแหละ วันนี้ท่านก็เห็นด้วยตาตนเองแล้วนี่ เสวี่ยเอ๋อร์ตกใจเสียขวัญจนแม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ได้กินด้วยซ้ำ”

อวิ๋นเสวียนจือครั้นได้ยินว่าบุตรสาวสุดที่รักไม่ได้กินข้าวเย็น ใบหน้าจึงพลันฉายแววสงสาร กอดซูชิงเอาไว้พร้อมกับเอ่ยรับปากทันที “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าดูสิข้ายังสงสารนางมิใช่หรือ หากจะกักบริเวณเจ้าจริงๆ ตอนนี้เจ้าจะมาอยู่ในห้องหนังสือข้าได้หรือไร”

พูดจบอวิ๋นเสวียนจือก็ยื่นมือไปบีบดวงหน้าขาวนวลเนียนของซูชิง ในระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน เสียงของมู่ชุนก็ดังขึ้นจากหน้าประตู

“นายท่าน คุณหนูอยากเชิญท่านหมอ ไม่ทราบว่านายท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ” เห็นได้ชัดว่าเสียงของทั้งคู่ถูกมู่ชุนได้ยินเข้าแล้ว ด้วยเหตุนี้มู่ชุนจึงไม่ได้บุ่มบ่ามพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือ เพียงแต่สอบถามจากนอกประตูเท่านั้น

“อนุญาต” คำตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อนของอวิ๋นเสวียนจือดังออกมาจากในห้องหนังสือ จากนั้นก็ไม่สนใจมู่ชุนอีก

เมื่อมู่ชุนกลับไป อวิ๋นเชียนเมิ่งก็อาบน้ำหวีผมเรียบร้อยแล้วและกำลังนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง

เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าปรากฏความเหนื่อยล้า เดิมทีมู่ชุนคิดจะดับเทียนแล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยปากถามในตอนนี้ “เป็นอย่างไรบ้าง”

ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถาม มู่ชุนจึงยกเชิงเทียนเดินมาข้างเตียง พูดสิ่งที่ตนเองได้ยินมาให้นางฟังด้วยเสียงแผ่วเบาหนึ่งรอบ

“คุณหนู ดูท่าว่าในใจของนายท่านยังคงรักใคร่ซูอี๋เหนียงอยู่มากเลยนะเจ้าคะ” ครั้นเห็นว่าหลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำรายงานของนางจบก็ไม่พูดไม่จา มู่ชุนจึงกล่าวอย่างเรียกร้องความเป็นธรรม

ทั้งๆ ที่วันนี้คุณหนูได้รับบาดเจ็บ ถูกซูอี๋เหนียงดูหมิ่น และนายท่านเพิ่งจะตำหนิซูอี๋เหนียงไป แต่ไม่ทันไรกลับปล่อยตามใจนาง คิดๆ ดูแล้วเรื่องอาหารเย็นคืนนี้คงจะเป็นซูอี๋เหนียงที่ให้ท้ายเช่นเดียวกัน

“มู่ชุน วาจานี้ห้ามพูดต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด” ได้ยินมู่ชุนเรียกร้องความยุติธรรมแทนตน ไออุ่นก็วาดผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง

แม้จะปฏิสัมพันธ์กับมู่ชุนได้เพียงครึ่งวัน แต่ในจวนอัครเสนาบดีที่ถูกซูชิงควบคุมไว้ในมือแห่งนี้ คนที่จงรักภักดีกับตนถึงเพียงนี้ นอกจากมู่ชุนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก

ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งมายังแคว้นซีฉู่จนกระทั่งถึงตอนนี้ คนเดียวที่เชื่อใจได้ก็คือมู่ชุน

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจปล่อยให้มู่ชุนต้องเดือดร้อนเพราะปากได้ รอบกายตนนับๆ ดูทั้งหมดแล้วก็มีแต่คนคนนี้ที่ไว้วางใจได้จริงๆ

เห็นได้ชัดว่ามู่ชุนไม่คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะกลับมาเป็นฝ่ายห่วงใยนาง บนใบหน้าจึงปรากฏแววตื้นตันอย่างห้ามไม่อยู่ พยักหน้าขานรับว่าเจ้าค่ะทันที

จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าอาหารเย็นของคุณหนูวันนี้มีเพียงผักสองจานเล็กๆ กับโจ๊กหนึ่งถ้วย มู่ชุนจึงเดินมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเศษเงินที่เหลือเพียงน้อยนิดในตลับไม้เล็กๆ ซึ่งวางอยู่ด้านบนออกมา พอนับจำนวนดูแล้วก็พูดว่า “คุณหนู พรุ่งนี้บ่าวจะไปซื้อผักสดๆ ที่ตลาดมาสักเล็กน้อย ปรุงให้คุณหนูทานโดยเฉพาะนะเจ้าคะ”

สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งมองไปยังมือขวาที่วางลงต่ำของมู่ชุน ครั้นเห็นเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่เหรียญบนฝ่ามือก็ถามว่า “อีกกี่วันถึงจะจ่ายเบี้ยรายเดือน”

มู่ชุนผงะอึ้งไปเล็กน้อย ตอบกลับทันใด “วันที่สามของทุกเดือนเจ้าค่ะ วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ยี่สิบแปดแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากสมองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยปากขึ้น “เงินพวกนี้เก็บเอาไว้ก่อนชั่วคราว สองสามวันนี้ก็กินตามห้องครัวใหญ่ไปก่อนแล้วกัน วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พาสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถิด”

มู่ชุนได้ยินก็เข้าใจได้โดยพลัน คุณหนูคงจะเตรียมการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า อย่างไรเสียถึงแม้จะมีคำสั่งจากนายท่าน แต่หากซูอี๋เหนียงอยากจะกลั่นแกล้งพวกนางก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง นางจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเศษเงินเหล่านั้นเอาไว้แล้ววางกลับเข้าไปในตลับไม้อีกครั้ง ก่อนจะถือเชิงเทียนเดินออกจากห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งไป

การจากไปของมู่ชุนมิได้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราได้ในทันที ยามนี้ความคิดของนางกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

แต่ยิ่งความคิดแจ่มชัด ความพะวงในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ่งมากล้น

นางเป็นคนยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามายังห้วงเวลาที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ กอปรกับแต่ก่อนเจ้าของร่างนี้ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก จึงทำให้นางพลอยรู้เรื่องเกี่ยวกับบุคคลในยุคสมัยนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ตอนนี้ข้างกายมีเพียงมู่ชุนคนเดียว นางจะต้องสลัดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ออกไปอย่างไรถึงจะสามารถสนใจแต่เรื่องของตนเองได้

ไม่รู้ว่าเพราะเสียเลือดมากเกินไปหรือไม่ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงค่อยๆ จมลึกสู่นิทราในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญมิได้หยุด

 

วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่าง เสียงฝีเท้าเอะอะครึกโครมก็ดังมาจากด้านนอก

อวิ๋นเชียนเมิ่งลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมือหนึ่งกุมขมับ หรี่ดวงตามองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ตะโกนไปทางประตูห้องด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “มู่ชุน!”

“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงเรียก มู่ชุนก็ผลักประตูเข้ามาทันที ในมือยังยกน้ำล้างหน้าและผ้าเช็ดหน้ามาด้วย

อวิ๋นเชียนเมิ่งนวดคลึงหน้าผากที่ปวดแปลบ ถามอย่างสะลึมสะลือเล็กน้อย “ตอนนี้ยามใดแล้ว เหตุใดข้างนอกถึงเสียงดังวุ่นวายเช่นนี้”

“เรียนคุณหนู ยามอิ๋นสามเค่อพ่อบ้านจ้าวก็พาคนงานเข้ามาในเรือนฉี่หลัว บอกว่าได้รับคำสั่งจากนายท่านให้ซ่อมแซมเรือนพักอาศัยให้คุณหนูโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” พูดจบมู่ชุนก็ประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากเตียง ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์อย่างเอาใจใส่

แต่ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มเย็นไม่หยุด ดูท่าพ่อบ้านจ้าวผู้นี้คงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคนป่วยต้องการพักผ่อนอย่างสงบ แต่กลับให้คนงานทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา

เขานึกว่านางเป็นมะพลับนิ่ม ยอมปล่อยให้เขากลั่นแกล้งเอาตามใจชอบได้จริงๆ หรือ

หากไม่ทำให้เขาเกรงกลัวตนจริงๆ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยคดียาเสพติดของนางคงเป็นเสียเปล่าแล้วล่ะ!

การปรากฏตัวของอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้คนหนุ่มที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นทยอยพากันหยุดงานในมือลง พวกเขาไม่เคยเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่มาก่อน วันนี้มีวาสนาได้เห็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี งดงามเสียยิ่งกว่าคนในภาพวาดในปีนั้นถึงสิบส่วน ใบหน้าเยาว์วัยแต่ละดวงแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่

พ่อบ้านเห็นท่าทีเช่นนี้ของทุกคน นัยน์ตาก็ฉายประกายอำมหิตวาบผ่าน จากนั้นสาวเท้าเร็วรี่เดินเข้าไปคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อมอยู่บ้าง “ไฉนคุณหนูถึงตื่นเช้าขนาดนี้เล่า พวกบ่าวเสียงดังจนทำให้คุณหนูตื่นหรือขอรับ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรอให้พ่อบ้านจ้าวแสดงละครฉากนี้จบแล้วจึงเอ่ยอย่างเฉยชา “พ่อบ้านจ้าวขยันขันแข็งจริงๆ ฟ้ายังไม่สางก็เริ่มงานยุ่งแล้ว”

เห็นวันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งไร้วาจาอื่นใด พ่อบ้านจ้าวก็อดเผยสีหน้าลำพองใจมิได้ ทว่าวาจาที่เปล่งออกมากลับถ่อมตัวยิ่ง “คุณหนูชมเกินไปแล้วขอรับ นี่คือคำสั่งของนายท่าน และเป็นสิ่งที่ข้ารับใช้อย่างพวกเราพึงกระทำ กลัวก็แต่จะรบกวนการพักผ่อนของคุณหนู”

ถึงจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจพ่อบ้านจ้าวหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ถ้าวันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเอาเรื่องนี้ไปฟ้องต่อหน้านายท่าน เขาเองก็มีเหตุผลรองรับเช่นเดียวกัน

ฟังจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็พยักหน้า เห็นคนงานสิบกว่าคนถึงกับจดจ้องตนไม่วางตา ในใจก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ถามกลับอย่างเย็นชาทันที “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่พ่อบ้านจ้าวยังไม่ตื่นใช่หรือไม่ ถึงกับกล้าเมินเฉยต่อคำสั่งของท่านพ่อ”

เพียงวาจาเรียบๆ เอื่อยๆ หนึ่งประโยคกลับสร้างคลื่นยักษ์สูงทะมึนในใจพ่อบ้านจ้าว คนมากความเจ้าเล่ห์อย่างเขาย้อนนึกถึงวาจาที่อวิ๋นเสวียนจือพูดต่อหน้าเขาเมื่อวานทันที ทว่ากลับหาช่องโหว่ใดๆ ไม่เจอ

เห็นพ่อบ้านจ้าวนิ่งเงียบไม่ตอบคำอยู่เป็นนาน สีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก็พลันเย็นเยียบ ดวงตาเผยแววเย็นชา ก่อนตวาดเสียงเย็น “พ่อบ้านจ้าวใจกล้านัก ถึงกับลอบพาบุรุษแปลกหน้าเข้ามาในเรือนพักอาศัยของหญิงสาวจวนอัครเสนาบดี ควรจะลงโทษเยี่ยงไรดี!”

ถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งตวาดแสกหน้า พ่อบ้านจ้าวจึงตะลึงลานไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงนึกคำสั่งของอวิ๋นเสวียนจือเมื่อวานขึ้นมาได้ สีหน้าจึงผ่อนคลายลงทันใด กล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “คุณหนู นายท่านสั่งให้บ่าวซ่อมแซมเรือนฉี่หลัว บ่าวก็แค่ทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น คุณหนูไยต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยขอรับ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งจ้องใบหน้าหยิ่งผยองของพ่อบ้านจ้าวด้วยสีหน้าเย็นชา นางมีแผนไว้ในใจอยู่แล้ว “ตามความหมายของพ่อบ้านจ้าว หากรูปโฉมของคุณหนูอย่างข้าถูกบุรุษแปลกหน้าเห็นเข้าก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญสินะ เรื่องที่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของข้า พ่อบ้านจ้าวกลับปฏิบัติหน้าที่อย่างลวกๆ ตกลงเจ้ามีเจตนาใดกันแน่!”

คำโบราณกล่าวว่าไม่อาจยื่นมือตบคนหน้าเปื้อนยิ้ม

พ่อบ้านจ้าวคิดว่าหากเขาแย้มยิ้มหน้าบาน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็คงจะไว้หน้าเขาบ้าง ทว่าเขากลับดีดลูกคิดรางแก้วรวนไปหมด อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เพียงแต่เผยสีหน้าหนาวยะเยือก ยิ่งกว่านั้นยังคาดโทษเขาตั้งแต่เริ่มอีกด้วย

นี่ทำให้พ่อบ้านจ้าวที่อาศัยซูอี๋เหนียงวางก้ามใหญ่โตในจวนอัครเสนาบดีหน้าเสียทันใด รอยยิ้มที่กองพะเนินอยู่บนใบหน้าชะงักค้างโดยพลัน แต่ก็ไม่อยากให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมองโทสะที่ก้นบึ้งในหัวใจเขาออก ใบหน้าชรานั้นพลันแปรเปลี่ยนหลากสีสันไปชั่วขณะ ทำให้มู่ชุนที่อยู่ด้านหลังแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว

พ่อบ้านจ้าวในยามนี้ไม่ชะล่าใจอีกต่อไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป ยืนตัวตรงทันใด ดวงตาเผยแววอันตรายพลางกล่าว “คุณหนูไยต้องทำให้ข้ารับใช้อย่างพวกเราลำบากใจด้วยขอรับ พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น นอกจากนี้หากคุณหนูไม่ออกจากห้องนอน คนอื่นก็ไม่เห็นรูปโฉมของคุณหนูหรอกขอรับ”

คิดไม่ถึงว่าหลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินคำโต้แย้งของพ่อบ้านจ้าว นอกจากไม่โกรธแล้วยังยิ้มออกมาเสียด้วยซ้ำ ครั้นรอยยิ้มจางๆ ผ่านพ้นไป สุ้มเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับอวิ๋นรั่วเสวี่ย แม้จะให้พ่อบ้านยืมความกล้าก็คงไม่กล้าทำเช่นนี้กระมัง ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านจ้าวยังจำเหตุผลที่เมื่อวานท่านพ่อทำโทษซูอี๋เหนียงได้หรือไม่”

ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ นอกจากเสียงไก่ขันจากที่ไกลๆ เรือนพักอาศัยอันเปล่าเปลี่ยวอย่างเรือนฉี่หลัวกลับเงียบสนิทเสมือนยามราตรี ด้วยเหตุนี้เสียงย้อนถามของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกระทบเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้พ่อบ้านจ้าวหน้าซีดเผือดทันใด ความดุร้ายในดวงตาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความร้อนใจจะแก้ไขสถานการณ์

“ซูอี๋เหนียงมีฐานะเป็นสตรีของจวนอัครเสนาบดี ลอบออกจากจวนโดยพลการ ถูกท่านพ่อลงโทษกักบริเวณสิบวัน แต่ตอนนี้พ่อบ้านจ้าวกลับพาบุรุษเข้ามาในเรือนฉี่หลัวอย่างโจ่งแจ้ง หมายจะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูอย่างข้า ไม่รู้ว่าพอแจ้งความผิดนี้ให้ไทเฮาทรงทราบ พ่อบ้านจ้าวคิดอยากจะตายด้วยวิธีใด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คิดจะให้โอกาสพ่อบ้านจ้าวอธิบาย กล่าวกำหนดโทษตายให้อีกฝ่ายทันที ทำให้ชายหนุ่มสิบกว่าคนที่ยืนอยู่หลังพ่อบ้านจ้าวอดหน้าซีดเผือดไปด้วยมิได้

ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในชนชั้นต่ำที่สุด แต่แนวคิดระบบศักดินาที่ฝังรากลึกกลับทำให้พวกเขาเข้าใจหลักการเดียวกันได้ พระราชอำนาจยิ่งใหญ่ดุจสวรรค์

ยามนี้ได้ยินคุณหนูคนงามโพล่งคำว่าไทเฮาออกมาจากปาก ทำให้พวกเขาได้สติกลับจากความงามสะคราญ พากันก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าจดจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก

ต่อให้พ่อบ้านจ้าวคิดใคร่ครวญเป็นพันเป็นหมื่นตลบก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะยกเหตุผลที่ซูชิงถูกลงโทษมา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะนำเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิงมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน

แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจยอมรับผิดได้

ด้วยนิสัยของอวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ ต่อให้เขายอมรับผิด นางก็คงไม่ยอมปล่อยเขาไป มิสู้ดื้อแพ่งไม่ยอมรับเสียยังดีกว่า หากเขายืนยันว่าตนเองมิได้มีแรงจูงใจส่วนตัวแม้แต่น้อย ถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งจะมีไทเฮาหนุนหลัง แต่หากไม่มีหลักฐานที่ประจักษ์แจ้งแล้วจะทำอะไรเขาได้

นอกจากนั้นเรือนฉี่หลัวตั้งอยู่ด้านในสุดของจวนอัครเสนาบดี อีกทั้งหน้าทางเข้าเรือนก็มีคนของเขาเฝ้าดูอยู่ อวิ๋นเชียนเมิ่งจะออกไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้

พอคิดได้ดังนี้ในใจพ่อบ้านจ้าวก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงก้องกังวาน “คุณหนูจะคาดโทษบ่าวโดยอาศัยแค่การคาดเดาของตนเองเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรขอรับ หรือคุณหนูไม่กลัวจะทำให้ทุกคนในจวนเสียขวัญ อีกอย่างวันๆ หนึ่งไทเฮาทรงสะสางธุระปะปังมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามาสนพระทัยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ คุณหนูเองก็เป็นธิดาตระกูลมีชื่อเสียง ยิ่งไม่อาจออกจากจวนไปรบกวนไทเฮาที่วังหลวงทุกวันได้”

วาจาเหล่านี้กล่าวได้อย่างองอาจเที่ยงธรรม แต่กลับทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเกิดความหยามเหยียดในใจ

ดูท่าทางพ่อบ้านจ้าวผู้นี้ไม่เพียงแต่เกรงคนชั่วรังแกคนอ่อนแอ ยังเป็นพวกรักตัวกลัวตายอีกด้วย ช่างเล่นแง่เช่นนี้มีคุณสมบัติใดมาเป็นพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดี

โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าพ่อบ้านจ้าวถึงกับกล้าวางกำลังคนเฝ้ายามที่เรือนพักอาศัยของนาง ยิ่งทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งถาโถมด้วยความเย็นชา

“สุ่ยเอ๋อร์!” เสียงตวาดเย็นเยียบทำให้พ่อบ้านจ้าวมองไปทางสุ่ยเอ๋อร์ที่ก้าวเข้ามาอย่างงุนงง ในใจครุ่นคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะเล่นละครอันใดอีก

“คุณหนูมีรับสั่งอันใดหรือเจ้าคะ” สุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ยืนดูมาเนิ่นนาน ในใจรู้สึกรังเกียจพวกหน้าไม่อายอย่างพ่อบ้านจ้าวยิ่งนัก ยามนี้เห็นว่าในที่สุดตนก็ถูกคุณหนูเรียกชื่อจึงเดินเข้าไปรอรับคำสั่งทันที

“ข้าปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด เจ้านำป้ายทองของไทเฮาเข้าวังไปเชิญหมอหลวง หากไทเฮาทรงตรัสถาม จำไว้ว่าให้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ให้พระนางฟังทีละเรื่องๆ” ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีว่าการรับมือคนถ่อยอย่างพ่อบ้านจ้าว อาศัยแค่ลมปากคงทำอะไรเขาไม่ได้

ทว่าป้ายทองของไทเฮาไม่เหมือนกัน ป้ายทองที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนได้แผ่นนั้น แม้แต่อวิ๋นเสวียนจือเห็นแล้วก็ยังเสียววาบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อบ้านเล็กๆ คนหนึ่ง

ส่วนสุ่ยเอ๋อร์ก็ควักป้ายทองนั้นออกมาจากแขนเสื้ออย่างฉลาดเฉลียวทันที ยามนี้ท้องฟ้าสว่างโร่ แสงอรุณทะลุผ่านชั้นเมฆสาดส่องมายังพื้นปฐพี ทำให้ป้ายทองแผ่นนั้นเปล่งแสงอร่ามในมือสุ่ยเอ๋อร์ ทิ่มแทงดวงตาของพ่อบ้านจ้าวในทันใด

ในยามนี้พ่อบ้านจ้าวถึงได้เข้าใจความกลัวตายอย่างแท้จริง สองขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงสีหน้าเมินเฉยเหมือนเคยก็คุกเข่าลงโดยพลัน

“คุณหนูไว้ชีวิตด้วย! คุณหนูไว้ชีวิตด้วยขอรับ! บ่าวเป็นแค่บ่าวรับใช้ แค่ตั้งใจอยากจะให้คุณหนูได้อาศัยอยู่ในเรือนใหม่ที่กว้างขวางและสะอาดขึ้น หาได้มีเจตนาอื่นใดจริงๆ ขอรับ ขอคุณหนูโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!” ในที่สุดพ่อบ้านก็เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเสวียนจือถึงปฏิบัติกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างไปจากทุกที ทว่าเขามัวสนใจแต่จะแก้แค้นที่ถูกทำให้ขายหน้าเมื่อวาน มิได้คิดทบทวนถึงการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยสิ้นเชิง

ครั้นตอนนี้คิดๆ ดู จะเสียใจก็ไม่ทันการณ์จริงๆ

อวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้มิใช่คุณหนูในห้องหับที่ขี้ขลาดใจอ่อนผู้นั้นอีกแล้ว นางเผชิญหน้ากับการวิงวอนขอชีวิตของพ่อบ้านโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย พอส่งสายตาให้สุ่ยเอ๋อร์ก็เห็นสุ่ยเอ๋อร์เก็บป้ายทองในมือ เดินไปยังทางเข้าเรือนโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

“คารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ!” เพิ่งจะก้าวออกจากเรือน สุ่ยเอ๋อร์ก็เห็นอวิ๋นเสวียนจือเดินมาทางนี้อย่างรีบเร่ง

ครั้นได้ยินเสียงเตือนของสุ่ยเอ๋อร์ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันเย็นเยียบเล็กน้อย จากนั้นร้อยยิ้มเย็นก็ปรากฏที่ริมฝีปากบางทันใด

ดูท่าแล้วอวิ๋นเสวียนจือคงมีญาณรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าตนเองจะจัดการกับคนในจวนอัครเสนาบดีผ่านไทเฮา จึงรีบมายับยั้งทันควัน

แต่หลังจากอวิ๋นเสวียนจือทราบถึงการกระทำของพ่อบ้านในวันนี้ก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมา จึงรีบสั่งให้ข้ารับใช้ไปที่วังหลวงเพื่อลาป่วยให้ตน จากนั้นก็รีบเร่งมายังเรือนด้านหลังแห่งนี้

“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งกวาดตามองสีหน้าที่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดของพ่อบ้านจ้าวแวบหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปอย่างเยือกเย็น คำนับต่ออวิ๋นเสวียนจืออย่างอ่อนช้อย หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเสวียนจือเงียบๆ

เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า อวิ๋นเสวียนจือก็ถลึงตาใส่พ่อบ้านจ้าวที่ก่อปัญหา ตวาดเสียงดัง “ใครก็ได้! ไล่คนงานพวกนี้ออกไปให้หมด! ส่วนพ่อบ้านจ้าว เจ้าถึงกลับกล้าเพิกเฉยต่อคำสั่งเมื่อวานของข้า รบกวนการพักผ่อนของคุณหนูโดยไม่ขออนุญาต ใครก็ได้! ลากพ่อบ้านจ้าวออกไป โบยหนักยี่สิบไม้ พร้อมหักเบี้ยรายเดือนครึ่งปี”

พ่อบ้านจ้าวได้ยินว่าตนเองรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทั้งยังฟังออกว่าอวิ๋นเสวียนจือปกป้องตน ทันใดนั้นใบหน้าพลันปรากฏแววยินดี แต่เมื่อกำลังจะกล่าวขอบคุณก็ถูกเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งตัดบท

“ท่านพ่อ พ่อบ้านจ้าวผู้นี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ละเลยคำสั่งท่านเป็นอันดับแรก ทำลายชื่อเสียงของลูกเป็นลำดับต่อมา แต่ท่านกลับมีจิตใจเมตตาราวพระโพธิสัตว์เช่นนี้ เกรงว่าต่อไปข้ารับใช้จวนอัครเสนาบดีคงจะกำเริบเสิบสานกันหมดนะเจ้าคะ” ยามนี้สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งทอดมองไปเบื้องหน้า สุ้มเสียงไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับบาดลึกทุกถ้อยคำ บีบให้อวิ๋นเสวียนจือลงมือรุนแรงกับพ่อบ้านจ้าว

ได้ยินเช่นนั้นพ่อบ้านจ้าวและอวิ๋นเสวียนจือก็พากันผงะอึ้ง จากนั้นพ่อบ้านจ้าวก็มองไปทางอวิ๋นเสวียนจือด้วยสายตาเต็มไปด้วยแววเว้าวอน

อวิ๋นเสวียนจือมุ่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้นตามความหมายของเมิ่งเอ๋อร์คือ…?”

ได้ยินอีกฝ่ายผลักปัญหายากมาให้ตน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ผลิยิ้มเจิดจ้า เอ่ยราวกับไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น “ไม่ทราบว่าตอนนั้นใครเป็นคนฝากฝังพ่อบ้านจ้าวเข้ามาหรือเจ้าคะ คนผู้นั้นต้องรับความผิดทั้งหมด อย่างไรจวนอัครเสนาบดีก็มิใช่จวนธรรมดาสามัญ ถ้าหากชักศึกเข้าบ้าน นั่นจะทำให้แคว้นซีฉู่ของเราสูญเสียเสาหลักของชาติอย่างท่านพ่อไปนะเจ้าคะ”

อวิ๋นเสวียนจือคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะยกระดับปัญหาให้รุนแรงยิ่งขึ้นเช่นนี้

เมื่อคิดดูแล้วในตอนนั้นคนที่แนะนำพ่อบ้านจ้าวก็คือซูชิง แต่เขาย่อมไม่อาจให้ซูชิงได้รับความคับข้องใจ จึงได้แต่กวาดสายตามองพ่อบ้านจ้าวที่ขอร้องวิงวอนตน ก่อนกล่าวอย่างเด็ดขาด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งเอ๋อร์เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ จะหาพ่อบ้านใหม่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง มิสู้ให้พ่อบ้านจ้าวทำหน้าที่ไปก่อน รอให้พ่อหาคนที่เหมาะสมได้แล้วค่อยไล่เขาออก”

พอได้ยินเช่นนี้ หางตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เหลือบเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของอวิ๋นเสวียนจือ รู้ดีแก่ใจว่าหากตอนนี้บีบบังคับเขาต่อ เหตุการณ์อาจจะพลิกกลับ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตามแต่ความต้องการของท่านพ่อเถิดเจ้าค่ะ”

สิ้นคำนางก็ไม่สนทุกคนที่อยู่ในเรือนอีก เดินนำพาสาวใช้ของตนกลับเข้าไปในห้องอีกครา

บทที่ 4 อี๋เหนียงก็รังแกอี๋เหนียงได้เหมือนกัน

 เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองวันผุดระลอกคลื่นยักษ์สูงทะมึนในจวนอัครเสนาบดีทันที

ยิ่งกว่านั้นวันนี้นายท่านยังออกคำสั่งลงโทษโบยพ่อบ้านจ้าวด้วยตนเองเพื่อให้คุณหนูสบายใจ นี่ทำให้ทุกคนในจวนอัครเสนาบดีเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ต่อคุณหนูใหญ่ที่นิสัยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวหลังจากถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นผู้นี้

หลังจากได้ยินว่าพ่อบ้านจ้าวถูกลงโทษ ซูชิงกลับไม่เอ่ยวาจาใดๆ เพียงพาอวิ๋นรั่วเสวี่ยไปทานอาหารเช้าเงียบๆ ตามปกติ

พ่อบ้านจ้าวเป็นคนที่นางอุ้มชูด้วยมือตนเอง ด้วยความเข้าใจที่ซูชิงมีต่อพ่อบ้านจ้าวแล้ว จะไม่รู้จักนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเขาได้อย่างไร

ที่วันนี้อวิ๋นเสวียนจือทำเช่นนี้ ดูคล้ายกับเอ็นดูอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ที่จริงแล้วเป็นการไว้หน้าไทเฮาต่างหาก

ถ้าเกิดตนออกหน้าแก้ต่างแทนพ่อบ้านจ้าว จะกลับเป็นการทำร้ายความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา ทำให้นางเด็กปลิ้นปล้อนอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งสบโอกาสเจาะช่องว่างได้

แต่ในใจอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่ยินยอม นางยืนขึ้นด้วยสีหน้าเจือความโกรธเกรี้ยว เดินก้าวเท้าเร็วรี่ไปตรงหน้าหลิ่วอี๋เหนียงที่ยืนยอบตัวอยู่หน้าประตูห้อง มือเรียวงามเชยคางคุณหนูสามที่อยู่ด้านข้างหลิ่วอี๋เหนียงขึ้น สังเกตดูอย่างละเอียดลออ

“พรืด…” คนที่เมื่อครู่ยังใบหน้าเปี่ยมโทสะตอนนี้กลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ท่านแม่ น้องสามโตมาใบหน้าสะสวย ตอนนี้น้องสามเองก็เติบใหญ่แล้ว ท่านแม่กำลังหาคนดีๆ ให้นางใช่หรือไม่”

วาจาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้อวิ๋นเยียนคุณหนูสามสกุลอวิ๋นซึ่งเดิมทีหน้าแดงระเรื่อกลายเป็นใบหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา สายตามองไปทางมารดาของตนอย่างไม่อาจห้าม

“จริงอยู่ที่เยียนเอ๋อร์รูปโฉมงดงามหมดจด ถึงจะมีฐานะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่ถ้าไม่ได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย เชื่อว่าให้หมั้นหมายกับคนธรรมดาๆ สักคนก็คงได้อยู่ ข้าว่าบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” แค่วาจาประโยคเดียวของซูชิงก็ลิขิตทั้งชีวิตของอวิ๋นเยียนได้แล้ว

“ฮูหยินเจ้าคะ หลายปีมานี้พวกเราแม่ลูกอยู่ในจวนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ขอท่านโปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ ให้เยียนเอ๋อร์อยู่ข้างกายบ่าวอีกสักสองสามปีเถิด” หลิ่วอี๋เหนียงคลานไปยังข้างเท้าซูชิง โขกศีรษะให้นางไม่หยุด หวังว่าซูชิงจะเปลี่ยนใจ

ส่วนอวิ๋นเยียนฟุบนั่งลงกับพื้นโดยที่น้ำตานองหน้าตั้งแต่แรกแล้ว

ใครบ้างไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวมักมากในกาม ในบ้านมีภรรยาและอนุสิบกว่าคนอยู่แล้วยังมั่วสุมที่แหล่งเริงรมย์ได้ทั้งวัน การตัดสินใจของฮูหยินจะทำลายชีวิตทั้งชีวิตของนาง ช่างใจร้ายเหลือเกิน

“หลิ่วอี๋เหนียงมีปัญหาอันใด หรือว่าไม่พอใจในการแต่งงานครั้งนี้ ช่วยให้ได้ดีแล้วไม่รู้จักรับไว้ ไม่คิดดูบ้างว่าพวกเจ้ามีสถานะใด ยังจะกล้าจู้จี้จุกจิกอีก พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อบ้านจ้าวมาสู่ขอ อวิ๋นเยียนจะได้เป็นอี๋เหนียงสกุลจ้าวอย่างแน่นอน” เท้าข้างหนึ่งของนางเตะหลิ่วอี๋เหนียงออก ก่อนจะยืนขึ้นด้วยสีหน้ามาดร้าย โบกมือให้พวกหญิงรับใช้ชราในห้องไล่สองแม่ลูกที่อ้อนวอนไม่หยุดออกไป

โทสะได้ระบายออกไปแล้ว อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอารมณ์สดใสเบิกบาน สุดท้ายก็กลับมานั่งละเลียดทานอาหารเช้าที่หน้าโต๊ะอาหารอีกครา

 

อวิ๋นเชียนเมิ่งในตอนนี้ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตในสมัยโบราณได้แล้ว

เมื่อไม่มีพวกซูชิงมารบกวนชั่วคราว ถึงเรือนฉี่หลัวจะเก่าโกโรโกโส แต่วันคืนก็ผ่านไปอย่างอิสระผ่อนคลาย

นางใช้เวลาว่างในช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์ ทำความคุ้นเคยกับบุคคลต่างๆ ที่จดจำอยู่ในสมอง

“คุณหนู เมื่อครู่บ่าวไปรับเบี้ยรายเดือนของเดือนนี้ที่ห้องบัญชี แต่ผู้ดูแลห้องบัญชีกลับบอกว่าเรือนฉี่หลัวของพวกเราไม่มีเบี้ยรายเดือนให้รับเจ้าค่ะ” มู่ชุนกล่าวด้วยสีหน้าโกรธแค้น “เมื่อวานบ่าวก็ไปมาแล้ว เขาบอกว่าเงินยังไม่เข้ามาที่ห้องบัญชี ให้พวกเรารอก่อน แต่พอไปวันนี้กลับพูดแบบนี้อีก ตอนบ่าวกลับมาก็สืบถามจากพวกบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ทุกคนก็ได้รับเบี้ยรายเดือนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พอถึงตาพวกเรากลับเริ่มหลบเลี่ยง”

“อ้อ ไม่มีเบี้ยรายเดือนให้รับ” อวิ๋นเชียนเมิ่งปิดเกร็ดประวัติศาสตร์ที่กำลังอ่านอยู่ในมือ ดวงตาทั้งสองหรี่น้อยๆ มุมปากผุดรอยยิ้มเย็น

ซูชิงควบคุมจวนอัครเสนาบดีมาหลายปี หูตาแทรกซอนไปทั่วทุกซอกทุกมุม ต่อให้ก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากอวิ๋นเสวียนจือ แต่ซูชิงก็ยังมีวิธีต่างๆ นานามากลั่นแกล้งตนได้อยู่ดี

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งชอบรับคำท้ามากที่สุด จะสู้กับซูชิงดูสักยกดูก็ได้ จะได้เพิ่มความสนุกสนานให้กับวันคืนอันจืดชืดนี้

“คุณหนู ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ได้ยินว่าช่วงนี้พ่อบ้านจ้าวกำลังตระเตรียมของขวัญ บอกว่าจะไปสู่ขอกับนายท่าน” นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มู่ชุนก็เลือกที่จะเล่าข่าวคราวที่ตนได้ยินออกมา

“คุณหนู หลิ่วอี๋เหนียงพาคุณหนูสามมาคารวะเจ้าค่ะ” พูดจบสุ่ยเอ๋อร์ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกก็พาหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซูบเซียว

หลิ่วอี๋เหนียงอายุสามสิบต้นๆ รูปโฉมเปี่ยมเสน่ห์ แม้จะก้มหน้าอยู่แต่กลับแผ่กำจายกลิ่นอายเย้ายวนออกมาเลาๆ โดยเฉพาะเรือนร่างอรชรนั้น ถึงจะเป็นสตรีที่เคยให้กำเนิดบุตรมาแล้ว แต่ก็ยังคงงดงามสะโอดสะอง มิน่าปีนั้นถึงได้กระโดดจากสาวใช้ของจวนอัครเสนาบดีมาเป็นอี๋เหนียง

อวิ๋นเยียนที่เกาะติดอยู่หลังมารดาก็แลดูงดงามหมดจด ชุดกระโปรงยาวสีชมพูรับกับเสื้อสีเงินราวกับดอกบัวตูมที่รอวันผลิบาน ทั่วทั้งกายแผ่กลิ่นอายบริสุทธิ์สดใส แม้อายุยังน้อยแต่รูปร่างกลับมีส่วนเว้าส่วนโค้ง คงจะสืบทอดรูปโฉมงดงามมาจากหลิ่วอี๋เหนียง

แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นเยียนก็เอาแต่เก็บตัวในห้องหับ ทั้งยังถูกพวกซูชิงแม่ลูกรังแกเป็นประจำ บนใบหน้าชวนให้คนรักใคร่ประดุจดอกบัวดวงนั้นจึงมีแต่ความกระวนกระวาย สิ่งที่ในดวงตามีชีวิตชีวาคู่นั้นปกปิดไว้ไม่มิดคือความระแวดระวังอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความสง่าผ่าเผยของธิดาสกุลใหญ่เลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนสุ่ยเอ๋อร์ที่พาทั้งสองเข้ามา ยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกวาดสายตามายังนางคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ในใจก็พลันกริ่งเกรงไปชั่วขณะ ถึงอย่างไร ถ้าอี๋เหนียงและคุณหนูอนุภรรยามาคารวะ คุณหนูในภรรยาเอกสามารถไล่พวกนางออกไปโดยไม่ต้องไว้หน้าแม้แต่นิดเดียวได้ แต่ตนเองกลับพาคนเข้ามาโดยพลการ ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่มีท่าทีที่แสดงออกว่าโมโหหรือติติงโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ยิ้มบางๆ มองนางเช่นเดียวกัน แต่กลับทำให้นางใจเต้นราวกับกลองรัว จึงได้แต่บังคับให้ตนเองเอ่ยปาก “คุณหนู หลิ่วอี๋เหนียงกับคุณหนูสามมาคารวะเจ้าค่ะ”

สิ้นคำสุ่ยเอ๋อร์ก็รีบก้มหน้าต่ำแล้วเบี่ยงกายไปยืนด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไม่เอ่ยวาจาอีก

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมิได้ต่อคำ เพียงแค่พลิกเกร็ดประวัติศาสตร์หน้าที่ตนเองเพิ่งอ่านถึงอย่างเชื่องช้า ทำราวกับมองไม่เห็นคนทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในใจหลิ่วอี๋เหนียงก็อดลนลานขึ้นมาไม่ได้ เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ยังยิ้มมองตนเองเดินเข้ามาแท้ๆ แต่ไฉนยามนี้กลับไม่พูดไม่จา ซ้ำยังจดจ่อสมาธิทั้งหมดกับหนังสือในมืออีก

เมื่อคิดแบบนี้ หลิ่วอี๋เหนียงก็ยิ่งดูร้อนใจมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าวันนี้ตนเองมากะทันหันเกินไปหรือไม่

“อวิ๋นเยียนพาหลิ่วอี๋เหนียงมาคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” ยามนี้อวิ๋นเยียนที่เดิมทีดูท่าทางล่อกแล่กไม่เรียบร้อยค่อยๆ เดินเข้ามา ดึงหลิ่วอี๋เหนียงที่ลอบสังเกตอวิ๋นเชียนเมิ่งให้คุกเข่าลงพร้อมกัน

อวิ๋นเชียนเมิ่งปิดหนังสือเกร็ดประวัติศาสตร์ในมือ รับถ้วยชาที่มู่ชุนยื่นมาให้ มือเรียวเปิดฝาออก จากนั้นบรรจงดื่มด้วยท่วงท่าสง่างามอึกหนึ่งแล้วถึงค่อยกล่าวทักทายคนทั้งสองที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เอ่ยปากด้วยเสียงแสร้งทำระคนประหลาดใจ “อี๋เหนียงกับน้องสามมาได้อย่างไร”

เสียงพูดยังไม่ทันสิ้นก็เห็นอวิ๋นเยียนคลานมาตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ร่ำไห้พลางกล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งให้บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว”

ภายในเรือนฉี่หลัวเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เสียงโขกศีรษะ อวิ๋นเชียนเมิ่งก้มมองคนทั้งสองที่อยู่ข้างเท้าด้วยสายตาเย็นชา ก้นบึ้งดวงตาลึกล้ำดุจมหาสมุทร ทำให้คนคาดเดาความลึกลับที่แฝงซ่อนไว้ไม่ออก เสียงแผ่วเบาที่ฟังอารมณ์ไม่ออกค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจนี้ “ข้าเป็นแค่คุณหนูใหญ่ ท่านพ่อต่างหากที่เป็นนายของบ้านนี้ หากอี๋เหนียงกับน้องสามมีเรื่องคับข้องหมองใจก็ไปหาท่านพ่อได้ ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับข้า”

แต่อวิ๋นเยียนกับหลิ่วอี๋เหนียงรู้ดีแก่ใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกนาง จะยอมให้ถูกไล่ไปง่ายๆ อย่างนี้ได้เช่นไร

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่สนใจระเบียบจารีตอันใดอีก ถลาเข้าไปโดยพลัน กอดขาอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้คนละข้าง ร้องคร่ำครวญเสียงดัง “คุณหนู ถ้าหากซูอี๋เหนียงยกเยียนเอ๋อร์ให้ตระกูลสุภาพชน บ่าวคงไม่กล้าร้องทุกข์แน่นอนเจ้าค่ะ แต่บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวเป็นคนไร้ความรู้ความสามารถ บ่าวจะทนยอมให้บุตรสาวตนเองแต่งไปเป็นอนุภรรยาได้อย่างไรเจ้าคะ”

อวิ๋นเยียนในตอนนี้ก็ร้องไห้จนสภาพน่าเวทนา บนพวงแก้มทั้งสองข้างมีแต่น้ำตา เสียงแหบแห้งเล็กน้อย แต่มือที่กอดขาอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้กลับยึดแน่นยิ่งนัก พวกสุ่ยเอ๋อร์จะออกแรงดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก

“พี่ใหญ่ ท่านเห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องกันช่วยข้าสักคราเถิดเจ้าค่ะ อวิ๋นเยียนไม่ขอแต่งให้สกุลสูงศักดิ์ ขอแค่มีสักคนที่รักข้ารู้ใจข้าแค่นี้ข้าก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ แต่บุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าวนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ในใจพี่ใหญ่คงรู้กระจ่างแจ้ง สถานการณ์ในจวนเป็นเช่นไร พี่ใหญ่ยิ่งเข้าใจแจ่มชัด หากพวกเราไม่อับจนหนทางจริงๆ คงไม่มารบกวนท่านพี่ ขอท่านพี่โปรดเมตตาด้วยนะเจ้าคะ”

“คุณหนูใหญ่ บ่าวมีเรื่องอยากจะบอก ท่านทราบหรือไม่ว่าปีนั้นฮูหยินเสียชีวิตอย่างไร” พวกมู่ชุนดึงหลิ่วอี๋เหนียงออกมาอย่างยากลำบาก แต่หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้ยินข้อมูลที่น่าตื่นตระหนกจากปากนาง

“เดี๋ยวก่อน!”

อวิ๋นเชียนเมิ่งตวาดเบาๆ อย่างแฝงด้วยความน่าครั่นคร้ามเต็มเปี่ยม ทำให้เรือนฉี่หลัวที่เดิมทีเอะอะวุ่นวายไม่หยุดเงียบสนิทลงทันใด

หลิ่วอี๋เหนียงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยามนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมายังตนราวกับคมดาบทิ่มแทง ทำให้ในใจนางพลันตื่นตระหนก

“หลิ่วอี๋เหนียง ข้าวสามารถซี้ซั้วกินได้ แต่วาจาจะซี้ซั้วพูดไม่ได้” อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนนิ่งตรงหน้าหลิ่วอี๋เหนียง โน้มสายตามองนางจากที่สูงอย่างเย็นยะเยือก ความเย็นชาในดวงตาทำให้หลิ่วอี๋เหนียงสั่นระริกไปทั่วสรรพางค์กาย

หลิ่วอี๋เหนียงร่างพลันสั่นเทิ้ม ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาทันควัน “คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของเยียนเอ๋อร์ บ่าวไม่มีทางพูดซี้ซั้วเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้สรุปรวบรัดในทันที แต่กลับประเมินดูคู่แม่ลูกตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ถึงแม้ในถ้อยคำของทั้งคู่จะระแวดระวัง แต่กลับมีความหมายอย่างโจ่งแจ้ง เกรงว่าวาจาของหลิ่วอี๋เหนียงจะมิใช่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ กอปรกับเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของเยียนเอ๋อร์ หลิ่วอี๋เหนียงยิ่งไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาหาความสำราญใจให้ตนเองแน่

ทว่าหลิ่วอี๋เหนียงผู้นี้ปิดปากสนิทยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะเก็บซ่อนเรื่องนี้มาตั้งหลายปี ถ้าไม่เกิดเรื่องอวิ๋นเยียน นางคงจะพาลงโลงไปด้วยกระมัง ตอนนี้มีโอกาสให้ใช้ประโยชน์แล้ว คงจะเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับตน ช่างเป็นแผนที่ร้ายกาจจริงๆ

แต่นางกลับไม่รู้ว่าชาติก่อนสิ่งที่อวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่เบื้องหน้านางคนนี้ช่ำชองที่สุดก็คือการทำคดี ต่อให้ไม่มีเบาะแสที่นางมอบให้ก็ยังสามารถค่อยๆ สืบหาความจริงไปทีละข้อได้ ไม่มีทางยอมให้คนอื่นมาข่มขู่แน่นอน

ครั้นวิเคราะห์ได้เช่นนี้ บนใบหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เผยรอยยิ้มบางๆ ทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะเฉยชาของนางค่อยๆ ดังขึ้น “ความคิดของอี๋เหนียงช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ ทั้งหลอกใช้คุณหนูอย่างข้าล้มเลิกสัญญาหมั้นหมายแทนอวิ๋นเยียน ซ้ำยังให้ข้าสร้างศัตรูอีก ส่วนเจ้าก็นั่งเป็นเฒ่าหาปลาได้ผลประโยชน์”

ครั้นวาจาถูกเปล่งออกมา ร่างกายของหลิ่วอี๋เหนียงที่คุกหมอบอยู่กับพื้นสั่นสะท้านในทันใด รีบหมอบลงต่ำยิ่งขึ้น ไม่กล้าเอ่ยปากอีก

นางคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะกลายเป็นคนฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ แค่พริบตาเดียวก็มองเจตนาแฝงของนางออก

มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งฉาบรอยยิ้มบางๆ ไว้ตลอดเวลา แต่ความเย็นชาในดวงตากลับเพิ่มพูนมากขึ้น ก่อนจะหันกายเดินเข้าไปในห้องทันที

หลิ่วอี๋เหนียงมองอีกฝ่ายเดินจากไป พลันรู้สึกสิ้นหวัง แต่อย่างไรนางก็มีชีวิตรอดภายใต้สายตาของซูชิงมาได้หลายปี จึงเข้าใจทันทีว่านี่คือการลงโทษที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมอบให้นาง

แม้ตนจะรู้ความจริงเกี่ยวกับการตายของฮูหยินในปีนั้นจริงก็ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาบีบคุณหนูใหญ่

ยามนี้คุณหนูใหญ่ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าไม่ว่านางจะแอบแฝงเจตนาใด ในสายตาคุณหนูใหญ่ก็ยังมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วอี๋เหนียงประจักษ์แจ้งถึงความเก่งกาจของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างแท้จริง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันชื่อของอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างคึกคักของทุกคนในจวน

หลิ่วอี๋เหนียงดึงอวิ๋นเยียนลงคุกเข่าในลานบ้านพร้อมกัน สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ตลอดทั้งบ่าย หลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนคุกเข่าตัวตรงอยู่หน้าเรือน ถึงแม้ที่ตั้งของเรือนฉี่หลัวจะเปล่าเปลี่ยวห่างไกล แต่ก็ยังมีสาวใช้เด็กรับใช้เดินผ่าน ส่วนมู่ชุนก็กังวลว่าหากถูกคนที่มีเจตนาร้ายเห็นเข้าจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของคุณหนูของนาง

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเขียนพู่กันอย่างผ่อนคลายดูจิตใจสงบยิ่ง นางตวัดวาดขีดเส้นสุดท้ายด้วยแววตาตั้งอกตั้งใจแล้วจึงรับผ้าเปียกที่มู่ชุนยื่นให้มาเช็ดมือ เห็นมู่ชุนดวงตาแฝงความพะวงใจ แต่นางกลับแค่เม้มปากยิ้มบาง

นางย่อมรู้ดีว่ามู่ชุนกำลังกังวลเรื่องใด แต่ซูชิงบริหารจัดการจวนอัครเสนาบดีมาเกือบยี่สิบปีแล้ว คนในจวนนี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนสนิทของนางไปตั้งนานแล้ว หากเรือนฉี่หลัวมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดก็จะแพร่ไปถึงหูนางทันที เกรงว่าหลิ่วอี๋เหนียงยังไม่ทันได้ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัว หูตาของซูชิงก็คงจะแจ้นไปรายงานแล้ว

ครั้นมองดูท้องฟ้าด้านนอกก็เห็นว่ามืดสลัว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งกับมู่ชุนว่า “ให้พวกนางเข้ามาได้ กำชับสุ่ยเอ๋อร์ว่าอาหารเย็นวันนี้ให้ทานที่โถงรับแขก ไม่ต้องนำกลับมาเรือนฉี่หลัว”

“เจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งใจอ่อน มู่ชุนจึงเก็บพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึกที่อยู่บนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วจึงหมุนกายเดินออกไปจากเรือน

เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนได้ยินว่ามู่ชุนเชิญพวกนางเข้าไป ทั้งสองก็มีสีหน้ายินดีปรีดาทันที ถึงแม้สองขาจะชาหนึบ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์เบิกบานของพวกนางในตอนนี้แม้แต่น้อย สองแม่ลูกประคับประคองกันเดินเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งนั่งดื่มชาอ่านหนังสืออยู่ด้านในก็หมายจะคุกเข่าลงอีกครั้ง

“หลิ่วอี๋เหนียงกับน้องสามเหนื่อยแล้ว พิธีรีตองเหล่านี้ก็เลี่ยงไปเสีย ตามข้าไปกินอาหารเย็นด้วยกันที่โถงรับแขกเถิด” อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยปากดูน้ำเสียงราบเรียบ บนใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าอันใด

แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามาด้านใน สีทองอร่ามสะท้อนลงบนใบหน้างามล้ำดุจหยกของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แลดูสูงศักดิ์งามสง่ายิ่งนัก พาให้หลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนที่เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ

 

ภายในโถงรับแขก อวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ นั่งลงกับที่ หลิ่วอี๋เหนียงในตอนนี้ต้องพึ่งพาอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงยิ้มเดินไปข้างกายนางพร้อมกับกล่าวประจบ “บ่าวจะปรนนิบัติคุณหนูทานอาหารเองนะเจ้าคะ”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่พูดจาให้มากความ รับชาที่มู่ชุนประคองส่งให้มาดื่ม นัยน์ตาสีดำสนิทมองทอดไปทางอื่นอย่างเฉยชา

กระทั่งม่านฟ้ามืดมิด เงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ทำความเคารพคนที่ใกล้จะเดินมาถึงตรงหน้า “ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”

“เมิ่งเอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นี่ จากนั้นกวาดสายตามองหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางอย่างพินอบพิเทา ในใจอวิ๋นเสวียนจืออดเกิดข้อสงสัยมิได้

บุตรสาวในภรรยาเอกผู้นี้ขี้ขลาดตาขาวมาตั้งแต่เล็ก นอกเสียจากโอกาสสำคัญๆ ปกติแล้วจะไม่ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัว แต่วันนี้กลับอยู่กับหลิ่วอี๋เหนียง ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดกัน

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้มสว่างไสว เดินมาข้างกายอวิ๋นเสวียนจืออย่างว่าง่าย แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเคารพเลื่อมใส “วันนี้ร่างกายลูกดีขึ้นมาก คิดอยู่ว่าไม่ได้ทานอาหารร่วมกับท่านพ่อมานานแล้ว ก็เลยให้พวกสาวใช้เตรียมอาหารเย็นไว้ที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็โบกมือ พวกสุ่ยเอ๋อร์รับทราบ ยกกล่องอาหารขึ้นมาทันที นำผักสองสามจานที่อยู่ด้านในวางบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่

เดิมอวิ๋นเสวียนจือคิดจะบอกปัด วันนี้ตนรับปากซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยไว้ว่าจะทานข้าวด้วยกัน หากเลยเวลาแล้วยังไม่ไป สองแม่ลูกคงจะโมโหกระฟัดกระเฟียดเป็นแน่

อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่รอให้เขาเปิดปากก็สั่งให้คนจัดโต๊ะอาหารจนเสร็จสิ้น โดยเฉพาะบนโต๊ะอาหารตัวกลมและใหญ่นั้นมีชามกับตะเกียบวางไว้อย่างน่าสงสารแค่ไม่กี่ชุด ทำให้อวิ๋นเสวียนจืออับอายต่อหน้าธารกำนัลไม่มีเหลือ จึงพลันลอบขมวดคิ้ว สายตาคมปลาบพุ่งไปยังพ่อบ้านจ้าวซึ่งอยู่ข้างๆ “นี่คืออาหารเย็นที่พวกเจ้าเตรียมให้คุณหนูใหญ่?”

ครั้นพ่อบ้านจ้าวได้ยินน้ำเสียงอวิ๋นเสวียนจือก็รู้ว่าเขาเกิดโทสะเสียแล้ว จึงรีบก้มหน้าเดินเข้าไปอธิบาย “นายท่าน เกรงว่าห้องครัวคงจะทำมาผิดน่ะขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปต่อว่าผู้ดูแลห้องครัวเอง ไม่รู้ว่าพวกนางไม่มีสมองหรืออย่างไร แม้แต่อาหารการกินของคุณหนูใหญ่ก็ยังทำผิดพลาด”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับก้าวไปตรงหน้าพ่อบ้านจ้าวแล้วกล่าวด้วยใบหน้าระคนรอยยิ้ม “ถ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าระยะนี้อาหารการกินของข้าล้วนทำมาผิด? ดูท่าผู้ดูแลห้องครัวกับพ่อบ้านจ้าวอายุมากแล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังทำได้ไม่ดี สู้กลับบ้านเกิดไปเลี้ยงตัวยามแก่เถอะ”

พูดจบเสียงขึ้นจมูกดัง ‘ฮึ’ อย่างเย็นชาก็ดังออกมาจากปากอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทำให้ใจพ่อบ้านจ้าวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่สร้างความกดดันให้คนได้มากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร แค่เสียงฮึดฮัดหนึ่งคำก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว

“พ่อบ้านจ้าว พวกเจ้าใจกล้ายิ่งนัก แม้แต่อาหารของคุณหนูใหญ่ก็ยังกล้ายักยอก” อวิ๋นเชียนเมิ่งจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน อวิ๋นเสวียนจือนั้นความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห มือข้างหนึ่งเอาแต่ชี้ตรงไปยังพ่อบ้านจ้าวที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ส่วนสาวใช้และบริวารที่อยู่อีกด้านคุกเข่าลงกับพื้นตั้งแต่แรกแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง กลัวว่าตนเองจะติดร่างแหไปด้วย

ภายในโถงรับแขกพลันเงียบเป็นเป่าสาก หลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนสบตากันแวบหนึ่ง ยามที่มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้ง ในดวงตาก็ทวีความเคารพยำเกรงยิ่งขึ้น

ใครจะไปนึกว่าแค่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของคุณหนูใหญ่จะทำให้พ่อบ้านจ้าวที่ปกติมักวางอำนาจบาตรใหญ่ตกใจกลัวจนอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ท่านอัครเสนาบดี บ่าวไม่กล้ายักยอกอาหารของคุณหนูแน่นอนขอรับ คงเป็นเพราะผู้ดูแลห้องครัวเห็นเงินแล้วตาโตแน่ๆ ท่านอัครเสนาบดี เรื่องนี้บ่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลยนะขอรับ ขอท่านโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!” ในตอนนี้พ่อบ้านจ้าวก็รู้เช่นกันว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของจวนอัครเสนาบดี หากข่าวแพร่ออกไปว่าบ่าวชั่วรังแกเจ้านาย เกรงว่าอวิ๋นเสวียนจือคงไม่คิดจะเก็บเขาไว้แน่ เพื่ออุดปากคนตนเองคงหนีไม่พ้นเคราะห์นี้

มิสู้ผลักความผิดไปให้คนอื่น อย่างมากตนเองก็ถูกสอบสวนว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แล้วค่อยให้ซูอี๋เหนียงเป่าลมข้างหมอน ตำแหน่งพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดีนี้ยังจะไม่ใช่ของตนต่อไปอีกหรือ

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่ให้โอกาสเขาเอ่ยปากโดยสิ้นเชิง วาจาของพ่อบ้านจ้าวเพิ่งจะสิ้นคำ ข้างหูของทุกคนก็มีเสียงราบเรียบของนางดังขึ้น “ได้ยินว่าช่วงนี้ในจวนของเรามีเรื่องมงคลเกิดขึ้น พ่อบ้านจ้าวคงจะเปลืองแรงกับเรื่องนี้ถึงได้ละเลยการดูแลห้องครัวกระมัง”

ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกไป สีหน้าของหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนก็ซีดเผือดในชั่วพริบตา ส่วนพ่อบ้านจ้าวพลันสะดุ้งเฮือก แม้กระทั่งอวิ๋นเสวียนจือที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ผงะอึ้งไป มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างอดไม่ได้ “เมิ่งเอ๋อร์ ในจวนมีเรื่องมงคลอะไรเกิดขึ้น”

อวิ๋นเชียนเมิ่งอมยิ้ม เอ่ยอย่างเฉื่อยชาทันใด “ลูกก็แค่ได้ยินมาเหมือนกัน ท่านพ่อถามพ่อบ้านจ้าวเอาเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

พ่อบ้านจ้าวไม่ได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะพูดเรื่องนี้ออกมาก่อนถึงเวลา ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้อวิ๋นเสวียนจือกำลังโมโหโทโส เกรงว่าเรื่องนั้นคงไม่อาจดำเนินการได้อย่างราบรื่นเสียแล้ว

ยามนี้สายตาอวิ๋นเสวียนจือแฝงด้วยแววดุร้ายเต็มเปี่ยม ทำให้พ่อบ้านจ้าวรู้สึกแผ่นหลังเสียววาบ ทำได้แค่เพียงฝืนเอ่ย “เรียนนายท่าน ซูอี๋เหนียงรับปากบ่าวว่าจะให้คุณหนูสามหมั้นหมายกับลูกชายของบ่าวขอรับ”

ยามนี้หลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนทั้งคู่ต่างน้ำตาคลอหน่วยถลาเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือ

“ขอนายท่านโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ! ซูอี๋เหนียงจะยกเยียนเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว ถึงแม้เยียนเอ๋อร์เป็นบุตรอนุภรรยา แต่กระนั้นก็เป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี จะให้ไปเป็นอนุของบุตรชายพ่อบ้านได้อย่างไรเจ้าคะ จะให้นายท่านเอาหน้าไปไว้ที่ใด” พอหลิ่วอี๋เหนียงเอ่ยปากก็ยกเรื่องหน้าตาของเขามาเป็นอันดับแรก กอปรกับอวิ๋นเยียนร้องไห้อย่างโศกเศร้าปานจะขาดใจ ทำให้นัยน์ตาที่เดิมก็เต็มไปด้วยความโกรธกริ้วของอวิ๋นเสวียนจือยิ่งมีโทสะพุ่งสามจั้ง ทันใด

“เจ้าช่างใจกล้านัก แม้แต่กับคุณหนูจวนอัครเสนาบดีก็กล้าคิดเพ้อฝัน!” พอนึกถึงบุตรชายที่ไร้ความรู้ความสามารถของพ่อบ้านจ้าว แล้วเห็นท่าทางน่าสงสารเวทนาของอวิ๋นเยียน อวิ๋นเสวียนจือก็ได้แต่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ สาวเท้าปราดเข้าไปตรงหน้า เตะเข้าที่หัวไหล่ของพ่อบ้านจ้าว

“นายท่าน ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ตอนนี้ซูชิงซึ่งเดิมอยู่ในห้องพาอวิ๋นรั่วเสวี่ยรีบร้อนมา นัยน์ตาเรียบเฉยของอวิ๋นเชียนเมิ่งฉายรอยยิ้มเย็นวาบผ่าน แต่มิได้มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงยืนอยู่ข้างอวิ๋นเสวียนจือเงียบๆ เหมือนเดิม ราวกับไม่เคยแยแสการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้

เสียงร้องไห้บนใบหน้าหลิ่วอี๋เหนียงกับอวิ๋นเยียนค่อยๆ หยุดลงเมื่อผู้มาใหม่ใกล้เข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังถลึงตาใส่ทั้งคู่แวบหนึ่งอย่างโกรธแค้น ทำให้พวกนางตกใจกลัวจนก้มหน้าลงโดยพลัน วาจาที่เดิมทีคิดจะร้องขอความเมตตาถูกกลืนกลับลงท้องทันที

ในหมู่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ คงจะมีแต่พ่อบ้านจ้าวที่ยินดีปรีดาที่สุด ครั้นเห็นผู้เป็นนายของตนมาถึง ร่างของพ่อบ้านจ้าวซึ่งแต่เดิมหมอบคลานอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นยืนในทันใด สายตาที่มองไปทางหลิ่วอี๋เหนียงและอวิ๋นเยียนทวีความลำพองใจและการยั่วยุอย่างอดไม่ได้

ซูชิงเดินไปหาอวิ๋นเสวียนจือด้วยสีหน้าอ่อนโยนท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของทุกคน แอบอิงข้างกายอวิ๋นเสวียนจือราวกับนกน้อยก่อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “นายท่าน เกิดเรื่องอันใดขึ้น ดูสิ ท่านทำให้พ่อบ้านจ้าวตกใจกลัวหมดแล้วนะเจ้าคะ”

ทว่าเสียงนุ่มละมุนของนางกลับแลกมาด้วยเสียงเอ่ยถามอย่างเย็นชาเล็กน้อยของอวิ๋นเสวียนจือ “ชิงเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้ายกเยียนเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาบุตรชายคนโตของพ่อบ้านจ้าว?”

พอมีคนไปรายงานต่อซูชิงถึงเหตุการณ์ทั้งหมด นางก็เกรงว่าจะถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้เสียเรื่อง จึงรีบร้อนเข้ามา ยามนี้เห็นอวิ๋นเสวียนจือเปิดปากถาม บนใบหน้านางยังแสร้งแย้มยิ้มอ่อนโยน เอ่ยโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว “ใช่เจ้าค่ะ นายท่าน ข้าเห็นว่าปีนี้เยียนเอ๋อร์เลยวัยออกเรือนมาแล้ว ส่วนลูกชายพ่อบ้านจ้าวข้าก็เห็นเขาเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่รูปลักษณ์ใจคอไม่เลว จึงเป็นธุระหมั้นหมายให้โดยพลการ”

ได้ยินนางพูดเช่นนี้สีหน้าของอวิ๋นเยียนก็เจื่อนลงทันใด ฟันกัดริมฝีปากล่าง สองมือที่บีบผ้าเช็ดหน้าอยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น

เห็นท่าทางกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดของอวิ๋นเยียน ซูชิงก็ยิ้มเย็นเยียบในใจ จากนั้นจึงพูดต่อว่า “นอกจากนี้แม้อวิ๋นเยียนจะเป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี แต่หลิ่วอี๋เหนียงฐานะต่ำต้อย อวิ๋นเยียนหาได้มีชื่อเสียงในหมู่หญิงงามชั้นสูงของเมืองหลวงไม่ เกรงว่าลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์คงไม่มาสู่ขอถึงที่เป็นแน่ มิสู้ให้นางแต่งกับบุตรชายพ่อบ้านจ้าว ต่อไปก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อบ้านจ้าวก็จะทำงานถวายชีวิตให้นายท่านอย่างสุดแรงสุดกำลังยิ่งกว่าเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ”

คำพูดเหล่านี้พูดได้มีเหตุมีผล ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความใจกว้างดีพร้อมของซูชิง ให้ความรู้สึกราวกับเป็นนายหญิงของบ้านโดยสมบูรณ์

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองอวิ๋นเสวียนจือเปลี่ยนจากท่าทีเดือดดาลเมื่อครู่มาเป็นใจสงบในยามนี้ มุมปากก็ผุดรอยยิ้มเฉยชาถึงขีดสุดตาม นัยน์ตาลึกล้ำดุจสระลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องไปยังใบหน้าแย้มยิ้มที่เอื้ออารีเกินไปของซูชิงแน่วนิ่ง เอ่ยอย่างช้าๆ “วาจานี้ของซูอี๋เหนียงกล่าวผิดแล้ว พูดถึงอายุมากน้อย หากน้องรั่วเสวี่ยยังมิได้แต่งงาน จะวนมาถึงตาน้องสามได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งของซูอี๋เหนียงในจวนอัครเสนาบดีเองก็ไม่ได้สูงส่งสักเท่าไร เมื่อว่ากันตามหลักการแล้ว น้องรั่วเสวี่ยซึ่งเป็นบุตรอนุภรรยาก็สามารถแต่งให้บุตรชายพ่อบ้านจ้าวได้เหมือนกัน ท่านพ่อ เมิ่งเอ๋อร์ไม่ฉลาด ไม่เข้าใจว่าซูอี๋เหนียงทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด”

วาจานี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับตบหน้าซูชิงฉาดใหญ่ ทำให้สีหน้าของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยย่ำแย่ขึ้นทันใด

อวิ๋นรั่วเสวี่ยดวงตาฉายแววดุร้าย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็น กล่าวตอบโต้อย่างกระทบกระเทียบ “ท่านพี่พูดอะไรกัน ลืมไปแล้วหรือว่าท่านเป็นคนที่ถูกถอนหมั้น หากชาตินี้คิดจะแต่งเข้าตระกูลขุนนางชั้นสูง กลัวว่าจะเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ สู้ท่านพี่แต่งให้บุตรชายพ่อบ้านจ้าวแทนอวิ๋นเยียนดีกว่ากระมัง”

พูดจบสองแม่ลูกก็รอดูเรื่องตลกของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยท่าทางสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ส่วนพวกมู่ชุนกลับมองไปยังคุณหนูของตนอย่างเป็นกังวล ในใจอดชิงชังกับความชั่วร้ายของซูอี๋เหนียงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่ได้ ถึงกับเอาเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหญิงสาวมาล้อเล่น หากข่าวแพร่ออกไปชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ก็คงจะป่นปี้จนหมดสิ้น

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมองแม่ลูกที่อวดดีคู่นี้อย่างเรียบเฉย นัยน์ตาสีดำที่เปล่งประกายวาววับภายใต้แสงเทียนสงบราบเรียบราวกับผิวน้ำ ทำให้คนมองไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริงซึ่งอยู่ภายใน แม้แต่อวิ๋นเสวียนจือที่อยู่ข้างๆ ก็ยังผงะอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าบุตรสาวคนโตเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

ความเยือกเย็นจนเกินไปของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับทำให้ซูชิงและอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่แอบหัวเราะเยาะนางเมื่อครู่เริ่มใจเต้นรัวขึ้นมา ทั้งสองยังมิได้เคลื่อนไหวก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งขยับริมฝีปากแดงเรื่อเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หรือซูอี๋เหนียงกับน้องรองไม่รู้ว่าการแต่งงานของข้าแม้แต่ท่านพ่อก็เป็นธุระจัดการให้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีสถานะใด แล้วน้องรองมีสถานะใด วันนี้เจ้าถึงกับไม่เคารพพี่สาวเช่นนี้ เกรงว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปภายนอก ในเมืองหลวงนี้คงไม่มีคนกล้าสู่ขอน้องรองอีกกระมัง”

ครั้นได้ฟังคำชี้แจงแถลงไข แม้แต่อวิ๋นเสวียจือที่โอนเอียงไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ได้แต่ลอบถลึงตาใส่บุตรสาวคนรองที่ปากมาก เขากำลังคิดจะกล่าวแก้ตัวแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ย ทว่าไม่ทันความเร็วของอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้ว

“มิหนำซ้ำท่านพ่อมีสถานะใด ต่อให้เป็นเพียงบุตรสาวของอนุภรรยา แต่แต่งเป็นภรรยาเอกในตระกูลขุนนางที่ลำดับขั้นต่ำหน่อยก็มีให้เห็นถมเถไป ท่านพ่อไม่อาจสละความสุขชั่วชีวิตของน้องสาวเพราะการแก่งแย่งชิงดีภายในบ้านได้หรอก ลองกวาดตามองตระกูลขุนน้ำขุนนางทั่วแคว้นซีฉู่ดูสิ มีตระกูลใดบ้างที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานต่อกัน ท่านพ่อคงมิใช่ไม่เข้าใจหลักการนี้กระมัง” วาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งดูเหมือนคลุมเครือ แต่ที่จริงกลับเป็นระฆังเตือนภัยเคาะเตือนสติอวิ๋นเสวียนจือไว้โดยพลัน

เขาหันกายมาสำรวจดูอวิ๋นเยียนใหม่อีกครั้ง เห็นว่าถึงแม้บุตรสาวคนเล็กงามสง่าผ่าเผยสู้บุตรสาวคนโตไม่ได้ แต่ก็เป็นสาวงามหมดจดที่พบเจอได้ไม่มาก และเขาก็มีบุตรสาวเพียงแค่สามคน หากไม่ใช้ประโยชน์ให้ดีๆ เกิดภายภาคหน้ามีปัญหาใดก็อาจจะหาที่พึ่งไม่ได้

เมื่อวิเคราะห์ได้เช่นนี้สีหน้าของอวิ๋นเสวียนจือก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา ในดวงตาที่มองไปทางพ่อบ้านจ้าวแฝงแววดุร้ายมากกว่าเดิม “พ่อบ้านจ้าว เรื่องพวกนี้เจ้าเลิกฝันกลางวันได้แล้ว ตั้งใจปรนนิบัติอี๋เหนียงกับคุณหนูให้ดี สนใจแต่เรื่องของตนเองก็พอ”

พ่อบ้านจ้าวเห็นอวิ๋นเสวียนจือเอ่ยวาจา ในใจก็รู้ว่าเรื่องนี้เหลวเป๋วเพราะการก่อกวนของอวิ๋นเชียนเมิ่งเสียแล้ว จึงได้แต่กล้ำกลืนความแค้นในใจที่มีต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งลงไป ตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ขอรับ”

อวิ๋นเยียนกับหลิ่วอี๋เหนียงไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าแค่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดสองสามคำก็ตอบโต้การจู่โจมของซูชิงจนล่าถอยไปได้ ซ้ำยังเปลี่ยนความคิดของอวิ๋นเสวียนจือได้อย่างง่ายดาย นัยน์ตาที่มองมาทางอวิ๋นเชียนเมิ่งเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในทันใด

สีหน้าของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับย่ำแย่ยิ่ง ซูชิงปกครองบ้านนี้มานาน ในจวนอัครเสนาบดีคำพูดของนางถือเป็นราชโองการ แต่วันนี้ถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งตอกกลับ ในใจย่อมไม่ยินดีปรีดา ทว่าเพราะอวิ๋นเสวียนจือตบโต๊ะตัดสินใจไปแล้วจึงได้แต่ล้มเลิกเท่านั้น

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างสงบเยือกเย็นต่อว่า “ดูเหมือนซูอี๋เหนียงกับน้องรั่วเสวี่ยยังถูกกักบริเวณอยู่ เหตุใดถึงออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตเล่า ซูอี๋เหนียงกับน้องรั่วเสวี่ยทำตัวเป็นกึ่งๆ เจ้านายของจวนอัครเสนาบดี แต่ไม่สามารถทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีได้ ถ้าทุกคนล้วนเพิกเฉยต่อการลงโทษของท่านพ่อ เช่นนั้นจวนอัครเสนาบดีจะไม่ปั่นป่วนวุ่นวายแย่หรือ”

อวิ๋นเสวียนจือคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตจะวกกลับมาจับผิดซูชิง แต่ในตอนนี้ภายในห้องโถงมีบริวารข้ารับใช้อยู่มากมาย หากทุกคนเอาเยี่ยงเอาอย่าง ต่อไปจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้คงควบคุมดูแลลำบากจริงๆ และความน่าเคารพยำเกรงของตนเองก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็นึกตำหนิซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างไปจากเดิม พวกนางก็ยังจะสร้างความวุ่นวายให้ตนอีก ตอนนี้มีดวงตามากมายหลายคู่กำลังมองดูอยู่ แม้ตนเองจะมีใจอยากช่วยพวกนางแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว

ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งอยู่อีกด้านกลับไม่พอใจ กำลังจะเข้าไปถกเถียงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ถูกซูชิงดึงตัวไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงนอบน้อมของซูชิงจะดังขึ้นในโถงรับแขก “คุณหนูใหญ่พูดได้ถูกต้อง เป็นบ่าวที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง ต่อไปจะระวังให้ดีเจ้าค่ะ”

ซูชิงกล่าวจบก็ดึงตัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่ไม่พออกพอใจไว้ และกำลังจะก้าวออกไปจากบริเวณนั้น แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งยังมีวาจาจะพูดอีก นางเดินไปยังข้างกายซูชิงพลางทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย กล่าวราวกับไม่อาจแข็งใจได้ “ท่านพ่อ ซูอี๋เหนียงถูกกักบริเวณแค่ไม่กี่วันในจวนก็วุ่นวายจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว มิสู้ท่านพ่อเลือกผู้ดูแลมาอีกคน ทำหน้าที่แทนซูอี๋เหนียงชั่วคราวดีกว่านะเจ้าคะ”

ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดจุดประสงค์ของตนออกมาในที่สุด เงาร่างที่กำลังจะจากไปของซูชิงก็พลันชะงักหันกลับมาทันที สีหน้าเจือแววไม่เห็นพ้อง “คุณหนูใหญ่พูดอะไรกันเจ้าคะ การดูแลจวนอัครเสนาบดีเป็นเรื่องที่บ่าวพึงกระทำอยู่แล้ว นอกจากนั้นในจวนนี้ก็หาคนที่จะสามารถรับหน้าที่นี้ไม่ได้หรอกกระมัง ไม่ต้องให้คุณหนูใหญ่มาเหนื่อยแทนหรอกเจ้าค่ะ สุดท้ายคุณหนูใหญ่ก็ต้องออกเรือนอยู่ดี”

ความหมายแฝงในวาจานี้ก็คือสุดท้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นคนของบ้านสามี ให้คนนอกมาดูแลกิจภายในบ้านเดิมช่างไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ

อวิ๋นเสวียนจือฟังเสียงนอกสายเครื่องดนตรี ออก สายตาที่มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทวีแววครุ่นคิดลึกซึ้งและเฉียบขาด

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับผลิยิ้ม มือเรียวชี้ไปทางหลิ่วอี๋เหนียงซึ่งอยู่อีกด้าน กล่าวเสียงค่อย “ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าในจวนยังมีหลิ่วอี๋เหนียงอยู่ นางเป็นคนของจวนอัครเสนาบดีและก็เป็นกึ่งเจ้านายของจวนนี้ ฐานะเท่ากับซูอี๋เหนียง ลูกเชื่อว่านางจะต้องทำหน้าที่นี้ได้ดีแน่นอนเจ้าค่ะ ช่วงนี้ลูกกินอาหารอย่างบนโต๊ะนี้จนเบื่อแล้ว ท่านพ่อทนให้ลูกได้รับความคับข้องใจเพราะในจวนไม่มีคนคอยดูแลได้อย่างไรเจ้าคะ”

พูดจบนิ้วของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เปลี่ยนทิศทาง สายตาของทุกคนอดมองตามมือของนางไปยังอาหารบนโต๊ะไม่ได้ เห็นบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่มีเพียงถ้วยจานแค่สองสามใบ เกรงว่าแม้แต่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำที่สุดในจวนอัครเสนาบดียังมีอาหารการกินสมบูรณ์กว่านี้อีกกระมัง

ซูชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งบีบบังคับให้จนตรอกถึงเพียงนี้ ในดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะส่งสายตาให้พ่อบ้านจ้าว

พ่อบ้านจ้าวถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งกดหัวจนโทสะอัดแน่นเต็มท้อง พอเห็นสัญญาณจากซูชิงก็กล่าวด้วยความหวาดเกรงทันที “นายท่าน คงเป็นเพราะผู้ดูแลห้องครัวงานยุ่งจนสติเลอะเลือนถึงได้ทำอาหารมาผิด อาหารของคุณหนูใหญ่คงจะยังวางอยู่ในห้องครัวแน่นอนขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะสั่งให้คนมัดตัวผู้ดูแลที่แอบอู้มาขอโทษคุณหนูเองขอรับ”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องดูการโต้ตอบระหว่างคนทั้งสอง กล่าวเสียงเย็น “พ่อบ้านจ้าว เจ้ามีความผิดติดตัว เจ้าคิดว่าวาจาของเจ้าจะทำให้ท่านพ่อเชื่อได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ในจวนนี้เบี้ยรายเดือนทุกเดือนจ่ายเมื่อใด”

เรื่องนี้ซูชิงได้เตี๊ยมกับพ่อบ้านจ้าวล่วงหน้าแล้ว พอได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามขึ้น ในใจพ่อบ้านจ้าวก็พลันผ่อนคลาย พูดแผนการรับมือที่คิดเอาไว้แล้วออกมาทันที “เรียนคุณหนูใหญ่ วันที่สามของทุกเดือนขอรับ แต่ว่าเดือนนี้ในจวนค่าใช้จ่ายฝืดเคืองจึงล่าช้าไปหลายวัน”

ครั้นฟังคำแก้ตัวของเขาจบ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็กล่าวเสียงเฉียบทันที “พ่อบ้านจ้าว ยังไม่คุกเข่าลงอีก! ในเมื่อการเงินในจวนมีปัญหา เหตุใดไม่รีบแจ้งท่านพ่อ เจ้าว่าบ่าวรับใช้ที่ปิดบังเจ้านายอย่างเจ้ายังจะมีประโยชน์อะไรอีก พูดมา เจ้ายักยอกเงินค่าใช้จ่ายในจวนไปใช่หรือไม่”

หมวกความผิดใบใหญ่ถูกใส่ลงมา พ่อบ้านจ้าวจึงคุกเข่าดังตุ้บโดยที่ร่างกายสั่นเทา โขกศีรษะให้อวิ๋นเสวียนจือไม่หยุด “นายท่านโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง บ่าวไม่กล้ายักยอกเงินในจวนแน่นอนขอรับ”

ส่วนซูชิงก็พลันตะลึงลานไปเพราะปฏิกิริยาตอบกลับอันเฉียบไวและฝีมือในการสาดโคลนของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าซีดเผือด

ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือใบหน้าเขียวปั้ด เมื่อเห็นท่าทางของพ่อบ้านจ้าวกับซูชิง ในใจเขาก็เริ่มเชื่อคำพูดของอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่บ้าง จึงกล่าวตัดสินใจด้วยความผิดหวัง “ชิงเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้ากับรั่วเสวี่ยตั้งใจสำนึกผิดอยู่ในห้องให้ดีๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้หลิ่วอี๋เหนียงจัดการแทนชั่วคราวก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซูชิงก็พลันเข่าอ่อนเกือบจะล้มคว่ำไปกองกับพื้น

บทที่ 5 พบญาติจากจวนฝู่กั๋วกงเป็นครั้งแรก

 เพลิงโทสะของอวิ๋นเสวียนจือบังเกิดผลแล้วจริงๆ

หลายวันต่อมา แต่ละเรือนอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็น พอจวนอัครเสนาบดีไม่มีคนถ่อยคอยปลุกปั่นสร้างปัญหาก็ดูเงียบสงบขึ้นไม่น้อย

อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ว่างๆ ก็ชวนมู่ชุนปลูกต้นไม้ในเรือนฉี่หลัว นางใช้มือเปล่าตบกองดินร่วนข้างหน้าเบาๆ จากนั้นรับถ้วยชาที่มู่ชุนส่งมาให้ เทน้ำใสแจ๋วในถ้วยชาลงบนเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งจะปลูกลงไป

ในขณะเดียวกันนี้สุ่ยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ พอเจออวิ๋นเชียนเมิ่งก็ทำความเคารพทันที แล้วจึงพูดขึ้น “คุณหนู ฮูหยินใหญ่จวนฝู่กั๋วกง มาหาท่านเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่รายงานก็เห็นปิงเอ๋อร์นำทางชวีฮูหยินและหลิ่วอี๋เหนียงเดินเข้ามา

“หลานคารวะท่านป้าสะใภ้เจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้มู่ชุนทันที แล้วเดินเข้าไปทำความเคารพจี้ซูอวี่ผู้สุขุมอ่อนโยน

มือคู่หนึ่งที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีค่อยๆ ยื่นมาแตะข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง ประคองนางขึ้นมาเบาๆ จี้ซูอวี่มองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่ได้พบกันมานานด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร พลันอดกล่าวด้วยความสงสารมิได้ “รีบให้ป้าสะใภ้ดูแผลบนศีรษะของเจ้าหน่อยซิ ต้องตั้งใจรักษาให้ดีๆ อย่าให้เหลือรอยแผลเป็นได้”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงแค่มือที่อบอุ่นเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งกำลังลูบไล้บนพวงแก้มของตนเอง หน้าผากที่ได้รับบาดเจ็บถูกทะนุถนอมอย่างแผ่วเบา ในใจก็อดสงสัยใคร่รู้มิได้ว่าจี้ซูอวี่ผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่

เมื่อช้อนตาขึ้นมอง เห็นเพียงเครื่องหน้างามละเอียดอ่อนของจี้ซื่อ โดยเฉพาะดวงตากลมโตอันอ่อนโยนใสกระจ่างคู่นั้น ยิ่งทำให้คนรู้สึกเปรมปรีดิ์กับความใกล้ชิดสนิทสนม

นางสวมชุดกระโปรงยาวผ้าต่วนราคาแพง สวมทับด้วยเสื้อกั๊กประดับมุก มวยผมปักไว้ด้วยปิ่นหยกหรูอี้ หนึ่งอัน ปิ่นแปดมณีสองอัน ต่างหูหยกที่ข้างหูเปล่งแสงเจิดจ้ารางๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ถึงแม้การแต่งกายจะมิได้หรูหรามากนัก แต่กลับแผ่รัศมีของผู้ดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าใจได้ในทันทีว่าชวีฮูหยินผู้นี้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่งามทั้งกายและใจ

“ขอบคุณท่านป้าสะใภ้มากเจ้าค่ะที่เป็นห่วง เมิ่งเอ๋อร์อกตัญญู ทำให้ท่านป้าสะใภ้ต้องเหนื่อยมาที่นี่ด้วยตนเอง วันหลังจะไปจวนฝู่กั๋วกงเพื่อขอขมาแน่นอนเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะคำนับตามทันที แต่กลับถูกจี้ซื่อประคองเอาไว้ นางแสร้งทำเป็นโมโห

“พูดอะไรอย่างนั้น เจ้าร่างกายไม่สบาย ขยับตัวมั่วซั่วได้ที่ไหนกัน เหล่าไท่จวิน เองก็เป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของเจ้ามากจึงส่งข้ามาดูอาการ หากหายไม่ทันงานวันเกิดครบรอบหกสิบปีของเหล่าไท่จวินเจ้าก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเชิญจี้ซื่อเข้ามาในห้องนอนของตนอย่างนอบน้อม ยกน้ำชาให้ด้วยตนเอง แล้วจึงยิ้มบางๆ พลางกล่าว “รบกวนท่านป้าสะใภ้แจ้งท่านยายด้วยว่างานครบรอบวันเกิดของท่าน เมิ่งเอ๋อร์จะไปอวยพรถึงที่จวนแน่นอนเจ้าค่ะ แผลบนศีรษะก็ใกล้จะหายดีแล้ว ขอท่านป้าสะใภ้กับท่านยายอย่าได้เป็นกังวล”

จี้ซูอวี่กวาดตามองห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่ง เห็นห้องของคุณหนูแห่งจวนอัครเสนาบดีมีเพียงเตียงเก่าๆ หนึ่งหลังกับโต๊ะเครื่องแป้งหนึ่งตัวเท่านั้น ผนังรอบๆ ด้านก็เป็นรอยกระดำกระด่าง ทำให้จี้ซูอวี่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด แต่ติดที่หลิ่วอี๋เหนียงยืนอยู่ข้างๆ นางจึงได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้

ทว่าวันนี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งร่าเริงเบิกบานเช่นนี้ อากัปกิริยาสุขุมเยือกเย็น แววในดวงตาจี้ซูอวี่ก็แปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจห้าม เริ่มสำรวจดูเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างตนอย่างจริงจัง

อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดกระโปรงปี้หลัว ผ้าบางเบาสีเขียวอ่อน ด้านนอกคลุมทับด้วยผ้าโปร่งบางสีทองหนึ่งชั้น บนชายกระโปรงปักรูปก้อนเมฆสีเงิน ผมดำยาวเกล้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมัดเอาไว้ ใช้เพียงปิ่นหยกขาวอันเดียวยึดเอาไว้ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยลงมาตรงข้างลำคอ ขับเน้นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะ กลิ่นอายสูงส่งเหนือสามัญ

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มบางๆ ทั่วใบหน้า นัยน์ตาสีดำราวกับบ่อน้ำลึกทำให้คนมองไม่เห็นก้นบึ้ง โดยเฉพาะการตอบสนองอย่างถูกต้องเหมาะสมยามนางรับมือกับตนเองเมื่อครู่นี้ แตกต่างกับเด็กกะโปโลที่ขี้ขลาดอ่อนแอไม่ยอมพบเจอผู้คนในวันวานราวกับเป็นคนละคน ทำให้จี้ซูอวี่มองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ

มิน่าระยะนี้เข้าวังไป ยามไทเฮาตรัสถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งกับตนถึงบอกว่านางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ถ้าเหล่าไท่จวินที่จวนได้เห็นหลานสาวที่เป็นเช่นนี้คงจะชื่นชอบเอามากๆ เป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนี้ ในดวงตาจี้ซูอวี่ก็ยิ่งทวีความพอใจ มุมปากอดยกขึ้นสูงมิได้ ดึงมือเล็กของอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาตบเบาๆ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนั้นข้าจะจัดรถม้ามารับเจ้า แต่ว่า…”

สายตาของจี้ซูอวี่กวาดมองอาภรณ์บนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้เนื้อผ้าไม่เลว แต่ก็ดูออกว่าอาภรณ์ชุดนี้คงจะเป็นของเก่า เกรงว่าคนในจวนอัครเสนาบดีคงจะไม่ได้ตั้งใจปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดีกระมัง

จี้ซูอวี่ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองหลิ่วอี๋เหนียงซึ่งยืนอยู่อีกด้าน ดวงตาเผยประกายเย็นเยียบ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “หากจวนอัครเสนาบดีไม่มีปัญญาจ่ายเงิน ต่อไปค่าใช้จ่ายของคุณหนูใหญ่ทั้งหมดก็ให้จวนฝู่กั๋วกงรับผิดชอบแทนแล้วกัน”

ได้ยินวาจานี้ ในใจหลิ่วอี๋เหนียงพลันสะดุดดังกึก ละล่ำละลักกล่าวทันที “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ บ่าวจะปรนนิบัติคุณหนูเป็นอย่างดี ไม่ให้ฮูหยินกังวลใจแน่นอนเจ้าค่ะ”

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับซุกเข้าสู่อ้อมกอดของจี้ซูอวี่ด้วยใบหน้าระคนซาบซึ้ง เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณท่านป้าสะใภ้มากเจ้าค่ะที่เป็นห่วง แต่หลิ่วอี๋เหนียงเพิ่งจะรับช่วงต่องานในจวนได้แค่ไม่กี่วัน ท่านป้าสะใภ้อย่าได้โทษนางเลยนะเจ้าคะ”

ครั้นได้ยินคำอธิบายจากอวิ๋นเชียนเมิ่ง อารมณ์บนใบหน้าจี้ซูอวี่ก็อ่อนลงเล็กน้อย บัดนี้เห็นคนตัวน้อยในอ้อมกอดรู้ประสีประสาถึงเพียงนี้จึงอดทำให้นางเต็มตื้นด้วยความรักของมารดาไม่ได้ จี้ซื่อลูบเส้นผมของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างรักใคร่เวทนาพลางกล่าวช้าๆ ว่า “หากเมิ่งเอ๋อร์ขาดเหลืออะไรก็ส่งคนมาบอกป้าสะใภ้ได้เลยนะ ยายหนูคนนี้นี่ เมื่อก่อนก็ไม่ยอมไปมาหาสู่กับจวนฝู่กั๋วกง วันเกิดของเหล่าไท่จวินก็มีแต่น้องรองของเจ้ามาร่วมงานทุกปี ทำให้พวกข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไรกันแน่ พอวันนี้ได้เห็นแล้วจะไม่ให้ข้าปวดใจได้อย่างไร”

สิ้นคำจี้ซูอวี่ก็บิดผ้าเช็ดหน้าแอบเช็ดน้ำตา

อวิ๋นเชียนเมิ่งยืดตัวตรงออกมาจากอ้อมกอดของนาง กล่าวปลอบโยนด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม “ท่านป้าสะใภ้อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ต่อไปเมิ่งเอ๋อร์จะไม่ให้คนอื่นมารังแกได้อีกแล้ว”

จี้ซูอวี่เห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของนางจึงวางใจลงเล็กน้อย ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นส่งจี้ซื่อกลับ

 

“วันนี้อี๋เหนียงมาที่นี่มีเรื่องอันใด” อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไปที่เรือนฉี่หลัวอีกครั้ง เมื่อเห็นหลิ่วอี๋เหนียงที่เดินตามมาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเฉยชา

หลิ่วอี๋เหนียงพยักหน้าให้แม่นมซึ่งอยู่ข้างๆ แม่นมผู้นั้นจึงหมุนกายออกไปนอกห้อง ไม่นานก็พาเด็กสาวและหญิงชราหลายสิบคนเข้ามายืนอยู่ด้านนอกแล้วคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่ง “บ่าวคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

หลิ่วหานอวี้สังเกตสีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นนางสีหน้าเรียบเฉยจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “คุณหนูเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดี ข้างกายมีสาวใช้ทั้งหมดแค่สามคน หากเรื่องแพร่ออกไปจะไม่ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้อย่างไร บ่าวจึงเอารายชื่อคนในจวนอัครเสนาบดีมาให้คุณหนูใหญ่ดู แล้วก็เลยถือโอกาสพาเด็กสาวกับหญิงชราสามสิบคนมาให้ท่านคัดเลือกเจ้าค่ะ”

ขณะพูดหลิ่วหานอวี้ก็หยิบสมุดรายชื่อสองเล่มที่เก่าใหม่ไม่เท่ากันออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมพูดอธิบาย “คุณหนูใหญ่ ชาติกำเนิดและอุปนิสัยของสาวใช้พวกนี้จดบันทึกไว้ในสมุดรายชื่อทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านเปิดอ่านดู ถ้าท่านไม่พอใจคนพวกนี้ก็สามารถอ่านอีกเล่มดูแล้วค่อยเลือกก็ได้เจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าพลางรับสมุดรายชื่อมา พลิกเปิดเล่มที่ค่อนข้างใหม่ก่อน อ่านชื่อเสียงเรียงนามและนิสัยใจคอของเด็กสาวและหญิงชราที่อยู่ในสมุดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ส่วนแม่นมซึ่งอยู่ข้างกายหลิ่วหานอวี้ก็ก้าวเข้าไปข้างหน้าทันที รายงานชื่อของเด็กสาวที่ยืนอยู่ในลานบ้านให้อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังตามลำดับ

เมื่อเด็กสาวและหญิงชราได้ยินว่าตนเองถูกเรียกชื่อก็ล้วนขยับเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม คำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างนอบน้อม

ในใจทุกคนคงจะรู้ดีว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังเรืองอำนาจ หากได้ทำงานในเรือนฉี่หลัวก็คงจะเป็นงานที่ไม่เลว จึงต่างพยายามสร้างความประทับใจอันดีให้แก่อวิ๋นเชียนเมิ่ง

ทุกคนเห็นเพียงอวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกอ่านสมุดรายชื่อที่ค่อนข้างใหม่เล่มนั้นเบาๆ จนกระทั่งขานชื่อจบ จึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “แม่นมเฉียน แม่นมฟาง แม่นมหลิว แม่นมไป๋สี่คนนี้รั้งตัวไว้เป็นหญิงรับใช้ทำงานทั่วๆ ไปในเรือนฉี่หลัวก็แล้วกัน จือเถา เล่อหลิง อี๋เซียง อันเอ๋อร์เป็นสาวใช้ชั้นสาม เวิ่นหลัน ไป๋เหมยเป็นสาวใช้ชั้นสอง”

“คุณหนูใหญ่ ในเรือนฉี่หลัวยังขาดแม่นมผู้ดูแลอีกหนึ่งตำแหน่ง บ่าวตั้งใจหาแม่นมหมี่ผู้นี้มาให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะเจ้าคะ นางเป็นข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายฮูหยินเมื่อก่อน” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเรียกชื่อคนที่พอจะใช้งานได้ หลิ่วอี๋เหนียงจึงให้เด็กสาวและหญิงชราที่อยู่ด้านนอกถอยออกไป จากนั้นก็เห็นแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน โค้งกายก้มศีรษะยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง

หลิ่วหานอวี้เห็นงานของตนเองเสร็จสิ้นก็ยิ้มพลางขอตัวลากับอวิ๋นเชียนเมิ่ง “คุณหนูใหญ่ บ่าวยังมีงานอื่นๆ อีก ขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้นางเบาๆ ครั้นแล้วสายตาก็จับอยู่ที่ร่างแม่นมหมี่ซึ่งอยู่เบื้องหน้า

แม่นมหมี่ผู้นี้อายุค่อนข้างมากแล้ว ผมสีดำกลายเป็นสีขาว ผิวพรรณบนใบหน้าปรากฏร่องรอยของคนชราออกมา อาภรณ์บนร่างเรียบง่าย เนื้อผ้าไม่เหมือนกับแม่นมคนอื่นๆ ในจวนอัครเสนาบดี ทว่านัยน์ตาที่หลุบต่ำน้อยๆ คู่นั้นกลับแฝงประกายกระจ่างใสรางๆ

จากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็หยิบสมุดรายชื่อเล่มเก่าขึ้นมา อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ทว่ายิ่งอ่านไปถึงด้านหลัง อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ่งตื่นตระหนก

สมุดรายชื่อเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน รายชื่อที่จดบันทึกไว้ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ในจวนตอนที่อวิ๋นฮูหยินยังมีชีวิตอยู่

ทว่าในจวนเวลานี้ไร้ซึ่งร่องรอยของคนพวกนี้ไปตั้งนานแล้ว ด้านหลังชื่อของคนเหล่านี้หากไม่เขียนไว้ว่า ‘ปลดออก’ ก็เขียนว่า ‘เสียชีวิต’ มีเพียงชื่อของแม่นมซย่าที่ด้านหลังเขียนไว้ว่า ‘เสียสติ’

ในขณะเดียวกันแม่นมหมี่ก็สำรวจดูอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นนางสวมอาภรณ์โปร่งบางสีเหลืองอ่อน บนกระโปรงยาวกรอมพื้นลายเมฆและผีเสื้อคู่สีเหลืองปักลายดอกกล้วยไม้สีทอง เส้นผมทั้งศีรษะถูกรวบขึ้นครึ่งหนึ่ง ประดับด้วยปิ่นหยกฉลุลายดอกกล้วยไม้ ใบหน้างามพิสุทธิ์ดุจดวงดารา แววตาใสกระจ่างราวสายธาร คล้ายกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้แม่นมหมี่ที่เห็นคนมามากถึงกับลืมมารยาทไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งสองข้างเกาะติดเงาร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คลาดสายตา เกือบจะคิดว่าตนเองได้เห็นเงาของฮูหยินในปีนั้น

แต่ในเรือนนี้ที่ตอนนั้นฮูหยินเคยพำนักอยู่ไม่ทรุดโทรมโกโรโกโสเหมือนอย่างตอนนี้

หากฮูหยินที่อยู่ในปรโลกเห็นสภาพชีวิตของคุณหนูใหญ่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเสียใจเพียงไร

กระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งอ่านหน้าสุดท้ายจบ แสงเทียนก็ถูกจุดขึ้นทั่วทุกมุมในห้องแล้ว ทั้งเรือนแลดูสว่างไสว สายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจับอยู่ที่ร่างแม่นมหมี่อีกครั้ง ท่ายืนของนางถูกต้องเหมาะสมแสดงให้เห็นว่านางเคยได้รับการอบรมสอนสั่งมาเป็นอย่างดี จึงวางสมุดรายชื่อในมือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แต่นิ้วเรียวยาวกลับมิได้ผละจากสมุด นิ้วชี้เพรียวบางเคาะปกสมุดรายชื่อเบาๆ ในดวงตาที่คล้ายกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแฝงเร้นด้วยความฉลาดเฉลียวที่ทำให้คนไม่อาจประมาทได้ “ไม่ทราบว่าแม่นมเข้ามาในจวนอัครเสนาบดีอีกครั้งได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามเช่นนี้ แม่นมหมี่ผู้นั้นก็ก้มตัวต่ำเล็กน้อย กล่าวอย่างหวาดผวาอยู่บ้าง “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวแค่มาขอข้าวกินสักมื้อ ประจวบเหมาะกับหลิ่วอี๋เหนียงบอกว่าในจวนต้องการคนพอดี บ่าวก็เลยเข้ามาเจ้าค่ะ” วาจากล่าวได้กึ่งจริงกึ่งลวง แต่เห็นได้ว่าท่าทีของแม่นมหมี่และน้ำเสียงยามพูดจากลับทำให้คนไม่อาจไม่เชื่อ

“อย่างนั้นหรือ หลิ่วอี๋เหนียงช่างมีใจเมตตาจริงๆ” อวิ๋นเชียนเมิ่งตอบกลับอย่างเรียบเฉย จากนั้นดื่มชากลั้วคอหนึ่งอึกแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครา “แต่ว่าตอนนี้เข้ามาอยู่ในเรือนฉี่หลัวของข้าแล้ว ข้าไม่ยอมรับคนไม่ซื่อสัตย์ภักดี ไม่ว่าใครจะเป็นคนรับเจ้าเข้ามา แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนฉี่หลัวนี้คือข้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม่นมจำไว้แล้วใช่ไหม”

น้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นอย่างกะทันหันทำให้ในใจแม่นมหมี่อดสั่นสะท้านมิได้ รีบตอบกลับทันที “แน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนูวางใจได้ บ่าวมิใช่คนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาแน่นอนเจ้าค่ะ”

เห็นในใจนางเกิดความหวาดหวั่น อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงถามประเด็นสำคัญ “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ปีนั้นแม่นมออกจากจวนไปเพราะเหตุใด”

ในที่สุดก็ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งถามได้ตรงจุด สุดท้ายแม่นมหมี่ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว นางคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง บนใบหน้าแก่ชราที่เงยขึ้นน้อยๆ เปรอะเปื้อนรอยคราบน้ำตา เมื่อเปล่งวาจาก็ได้ยินความสั่นเครือที่อยู่ในน้ำเสียง

“คุณหนู…คุณหนู…บ่าว…บ่าวมีความผิดเจ้าค่ะ…คุณหนู…” เสียงสะอึกสะอื้นขาดๆ หายๆ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งขมวดคิ้ว ส่งสายตาบอกให้มู่ชุนปิดประตูห้อง แล้วจึงให้แม่นมหมี่ลุกขึ้น

ทว่าแม่นมหมี่กลับส่ายศีรษะอย่างแรง มือหนึ่งผลักมู่ชุนที่เข้ามาพยุงออก เอ่ยปากขึ้นเองว่า “คุณหนู บ่าวเคยรับใช้ฮูหยินและเคยได้รับบุญคุณจากฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ แต่…แต่ตอนนั้นกลับเลอะเลือนไปถึงได้ทอดทิ้งฮูหยินไว้ไม่ไยดี ขอคุณหนูโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

เสียงสะอื้นไห้ของแม่นมหมี่กลับมิได้รับความเวทนาจากอวิ๋นเชียนเมิ่ง ซ้ำยังเก็บความอ่อนโยนบนใบหน้าที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกลับ ดวงตาเย็นเยียบดุจเกล็ดน้ำแข็งจ้องตรงไปที่แม่นมหมี่ก่อนเอ่ยปากอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นมหมี่ก็เล่าต้นสายปลายเหตุมาให้หมดเสีย”

แม่นมหมี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า หลังจากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ สงบสติอารมณ์ แล้วจึงเอ่ยอย่างเศร้าสลด “ปีนั้นสามีของบ่าวเสียชีวิต ฮูหยินเห็นบ่าวน่าสงสารจึงเก็บพวกบ่าวแม่ลูกมา แต่บ่าวกลับทอดทิ้งฮูหยินไม่ไยดีเพราะลูก สองเดือนก่อนฮูหยินคลอด ลูกชายของบ่าวถูกคนทำร้ายจนพิการ ซูอี๋เหนียงมาหาบ่าวด้วยตนเอง บอกว่าขอแค่บ่าวไปจากจวนอัครเสนาบดีก็จะสามารถปกป้องลูกชายที่ไม่เอาไหนไว้ได้ เพื่อลูก บ่าวจึงไปจากจวนอัครเสนาบดีโดยไม่สนใจการเหนี่ยวรั้งของฮูหยิน แต่หารู้ไม่ว่าสามเดือนให้หลังฮูหยินก็เสียชีวิตไป”

ยามที่แม่นมหมี่มองเห็นห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ได้แต่ใช้คำว่า ‘ในบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน’ มาบรรยายก็ยิ่งกล่าวอย่างปวดใจ “ไม่คิดว่าสินเดิมของฮูหยินกลับถูกคนใจดำพวกนั้นช่วงชิงไปจนหมดสิ้น เดือดร้อนคุณหนูต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากปานนี้”

ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็นึกถึงวันเดือนปีที่บันทึกในสมุดรายชื่อขึ้นมาได้ นอกจากแม่นมซย่า คนข้างกายอวิ๋นฮูหยินล้วนเกิดเรื่องสองสามเดือนก่อนที่อวิ๋นฮูหยินจะเสียชีวิต ในใจจึงค่อยๆ เข้าใจแจ่มชัด เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกันนี้เกรงว่าซูชิงคงจะวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

อันดับแรกขับไล่คนที่จงรักภักดีข้างกายอวิ๋นฮูหยิน แบบนี้จะได้ลงมือกับอวิ๋นฮูหยินสะดวก

“แม่นมหมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่นมซย่าเป็นใคร” ครั้นนึกถึงคนในสมุดรายชื่อขึ้นมาได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถาม

“เป็นแม่นมที่เลี้ยงดูฮูหยินเจ้าค่ะ ว่ากันว่าหลังจากฮูหยินเสียชีวิต แม่นมซย่าเศร้าเสียใจมากเกินไปจนเสียสติ” แม่นมหมี่ในตอนนี้อยากจะมอบความจริงใจของตนให้อวิ๋นเชียนเมิ่งใจจะขาด ขอแค่เป็นเรื่องที่นางรู้ จะต้องพูดออกมาจนหมดเปลือกแน่นอน

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหน้าผากนางเปื้อนโลหิตจึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ บทสนทนาวันนี้รวมถึงฐานะของเจ้าอย่าให้คนนอกรู้เป็นอันขาด”

“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว บ่าวมาครั้งนี้เพื่อขอชดใช้ความผิด ขอแค่สามารถช่วยคุณหนูได้อีกแรงเท่านั้น จะไม่สร้างปัญหาให้คุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยามนี้สงบเยือกเย็น ในดวงตาแม่นมหมี่ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ สะกดกลั้นความโศกศัลย์ที่เก็บกักไว้ในใจมานานหลายปีทันที จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยแล้วยืนอยู่อีกด้าน

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ สายตาเย็นยะเยือกสบกับแสงจันทร์กระจ่าง กำลังจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับมาเมื่อครู่

ตอนที่อวิ๋นฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ซูชิงก็สามารถควบคุมความเป็นความตายของบ่าวรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีได้แล้ว เบื้องหลังนี้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากอวิ๋นเสวียนจือ เกรงว่านางคงไม่มีอำนาจถึงเพียงนี้

เช่นนั้นสรุปแล้วอวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตโดยธรรมชาติหรือว่าเกิดจากน้ำมือคน เกรงว่านี่คงเป็นคำตอบที่เห็นได้ประจักษ์ชัดยิ่ง

ทว่า…ในเมื่ออวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตไปแล้ว เหตุใดซูชิงถึงปล่อยให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เล่า

เบื้องหลังคงเป็นเพราะซูชิงหวาดกลัวพลังอำนาจของไทเฮาและจวนฝู่กั๋วกง ถ้าบุตรสาวและหลานของจวนฝู่กั๋วกงเกิดเรื่องขึ้นติดๆ กัน อีกฝ่ายคงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี พอถึงตอนนั้นหากสืบเสาะขึ้นมา ยากจะรับประกันว่าจะไม่เจอเบาะแสร่องรอยใดๆ

ต้องกล่าวว่าซูชิงช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายขนานแท้ กระทำการโดยคำนวณจิตใจคนได้อย่างแม่นยำจริงๆ

“แม่นม เจ้ามานี่ซิ ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตากลับมา กล่าวอย่างเย็นชา

บทที่ 6 ซูอี๋เหนียงมีข่าวดี

 วันนี้แม่นมหมี่กลับจากไปข้างนอกก็ตรงมาที่เรือนฉี่หลัวทันที ครั้นนางเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ เรื่องที่คุณหนูสั่งให้บ่าวไปทำ บ่าวไปสืบข่าวคราวมาแน่ชัดแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่เมืองเยี่ยเฉิง บ่าวส่งคนไปรับนางกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ แต่ระหว่างทางที่บ่าวกลับมา ได้ยินว่านายท่านเพิ่งจะมีคำสั่งยกเลิกการกักบริเวณซูอี๋เหนียงกับคุณหนูรอง ยามนี้หมอหลวงกำลังตรวจชีพจรให้ซูอี๋เหนียงอยู่เจ้าค่ะ ดูเหมือนว่านางจะมีข่าวดี”

ได้ยินเช่นนี้ หางคิ้วอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เลิกขึ้น ดวงตามีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน ดูท่าแล้วถึงแม้จะถูกกักบริเวณไม่กี่วัน แต่ซูอี๋เหนียงก็มิได้ว่างเว้น ในท้องนางคงจะมีบุตรของอวิ๋นเสวียนจืออยู่แล้วเป็นแน่ หากไม่ได้มั่นใจอย่างเต็มที่เกรงว่าคงจะไม่รบกวนหมอหลวงหรอก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ควรไปแสดงความยินดีกับท่านพ่อและซูอี๋เหนียง” อวิ๋นเชียนเมิ่งวางม้วนหนังสือในมือลง อมยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน

แม่นมหมี่เห็นเช่นนั้นก็รีบหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่สวมให้นางทันใด ป้องกันมิให้คุณหนูใหญ่จับไข้ในช่วงเดือนสิบสองของเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บนี้ จากนั้นก็ตามหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งไปติดๆ ประคองนางมุ่งหน้าไปยังเรือนเฟิงเหอของซูชิงพร้อมๆ กัน

 

เพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาในเรือนเฟิงเหอก็เห็นสาวใช้ของเรือนยืนหน้าชื่นตาบานอยู่ในลานบ้านแล้ว เมื่อสาวใช้เหล่านั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงก็ค่อยๆ พากันทำความเคารพ ทว่าแววลำพองใจในดวงตาของพวกนางกลับเห็นได้แจ่มชัด

อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่แยแสจิตใจหยิ่งผยองของข้ารับใช้ตัวเล็กๆ เหล่านั้น นางเพียงกวาดสายตามองอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินนำพวกมู่ชุนเข้าไปในเรือน

ยามนี้หลิ่วอี๋เหนียงเลิกม่านประตูออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมา ใบหน้าหลิ่วอี๋เหนียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีอกดีใจ ทว่าความหงอยเหงาลึกๆ ในดวงตากลับไม่อาจรอดพ้นสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งไปได้

“คุณหนูใหญ่ ท่านมาแล้ว ด้านนอกอากาศหนาว รีบเข้ามาด้านในเถิดเจ้าค่ะ” หลิ่วอี๋เหนียงถอดเสื้อคลุมสีฟ้าน้ำทะเลบนบ่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเอาใจใส่

อวิ๋นเชียนเมิ่งมอบรอยยิ้มปลอบใจให้นาง จากนั้นก็เดินเข้าไปท่ามกลางเสียงขานรายงานของสาวใช้

“ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางคาดไว้แต่แรกแล้วว่าอวิ๋นเสวียนจือจะต้องอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้พอเห็นเขา อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงทำความเคารพอย่างสุภาพเรียบร้อย

หลังจากนั้นก็ยืนตัวตรงในทันที ช้อนสายตาขึ้นมอง ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือนั่งอยู่ข้างเตียง ในอกกอดซูอี๋เหนียงที่ใบหน้าแดงฝาดเอาไว้ ทั้งสองสีหน้าท่าทีสุขเกษมเปรมปรีดิ์ คงจะได้รับการยืนยันจากหมอหลวงแล้วแน่นอน

บัดนี้อวิ๋นเสวียนจือมีเพียงซูชิงเต็มหัวใจเต็มดวงตา เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงก็แค่เพียงพยักหน้าอย่างรีบๆ เท่านั้น

“น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเยียนซึ่งอยู่อีกด้านขยับเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งหนึ่งคำรบ

ไม่ทันรอให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยพูด อวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งเดิมยืนอยู่ตรงหน้าเตียงก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าลำพองใจ คำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไม่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน “น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ ท่านพี่ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ ตอนนี้อี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้ว ไม่ทราบว่าท่านพี่รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกล่าวแสดงความยินดีกับอวิ๋นเสวียนจือด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อ หากซูอี๋เหนียงได้บุตรชาย สกุลอวิ๋นก็จะมีผู้สืบทอดแล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำปานนี้ ได้ยินเรื่องนี้ก็ยังสงบเยือกเย็นอยู่อย่างนี้ได้ สีหน้าจึงย่ำแย่ขึ้นมาทันที แต่พอคิดย้อนกลับดู อวิ๋นเชียนเมิ่งอาจจะกำลังอดทนอดกลั้นอยู่ก็เป็นได้ จึงรีบตามนางมายังข้างเตียง จงใจกล่าวว่า “ท่านพี่ไม่เสียใจหรือ”

ครั้นวาจานี้เปล่งออกมา มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างเบาบาง ทว่ามุมปากของอวิ๋นเสวียนจือที่แต่เดิมกำลังอมยิ้มกลับชะงักเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จ้องไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยสายตาแฝงความไม่พอใจ

ซูชิงเห็นสีหน้าของทุกคน นางจึงลอบถลึงตาใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยปราดหนึ่ง จากนั้นก็ตัวอ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเสวียนจือ กล่าวเสียงละมุน “ท่านอัครเสนาบดี ที่ครั้งนี้บ่าวมีครรภ์เป็นพรจากบรรพบุรุษ บ่าวอยากแจ้งข่าวดีนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ทราบว่านายท่านเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”

ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือปีติยินดีเป็นหนักหนา ย่อมว่าตามคำพูดของซูชิงทุกอย่าง นางเพิ่งจะพูดจบก็เห็นอวิ๋นเสวียนจือสั่งให้แม่นมหวังไปจัดการเรื่องนี้

แต่ซูชิงกลับรีบยั้งเขาไว้ เอ่ยปากพร้อมกับยิ้มบางๆ “ท่านอัครเสนาบดี ท่านฟังบ่าวพูดให้จบก่อนสิเจ้าคะ”

อวิ๋นเสวียนจือก้มหน้าลงด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ยิ้มพลางพยักหน้า “พูดมาเถิด ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ซูชิงช้อนตากวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ท่านอัครเสนาบดี ประการแรก ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว บ่าวอยากรับนางกลับจวนเพื่อจะได้แสดงความกตัญญูให้ดีๆ ประการที่สอง หากครรภ์นี้เป็นเด็กผู้ชาย บ่าวก็ถือว่าได้ต่อธูปให้สกุลอวิ๋นเพื่อนายท่าน จะได้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูหลานของตนเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่”

อวิ๋นเสวียนจือไม่คิดว่าหลังจากซูชิงตั้งครรภ์จะกลายเป็นคนรู้ประสีประสาเช่นนี้ ในใจจึงรักใคร่นางเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะข้อเสนอของนางนั้นดียิ่ง เขาจึงพยักหน้าตกลงทันที

อย่างไรเสีย เรื่องที่มารดาตนไปอาศัยอยู่ที่เมืองซูเฉิงก็เกิดขึ้นเพราะตนเอง

เพราะเรื่องนี้ ผู้ตรวจการพวกนั้นจึงยื่นกล่าวโทษตนด้วยเหตุผลว่าอกตัญญูมาหลายปีแล้ว หากครั้งนี้รับมารดากลับมาก็จะได้แก้ต่างให้ตนเองได้พอดี

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็ยิ่งทวีความยินดีปรีดา อยากจะประคองซูชิงไว้บนฝ่ามือใจจะขาด

“แต่ว่า…” ซูชิงมองดูความสุขสันต์ของอวิ๋นเสวียนจืออยู่ในใจ จากนั้นรีบเบี่ยงประเด็นพูดต่อทันที “ท่านอัครเสนาบดี ปีนั้นเป็นเพราะบ่าว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงจากไปด้วยความขุ่นเคือง หากวันนี้ส่งคนไปรับนางมาอย่างขอไปที เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ยินยอม มิสู้ให้คุณหนูใหญ่ไปรับนางมาจะดีกว่า อย่างไรเสีย ตอนที่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์กับฮูหยินผู้เฒ่าก็สนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก”

ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เข้าใจความหมายของซูชิง

จากเมืองซูเฉิงมาเมืองหลวงต้องเดินทางด้วยรถม้าเป็นระยะเวลาสิบวัน ขอแค่ซูชิงลงมือระหว่างการเดินทางสิบวันนี้ ตนเองก็คงจะไม่มีชีวิตกลับมา

ทว่าอวิ๋นเสวียนจือยังมิได้ข้อสรุปก็เห็นพ่อบ้านจ้าวสั่งให้หญิงรับใช้สูงวัยผู้ดูแลคนหนึ่งเข้ามา นางกล่าวรายงานอยู่ด้านนอก “ท่านอัครเสนาบดี ไทเฮาทรงส่งคนมารับคุณหนูใหญ่ของพวกเราเข้าวัง อีกประเดี๋ยวรถม้าจะมาถึงหน้าประตูจวนแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินดังนั้น หัวคิ้วของซูชิงพลันลอบขมวดมุ่น สายตาหนาวเหน็บพุ่งไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่าเห็นเพียงอีกฝ่ายยิ้มบางๆ อย่างชดช้อยให้อวิ๋นเสวียนจือพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ไทเฮามักจะทรงเรียกลูกเข้าพบเป็นประจำ หากลูกไปเมืองซูเฉิง เกรงว่าจะทำให้ไทเฮาทรงไม่พอพระทัย เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้น้องรั่วเสวี่ยไปรับท่านย่าแทน เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่ซูอี๋เหนียงมีต่อท่านย่า และสามารถบรรเทาความขัดแย้งระหว่างซูอี๋เหนียงกับท่านย่าได้ เมื่อท่านย่าเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ลูกจะออกนอกเมืองไปรับแน่นอนเจ้าค่ะ”

ได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งป่วนแผนการของตนโดยที่ตั้งรับไปพร้อมๆ กับโจมตี ในใจซูอี๋เหนียงพลันร้อนรนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นหมายจะกระตุกแขนเสื้ออวิ๋นเสวียนจือ แต่ไม่คาดคิดว่ากลับเผยให้เห็นข้อมือที่สวมใส่กำไลหยกมรกตสลักลายมังกรหงส์อยู่

สิ่งนี้ทำให้แววตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันมืดสนิทลงเล็กน้อย แคว้นซีฉู่เข้มงวดกับเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ยิ่งนัก ประชาชนคนธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่เครื่องประดับที่สลักลวดลายมังกรหงส์ ต่อให้เป็นพวกขุนนางก็มีเพียงแต่ได้รับพระราชทานจากราชนิกุลเท่านั้นถึงจะครอบครองได้

ในอกนึกถึงวาจาที่แม่นมหมี่กล่าวเมื่อสองสามวันก่อน ปีนั้นธิดาคนรองในภรรยาเอกแห่งจวนฝู่กั๋วกงออกเรือน ย่อมได้รับความสนใจมากเป็นธรรมดา สินเดิมก็มีมากมายเป็นกองพะเนิน

ในแคว้นซีฉู่จวนฝู่กั๋วเกงเองก็มีคุณูปการต่อแผ่นดิน ซีจิ้งตี้ฮ่องเต้องค์ก่อนยังรับสั่งให้ไทเฮาที่ขณะนั้นยังเป็นกุ้ยเฟยอยู่ควบคุมช่างฝีมือในวังหลวงให้สร้างเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองจำนวนมากให้ชวีรั่วหลีด้วยตนเอง ทำให้บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงที่ยังไม่ได้ออกเรือนพากันอิจฉาตาร้อน

ทว่ากำไลหยกมรกตสลักลายมังกรหงส์ที่ซูชิงใส่อยู่ตอนนี้คือของที่ไทเฮาประทานให้ด้วยพระองค์เอง

บัดนี้อวิ๋นฮูหยินเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ให้บุตรสาวในอุทรมีเพียงเรือนเก่าๆ ที่จะพังมิพังแหล่ แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าสินเดิมที่ชวนให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนเหล่านั้นเข้ากระเป๋าใครไปจนหมด

หากมิได้รับการยอมรับกลายๆ จากอวิ๋นเสวียนจือ ซูชิงก็คงจะไม่ใจกล้าเช่นนี้

ในใจร้อนรนคล้ายสุมไว้ด้วยกองไฟ สายตาอวิ๋นเชียนเมิ่งเย็นเยียบโดยพลัน ทว่านางยังเอ่ยกับซูชิงด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน “ซูอี๋เหนียงคงทนเห็นน้องรั่วเสวี่ยลำบากไม่ได้กระมัง”

เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกจากตั้งรับมาเป็นโจมตี ในใจซูชิงก็พลันอึ้งงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอทันใด โน้มร่างกายเข้าสู่อ้อมกอดของอวิ๋นเสวียนจือ คิ้วงามขมวดมุ่นเบาๆ พลางกล่าว “คุณหนูใหญ่พูดอะไรอย่างนั้น ได้ไปต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าย่อมเป็นเรื่องที่มีเกียรติยิ่ง”

ทว่าตอนนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่พอใจ เห็นเพียงนางทำหน้ามุ่ย ดึงแขนเสื้ออวิ๋นเสวียนจือพลางพูดออดอ้อน “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากไป”

อวิ๋นเสวียนจือได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ในดวงตาก็พลันปรากฏแววเอือมระอา สะบัดแขนเสื้อแล้วถลึงตาใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยพร้อมกับเอ่ยทันทีว่า “ไม่อยากไป? แม้แต่ท่านย่าก็ไม่อยากพบหรืออย่างไร ในใจเจ้ามีคำว่ากตัญญูบ้างหรือไม่ วันนี้ให้พวกสาวใช้ไปเตรียมตัวเสีย วันมะรืนออกเดินทางได้”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นบิดาเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ในใจจึงเต็มไปด้วยความน้อยใจ กำลังจะพูดโต้แย้ง แต่กลับถูกซูชิงดึงไว้ ลอบบอกเป็นนัยให้นางอย่าวู่วาม ตนเองจะคิดหาวิธีรั้งให้นางอยู่ที่บ้านเอง

อวิ๋นเชียนเมิ่งสังเกตสีหน้าของซูชิงมาโดยตลอด นางจึงหันไปกำชับกับแม่นมหวังว่า “ปรนนิบัติคุณหนูรองให้ดี หากก่อนเดินทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นจนทำให้ท่านพ่อต้องแบกรับความผิดว่าอกตัญญูล่ะก็ พวกเจ้าไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหวแน่”

ซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนี้จึงมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ทั้งสองพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

รอให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว เพลิงโทสะที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยสะกดกลั้นไว้ก็ปะทุออกมา นางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงบนพื้นอย่างรุนแรง ถ้วยชาหยกม่วงชั้นดีใบนั้นแตกกระจายในพริบตา

“ท่านแม่ ท่านดูนางสารเลวนั่นสิ! นางตั้งใจจะลากข้าลงน้ำชัดๆ ถูกนางพูดแบบนั้นแล้ว ต่อให้ข้าอยากแกล้งป่วยจะได้ไม่ต้องไป ท่านพ่อก็ไม่อนุญาตอยู่ดี” ขณะพูด อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เผลอหยิบขวดแกนหมุน สีครามอ่อนเขียนลายทองรูปกวนอิมประทานบุตรบนชั้นวางขว้างลงกับพื้นสุดแรง

แม้แต่จะห้ามซูชิงก็ยังห้ามไม่ทัน มองดูขวดแกนหมุนเลอค่าใบนั้นสลายหายไปในชั่วพริบตา ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็มลายหายตามไปด้วย ใบหน้านางมัวมนลงทันใด เมื่อให้พวกสาวใช้มาเก็บกวาดจนเสร็จสิ้น ในห้องอุ่น ก็เหลือเพียงแม่นมหวังที่เป็นบ่าวรับใช้เพียงคนเดียว ซูชิงจึงกล่าวอย่างเข้มงวด “โอหัง! หากมิใช่เพราะเจ้าปากมาก ท่านพ่อเจ้าจะฟังคำพูดของอวิ๋นเชียนเมิ่งหรือ เจ้าเป็นซะอย่างนี้จะไปสู้รบชนะนางได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากำลังตั้งครรภ์ ท่านพ่อเจ้าถึงได้คล้อยตามต่างๆ นานา เจ้าไม่กลัวเกรงเพราะถือว่ามีคนให้ท้ายจริงๆ น่ะหรือ เจ้าคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยังเป็นคุณหนูขี้ขลาดอ่อนแอที่ยอมปล่อยให้คนอื่นฆ่าแกงอย่างนั้นหรือ”

เดิมทีอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกโทสะพุ่งเข้าใส่จนศีรษะวิงเวียน แต่หลังจากนางเห็นท่าทางจะกินเลือดกินเนื้อของซูชิง ถึงได้พบว่าสิ่งที่ตนเองทำแตกคือขวดแกนหมุนลายกวนอิมประทานบุตรที่ซูชิงรักษาดูแลราวกับสมบัติล้ำค่า ทันใดนั้นจึงหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ซูชิงเห็นนางสำนึกผิดแล้วจึงเลิกผ้าห่มออก เดินไปข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยโดยมีแม่นมหวังคอยพยุง ดึงมือเล็กที่กำเป็นหมัดแน่นของบุตรสาวเข้ามา เอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ “เจ้าวางใจเถิด ต่อให้นางไม่ไปเมืองซูเฉิง แต่แม่รับรองว่าเมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งออกนอกเมืองไปรับฮูหยินผู้เฒ่าครั้งนี้มีแต่ไปไม่มีกลับแน่นอน”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้น ความเดือดดาลในดวงตาก็หายวับไปในทันที นัยน์ตาทั้งสองวาดแววสะใจในหายนะของผู้อื่นออกมาในชั่วพริบตา จากนั้นจึงออกจากเรือนเฟิงเหออย่างพึงพอใจ

ส่วนซูชิงยามนี้กลับเรียกพ่อบ้านจ้าวเข้าพบโดยลำพังพร้อมกับสั่งว่า “เจ้าไปบ้านสกุลซู แจ้งพี่ใหญ่ว่าลงมือต้องโหดเหี้ยม ตัดรากถอนโคนทิ้งเสีย!”

บทที่ 7 ประจันหน้าในวัง พลิกผันแปรปรวน

 พอจัดการกับหลุมพรางที่ซูชิงวางไว้ให้ตนเองไปได้อย่างหลักแหลม ฉวีกงกงผู้นั้นก็มาถึงจวนอัครเสนาบดีได้ประจวบเหมาะพอดี อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงพาสุ่ยเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์เข้าไปนั่งภายในรถม้า

รถม้าเคลื่อนผ่านถนนคนเดินอันคึกคักจอแจของเมืองหลวง ขับเคลื่อนมาเป็นเวลาราวๆ หนึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตูวัง ต่อมาเคลื่อนเข้าไปข้างในเป็นเวลาสองเค่อ จากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงลงจากรถม้าแล้วนั่งเกี้ยวที่ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าไปยังวังประทับของไทเฮา หลังจากเลี้ยววกไปวนมา ยามมาถึงประตูวังประทับของไทเฮาก็เป็นเวลาสองชั่วยามให้หลังแล้ว

ฉวีกงกงเดินนำอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าไปในตำหนักเพื่อรายงานไทเฮา

ไม่ถึงเวลาครึ่งถ้วยชา* ก็เห็นหลันกูกู* นางกำนัลที่เก่งกาจที่สุดข้างพระวรกายไทเฮาเดินออกมาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ยิ้มบางๆ ให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ยอบกายคำนับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างมีมารยาท “ให้คุณหนูอวิ๋นรอนานแล้ว ไทเฮาทรงคอยท่านอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ว่าหลันกูกูเป็นคนโปรดข้างพระวรกายไทเฮา เมื่อเห็นนางคำนับได้ครึ่งหนึ่ง ตนเองก็รีบย่อเข่ายอบกายคารวะกลับคืนครึ่งหนึ่งทันที

“ลำบากแม่นางแล้ว” หลันกูกูได้ยินเสียงกังวานเสนาะหูดังขึ้นข้างกายตน จึงเงยหน้ามองอวิ๋นเชียนเมิ่ง ดวงตาลุกวาวทันใด รู้สึกแค่ว่าคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นผู้นี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ถึงแม้จะคำนับข้ารับใช้อย่างตน แต่ก็ไม่มีความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย และมิได้แสดงท่าทีประจบสอพลอเพราะตนเป็นคนสนิทของไทเฮา

นี่ทำให้ในใจหลันกูกูอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเชียนเมิ่งใหม่อีกครั้ง นางโค้งกายต้อนรับอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้าไปในห้องบรรทมของไทเฮา

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่คาดคิดว่าห้องบรรทมของไทเฮาในเวลานี้มีอาคันตุกะหลายคนอยู่ก่อนแล้ว ในจำนวนนั้นสตรีที่นั่งอยู่ด้านล่างขวาของไทเฮาสวมอาภรณ์ชาววังสีแดงสด เส้นผมถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนศีรษะก็คือปิ่นพญาหงส์บินร่อนสีทองอร่ามอันนั้น ไม่จำเป็นต้องคิด ผู้นี้ต้องเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นแน่

ส่วนด้านล่างของฮองเฮามีจี้ซูอวี่ซึ่งเคยพบกับอวิ๋นเชียนเมิ่งมาก่อนนั่งอยู่ ยามนี้ในดวงตาที่นางมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งมีความอบอุ่นเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ด้านล่างซ้ายของไทเฮาเป็นสตรีรูปร่างสะโอดสะองผู้หนึ่ง เมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่ค่อนข้างเป็นมิตรของพวกไทเฮาแล้ว ในรอยยิ้มของสตรีผู้นี้แฝงด้วยความเย็นชาจางๆ

เห็นทุกคนล้วนมองตนเองเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปทันที คุกเข่าถวายบังคมไทเฮาซึ่งประทับอยู่ตรงกลาง เอ่ยเสียงก้องกังวาน “หม่อมฉันอวิ๋นเชียนเมิ่งถวายบังคมไทเฮา ขอไทเฮาทรงพระเจริญ ถวายบังคมฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเกษมสำราญ คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน ขอแสดงความเคารพท่านผู้อาวุโส”

ไทเฮาทรงฟังวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งออก และทรงเข้าใจว่าคนบางคนนางไม่รู้จัก จึงแย้มพระโอษฐ์พร้อมกับตรัสว่า “เด็กดี ลุกขึ้นเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะยืนมั่นก็ได้ยินเสียงหวานหยาดเยิ้มอย่างที่สุดดังขึ้นข้างหูเบาๆ “ท่านพี่ ยายหนูนี่คงจะไม่รู้จักข้าสินะ”

ได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาที่หลุบลงเล็กน้อยของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เหลือบขึ้นช้าๆ เห็นเพียงดวงตาของสตรีงามชดช้อยผู้นั้นกำลังจับจ้องตน ทว่าไทเฮากลับมิได้เปลี่ยนสีพระพักตร์ กวักพระหัตถ์เรียกอวิ๋นเชียนเมิ่งไปยังข้างพระวรกายของนางแล้วจึงชี้ที่สตรีผู้นั้นพร้อมกับตรัสว่า “เมิ่งเอ๋อร์ มาคารวะหยวนเต๋อเฟย เสียสิ นางคือมารดาบังเกิดเกล้าของเฉินอ๋อง”

ได้ยินคำบอกใบ้ของไทเฮา ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันตื่นตระหนก รีบยอบตัวคำนับอย่างอ่อนช้อยทันทีพลางกล่าวเสียงแผ่ว “หม่อมฉันถวายบังคมไท่เฟย เพคะ”

“ลุกขึ้นเถอะ!” เสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะฟังดูเย็นชาเล็กน้อย ไม่รอให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนมั่น หยวนเต๋อไท่เฟยก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ท่านพี่ ยายหนูนี่รูปโฉมไม่เลวจริงๆ รูปลักษณ์เช่นนี้เหนือกว่าพวกเราเสียอีกนะเพคะ”

สิ่งที่แตกต่างจากน้ำเสียงคือประโยคที่สองของหยวนเต๋อไท่เฟยกลับเป็นการชมเชยอวิ๋นเชียนเมิ่ง

บนใบหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ก้มลงกึ่งหนึ่งเผยแววครั่นคร้ามทันที รีบต่อคำอย่างรวดเร็ว “ขอบพระทัยไท่เฟยที่ทรงชื่นชมเพคะ หม่อมฉันแค่รูปโฉมธรรมดาๆ เท่านั้น จะนำมาเทียบกับทุกท่านที่นั่งอยู่ได้อย่างไร”

หยวนเต๋อไท่เฟยได้ยินวาจาถ่อมตัวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่ามิได้แสดงสีหน้ายินดี เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งอึก จากนั้นจึงกล่าวอย่างเรียบเฉย “คุณหนูอวิ๋นไยต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นแบบนี้ไม่เหมือนคนที่ปฏิเสธการแต่งงานเลยนะ”

ได้ยินความหมายแฝงในวาจาของหยวนเต๋อไท่เฟย เท่ากับกล่าวโทษเรื่องที่เฉินอ๋องปฏิเสธการแต่งงานให้เป็นความผิดของอวิ๋นเชียนเมิ่งทั้งหมด

ไทเฮาทรงฟังคำไต่ถามที่นางถามอวิ๋นเชียนเมิ่งภายใต้เสียงละมุนละม่อมออก แม้รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนพระพักตร์ยังคงดุจเดิม ทว่ากลับดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งมาจากตรงหน้าหยวนเต๋อไท่เฟยแล้วกล่าวยิ้มๆ ทันที “เป็นเจ้าที่ร้องโวยวายอยากจะเจอเมิ่งเอ๋อร์ ตอนนี้ได้พบแล้วก็เริ่มกลั่นแกล้งนาง ส่วนเรื่องที่ตอนแรกข้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานสมรสให้เฉินอ๋อง ในใจเจ้ากับเฉินอ๋องไม่ยินยอมพร้อมใจยิ่ง ตอนนี้ก็สมปรารถนาแล้วยังจะมายอกย้อนกลับอีก เจ้าว่านี่มิใช่การทำให้ข้าลำบากใจหรือ”

เมื่อเผชิญหน้ากับการกลั่นแกล้งอย่างจงใจของหยวนเต๋อไท่เฟย ไทเฮาจึงปรามกลับด้วยท่าทีไม่แข็งไม่อ่อน ทั้งไม่ทำให้หยวนเต๋อไท่เฟยเสียหน้า และทำให้นางไม่สามารถใช้เรื่องการถอนหมั้นมาสร้างความวุ่นวายได้อีก

ทว่าหยวนเต๋อไท่เฟยถูกไทเฮาเหน็บแนม ยิ่งกว่านั้นยังเป็นต่อหน้าผู้น้อยทั้งสองอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งและฮองเฮา ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จึงมิได้เอ่ยรับวาจาของไทเฮา แต่กลับมองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้งแทน

วันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเล ขอบที่กุ๊นด้วยสีทองอย่างประณีตบรรจงรับกับลายปักรูปเมฆ ขับเน้นให้อวิ๋นเชียนเมิ่งดูสูงส่งงามสง่า

ทว่าถึงตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้เอ่ยปาก แต่กลับยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังไทเฮา นางยังคงยิ้มบางๆ อย่างมีมารยาทต่อการกลั่นแกล้งอย่างจงใจของตน กอปรกับความสงบนิ่งที่ในดวงตาของนาง ถึงกับเผยความสุขุมมั่นใจที่ชวนให้คนเลื่อมใสออกมา ทำให้ในใจหยวนเต๋อไท่เฟยวาบผ่านด้วยความประหลาดใจ

เดิมทีสิ่งที่นางรู้เกี่ยวกับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่สายสืบรวบรวมมา อธิบายแค่เพียงว่าคุณหนูในภรรยาเอกแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ขี้ขลาดอ่อนแอ แม้แต่การถอนหมั้นที่ตำหนักจินหลวนก่อนหน้านี้ก็ถูกจัดเป็นการตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่เกิดเพราะไม่อาจทนรับการดูหมิ่นได้

ทว่าวันนี้หยวนเต๋อไท่เฟยได้พบอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตนเอง ในใจก็ลบล้างข้อสรุปก่อนหน้านี้ทันที เพียงแต่เกิดความเคลือบแคลงต่อการกระทำของไทเฮาในครั้งนี้

ส่วนไทเฮากลับไม่ให้โอกาสหยวนเต๋อไท่เฟยกลั่นแกล้งอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก พอพระนางเสวยชาอึกหนึ่งก็ตรัสสั่งหลันกูกูซึ่งอยู่ข้างๆ “หลันเอ๋อร์ เจ้าพาเมิ่งเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงเถิด”

ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้ว่าพวกไทเฮาจะต้องมีเรื่องสำคัญปรึกษากันเป็นแน่ อีกทั้งจุดประสงค์ที่ให้หยวนเต๋อไท่เฟยพบตนเองก็บรรลุแล้ว ตนเองย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะยืนแกร่วอยู่ในวังเฟิ่งเสียงอีกต่อไป จึงคล้อยตามวาจาของไทเฮา ยอบกายคำนับทุกๆ คน แล้วเดินตามหลันกูกูออกจากตำหนักไป

 

เพลานี้ตรงกับยามบ่าย แม้จะเป็นช่วงเหมันตฤดู แต่ยามแสงอาทิตย์สีเหลืองอ่อนสาดส่องลงบนร่างกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินตามหลันกูกูไปบนเฉลียงทางเดินยาวของอุทยานหลวงอย่างช้าๆ สายตาทอดมองออกไปแสนไกล แต่กลับพบว่าในศาลาแปดเหลี่ยมมีบุรุษผมเงินในชุดคลุมผ้าดิ้นสีเงินนั่งอยู่ บุรุษผู้นั้นหันหลังให้พวกนาง ทำให้มองไม่เห็นรูปโฉมของเขา

“คุณหนูอวิ๋น นั่นคือคุณชายสกุลหรงเจ้าค่ะ” เห็นสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งหยุดลงบนเงาร่างในศาลาแปดเหลี่ยม หลันกูกูจึงเอ่ยเตือนความจำอย่างเอาใจใส่

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในสมองอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ปรากฏภาพเศษเสี้ยวความทรงจำออกมา ชายหนุ่มผมเงินผู้นี้คงจะเป็นหลานคนโตของสกุลหรงซึ่งเป็นตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นซีฉู่

ยามนี้เองคนในศาลาคล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหันกายกลับมา ดวงตาทั้งสี่สบประสาน ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับไม่หลบหลีก เพียงแค่พยักหน้าให้นายน้อยสกุลหรงอย่างมีมารยาทเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเฉินอ๋องที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหัวมุมของเฉลียงทางเดิน

อวิ๋นเชียนเมิ่งจนปัญญา ได้แต่ย่อเข่าคำนับ “ผู้น้อยคารวะเฉินอ๋องเจ้าค่ะ”

เหล่านางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางก็พากันยอบกายต่ำคารวะเฉินอ๋องด้วยสีหน้าระมัดระวัง

วันนี้เฉินอ๋องสวมชุดคลุมผ้าต่วนยาวสีดำสนิท คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเดียวกัน ยามนี้ดวงหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะหวาดกลัว

ทว่าเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับราบเรียบเยือกเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเหตุการณ์ที่นางกับหรงอวิ๋นเฮ่อสบตากันจากที่ไกลๆ ถูกเฉินอ๋องเห็นเขา ทำให้ในใจเฉินอ๋องไม่สบอารมณ์ จึงกล่าวด้วยเสียงกระด้างทันที “ดูท่าคุณหนูอวิ๋นคงจะหากิ่งไม้สูงได้แล้ว?”

ได้ยินวาจาเขา อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยิ้มเย็นในใจ ทันใดนั้นพลันช้อนตาขึ้นสบกับนัยน์ตาเย็นเยียบของเฉินอ๋อง กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านอ๋องเปลืองสมองแล้ว ผู้น้อยขอตัวลา”

พูดจบก็ไม่สนใจดวงตาที่แทบจะพ่นไฟได้ของเฉินอ๋อง พาทุกคนเลยผ่านข้างกายเขาไป เดินมุ่งตรงไปข้างหน้า

เฉินอ๋องกลับไม่พอใจ ขณะกำลังจะขวางทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง เงาร่างสีน้ำเงินสดใสก็มาถึงเบื้องหน้าทุกคนอย่างไร้สุ้มเสียง “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคุณหนูอวิ๋นและเฉินอ๋องที่นี่”

ผู้ที่มาใหม่ก็คือฉู่เฟยหยาง เห็นเขาใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มบางๆ ก่อให้เกิดเป็นการเปรียบเทียบที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับสีหน้าเย็นชาของเฉินอ๋อง

หลันกูกูมองดูเฉินอ๋องและฉู่เฟยหยางที่ทยอยปรากฏตัวออกมา รีบกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “คุณหนูอวิ๋น ไทเฮาทรงรอท่านอยู่ พวกเรารีบกลับกันเถิดเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็รู้ว่าข้างกายตนมีเพียงหลันกูกูกับสุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ติดตามมาแค่สามคน เข้าใจดีว่าหากรั้งอยู่นานจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของตน จึงยอบกายคำนับคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าหมายจะจากไป ทว่ากลับถูกเฉินอ๋องขวางทางไว้

ขณะเดียวกันเสียงของเฉินอ๋องก็ดังขึ้นข้างหู “ตำหนักในเป็นสถานที่สำคัญ หาใช่ที่ที่คนนอกจะสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ อัครเสนาบดีฉู่เคารพกฎระเบียบเสมอมา ไฉนวันนี้ถึงไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎเกณฑ์พื้นฐานเล่า หรือว่าจะเป็นเพราะใครบางคน”

ในขณะที่เอ่ยวาจา สายตาของเฉินอ๋องก็มองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งกับฉู่เฟยหยางไม่หยุด

อวิ๋นเชียนเมิ่งสวมชุดคลุมสีน้ำทะเลยาวจรดพื้น ส่วนฉู่เฟยหยางสวมชุดคลุมผ้าต่วนยาวสีน้ำเงินสดใส ช่างเจริญหูเจริญตายิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงก่อนหน้าที่ฉู่เฟยหยางพูดไกล่เกลี่ยแทนอวิ๋นเชียนเมิ่งในท้องพระโรงก็ยิ่งทำให้ในใจเฉินอ๋องไม่สบอารมณ์เหลือแสน

พอวาจานี้โพล่งออกไป นัยน์ตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ฉายโทสะวาบผ่านบางๆ ส่วนฉู่เฟยหยางกลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับอย่างสบายอารมณ์ “หากท่านอ๋องยังรั้งตัวอยู่อีก เกรงว่าไทเฮาจะประกาศราชโองการแล้วนะขอรับ”

ฉู่เฟยหยางพูดอย่างสบายๆ แต่สีหน้าเฉินอ๋องกลับบึ้งตึงในชั่วพริบตา ถลึงตาใส่ฉู่เฟยหยางอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง ต่อมาก็มองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้งชั่วครู่ จากนั้นหันกายเดินสาวเท้าพรวดไปยังวังของไทเฮา

อวิ๋นเชียนเมิ่งนิ่งเงียบฟังการปะทะคารมของสองคนนี้ ถึงแม้ในใจจะเกิดคำถาม แต่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของตำหนักในสลับซับซ้อน หากพูดผิดแค่คำเดียวก็พินาศล่มจมได้ จึงเอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยขอตัวลา”

ฉู่เฟยหยางมิได้ยับยั้งไม่ให้นางจากไป เพียงแต่ยามที่นัยน์ตาอมยิ้มมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเจือด้วยแววค้นหาและสืบเสาะ กระทั่งเงาร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งเลือนหายไปจากสายตา เขาถึงได้หมุนกายเดินไปยังทิศทางของประตูวังอย่างนุ่มนวล

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะวกกลับวังเฟิ่งเสียงของไทเฮาก็เห็นหยวนเต๋อไท่เฟยสาวเท้าพรวดๆ ออกมาด้วยสีหน้าเจือแววเดือดดาล ส่วนเฉินอ๋องก็ตามอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าเย็นชา นางกำนัลที่อยู่ข้างหลังพากันก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถอยกลับไปอยู่อีกด้านทันที นำสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ย่อเข่าคารวะ หยวนเต๋อไท่เฟยซึ่งเดิมกำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟกลับหยุดฝีเท้าตรงหน้านางแวบหนึ่ง จากนั้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง แล้วพาโทสะทั่วทั้งร่างจากไป

ส่วนเฉินอ๋องเอ่ยเสียงเยียบเย็นด้วยใบหน้าอึมครึม “คุ้มครองไท่เฟยกลับจวนเฉินอ๋อง” จากนั้นเหลือบมองเงาร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาเย็นชา ก้าวออกจากวังเฟิ่งเสียงด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ

ยามอวิ๋นเชียนเมิ่งย้อนกลับมาถึงวังประทับของไทเฮา ด้านในก็เหลือเพียงไทเฮากับจี้ซูอวี่

พอไม่มีหยวนเต๋อไท่เฟย บรรยากาศภายในห้องบรรทมก็ผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากอวิ๋นเชียนเมิ่งทำความเคารพก็นั่งลงตรงข้างจี้ซูอวี่ ทั้งสองสนทนาพาทีเป็นเพื่อนไทเฮา

จี้ซูอวี่สังเกตสีหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเอาใจใส่ ในดวงตาปรากฏความปลาบปลื้มและวางใจ จึงยิ้มพลางเอ่ยปาก “ไทเฮา พระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ สีหน้าเมิ่งเอ๋อร์วันนี้ดีขึ้นมาก ยิ่งงามเฉิดฉันขึ้นทุกที เหมือนรั่วหลีมากกว่าเดิมเสียอีกเพคะ”

ไทเฮาทรงได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งนั่งเงียบอยู่อีกด้าน เห็นนางสีหน้าแดงเปล่งปลั่ง รอยแผลบนหน้าผากก็เลือนหายไปแล้ว จึงพยักพระเศียรด้วยความพอพระทัย “เห็นสีหน้าดีขึ้นมากจริงๆ ดูเหมือนว่ายายหนูเมิ่งของพวกเราจะได้สติขึ้นมาแล้ว รู้จักรักตนเองเป็นแล้ว”

ได้ยินพระนางตรัสเช่นนี้ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เข้าใจว่าสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์คงจะรายงานชีวิตความเป็นอยู่ในจวนอัครเสนาบดีของตนให้ไทเฮาฟังอย่างละเอียดยิบแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ตนยังต้องการยืมความช่วยเหลือจากที่พึ่งพิงอย่างไทเฮาอยู่ จึงมิสามารถจัดการไล่สุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ออกไปอย่างไม่มีเหตุผล ป้องกันมิให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้

ครั้นนึกถึงวัตถุประสงค์ที่มาวันนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ลุกขึ้นคุกเข่าลงด้วยสีหน้าหวาดหวั่นทันที “ขอไทเฮาทรงประทานอภัยด้วยเพคะ”

ท่าทีกะทันหันของอวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้ไทเฮากับจี้ซูอวี่ต่างพากันงุนงง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ยายหนูเมิ่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น ลุกขึ้นก่อนค่อยพูดเถิด”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับนั่งคุกเข่าไม่ยอมลุก หมอบกายต่ำพลางกล่าวเสียงเบา “หลายวันก่อนหม่อมฉันทำกำไลหยกที่ปีนั้นไทเฮาประทานให้ท่านแม่แตก เดิมคิดจะสั่งให้คนซ่อมให้เสร็จอย่างลับๆ แต่ช่างเครื่องหยกในเมืองหลวงล้วนไม่เคยเห็นกำไลหยกที่วิจิตรประณีตเช่นนี้มาก่อนจึงไม่มีผู้ใดกล้ารับงานเพคะ ขอไทเฮาโปรดประทานแบบลายของกำไลหยกในตอนนั้น เมิ่งเอ๋อร์จะได้สั่งให้คนซ่อมแซมได้เพคะ”

ได้ยินนางกล่าวดังนี้ นัยน์พระเนตรที่เจือด้วยรอยพระสรวลของไทเฮาก็ปรากฏความงุนงงวาบผ่าน สายพระเนตรกวาดมองไปทางสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์เหมือนไม่ได้เจตนา เห็นพวกนางทั้งสองต่างส่ายหน้า ทว่ากลับจับผิดวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้ จึงรู้ว่าเรื่องที่ทำกำไลหยกแตกเป็นเรื่องโกหก แต่รวบรวมแบบลายต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

จี้ซูอวี่เคยเห็นห้องนอนของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตาตนเอง รู้ดีว่านางไม่มีทางมีอาภรณ์เครื่องประดับล้ำค่าใดๆ ได้จึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่มิได้พูดเปิดโปงออกมา ทว่ากลับช่วยพูดโน้มน้าวไทเฮาเสียด้วยซ้ำ “ไทเฮา เด็กคนนี้เองก็น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กก็ไร้มารดา เหลือเครื่องประดับพวกนั้นให้นางไว้เป็นที่ระลึกเถิดเพคะ ไทเฮาน้ำพระทัยกว้างขวาง ขอทรงช่วยให้ใจกตัญญูของนางสมปรารถนาด้วยเถอะนะเพคะ”

ไทเฮาลอบครุ่นคิดกับตนเองครู่หนึ่ง แล้วจึงรับสั่งให้ฉวีกงกงนำแบบร่างสิ่งของพระราชทานในปีนั้นทั้งหมดมามอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง “ปีนั้นวังหลวงมอบกำไลข้อมือให้มารดาเจ้าไม่น้อย เจ้าเอากลับไปเทียบดูดีๆ แล้วกัน ใช้เสร็จแล้วค่อยๆ นำมาคืน”

อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองหนังสือเอาไว้ด้วยสองมือ ในใจรู้ดีว่าไทเฮาทรงทราบวัตถุประสงค์ของตนเองอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงโขกศีรษะขอบคุณอีกครั้ง

จี้ซูอวี่พอเห็นว่ายามนี้ไทเฮาทรงเผยสีพระพักตร์เหนื่อยล้า จึงลุกขึ้นออกไปจากวังเฟิ่งเสียงพร้อมกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง

 

ภายในรถม้าที่กำลังเดินทางกลับ จี้ซูอวี่ดึงมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามา ตบมือเล็กของนางเบาๆ ถอนหายใจเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยความเวทนา “เด็กน้อยเอ๋ย ลำบากเจ้าแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งคืนชีพกลับมานานแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ถูกเป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ โดยเฉพาะความอาทรและความรักความจริงใจในดวงตาของจี้ซูอวี่ยิ่งทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งอุ่นวาบ นางจึงแย้มยิ้มกล่าวอย่างจริงใจ “ท่านป้าสะใภ้วางใจได้เจ้าค่ะ ตอนนี้เมิ่งเอ๋อร์สบายดียิ่ง”

ยิ่งอวิ๋นเชียนเมิ่งแสดงท่าท่างเข้มแข็ง ในใจจี้ซูอวี่ก็ยิ่งทรมาน นางยกมือลูบผ่านหน้าผากที่เคยได้รับบาดเจ็บของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลางกล่าวเสียงต่ำ “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งบัญชีสินเดิมที่รั่วหลีนำไปด้วยตอนออกเรือนไปให้เจ้า”

ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เบิกกว้างเล็กน้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง “ท่านป้าสะใภ้…”

ทว่าจี้ซูอวี่กลับผลิยิ้มบางๆ แม้ในรอยยิ้มนั้นแฝงด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่กลับไม่อาจลบเลือนความแน่วแน่ที่ก้นบึ้งดวงตาได้ “เด็กน้อยเอ๋ย สิ่งเหล่านั้นเดิมทีก็เป็นของเจ้า ป้าสะใภ้เชื่อว่าเจ้าจะต้องเอากลับคืนมาได้แน่”

ความอ่อนโยนของจี้ซูอวี่ทำให้ความตื้นตันวาบผ่านในใจอวิ๋นเชียนเมิ่ง ถึงกับเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “เมิ่งเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านป้าสะใภ้ผิดหวังเจ้าค่ะ”

‘ปึง!’ ยามนั้นเอง รถม้าที่ทั้งสองนั่งโดยสารอยู่กลับถูกชนเข้า บังเกิดเสียงดังสนั่น…

บทที่ 8 ผีบ้ากามหยวนชิ่งโจว

 “ใครก็ได้ จับนางเด็กที่พุ่งชนรถม้าไปโบยให้ตายเสีย!”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะประคองจี้ซูอวี่เอาไว้ก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของฉวีกงกงที่อยู่นอกรถม้า

การไม่ถามที่มาที่ไปก็โบยคนที่พุ่งมาชนให้ตายแบบนี้ไม่นับว่าเป็นการลงมือที่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านเขตที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง ถ้าเรื่องเช่นนี้ถูกชาวบ้านร้านตลาดเห็นเข้าเกรงว่าราชวงศ์แห่งแคว้นซีฉู่อาจจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากราษฎรได้ และก็มิใช่เรื่องดีสำหรับอวิ๋นเชียนเมิ่งและจี้ซูอวี่ที่โดยสารรถม้ามาในวันนี้เช่นกัน

“รอเดี๋ยว! ฉวีกงกง เกิดเรื่องอันใดขึ้น” อวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่มองหน้ากันแวบหนึ่ง ต่างเข้าใจความคิดในใจของอีกฝ่าย อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงส่งเสียงห้ามปรามทันที

“คุณหนู จู่ๆ นางเด็กคนนี้ก็ถลาออกมากลางถนนชนเข้ากับรถม้า ท่านกับฮูหยินปลอดภัยดีนะขอรับ?” ฉวีกงกงในตอนนี้ตอบคำถามของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างนุ่มนวล แตกต่างจากเสียงคาดโทษอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่

“ท่านผู้สูงศักดิ์ช่วยด้วย! บ่าวมิได้ตั้งใจ ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดเมตตาปรานี ขอร้องพวกท่านช่วยบ่าวด้วย” ยามนี้แม่นางน้อยที่ถูกขันทีหลายคนลากตัวเอาไว้สลัดหลุดจากพันธนาการวิ่งมายังข้างรถม้าโดยพลัน คว้าบังเหียนเอาไว้แน่น ขอร้องอ้อนวอนต่อคนในรถม้า

“ตายกันไปหมดแล้วหรือไร แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวก็จับไว้ไม่อยู่ ยังไม่รีบพานางออกไปอีก” ครั้นฉวีกงกงเห็นเด็กสาวใจกล้าเทียมฟ้าปานนี้จึงรีบคุ้มครองข้างรถม้าทันที ชี้ไปยังพวกขันทีผู้น้อยพลางก่นด่า

“ดีจริงๆ นางสารเลว หนีมาถึงที่นี่เชียวหรือ คอยดูว่าถ้าข้าจับเจ้าได้จะให้เจ้าตายอย่างไร!” ทว่าขันทีผู้น้อยเหล่านั้นยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็ได้ยินเสียงบุรุษซึ่งแฝงความโกรธเกรี้ยวดังใกล้เข้ามา

อวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่ไม่สะดวกจะโผล่หน้าออกไป ถึงแม้จะยังไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้น ทว่าฟังน้ำเสียงเขาเอ่ยวาจาก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคุณชายเจ้าสำราญเป็นแน่ ทั้งสองจึงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้

ฉวีกงกงซึ่งอยู่นอกรถม้ากลับตาไวจำผู้ที่มาใหม่ได้จึงรีบตีสีหน้าแย้มยิ้มทันที เอ่ยกับบุรุษที่เดินเข้ามาอย่างเดือดดาลผู้นั้น “นี่มิใช่คุณชายน้อยจวนหานกั๋วกงหรอกหรือ บ่าวขอคารวะท่าน”

จวนหานกั๋วกงมิใช่บ้านใครอื่น แต่เป็นบ้านเดิมของหยวนเต๋อไท่เฟย

ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ หยวนเต๋อไท่เฟยกับไทเฮาก็มิได้มีความสัมพันธ์อันดีนัก วันนี้ญาติของทั้งสองตระกูลพบกันเข้าอย่างจัง ยิ่งไปกว่านั้นหยวนชิ่งโจวแห่งจวนหานกั๋วกงผู้นี้ไร้ความรู้ความสามารถ ลุ่มหลงมักมากในอิสตรี ส่วนพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นสตรี ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจไม่ระวังตัว

หยวนชิ่งโจวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะพบกับคนของฝั่งไทเฮา โทสะบนใบหน้าจึงเก็บงำไว้ทันที หรี่ตามองฉวีกงกงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยโดยที่หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม “ที่แท้เป็นฉวีกงกงนี่เอง! คู่แค้นถนนแคบ จริงๆ วันนี้ท่านไม่ต้องปรนนิบัติไทเฮาของพวกเราอยู่ที่วังเฟิ่งเสียงหรอกหรือ”

หยวนชิ่งโจวทำน้ำเสียงเสียดสีกระทบกระเทียบ วาจาที่แฝงเร้นเป็นการเหน็บว่าฉวีกงกงเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง พูดจบก็นำข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังตนหัวเราะดังฮ่าๆ ท่าทางโอหังอวดดีทำให้ประชาชนที่มุงดูอยู่รอบๆ พากันขมวดคิ้ว

ทว่าบนใบหน้าฉวีกงกงกลับมองไม่เห็นความโกรธเคืองแม้แต่กระผีกริ้น อย่างไรเสียผู้ที่เขาเป็นตัวแทนยามออกมาข้างนอกคือไทเฮา จึงไม่อาจทำให้ไทเฮาอับอายได้ แต่เมื่อเผชิญหน้าลูกไม้เช่นนี้ของหยวนชิ่งโจว หากไม่ให้บทเรียนสักหน่อย เกรงว่าอีกฝ่ายจะปีนขึ้นวางอำนาจบาตรใหญ่บนพระเศียรไทเฮาจริงๆ

ฉวีกงกงส่งสายตาให้พวกขันทีผู้น้อยซึ่งอยู่ข้างกาย ขันทีหลายคนนั้นจึงห้อมล้อมรถม้าไว้ทันที ไม่ให้หยวนชิ่งโจวแตะต้องมือของเด็กสาวตัวน้อยได้ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “แน่นอนว่าวันนี้บ่าวออกจากวังมาทำธุระตามพระบัญชาของไทเฮา มิได้เอ้อระเหยลอยชายเช่นคุณชายน้อย วิ่งไล่ตามผู้หญิงไปทั่วถนนหรอกขอรับ”

พอฉวีกงกงโพล่งวาจานี้ออกไป เสียงแอบหัวเราะระลอกใหญ่พลันดังขึ้นทันที

หยวนชิ่งโจวถูกฉีกหน้าท่ามกลางหมู่คนจึงย่อมเสียหน้าเป็นธรรมดา ในดวงตาพลันปรากฏแววดุร้าย สั่งให้ฉวีกงกงหลีกทาง “เจ้าก็เป็นแค่ข้ารับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ยังจะกล้าขวางทางข้าอีกหรือ รีบส่งตัวนางบ่าวสารเลวนั่นมา มิฉะนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”

พูดจบ บ่าวด้านหลังหยวนชิ่งโจวก็ทำท่าจะเข้ามาชิงคน

ฉวีกงกงไหนเลยจะยอมให้เขาเข้าใกล้รถม้า หากคุณหนูอวิ๋นกับฮูหยินที่อยู่ด้านในได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮา ฮ่องเต้ และจวนฝู่กั๋วกงกล่าวโทษลงมา กลัวว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่

ฉวีกงกงขยับเดินเข้าไปหนึ่งก้าว ขัดขวางการเข้าประชิดของคนทั้งหมด ดวงตาทั้งสองข้างที่หรี่น้อยๆ เปล่งแววตาเย็นเฉียบ สีหน้าที่เริ่มมืดทะมึนยิ่งทำให้คนตระหนักได้ถึงความน่ายำเกรงของผู้ดูแลใหญ่แห่งตำหนักใน “สามหาว! พวกเจ้าถึงกับกล้าขวางรถม้าของราชสกุลบนถนนหนทางเชียวหรือ โทษของพวกเจ้าสมควรถูกประหาร!”

ตวาดเสียงดังเช่นนี้ ทำให้บ่าวชั่วหลายคนที่เข้ามาใกล้รถม้าด้วยเจตนาร้ายชะงักฝีเท้าได้จริงๆ พากันหันหน้ามองไปทางหยวนชิ่งโจวด้วยความขลาดกลัวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังขอความเห็นจากเขา

ทว่ายามอยู่ในบ้านหยวนชิ่งโจวก็เป็นจอมเผด็จการน้อย กอปรกับคนที่เผชิญหน้าด้วยยามนี้เป็นศัตรูของวงศ์สกุลอีก เขาไหนเลยจะเกรงกลัวขันทีอย่างฉวีกงกง

หยวนชิ่งโจวจึงก้าวเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ มือหนึ่งผลักข้ารับใช้ที่อยู่ตรงหน้าออก ทำท่าจะเข้าไปคว้าตัวเด็กสาวคนนั้นไว้ด้วยตนเอง

เดิมทีแม่นางน้อยผู้นั้นจับบังเหียนไว้แน่น แต่พอเห็นหยวนชิ่งโจวเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียม ในใจนางพลันสั่นสะท้าน รีบปีนขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด นางเลิกผ้าม่านออกแล้วเบียดตนเองเข้าไปด้านใน ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ โปรดช่วยด้วยเจ้าค่ะ” แม่นางผู้นั้นเห็นสตรีสูงศักดิ์งามงดสองนางนั่งอยู่ภายในรถจึงรีบโขกศีรษะอย่างสุดชีวิตทันที ปากตะโกนร้องไม่หยุด

หยวนชิ่งโจวซึ่งเดิมทีไล่ตามมามองเห็นผู้ที่อยู่ในรถม้าได้ถนัดตาตอนที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ทันใดนั้นพลันถูกรูปโฉมอันงดงามของอวิ๋นเชียนเมิ่งดึงดูดเข้า ฝีเท้าหยุดชะงักกึกทันที จากนั้นให้คนรับใช้จัดแต่งอาภรณ์ให้ตนเองแล้วจึงประสานมือคารวะไปทางรถม้า กล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย “ชนคุณหนูกับฮูหยินเข้าให้แล้ว ขอทั้งสองท่านโปรดอภัย”

หากมิได้เห็นฉากเมื่อครู่นี้ ทุกคนคงจะนึกว่าหยวนชิ่งโจวเป็นคนอ่อนน้อมมีมารยาท แต่การแสดงออกของเขาเมื่อครู่ชัดแจ้งแก่ใจมากเกินไป ทำให้จี้ซูอวี่ที่อยู่ในรถขมวดคิ้วขึ้น ส่วนในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ฉายแววรังเกียจ

“เขาไล่ตามเจ้าเพราะเหตุใด” เห็นแม่นางผู้นี้แต่งกายซอมซ่อ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถามขึ้น

“ครอบครัวบ่าวเช่าที่ดินของจวนหานกั๋วกง แต่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านพ่อล้มป่วยจึงไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า คุณชายหยวนจึงพูดกับท่านพ่อว่าให้ข้าหลับนอนกับเขาหนึ่งเดือนเพื่อชดใช้ค่าเช่า แต่ท่านพ่อทนยอมไม่ได้จึงให้บ่าวหนีไป เขาก็เลยพาคนไล่ตามมา คุณหนูกับฮูหยินช่วยบ่าวด้วยนะเจ้าคะ บ่าวยินดีขายตัวเป็นวัวเป็นม้าที่จวนท่าน” พูดจบเด็กสาวผู้นั้นก็เริ่มโขกศีรษะอีกครั้ง

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความรู้สึกที่มีต่อหยวนชิ่งโจวก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปใหญ่ ครั้นถามจำนวนเงินค่าเช่าอย่างละเอียดก็หยิบเงินตามจำนวนนั้นออกมาจากถุงพกแล้วมอบให้ฉวีกงกง

จี้ซูอวี่เห็นว่าอย่างไรอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เป็นสาวเป็นนาง ตนเองจึงเอ่ยปากแทน “คุณชายหยวน ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้พวกเราต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่คือเงินค่าเช่า ขอให้เจ้ารับไปเสีย แล้วอย่าสร้างความลำบากให้ผู้อื่นอีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะเกิดผลเสียต่อจวนเฉินอ๋องได้ เกรงว่าหยวนเต๋อไท่เฟยคงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่”

วาจานี้กล่าวได้อย่างหลักแหลม ที่สกุลหยวนสามารถรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอยมายาวนานล้วนอาศัยหยวนเต๋อไท่เฟยและเฉินอ๋อง หากหยวนชิ่งโจวยั่วโทสะสองคนนั้นเพียงเพราะสตรีคนเดียว การค้าขายครั้งนี้คิดคำนวณอย่างไรก็ไม่คุ้มค่า อีกทั้งยามนี้หยวนชิ่งโจวจิตใจลอยล่องเตลิดเปิดเปิงเพราะอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไหนเลยจะยอมทำลายภาพลักษณ์ของตนเองต่อหน้าสาวงามได้ จึงรับเงินทันที พกลูกคิดคันน้อยในใจรีบเร่งกลับบ้าน

“นี่เงินสิบตำลึง พาบิดาเจ้าไปรักษาอาการป่วยเถิด” รอกระทั่งหยวนชิ่งโจวจากไปจริงๆ แล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งมอบให้แม่นางน้อยผู้นั้น

ทว่าเด็กสาวกลับไม่รับไว้ หลังจากส่ายศีรษะก็เอ่ยอย่างแน่วแน่ “บ่าวเป็นคนของคุณหนูแล้ว จะปรนนิบัติคุณหนูตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”

แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เชื่อใจผู้อื่นง่ายๆ หากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นกับดักที่ผู้อื่นวางไว้ เช่นนั้นตนเองมิใช่ทำดีได้ชั่วหรอกหรือ

นางวางเงินใส่มือเด็กสาวผู้นั้นทันที จากนั้นให้ฉวีกงกงพานางลงไปจากรถม้า

“นายท่าน คุณหนูสกุลอวิ๋นผู้นี้ฉลาดยิ่ง” หารู้ไม่ ยามนี้บนโรงน้ำชาด้านซ้ายมือของถนน หน้าต่างไม้บานหนึ่งเปิดแง้มไว้เพียงครึ่ง บุรุษวัยกลางคนในชุดคลุมยาวยืนอยู่ริมหน้าต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด

ล้อรถหมุนเคลื่อนขึ้นอีกครา ฉวีกงกงตาไวมองเห็นเงาร่างลับๆ ล่อๆ ตามติดอยู่ด้านหลังรถม้า หลังจากจดจำสถานะของคนผู้นั้นได้ก็เอ่ยเตือนจี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ในรถด้วยเสียงเบาๆ ทันที “ฮูหยิน เด็กรับใช้ของคุณชายหยวนตามอยู่ด้านหลังรถม้าของพวกเรามาตลอดทางเลยขอรับ”

“ฮึ ดูท่าคุณชายหยวนผู้นี้คงจะลุ่มหลงในอิสตรีจริงๆ สินะ! หลินเหล่าไท่จวินแห่งจวนหานกั๋วกงหมั้นหมายให้เขามาตั้งแต่เด็กๆ อีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูในภรรยาเอกของจวนอู๋กั๋วกง แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากคุณชายหยวนเติบใหญ่ขึ้นจะมีความประพฤติเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายคุณหนูอู๋ผู้นั้นจริงๆ” จี้ซูอวี่ขมวดคิ้วใบหลิวน้อยๆ หลังจากได้ยินคำเตือนของฉวีกงกง ในดวงตาเผยแววหยามเหยียดอย่างอดไม่อยู่

อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้เอ่ยวาจาให้มากความ กระทั่งรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดีอวิ๋นถึงได้กล่าวลาจี้ซูอวี่ แล้วเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนโดยมีหลิ่วอี๋เหนียงคอยประคอง

“คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่บ่าวเห็นพ่อบ้านจ้าวรีบร้อนไปบ้านเดิมของซูอี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ” เมื่อประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินมาถึงมุมหนึ่งในจวนที่ค่อนข้างเงียบสงบ หลิ่วอี๋เหนียงก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา

“อ้อ รู้หรือไม่ว่าเขามีธุระใด” อวิ๋นเชียนเมิ่งถามอย่างสนอกสนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าซูชิงกับพ่อบ้านจ้าวกำลังสมคบคิดกันทำเรื่องชั่วจริงๆ เสียด้วย

เมื่อได้ยินคำถาม หลิ่วอี๋เหนียงกลับทำได้เพียงแค่ส่ายศีรษะ ซูชิงควบคุมดูแลเรือนเฟิงเหออย่างรอบคอบปานนั้น วางกำลังคนสอดแนมไม่ได้จริงๆ “บ่าวรู้แค่ว่าหลังจากท่านออกไป คุณหนูรองก็บันดาลโทสะ แต่ไม่รู้ว่าซูอี๋เหนียงพูดอะไรกับนาง ตอนที่คุณหนูรองออกไปจากเรือนเฟิงเหอถึงกับยิ้มหน้าระรื่น หลังจากนั้นพ่อบ้านจ้าวก็รีบไปที่บ้านสกุลซูเจ้าค่ะ”

พอฟังคำบอกเล่าของหลิ่วอี๋เหนียงจบ อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะเสียงต่ำ กวักมือเรียกให้นางเข้ามาใกล้ๆ ทันที เอ่ยสั่งที่ข้างหูนาง “เจ้าไปบอกเด็กรับใช้หน้าประตูว่าถ้ามีคนมาสืบถามเรื่องคุณหนูจวนอัครเสนาบดีกับพวกเขา ก็ให้บอกไปว่าวันมะรืนคุณหนูจะเดินทางไปเมืองซูเฉิง”

เมื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นเชียนเมิ่งจบ ถึงแม้ในใจหลิ่วอี๋เหนียงจะไม่ค่อยเข้าใจ ทว่าความฉลาดปราดเปรื่องของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับทำให้นางพยักหน้าทำตามคำสั่งทันที

ยามอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับถึงเรือนฉี่หลัวก็สั่งกับแม่นมหมี่ว่า “แม่นม ข้าจำได้ว่าของบำรุงที่หลิ่วอี๋เหนียงส่งมาให้คราวก่อนมีโสมหิมะร้อยปีอยู่สองต้น ไปเอาทั้งหมดมาเสีย”

“เจ้าค่ะ”

 

ประตูข้างของจวนหานกั๋วกงในยามนี้เปิดแง้มน้อยๆ ออกเป็นมุมเล็กๆ เงาร่างสีควันสายหนึ่งผลุบเข้าไปอย่างรวดเร็ว วิ่งตะบึงไปยังเรือนซงลู่

เงาร่างสีควันนั้นวิ่งเข้าไปในห้องอย่างปราดเปรียว คุกเข่าให้หยวนชิ่งโจวแล้วรีบพูดขึ้นทันที “หมิงซิงคารวะนายน้อยขอรับ”

หมิงซิงผู้นั้นเห็นนายน้อยของตนร้อนใจถึงปานนี้ก็เลือกพูดแต่ประเด็นสำคัญ “เรียนนายน้อย บ่าวสืบมากระจ่างทั้งหมดแล้วขอรับ ผู้นั้นคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น มีนามว่าอวิ๋นเชียนเมิ่ง ซึ่งก็คือหญิงสาวที่ถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นเมื่อหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้ขอรับ”

ได้ยินดังนั้น ความตื่นเต้นบนใบหน้าหยวนชิ่งโจวก็เลือนหายไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พูดพึมพำกับตนเอง “นางคืออดีตคู่หมั้นของญาติผู้พี่หรือนี่ งามสะคราญถึงเพียงนี้ญาติผู้พี่ยังผลักไสไล่ส่งนาง แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี…”

หมิงซิงเห็นใบหน้าหยวนชิ่งโจวเผยแววลำบากใจ จึงคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายไม่ออกไปชั่วขณะ เอ่ยหยั่งเชิงขึ้น “นายน้อย บ่าวยังสืบได้ความมาอีกว่าวันมะรืนอัครเสนาบดีอวิ๋นให้คุณหนูออกเดินทางไปเมืองซูเฉิง ได้ยินว่าจะไปรับฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นกลับเมืองหลวงขอรับ”

หยวนชิ่งโจวได้ยินข่าวนี้จึงกล่าวด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “ไป ตามข้าไปเยี่ยมท่านย่ากัน”

บทที่ 9 ขอความช่วยเหลือจากจวนฝู่กั๋วกง

 วันถัดมาจวนฝู่กั๋วกงส่งแม่นมคนหนึ่งมายังจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น แม่นมผู้นั้นมายังเรือนฉี่หลัวอย่างพินอบพิเทา มอบสิ่งของที่ฮูหยินใหญ่ของจวนตนกำชับไว้ส่งให้อวิ๋นเชียนเมิ่งต่อหน้า

อวิ๋นเชียนเมิ่งให้แม่นมหมี่วางของไว้บนโต๊ะ ส่วนตนเองกลับเปิดตลับไม้ออก มองดูสมุดบันทึกหลายเล่มที่อยู่ด้านใน แล้วจึงพยักหน้าบอกให้มู่ชุนเก็บเอาไว้ รีบลุกขึ้นยิ้มบางๆ พลางกล่าว “รบกวนแม่นมแล้ว นี่รางวัลของเจ้า”

แม่นมหมี่ได้ยินก็รีบเดินเข้าไปยัดซองแดงที่เตรียมเอาไว้แล้วใส่มือแม่นมผู้นั้นทันที

ทว่าก่อนมาที่นี่แม่นมผู้นั้นก็ได้รับคำสั่งจากจี้ซูอวี่ว่าห้ามรับรางวัลจากคุณหนูอวิ๋นเด็ดขาด จึงยิ้มพร้อมกับปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ก่อนมาฮูหยินใหญ่ได้กำชับบ่าวว่าห้ามรับของกำนัล ขอคุณหนูโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นเช่นนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ไม่ดึงดันอีก สั่งให้แม่นมหมี่เก็บอั่งเปาเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นโดยพลัน “ระยะนี้ร่างกายข้าดีขึ้นมาก กำลังคิดว่าวันนี้จะไปกราบคำนับท่านยายอยู่พอดี นอกจากนี้เชียนเมิ่งยังได้รับบุญคุณจากท่านป้าสะใภ้ ย่อมต้องไปขอบพระคุณด้วยตนเอง มิสู้แม่นมกับข้ากลับจวนฝู่กั๋วกงพร้อมกันดีกว่า”

แม่นมเห็นเช่นนี้ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธอีก จึงรีบย่อกายแล้วก้าวเข้าไปประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งออกจากจวนด้วยตนเอง

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะก้าวออกไป พ่อบ้านก็ก้าวเข้าไปในเรือนเฟิงเหอแทบจะในทันที กล่าวรายงานเรื่องนี้ต่อซูชิง

 

ระหว่างทางอวิ๋นเชียนเมิ่งได้ถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของพวกเหล่าไท่จวิน แม่นมผู้นั้นก็แย้มยิ้มพลางตอบคำถามทีละข้อๆ เช่นกัน เดิมทีทั้งสองจวนก็อยู่ไม่ไกลกันนัก แค่เวลาหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงจวนฝู่กั๋วกงแล้ว

แม่นมผู้นั้นได้สั่งให้เด็กรับใช้วิ่งกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่จวนก่อนแล้ว เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากรถม้า จวนฝู่กั๋วกงก็เปิดประตูใหญ่เอาไว้เรียบร้อย ป้าสะใภ้จี้ซูอวี่พาญาติผู้พี่ ชวีเฟยชิงมารอได้ครู่ใหญ่

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ คำนับทั้งสองอย่างอ่อนช้อย กล่าวเสียงแผ่วเบา “เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านป้าสะใภ้ คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”

จี้ซูอวี่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงในใจย่อมยินดีปรีดายิ่ง รีบยื่นมือประคองนางขึ้นมา ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “คนครอบครัวเดียวกันไยต้องมากพิธี เหล่าไท่จวินได้ยินว่าเจ้าจะมา นี่ก็ส่งคนมาถามตั้งหลายรอบแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะขอขมา แต่แขนขวากลับถูกคนกอดไว้ จึงหันหน้าไปมองน้อยๆ เห็นเพียงญาติผู้พี่ที่เมื่อครู่ยืนอยู่ข้างกายจี้ซูอวี่อย่างเชื่อฟังคล้องแขนนางขึ้นมาอย่างสนิทสนม แล้วถือโอกาสพานางเดินเข้าไปในจวนฝู่กั๋วกง

“น้องเมิ่งเอ๋อร์ พวกเราไม่ได้พบกันมาตั้งหลายปี ทุกครั้งที่มีงานเทศกาลล้วนเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้ามาร่วมงาน น่าเบื่อยิ่งนัก วันนี้เห็นเจ้ามาที่นี่ ทำให้ข้าดีใจมากเลยล่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเด็กสาวข้างกายตนงามหมดจด ดวงตากลมโตคู่นั้นอ่อนโยนราวกับสายน้ำเหมือนป้าสะใภ้จี้ซูอวี่เป็นที่สุด ทั้งยังเห็นนางมีท่าทีสนิทสนมกับตนเองถึงเพียงนี้ ในใจพลันเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อชวีเฟยชิงอยู่หลายส่วนจึงตอบกลับยิ้มๆ ว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะเมิ่งเอ๋อร์ไม่รู้ประสีประสา หลีกลี้จวนฝู่กั๋วกงไปแสนไกล ต่อไปน้องจะไปมาหาสู่กับท่านพี่ให้มากขึ้น หวังว่าท่านพี่จะไม่นึกรำคาญนะเจ้าคะ”

“จะรำคาญได้เยี่ยงไร เจ้ามาได้ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว” ได้ยินวาจาเมื่อครู่ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ชวีเฟยชิงก็พลันยิ้มแฉ่ง ในดวงตาทั้งสองที่หรี่ลงนิดหนึ่งเปล่งแสงวาววับเล็กน้อย พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อนิดหน่อย ความร่าเริงมีชีวิตชีวาของเด็กสาวชวนให้คนตะลึงงัน

จี้ซูอวี่เห็นพวกนางสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก ในใจจึงเปี่ยมล้นด้วยความสุข ทั้งสามแยกกันขึ้นเกี้ยว มุ่งตรงไปยังเรือนรุ่ยหลินของเหล่าไท่จวิน

 

ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวออกจากจวนอัครเสนาบดี กู่เหล่าไท่จวินก็ได้รับข่าวคราวแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ในเรือนรีบเตรียมตัวต้อนรับหลานสาวที่ไม่ได้กลับมาจวนฝู่กั๋วกงหลายปีผู้นี้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้ เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งถูกแม่นมหมี่ประคองลงจากเกี้ยว หน้าห้องหลักของเรือนรุ่ยหลินก็มีสาวใช้ยืนรออยู่เต็มไปหมด

ทุกคนเห็นคุณหนูที่มิได้พบหน้ามาเนิ่นนานผู้นี้ลงมาจากเกี้ยวก็รีบยอบกายคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดอย่างพร้อมเพรียงว่า “บ่าวคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองมีน้ำหนักในใจกู่เหล่าไท่จวินพอสมควร จากนั้นก็เห็นจี้ซูอวี่กับชวีเฟยชิงต่างแย้มยิ้มหน้าบาน จึงกล่าวอย่างสุขุมมั่นใจ “ลำบากทุกคนแล้ว”

ทุกคนได้ยินการตอบสนองอย่างไม่หยิ่งยโสและไม่นอบน้อมเกินไปของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจก็อดเกิดความเลื่อมใสต่อคุณหนูผู้นี้ไม่ได้

“คุณหนูมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ เหล่าไท่จวินรอท่านมาครึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้เองแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินออกมาจากในเรือน นางใบหน้าแย้มยิ้ม โดยเฉพาะยามที่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตาแฝงรอยยิ้มนั้นเปล่งประกายตื่นตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบก้าวเดินเร็วรี่เข้าไปทันที “แม่นมหนิงคารวะคุณหนู เหล่าไท่จวินเชิญท่านเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าแม้นางจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แต่สีหน้าท่าทางกลับแฝงด้วยความหยิ่งทะนง จึงรู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคนสนิทของกู่เหล่าไท่จวินเป็นแน่ จึงรีบกล่าวยิ้มๆ “รบกวนแม่นมนำทางด้วย”

คนหลายคนเพิ่งจะก้าวเข้าห้องหลักก็ได้ยินเสียงเอ่ยถามซึ่งแฝงด้วยความน่ายำเกรงเต็มเปี่ยมดังขึ้นจากด้านใน “ยายหนูเมิ่งมาแล้วหรือ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินก็รีบเร่งฝีเท้าเดินทะลุผ้าม่านหนาเข้าไปถึงห้องอุ่น เห็นเพียงว่าบนที่นั่งตำแหน่งประธานของห้องอุ่นนั้นมีหญิงชราในเสื้อสาบตรงสีแดงเข้มกุ๊นขอบทองนั่งอยู่ ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้ามา หญิงชราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ด้วยความตื้นตัน ปากพูดพึมพำกับตนเอง “รั่วหลี…”

แม่นมหนิงเห็นกู่เหล่าไท่จวินจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างจดจ่อถึงเพียงนี้ จึงมองสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างละเอียดลออรอบหนึ่งเช่นกัน กล่าวชื่นชมว่า “คุณหนูรูปโฉมงามสง่าภูมิฐานจริงๆ ยิ่งมีเอกลักษณ์เหมือนคุณหนูรองเมื่อก่อนมากขึ้นทุกที”

แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับก้าวปราดไปตรงหน้ากู่เหล่าไท่จวิน คุกเข่าลงอย่างหนักหน่วง กล่าวด้วยน้ำตาเอ่อคลอ “หลานคารวะท่านยายเจ้าค่ะ หลานอกตัญญู ขอท่านยายโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งทำเช่นนี้ กู่เหล่าไท่จวินก็พลันขอบตาร้อนผะผ่าว รีบประคองนางขึ้นด้วยตนเองทันที เห็นนางนับวันก็ยิ่งเหมือนบุตรสาวคนรองชวีรั่วหลีดังเช่นที่แม่นมหนิงพูดก็ยิ่งเศร้าใจจนยากจะพรรณนา รวบอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่อ้อมอกโดยไม่สนใจสถานะใดๆ ทั้งสิ้น ร่ำไห้กล่าวว่า “หลานข้า เจ้าต้องลำบากแล้ว ไฉนไม่รีบมาหายายเล่า”

สาวใช้ในเรือนเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็พากันหลั่งน้ำตาอย่างมิอาจควบคุมตนเอง เสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วห้องอุ่นไปชั่วขณะ

จี้ซูอวี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หยาดน้ำตาก็คลอหน่วยในดวงตาเช่นกัน ทว่ามุมปากยังคงอมยิ้มพลางก้าวเดินเข้าไปปลอบประโลมกู่เหล่าฮูหยิน “เหล่าไท่จวิน วันนี้เป็นวันแห่งความสุข ท่านร้องไห้ไม่ได้นะเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงก็รีบก้าวเข้าไปด้วยเช่นกัน นางกอดกู่เหล่าไท่จวินไว้ราวกับกำลังออดอ้อน เอ่ยอย่างทะเล้นว่า “ท่านย่า พอน้องอวิ๋นมา ในสายตาท่านก็ไม่มีหลานเลยนะเจ้าคะ”

กู่เหล่าไท่จวินเห็นท่าทางแง่งอนของชวีเฟยชิงจึงหยุดร้องไห้แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะทันที ก่อนปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งออก จูงมือนางมานั่งบนเก้าอี้ตัวเมื่อครู่ด้วยกัน จากนั้นสำรวจอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนใหม่อีกครา ครั้นเห็นว่าวันนี้นางใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง สีหน้าดียิ่ง ความพะวงในใจก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพียงแต่ในใจยังคงทอดถอนใจอยู่บ้าง “หากรั่วหลียังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงไม่ต้องอยู่อย่างยากลำบากเพียงนี้ เรื่องที่เฉินอ๋องถอนหมั้นครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว ซ้ำดันมีพ่อเลอะเลือนแบบนั้นเสียได้”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นกู่เหล่าไท่จวินตำหนิอัครเสนาบดีต่อหน้าธารกำนัลเพื่อตนเองก็รู้ว่าเหล่าไท่จวินผู้นี้คงจะจริงใจกับตนเป็นแน่ จึงเผยใบหน้าแย้มยิ้ม กล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านยายโปรดระงับโทสะ เมิ่งเอ๋อร์ได้รับความรักความสงสารจากท่านยาย ท่านป้าสะใภ้ ท่านพี่ก็ถือว่าเป็นคนมีวาสนาแล้ว ขอท่านยายอย่าได้เหน็ดเหนื่อยใจเพราะเมิ่งเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ”

ตอนนั้นเองอวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีบุรุษรูปงามผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่อีกด้าน เขารูปร่างสูงสง่า รูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แววตาเที่ยงตรงเยือกเย็น คล้ายคลึงกับชวีเฟยชิงอยู่หลายส่วน คงจะเป็นนายน้อยแห่งจวนฝู่กั๋วกง พี่ชายแท้ๆ ของชวีเฟยชิง ชวีฉางชิง

“เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้าออก จากนั้นยืนตัวตรงทันใด ยอบกายคำนับชวีฉางชิงอย่างอ่อนช้อย

“ไม่ต้องมากพิธี” ส่วนชวีฉางชิงกลับเงียบขรึมเหมือนกับความรู้สึกที่เขาแผ่ให้คนอื่นโดยสิ้นเชิง แม้ดวงตาจะมองญาติผู้น้องผู้นี้ด้วยความรักใคร่สงสาร ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับสั้นๆ เรียบง่ายอยู่ร่ำไป

ระหว่างที่สนทนาแม่นมหมี่ก็ยกโสมหิมะที่ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ทีแรกออกมา กล่าวอย่างนอบน้อม “เหล่าไท่จวิน นี่คือของขวัญที่คุณหนูเตรียมให้ท่านเจ้าค่ะ ขอให้เหล่าไท่จวินมีสุขเกษมดุจทะเลตงไห่ อายุยืนยาวดุจเขาหนานซาน”

กู่เหล่าไท่จวินเห็นว่าเดี๋ยวนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้เรื่องรู้ราวเอาใจใส่ผู้อื่น เจรจาพาทีสุภาพเรียบร้อยถึงเพียงนี้ ในดวงตาพลันปรากฏแววพึงพอใจ แต่ใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยวพร้อมเอ่ยว่า “เด็กโง่ ยายไม่ขาดเหลืออะไรทั้งนั้น เจ้านำกลับไปกินเองเถิด ถ้าหากไม่พอก็ส่งคนมาแจ้งป้าสะใภ้เจ้า หลานสาวของจวนฝู่กั๋วกงเราคือไข่มุกในอุ้งมือ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นกู่เหล่าไท่จวินปฏิเสธด้วยความจริงใจ แต่ตนเองก็มีใจกตัญญูเช่นกันจึงยิ้มบางๆ อย่างนุ่มนวลพลางกล่าว “หลายปีมานี้ท่านยายเป็นห่วงเป็นใยหลานจนว้าวุ่นใจ นี่ถือว่าเป็นใจกตัญญูเพียงเล็กน้อยของหลาน ขอท่านยายอย่าได้ปฏิเสธเลยนะเจ้าคะ”

กู่เหล่าไท่จวินเห็นนางยืนกราน ทั้งยังปลาบปลื้มที่อวิ๋นเชียนเมิ่งในวันนี้รู้ขนบมารยาทยิ่งนัก จึงยิ้มพลางสั่งให้แม่นมหนิงรับโสมหิมะไว้ หลังจากชวีรั่วหลีเสียชีวิตไปสิบกว่าปี ในที่สุดคนครอบครัวเดียวกันก็มีโอกาสนั่งสนทนาเรื่องราวในวันวานจนถึงกับลืมเวลาไปชั่วขณะ จนกระทั่งทุกคนเห็นใบหน้าของกู่เหล่าไท่จวินปรากฏแววอ่อนล้า อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกล่าวอำลากู่เหล่าไท่จวินอย่างอาลัยอาวรณ์

 

เมื่อก้าวออกจากเรือนรุ่ยหลิน จี้ซูอวี่ก็ไล่ชวีเฟยชิงที่ไม่อยากแยกจากกันออกไป แล้วจึงพาอวิ๋นเชียนเมิ่งมายังเรือนที่นางอาศัยอยู่ เมื่อเรือนด้านในเหลือเพียงพวกนางแค่สองคน จี้ซูอวี่ถึงเอ่ยถามขึ้น “เมิ่งเอ๋อร์มาครั้งนี้คงมิใช่แค่มาเยี่ยมเยียนเหล่าไท่จวินกระมัง”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าจี้ซูอวี่ดูเหมือนอ่อนแอนุ่มนวล แต่กลับมีความสามารถในการสังเกตเหนือธรรมดา จึงไม่พูดอ้อมค้อมวกวน เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างละเอียดยิบหนึ่งรอบ จากนั้นเอ่ยถามทันที “ท่านป้าสะใภ้ เมิ่งเอ๋อร์อยู่ที่จวนไร้คนช่วยเหลือเกื้อกูล จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากจวนฝู่กั๋วกงเจ้าค่ะ”

จี้ซูอวี่คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ในจวนอัครเสนาบดีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลังจากคิดไตร่ตรองในใจอย่างถี่ถ้วน พร้อมทั้งเห็นในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งแฝงเร้นด้วยความฉลาดปราดเปรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ จึงกล่าวยิ้มๆ “เด็กดี คงจะคิดหาวิธีรับมือไว้แล้วสินะ พูดมาเถิด มีอะไรต้องการให้ป้าสะใภ้ช่วย”

เมื่อถูกจี้ซูอวี่ถามเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงกอดแขนซ้ายนางเอาไว้อย่างออดอ้อนฉอเลาะ ถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้ข้างหูของนาง พูดแผนการที่ตนเองคิดเอาไว้แล้วออกมาเสียงเบา

 

ต่อให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่อยากเดินทางไปเมืองซูเฉิงแค่ไหน แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาออกเดินทาง นางก็ยังถูกอวิ๋นเสวียนจือส่งขึ้นรถม้าอยู่ดี

ครั้งนี้เพื่อปกป้องอวิ๋นรั่วเสวี่ยตลอดการเดินทาง อวิ๋นเสวียนจือจึงให้องครักษ์หลิวซึ่งคอยติดตามข้างกายตนไปคุ้มครองความปลอดภัยของนาง ยิ่งกว่านั้นซูชิงยังให้แม่นมหวังคนสนิทของตนตามอวิ๋นรั่วเสวี่ยเดินทางไปเมืองซูเฉิงด้วย

 

พอถึงวันที่เจ็ด แม่นมหมี่ก็นำข่าวดีมาแจ้ง “คุณหนู บ่าวรับคนผู้นั้นมาแล้ว จัดที่พักอาศัยให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

ครั้นได้ยินดังนั้น อวิ๋นเชียนเมิ่งพลันตีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ารับทันที มือที่พลิกสมุดบัญชีอยู่ชะงักน้อยๆ จากนั้นกล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเราออกจากจวนกัน”

“เจ้าค่ะ” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าหนักอึ้ง ความจนใจก็วาดผ่านในใจแม่นมหมี่ หวังแค่ว่าพรุ่งนี้พอคุณหนูเห็นหน้าคนคนนั้นจะไม่เศร้าโศกเสียใจจนเกินไป

อวิ๋นเชียนเมิ่งพลิกอ่านสมุดบัญชีที่จี้ซูอวี่ส่งมาให้ต่อ หากไม่อ่านคงไม่รู้เลยว่าตอนชวีรั่วหลีออกเรือนเมื่อปีนั้นจะมีบ้านและที่ดินมากมายปานนี้ เพื่อให้บุตรสาวมีที่พักเหนื่อยระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซูเฉิง สกุลชวีจึงมีเรือนพักตากอากาศหนึ่งหลังไว้ทุกๆ เมืองที่อยู่ระหว่างทาง ดูท่าทางระยะนี้พวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยคงจะพักเหนื่อยอยู่ที่เรือนพักตากอากาศของสกุลชวี ส่วนตอนนี้บ้านและที่ดินเหล่านี้อยู่ในกำมือผู้ใด เกรงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดก็ทราบกันทั่ว

บทที่ 10 แม่นมซย่าผู้จงรักภักดี

 เช้าวันถัดมาอวิ๋นเชียนเมิ่งพาแม่นมหมี่ออกจากจวนไปแค่คนเดียวเท่านั้น ทั้งสองหลบหลีกสายตาของพวกซูชิงและพ่อบ้านจ้าว นั่งบนรถม้าที่เช่ามาชั่วคราวไปยังตรอกเล็กๆ ลับสายตาซึ่งอยู่ข้างๆ หอสุราเทียนฝู สุดท้ายหยุดลงหน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง แม่นมหมี่ยกมือเคาะประตูสามครั้ง เสียงสอบถามต่ำเบาดังมาจากด้านในทันที

“ใคร”

“ข้าเอง” แม่นมหมี่ตอบกลับเสียงเบาเช่นเดียวกัน คนที่อยู่ด้านในฟังเสียงของนางออกจึงรีบเปิดประตูใหญ่ให้ทันที

เด็กสาวหน้าตาสะสวยอายุราวสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านใน พอเด็กสาวผู้นั้นเห็นแม่นมหมี่ก็รีบคำนับทันใด “บ่าวคารวะน้าหมี่เจ้าค่ะ”

“วันนี้แม่นมดีขึ้นบ้างไหม” แม่นมหมี่พยักหน้าให้นาง จากนั้นนำทางอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ากลางลานบ้านเล็กๆ เดินไปพลางไต่ถามเด็กสาวไปพลาง

“ดีขึ้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ แต่ท่านหมอบอกว่าอาการป่วยของแม่นมเรื้อรั้งมานาน เกรงว่าจะรักษาได้แต่ที่ปลายเหตุไม่อาจรักษาต้นเหตุได้” เด็กสาวผู้นั้นเห็นแม่นมหมี่เคารพนบนอบต่อหญิงสาวที่เดินอยู่ตรงหน้ายิ่งนัก แม้ในใจจะเกิดข้อสงสัย แต่ก็ตอบคำถามของแม่นมหมี่ไปตามความจริง

“เจ้าออกไปทำงานเถิด” เมื่อทุกคนมาถึงหน้าห้องหลัก แม่นมหมี่ก็ไล่เด็กสาวออกไป จากนั้นผลักประตูไม้ที่ปิดสนิทบานนั้นออก

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงจดจ่อสนใจภายในห้องที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่โชยปะทะเข้ามาคือกลิ่นยาจีนเข้มข้นระลอกหนึ่ง ผสมปนเปกับกลิ่นยาสมุนไพร ชวนให้ทั้งสองซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้

“แค่กๆ!” ยามนี้เองเสียงไออย่างรุนแรงก็ดังออกมาจากภายในห้อง

มือที่ผ่ายผอมเห็นกระดูกข้างหนึ่งสั่นน้อยๆ ปรากฏแก่สายตาของทั้งสอง ดูเหมือนว่าคนที่อยู่บนเตียงพยายามที่จะยกถ้วยชาข้างเตียงขึ้น แม่นมหมี่เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปประคองนางไว้อย่างระมัดระวังทันที หลังจากนั้นหยิบถ้วยชาเข้ามาวางตรงริมฝีปากนาง เอ่ยด้วยความสงสาร “พี่สาว หากท่านต้องการสิ่งใดสั่งมาได้เต็มที่เลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้พบแม่นมซย่า นางซึ่งมีอายุราวๆ ห้าสิบปีแต่กลับดูเหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบ ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก โหนกแก้มบนใบหน้าโปดปูนออกมา บนสองแก้มมีร่องรอยของความชราปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะยิ่งเสียดแทงดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่ง ใครจะคาดคิดว่าแม่นมของฮูหยินอัครเสนาบดีอวิ๋นในปีนั้นจะมาอยู่ในสภาพเช่นนี้

ร่างกายที่อยู่ใต้เสื้อผ้านั้นเปราะบางราวกับแก้ว มือแห้งเหี่ยวที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกคว้าแม่นมหมี่เอาไว้แน่น ก่อนที่แม่นมซย่าจะออกแรงพูดอย่างยากลำบาก “อย่า…อย่า…”

พอนางเอ่ยวาจาก็ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพบถึงความผิดปกติ ฟังจากน้ำเสียงและความเร็วในการพูดของแม่นมซย่า เห็นได้ชัดว่าลิ้นได้รับบาดเจ็บ และใต้ผ้าห่มที่คลุมทับบนร่างของนาง ท่อนล่างแทบจะไม่ได้นูนขึ้นมาเลย นี่ทำให้หัวใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันจมลึก ประกายหนาวเหน็บในดวงตาผุดวาบ ความโกรธแค้นที่ไม่อาจยับยั้งคล้ายกับจะพุ่งทะลุออกมาจากภายในร่างกาย

ไอหนาวเหน็บบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งดึงดูดความสนใจของแม่นมซย่าได้ในที่สุด นางหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ เห็นสตรีในเสื้อสีเขียวกระโปรงสีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ปลายเตียง สตรีผู้นั้นสวมผ้าคลุมหน้า ทำให้นางมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด แต่เมื่อพิศดูเรือนร่างแช่มช้อยอรชรรวมถึงท่ายืนที่เรียบร้อยภูมิฐาน คงจะเป็นบุตรหลานของตระกูลมีชื่อเสียงกระมัง

แม่นมหมี่เห็นในดวงตาแม่นมซย่าปรากฏความงุนงง พร้อมทั้งเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้นาง จึงกระซิบเบาๆ ข้างหูแม่นมซย่าว่า “พี่สาว นี่คือคุณหนูของฮูหยิน”

เมื่อแม่นมหมี่กล่าวจบประโยคนั้น อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เห็นแม่นมซย่าที่เดิมทีเซื่องซึมกลับหยัดกายท่อนบนขึ้นด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นพลันเปล่งแววตื้นตันใจ สองมือยื่นออกไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ หมายจะสัมผัสอวิ๋นเชียนเมิ่ง ปากเอ่ยร้องอย่างยากลำบาก “คุณ…หนู…คุณ…หนู…”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกแค่ว่าจมูกแสบคัน นางรีบปลดผ้าปิดหน้าออกทันที ทันใดนั้นดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับชวีรั่วหลีพลันปรากฏเบื้องหน้าแม่นมซย่า ทำให้อากัปกิริยาของนางยิ่งทวีความซาบซึ้งตื้นตัน จวนเจียนจะร่วงลงไปจากเตียง

อวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวเข้าไปหาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ร่วมประคองนางพร้อมกับแม่นมหมี่ มองดูผมขาวโพลนของนาง ในลำคอก็พลันสะอื้นไห้ “แม่นม เมิ่งเอ๋อร์มาช้าไป”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยอมรับสถานะของตน มือทั้งสองก็คว้านางไว้แน่นทันที กล่าวอย่างยากลำบากทว่าแน่วแน่หาใดเปรียบ “บ่าว…คารวะ…คุณหนู”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าอย่างแรงด้วยน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา รีบพยุงนางให้นั่งดีๆ รับถ้วยชามาด้วยตนเอง ป้อนนางดื่มครึ่งถ้วยอย่างระมัดระวัง จากนั้นควักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมของตนออกมาเช็ดมุมปากที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำให้นางอย่างเอาใจใส่แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ “แม่นม ต่อไปท่านพักรักษาตัวอย่างวางใจเถิด เมิ่งเอ๋อร์จะต้องรักษาท่านให้หายดีให้ได้”

ยามนี้แม่นมซย่าถูกทำดีด้วยจนตื่นตะลึง ต่อให้นางคิดใคร่ครวญเป็นหมื่นๆ ตลบก็คิดไม่ถึงว่าสิบกว่าปีให้หลังตนเองยังจะได้พบกับคุณหนูน้อย ยิ่งไม่คาดคิดว่าคุณหนูน้อยจะเอาใจใส่ผู้อื่นถึงเพียงนี้ นี่ทำให้นางคิดถึงชวีรั่วหลีที่ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทันใดนั้นความโศกศัลย์พลันเข้าเกาะกุม น้ำตาอีกหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากหางตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น

อวิ๋นเชียนเมิ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตานางอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “แม่นม คับข้องใจอันใดก็บอกข้ามาได้เต็มที่ ข้าจะต้องให้คนใจดำอำมหิตผู้นั้นชดใช้อย่างสาสม!”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ในใจจึงพลันปลื้มปริ่ม ทว่ามิได้เอ่ยวาจาใดต่อ แต่กลับเอื้อมมือคลำควานหาของบางอย่างในเตียงนอน ก่อนจะประคองกล่องไม้ประดู่ใบหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าห่มหลายผืนที่วางกองไว้บนเตียง มอบให้ถึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างพินอบพิเทา จากนั้นบอกใบ้ให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเปิดออกด้วยแววตาปีติยินดี

ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งนึกฉงน แต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจของแม่นมซย่า นิ้วมือแตะสลักหยกเหอเถียน ที่กล่องเบาๆ เปิดกล่องไม้ออก

ทันใดนั้นภายในห้องพลันสว่างไสวเจิดจ้า แสงละลานตาแทบจะทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น อวิ๋นเชียนเมิ่งจ้องมองดูเขม็ง เห็นไข่มุกทะเลใต้ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกสามสิบเม็ดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบในกล่องไม้ประดู่ใบนั้น แต่ละเม็ดล้วนวาววับเปล่งประกาย ขนาดเท่ากันทุกกระเบียดนิ้ว เรียกได้ว่าเป็นยอดสิ่งเลอค่าในหมู่มวลสิ่งเลอค่า

ตรงกลางของไข่มุกเหล่านั้นมีไข่มุกเรืองราตรีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่เม็ดหนึ่งวางอยู่ ยามนี้แสงในห้องมืดสลัว ไข่มุกเรืองราตรีเปล่งประกายแพรวพราว เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีค่าควรเมืองเช่นเดียวกัน

ยามนี้มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งทาบทับบนมืออวิ๋นเชียนเมิ่ง แม่นมซย่ากล่าวอย่างยากลำบากพร้อมเสียงสะอื้นไห้ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “นี่…คือ…ของที่…ฮูหยิน…เหลือไว้…ให้คุณหนู…ในที่สุด…วันนี้…บ่าวได้มอบ…คืนให้…เจ้าของแล้ว…”

อวิ๋นเชียนเมิ่งที่ได้รับสิ่งของเหล่านี้กลับไม่มีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว นางเพียงปิดกล่องไม้ด้วยสีหน้าเยือกเย็น มอบใส่อกแม่นมซย่าอีกครั้ง กล่าวอย่างสงสารเวทนา “แม่นม นี่คือของที่ท่านแม่มอบให้ท่านต่างหาก”

ปีนั้นอวิ๋นฮูหยินคงจะมีความคิดสองอย่าง หนึ่งคือเก็บไว้ให้บุตรของตน แต่ถ้าหากบุตรประสบเคราะห์ภัย เช่นนั้นก็เหลือไว้ให้แม่นมซย่าใช้เลี้ยงตัวยามแก่เฒ่า

แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นมซย่ากลับปกป้องผู้เป็นนายด้วยใจจงรักภักดี ตนเองยอมระหกระเหินตกระกำลำบากอยู่สิบกว่าปี แต่ไม่เคยแตะต้องทรัพย์สินชิ้นนี้เลย นี่ทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งเต็มตื้นไปด้วยความเวทนาสงสารและซาบซึ้งใจ

ทว่าแม่นมซย่าเองก็เป็นคนนิสัยดื้อรั้นคนหนึ่งเหมือนกัน จึงยัดกล่องไม้ใส่อกอวิ๋นเชียนเมิ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมรับไป

แม่นมหมี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงเช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปโน้มน้าวคุณหนู “คุณหนู แม่นมซย่ามีความสัตย์ซื่อจริงใจ ท่านก็รับไว้เถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างต่อจากนี้แม่นมก็มีท่านคอยดูแลแล้ว คงไม่ต้องผ่านวันคืนอันยากลำบากอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าพลางส่งกล่องไม้ให้แม่นมหมี่ แล้วจึงสงบจิตสงบใจเอ่ยถามแม่นมซย่า “แม่นม เกิดอะไรขึ้นกับขาของท่าน หลายปีมานี้ท่านมีชีวิตผ่านมาได้อย่างไร”

แม่นมซย่าเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งถามเรื่องราวในปีนั้นขึ้นมา จึงตั้งสติและสะกดกลั้นความทุกข์ทรมานในหัวใจ ค่อยๆ เอ่ยช้าๆ “คุณหนู…ปีนั้น…ฮูหยินคลอด…แฝดชายหญิง…แต่ซูชิง…ซื้อตัวหมอตำแยไว้…พอคุณชายน้อยเกิด…ก็ถูกกดน้ำตาย…คุณหนูเป็นผู้หญิง…เลยรอดมาได้…บ่าว…ถูกพวกนางตัดลิ้น…ตัดขา…ฮูหยิน…ให้บ่าวแกล้งเป็นบ้า…ถึงหนีออกมาได้…”

พูดถึงตรงนี้ แม่นมซย่าก็น้ำตาอาบหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงด้วยความโกรธแค้น

ใบหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งราวกับเกาะกุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ความเคียดแค้นในดวงตาต่อให้ทำเช่นไรก็ลบเลือนออกไปไม่หมด นางประคองร่างผอมบางของแม่นมซย่าเบาๆ เอ่ยปลอบโยนเสียงแผ่ว “แม่นม ท่านพักรักษาตัวให้ดี ความแค้นของท่านแม่ น้องชาย และท่าน ข้าจะต้องทบทวีใส่ซูชิงเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

แม่นมซย่าได้ยินวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจพลันบีบรัดแน่น ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้คุณหนูต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเรื่องนี้ แต่ความแค้นของฮูหยินและนายน้อยไม่อาจไม่ชำระ

นางนึกเกลียดตนเองยิ่งนัก เกลียดที่ตอนนี้นางเป็นเหมือนกับเศษซากที่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดได้เลย ทำได้เพียงกล่าวเตือนคุณหนูเสียงเบา “คุณหนู…ระ…วัง…อัครเสนาบดี…”

ได้ยินดังนั้น อากาศรอบตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งราวกับถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน ความเย็นเยียบคล้ายกำจายระลอกแล้วระลอกเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

แม่นมซย่าไม่อยากให้คุณหนูผู้บริสุทธิ์ถูกความเคียดแค้นครอบงำจิตใจจึงเบี่ยงหัวข้อสนทนา ฉีกยิ้มออกมาพลางเอ่ยถาม “คุณหนู…เจอตัวบ่าว…ได้อย่างไร…เจ้าคะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งระงับไอหนาวเหน็บบนร่างเอาไว้ มือข้างหนึ่งตบหัวไหล่แม่นมซย่าเบาๆ เล่าชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงหลายปีมานี้อย่างรวบรัดรอบหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงนุ่มนวล “แม่นมทำใจให้สบาย รักษาตัวให้ดีๆ ภายหน้าเมิ่งเอ๋อร์ยังต้องการการค้ำจุนจากท่าน”

วาจาเอาใจใส่ของนางเช่นนี้ทำให้น้ำตาอุ่นๆ เอ่อคลอในขอบตาแม่นมซย่า ขาดก็เพียงแต่ลงไปโขกศีรษะให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกับพื้นด้วยตนเอง

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บซ่อนความเคียดแค้นทั้งหมดทั้งมวลไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ นางสีหน้าเรียบเฉย แต่ในดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปยังแม่นมซย่ากลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน มือทั้งสองเลิกผ้าห่มของแม่นมซย่าออก ตรวจดูขาขวาที่ถูกตัดขาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ขากางเกงสีควันข้างนั้นแทบจะว่างเปล่าโหรงเหรง อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่สนการห้ามยั้งของแม่นมซย่า เลิกขากางเกงขึ้นสูงด้วยตนเอง เห็นเพียงกล้ามเนื้อของขาขวาที่ถูกตัดทิ้งนั้นหดลีบลงเพราะไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ยามนี้มองดูเหลือเพียงกระดูกแท่งหนึ่งรวมถึงผิวเนื้อเล็กน้อยเชื่อมติดอยู่กับต้นขา

เมื่อเห็นภาพนี้ สองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันกำหมัดแน่น โทสะในดวงตาลุกโชนราวกับเปลวเพลิงแผดเผา

มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งปล่อยขากางเกงลงอีกครั้ง บดบังขาขวาที่น่าสยดสยองนั้นเอาไว้

อวิ๋นเชียนเมิ่งเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแม่นมซย่าอมยิ้มมุมปาก ดึงมือเล็กของนางไว้พลางลูบปลอบไม่หยุด หว่างคิ้วและดวงตามีแต่ความสุขใจ “บ่าว…มีชีวิตอยู่…มาเจอคุณหนูได้…ถือว่า…สวรรค์…มีตาแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมซย่ากำลังเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาจึงไม่เกาะเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยอีก ปลอบโยนนางเสียงแผ่วเบาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าด้านนอกดึกแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา “แม่นมอย่าได้เป็นห่วงเมิ่งเอ๋อร์ไปเลย แค่ท่านพักรักษาตัวให้ดีก็เป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมิ่งเอ๋อร์แล้ว”

แม่นมซย่าน้ำตาคลอขังอีกครั้ง นางพยักหน้าแรงๆ จากนั้นจึงมองส่งอวิ๋นเชียนเมิ่งจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

 

“อิ้งชิว มานี่ซิ” ทั้งสองเดินมาถึงภายในลานบ้าน เห็นเด็กสาวคนเมื่อครู่กำลังต้มยาอยู่ในห้องครัว อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งให้แม่นมหมี่เรียกนางเข้ามา

อิ้งชิวผู้นั้นได้ยินแม่นมหมี่เรียกจึงวางหม้อยาอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวเท้าเร็วรี่ออกมา ทว่ายามนางเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยังตะลึงลานไป พูดในใจว่าคาดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้จะมีสตรีที่รูปโฉมงามล้ำสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้คนอยากเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว

“อิ้งชิว ยังไม่คารวะคุณหนูอีก” แม่นมหมี่เห็นอิ้งชิวเอาแต่จับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความไม่พอใจจึงวาบผ่านในดวงตา กล่าวเตือนเสียงทุ้ม

อิ้งชิวฟังคำเตือนในวาจาของแม่นมหมี่ออกจึงรีบก้มหน้าทันใด ทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างอ่อนน้อม เอ่ยเสียงแผ่วเบา “บ่าวคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นเองมือเปล่าคู่หนึ่งกลับประคองนางขึ้นมา สุ้มเสียงละมุนละไมดังขึ้นเหนือศีรษะอิ้งชิว “ไม่ต้องมากพิธี เจ้าคอยดูแลแม่นมซย่าเพียงคนเดียว ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ หากขาดเหลืออะไรก็บอกกับแม่นมหมี่ได้เลย ขอแค่เจ้าดูแลแม่นมซย่าอย่างสุดกำลัง แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”

อิ้งชิวรู้สึกเพียงว่าเสียงตรงข้างหูราวสายลมอ่อนๆ โชยพัดผ่าน ในสุ้มเสียงกังวาลเสนาะหูกลับระคนด้วยความสุขุมภูมิฐาน ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อคุณหนูที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรกผู้นี้อย่างอดไม่ได้ จึงตอบกลับเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูวางใจ บ่าวจะต้องดูแลแม่นมเป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางสุขุมรู้ประสา ในใจจึงค่อยๆ เบาใจลงบ้าง หันหน้ากลับไปมองภายในห้องแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเบา “อาการป่วยของแม่นมซย่าเป็นอย่างไรกันแน่ มั่นใจว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่”

อิ้งชิวเห็นนางเป็นห่วงเป็นใยแม่นมซย่าจากใจจริงจึงไม่ปิดบังซ่อนเร้น บอกทุกอย่างที่ตนรู้ออกมา “อาการป่วยของแม่นมเรื้อรังมานานเกินไป โดยพื้นฐานขาขวาก็พิการอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ลิ้นไม่ได้ถูกตัดจนขาด ยังมีโอกาสหายกลับมาเป็นปกติได้เจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นอิ้งชิวพูดหลักการทางการแพทย์อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน จึงรู้ว่าคนที่แม่นมหมี่หามาคราวนี้ไม่เลวเลยจริงๆ จึงเพียงกำชับเรื่องต่างๆ ให้นางอีกเล็กน้อย จากนั้นสวมผ้าคลุมหน้าและพาแม่นมหมี่จากไป

 

“แม่นมไปหาอิ้งชิวมาจากที่ใดกัน” เมื่อก้าวพ้นจากลานบ้าน เห็นว่าในตรอกไร้ซึ่งผู้คน อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ

“เรียนคุณหนู บ่าวหาแม่นมซย่าเจอที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเมืองเยี่ยเฉิงเจ้าค่ะ ตอนนั้นในวัดร้างมีคนแก่คนป่วยอาศัยอยู่ไม่น้อย นางหนูอิ้งชิวนั่นก็คอยดูแลพวกเขาอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ บ่าวถามว่าบ้านนางอยู่ที่ใด นางก็บอกว่าบิดามารดาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ ถูกพระอาจารย์เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เรียนวิชาแพทย์มาเล็กน้อย เห็นว่าคนที่อยู่ในวัดร้างช่างน่าสงสารยิ่ง จึงหาเวลาว่างมารักษาพวกเขาเจ้าค่ะ” แม่นมหมี่เดินตามหลังอวิ๋นเชียนเมิ่ง เล่าที่มาของอิ้งชิวอย่างละเอียด “บ่าวตามนางไปถึงร้านขายยาเล็กๆ และได้สั่งให้คนไปสืบข่าวคราวนาง บิดามารดานางล้วนเสียชีวิตและถูกคนเก็บไปเลี้ยงจริงๆ เจ้าค่ะ จากนั้นจึงปรึกษากับพระอาจารย์ของนางแล้วพานางกลับมาด้วย”

“นางก็เห็นด้วย? ไม่ได้ถามเหตุผลหรือ” นี่เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเคลือบแคลง

เด็กเป็นสาวเป็นแส้ผู้หนึ่งจะยินดีไปกับคนแปลกหน้าได้อย่างไร

“บ่าวถามนางว่ายินดีไปเรียนวิชาแพทย์ที่เมืองหลวงหรือไม่ ยายหนูนั่นก็พยักหน้าเจ้าค่ะ หลายวันมานี้บ่าวเองก็แอบสังเกตดูเหมือนกัน ยายหนูนี่ชอบเรียนแพทย์จากใจจริงๆ จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมหมี่รายงานตามความจริง

อวิ๋นเชียนเมิ่งผงกศีรษะแล้วไม่เอ่ยวาจาใดอีก

เมื่อกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีอวิ๋น อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสั่งว่า “แม่นม นำไข่มุกเม็ดหนึ่งจากในกล่องไม้ประดู่ไปจำนำที่โรงจำนำอวี้จยา ร้านนั้นจะให้ราคาอย่างสมเหตุสมผล”

ได้ยินดังนั้น แม่นมหมี่ก็ตะลึงลานไปอีกครา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหักใจให้ของที่ฮูหยินหลงเหลือเอาไว้ถูกจำนำทิ้งไปได้ จึงรีบเอ่ยทัดทาน “คุณหนู ทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! นั่นเป็นของที่ฮูหยินเหลือไว้ให้ท่านนะเจ้าคะ แม่นมซย่าทุกข์ระกำลำบากมามากมายเพื่อมอบมันให้กับท่าน ท่านจะเอาไปจำนำไม่ได้นะเจ้าคะ!”

พูดจบแม่นมหมี่ก็คิดจะคุกเข่าลง

มือเปล่าข้างหนึ่งพยุงแขนของแม่นมหมี่เอาไว้ ขัดขวางท่าคุกเข่าของนาง แม่นมหมี่แหงนศีรษะมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้า แต่กลับเห็นดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งเรียบเฉยจนน่ากลัว ในแววตาที่ล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้งนั้นปรากฏความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่หนาวเหน็บเย็นเยียบจนถึงขั้นชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึง

ทว่าคำตัดสินใจอย่างไม่ยอมให้ใครคัดค้านของอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ ดังขึ้นที่ข้างหู “แม่นม สิ่งของเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว แต่คนสิยังมีชีวิตอยู่ หากพวกเราอยากอยู่ในจวนอัครเสนาบดีเสมือนปลาได้น้ำ การซื้อใจคนก็คือก้าวแรก ถึงตอนนี้หลิ่วอี๋เหนียงรับใช้ข้าอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ข้าก็ต้องมอบผลประโยชน์ให้นางบ้าง ถึงแม้ท่านยายจะเอ็นดูข้ามากเป็นพิเศษ แต่ข้าก็ต้องปฏิบัติกับคนรอบกายนางเป็นอย่างดีเหมือนกัน ยิ่งเป็นบุคคลที่ไม่โดดเด่นสะดุดตายิ่งมักเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวต่างๆ นอกจากนั้นโรงจำนำอวี้จยาก็เป็นโรงจำนำหลวงของราชสำนัก มีชื่อเสียงของราชวงศ์เป็นหลักประกัน พวกเราไม่ขาดทุนแน่ ภายหลังก็ยังสามารถไถ่ไข่มุกเม็ดนี้กลับคืนมาได้ ซ้ำโรงจำนำแห่งนี้ยังเก็บข้อมูลผู้ที่มาจำนำของไว้เป็นความลับ คนนอกไม่มีทางรู้ฐานะของพวกเราได้ เช่นนี้ทางท่านพ่อและท่านยายก็จะไม่รู้ว่าในมือพวกเราครอบครองสิ่งใดบ้าง ข้าคิดว่าต่อให้ท่านแม่เห็นข้าทำอย่างนี้ก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน”

แม่นมหมี่ฟังการวิเคราะห์ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความไม่ยินยอมในตอนแรกก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเห็นด้วย สุดท้ายถึงกับกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “คุณหนู บ่าวจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าพอนางคิดตกแล้วก็ถึงกับใจร้อนเช่นนี้ ในใจจึงพลันขบขัน ดึงตัวนางเอาไว้ “ยามนี้โรงจำนำอวี้จยาปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด พอได้เงินมาแล้ว ให้นำเงินสองพันตำลึงไปแลกเป็นเศษเงินสิบตำลึง ส่วนที่เหลือแลกเป็นตั๋วเงินมูลค่าร้อยตำลึงและห้าสิบตำลึง”

แม่นมหมี่ตั้งอกตั้งใจฟังวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง จดจำเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด แล้วจึงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

บทที่ 11 ถูกใจฉู่เฟยหยาง

 อวิ๋นรั่วเสวี่ยออกไปจากเมืองหลวงเป็นวันที่สิบแล้ว หลังได้รับข่าวที่องครักษ์หลิวส่งมา อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบนั่งรถม้าของจวนอัครเสนาบดีมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองเพื่อรอรับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลอวิ๋น

กระทั่งยามเที่ยงถึงเห็นรถม้าจวนอัครเสนาบดีอวิ๋นค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่สายตาของทุกคน

องครักษ์หลิวเห็นรถม้าของจวนตนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเมืองจึงยกมือบอกเป็นสัญญาณให้หยุดรถ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นมู่ชุนประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่สวมผ้าคลุมหน้าเดินมาทางรถม้าคันแรก หลังจากเข้าไปในรถม้า อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงปลดผ้าคลุมหน้าบนศีรษะออก ทันใดนั้นก็เห็นหญิงชราซึ่งสวมเสื้อกั๊กผ้าสองชั้นสีเมล็ดข้าวขลิบขอบด้วยขนเตียว กระโปรงยาวลายเมฆสีแดงเข้ม นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงกลาง ส่วนสองด้านข้างกายนางมีบุรุษหนุ่มสองคนกับเด็กสาววัยยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งแบ่งกันนั่งอยู่ เห็นท่าทางก็ดูออกได้ไม่ยากว่าพวกเขาคงจะเป็นหลานๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่

บนพื้นตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ามีเบาะรองวางเอาไว้แล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งคุกเข่าลงบนนั้นทันที โขกศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ ขอท่านย่าจงมีแต่ความสุข”

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างเฉยเมย เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ลุกขึ้นนั่งเถิด”

“นี่คือพี่อี้เหิง พี่อี้เจี๋ย และน้องอี้อี้ของบ้านอารองเจ้า” แม้นจะไม่มีความรักใคร่ผูกพันต่อหลานสาวที่เพิ่งจะเห็นหน้าผู้นี้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงแนะนำอีกสามคนที่เหลือซึ่งอยู่ในรถแก่อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ดี

ญาติผู้พี่สองคนนี้ล้วนเป็นหนุ่มหน้ามน แต่เมื่อเทียบกับหน้าที่ทาแป้งหน้าเตอะของอวิ๋นอี้เจี๋ยแล้ว อวิ๋นอี้เหิงแลดูเยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ส่วนอวิ๋นอี้อี้ซึ่งอยู่อีกด้านยังคงมีหน้าตาท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยู่

ในสมองอดนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนในอดีตที่ช่วงสองสามวันนี้แม่นมหมี่เล่าให้ตนฟังไม่ได้ ปีนั้นอวิ๋นเสวียนจือถูกซูชิงล่อลวงให้ลุ่มหลง ปล่อยให้ซูชิงขับไล่ฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเสวียนโม่น้องชายแท้ๆ และภรรยาที่อาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีกลับเมืองซูเฉิงไป เรื่องนี้คงจะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นลงในใจของพวกเขา ยามนี้ในรถม้าไม่มีอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่ด้วย คงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากเห็นหน้านางเป็นแน่ จึงไล่อวิ๋นรั่วเสวี่ยไปนั่งรถม้าคันอื่น

ยามนี้รถม้าแล่นผ่านประตูเมือง เข้าสู่เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ทันใดนั้นเสียงร้องเร่ขายของตามร้านแผงลอยเล็กๆ มากมายหลากหลายก็ลอยมาเข้าหู ทำให้คนสัมผัสถึงความคึกคักรุ่งเรืองอย่างไม่เป็นสองรองใครของเมืองหลวงได้

ทว่าพอรถม้าเคลื่อนไปได้ราวๆ สามเค่อกลับหยุดลงอย่างช้าๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงรายงานขององครักษ์หลิวก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ พวกเราเจอกับขบวนรถของอัครเสนาบดีฉู่ เขาเชิญให้พวกเราผ่านไปก่อนขอรับ”

ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน แต่กลับรู้จักบุคคลในตระกูลใหญ่ต่างๆ ละเอียดชัดเจนยิ่ง หลังจากได้ยินเสียงรายงานขององครักษ์หลิว ในสมองก็ไล่เรียงฐานะ ตำแหน่ง ชาติตระกูลของคนคนนั้นออกมาได้ทันที จึงกำชับองครักษ์หลิวว่า “ขอบคุณอัครเสนาบดีฉู่แทนข้าด้วย”

วาจาของฮูหยินผู้เฒ่านำมาซึ่งรอยยิ้มเย็นแนบเนียนของอวิ๋นเชียนเมิ่ง บัดนี้ท่านย่าของตนอดใจรอที่จะหยัดยืนอย่างมั่นคงบนสังคมชั้นสูงของเมืองหลวงไม่ไหวแล้ว

ฉู่เฟยหยางเป็นผู้ใด วันนี้เขาหลีกทางให้ก็แค่เพราะให้ความเคารพคนชราเท่านั้น หากถกถึงลำดับชั้นขุนนางขึ้นมาจริงๆ ตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของอวิ๋นเสวียนจือยังต่ำกว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายของฉู่เฟยหยางเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำไป

ทว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่ามิได้คิดเยี่ยงนี้ แม้อวิ๋นเสวียนจือจะไม่เอาไหน แต่อย่างไรนางก็เกี่ยวดองเป็นญาติกับจวนฝู่กั๋วกง ซ้ำเครือญาตินั้นได้ให้กำเนิดไทเฮาเชียวนะ

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับปรากฏความหยิ่งยโส แต่ฉู่เฟยหยางผู้นี้ลึกลับซับซ้อนเกินไป จึงทำให้นางรู้สึกสนใจใคร่รู้อยู่บ้างว่าเขาเป็นบุรุษแบบไหนกันแน่ ยังหนุ่มยังแน่นก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้อย่างสูง ดำรงตำแหน่งสูงสุดเหนือเหล่าขุนนางทั้งหลาย

ความสงสัยในใจยิ่งมากขึ้นทุกขณะ ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านออกเบาๆ สายตามองออกไปด้านนอก

ห่างจากรถม้าออกไปไม่ไกล บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งร่างสวมชุดคลุมกันลมสีน้ำเงินกรมท่าขี่อยู่บนอาชาสีดำ บุรุษผู้นั้นคิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่ ดวงตาหงส์ จมูกตรง ริมฝีปากบาง แต่ว่ายามนี้หางตาที่ทอดมองมาทางรถม้ายกขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากทั้งสองเม้มเบาๆ คล้ายกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นัยน์ตาสีดำใต้คิ้วเข้มนั้นราวกับหมึกเข้มข้นไม่เลือนจาง ท่าทางแฝงด้วยเสน่ห์เหลือร้ายท่ามกลางความสุภาพเรียบร้อยเจือด้วยความลึกลับท่ามกลางความหล่อเหลา ทำให้บรรดาหญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนพากันหน้าแดงก่ำเป็นทิวแถว บางคนที่ใจกล้าถึงกับจดจ้องท่วงท่าองอาจเหนือสามัญของเขาตรงๆ ไม่อาจเก็บสายตากลับคืนไปได้ชั่วขณะ

แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรคิดว่าหลานชายของตนเองยอดเยี่ยมที่สุดก็อดพยักหน้าด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้มไม่ได้ คล้ายกับพึงพอใจต่อรูปลักษณ์ของฉู่เฟยหยางยิ่งนัก

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสังเกตเห็นว่าท่าทางห้าวหาญบนอาชาของฉู่เฟยหยางเจือด้วยกลิ่นอายแห่งราชันที่สามารถสยบใต้หล้า ทันใดนั้นพลันนึกถึงความลึกล้ำยากหยั่งถึงของเขาขึ้นมาได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งเลิกหัวคิ้วเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ คิดในใจว่าต่อไปอยู่ให้ห่างคนผู้นี้หน่อยจะดีกว่า

ทว่านัยน์ตาสีดำดุจน้ำหมึกคู่นั้นราวกับล่วงรู้ความคิดของนาง บนดวงหน้าหล่อเหลางามสง่ายกยิ้มจางๆ ทุกคนที่มองอยู่ต่างพากันตะลึงงัน พาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเบนดวงตาทั้งสองข้างหนี

“คิดไม่ถึงว่าอัครเสนาบดีฉู่จะมีบุคลิกโดดเด่นถึงเพียงนี้ ช่างชวนให้คนตื่นตะลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าที่บ้านอัครเสนาบดีฉู่มีภรรยาหรืออนุแล้วหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าถือว่าตนสถานะสูงศักดิ์ ดูเพียงแวบเดียวก็ปล่อยผ้าม่านลง จากนั้นเอ่ยถามอวิ๋นเชียนเมิ่งทันทีราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ในดวงตาแฝงด้วยแผนการที่ไม่อาจมองข้าม

อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บสายตากลับมาในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองมาทางนาง ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็ผลิยิ้มน้อยๆ รีบตอบกลับว่า “ปกติเมิ่งเอ๋อร์ออกจากจวนน้อยครั้งและไม่สะดวกจะสอบถามเรื่องชีวิตสมรสของบุรุษอื่น หากท่านย่าสนใจมิสู้ถามท่านพ่อจะดีกว่าหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นในใจก็ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อไตร่ตรองวาจาของอีกฝ่ายก็คิดว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าอย่าเฉยชา แต่ในใจกลับคิดจับคู่ให้ฉู่เฟยหยางกับอวิ๋นอี้อี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองเหมาะสมคู่ควรกันยิ่ง

เมื่อครู่อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าสลับไปมาระหว่างอวิ๋นอี้อี้กับฉู่เฟยหยางก็เดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าออก

บัดนี้ราชสำนักส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เป็นหลัก อีกฝ่ายมีเฉินอ๋องเป็นหลัก แต่ฉู่เฟยหยางกลับเป็นกลุ่มพิเศษ เขามิได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้และไม่ได้สนิทสนมกับเฉินอ๋อง เขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งยังมีความสามารถล้ำเลิศ แต่ก็รู้จักรักษาความเป็นกลาง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ และมิได้ทำให้เฉินอ๋องสร้างความวุ่นวายให้กับเขา

เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงจะถูกใจตรงจุดนี้กระมัง

อย่างไรก็ตาม ในหมู่ชนชั้นสูงมีบุรุษซึ่งมีฐานันดรสูงศักดิ์มากมาย แต่ฉู่เฟยหยางกับเฉินอ๋องกลับเป็นยอดบุรุษเหนือผู้อื่น นอกจากนั้นยามนี้จวนอัครเสนาบดีได้ผูกติดเอาไว้กับฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ ในเมื่อเฉินอ๋องปฏิเสธแม้กระทั่งบุตรสาวคนโตของจวนอัครเสนาบดีก็คงไม่มีทางต้องใจอวิ๋นอี้อี้เป็นแน่

ทว่าฐานะของฉู่เฟยหยางเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าในภายภาคหน้าการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กับเฉินอ๋องใครแพ้ใครชนะ แต่ถ้าจวนอัครเสนาบดีพึ่งพาอาศัยฉู่เฟยหยางก็จะเป็นการเพิ่มหลักประกันขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

ภายในรถม้าเงียบสนิทลงชั่วขณะ ฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งต่างคนต่างคิดเรื่องของตนเอง กระทั่งเสียงขององครักษ์หลิวดังขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ถึงจวนอัครเสนาบดีแล้วขอรับ”

ทั้งสองคนที่อยู่ในรถสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าพลันปรากฏความเคร่งขรึม แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับแย้มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างเคารพนบนอบ “หลานปรนนิบัติท่านย่าลงจากรถนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงมีท่าทีอ่อนโยนมีมารยาท ความไม่พอใจที่มีต่อนางเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงจับมืออวิ๋นเชียนเมิ่งให้ช่วยประคองลงจากรถม้า

ในตอนนั้นเองอวิ๋นเสวียนจือก็พาบ่าวรับใช้ของจวนอัครเสนาบดีมารออยู่หน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าลงจากรถม้าจึงรีบก้าวเข้าไปโค้งกายคำนับทันที กล่าวเสียงรวดร้าว “ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ ท่านแม่สบายดีหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบตาขึ้นมอง เห็นว่าบัดนี้บุตรที่ตนเองเลี้ยงดูฟูมฟักจนได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง สีหน้าท่าทางจึงปรากฏความภาคภูมิใจอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมทั้งเห็นว่าวันนี้บุตรชายออกมาต้อนรับตนด้วยตนเองจึงรู้สึกได้หน้าได้ตา วางมือลงบนแขนอวิ๋นเสวียนจืออย่างเป็นเกียรติ ตบที่หลังมือเขาเบาๆ ทันที พร้อมกล่าวอย่างปลาบปลื้ม “สบายดี! ทุกอย่างดียิ่ง!”

ยามนี้เองบ่าวรับใช้ด้านหลังอวิ๋นเสวียนจือก็คุกเข่าลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอฮูหยินผู้เฒ่าสุขสบาย! ขอฮูหยินผู้เฒ่าจงมีแต่ความสุข!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ดียิ่งขึ้น พยักหน้าติดๆ กัน ก้าวเข้าจวนอัครเสนาบดีโดยมีอวิ๋นเสวียนจือและอวิ๋นเชียนเมิ่งคอยประคอง

อวิ๋นเสวียนจือสั่งให้พ่อบ้านจ้าวจัดการทำความสะอาดหอไป่ซุ่นซึ่งอยู่ทางใต้สุดแต่เช้าตรู่ เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าก้าวเข้ามาในห้องหลักของหอไป่ซุ่น ในกระถางธูปไม้จันทน์หอมกำลังมีควันธูปลอยหมุนวนเป็นเกลียว ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน บนชั้นวางและบนโต๊ะเรียงรายไปด้วยของโบราณและของประดับล้ำค่าเลื่องชื่อ ภาพวาดชื่อดังซึ่งมีมูลค่ามหาศาลแขวนอยู่บนผนัง แต่ละชิ้นแต่ละภาพล้วนเป็นผลงานของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้นชัดเจนขึ้น

หลังจากทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชี้ไปยังพวกอวิ๋นอี้เหิงสองพี่น้องซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือพลางกล่าว “ลูกเอ๋ย นี่คือบุตรทั้งสองของพี่น้องเจ้า อี้เหิง อี้เจี๋ย ครั้งนี้ที่พาพวกเขามาด้วย ประการแรกเพื่อคิดเรื่องอนาคตให้เด็กสองคนนี้ ประการที่สองก็เพราะอยากช่วยเหลือเจ้าอีกแรง น้องชายของเจ้าร่างกายไม่สู้ดีขึ้นทุกปี เจ้าเป็นพี่ใหญ่เพียงคนเดียวของเขา จะเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ยอมช่วยไม่ได้นะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็พูดจาไม่อ้อมค้อม พอเอ่ยปากก็อุดทางถอยทุกทางของอวิ๋นเสวียนจือไว้สนิท ทำให้เขาอับจนคำพูด

จริงที่เรื่องปีนั้นเขาเป็นฝ่ายผิด แต่พอนึกถึงข่าวคราวที่องครักษ์หลิวส่งมาเมื่อเช้านี้ ในใจอวิ๋นเสวียนจือก็ไม่สบอารมณ์เหลือแสน ทำได้เพียงมองดูพวกอวิ๋นอี้เหิงสองพี่น้องคำนับเขา บนใบหน้าผลิยิ้มแห้งๆ ทว่าในด้านจรรยามารยาทก็ยังถือว่าพอใช้ได้ เขาถามเกี่ยวกับการเรียนที่ผ่านมาของสองพี่น้องอย่างรวบรัด จากนั้นเรียกให้พ่อบ้านจ้าวนำทางพวกเขาไปยังเรือนชิงฮุยที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว แล้วจึงยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยปาก “ระยะนี้ท่านแม่พักผ่อนให้ดีๆ ไปก่อนนะขอรับ อีกสองสามวันลูกค่อยพาพวกอี๋เหนียงมาคารวะท่าน”

หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินวาจานี้ก็ตีสีหน้ามึนตึง แววตาปรากฏความชิงชังอย่างมิอาจหักห้าม กล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “พวกอี๋เหนียงของเจ้าช่างวางท่าใหญ่โตเสียจริงนะ แม่ยังต้องรออีกสองสามวันกว่าจะได้พบ มีอี๋เหนียงมีบุตรสาวประสาอะไรกัน เจ้าไปถามซูอี๋เหนียงของเจ้าสิ บุตรสาวที่นางสั่งสอนทำให้จวนอัครเสนาบดีขายขี้หน้าหมดแล้ว”

อวิ๋นเสวียนจือฟังความไม่พอใจในวาจาของฮูหยินผู้เฒ่าออกจึงยิ้มสู้ทันที ก่อนจะกล่าว “ท่านแม่โปรดระงับโทสะ เป็นลูกเองที่คิดไม่รอบคอบ ตอนอาหารค่ำจะให้พวกนางมาคอยยืนปรนนิบัติในห้องนะขอรับ ท่านแม่พักผ่อนสักครู่ก่อน ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

พูดจบอวิ๋นเสวียนจือก็กวาดสายตามองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่ง ทั้งสองลุกขึ้นออกไปจากหอไป่ซุ่นพร้อมกัน

พอก้าวออกมาจากลานบ้านของหอไป่ซุ่น รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นเสวียนจือก็หายวับในชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างถูกครอบด้วยเพลิงโทสะ เรียกองครักษ์หลิวด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ระหว่างทางเกิดเรื่องอันใดกันแน่”

องครักษ์หลิวเห็นอวิ๋นเสวียนจือมีท่าทางเช่นนี้ ในใจก็พลันสะดุ้งเฮือก รีบตอบกลับเสียงเบาทันใด “บ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ มิได้ปกป้องคุณหนูรองให้ดี ไม่รู้เหมือนกันขอรับว่าทำไมพอพวกเราออกจากเมือง คุณชายหยวนของจวนหานกั๋วกงผู้นั้นถึงได้เอาแต่ตามติดอยู่ด้านหลัง โชคดีที่พวกเราพักเหนื่อยที่บ้านพักตากอากาศของฮูหยิน จึงไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนขากลับคุณหนูรองกลับถูกคนลักพาตัวไป บ่าวกับคุณชายทั้งสองรีบไล่ตามไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณชายหยวนที่ช่วยคุณหนูรองกลับมา ซ้ำใต้หน้าผาที่ช่วยคุณหนูรองกลับมาได้นั้นก็พบศพของจ้าวหมิงจากจวนสกุลซูด้วยขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองของอวิ๋นเสวียนจือก็หรี่ลงน้อยๆ หันกายเดินไปยังเรือนเฟิงเหอทันที

บทที่ 12 ลงโทษอวิ๋นรั่วเสวี่ย

ยามอวิ๋นเสวียนจือรีบรุดมาถึงเรือนเฟิงเหอด้วยท่าทางเดือดดาล กลับเห็นซูชิงมือหนึ่งยืนเท้าเอว มือหนึ่งถือไม้ตีฝ่ามือของอวิ๋นรั่วเสวี่ย ปากก็ตำหนิต่อว่า “ทั้งๆ ที่สั่งให้เจ้าเชื่อฟังแม่นมหวังให้ดีๆ แต่เจ้ากลับทำหูทวนลม ถ้าวันนี้ข้าไม่ทำให้เจ้าหลาบจำซะบ้าง คราวหน้าจะยังกล้าให้เจ้าออกจากจวนอีกได้อย่างไร”

อวิ๋นเสวียนจือเห็นซูชิงทำเช่นนี้ หัวคิ้วพลันขมวดย่นทันใด นางทำแบบนี้ก็เพียงเพื่ออยากให้เขาหายโมโห แต่น้ำเสียงเช่นนี้อวิ๋นเสวียนจือจะหายเดือดได้อย่างไร อาศัยแค่คำรายงานขององครักษ์หลิวเมื่อครู่ก็พอที่จะทำให้อวิ๋นเสวียนจือโทสะพุ่งสามจั้งได้แล้ว

จ้าวหมิงผู้นั้นเป็นญาติห่างๆ ของผู้ดูแลคนหนึ่งในจวนของพี่ชายที่บ้านเดิมซูชิง สอบได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ในการสอบฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน สิ้นชีวิตอยู่ตรงหน้าผาที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกช่วยเอาไว้ได้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจ้าวหมิงกินใจหมีดีเสือหาญกล้าลักพาตัวคุณหนูจวนอัครเสนาบดีอย่างนั้นหรือ เกรงว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับจวนสกุลซูไม่ระวังตนเองกระมัง

ส่วนหยวนชิ่งโจวผู้นั้นเป็นผีบ้ากามที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซ้ำยังดันมาเกี่ยวข้องกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยอีก

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ อวิ๋นเสวียนจือก็เดินเข้าไปทันที แล้วง้างแขนขึ้นตบซูชิงหนึ่งฉาด ทำเอานางซวนเซจนเกือบจะล้มคะมำลงไปกับพื้น

แม่นมหวังตกใจเสียจนหน้าซีดเผือด รีบเร่งเข้าไปประคองร่างของซูชิงที่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ ร่ำไห้พลางกล่าว “ท่านอัครเสนาบดี ท่านจะตีจะด่าก็ทำบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้อี๋เหนียงยังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ เมื่อครู่ก็บันดาลโทสะไปแล้ว ไหนเลยจะทนรับฝ่ามือของท่านได้”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสวียนจือจะลงมือตบซูชิง ยามนี้เห็นใบหน้าอวิ๋นเสวียนจือเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล ในดวงตามีแต่แววเหี้ยมเกรียมดุดัน ทำให้นางเสียขวัญจนตัวอ่อนยวบ ถอยกรูดไปด้านหลังด้วยความขลาดกลัว…กลัวว่าอวิ๋นเสวียนจือจะพาลเอาโทสะมาลงกับตน

ครั้นอวิ๋นเสวียนจือถูกแม่นมหวังเอ่ยเตือนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าซูชิงกำลังมีครรภ์ จึงอดไม่ได้ที่จะช้อนตามอง เห็นเพียงซูชิงพิงอยู่ในอกของแม่นมหวังทั้งตัว สองมือกำลังกุมใบหน้าซีกซ้ายที่ถูกตบ หยดน้ำตาคลอหน่วยในดวงตา ใบหน้าขาวซีด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก

อวิ๋นเสวียนจือก็รู้ว่าตนเองลงมือรุนแรงเกินไป แต่ซูชิงอบรมสอนสั่งคุณหนูจวนอัครเสนาบดีจนกลายเป็นอย่างนี้ นี่ทำให้เขาหน้าบูดบึ้งไปชั่วขณะ ทว่าโทสะในใจนั้นกลับลดลงไปมากโขแล้ว เขาไอแห้งๆ หนึ่งคำรบ สายตาหันเหไปยังอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เอาแต่กุมศีรษะไม่พูดไม่จา เอ่ยเสียงเย็นว่า “โชคดีที่จ้าวหมิงผู้นั้นตายไปแล้ว มิเช่นนั้นพวกเจ้าว่าข้าควรจะจับรั่วเสวี่ยแต่งออกไปหรือไม่”

พอได้ยินเช่นนั้น ร่างของหลายคนที่อยู่ในห้องพลันสะดุ้งเฮือก แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมๆ กัน

แน่นอนว่าอวิ๋นเสวียนจือย่อมล่วงรู้ความคิดของพวกนางในตอนนี้ พวกนางคิดว่าเขาไม่ซักไซ้ไล่เลียงก็จบเรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกนางลืมหยวนชิ่งโจวไปแล้ว

อวิ๋นเสวียนจือถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อว่า “รั่วเสวี่ยไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนเสีย คุกเข่าครบสามเดือนเต็มถึงให้ออกมาได้!”

กล่าวจบอวิ๋นเสวียนจือก็มองซูชิงอีกครั้ง ครั้นเห็นท่าทางกัดริมฝีปากล่างกลั้นน้ำตาของนาง เพลิงโทสะในใจก็หายวับไปจนหมด แต่ก็รู้ว่าหากครั้งนี้ไม่ลงโทษเสียบ้าง หลังบ้านของจวนอัครเสนาบดีก็จะต้องโกลาหลวุ่นวาย จึงหักใจหันหน้าหนี ก้าวยาวๆ เดินออกจากเรือนเฟิงเหอ

พอม่านประตูเบื้องหน้าถูกปล่อยลง น้ำตาในดวงตาซูชิงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย นางลุกขึ้นยืนตัวตรงออกจากอกแม่นมหวัง จากนั้นประคองอวิ๋นรั่วเสวี่ยให้ลุกขึ้น จับสองมือของนางขึ้นมาด้วยความรักใคร่สงสาร รับยาหยกขาวบรรเทาปวดที่แม่นมหวังยื่นมาให้ บรรจงป้ายลงบนฝ่ามือของบุตรสาว

“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปศาลบรรพชน” อวิ๋นรั่วเสวี่ยรู้อยู่แล้วว่าเมื่อครู่ซูชิงแกล้งแสดงละครโศก ถึงแม้ในใจท่านพ่อยังมีโทสะอยู่ แต่ก็ให้อภัยพวกนางเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มหยิ่งผยองขึ้นมาอีกครั้ง งอแงโวยวายไม่ยอมไปศาลบรรพชน

ซูชิงรู้ดีแก่ใจว่าครั้งนี้อวิ๋นเสวียนจือให้อภัยตนเองแล้ว แต่พอเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอะอะโวยวาย ใบหน้าก็พลันบึ้งตึงในทันใด กล่าวเสียงกระด้าง “ไม่อยากไปก็ต้องไป! ถ้าเจ้าอยากแต่งให้หยวนชิ่งโจวเจ้าก็อาละวาดให้เต็มที่ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงระบายโทสะลงกับตน ในใจจึงพลันท่วมท้นไปด้วยความชิงชัง จ้องมองท้องของซูชิงด้วยแววตามาดร้ายอยู่เนิ่นนาน จากนั้นยิ้มเย็นพร้อมกับชักมือออกจากมือของซูชิง เอ่ยกระทบเสียดสี “อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเนื้อในท้องก้อนนั้น ข้าไม่ให้พวกท่านลำพองใจได้หรอก!”

พูดจบอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เดินออกไปทันที สะบัดม่านปิดประตูเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“แม่นมหวัง เจ้าตามไปดูนางและพานางไปส่งที่ศาลบรรพชนด้วยตนเอง!” ซูชิงรู้สึกเพียงศีรษะตนเองปวดหนึบ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองในคันฉ่องสำริดยังหน้าบวมเป่งไปครึ่งซีก จึงยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ แต่หากยามนี้ไม่ยอมแพ้ไปก่อนชั่วคราว ฝ่ายที่จะต้องตกที่นั่งลำบากในอนาคตข้างหน้าก็คือพวกนางแม่ลูก

 

เวลาอาหารเย็น อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นคนแรกที่มาถึงหอไป่ซุ่น นางโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นรับกล่องผ้าในมือแม่นมหมี่มา ประคองไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเองพร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านย่า นี่คือโสมหิมะร้อยปีที่หลานได้เตรียมไว้ให้ท่าน หวังว่าหลังจากท่านย่าทานแล้วจะอายุมั่นขวัญยืนนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าหลานสาวคนนี้รู้ประสีประสายิ่ง ความไม่สบอารมณ์ที่มีต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดึงนางขึ้นมาด้วยตนเอง ทว่ายังไม่ทันได้พูดจาอะไรก็เห็นพวกอี๋เหนียงพากันมาห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่า แม้แต่ซูชิงที่แต่ก่อนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาก็มาถึงหอไป่ซุ่นอย่างระมัดระวังโดยมีแม่นมหวังคอยประคอง

ทว่าว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วซูชิงถือว่ามาค่อนข้างสาย มาก่อนอวิ๋นเสวียนจือซึ่งเป็นนายของบ้านแค่ครึ่งถ้วยชาเท่านั้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนฉลาด ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดออกมาเลยแม้แต่ครึ่งคำ เพียงแค่ดื่มชาพลางพูดคุยกับอวิ๋นเชียนเมิ่งและพวกอวิ๋นอี้เหิงพี่น้อง จนกระทั่งอวิ๋นเสวียนจือก้าวเข้ามาในห้องอุ่น นางถึงวางถ้วยชาลง หุบยิ้มบนใบหน้า เอ่ยปากอย่างเรียบเฉย “ซูอี๋เหนียงช่างเข้าใจกฎระเบียบมากขึ้นทุกที ในจวนแห่งนี้ไม่มีนายหญิง แต่เจ้ากลับทำหน้าที่โดยไม่ลังเลเลย”

ซูชิงเห็นว่าการที่ตนเองมาช้าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจ ทว่าตอนนี้ตนเองกำลังตั้งครรภ์ เรี่ยวแรงย่อมเทียบกับนางปีศาจจิ้งจอกคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่แล้วจึงยิ้มเข้าสู้ “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าล้อบ่าวเล่นสิเจ้าคะ อย่างไรเสียบ่าวก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่านอยู่ ย่อมต้องระมัดระวังอย่างสุดแสน ยามเดินเหินก็ไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ถึงได้มาช้ากว่าอี๋เหนียงคนอื่นๆ เล็กน้อย ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือโทษเลยเจ้าค่ะ”

“ท่านแม่เพิ่งกลับจวนมาวันแรก เรามาคุยเรื่องดีๆ กันเถิดขอรับ เมื่อสักครู่ลูกได้หาอาจารย์สอนหนังสือไว้ให้หลานทั้งสองแล้ว พรุ่งนี้ก็จะมาที่จวน เช่นนี้น้องรองก็วางใจได้แล้ว” อวิ๋นเสวียนจือเดินเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่า นำนางมายังหน้าโต๊ะอาหาร ยิ้มพลางเอ่ยปาก

จริงดังคาด ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเขาเป็นห่วงเป็นใยลูกๆ ของอวิ๋นเสวียนโม่เช่นนี้ ความเย็นชาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ก็พลันวูบดับลง นางพยักหน้าแล้วนั่งลงกับที่ ยอมปล่อยซูชิงไปก่อนชั่วคราว

อวิ๋นเสวียนจือย่อมรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยพึงพอใจในตัวซูชิง แต่วันนี้ซูชิงยอมโยนอคติในวันวานทิ้งเพื่อมาคารวะ ทำให้อวิ๋นเสวียนจือหน้าชื่นตาบานยิ่งนัก ดังนั้นพอยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคอยจับผิด จึงเห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเสวียนจือไม่อาจเข้าข้างซูชิงได้ แต่กลับใช้การกระทำแสดงออกถึงความคิดในใจของตนอย่างลับๆ

ผู้อ่อนอาวุโสหลายคนนั่งลงตามลำดับ ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในใจจึงไม่พอใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางถือตะเกียบงาช้างไว้ในมือไม่ขยับเขยื้อน สายตาคมปลาบกวาดมองซูชิงแวบหนึ่ง กล่าวเสียงต่ำลึก “ซูอี๋เหนียง รั่วเสวี่ยล่ะ คุณหนูในภรรยาเอกอย่างเชียนเมิ่งยังมาคารวะข้าตั้งแต่หัววัน นางเป็นแค่ลูกอนุกลับวางตัวใหญ่โตถึงเพียงนี้! หรือว่าต้องให้ยายเฒ่าอย่างข้าไปเชิญนาง”

พอสิ้นเสียง ภายในห้องก็พลันเงียบกริบ ซูชิงถูกฉีกหน้าต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าจึงเขียวสลับซีด สองมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวกำหมัดแน่น ฝืนปั้นหน้ายิ้มขอโทษ “ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดระงับโทสะ คุณหนูรองทำผิด นายท่านกำลังให้นางคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่ศาลบรรพชนเจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้น ตะเกียบในมือของฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกตบลงกับโต๊ะทันใด โต๊ะไม้แดงเกิดเสียงดังก้องขึ้นมา พาให้พวกข้ารับใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่อีกด้านตกใจจนอกสั่นขวัญหาย ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเสียงเฉียบใบหน้าบูดบึ้ง “คุกเข่าสำนึกผิด? ความผิดที่นางก่อแค่คุกเข่าสำนึกผิดก็หายอย่างนั้นหรือ หากเจ้าสั่งสอนนางไม่ดี ต่อไปก็ให้นางคอยตามอยู่ข้างกายข้า เป็นคุณหนูชนชั้นสูงที่เติบโตอยู่ในเมืองหลวง แต่กลับหัดจริตมารยาอย่างนางปีศาจจิ้งจอก อี้อี้ของบ้านลูกคนรองข้าแม้จะยังไม่ถึงวัยออกเรือน แต่ก็เรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่กว่าเยอะ”

ซูชิงได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่พูดถึงอวิ๋นเสวียนโม่ ในใจจึงอัดแน่นด้วยความเดือดแค้น ซ้ำยังได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอาคุณหนูตัวจริงเสียงจริงอย่างอวิ๋นรั่วเสวี่ยไปเทียบกับนางเด็กบ้านนอกอย่างอวิ๋นอี้อี้ก็ยิ่งเดือดดาลจนพูดไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เจื่อนไปหลายส่วน สองมือในแขนเสื้อประเดี๋ยวคลายออกประเดี๋ยวกำแน่นอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งถึงสะกดโทสะในใจลงได้ ก้มหน้าฟังคำต่อว่าของฮูหยินผู้เฒ่า

นอกจากอวิ๋นเสวียนจือแล้ว คนที่อยู่ในห้องต่างพากันมองซูชิงถูกฮูหยินผู้เฒ่าเหน็บแนมอย่างหน้าตาเฉย ต่างคนต่างแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องมองเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนตาไม่กะพริบ สีหน้าเรียบเฉยผิดปกติ ทำให้คาดเดาสิ่งที่นางคิดในตอนนี้ไม่ออก

อวิ๋นเสวียนจือคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวนมาวันแรกก็ทำเช่นนี้เสียแล้ว แทบไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าตนเองฉาดใหญ่ แต่หากตอนนี้ตนพูดช่วยเหลือซูชิงอีกล่ะก็ เกรงว่าจะนำมาซึ่งการเอาคืนที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าเดิมในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงพุ่งสายตาไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ตรงข้ามตนเอง ส่งสายตาให้นางปราดหนึ่ง

อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มบางๆ พลางกล่าว “ท่านย่าเจ้าคะ วันนี้ท่านย่าเดินทางมาเหนื่อยๆ พี่ชายทั้งสองและน้องอี้อี้เองก็เดินทางติดต่อกันมาหลายวันคงจะเหนื่อยแย่ มิสู้พวกเรารีบกินข้าวเร็วขึ้นหน่อย จะได้ปล่อยให้พวกเขากลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้พี่ชายทั้งสองจะได้มีกะจิตกะใจไปพบอาจารย์ ดีหรือไม่เจ้าคะท่านย่า”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินวาจาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ย เดิมยังคิดจะฉีกหน้าซูชิงอีกหลายคำ แต่เมื่อเห็นใบหน้าหลานรักมีแววเหนื่อยล้าจริงดังที่อวิ๋นเชียนเมิ่งว่า นางจึงพยักหน้ารับก่อนจะกล่าว “กินข้าวเสร็จก็กลับไปพักผ่อนเถิด เมิ่งเอ๋อร์นี่ช่างเอาใจใส่จริงๆ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเสียงหวาน “นี่เป็นสิ่งที่หลานควรกระทำเจ้าค่ะ หลานตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอีกสองสามวันจะพาน้องอี้อี้ไปเลือกเครื่องประดับที่ถูกใจที่หอฟู่กุ้ย หวังว่าน้องอี้อี้จะชื่นชอบ”

จริงดังคาด ยามฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินชื่อหอฟู่กุ้ย ในดวงตาก็ฉายแววยินดีปรีดาผ่านวาบ พึงพอใจในตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งมากยิ่งขึ้นทันใด

บทที่ 13 ผู้สูงศักดิ์พานพบในหอฟู่กุ้ย

 ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นอี้อี้ได้มาเยือนเมืองหลวง เมื่อเทียบกับเมืองซูเฉิงที่เงียบสงบสุขสบาย ความเจริญรุ่งเรืองและความคึกคักของเมืองหลวงกลับเป็นภาพที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะยามนี้อวิ๋นอี้อี้ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบสามปีเท่านั้น ตั้งแต่ได้เปิดหูเปิดตาเห็นความครึกครื้นบนถนนหนทางในเมืองหลวงบนรถม้า นางก็คิดอยากจะออกจากจวนไปเที่ยวเล่นสักครั้งอยู่เสมอ

ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ็นดูหลานสาวที่เติบใหญ่อยู่ข้างกายนางตั้งแต่เล็กคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พออวิ๋นเชียนเมิ่งบอกว่าตอนเช้าตรู่จะพาอวิ๋นอี้อี้ไปหอฟู่กุ้ยซึ่งเลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง ซื้อเครื่องประดับให้อวิ๋นอี้อี้สักสองสามชิ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มพลางพยักหน้า สั่งให้พวกสาวใช้ตามรับใช้ปรนนิบัติอยู่ด้านหลังเป็นอย่างดี จากนั้นก็ปล่อยให้สองพี่น้องออกไปด้วยความปลอดโปร่งใจ

ตั้งแต่อวิ๋นอี้อี้ออกมาจากจวนอัครเสนาบดี ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ยังไม่ได้หยุดพักสักนิด นางเลิกผ้าม่านรถม้าออกเพื่อมองดูด้านนอกเป็นระยะๆ ปากเล็กๆ ก็ยังไม่ยอมหยุดพักเช่นกัน นางดึงตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆ พลางพูดคุยเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง “ท่านพี่ ท่านดูสิ น้ำตาลปั้นอันนั้นสวยจัง นั่นรูปร่างอะไรหรือเจ้าคะ ซับซ้อนแต่กลับสะดุดตาเหลือเกิน”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเด็กสาวส่งเสียงจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกจึงเบนสายตามองไปนอกรถอย่างสนใจใคร่รู้ด้วยเช่นกัน เห็นเพียงด้านซ้ายของถนนมีร้านแผงลอยเล็กๆ ปักน้ำตาลปั้นที่เพิ่งจะทำเสร็จเรียบร้อยไว้บนแผ่นไม้ของเก้าอี้ล้อเข็น ภายใต้แสงอาทิตย์สว่างโชติช่วง น้ำตาลปั้นอันนั้นทอประกายแสงสีส้ม อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูลวดลายนั้นอย่างละเอียด พบว่านั่นคือลายมังกรหงส์ จึงอดทึ่งกับฝีมือของร้านแผงลอยเล็กๆ นั้นไม่ได้

“น้องอี้อี้ นั่งให้ดีๆ ระวังอย่าให้ตกลงไปล่ะ” นางถอนสายตากลับมา ครั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นอวิ๋นอี้อี้เปิดม่านรถม้าออกแล้วยื่นศีรษะเล็กๆ ออกไปจนสุดก็อดตระหนกจนฝ่ามือชื้นเหงื่อเพราะการกระทำของนางไม่ได้ รีบสั่งให้มู่ชุนดึงตัวนางเข้ามาในรถม้าแล้วปล่อยผ้าม่านลง

“ท่านพี่ เมืองหลวงนี่ดีเหลือเกิน มีเรื่องน่าสนุกมากมายถึงเพียงนี้ อี้อี้อิจฉาพวกท่านพี่ที่สุดเลย” อวิ๋นอี้อี้เห็นม่านรถม้าถูกปล่อยลงอีกครั้ง แสงสว่างภายในรถม้าที่ไม่ถือว่าเรืองรองมากนักบดบังความปรารถนาที่มีต่อชีวิตในเมืองหลวงในดวงตานางเอาไว้ ทว่าน้ำเสียงกลับอิจฉาพี่สาวทั้งสามเหลือคณา

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง คิ้วงามก็เลิกขึ้นน้อยๆ ในใจเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของอวิ๋นอี้อี้บ้างแล้วจึงพูดยิ้มๆ “ท่านย่าพาเจ้ามาด้วยก็เพราะอยากเลี้ยงดูเจ้าไว้ข้างกาย กระทั่งวันข้างหน้าเมื่อเจ้าถึงวัยออกเรือนก็จะได้เลือกเขยขวัญผู้เพียบพร้อมจากหมู่คุณชายชนชั้นสูงในเมืองหลวงให้เจ้า”

อวิ๋นอี้อี้หาได้สังเกตสีหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางซึ่งยามนี้ก้มหน้าก้มตาอยู่กำลังใคร่ครวญวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่ ในใจรู้สึกหวานล้ำเหลือประมาณ

ก่อนออกจากบ้าน ท่านพ่อกับท่านแม่เรียกนางไปที่ห้อง สั่งนางว่าจะต้องผูกมิตรกับพี่สาวคนโตให้ดีๆ เพราะมันเกี่ยวพันโดยตรงกับความสูงต่ำของธรณีประตูบ้านสามีในอนาคต และยิ่งไปกว่านั้นบ้านสามีของตนก็จะมีอิทธิพลโดยตรงต่อพี่ชายทั้งสอง ด้วยเหตุนี้ในจวนอัครเสนาบดี นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คนแรกที่อวิ๋นอี้อี้จะประจบประแจงก็คืออวิ๋นเชียนเมิ่ง ต่อหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งนางมักจะแสดงท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่จะต้องชอบที่ตนเองเป็นแบบนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่พาตนออกจากจวนมาเลือกซื้อเครื่องประดับด้วยตนเองหรอก

ยามนี้รอยยิ้มมุมปากของอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงไม่แปรเปลี่ยน ทว่าประกายในดวงตากลับเย็นชาขึ้นหลายส่วน

รถม้าค่อยๆ ลดความเร็วลง หลังจากหยุดสนิทหญิงรับใช้ชราที่อยู่ด้านนอกจึงส่งเสียงเตือนอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ ถึงหอฟู่กุ้ยแล้วเจ้าค่ะ”

มู่ชุนได้ยินเสียงหญิงชราจึงเลิกม่านรถออกพร้อมกับอินเอ๋อร์สาวใช้ประจำกายของอวิ๋นอี้อี้ จากนั้นประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งลงจากรถก่อน แล้วค่อยประคองอวิ๋นอี้อี้ออกมาจากรถม้า

ในเมืองซูเฉิงจวนสกุลอวิ๋นก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่แถวหน้า กฎระเบียบต่างๆ ในตระกูลไม่น้อยไปกว่าพวกตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงเลย อวิ๋นอี้อี้มีฐานะเป็นถึงคุณหนูจวนสกุลอวิ๋น ได้เปิดหูเปิดตาพบเห็นสิ่งต่างๆ มามากมายตั้งแต่ยังเล็ก

ทว่าพอยามนี้อวิ๋นอี้อี้ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของหอฟู่กุ้ย นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นเพียงกบก้นบ่อเท่านั้น หอฟู่กุ้ยนี้ต่างหากถึงจะเป็นสถานที่แห่งความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างแท้จริง แม้แต่สิงโตหินที่หน้าประตูก็สลักจากหยกขาวชั้นเลิศ ส่วนตัวอักษรบนป้ายร้านสีดำเหนือศีรษะเป็นฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้องค์ก่อน ด้านล่างตัวอักษร ‘หอฟู่กุ้ย’ อันปราดเปรียวมีชีวิตชีวาก็เป็นตราพระราชลัญจกรของฮ่องเต้องค์ก่อน แสดงความสูงส่งมั่งคั่งของสถานที่แห่งนี้ออกมาให้ประจักษ์ชัด เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์จนไม่อาจเอื้อมของสถานที่แห่งนี้ ทั้งหมดนี้ทำลายความสูงส่งเหนือผู้อื่นยามอวิ๋นอี้อี้อยู่ในบ้านแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีในพริบตาเดียว ทำให้นางได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่บนถนนที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่โดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นเชียนเมิ่งคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าอวิ๋นอี้อี้จะต้องถูกหอฟู่กุ้ยสั่นคลอน แต่กลับมิได้เข้าไปปลอบประโลมจิตใจที่ได้รับความเจ็บช้ำของนาง เพียงแค่ขยับเข้าไปหาอวิ๋นอี้อี้เล็กน้อย ผลักนางที่ตัวแข็งเป็นหุ่นกระบอกเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “น้องอี้อี้ เป็นอะไรไปหรือ เหตุใดยังไม่เข้าไปอีก”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินนวยนาดเข้าไปในหอฟู่กุ้ยโดยมีมู่ชุนคอยประคอง

อวิ๋นอี้อี้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งงามสง่าภูมิฐานถึงเพียงนี้ รวมถึงอากัปกิริยาเยื้องย่างของนางงดงามสูงส่งราวกับภาพวาด อวิ๋นอี้อี้ก็อยากจะครอบครองทั้งหมดนี้บ้าง

นางเลียนอย่างท่าทางของอวิ๋นเชียนเมิ่ง วางมือลงบนแขนอินเอ๋อร์ เดินหนึ่งก้าวหยุดหนึ่งก้าวเข้าไปในหอฟู่กุ้ย

 

ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาจับจ้องของคนที่อยู่ริมหน้าต่างหอสุราฝั่งตรงข้าม คนผู้นั้นมือหนึ่งจับไข่มุกทะเลใต้กลมเกลี้ยงเม็ดหนึ่งเล่น แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับจับอยู่ที่ร่างสองร่างที่เพิ่งเดินตามกันเข้าไปในหอฟู่กุ้ยด้วยสายตาระคนแววตรวจสอบ กล่าวอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย “ช่างเป็นตงซือแสร้งขมวดคิ้ว จริงๆ เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนแต่คิดจะเลียนแบบบุคลิกคุณหนูสกุลใหญ่ น่าหัวเราะเยาะจริงเชียว”

ชายวัยกลางคนซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังคนผู้นั้นเห็นว่าเจ้านายของตนเริ่มบ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาอีกแล้ว จึงมองไข่มุกทะเลใต้ที่ถูกจับเล่นเม็ดนั้นด้วยความกังวลใจเล็กน้อย เอ่ยเตือนเสียงเบา “นายท่าน เอาของคืนกลับไปเถิดขอรับ ถ้าหากถูกจับได้…”

“ถูกจับได้แล้วเป็นอย่างไร เจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรข้าได้ ข้าให้มันมาเลือกภรรยาด้วยความปรารถนาดี แต่เจ้าเด็กนั่นงามหน้ายิ่ง ปล่อยให้ข้ารอเก้อ มันสิต้องระวังตัว คอยดูเถอะ ต่อไปถ้าข้าเห็นเขาครั้งหนึ่งก็จะตีเขาครั้งหนึ่ง!” คนผู้นั้นไม่รอให้ผู้ใต้บัญชาพูดจบก็เอะอะเอ็ดตะโรขึ้น และถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าเขายังคงวางไข่มุกทะเลใต้เม็ดนั้นใส่ในกล่องผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นมอบให้ผู้ใต้บัญชาที่อยู่ด้านหลังเก็บรักษาไว้ให้ดี

ขณะที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นคิดว่าผู้เป็นนายของตนจะกลับจวน คนผู้นั้นกลับเอามือเท้าคาง สายตาพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ของหอฟู่กุ้ย พูดพึมพำกับตนเอง “เจียวต้า เจ้าว่าคนไหนดีกว่ากัน ถ้าเป็นเจ้า เจ้าชอบคนไหน”

แม้ไม่ได้พูดว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ แต่ชายวัยกลางคนนามว่าเจียวต้าผู้นั้นกลับใบหน้าแดงก่ำ ถอยไปด้านหลังสามก้าวใหญ่ๆ อย่างเงียบเชียบ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

 

หากบอกว่าภาพตรงหน้าประตูเมื่อครู่ทำให้อวิ๋นอี้อี้ได้เปิดโลกทัศน์กว้าง เช่นนั้นยามนี้ห้องโถงใหญ่ของหอฟู่กุ้ยก็สั่นสะเทือนทั้งกายและใจของนางแล้ว

ที่แห่งนี้มีชื่อว่าหอฟู่กุ้ย มองไปไม่เห็นสิ่งดาษดื่นเลยแม้แต่น้อย ห้องโถงใหญ่ตกแต่งหรูหราสง่างาม ทุกที่ล้วนเผยให้เห็นความวิจิตร เครื่องประดับที่ถูกจัดวางแยกประเภทไว้บนโต๊ะแต่ละชิ้นต่างเปล่งแสงเจิดจรัสสุกสกาว

เครื่องประดับหยก เงิน ทองเหล่านี้กระจุกตัวอยู่รวมกันในห้องโถงใหญ่ แต่กลับผสมผสานลงตัวกันอย่างน่าประหลาด แตกต่างจากกฎของร้านเครื่องประดับทั่วๆ ไปที่ห้ามไม่ให้ทองกับหยกวางรวมกันโดยสิ้นเชิง

อวิ๋นอี้อี้สำรวจห้องโถงใหญ่ตรงหน้าที่กินพื้นที่กว้างขวางอย่างตั้งอกตั้งใจ ความตื่นเต้น ความละโมบ และความทะเยอทะยานในใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแววตา

ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่นางเพียงแค่ยิ้มเย็นในใจเท่านั้น

ยามนี้หลงจู๊เมิ่งของหอฟู่กุ้ยกำลังกระวีกระวาดวิ่งลงมาจากชั้นสาม ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รีบทำความเคารพทันที “คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหลงจู๊เมิ่งจึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถามว่า “ตระเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”

นี่คือครั้งแรกที่หลงจู๊เมิ่งได้ยินเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม้ยามนางจะสวมผ้าโปร่งพรางดวงหน้า แต่ในสุ้มเสียงใสกระจ่างนั้นแฝงด้วยความให้เกียรติ ทำให้หลงจู๊เมิ่งที่พบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วนพลันตกประหม่า กล่าวอย่างพินอบพิเทาทันที “น้อมรับคำสั่งคุณหนู ผู้น้อยเตรียมห้องผิ่นอวี้ไว้ให้คุณหนูแล้วขอรับ ประเดี๋ยวจะส่งเครื่องประดับที่คุณหนูถูกใจเข้าไปให้ด้วยตนเองนะขอรับ”

“รบกวนนำทางด้วย” สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้พูดอธิบายแม้แต่คำเดียว เพียงแค่กล่าวคำเกรงใจอย่างเรียบเฉย จากนั้นตามหลงจู๊เมิ่งขึ้นไปชั้นสาม

เพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นสามก็ได้ยินเสียงอุทานชื่นชมดังออกมาจากในห้องหมู่ตัน

“น้องเล็ก เจ้าใส่เครื่องหยกชิ้นนี้ขึ้นจริงๆ แขนเจ้าเกลี้ยงเกลาขาวหมดจดราวกับรากบัวก็ไม่ปาน เหมาะกับมรกตสีเขียวสดใสที่สุด”

“ตามความคิดของข้า ท่านหญิงของพวกเราเหมาะกับปู้เหยา ทองคำด้ามนี้มากกว่า เถียนเอ๋อร์เดิมก็เป็นผู้สูงศักดิ์ ย่อมเหมาะกับปู้เหยาทองคำลายพญาหงส์มองผยองอันนี้แน่นอน”

“ข้าว่านะ สายตาของพี่สะใภ้ทั้งสองธรรมดาเกินไป เถียนเอ๋อร์รูปโฉมงามงดเช่นนี้ ไยต้องประดับตกแต่งด้วย ต่อให้เกล้ามวยธรรมดาๆ ก็ยังงามล่มบ้านล่มเมือง”

แต่ละประโยคแต่ละเสียงแทบจะเยินยอผู้ที่ยังมิได้เอ่ยปากจนลอยขึ้นฟ้า ทำให้ในดวงตาอวิ๋นอี้อี้ปรากฏความริษยาผ่านวาบ จู่ๆ ก็ขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นเชียนเมิ่ง พูดเสียงเบาๆ “แต่อี้อี้คิดว่าพี่ใหญ่งดงามไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าข้างหน้ายังมีหลงจู๊เมิ่งอยู่อีกคน ในใจจึงหงุดหงิดกับความปากเบาของอวิ๋นอี้อี้อยู่บ้าง หากผู้อื่นได้ยินเข้าจะเป็นการสร้างศัตรูให้ตนเองโดยใช่เหตุแท้ๆ

ครั้นแล้วจึงตีเสียงเย็นชาโต้กลับ “ห้ามพูดจาส่งเดชเด็ดขาด! เจ้าเคยพบคนมาแค่ไม่กี่คนก็เยินยอสรรเสริญเกินจริงเช่นนี้ หากคนที่ประสงค์ร้ายได้ยินเข้าจะไม่สร้างศัตรูให้จวนอัครเสนาบดีหรือไร ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกนี้เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีคนอื่นอีกมากที่รูปโฉมงามเลิศล้ำ จะวนมาถึงตาข้าได้อย่างไร คราวหน้าห้ามพูดจาพล่อยๆ แบบนี้อีก”

อวิ๋นอี้อี้คิดไม่ถึงว่าการตบก้นม้า ของตนจะตบโดนขาม้าเข้า ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตำหนิตนอย่างรุนแรงต่อหน้าคนแปลกหน้า ในใจจึงโกรธเกรี้ยวไม่น้อย แต่ชั่วพริบตาพลันนึกได้ว่ายามนี้ตนเองต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น จวนอัครเสนาบดียังคงเป็นฉากกันลมของนางอยู่ หากเป็นเหตุให้จวนอัครเสนาบดีตกอยู่ในอันตรายเพราะเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่คุ้มค่าจริงๆ จึงรีบก้มหน้ายอมรับผิด “ท่านพี่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว น้องปากเบาเองเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเดาฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งแต่แรกแล้วจากถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่

ทำให้พี่สะใภ้ทั้งสามประจบเอาใจได้ถึงเพียงนี้ และขณะเดียวกันก็มีฐานะเป็นท่านหญิงนามว่าเถียนเอ๋อร์ เกรงว่าจะมีเพียงท่านหญิงไห่เถียนแห่งจวนไห่อ๋องที่ควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ ในครอบครัวไว้ครึ่งหนึ่งผู้นั้น

สตรีตัวคนเดียวสามารถทำให้บรรดาพี่สะใภ้ที่ฐานะสูงศักดิ์เช่นเดียวกันพินอบพิเทาจนถึงขั้นประจบประแจงได้ ไห่เถียนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีเล่ห์เหลี่ยม สมองก็ดีเลิศเป็นที่หนึ่งเช่นเดียวกัน

ไห่อ๋องเป็นหนึ่งในขุนนางกงฉินที่ติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนพิชิตใต้หล้า ซ้ำไห่อ๋องก็เป็นคนชอบคบค้าสมาคม ในจวนชุบเลี้ยงผู้มีความสามารถไว้มากมายนับไม่ถ้วน

ถึงจะเป็นสตรีอ่อนแอบอบบาง แต่ไห่เถียนได้รับเลือกจากไห่อ๋องให้เป็นผู้ดูแลจวนอ๋องด้วยตนเอง ความสามารถเช่นนี้หาใช่สิ่งที่สตรีธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้

ว่ากันว่าแต่ก่อนในจวนไห่อ๋องมีท่านหญิงหลินซึ่งฐานะทัดเทียมกับนาง แต่ถูกไห่เถียนเล่นงานจนต้องออกเรือนไปก่อนเวลาอันควร เห็นได้ว่าไห่เถียนหาใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวางนัก

หากทำให้จวนอัครเสนาบดีกับจวนไห่อ๋องเป็นปฏิปักษ์กันเพียงเพราะเรื่องรูปโฉม เกรงว่าจวนอัครเสนาบดีคงไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

นี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดตำหนิอวิ๋นอี้อี้

หลงจู๊เมิ่งที่อยู่ข้างหน้ากลับฟังบทสนทนาของสองพี่น้องเข้าหูอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว ในใจอดมองคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ใหม่อีกครั้งไม่ได้

ยามสตรีคนอื่นได้ยินสตรีอีกคนเอ่ยชื่นชมตนเอง มีคนใดบ้างไม่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน

มีเพียงอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเผยสิ้นคมดาบ* อย่างลึกซึ้ง

ด้วยสายตาของหลงจู๊เมิ่ง คุณหนูใหญ่ผู้นี้ต้องเป็นสตรีผู้เลิศล้ำหาใดเปรียบเป็นแน่ ไม่เพียงแค่ในด้านรูปโฉม แต่ยังรวมถึงความฉลาดปราดเปรื่องและสมองที่หลักแหลมของนาง

ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ที่ทำให้คนอดสนใจใคร่รู้ไม่ได้ผู้นี้กับท่านหญิงไห่เถียนในห้องหมู่ตันผู้นั้นใครจะเหนือกว่าใคร

“คุณหนูใหญ่ ถึงห้องผิ่นอวี้แล้วขอรับ ผู้น้อยจะเตรียมการเดี๋ยวนี้” หลงจู๊เมิ่งต้อนรับอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าสู่ห้องผิ่นอวี้ จากนั้นถึงผ่อนฝีเท้าถอยออกไป

พอประตูห้องผิ่นอวี้ปิดลง ดวงตาคู่นั้นของอวิ๋นอี้อี้ก็กลอกไปมา นางกวาดตามองไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นมือเล็กๆ ทั้งสองข้างยังลูบคลำไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับต้องได้สัมผัส นางถึงจะวางใจได้ว่าภาพตรงหน้ามิใช่เพียงภาพฝัน

เมื่อชื่นชมจนหนำใจแล้วอวิ๋นอี้อี้จึงนั่งลงข้างๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากดื่มชาหมดหนึ่งถ้วยก็เบิกดวงตากลมโตคู่นั้นกว้างพลางถามด้วยความใคร่รู้ “พี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าราคาของร้านนี้เป็นอย่างไรหรือ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บความคิดของตนเอง ยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอก ขอแค่เจ้าชอบ ข้าย่อมซื้อให้เจ้าแน่นอน”

อวิ๋นอี้อี้เห็นอีกฝ่ายใจกว้างถึงเพียงนี้ ดวงตาทั้งสองข้างพลันปรากฏแววซาบซึ้ง ทว่านางเองก็มิใช่คนโง่เขลา แม้อวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้บอกขอบเขตจำกัด แต่อวิ๋นอี้อี้ก็รู้ดีว่าครั้งแรกจะซื้อมากเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสครั้งต่อไป

ยามนี้อวิ๋นอี้อี้เห็นท่าทางดื่มชาอันสง่างามของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในใจนึกอิจฉายิ่ง ถึงจะอยากรู้ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเตรียมเครื่องประดับแบบใดไว้ให้ตนกันแน่ แต่ก็ยังระงับอารมณ์เอาไว้ ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นละเลียดจิบคำหนึ่งเลียนแบบนาง

ยามนี้เสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทดังขึ้นจากนอกประตู หลังจากมู่ชุนถามกระจ่างว่าผู้มาใหม่คือใครถึงเปิดประตูไม้ออก หลงจู๊เมิ่งนำบ่าวรับใช้แปดคนเดินเข้ามา บนมือบ่าวรับใช้เหล่านั้นล้วนประคองถาดคนละหนึ่งใบ บนถาดมีกล่องต่างชนิดกันวางไว้ แต่ตอนนี้ฝากล่องปิดสนิททำให้มองไม่เห็นเครื่องประดับที่อยู่ด้านใน ยิ่งทำให้หัวใจของอวิ๋นอี้อี้ร้อนรนไม่หยุดราวกับถูกลูกแมวขีดข่วน

บ่าวรับใช้ทั้งแปดคนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน หลงจู๊เมิ่งเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยปากยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่ นี่คือสิ่งที่ท่านสั่งเอาไว้ เชิญท่านชมได้ขอรับ”

พูดจบหลงจู๊เมิ่งก็เดินไปตรงหน้าบ่าวรับใช้คนแรกก่อน เปิดตลับที่ทำจากหยกเหลืองชั้นดีออก แสงแวววาววิบวับค่อยๆ เปล่งประกายออกมา

อวิ๋นอี้อี้อยากจะดูของล้ำค่าเหล่านั้นอย่างอดใจรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับลุกขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เดินไปหาตลับใบนั้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน แม้อวิ๋นอี้อี้จะใจร้อนดั่งไฟลน แต่ก็ทำได้เพียงเดินตามหลังเข้าไปด้วยฝีเท้าเชื่องช้า

“อี้อี้ เจ้ามาดูสิ เครื่องประดับศีรษะครบชุดชุดนี้เจ้าชอบหรือไม่” อวิ๋นเชียนเมิ่งดึงมืออวิ๋นอี้อี้เข้ามาอย่างสนิทสนม ชี้ไปยังเครื่องประดับซึ่งทำจากหยกเหลือง ด้านบนฝังไข่มุกครบชุด เอ่ยถามอวิ๋นอี้อี้ที่มองจนตะลึงลานไปแล้วด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

อวิ๋นอี้อี้มองดูเครื่องประดับอันวิจิตรประณีต งามสง่าเรียบหรู รูปแบบสวยงามแปลกใหม่ซึ่งอยู่ภายใน พยักหน้าแรงๆ

อวิ๋นเชียนเมิ่งผลิยิ้มบางๆ จากนั้นก็ลากนางเดินมาตรงหน้ากล่องไม้ประดู่ใบที่สองทันที ครั้งนี้กล่องที่ถูกเปิดออกข้างในมีหลายชั้นซ้อนกัน เครื่องประดับที่หญิงสาวจำเป็นต้องใช้ เช่น ต่างหูอันเล็ก ปิ่นทองอันใหญ่ ล้วนหาเจอได้ในกล่องใบนี้ ประกายเจิดจ้านั้นระยิบระยับจนอวิ๋นอี้อี้ตาลายเสียแล้ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพเช่นนี้แต่กลับมิได้แสดงท่าทีใดๆ ทั้งยังดึงนางให้ค่อยๆ เดินต่อไปเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งได้เห็นชุดสุดท้ายถึงคลายมืออวิ๋นอี้อี้ออก ยิ้มบางๆ พลางถาม “พี่เตรียมเครื่องประดับพวกนี้ไว้ให้ ไม่ทราบว่าน้องถูกใจชุดไหนหรือ”

ได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนี้ อวิ๋นอี้อี้ก็อยากจะอ้าปากบอกว่าชอบหมดเลยใจจะขาด

ทว่านางก็รู้ดีว่าไม่ต้องพูดถึงว่าต้องการเครื่องประดับเหล่านี้หมดทั้งแปดชุด ต่อให้แค่ต่างหูข้างเดียวในชุดใดชุดหนึ่งก็มีราคาค่างวดไม่ธรรมดา แต่นางก็ชอบเครื่องประดับเหล่านี้ทั้งหมด ทิ้งชิ้นนี้ก็เสียดาย ปล่อยชุดนั้นก็เสียใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นมองกล่องทั้งแปดใบนั้นสลับไปมาไม่หยุด ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังตัดสินใจไม่ได้

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางตัดสินใจลำบากเช่นนี้ก็รู้ว่าอวิ๋นอี้อี้จะต้องละโมบอยากได้ทั้งหมดเป็นแน่ รอยยิ้มตรงมุมปากจึงค่อยๆ จางลง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ข้ากลับคิดว่าชุดสุดท้ายเหมาะกับเจ้าที่สุด เจ้าอายุยังน้อย เหมาะกับเครื่องประดับรูปแบบน่ารักสีสันสดใสชุดนั้นที่สุด”

อวิ๋นอี้อี้ได้ยินความเห็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงเดินไปอยู่ตรงหน้าเครื่องประดับชุดนั้นด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ยื่นมือออกไปหยิบใส่มือลองสวมดูทีละชิ้นๆ มองดูตนเองในคันฉ่องเปลี่ยนเป็นงามหยาดเยิ้มยิ่งขึ้น รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งเพิ่มพูน จึงยิ้มพลางตอบกลับ “พี่ใหญ่ท่านตาถึงยิ่งนัก ตั้งเนิ่นนานแล้วน้องยังเลือกไม่ได้ แต่พี่ใหญ่กลับสายตาแหลมคม”

ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจคู่นั้นกลับวาดผ่านด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง

อวิ๋นอี้อี้แอบคิดในใจไม่ได้ว่าหากมอบให้นางทั้งหมดนี้จะดีแค่ไหนกันหนอ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเดาความคิดนางได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว คนบางคนจะปล่อยให้เคยตัวไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อไปความหิวกระหายของพวกนางจะยิ่งพอกพูนมากขึ้น คงมีสักวันที่จะทำร้ายชีวิตช่วงชิงทรัพย์สินผู้อื่นเพื่อความปรารถนาส่วนตัว

อวิ๋นเชียนเมิ่งลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเฉยชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลงจู๊เมิ่ง พวกเราเอาชุดนี้แหละ ส่วนของฮูหยินผู้เฒ่ากับน้องสามสองชุดนั้นให้คนส่งไปที่จวนอัครเสนาบดี แล้วค่อยคิดไปที่ห้องบัญชีคิดเงินรวมกัน”

หลงจู๊เมิ่งเองก็มองความคิดจิตใจของอวิ๋นอี้อี้ไว้ในสายตาเช่นเดียวกัน ยามนี้จึงยิ่งเห็นด้วยกับวิธีการของอวิ๋นเชียนเมิ่ง

อย่างไรเครื่องประดับของหอฟู่กุ้ยก็มิใช่ถูกๆ ชุดที่อวิ๋นอี้อี้เลือกเมื่อครู่คิดเป็นเงินถึงห้าพันตำลึงเงิน

“ขอรับ” หลงจู๊เมิ่งตอบกลับ จากนั้นนำอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินออกไปข้างนอก

ยามนี้ประตูบานใหญ่ของห้องหมู่ตันก็ถูกผลักเปิดออกพอดี สตรีรูปโฉมงามล้ำสยบผู้คนนางหนึ่งเดินออกมาจากด้านในเป็นคนแรก

ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความมีตัวตนปานนี้คงจะเป็นไห่เถียนกระมัง

ไห่เถียนแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ในเส้นผมดำขลับปักด้วยปิ่นหยกม่วงสลักหลายอัน ด้านข้างประดับด้วยไข่มุกขนาดเท่านิ้วชี้กลบได้ ติ่งหูขาวผ่องเล็กน่ารักสวมต่างหูหยกม่วงสีเดียวกัน ในดวงตาละมุนดุจสายน้ำคู่นั้นเจือความกระจ่างและความร้ายกาจที่ทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้ พาให้คนทั่วไปเห็นแล้วล้วนหัวใจหนาวเหน็บ

ข้างกายไห่เถียนยามนี้ห้อมล้อมด้วยหญิงสาวออกเรือนแล้วรูปโฉมงดงามสามคน คงจะเป็นพี่สะใภ้ทั้งสามของนาง

ทว่ายามนี้ความสนใจของไห่เถียนมิได้อยู่ที่พี่สะใภ้สามคนนั้น นัยน์ตาซึ่งแฝงด้วยความน่าเกรงขามคู่นั้นแลเลยผ่านผู้คนมายังอวิ๋นเชียนเมิ่ง เมื่อเห็นผ้าคลุมหน้าบนศีรษะอวิ๋นเชียนเมิ่ง หัวคิ้วงามงดนั้นก็ขมวดเบาๆ อย่างไม่ยี่หระ

แต่อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับดึงดูดความสนใจคนที่อยู่ข้างกายนางได้ทันที

สาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นออกมาจากกลุ่มคน จากนั้นคุกเข่าสองข้างลงตรงหน้าไห่เถียน ในสองมือที่ประคองขึ้นสูงคือผ้าคลุมหน้าสีม่วงอ่อนผืนหนึ่ง

สาวใช้อีกคนเห็นเช่นนี้จึงรีบรับผ้าคลุมหน้าผืนนั้นมาทันที สวมให้ไห่เถียนอย่างระมัดระวังและเรียบร้อยบรรจง จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเฉียบขาดดังขึ้นจากหลังผ้าโปร่งบางนั้น “พากลับไป โบยให้ตาย!”

เรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ไห่เถียนกลับกล้าทำออกมาต่อหน้าผู้อื่น ส่วนคนที่อยู่ข้างกายนางต่างก็มีสีหน้าไม่ใส่ใจไยดี พี่สะใภ้ทั้งสามนั้นยิ่งฉวยโอกาสก่นด่าสาวใช้ผู้นั้น ทุกคนล้วนไม่มีใจสงสารเลยแม้แต่กระผีกริ้น

เด็กสาวผู้นั้นคล้ายกับคาดเดาถึงจุดจบของตนเองได้ตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่มีแม้แต่การดิ้นรนร้องขอชีวิต ถูกแม่นมที่แรงเยอะหลายคนลากลงไปด้วยสีหน้าซีดเผือด

อวิ๋นอี้อี้เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามคนเมื่อครู่โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ในใจจึงหวาดกลัวยิ่ง หลบไปด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตัวสั่นเทาเล็กน้อย

พอเรื่องนี้เอะอะวุ่นวายขึ้น พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งก็มาถึงตรงหน้าบันไดพอดี ส่วนห้องหมู่ตันเดิมทีก็ตั้งอยู่หน้าบันได ทันใดนั้นคนของทั้งสองฝ่ายจึงยืนกันอยู่คนละด้านของบันได พี่สะใภ้ทั้งสามมองมายังพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย ส่วนไห่เถียนกับอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับจ้องหน้ากันเงียบๆ ผ่านผ้าบางๆ

หลงจู๊เมิ่งเองก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะประจันหน้ากันเข้าจริงๆ ลอบคิดกับตนเองว่าควรจะเอ่ยปากทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้อย่างไรดี

ผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นฝ่ายถอยหลังให้สามก้าว หลีกทางตรงหน้าบันใดให้พวกไห่เถียน

นัยน์ตาไห่เถียนพลันปรากฏแววงุนงง จากนั้นก็วาวด้วยโทสะเบาบาง เพียงแต่ตนเองได้เสียเกียรติและความใจกว้างไปกับการหลีกทางเมื่อครู่แล้ว จึงไม่อาจแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้ามภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคนอีก นางจึงขยับเข้าไปหนึ่งก้าว ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องนัยน์ตาเย็นเยียบซึ่งอยู่ท่ามกลางความพร่ามัวคู่นั้นแน่วนิ่งพลางกล่าวเสียงเย็นชา “ขอบคุณมาก”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนี

พี่สะใภ้ทั้งสามซึ่งอยู่อีกด้านเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ตรงหน้านับว่ารู้กาลเทศะอยู่บ้าง พร้อมทั้งเห็นว่าวันนี้ออกมาข้างนอกนานแล้ว จึงพากันกรูตามไห่เถียนลงจากชั้นสามไปขึ้นรถม้าของจวนไห่อ๋อง

 

อวิ๋นอี้อี้ที่ขึ้นรถม้าทางด้านนี้ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไห่เถียน

“พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าคนเมื่อกี้คือใคร รูปโฉมงามเลิศดุจบุปผา แต่ว่าสีหน้าเย็นชาไปหน่อย ซ้ำยังปฏิบัติกับคนรับใช้อย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง” พออวิ๋นอี้อี้นึกถึงสายตายามไห่เถียนมองมายังพวกตนเมื่อครู่ ทั้งร่างก็สั่นเทิ้มเบาๆ

ไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นไร เหตุใดในดวงตาคู่งามสุกสกาวคู่นั้นถึงคมปลาบดุจประกายดาบเงากระบี่จนชวนให้คนหวาดกลัวได้ปานนั้น

อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่อวิ๋นอี้อี้พูดถึงไห่เถียน แต่กลับมิได้เอ่ยปากอันใด

ในจวนไห่อ๋องที่มืดลึกดุจถ้ำเสือ หากไห่เถียนใจอ่อนมีเมตตา เกรงว่ายามนี้คงกลายเป็นกองกระดูกไปนานแล้ว

นอกจากนั้นอวิ๋นอี้อี้ยังหลงคิดว่าทุกคนล้วนเป็นเหมือนอวิ๋นเสวียนจือ ปล่อยให้อี๋เหนียงผู้หนึ่งใช้มือเดียวปิดฟ้า*ควบคุมบงการจวนอัครเสนาบดี

รากฐานของจวนไห่อ๋องลึกล้ำกว่าจวนอัครเสนาบดีมากนัก ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นทำให้จวนไห่อ๋องกลายเป็นป้อมปราการที่กัดกินผู้คนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกไปแล้ว

หากไห่เถียนไม่ใช้กฎตระกูลที่เข้มงวดกุมอำนาจ ป่านนี้จวนไห่อ๋องคงจะอลหม่านวุ่นวายไปแล้ว

ถึงแม้ตนเองจะทนรูปแบบการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตของนางไม่ได้ แต่ก็ชื่นชมความเด็ดขาดเยือกเย็นของนางด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ รถม้าก็มาถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี กระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นอี้อี้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จสิ้นถึงได้กลับไปยังเรือนฉี่หลัว

บทที่ 14 คายสินเดิมออกมาให้ข้าทั้งหมด

 เรื่องที่อวิ๋นเชียนเมิ่งซื้อเครื่องประดับให้อวิ๋นอี้อี้เพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวินแพร่ไปถึงหูอวิ๋นรั่วเสวี่ย

วันนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งยังไม่ทันตื่น อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับแอบดอดออกมาจากศาลบรรพชน พาสาวรับใช้มายังเรือนฉี่หลัว

รออยู่ที่ห้องปีกข้างเนิ่นนาน ดื่มชาไปแล้วสามถ้วย อวิ๋นรั่วเสวี่ยถึงได้เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางจึงเดินเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที คำนับอย่างพินอบพิเทาพร้อมกล่าว “น้องคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”

พอเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ดีว่านางมาเพราะเรื่องใด เพียงแต่ใบหน้ากลับแฝงแววประหลาดใจพลางเอ่ยว่า “ไฉนวันนี้น้องรองถึงไม่ได้สำนึกผิดอยู่ที่ศาลบรรพชนเล่า”

เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะยามนี้มีเรื่องจะขอร้องนาง อวิ๋นรั่วเสวี่ยย่อมไม่อาจล่วงเกินนางได้ ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ ตอบกลับเสียงเบา “วันนี้น้องมาแค่เพราะอยากขอให้ท่านพี่พาน้องไปร่วมงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวินด้วยเจ้าค่ะ ท่านพี่ก็รู้ว่าตอนนี้น้องถูกท่านพ่อลงโทษให้คุกเข่าไม่อาจออกจากจวนได้ อีกทั้งเดี๋ยวนี้ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อกับท่านย่า ท่านพี่ก็ได้รับความเอ็นดูมากยิ่ง หวังว่าท่านพี่จะขอความเมตตาให้น้องต่อหน้าท่านพ่อกับท่านย่าได้”

พูดได้ครึ่งหนึ่งอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างร้อนรนแวบหนึ่ง รีบพูดให้กระจ่างทันที “น้องแค่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรกู่เหล่าไท่จวินก็เป็นท่านยายของน้อง เมื่อก่อนตอนน้องไปจวนฝู่กั๋วกง เหล่าไท่จวินเองก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น อีกอย่างครั้งนี้ยังเป็นงานวันเกิดอายุครบหกสิบของท่าน หากเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ไปจะไม่ถูกผู้อื่นครหาหรอกหรือ ขอท่านพี่ช่วยให้ใจกตัญญูของน้องได้สมปรารถนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

พูดจบอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หมายจะคุกเข่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะยอมให้นางทำเช่นนี้ พอนางคุกเข่าลงแล้ว หากตนเองไม่รับปาก กลัวว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยคงจะไม่ยอมลุกขึ้นมา พอถึงตอนนั้นซูชิงจะต้องฉวยโอกาสเล่นแผนสกปรกแน่นอน

อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งสายตาให้มู่ชุนกับแม่นมหมี่อย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง ทั้งสองคนเข้าใจความนัยจึงหมายจะขยับเดินเข้าไป แต่กลับถูกสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของอวิ๋นรั่วเสวี่ยขวางไว้

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นภาพนั้น บนใบหน้ากลับฉายแววปลาบปลื้ม ยื่นมือออกไปพยุงสองแขนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว ยับยั้งการคุกเข่าของนางไว้ได้ทัน

แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับตัดสินใจแน่วแน่ไว้ตั้งแต่แรก พยายามจะคุกเข่าลงไปให้ได้ ปากพร่ำกล่าวถ้อยวจีเปี่ยมคุณธรรม “ขอท่านพี่ช่วยให้สมปรารถนาด้วยเจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นนางดื้อดึงถึงเพียงนี้ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รำคาญอย่างหาใดเปรียบ แต่ริมฝีปากกลับกล่าวยิ้มๆ “น้องช่างมีความตั้งใจดีจริงๆ ใจกตัญญูของน้อง หากท่านยายทราบจะต้องปลื้มใจเป็นแน่ ไม่ว่าน้องจะไปหรือไม่ พี่จะบอกกล่าวความคิดของน้องให้ท่านยายทราบแน่นอน ท่านคงจะไม่ถือสาหาความหรอก เพราะฉะนั้นลุกขึ้นเถอะ อย่าปล่อยให้พวกบ่าวรับใช้เห็นแล้วพากันคิดว่าพี่รังแกน้อง ทำให้ความรักใคร่ฉันพี่น้องของพวกเราร้าวฉานเลย”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ออกแรงหนักมือขึ้น บีบให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยจำต้องหยัดกายลุกขึ้น

อีกด้านหนึ่งอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับแอบตื่นตะลึง อวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งถูกเลี้ยงมาในห้องหับมีเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน จากนั้นจึงย่นคิ้วน้อยๆ เพราะความเจ็บปวดที่แขน ขณะกำลังจะเปิดปากพูดโน้มน้าวต่อ กลับเห็นมู่ชุนและแม่นมหมี่เดินผ่านเลยสาวใช้ทั้งสองของนางเข้ามาประกบข้างกายนางทั้งซ้ายขวา จึงทำได้เพียงยอมล้มเลิกความคิดไว้ชั่วคราว

ยามนี้บนใบหน้าเล็กของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ คล้ายกับรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่สามารถไปอวยพรวันเกิดแก่เหล่าไท่จวินได้ด้วยตนเองจริงๆ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเก็บมือทั้งสองข้างกลับ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งลงบนที่นั่งหัวโต๊ะในตำแหน่งประธานอย่างแช่มช้อย ครั้นเห็นท่าทางน่าเวทนาของอวิ๋นรั่วเสวี่ย คิ้วงามก็ขมวดเบาๆ พลางทอดถอนใจก่อนเอ่ยขึ้น “ไยน้องต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า พี่บอกกล่าวกับท่านย่าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากให้น้องไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วย แต่ปัญหาคือน้องก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาซูอี๋เหนียงไม่อยากจะเป็นมิตรกับพี่ ภายใต้ความสัมพันธ์เช่นนี้พี่ย่อมไม่สะดวกใจจะพาน้องไปงานด้วย หากพูดกันตามตรงซูอี๋เหนียงคือมารดาบังเกิดเกล้าของน้อง ถึงแม้จะเป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง แต่บนศีรษะน้องกลับถูกกดทับด้วยคำว่า ‘กตัญญู’ หากฝ่าฝืนความต้องการของซูอี๋เหนียง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของน้อง”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็คล้ายกับตกที่นั่งลำบากยิ่งจริงๆ มือหนึ่งตบโต๊ะเบาๆ บอกให้รู้ว่านางก็จนปัญญาเช่นกัน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ มือที่เช็ดน้ำตาพลันชะงักเล็กน้อย

“คุณหนู ได้เวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นเองแม่นมหมี่ก็ส่งเสียงเอ่ยเตือนขึ้น

แม่นมหมี่ย่อมทนดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยต่อไปไม่ไหว เมื่อครู่ได้ยินวาจาพรืดใหญ่ของอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ยิ่งทำให้แม่นมหมี่รู้สึกว่าเหตุใดโลกนี้ถึงได้มีคนหน้าไม่อายพรรค์นี้หนอ

ท่านยายของอวิ๋นรั่วเสวี่ยคือฮูหยินผู้เฒ่าในจวนสกุลซู กู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกงผู้นั้นเป็นท่านยายแท้ๆ ของคุณหนูของนางต่างหาก ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เป็นบุตรอนุภรรยาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับนับญาติซี้ซั้ว ดึงดันจะเรียกกู่เหล่าไท่จวินเป็นท่านยายของตนเอง ชวนให้คลื่นไส้เสียจริง

นอกจากนั้นยังเห็นท่าทีเกาะหนึบไม่ยอมจากไปของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แม่นมหมี่กลัวว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะหงุดหงิดรำคาญใจจึงเอ่ยปากพูดเตือนเพื่อมิให้สิ้นเปลืองน้ำชาของเรือนฉี่หลัว

อวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของแม่นมหมี่ นางแสร้งทำราวกับไม่รู้ตัวว่าฟ้าสว่างโร่แล้ว พลันตื่นตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นพร้อมกับรีบกล่าวทันทีว่า “สายขนาดนี้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด จะให้ท่านย่ารอนานไม่ได้”

ทุกคนรีบกรูเข้าไปประคองอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินออกไปข้างนอก คนกลุ่มใหญ่เบียดอวิ๋นรั่วเสวี่ยซึ่งเดิมทียืนอยู่ตรงกลางไปอีกด้าน ทว่าพอเห็นว่าบัดนี้ทุกคนพะเน้าพะนอเอาใจอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเพียงนี้ ในดวงตาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันปรากฏประกายริษยาวาบผ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงส่งๆ ย่อกายครึ่งหนึ่งคำนับอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างเงียบเชียบ ท่าทางน่าสงสารน่าเวทนายิ่งนัก

ทว่าพออวิ๋นเชียนเมิ่งเดินมาถึงข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยนางกลับหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ก้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาข้างหูอวิ๋นรั่วเสวี่ย “ครั้งนี้น้องสี่ก็ไปร่วมงานด้วยแน่นอน น้องรั่วเสวี่ยต้องพูดโน้มน้าวซูอี๋เหนียงให้ดีล่ะ ต่อให้น้องพูดโน้มน้าวซูอี๋เหนียงได้ แต่หากไม่มีข้านำทางเกรงว่าคงจะเข้าประตูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกงไม่ได้หรอก”

“ท่านพี่ได้โปรดชี้ทางให้น้องด้วย” พอได้ยินว่านางเด็กบ้านนอกอย่างอวิ๋นอี้อี้ก็จะไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วยเช่นกัน ในใจอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร้อนรนขึ้นมาจนต้องออกปาก

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะเสียงต่ำก่อนเอ่ยขึ้น “น้องก็รู้ว่าพี่เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งเดียวที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ก็คือสินเดิมของท่านแม่ แต่กลัวว่าของเหล่านี้จะอยู่ในมือซูอี๋เหนียงน่ะสิ”

กล่าวจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ไม่เอ่ยวาจาใดให้มากความอีก นำทุกคนเดินมุ่งไปยังหอไป่ซุ่นทันที

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นทุกคนออกไปแล้วก็ตีสีหน้าถมึงทึงพร้อมกับลุกยืนขึ้น พาสาวใช้ก้าวออกจากเรือนฉี่หลัวด้วยโทสะเต็มทั่วร่าง

 

อวิ๋นเชียนเมิ่งออกมาจากเรือนฉี่หลัวก็เห็นหลิ่วหานอวี้กำลังเดินมาหาตน ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็เห็นนางยอบกายคำนับอย่างเคารพนบนอบ กล่าวด้วยความซาบซึ้ง “บ่าวขอบคุณคุณหนูใหญ่แทนเยียนเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะที่ส่งเครื่องประดับมาให้ เยียนเอ๋อร์ชอบมาก หากมิใช่เพราะวันนี้เกิดเรื่องของฮวาอี๋เหนียง คุณหนูสามจะต้องรีบไปเรือนฉี่หลัวแต่เช้าตรู่ กล่าวขอบคุณคุณหนูใหญ่ด้วยตนเองแล้วเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหลิ่วหานอวี้สัตย์ซื่อจริงใจเช่นนี้จึงไม่เกรงอกเกรงใจเช่นกัน ยืนรับการคำนับของนางไว้ แล้วจึงประคองหลิ่วหานอวี้ขึ้น พูดยิ้มๆ “น้องสามเกรงใจไปแล้ว ข้าเห็นว่านางมีเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น ซ้ำหลิ่วอี๋เหนียงก็ดูแลครอบครัวอย่างสุดกำลังแรงใจ เครื่องประดับแค่นี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นน้องสามกับข้าจะไปร่วมงานครบรอบวันเกิดท่านยายด้วยกัน การแต่งองค์ทรงเครื่องจะให้น้อยหน้าผู้อื่นมากเกินไปไม่ได้”

หลิ่วหานอวี้ได้ยินข่าวดีนี้อย่างกะทันหัน รีบปัดความอ้างว้างเมื่อครู่ทิ้งทันที สีหน้าแววตามีความปีติยินดีเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจควบคุม นางยิ่งซาบซึ้งในตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นล้นพ้น “คุณหนูสามมีคุณสมบัติใดให้คุณหนูใหญ่ดูแลเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ ต่อให้บ่าวเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนได้เลยเจ้าค่ะ”

สำหรับวาจาซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินมาเยอะแล้ว มิได้เชื่อว่าคนเราจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป โดยเฉพาะการมีชีวิตอยู่เพื่อเอาตัวรอดและความรุ่งโรจน์มั่งคั่งของตนเองในคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่เป็นนิจนิรันดร์ ยิ่งทำให้นางไม่เชื่อคำสัญญาของผู้ใดง่ายๆ

ในเมื่อหลิ่วหานอวี้แสดงความจงรักภักดี อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็มิได้คาดคั้นให้นางพูดถึงขีดกำหนดเวลาของความภักดีสัตย์ซื่อนั้นออกมา เพียงแต่รับกล่องผ้าต่วนแดงที่นางสั่งให้ตระเตรียมไว้มาจากมือแม่นมหมี่ วางกล่องผ้าขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยใบนั้นใส่มือหลิ่วหานอวี้ เอ่ยเสียงอบอุ่น “ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้าตาอี๋เหนียงหรือไม่ ข้าเห็นเข้าตอนที่เลือกซื้อเครื่องประดับให้พวกน้องๆ เมื่อหลายวันก่อน รู้สึกว่าเหมาะกับหลิ่วอี๋เหนียงยิ่งก็เลยซื้อมา”

หลิ่วอี๋เหนียงแทบจะไม่กล้าเชื่อหูตนเอง นางมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง ทว่ากลับเห็นอีกฝ่ายยังคงมีท่าทางเรียบเฉยแย้มยิ้มบางๆ เหมือนเคย จึงเปิดกล่องผ้าออกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เห็นด้านในมีกำไลหยกขาวมันแพะ* วงหนึ่งวางอยู่ เนื้อหยกเกลี้ยงเกลามันวาว บนตัวเรือนหยกสีขาวดุจน้ำนมมีลวดลายสีแดงที่ออกแบบคล้ายดอกเหมยดอกหนึ่ง ดูจากลักษณะแล้วคงทำจากวัสดุธรรมชาติบริสุทธิ์โดยแท้

แม้หลิ่วหานอวี้จะมิได้มีความรู้กว้างขวางอย่างซูชิง แต่ก็รู้ว่ากำไลหยกนี้จะต้องเป็นสมบัติที่มีมูลค่าไม่ธรรมดาเป็นแน่ จึงไม่กล้าแตะต้องมันเท่าไรนักเพราะหวาดกลัวว่าจะทำมันตกแตก

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นท่าทางระมัดระวังสุดแสนของหลิ่วหานอวี้ จึงหยิบกำไลหยกนั้นขึ้นมาสวมให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง จากนั้นมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวชื่นชม “อี๋เหนียงเหมาะกับกำไลวงนี้จริงๆ เสียด้วย ยิ่งขับเน้นให้อี๋เหนียงงามหยาดเยิ้มขึ้นไปอีก”

หลิ่วหานอวี้ได้ยินคำชมของอวิ๋นเชียนเมิ่ง พวงแก้มทั้งสองก็แดงปลั่ง มือขวาลูบกำไลหยกบนข้อมือข้างซ้ายอย่างทะนุถนอม กล่าวอย่างถ่อมตน “เป็นเพราะกำไลที่คุณหนูมอบให้เป็นของดี แต่บ่าวกลับบดบังความงามของกำไลนี้”

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินเช่นนี้จึงเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา เดินไปยังทิศทางของหอไป่ซุ่นด้วยฝีเท้าเชื่องช้าแต่มั่นคง

 

ซูชิงที่ยามนี้อยู่ในเรือนเฟิงเหอถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยรบเร้ากวนใจจนปวดหัวไม่หยุด

“ท่านแม่ ท่านก็รับปากอวิ๋นเชียนเมิ่งไปสิ ลูกอยากไปงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินจริงๆ นะ!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยดึงแขนเสื้อของซูชิง ออกแรงเขย่าอย่างออดอ้อน

ส่วนซูชิงที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม บนศีรษะสวมรัดเกล้าฝังหยกลายบุปผาสีม่วงเข้ม ถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยเกาะแกะมาครึ่งค่อนวัน กอปรกับตั้งครรภ์ใกล้จะสองเดือน ทำให้ตอนนี้นางอ่อนเพลียยิ่งนัก อยากจะให้แม่นมหวังจับอวิ๋นรั่วเสวี่ยมัดไว้ใจจะขาด

ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่มีสายตาสอดส่องสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของซูชิงเลยสักนิด นางปล่อยมือจากแขนเสื้อแล้วเปลี่ยนเป็นเขย่าตัวมารดาแทน ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ยังไม่ได้หยุดพัก

“ท่านแม่ ถ้าท่านอาลัยของพวกนั้นนักก็ทำของปลอมให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเสียสิ อย่างน้อยก็ให้ข้าไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินก่อนเถอะ ในบ้านตอนนี้ท่านพ่อก็มาหาท่านที่นี่น้อยครั้ง ทางฝั่งท่านย่าก็ไม่อยากจะเห็นหน้าพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่ย่างเท้าออกจากบ้านทั้งวัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกรังแกตาย ถึงตอนนั้นท่านคลอดบุตรชายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีพลังอำนาจ ถูกบุตรภรรยาเอกกดหัวเหมือนเคย ไม่สู้ให้ข้าไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวิน ตั้งใจเสาะหาเขยขวัญสักคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ต่ออนาคตภายภาคหน้าของน้องชายก็เป็นได้”

นี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรกที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยเข้าร่วมตั้งแต่ถึงวัยออกเรือนมา แน่นอนว่าย่อมให้ความสำคัญเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้มารดาบังเกิดเกล้าของนางกลับห้ามไม่ให้ไปร่วมงาน จึงทำให้นางใจร้อนรุ่มดั่งไฟลน

อย่างไรก็ดี ต่อให้แต่ก่อนซูชิงรักใคร่เอ็นดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยเพียงไร แต่ในใจนางก็รู้ดีว่าบุตรสาวอย่างไรก็สู้บุตรชายไม่ได้

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าซูชิงกุมทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ในมือ เกรงว่าต่อไปคงมาไม่ถึงมือตนเป็นแน่ หากจะต้องเก็บไว้ให้มารที่ยังไม่ทันได้เกิดมาก็แย่งชิงความรักของมารดาและทรัพย์สินไปจากตน มิสู้มอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยังจะสามารถแลกโอกาสให้ตนได้อยู่เหนือผู้อื่นสักครั้ง

ทว่ายามนี้ซูชิงถูกวาจารัวเร็วและยาวเหยียดเป็นพรืดของอวิ๋นรั่วเสวี่ยทำให้เวียนหัวไปแล้ว นางยกมือขึ้นปัดมือทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยออก จับไหล่ทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก พูดปรึกษาว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าตามแม่ไปพักที่จวนของท่านยายสักสองสามวันเป็นอย่างไร ท่านยายเจ้าส่งคนมาบอกว่าคิดถึงเจ้ามาก”

แต่ยามนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยมีเพียงกู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกงเต็มดวงตาเต็มหัวใจ ถึงกับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าท่านยายที่มารดานางพูดถึงเป็นใคร

อย่างไรคนหนึ่งก็เป็นฮูหยินเก้ามิ่ง ขั้นหนึ่งชั้นเอกที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ อีกคนเป็นแค่กงเหริน ขั้นสี่เล็กๆ เท่านั้น

ระหว่างสองคนนี้ใครด้อยค่าใครสำคัญ อวิ๋นรั่วเสวี่ยกระจ่างแจ้งแก่ใจยิ่ง

มิหนำซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าซูที่จวนสกุลซูในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ภรรยาคนที่สองตอนที่ท่านตาของนางยังมีชีวิตอยู่ ไม่อาจนับได้ว่าเป็นยายแท้ๆ ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่เพราะว่าเกี่ยวดองกับท่านตาถึงได้เรียกขานกันเช่นนี้ เพราะฉะนั้นยามปกติอวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็ไม่ยอมไปมาหาสู่กับจวนสกุลซูเช่นกัน เพื่อเลี่ยงมิให้พบเจอฮูหยินผู้เฒ่าที่ชอบวางท่าใหญ่โตต่อหน้าพวกนางแม่ลูกผู้นั้น

ด้วยเหตุนี้ยามอวิ๋นรั่วเสวี่ยนึกถึงท่านยายที่ซูชิงพูดถึงจึงเอ่ยปากโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่ยอมไปเจอยายแก่นั่นหรอก นางมีสง่าราศีอย่างกู่เหล่าไท่จวินที่ไหนกัน ท่าทางตระหนี่และขี้ใจน้อยนั่นชวนให้คนเห็นแล้วหงุดหงิดจะตายชัก”

เดิมทีซูชิงเองก็ไม่ชอบแม่เลี้ยงผู้นั้น แต่ตอนนี้หลังจากได้ยินบุตรสาววิจารณ์คนที่บ้านเดิมของตนเองกับหู สีหน้าของนางจึงมืดทะมึนโดยฉับพลัน คว้าไหล่ทั้งสองข้างของอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลางออกแรงบีบทันที ในดวงตายิ่งปรากฏโทสะเป็นริ้วๆ

“โอ๊ย ท่านแม่ เจ็บนะ!” แขนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกบีบจนเจ็บ คิ้วใบหลิวพลันขมวดแน่น ร้องเสียงแหลมออกมา

เสียงของซูชิงเย็นขึ้นสามส่วน “เจ้าอย่าได้ละเมอเพ้อฝัน ข้าไม่มีทางรับปากแน่!”

ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยในตอนนี้หน้ามืดตามัวไปแล้ว เมื่อเห็นว่าถูกซูชิงปฏิเสธอีกครั้ง ทั้งร่างก็เต้นเร่าขึ้นมาราวกับเสียสติ ทันใดนั้นพลันพุ่งถลาไปตรงหน้าซูชิงอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่มีแม่นมหวังขวางอยู่ระหว่างกลาง

คำพูดที่ออกมาจากปากอวิ๋นรั่วเสวี่ยช่างทำร้ายจิตใจยิ่งนัก “ท่านแม่ สินเดิมเหล่านั้นช้าเร็วก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นสู้ท่านมอบให้ข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกท่านพ่อกับท่านย่า ท่านว่าพวกเขาจะทำอย่างไร”

ซูชิงรู้สึกเพียงว่าขั้วหัวใจของตนถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยเสียบเข้าหนึ่งดาบ แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยยังคิดว่าไม่เหี้ยมโหดพอ ยังออกแรงบิดด้ามดาบ บิดคว้านหัวใจของนางจนไม่เหลือชิ้นดี

แม่นมหวังเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยพาโลไม่ฟังเหตุฟังผล เดิมคิดจะพูดไกล่เกลี่ย แต่นึกถึงวาจาที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยพูดกับตนคราวก่อนได้จึงฝืนสะกดคำพูดที่มาถึงริมฝีปากลงไป ทำได้เพียงขวางอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้อย่างสุดกำลัง ไม่ให้นางเข้าใกล้ซูชิง

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นแผนยั่วยุไม่สำเร็จ ในสมองพลันคิดเฉียบไว จึงร้องโวยวายว่า “หากท่านไม่ให้ วันนี้ข้าก็จะโขกเสาตายที่นี่แหละ!”

พูดจบนางก็หันกายขวับ วิ่งตะบึงไปทางเสาเตียง

ทว่าสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเห็นท่าไม่ค่อยดี แต่ละคนต่างตกใจจนคิดอยากจะเข้ามาดูสถานการณ์ภายในห้อง แต่ก็นึกถึงกฎระเบียบอันเด็ดขาดของจวนอัครเสนาบดีขึ้นมาได้จึงไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้ามา แม่นมหวังซึ่งอยู่ด้านในตื่นตกใจจนตะลึงลานไปตั้งนานแล้ว ทำได้เพียงดึงอวิ๋นรั่วเสวี่ยไว้ตามสัญชาตญาณ โชคดีที่ดึงมือนางไว้ได้ มิเช่นนั้นหากอวิ๋นรั่วเสวี่ยพุ่งออกไปโขกเสาเตียงได้ ไม่ตายก็คงพิการ

ทว่าซูชิงกลับเพียงแค่ผลิยิ้มเฉยชา กล่าววาจาที่ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยไม่อยากจะเชื่อออกมา “ในเมื่อเจ้าอยากไปร่วมงานวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแม่ก็จะตามใจเจ้า”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยแทบไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน นางสีหน้าอึ้งงัน มองไปทางซูชิงด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง แต่กลับเห็นมารดายกมือขึ้นมาบีบพวงแก้มของนางเบาๆ ครั้นความเจ็บแปลบแผ่ลามมาถึง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เชื่อว่าทุกอย่างเป็นความจริง ความยินดีปรีดาอันใหญ่หลวงท่วมท้นในหัวใจโดยพลัน อวิ๋นรั่วเสวี่ยกอดซูชิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถามเสียงดัง “ท่านแม่ จริงหรือ ท่านรับปากจริงๆ น่ะหรือ!”

ซูชิงเห็นนางดีอกดีใจถึงเพียงนี้ก็ยิ้มตามเช่นกัน มือหนึ่งลูบบนหน้าผากบุตรสาวอย่างเบามือ อีกด้านหนึ่งเอ่ยถามเสียงแผ่ว “เด็กโง่ เป็นเรื่องจริงแน่นอน แม่จะหลอกเจ้าอย่างนั้นหรือ ประเดี๋ยวให้คนไปแจ้งอวิ๋นเชียนเมิ่งกับฮูหยินผู้เฒ่า ตอนเย็นให้พวกนางมาที่นี่ ข้าจะคืนของของมารดานางให้นางต่อหน้าท่านพ่อของเจ้าและฮูหยินผู้เฒ่า”

ได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็พยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางดุร้ายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนทันใด นางประคองซูชิงที่แลดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยเดินกลับเข้าไปพักในห้องอย่างระมัดระวัง

 

ภายในเรือนฉี่หลัว หลังจากได้ยินข่าวนี้แม่นมหมี่พลันรู้สึกว่าเบื้องหลังจะต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกให้ผู้อื่นรู้ได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นด้วยท่าทีของซูชิงก่อนหน้านี้ จะยอมคืนสินเดิมของฮูหยินให้คุณหนูอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองทัศนียภาพนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ ทำให้แม่นมหมี่กับมู่ชุนที่อยู่อีกด้านคาดเดาไม่ถูกว่านางกำลังยิ้มอะไรกันแน่ หรือว่าถูกซูชิงก่อกวนจนเสียแผนเข้าแล้ว

“คุณหนู ซูอี๋เหนียงให้ท่านไปที่เรือนเฟิงเหอคืนนี้ จะต้องซ่อนเร้นแผนร้ายไว้แน่ๆ เลยเจ้าค่ะ ท่านอย่าไปเลยจะดีกว่านะเจ้าคะ” อย่างไรมู่ชุนก็ยังเยาว์วัย เก็บระงับอารมณ์ไม่เก่งอย่างแม่นมหมี่ เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมีท่าทีเช่นนี้ก็คิดว่านางยิ้มเพราะโกรธถึงขีดสุด จึงเอ่ยปากอย่างเป็นห่วงเป็นใย

ทว่าหลังจากมู่ชุนเอ่ยขึ้น อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มสดใสเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ในดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งเปล่งประกายหนาวเหน็บชวนให้คนหวาดหวั่นราวกับเกล็ดหิมะเย็นเยียบ แต่รอบกายกลับแผ่กำจายกลิ่นอายอันอบอุ่น ให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา

“ทำไมจะไม่ไปเล่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งถามกลับเสียงเบา

แม้แต่มู่ชุนกับแม่นมหมี่ก็มองออกว่าซูชิงไม่ได้มีเจตนาดีแน่ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ย่อมต้องมองวัตถุประสงค์ของนางออกเช่นกัน

ปีนั้นซูชิงสังหารน้องชายแล้วเหลืออวิ๋นเชียนเมิ่งไว้ หาใช่เพราะนางใจอ่อนมีเมตตา แต่เรื่องนี้กลับบอกให้อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้เสียด้วยซ้ำไปว่าซูชิงเป็นคนฉลาดเจ้าแผนการเพียงใด

สังหารบุตรชายของอวิ๋นเสวียนจือถือเป็นการกำจัดศัตรูคนสำคัญที่สุดไปได้ มิเช่นนั้นพอเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นจะต้องสงสัยเรื่องการตายของมารดาบังเกิดเกล้าเป็นแน่ พอถึงเวลานั้น ระหว่างอนุภรรยากับบุตรสืบสกุล อวิ๋นเสวียนจือจะต้องเลือกทายาทของตนอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นอย่างนั้นเด็กคนนี้จะต้องแก้แค้นแทนมารดาของตนเป็นแน่แท้ ส่วนซูชิงก็ย่อมไม่มีจุดจบที่สวยงาม

ดังนั้นจึงซื้อตัวหมอตำแย กำจัดเด็กคนนี้โดยไม่ให้ใครจับได้ นี่เป็นขั้นแรกในแผนการของซูชิง

ส่วนที่เก็บอวิ๋นเชียนเมิ่งไว้ก็เพื่อปิดปากจวนฝู่กั๋วกง

อย่างไรเสียหากชวีรั่วหลีเสียชีวิตหลังจากทิ้งบุตรสาวคนหนึ่งไว้ ขอแค่หมอตำแยประกาศกับภายนอกว่าชวีรั่วหลีเสียชีวิตเพราะคลอดบุตรยาก เช่นนั้นต่อให้เป็นจวนฝู่กั๋วกงก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไรก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง ในอนาคตก็จะเป็นสตรีที่แต่งออกจากจวน เป็นน้ำที่สาดออกไป ภัยคุกคามที่มีต่อซูชิงไม่มากมายเท่าเด็กผู้ชายอยู่แล้ว

ดังนั้นการปล่อยให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นขั้นที่สองในแผนการของซูชิง

ทารกเพศหญิงตัวน้อยๆ คนนี้ตอนอยู่ในครรภ์มารดาก็ได้รับความทุกข์ยากมาแล้วจึงย่อมยากที่จะเลี้ยงให้รอด ในวันข้างหน้าหากไม่ระวังตายไปตั้งแต่เยาว์วัยก็ทำได้แค่โทษที่เด็กอายุสั้น ได้มาเกิดในครอบครัวสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้แต่กลับไม่มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เช่นนั้นก็มิอาจโทษผู้อื่นได้

ด้วยเหตุนี้ฉากหน้าซูชิงจึงเอาใจใส่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่เบื้องหลังกลับลอบเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งคนก่อนให้ไปสู่ที่ตาย

ต้องบอกว่าแผนการแต่ละขั้นของซูชิงรอบคอบรัดกุมจนน้ำไม่รั่วแม้แต่หยดเดียวจริงๆ

แต่ต่อให้รอบคอบเพียงใดก็ยังเผลอประมาทไปเล็กน้อย นางกลับลืมไปว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมีป้าแท้ๆ เป็นถึงไทเฮา

โชคดีที่มีการคุ้มครองจากไทเฮา ถึงแม้อวิ๋นเชียนเมิ่งจะอยู่ในจวนอัครเสนาบดีอย่างตกระกำลำบาก แต่ก็อดทนจนมาถึงวัยผู้ใหญ่ได้

แม้ไม่อยากจะยอมรับ ไม่ว่าไทเฮาจะส่งสุ่ยเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์มาอยู่ข้างกายตนด้วยจุดประสงค์ใด แต่ที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะไทเฮาเป็นเกราะป้องกันของนางจริงๆ

หากตนมิได้เดาผิด ซูชิงคงส่งคนไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่าในขณะเดียวกับที่ส่งคนมาเชิญตนเองไป

เกรงว่าครั้งนี้ซูชิงคงจะทุบหม้อข้าวจมเรือ* ทุ่มเดิมพันอย่างใจกล้า

นางต้องการคืนสินเดิมของชวีรั่วหลีให้ตนต่อหน้าอวิ๋นเสวียนจือและฮูหยินผู้เฒ่า ในขณะเดียวกันก็อธิบายกับทั้งสองว่าเป็นการเก็บรักษาดูแลแทนเท่านั้น

หากตนเองรับความปรารถนาดีของนาง อวิ๋นเสวียนจือกับฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงแต่คลายความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อซูชิงในอดีต พร้อมกันนั้นยังจะเกิดความเป็นอริกับตนอีกด้วย

หากตนเองปฏิเสธ เช่นนั้นสินเดิมเหล่านั้นเกรงว่าจะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซูชิงไปตลอดกาล

ต้องพูดว่าซูชิงช่างฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้

เพียงแต่นางไม่ได้ฉลาดจนถึงขั้นที่ทำให้ตนอับจนหนทางได้

มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งยกขึ้นน้อยๆ ผลิรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งออกมา อวิ๋นเชียนเมิ่งกวักมือเรียกมู่ชุนเข้าไปหา กระซิบเสียงเบาข้างหูนางสองสามประโยค พอเห็นมู่ชุนหมุนตัวเดินออกไปจากห้องถึงหันสายตามองไปยังอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆ ลาลับนอกหน้าต่าง สำหรับคืนมืดมิดที่กำลังจะมาเยือนนั้น ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยการรอคอย

 

ม่านราตรีล่วงมาถึงอย่างรวดเร็ว บนท้องนภาสีดำสนิทประดับประดาด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน เจิดจรัสถึงเพียงนี้ ทว่ากลับเย็นเยียบยิ่งนัก

เมื่อแม่นมหมี่กับมู่ชุนปรนนิบัติอวิ๋นเชียนเมิ่งทานอาหารเย็นเสร็จก็ช่วยนางสวมเสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย แต่เพราะกลัวลมราตรีและเกล็ดน้ำค้าง จึงตั้งใจสวมผ้าดิ้นปักลายคลุมกันลมชั้นเดียวให้นางเพิ่มเป็นพิเศษ แล้วจึงออกจากเรือนฉี่หลัวเดินไปยังเรือนเฟิงเหอ

เดินไปได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับพวกฮูหยินผู้เฒ่า อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงรีบเดินเข้าไปคารวะ ไต่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่าอาหารเย็นของฮูหยินผู้เฒ่ามีอะไรบ้าง หากอาหารไม่ถูกปากจะได้แจ้งให้ห้องครัวทราบ

ฮูหยินผู้เฒ่านึกขึ้นได้ว่าซูชิงส่งคนมาแจ้งตนว่าหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จให้ไปที่เรือนเฟิงเหอสักครา ให้นางที่เป็นแม่สามีฟังคำสั่งของอี๋เหนียงในบ้านของตน ในใจจึงลอบเคียดแค้นไม่หยุด ยามนี้เห็นว่าตนเองยังมีความสำคัญต่อหน้าหลานสาวคนนี้อยู่ ความเย็นชาบนใบหน้าจึงลดลงไปบ้าง ยื่นมือไปตบหลังมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งเบาๆ พูดยิ้มๆ “ยายหนูวางใจเถอะ ย่าสบายดีทุกอย่าง หลิ่วอี๋เหนียงก็เป็นคนตั้งอกตั้งใจ ดูแลเรื่องที่จำเป็นในการใช้ชีวิตทุกเรื่องได้รอบคอบกว่าคนข้างกายย่าเสียอีก ยายหนูเมิ่งเองก็เป็นห่วงย่าอยู่เสมอ ย่าอยู่ทางนั้นสุขกายสบายใจยิ่งนัก”

ความหมายในวาจานี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันดี อยู่ในหอไป่ซุ่นสุขกายสบายใจ แต่พอออกจากหอก็ไม่ค่อยถูกใจฮูหยินผู้เฒ่านัก

อวิ๋นเชียนเมิ่งเพียงแค่ยิ้มๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนอกสายเครื่องดนตรี เพียงแค่ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในเรือนเฟิงเหออย่างตั้งอกตั้งใจ

ในเรือนเฟิงเหอยามนี้มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงานภายในห้องก่อนแล้ว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาในห้อง คนที่อยู่ข้างในก็ยืนรออยู่ จากนั้นก็คำนับให้ฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกัน

เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เห็นเพียงอวิ๋นเสวียนจือนั่งอยู่ด้านในตั้งแต่แรกแล้ว เขาต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่านั่งลงด้วยใบหน้าเปี่ยมยิ้ม

ทว่าทุกคนยังไม่ทันได้เริ่มถกเถียงเรื่องสำคัญ เสียงรายงานของสาวใช้ก็ดังมาจากนอกประตู

“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน คุณหนูใหญ่ ฮูหยินท่านโหว แห่งจวนฝู่กั๋วกงมาเจ้าค่ะ”

บทที่ 15 ป้าหลานผนึกกำลังร่วมกันชิงสินเดิม

 “ท่านป้าสะใภ้มาแล้ว ท่านพ่อ เชิญท่านป้าสะใภ้เข้ามาได้หรือไม่เจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์ไม่ได้พบท่านป้าสะใภ้มานานแล้ว” อวิ๋นเชียนเมิ่งร้องขอบิดาด้วยความระมัดระวังเต็มเปี่ยม

อวิ๋นเสวียนจือมองซูชิงที่แอบส่ายหน้าให้เขาอย่างลับๆ แวบหนึ่ง แล้วนึกถึงที่พึ่งพิงอย่างจวนฝู่กั๋วกง คิดไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่าถึงพยักหน้า สั่งออกไปข้างนอกว่า “เชิญฮูหยินท่านโหวเข้ามาได้”

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที โค้งกายให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่คงไม่สะดวก ขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้ว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญจึงพยักหน้าให้อวิ๋นเสวียนจือ ปล่อยให้เขากลับไป

พออวิ๋นเสวียนจือออกไป เดิมฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่นึกว่าอวิ๋นเสวียนจือเพิ่งจะก้าวออกไปยังไม่ทันคล้อยหลัง จี้ซูอวี่ก็ก้าวเข้ามาในเรือน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจำต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราวแล้วปรับสีหน้าท่าทางเพื่อต้อนรับจี้ซูอวี่

“หลานสะใภ้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” พอจี้ซูอวี่เข้าห้องมาก็มองอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกระตือรือร้น โอภาปราศรัยอย่างสนิทสนม

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นจี้ซูอวี่ที่มีฐานะเป็นถึงฮูหยินท่านโหววางตัวนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าตนก็พลันหน้าชื่นแย้มยิ้มขึ้นทันใด ก่อนจะดึงจี้ซูอวี่ให้นั่งลงข้างกายตน ทั้งสองพูดคุยสนทนากันอย่างสนิทชิดเชื้อ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นจี้ซูอวี่มาได้ทันเวลาจึงอดผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน

ตอนนี้ในดวงตาซูชิงไม่มีแววลำพองใจเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว นัยน์ตาที่ยิ้มจางๆ นั้นแฝงด้วยความมุ่งร้ายอย่างลึกล้ำถึงขีดสุด อยากจะทิ่มแทงจี้ซูอวี่ที่โผล่มากะทันหันให้กลายเป็นโพรงใจจะขาด

“ฮูหยินผู้เฒ่า หลายปีมานี้ร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่ เหล่าไท่จวินของพวกเรารอคอยจะได้พบกับท่านตั้งแต่เมิ่งเอ๋อร์ไปรับท่านจากเมืองซูเฉิงกลับมาจวนอัครเสนาบดีเลยนะเจ้าคะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวิน แต่ท่านใจร้อนยิ่ง กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจากเมืองหลวงไปหลายปีจะไม่คุ้นเคยกับลมฟ้าอากาศที่นี่ สั่งข้าว่าพอทานอาหารเย็นแล้วให้นำรังนกและโสมคนเหล่านี้มามอบให้ ยังมีปะการังเลือด* อีกสองกระถาง บอกว่าดีต่อคนเฒ่าคนชราน่ะเจ้าค่ะ แล้วยังให้ข้าย้ายออกมาจากห้องอุ่นของนางด้วย นี่เป็นของบรรณาการ มีทั้งหมดแค่สิบต้นเท่านั้น ไทเฮาทรงห่วงใยเหล่าไท่จวินก็เลยคัดมาสองต้นมอบให้จวนโหว” ด้วยฐานะสูงศักดิ์ของจี้ซูอวี่ ตอนนี้ซูชิงจึงไม่กล้าเร่งเร้า ทั่วทั้งห้องได้ยินเพียงแค่เสียงของจี้ซูอวี่ผู้เดียว

พอนางมาถึงก็บอกจุดประสงค์ในการมาอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังนำของกำนัลล้ำค่าออกมา จึงปิดปากฮูหยินผู้เฒ่าได้โดยพลัน ทำให้นางคิดอุบายชิงสินเดิมของชวีรั่วหลีไม่ได้

วาจาของจี้ซูอวี่เพิ่งจะสิ้นคำ สาวใช้หลายคนจากจวนโหวก็ถือประคองของบำรุงนานาชนิดเข้ามาให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ชมดูทีละอย่างๆ ของบำรุงเหล่านั้นสีสันเยี่ยมยอด ขนาดได้สัดส่วน ล้วนแต่เป็นอาหารชั้นเลิศทั้งสิ้น

จวบจนฮูหยินผู้เฒ่าดูของเหล่านี้เสร็จสิ้น สาวใช้ทั้งแปดคนจึงยกไม้กระถางสูงเท่าครึ่งตัวคนเข้ามาสองต้น จี้ซูอวี่เดินเข้าไปเปิดผ้าแพรต่วนสีแดงที่คลุมทับบนปะการังเลือดต้นหนึ่งไว้ด้วยตนเอง ภายในห้องพลันสว่างโชติช่วง ปะการังสีเลือดที่สูงเท่าเอวคนเปล่งประกายเจิดจรัสภายใต้แสงเทียนสาดส่อง ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่ากับซูชิงตะลึงจนอ้าปากค้าง

จี้ซูอวี่เห็นว่าจุดประสงค์ของนางลุล่วงจึงให้พวกสาวใช้คลุมผ้าแพรต่วนปิดไว้ แล้วกลับไปนั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจหรือไม่เจ้าคะ เหล่าไท่จวินท่านเป็นคนตรงไปตรงมา กับคนที่ชอบล่ะก็แทบจะทุ่มเทประเคนให้ แต่กับคนที่ไม่ชอบก็อยากจะแล่เนื้อเถือหนังใจจะขาด เหล่าไท่จวินกับฮูหยินผู้เฒ่าถูกคอกันที่สุด จึงรีบเร่งสั่งให้หลานนำของมามอบให้กลางดึกเช่นนี้ ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้รังเกียจเลยนะเจ้าคะ”

ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะกล้ารังเกียจ

จี้ซูอวี่ได้เอ่ยวาจาอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้วว่าเหล่าไท่จวินให้เกียรติตนถึงได้ส่งของดีขนาดนี้มาให้จวนอัครเสนาบดี นอกจากนั้นปะการังเลือดนี้ยังเป็นของล้ำค่าหายาก คนอื่นแค่ได้เห็นแวบเดียวก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างล้นพ้นแล้ว แต่นางกลับได้มาเปล่าๆ ถึงสองต้น กลัวว่าคงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอื่นๆ ในเมืองหลวงอิจฉาตาร้อนตายสิไม่ว่า

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เช่นนั้นดวงตาก็พลันลุกวาว ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นตรงเมื่อนางยิ้ม นางดึงมือจี้ซูอวี่พลางกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “นี่คือน้ำใจของเหล่าไท่จวิน ที่จริงข้าคิดว่ามันเลอค่ามากเกินไปไม่กล้ารับเอาไว้ แต่ฮูหยินกล่าวชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าด้านรับเอาไว้ก็แล้วกัน ส่วนงานครบรอบวันเกิดของเหล่าไท่จวิน ข้าจะต้องไปร่วมฉลองด้วยเป็นแน่ หลังจากฮูหยินท่านโหวกลับไปแล้วรบกวนขอบคุณเหล่าไท่จวินแทนข้าด้วย”

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ารับสิ่งของไว้ จี้ซูอวี่จึงกวาดตามองในห้องแวบหนึ่ง เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนนิ่งอยู่อีกด้าน จึงกวักมือให้นางมาตรงหน้า ดึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาหาพร้อมกับสำรวจดูอย่างละเอียดลออ ใจที่ห่วงกังวลถึงค่อยๆ วางลง กล่าวยิ้มๆ ทันทีว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้เห็นเป็นเรื่องตลกเลยนะเจ้าคะ ครั้งนี้หลานขอเหล่าไท่จวินรับหน้าที่นี้ก็เพราะมีเหตุผลส่วนตัว ข้างกายเมิ่งเอ๋อร์ไร้มารดา ป้าสะใภ้อย่างข้าคนนี้จึงสงสารเวทนายิ่งนัก ก็เลยใช้โอกาสนี้มาเยี่ยมเยียน”

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางฟังจี้ซูอวี่พูดจ้อ แน่นอนว่าต้องแสดงให้เห็นว่าย่าอย่างตนก็เป็นห่วงเป็นใยหลานสาวเช่นกัน นางรีบเอ่ยชมอวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่ทันที “ฮูหยินไม่รู้หรอกว่าเมิ่งเอ๋อร์ว่าง่ายเอาใจใส่ผู้อื่นเพียงไร ข้ามาอยู่ได้หลายวันแล้ว แม่หนูนี่ก็มาคารวะแต่เช้าตรู่ทุกวันไม่เคยขาด ทั้งยังห่วงใยดูแลน้องสาวที่เพิ่งมาอยู่ด้วยกัน อย่าว่าแต่ฮูหยินเลย แม้แต่ย่าอย่างข้าก็รักใคร่เอ็นดูเหลือเกิน”

จี้ซูอวี่ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าพูดถึงน้องสาวที่เพิ่งมาอยู่ด้วยคนนั้น ประกายแปลกๆ วาบผ่านในดวงตา มองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างพะวงแวบหนึ่ง แต่เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งส่งสายตาวางใจให้นาง จี้ซูอวี่จึงมิได้ซักไซ้ต่อ แต่แสร้งทำเป็นถามฮูหยินผู้เฒ่ากลับด้วยความประหลาดใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ขอพูดเรื่องที่หลานไม่ควรพูดสักหน่อยเถิดนะเจ้าคะ นี่เป็นที่พำนักของอี๋เหนียง เหตุใดคุณหนูลูกภรรยาเอกอย่างเมิ่งเอ๋อร์ของพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ซ้ำตอนนี้ยังเป็นกลางดึกกลางดื่น หากข่าวคราวแพร่กระจายออกไป เกรงว่าจะเสียหายต่อชื่อเสียงของเมิ่งเอ๋อร์นะเจ้าคะ”

จี้ซูอวี่เอ่ยวาจาอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา แต่ในน้ำเสียงกลับเจือความแข็งกระด้างที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็น กอปรกับตัวนางเองฐานะสูงส่ง ยิ่งทำให้คนฟังมีความรู้สึกกดดันบางอย่าง

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดไม่ถึงว่าจี้ซูอวี่จะถามเช่นนี้ ใบหน้าชราพลันรู้สึกอับอาย ในใจอดไม่ได้ที่จะเริ่มต่อว่าอวิ๋นเสวียนจือและซูชิง

ทว่ายามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งคล้ายกับรู้สึกได้ว่าท่านย่าของตนกำลังเข้าตาจน จึงแก้ตัวแทนด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ “ท่านป้าสะใภ้ เดิมทีท่านย่าเองก็ไม่รู้ว่าถูกซูอี๋เหนียงเชิญมาเพราะเรื่องใดเหมือนกันเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของจี้ซูอวี่พลันบูดบึ้งเล็กน้อย สายตาคมปลาบดุจมีดกรีดพุ่งไปยังซูชิงที่อยู่อีกด้าน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้าไม่ยักรู้ว่าอี๋เหนียงในจวนวางตัวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงกับเชิญฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูใหญ่ให้มาหาได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปทูลถามไทเฮาว่าตอนนี้อี๋เหนียงเป็นใหญ่แล้วใช่หรือไม่”

ซูชิงถูกจี้ซูอวี่รุกฆาตถึงเพียงนี้ สีหน้าจึงย่ำแย่ขึ้นมาทันใด นางรีบคุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนร้องวิงวอน “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวมิได้คิดจะอวดดี ขอฮูหยินผู้เฒ่าให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามไปกันใหญ่ต่อหน้าจี้ซูอวี่ ไม่อย่างนั้นหากลุกลามไปจนถึงไทเฮาแล้วล่ะก็ คนที่เคราะห์ร้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นอวิ๋นเสวียนจือเป็นแน่ นางจึงจำต้องปั้นหน้าพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกับจี้ซูอวี่ “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ ข้าจะต้องสั่งสอนบ่าวไพร่พวกนี้แน่นอน ไม่ปล่อยให้เมิ่งเอ๋อร์ได้รับความขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่เอ็นดูตนเองถึงเพียงนี้ ขอบตาก็พลันแดงก่ำ คว้ามือจี้ซูอวี่มากุมไว้พลางร้องขอ “ท่านป้าสะใภ้ เมิ่งเอ๋อร์มิได้รับความขุ่นข้องหมองใจเลยเจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้อย่าได้โมโหไปเลย จะได้ไม่เสียสุขภาพ ไม่อย่างนั้นเมิ่งเอ๋อร์จะปวดใจนะเจ้าคะ”

จี้ซูอวี่ถูกเมิ่งเอ๋อร์เกาะกุมมือทั้งสองข้าง ทั้งเห็นนางท่าทางน่าเวทนายิ่ง จึงทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยปาก “ป้าสะใภ้รู้แล้ว แต่ตกลงเป็นเรื่องใดกันแน่ที่ทำให้เจ้าต้องวิ่งมากลางดึกเช่นนี้”

ได้ยินจี้ซูอวี่ยิงคำถามนี้อีกครั้ง หัวใจของซูชิงก็เต้นระรัวขึ้นมาทันที แต่ด้วยฐานะของนางต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก ทำได้เพียงบิดขยำผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง หวังเต็มหัวใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยับยั้งไว้ได้

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะถูกจี้ซูอวี่ทำให้ตกใจเสียขวัญ ยังจะกล้าห้ามมิให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตอบอีกได้อย่างไรกัน

เวลาเดียวกันนั้นเองอวิ๋นเชียนเมิ่งกับจี้ซูอวี่กลับลอบมองสีหน้าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าและซูชิงอยู่ตลอด พวกนางเข้าใจความคิดในหัวของคนอีกคู่หนึ่งดี ทำให้ในดวงตาของพวกนางรื้นรอยยิ้มมีความสุขออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉลาดเฉลียวของอวิ๋นเชียนเมิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ “ท่านป้าสะใภ้ ซูอี๋เหนียงบอกว่าจะคืนสินเดิมของท่านแม่ให้เมิ่งเอ๋อร์เจ้าค่ะ ถึงได้ส่งคนไปเชิญท่านย่ากับเมิ่งเอ๋อร์มา”

จี้ซูอวี่ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในใจยังคงมีคำถาม “พูดอย่างนี้แสดงว่าสินเดิมของชวีรั่วหลีอยู่ในมือซูอี๋เหนียง ซูอี๋เหนียงถือดีอะไรมายึดครองสินเดิมของฮูหยินภรรยาเอกนานหลายปีขนาดนี้”

ครั้นซูชิงได้ยินคำถามที่แฝงด้วยแววข่มขู่ในความอ่อนโยนของจี้ซูอวี่ หัวใจก็พลันสะดุ้งเฮือก ทำได้เพียงพูดแก้ตัวเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ฮูหยินของพวกเราไหว้วานบ่าวไว้ก่อนสิ้นใจเจ้าค่ะ ให้บ่าวมอบแก่คุณหนูหลังจากคุณหนูถึงวัยออกเรือน ที่บ่าวเชิญทุกคนมาวันนี้ก็เพราะอยากมอบทุกอย่างให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

ทว่าคำแก้ตัวของซูชิงมิได้รับการยอมรับจากจี้ซูอวี่ นางแค่นน้ำเสียงเย็นชาใส่แรงๆ หนึ่งคำรบ “คำสั่งเสียก่อนตาย? เจ้าเป็นใครกันชวีรั่วหลีถึงได้มอบของสำคัญเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าคิดว่าจวนฝู่กั๋วกงของเราเป็นคนตายหรือไร หรือว่ากลัวบ้านเดิมจะยักยอกของของลูกสาวตนเอง”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกไป แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ แต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกใจจะออกหน้าขอร้องจี้ซูอวี่ จึงวางสายตาไปบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง หวังว่านางจะพูดวาจาดีๆ สักสองสามประโยคเพื่อช่วยให้เหตุการณ์ตรงหน้านี้คลี่คลายลงได้บ้าง

อวิ๋นเชียนเมิ่งสบตาฮูหยินผู้เฒ่าและเข้าใจความหมายดี นางเขย่าแขนจี้ซูอวี่อย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยอย่างหนักแน่น “ท่านป้าสะใภ้ อย่างไรซูอี๋เหนียงก็ยังเป็นอนุของท่านพ่อ พวกเราสนใจแต่สินเดิมของท่านแม่ก็พอ ท่านอย่าได้มีโทสะเพราะคนไม่สำคัญเลยเจ้าค่ะ เพียงเท่านี้เมิ่งเอ๋อร์ก็ปวดใจยิ่งนักแล้ว”

จี้ซูอวี่ถูกนางก่อกวนจนหมดปัญญา ความหนาวเหน็บบนใบหน้าก่อตัวขึ้นไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่ยื่นมือจิ้มหน้าผากอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างอารมณ์ดีและขบขัน กล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เจ้านี่จริงๆ เลย” ก่อนที่นางจะเบนสายตาออกแล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในบ้านของจวนอัครเสนาบดี คนนอกอย่างข้าไม่ควรสอดมือ แต่ว่าใครใช้ให้เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีมารดาตั้งแต่เด็กเล่า หากข้าไม่ดูแลนางเหมือนบุตรสาวแท้ๆ ก็ไม่มีใครรักใคร่สงสารนางจริงๆ ในเมื่อวันนี้ข้าพบเจอเรื่องนี้เข้า ข้าก็จะถือวิสาสะจัดการเรื่องนี้ ส่วนอี๋เหนียงที่ก่อเรื่องวุ่นวายพวกนั้นก็รอให้ท่านอัครเสนาบดีจัดการเอาเองเถิด ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดเห็นเป็นเช่นไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นจี้ซูอวี่พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งยังเห็นว่านางจัดการแค่เรื่องสินเดิมเท่านั้น จึงพยักหน้าทันที กระวีกระวาดตอบกลับ “วาจานี้ของฮูหยินพูดผิดอยู่บ้าง เดิมพวกเราก็เป็นเครือญาติกัน หาใช่คนอื่นคนไกล ฮูหยินช่วยเมิ่งเอ๋อร์ดูแลสินเดิมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว”

จี้ซูอวี่เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย สายตาหันไปหาซูอี๋เหนียงทันที กล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “ซูอี๋เหนียง ตอนนี้เจ้าก็มอบสินเดิมมาสิ ข้าจะให้แม่นมประจำตัวข้าตามไปจดบันทึกเอาไว้ให้หมดทุกชิ้น จากนั้นค่อยเทียบกับบัญชีที่นำกลับจวนฝู่กั๋วกงไปก่อนหน้านี้ หากขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องนี้จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ พอถึงตอนนั้นทุกคนไม่ได้อยู่ดีมีสุขแน่”

ซูชิงได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น เดิมก็มีโทสะอัดแน่นเต็มท้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินจี้ซูอวี่ข่มขู่เช่นนี้ยิ่งรู้สึกดั่งรสขมปร่าเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ เลือดกระอักหนึ่งพ่นพรวดออกมาจากปาก ซูชิงกะพริบตาทั้งสองข้างหนึ่งทีแล้วหมดสติไป

“ใครก็ได้ ยกซูอี๋เหนียงไปห้องปีกข้างที” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าเครือญาติมากเท่านี้มาก่อน จึงสั่งให้พวกแม่นมยกซูชิงออกไป ส่วนทางฝั่งจี้ซูอวี่ได้เรียกแม่นมหวังที่เป็นคนสนิทของซูชิงให้นางชี้บอกสถานที่ที่เก็บสินเดิมไว้ และตนเองก็ตามแม่นมหวังไปไม่ให้คลาดแม้แต่ก้าวเดียว เห็นนางเปิดผนังด้านหนึ่งภายในห้องนอน จี้ซูอวี่จึงสั่งให้สาวใช้ของจวนฝู่กั๋วกงย้ายของที่อยู่ด้านในออกมาจดบันทึกลงบัญชีตรงนั้นเลย

ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูสินเดิมที่กองพะเนินจนเต็มเรือนเฟิงเหอแต่ก็ยังล้นออกมาข้างนอกอย่างต่อเนื่อง รู้สึกหัวใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง แต่ติดที่แรงกดดันจากจี้ซูอวี่ จึงทำได้เพียงก่นด่าซูชิงพลางพูดว่าควรจะคืนสู่เจ้าของเดิมตั้งแต่แรก

จี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งฟังวาจาที่ไม่ตรงกับใจของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งสองสบตากันยิ้มท่ามกลางแสงสลัวภายในห้อง

พอถึงเที่ยงคืน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกจี้ซูอวี่กับอวิ๋นเชียนเมิ่งโน้มน้าวให้กลับไปพักผ่อน ส่วนจี้ซูอวี่ยืนกรานว่าจนกว่าหญิงรับใช้ที่จดบัญชีส่งมอบสมุดรายชื่อให้กับตน และเห็นทุกคนย้ายของทั้งหมดไปยังเรือนฉี่หลัวของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตาตนเองถึงจะวางใจได้

ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ ถึงได้นับสินเดิมที่เป็นของชวีรั่วหลีซึ่งอยู่ในเรือนของซูชิงได้อย่างครบถ้วน

 

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองเห็นสิ่งของที่กองเต็มลานบ้านก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาชั่วขณะ

นางอดนับถือซูชิงอยู่บ้างมิได้ สตรีผู้นั้นครอบครองสินเดิมของชวีรั่วหลีเอาไว้เพียงผู้เดียว ถึงกับสร้างห้องลับที่กินพื้นที่กว้างขวางไว้ในห้องนอนของตนเอง นอกจากสินเดิมทั้งหมดที่บรรจุเอาไว้ ยังมีสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย

พวกแม่นมหมี่กับมู่ชุนก็ช่วยบรรดาสาวใช้จากจวนฝู่กั๋วกงย้ายพวกของที่ล้ำค่ามากที่สุดเข้าไปในห้อง อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นจี้ซูอวี่ยุ่งง่วนเพราะเรื่องของตนตลอดทั้งคืน ในใจจึงพลันรู้สึกผิดไม่หยุด ดึงมือจี้ซูอวี่ไว้พลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “ท่านป้าสะใภ้ หากไม่รังเกียจก็พักผ่อนในเรือนข้าสักครู่แล้วค่อยกลับเถิด”

จี้ซูอวี่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยตนจากใจจริง แต่ยามนี้เหล่าไท่จวินคงกำลังรอข่าวคราวจากตนอยู่เป็นแน่แท้ จึงยิ้มพลางลูบดวงหน้าเล็กที่ซีดเซียวเล็กน้อยของอวิ๋นเชียนเมิ่งพลางกล่าว “ไม่ล่ะ ข้ายังต้องกลับไปรายงานเหล่าไท่จวิน เจ้านี่สิ ประเดี๋ยวต้องพักผ่อนเยอะๆ สักวันนะ”

พูดจบก็มอบสมุดบัญชีให้อวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมกำชับอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เทียบกับสมุดบัญชีเล่มก่อนดูดีๆ หากขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว ป้าสะใภ้จะทวงคืนมาให้เจ้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้จี้ซูอวี่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องของตนจึงพลันซาบซึ้งขึ้นมาอีก สองมือรับสมุดบัญชีมา เอ่ยปากอย่างแฝงด้วยความเสียดายสุดแสน “แต่น่าเสียดายปะการังเลือดสองต้นนั้น บุญคุณที่จวนฝู่กั๋วกงมีต่อเมิ่งเอ๋อร์ ทั้งชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์ก็ยากจะตอบแทนได้หมด”

จี้ซูอวี่เห็นว่านางพูดจาหนักแน่นจริงจังยิ่งจึงพลันประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรวบอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ทำให้คนสงสารเวทนาเข้าสู่อ้อมกอดของตน พูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าเป็นทั้งหลานของป้าสะใภ้ และยังเป็นแก้วตาดวงใจของป้า ยิ่งกว่านั้นยังเป็นลูกหลานของจวนฝู่กั๋วกงเรา มารดาก็ปฏิบัติต่อบุตรเฉกเช่นนี้มิใช่หรือ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย อย่าได้เห็นป้าสะใภ้เป็นคนอื่นคนไกลเลย มิเช่นนั้นระวังต่อไปป้าสะใภ้จะไม่ช่วยเจ้าแล้ว นอกจากนี้ปะการังเลือดสองต้นนั้นแลกสินเดิมของรั่วหลีกลับมาได้ก็ถือเป็นการค้าขายที่ไม่ขาดทุนแล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในอ้อมกอดจี้ซูอวี่เงียบๆ ซึมซับความรักของมารดาที่ไม่เคยได้รับในทั้งสองภพ อ้อมกอดอันอบอุ่นอ่อนโยนนี้กลับแฝงด้วยพลังที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ทำให้หัวใจที่ร้อนรนของอวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ สงบลง

หญิงรับใช้ชราซึ่งอยู่อีกด้านเห็นว่าฟ้าสางแล้ว จึงเตือนจี้ซูอวี่เสียงเบาว่าต้องกลับจวนฝู่กั๋วกงแล้ว มิเช่นนั้นประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินหาตัวไม่เจอจะร้อนใจเอา

จี้ซูอวี่เห็นว่าตนเองอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีมาหนึ่งคืนเต็มๆ ไม่สามารถรั้งอยู่ต่ออีกได้จริงๆ จึงปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งเบาๆ กำชับอย่างไม่วางใจ “ระยะนี้เจ้าก็ต้องรับมือทุกคนอย่างระมัดระวังล่ะ หากปรามเอาไว้ไม่อยู่ก็อ้างถึงจวนฝู่กั๋วกงกับไทเฮาได้เต็มที่”

ได้ยินเช่นนั้น ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน เมื่อคืนหากมิใช่เพราะฐานะของจี้ซูอวี่ เกรงว่าคงจะปรามฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยู่จริงๆ

ที่ซูชิงโมโหจนกระอักเลือดหมดสติก็เป็นเพราะฐานะของนางต่ำต้อยเกินไป นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ซูชิงพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น

เดิมอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะไปส่งจี้ซูอวี่ถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี แต่นางกลับให้อวิ๋นเชียนเมิ่งยั้งฝีเท้าอยู่ที่หน้าประตูเรือนฉี่หลัว แล้วดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาใกล้ๆ ถามเสียงต่ำด้วยความกังวลเล็กน้อย “ได้ยินว่าลูกๆ ของท่านอาเจ้าล้วนถูกฮูหยินผู้เฒ่ารับมาอยู่จวนอัครเสนาบดี มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”

ในเมื่อจี้ซูอวี่ถามแบบนี้ก็ย่อมต้องรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งเองก็ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย นางยิ้มจางๆ พลางพยักหน้าก่อนจะบอกแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าให้จี้ซูอวี่ฟังจนหมดสิ้น

หลังจากนั้นก็เห็นจี้ซูอวี่มุ่นหัวคิ้วเบาๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับหัวเราะสบายใจเฉิบ เอ่ยปลอบเสียงค่อย “ท่านป้าสะใภ้ไม่ต้องกังวลมากไปหรอกเจ้าค่ะ ต่อให้พวกเขาดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ เมิ่งเอ๋อร์มีแผนอยู่ในใจแล้วเจ้าค่ะ”

จี้ซูอวี่เห็นท่าทางสุขุมนิ่งเฉยของนาง หัวใจที่ลอยค้างเติ่งอยู่ทีแรกก็ค่อยๆ วางลง สั่งให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเข้าห้องไปพักผ่อน ส่วนตนเองก็ก้าวเท้าเร็วรี่พาสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังรีบกลับจวนฝู่กั๋วกง

 

เรือนเฟิงเหอยามนี้กลับเกิดมีเสียงโหยไห้สะอึกสะอื้นดังออกมา

ซูชิงฟื้นขึ้นมาในวันถัดไปแล้วเห็นห้องนอนของตนเองถูกคนอื่นขนของออกไปถึงสองในสามส่วน ทันใดนั้นพลันล้มนั่งลงหน้าประตูห้องลับด้วยความลนลาน สองมือตบพรมแล้วปล่อยเสียงร่ำไห้

“ฮูหยิน ท่านเศร้าโศกเกินไปไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมสิว่าในท้องของท่านยังมีนายน้อยอยู่” ในใจแม่นมหวังเองก็รู้สึกย่ำแย่เช่นกัน นางคุกเข่าข้างกายซูชิง มือหนึ่งดึงซูชิงไว้ อีกมือลูบหน้าอกซูชิงเบาๆ ให้นางหายใจสะดวก

ทว่าซูชิงในตอนนี้ไหนเลยจะฟังวาจาเหล่านี้เข้าหู นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะชั่วช้าได้ถึงขั้นนี้ แทบจะขนของออกไปจากเรือนเฟิงเหอของนางจนไม่เหลืออะไร แค่คิดว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ตนเองแอบเก็บซ่อนมาสิบกว่าปีถูกคนอื่นช่วงชิงไป ซูชิงก็รู้สึกอึดอัดทรมานเหมือนว่าโลหิตในร่างตนเองถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เข้ามาในตอนนี้กลับแอบอยู่หน้าประตูห้องนอนมองดูมารดาร้องไห้คร่ำครวญโดยไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย ในใจรู้สึกผิดอยู่มาก

ทีแรกนางคิดว่าสินเดิมของชวีรั่วหลีก็เหมือนๆ กับคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อวานหลังจากนางเห็นสมบัติล้ำค่าที่กองพะเนินเต็มลานบ้านด้วยตาตนเอง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็อยากจะโขกศีรษะตายใจจะขาด

ทรัพย์สมบัติล้ำค่าควรเมืองเหล่านี้เดิมทีก็เป็นของนาง แต่บัดนี้กลับถูกนางคนชั่วอวิ๋นเชียนเมิ่งใช้แผนสกปรกช่วงชิงไป อวิ๋นรั่วเสวี่ยโมโหจนอยากจะพุ่งไปเรือนฉี่หลัวให้ปลาตายตาข่ายขาด กับอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนเองได้สูญเสียทรัพย์สินก้อนใหญ่ไปแล้ว ไม่อาจล่วงเกินอวิ๋นเชียนเมิ่งในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ได้อีก ไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะได้ร่วมงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินซึ่งแลกมาด้วยสินเดิมก็จะสูญเปล่า

อวิ๋นรั่วเสวี่ยหดตัวอยู่ข้างประตู เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดรอบหนึ่ง ถึงแม้ในใจจะเสียใจไม่หยุด แต่บัดนี้เรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะแย่งชิงสินเดิมกลับมาจากมืออวิ๋นเชียนเมิ่งคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน มิสู้ทุ่มเทความสนใจให้กับงานเลี้ยง หาสามีที่ถูกใจที่จะทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อน พอถึงตอนนั้น คอยดูแล้วกันว่านางจะเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไร

พอคิดได้เช่นนี้ ในดวงตาอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ผุดแววลำพองใจอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่ากลับถูกซูชิงที่บังเอิญหันหน้ากลับมาเห็นเข้าเต็มตา ซูชิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นทันใด ถลาเข้าไปตรงหน้านางโดยที่นางยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนเงื้อมือซ้ายขึ้นสะบัดใส่ใบหน้าของอวิ๋นรั่วเสวี่ย

เสียง ‘เพียะ!’ ดังลั่น นางตบอวิ๋นรั่วเสวี่ยจนมึนงง และตบจนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาซูชิงไหลรินลงมาเช่นกัน

ซูชิงชี้ไปยังทิศทางของประตูใหญ่พลางตะคอกเสียงดัง “ไป! เจ้าไสหัวไปซะ!”

ในหัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันขาวโพลน มองสีหน้าดุร้ายของซูชิง ในใจนึกกลัวขึ้นมาในชั่วพริบตา ตอนนี้นางอยู่ในจวนอัครเสนาบดีก็ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของทุกคน หากแม้แต่ซูชิงก็ไม่ต้องการนาง เช่นนั้นสภาพของนางในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แค่จินตนาการเอาก็รู้แล้ว

อวิ๋นรั่วเสวี่ยคุกเข่าลงด้วยปฏิกิริยาตอบสนองโดยแทบจะไม่ต้องคิดมาก กอดสองขาของซูชิงไว้พลางร้องโหยหวนเสียงดัง “ท่านแม่ ทำไมท่านทำแบบนี้! ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอวิ๋นเชียนเมิ่งขุดหลุมล่อให้ข้ากระโดดลงไป ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร ข้าก็แค่อยากหาคนดีๆ สักคนให้ตนเอง ต่อไปจะได้ช่วยเหลือน้องชายได้ ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไล่ข้าไปไม่ได้นะ ข้าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านนะ ท่านทำแบบนี้มิใช่ทำให้คนใกล้ทุกข์ ศัตรูสุขหรือไร ถ้าอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราแม่ลูกร้าวฉาน ไม่แน่อาจจะหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ก็ได้!”

ทว่าซูชิงในวันนี้กลับใจแข็งแล้ว ไม่ว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะร่ำไห้วิงวอนอย่างไร แววตาแน่วแน่ของนางก็ไม่แปรเปลี่ยน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งหลอกใช้เพราะความเห็นแก่ตัว นางถึงกับไม่คำนึงถึงบุญคุณที่ตนเลี้ยงดูนางมานานหลายปี การหักหลังอย่างโจ่งแจ้งนี้แทบจะทำร้ายซูชิงยิ่งกว่าการสูญเสียสินเดิมไปเสียอีก

ตอนนี้ซูชิงไม่อยากเห็นหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยอีกต่อไป หวังเพียงแค่ให้นางอยู่ให้ไกลจากตนเอง หวังว่านางจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าตนเองอีก และหวังว่าความโง่เขลาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะไม่กีดขวางอนาคตของลูกในครรภ์คนนี้

อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ว่าสีหน้าซูชิงจะคิดแตกหักเพียงไร ไม่ว่าสีหน้าซูชิงจะเยียบเย็นเพียงไร นางรู้ว่าหากปล่อยมือ ตนเองก็จะกลายเป็นเด็กไม่มีแม่เหมือนกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางไม่ยินยอมให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนมีซูชิงคอยคิดวางแผนให้ หากต่อไปเหลือเพียงนางตัวคนเดียว นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร มิหนำซ้ำตอนนี้ในจวนยังมีฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นนางขัดหูขัดตา ใครจะรู้ว่าหากตนเองไร้ซึ่งการคุ้มครองจากมารดา ฮูหยินผู้เฒ่าจะหาคู่ครองธรรมดาๆ ให้นาง จับนางแต่งออกไปอย่างลวกๆ หรือไม่

พอคิดเช่นนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายฝน แนบใบหน้าชิดกับต้นขาซูชิงโดยไม่สนภาพลักษณ์ ส่ายหน้าพลางร้องเสียงดังไม่ยอมปล่อยมือ พานให้ซูชิงพลันมุ่นหัวคิ้ว ส่งสายตาให้แม่นมหวังให้นางลากอวิ๋นรั่วเสวี่ยออกไป

อย่างไรเสียแม่นมหวังก็เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้คุณหนูรองจะดื้อด้านไม่ฟังเหตุผลอยู่บ้าง แต่ในใจแม่นมหวังก็ยังคงเอ็นดูนาง ตอนนี้จะให้แม่นมหวังมองดูความผูกพันฉันแม่ลูกของซูชิงกับอวิ๋นรั่วเสวี่ยแตกหักไปต่อหน้าต่อตา ในใจแม่นมหวังไม่ยินดียิ่ง จึงลองพูดขอความเมตตาแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ย

“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูอายุยังน้อย ตั้งแต่เล็กก็เติบใหญ่ภายใต้การปกป้องของท่าน ย่อมไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายใดๆ แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งนั้นไม่เหมือนกัน เพื่อมีชีวิตรอดอยู่ในจวนอัครเสนาบดี หลายปีมานี้นางเก็บงำเขี้ยวเล็บไว้อย่างลึกล้ำ ถึงกับหลอกลวงพวกเราทุกคน จวบจนวันนี้ถึงได้โผล่หางจิ้งจอกออกมา ความใสซื่อของคุณหนูรองเมื่อเทียบกับความร้ายลึกของคุณหนูใหญ่ก็ย่อมต้องตกเป็นรองเป็นธรรมดา หากคุณหนูใหญ่จะหลอกใช้คุณหนูรอง นั่นแทบจะเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ถ้าวันนี้ท่านตัดความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกกับคุณหนูรอง ท่านคิดหรือเจ้าคะว่าคุณหนูใหญ่จะไว้ไมตรีกับคุณหนูรอง กลัวว่าพอถึงตอนนั้นคุณหนูรองคงตกที่นั่งลำบากแล้ว คนที่จะปวดใจก็คือฮูหยินเองนะเจ้าคะ”

ซูชิงถูกแม่นมหวังพูดโน้มน้าวเป็นชุด หัวใจที่แต่เดิมแน่วแน่ก็เริ่มสั่นคลอน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นมีคนพูดแทนตนจึงปล่อยซูชิงออกแล้วพุ่งไปหาแม่นมหวังทันที ร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหลพร้อมตะโกนร้อง “แม่นมๆ นอกจากท่านแม่แล้วท่านรักเสวี่ยเอ๋อร์ที่สุด ท่านช่วยข้าพูดขอร้องทีสิ ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ท่านย่ากับอวิ๋นเชียนเมิ่งร่วมมือกันเล่นงานข้า ข้ารู้จักเล่ห์กลมากมายถึงเพียงนั้นเสียที่ไหน หนำซ้ำยังทำให้ท่านแม่เดือดร้อนอีก หากรู้แต่แรกว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่มีเจตนาดี ข้าก็คงโกนผมบวชชีไปแล้ว ไม่รบเร้าให้ท่านแม่มอบสินเดิมให้นางหรอก แม่นม ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอร้องท่านช่วยพูดทีสิ ท่านแม่ยังตั้งครรภ์อยู่ จะเกิดโทสะเพราะข้าไม่ได้ แม่นม เสวี่ยเอ๋อร์ขอร้องท่าน…”

พูดถึงตอนสุดท้าย อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก สองมือกอดเอวแม่นมหวังไว้แน่น ออกแรงแนบตนเองชิดอ้อมกอดแม่นมหวัง เหมือนอยากจะฝังตัวบนร่างอีกฝ่ายจะแย่แล้ว

แม่นมหวังเห็นนางร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้ หัวใจก็ยิ่งอ่อนยวบ ช่วยพูดโน้มน้าวซูชิงต่อไปว่า “ฮูหยิน คุณหนูรองเป็นสายเลือดของท่านนะเจ้าคะ ท่านหักใจทอดทิ้งนางไว้ไม่เหลียวแลได้หรือเจ้าคะ”

ซูชิงถูกแม่นมหวังพูดชักจูงก็อดใจอ่อนไม่ได้ นางประคองอวิ๋นรั่วเสวี่ยขึ้นมาทันที กล่าวอย่างปวดใจ “เสวี่ยเอ๋อร์ เรื่องเมื่อครู่เป็นความผิดของแม่เอง แม่ไม่ควรระเบิดโทสะเอากับเจ้า ต่อไปไม่อนุญาตให้เจ้าก่อเรื่องซี้ซั้วเช่นนี้อีกนะ มิเช่นนั้นในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ก็จะไม่มีที่ให้พวกเราแม่ลูกยืนอีกแล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงให้อภัยตนในที่สุด จึงเปลี่ยนจากร้องไห้กลายเป็นแย้มยิ้มทันใด กอดซูชิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอย่างออดอ้อน

 

ส่วนจี้ซูอวี่พอกลับจากจวนอัครเสนาบดีก็ไปยังเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินทันที

ยามนี้กู่เหล่าไท่จวินทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งรอจี้ซูอวี่อยู่ในห้องอุ่นด้วยความกระวนกระวาย

เห็นจี้ซูอวี่ที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ แม้แต่น้ำชาสักอึกกู่เหล่าไท่จวินก็ลืมให้นางดื่ม เร่งรีบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

จี้ซูอวี่เห็นกู่เหล่าไท่จวินเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ก็รู้ว่าในใจนางเป็นห่วงอวิ๋นเชียนเมิ่งมาก จึงไม่ปล่อยให้กู่เหล่าไท่จวินต้องรอนาน เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

หลังจากกู่เหล่าไท่จวินฟังจบ ใบหน้าทั้งดวงก็โมโหจนแดงก่ำ มือที่สวมกำไลมรกตสีเขียวสดตบโต๊ะไม้ประดู่อย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น พาให้สาวใช้ในห้องอุ่นแต่ละคนตกใจจนไม่กล้าเปิดปาก

“เดรัจฉานใจไม้ไส้ระกำพวกนี้! ตอนแรกข้ายกไข่มุกในอุ้งมือให้แต่งกับอวิ๋นเสวียนจือ แต่เขาก็งามหน้ายิ่ง ลุ่มหลงซูชิงจากจวนสกุลซูผู้นั้น อีกทั้งหลีเอ๋อร์เพิ่งแต่งเข้ามาได้เป็นวันที่สองก็รับซูชิงเข้ามาในจวนทันที เรื่องเหล่านี้พวกเราไม่เอ่ยถึงแล้ว หลีเอ๋อร์เองก็จากไปหลายปีดีดัก แต่ดูสิว่าพวกเขาปฏิบัติต่อหลานสาวของเราอย่างไร ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีมารดา บิดาก็เป็นคนไม่ได้ความ ย่าคนนั้นก็ยิ่งเป็นพวกรังแกคนดีหวาดเกรงคนชั่ว เห็นทรัพย์สมบัติดุจชีวิต ซ้ำในจวนยังมีซูชิงที่อยากจะรีบๆ กำจัดเมิ่งเอ๋อร์ทิ้งไปเสีย คนพวกนี้จิตใจโหดเหี้ยมกับเด็กสาวคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ พวกเขาสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เสียด้วยซ้ำ! เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะเมิ่งเอ๋อร์หมดหนทางจริงๆ คงจะไม่มาหาพวกเราหรอก เห็นได้ว่าคนพวกนี้บีบคั้นหลานสาวข้าจนถึงขั้นไหน” กู่เหล่าไท่จวินยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ นางที่หลายปีมานี้ไม่เคยร้องไห้ แต่ตอนนี้ยามพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับขอบตาแดงก่ำ

จี้ซูอวี่เห็นอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ก็นึกถึงท่าทางละโมบเสแสร้งของฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยามอยู่ที่เรือนเฟิงเหอเมื่อวานขึ้นมา จึงอดสงสารอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ได้ ก้มหน้าหลั่งน้ำตาตามกู่เหล่าไท่จวิน

“ท่านแม่ยังมีเรื่องที่ไม่รู้! เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าฝั่งนู้นพูดเองว่ารับลูกๆ ของท่านอาเมิ่งเอ๋อร์กลับจวนอัครเสนาบดีมาด้วยกัน คงจะวางแผนคิดหาหนทางให้เด็กพวกนั้นน่ะเจ้าค่ะ ก่อนออกมาเมิ่งเอ๋อร์ก็บอกข้าอีกว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝั่งนู้นคิดจะฉวยโอกาสใช้งานครบรอบวันเกิดหกสิบปีของท่านครั้งนี้หาคู่ครองดีๆ ให้บุตรสาวของครอบครัวบุตรชายคนรองเจ้าค่ะ”

เสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น กู่เหล่าไท่จวินปัดถ้วยชาข้างมือตกแตก ก่นด่าว่า “ให้นางฝันกลางวันไปเถอะ! ถึงกับใช้จวนฝู่กั๋วกงของข้าเป็นแท่นเหยียบให้สกุลอวิ๋นของนาง? นางคิดว่าอวิ๋นเสวียนจือเป็นอัครเสนาบดีก็สามารถไก่และสุนัขพลอยขึ้นสวรรค์ ได้หรือ ปีนั้นหากมิใช่เพราะเกาะชายกระโปรงของรั่วหลี อาศัยแค่จอหงวนคนใหม่เพิ่งจะออกจากเตาอย่างอวิ๋นเสวียนจือเพียงผู้เดียว คิดจะเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงก็แทบจะเป็นเหมือนคนโง่นอนละเมอแล้ว! ข้าอยากจะเห็นนักว่าลูกคิดรางแก้วของนางจะล้ำเลิศเพียงใด! เดี๋ยวคอยดูข้ากระชากเม็ดลูกคิดนางให้หมดเกลี้ยงเถอะ!”

ในขณะที่เอ่ยวาจา บนร่างกู่เหล่าไท่จวินก็แผ่กำจายกลิ่นอายที่แตกต่างจากความสนิทสนมน่าใกล้ชิดในยามปกติราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั่วร่างแผ่รังสีเคร่งขรึมน่ายำเกรง บารมีของฮูหยินเก้ามิ่งขั้นหนึ่งชั้นเอกพลันแผ่กระจายออกมาจากภายในเนื้อแท้ของกู่เหล่าไท่จวินในชั่วพริบตานั้น

ถึงแม้จี้ซูอวี่ไม่อยากให้กู่เหล่าไท่จวินเกิดโทสะ แต่พวกสกุลอวิ๋นก็รังแกผู้อื่นหนักเกินไปแล้ว ถึงกับวางแผนเหยียบหัวจวนฝู่กั๋วกง แม้แต่คนที่อัธยาศัยดีอย่างจี้ซูอวี่ก็อดโมโหตามไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู่เหล่าไท่จวินที่กระทำการเด็ดขาดรวดเร็วมาตั้งแต่สมัยสาวๆ

ยามนี้คนที่สามารถจัดการกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลอวิ๋นได้ก็มีแต่กู่เหล่าไท่จวินผู้นี้เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จี้ซูอวี่จึงไม่เสียใจที่เล่าทุกอย่างให้กู่เหล่าไท่จวินฟัง เพราะนางเองก็อยากจะให้กู่เหล่าไท่จวินกระชากความโอหังของฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นออกมาเสียบ้าง

 

ยามจี้ซูอวี่เดินออกไปจากห้องอุ่นของกู่เหล่าไท่จวินก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เดิมคิดจะกลับไปพักในเรือนตนสักครู่หนึ่ง ทว่ากลับเห็นชวีฉางชิงและชวีเฟยชิงที่สีหน้าโกรธแค้นยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องอุ่น ดูท่าว่าเด็กสองคนนี้คงจะได้ยินบทสนทนาระหว่างตนกับกู่เหล่าไท่จวินหมดแล้ว

ทั้งสองเห็นมารดาของตนเดินออกมาก็ปรี่เข้าไปรับทันที ชวีเฟยชิงนิสัยค่อนข้างเปิดเผยตรงไปตรงมา ยามนี้จึงขอบตาแดงก่ำไปเรียบร้อยแล้ว ดึงแขนเสื้อของจี้ซูอวี่พลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้นฮัก “ท่านแม่ ที่จวนอัครเสนาบดีเมิ่งเอ๋อร์ผ่านวันคืนเช่นนี้มาหรือ เหตุใดคนที่นั่นถึงดุร้ายเสียยิ่งกว่าหมาจิ้งจอกบนภูเขา ทั้งยังแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ โชคดีที่น้องเมิ่งเอ๋อร์เข้มแข็ง หากเป็นข้าเกรงว่าคงได้แต่แอบร้องไห้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

จี้ซูอวี่เห็นชวีเฟยชิงร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาจึงพลันตลกขบขัน นิ้วมือจิ้มจมูกงามของบุตรสาว กล่าวหยอกล้อ “ชีวิตของเจ้าดีกว่าน้องเมิ่งเอ๋อร์ของเจ้ามากนัก รอบตัวเจ้ามีกู่เหล่าไท่จวิน ท่านพ่อ พี่ชายที่รักเจ้า ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ได้อยู่ดีกินดี แต่เมิ่งเอ๋อร์ต้องมีชีวิตดิ้นรนเอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็ก นานวันเข้านิสัยของเด็กคนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องดี แต่ก็ทำให้คนสงสารเช่นกัน”

ได้ยินจี้ซูอวี่พูดมาเช่นนี้ ชวีเฟยชิงก็พยักหน้าแรงๆ สูดจมูกพลางกล่าวอย่างหงุดหงิดโมโห “จวนอัครเสนาบดีนั่นมิใช่ที่ที่คนอยู่ได้จริงๆ ท่านแม่ มิสู้ให้น้องมาอยู่จวนฝู่กั๋วกงไม่ดีกว่าหรือ บ้านเราไม่ใช่ว่าเลี้ยงเมิ่งเอ๋อร์ไม่ไหวสักหน่อย”

“น้องเล็ก!” ตอนนี้เองชวีฉางชิงที่นิ่งเงียบอยู่อีกด้านกลับตวาดเสียงต่ำอย่างกะทันหัน ทำให้ชวีเฟยชิงตกใจจนไปหลบหลังมารดา ตบอกพลางต่อว่าต่อขาน

“พี่ใหญ่ ท่านทำอะไรเนี่ย ข้าตกใจแทบตาย มีอะไรพูดดีๆ ไม่เป็นหรือ ไยต้องทำให้ตกอกตกใจด้วย!”

แต่ครั้งนี้จี้ซูอวี่กลับยืนอยู่ข้างบุตรชาย ดึงตัวชวีเฟยชิงที่อยู่ด้านหลังเข้ามา เขกศีรษะเล็กๆ ของนางเบาๆ ก่อนจี้ซูอวี่จะกำชับอย่างระมัดระวัง “เฟยเอ๋อร์ วาจาบางอย่างไม่อาจพูดมั่วซั่ว! น้องเมิ่งเอ๋อร์ของเจ้ามีบิดามีท่านย่า จะออกจากสกุลของตนมาพึ่งพาสกุลของท่านตาได้ที่ไหนกัน ถ้าทำแบบนั้น อย่าว่าแต่คนภายนอกจะพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาเลย ต่อให้เป็นอาเขยของเจ้าเองก็คงไม่ตกลงแน่ เจ้าต้องรู้ว่าแม้พวกเรามองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่โลกภายนอกไปจนถึงราชสำนักมักจะปลุกปั่นเรื่องราวไปพัวพันถึงกิจการบ้านเมือง พอถึงตอนนั้นคงก่อกลิ่นเหม็นคาวให้จวนฝู่กั๋วกงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”

ชวีเฟยชิงเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความห่วงใย ไหนเลยจะเคยประสบอันตรายเช่นนี้ เมื่อได้ยินจี้ซูอวี่วิเคราะห์แบบนี้ถึงได้รู้สึกว่าหนทางเบื้องหลังช่างลึกล้ำยิ่งนัก ส่วนวิธีคิดแก้ปัญหาของตนเองก็เรียบง่ายเกินไปจริงๆ พลันรู้สึกอับอายจนก้มหน้าแลบลิ้นแล้วยืนอยู่อีกด้านไม่ปริปากใดๆ อีก

ทว่ายามนี้ชวีฉางชิงกลับเอ่ยปากขึ้น นัยน์ตาลึกล้ำของเขายังคงสงบสุขุมเหมือนเคย แต่แววตาที่เป็นประกายน้อยๆ นั้นปรากฏความห่วงใยที่มีต่อสภาพชีวิตของอวิ๋นเชียนเมิ่ง “หรือว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว”

จี้ซูอวี่มองบุตรชายที่ทำให้นางภาคภูมิใจคนนี้ ทว่ากลับถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้

แม้ฉางชิงจะหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่ มีอัจฉริยภาพด้านการปกครองรวมถึงการยกทัพจับศึก แต่เพราะเติบโตขึ้นในค่ายทหารตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้แย่งชิงในวงศ์ตระกูลใหญ่ ยามนี้พอเอ่ยถึงปัญหาพรรค์นี้กลับเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนของเขาเช่นกัน

“ต้องบอกว่าพำนักถาวรคงเป็นไปไม่ได้ แต่การไปมาหาสู่ระหว่างเครือญาติยังคงทำได้ ให้เมิ่งเอ๋อร์มาพักสักครึ่งปีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้สถานการณ์ในจวนอัครเสนาบดีนั้นพิเศษ หากเมิ่งเอ๋อร์จากมา เกรงว่าคนถ่อยพวกนั้นจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก” จี้ซูอวี่พูดเสียงต่ำ ทว่ากลับเห็นบุตรชายหญิงคู่นี้ของตนหัวคิ้วขมวดลึกจึงอดขำไม่ได้ นางปลอบใจพวกเขาว่า “มีข้ากับเหล่าไท่จวินอยู่ เชื่อว่าพวกเขาไม่กล้าก่อเรื่องร้ายแรงหรอก พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป ข้าเชื่อว่าด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของเมิ่งเอ๋อร์จะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ได้แน่ๆ”

พูดจบจี้ซูอวี่ก็เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา ดึงตัวชวีเฟยชิงพลางพูดคุยกับนางว่าระยะนี้งานฝีมือพัฒนาขึ้นหรือไม่ ชวีเฟยชิงพลันอับจนคำพูดทันใด กอดแขนมารดาของตนพร้อมพูดหยอกล้ออย่างออดอ้อน สองแม่ลูกหัวเราะร่าเดินจากไปพร้อมกัน

ส่วนชวีฉางชิงที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับมีท่าทางครุ่นคิด มองดูภาพความผูกพันฉันแม่ลูกอันลึกซึ้งของมารดากับน้องสาวก็นึกถึงอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ไม่มีมารดามาตั้งแต่เด็ก สงสารญาติผู้น้องคนเล็กที่มีวาสนาได้พบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งคนนั้นขึ้นมา

แต่ชวีฉางชิงก็รู้เรื่องที่น้องสาวไม่รู้มาบ้าง

จวนอัครเสนาบดีน่าจะมีอันตรายห้อมล้อมรอบด้านเสียยิ่งกว่าที่มารดาพูดเมื่อครู่ มิเช่นนั้นคราก่อนเมิ่งเอ๋อร์คงไม่ไหว้วานท่านแม่ให้กำจัดมือสังหารที่ดักซุ่มอยู่ระหว่างทางให้นางหรอก

หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้ตนเองเข้าเมืองหลวงมารายงานภารกิจแล้วบังเอิญได้ยินมารดาพูดเรื่องนี้ขึ้น เกรงว่าเมิ่งเอ๋อร์คงประสบกับแผนลอบสังหารโฉดชั่วของซูชิงไปแล้ว

คนของจวนฝู่กั๋วกงอย่างพวกเขาเคยได้รับความคับข้องหมองใจอย่างนั้นที่ไหนกัน

ดวงตาทั้งสองข้างของชวีฉางชิงหรี่ลงน้อยๆ สีหน้าย้อมด้วยแววอันตรายอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวกำเป็นหมัดโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึกตัว

บทที่ 16 งานครบรอบวันเกิดหกสิบปีเริ่มต้น สกุลใหญ่ทั้งสี่พบปะ

 วันที่ยี่สิบหกเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเกิดอายุครบหกสิบปีของกู่เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกง

ฮูหยินผู้เฒ่าพาคุณหนูทั้งสี่ของบ้านมุ่งหน้าไปยังจวนฝู่กั๋วกงตั้งแต่เช้าตรู่ เพียงแต่พอรถม้าจอดสนิท ทุกคนลงจากรถแล้ว ถึงได้พบว่าวันนี้หน้าประตูจวนฝู่กั๋วกงมีรถม้าของจวนต่างๆ ห้อมล้อมไว้แน่นขนัด ทว่านี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจวนฝู่กั๋วกงในแคว้นซีฉู่เช่นเดียวกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นกู่เหล่าไท่จวินมีหน้ามีตาถึงเพียงนี้ ในดวงตาเฉียบแหลมคู่นั้นก็ค่อยๆ ฉายแววอิจฉาออกมา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินตามแม่นมของจวนฝู่กั๋วกงเข้าไปในประตูใหญ่ทันที

พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจะตามเข้าไป ทว่าเห็นรถม้าของจวนสกุลซูขับเคลื่อนเข้ามา อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงรู้ว่าญาติผู้พี่ที่เป็นลูกสาวของลุงมาถึงแล้ว จึงทิ้งพี่น้องของตนไปยืนรออยู่อีกด้านทันที

รถม้าคันนั้นค่อยๆ หยุดนิ่ง เด็กรับใช้คนหนึ่งรีบยกแท่นเหยียบออกมาวาง สาวใช้คนหนึ่งค้อมตัวเดินออกมาจากภายในรถม้า จากนั้นค่อยประคองคนที่ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยหน้าชื่นตาบานออกมา

“ท่านพี่!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยก้าวไปหาทันที ตะโกนเรียกเสียงหวานไปทางเด็กสาวที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า

เด็กสาวผู้นั้นอายุราวสิบห้าสิบหกปี แม้มิได้งดงามล่มบ้านล่มเมือง แต่ก็ถือว่าสะสวยหมดจด รูปโฉมคล้ายคลึงกับซูชิงอยู่หลายส่วน หากนำนางมาเทียบความงามชดช้อยกับซูชิง เด็กสาวแลดูเหมือนยังโตไม่เต็มที่ แต่ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ของนางก็มีความสง่าอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่ อากัปกิริยาก็มีท่วงท่าของสกุลผู้ดี โดยเฉพาะวันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ยิ่งขับเน้นให้นางดูบริสุทธิ์ไร้ราคี สดชื่นเป็นธรรมชาติราวกับดอกไป่เหอ*

ซูเฉี่ยนเยวี่ยหลานสาวคนโตของสกุลซูเงยหน้าขึ้นอย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาที่ฉายแววเฉลียวฉลาดคู่นั้นยิ้มบางๆ ให้อวิ๋นรั่วเสวี่ย จากนั้นถึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “น้องรั่วเสวี่ย ไม่ได้พบกันเสียนาน”

หลังจากนั้นเด็กสาวก็เอียงกาย ยกแขนขึ้นสูง ประคองหญิงชราอายุราวๆ หกสิบปีให้ลงมาจากรถม้าอย่างระมัดระวัง

พออวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น ความยินดีปรีดาบนใบหน้าก็เจื่อนลงเล็กน้อย นางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างจำใจ “คารวะท่านยายเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นก็คือภรรยาคนที่สองของนายท่านซูที่ลาโลกไปแล้ว แม่เลี้ยงของซูชิง หลิวซื่อ

พอหลิวซื่อเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็เพียงแค่พยักหน้าอย่างเฉยชา จากนั้นถึงเอ่ยขึ้น “แม่ของเจ้าช่วงนี้สบายดีหรือไม่ ไฉนไม่เห็นพวกเจ้าแม่ลูกกลับจวนสักครา”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นหลิวซื่อเริ่มสำบัดสำนวนอีกแล้ว ในใจจึงพลันไม่สบอารมณ์ แต่ติดที่หน้าประตูจวนฝู่กั๋วกงมีผู้คนไปมาขวักไขว่ จึงได้แต่ตอบกลับอย่างอดทนอดกลั้น หลังจากนั้นก็หาข้ออ้าง เดินตามพวกฮูหยินผู้เฒ่าไปติดๆ

“เอ๋? นั่นมิใช่น้องรั่วเสวี่ยหรอกหรือ” ตอนนี้เองชายหนุ่มรูปร่างเพรียวบางผู้หนึ่งขี่ม้าเข้ามาจากด้านหลัง เขาอยู่ในเสื้อคลุมยาวสีขาวนวลราวจันทรา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย ละม้ายคล้ายคลึงกับซูเฉี่ยนเยวี่ยถึงเจ็ดแปดส่วน

ซูเฉี่ยนเยวี่ยได้ยินคำถามของผู้มาใหม่ พร้อมทั้งนึกถึงท่าทางหนีเตลิดของญาติผู้น้องเมื่อครู่ก็พลันอดรนทนไม่ไหว กล่าวยิ้มๆ “เป็นน้องรั่วเสวี่ยจริงๆ พี่ใหญ่ ท่านมาช้าไปครึ่งก้าวเลยไม่ได้เห็นสีหน้าของรั่วเสวี่ยเมื่อครู่”

ซูเฉิงเหยียนหลานชายคนโตของสกุลซูได้ยินน้ำเสียงของน้องสาว ทั้งยังเห็นท่าทางกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวของนาง ก็รู้ว่าท่านย่าจะต้องทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยตกใจหนีเปิงไปอีกแล้วแน่นอน จึงอดไม่ไหวที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นส่งม้าของตนให้เด็กรับใช้ก่อนจะหันกายเดินตามบิดาของตนไป

“เฉี่ยนเยวี่ย พวกเราก็รีบเข้าไปเถิด” หลิวซื่อดึงตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยมาใกล้ๆ ให้หลานสาวผู้นี้พานางเดินเข้าไปข้างใน ระหว่างทางนางก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนซูเฉี่ยนเยวี่ย “ต่อไปคบหากับรั่วเสวี่ยให้น้อยๆ หน่อย เจ้าก็เห็นท่าทางอวดดีของนางเมื่อครู่ เหมือนกับมารดานางตอนสาวๆ ไม่มีผิด”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยตามอยู่หลังหลิวซื่อ ฟังนางพร่ำบ่นพูดต่อว่าอาแท้ๆ ของตน ในดวงตาใสกระจ่างฉายแววเกลียดชังวาบผ่าน

คนในจวนสกุลซูล้วนรู้ดีว่าปีนั้นซูชิงยอมกล้ำกลืนเป็นอนุภรรยาเพื่ออวิ๋นเสวียนจือ ถึงแม้ในใจทุกคนจะชิงชังที่ซูชิงยอมละทิ้งศักดิ์ศรี แต่อย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน อีกทั้งหลังจากซูชิงปีนขึ้นร่างอวิ๋นเสวียนจือ หน้าที่การงานของสองพี่น้องสกุลซูก็เจริญขึ้นพรวดพราด นานวันเข้าทุกคนก็คิดว่าการตัดสินใจของซูชิงในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ทว่าหลิวซื่อที่เป็นภรรยาใหม่ผู้นี้กลับคิดว่าซูชิงทำลายเกียรติยศของจวนสกุลซู เห็นพวกซูชิงแม่ลูกขัดหูขัดตามาโดยตลอด ทุกครั้งที่พบเจอกันก็มักจะเสียดสีเหน็บแนม มักจะพูดให้สองแม่ลูกคู่นี้เสียๆ หายๆ ต่อหน้าคนอื่นๆ ในสกุลซู พาให้พี่ชายต่างมารดาทั้งสองของซูชิงไม่พอใจยิ่งนัก แม้แต่ซูเฉิงเหยียนกับซูเฉี่ยนเยวี่ยก็ฝังความแค้นไว้ในใจด้วยเช่นกัน

 

ส่วนทางฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินโดยมีแม่นมของจวนฝู่กั๋วกงคอยนำทาง ยามนี้ในเรือนอบอวลด้วยความเกษมเปรมปรีดิ์ แม้แต่บนกิ่งไม้ดอกไม้ในสวนก็ยังผูกไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง บรรยากาศแห่งความยินดีปรีดาปรากฏให้เห็นประจักษ์

ทว่าทุกคนยังมิทันได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องหลัก เสียงหัวเราะเริงร่าก็ดังออกมาจากห้องอุ่น

“พี่สาว ข้ามาแล้ว” พอเข้าประตูไป ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็เอ่ยปากพูดกับเจ้าของวันเกิดในวันนี้ รอยยิ้มในดวงตาเอ่อล้นออกมาจนทั่วทั้งใบหน้าดูสดใสสดชื่นตามไปด้วย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ายังคิดว่าดูสนิทชิดเชื้อไม่มากพอจึงดึงอวิ๋นอี้อี้เดินไปยังข้างกายกู่เหล่าไท่จวิน กล่าวด้วยความยินดี “พี่สาว ยังจำข้าได้หรือไม่ วันนี้เป็นวันเกิดครบหกสิบปีของท่าน ข้าเลยมาอวยพรวันเกิดให้ท่านโดยเฉพาะ”

กู่เหล่าไท่จวินมองคนที่โผล่พรวดเข้ามาหาตนเอง ทั้งยังเห็นผู้ที่มาใหม่สวมอาภรณ์สีแดงเข้ม สีหน้าก็ทอแววรำคาญผ่านวูบ เพียงแค่เอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้ามาแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นพลันชะงักไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อท่าทีเย็นชาของกู่เหล่าไท่จวินไปชั่วขณะ นางยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าประดักประเดิดเล็กน้อย

ภายในห้องอุ่นเงียบสงัดลงอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าจากจวนต่างๆ ที่เมื่อครู่ยังสรวลเสเฮฮาล้วนมองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยสายตาดูถูก โดยเฉพาะเมื่อสายตาของทุกคนสัมผัสกับสีแดงเข้มที่แทบจะซ้ำกับอาภรณ์สีแดงของกู่เหล่าไท่จวิน ในดวงตาก็ยิ่งเผยแววสะอิดสะเอียนอย่างเก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยู่

“เมิ่งเอ๋อร์คารวะท่านยายเจ้าค่ะ วันนี้ท่านย่าพาพวกเมิ่งเอ๋อร์สี่พี่น้องเดินทางมาอวยพรวันเกิดแก่ท่านยายโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ขอให้ท่านยายสุขเกษมดุจทะเลตงไห่ อายุยืนยาวดุจเขาหนานซาน” ตอนนี้เองอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ดึงพวกอวิ๋นเยียนซึ่งอยู่ข้างกายคุกเข่าให้กู่เหล่าไท่จวินอย่างพร้อมเพรียง เสียงใสกังวานพลันดังก้องห้องอุ่นที่จู่ๆ ก็เงียบสงัดลง จึงฟังดูไพเราะเสนาะหูเป็นพิเศษ

กู่เหล่าไท่จวินที่เมื่อครู่ยังคงตีสีหน้าบูดบึ้ง ยามนี้เห็นหลานสาวของตน ดวงหน้าบึ้งตึงนั้นก็แย้มยิ้มทันใด ชี้ไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางพลางแนะนำกับฮูหยินผู้เฒ่าคนอื่นๆ “นี่คือลูกของบุตรสาวคนรองข้า บัดนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมิ่งเอ๋อร์ รีบลุกขึ้นมาคารวะผู้อาวุโสเร็วเข้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่ายทันที ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง เข่าทั้งสองย่อลงน้อยๆ คำนับฮูหยินผู้เฒ่าทุกคนที่นั่งอยู่ทั่วห้องอุ่น “อวิ๋นเชียนเมิ่ง ธิดาคนโตแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะผู้อาวุโสทุกท่านเจ้าค่ะ”

ทุกคนเห็นกู่เหล่าไท่จวินแนะนำนางด้วยตนเอง แม้ในใจจะรู้เรื่องที่เฉินอ๋องถอนหมั้น แต่วันนี้ได้เห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งมีบุคลิกสุภาพเรียบร้อย อากัปกิริยางามสง่า สืบทอดรูปโฉมงดงามจากคุณหนูรองแห่งจวนฝู่กั๋วกง จึงชื่นชมอวิ๋นเชียนเมิ่งต่อหน้ากู่เหล่าไท่จวินไม่ขาดปาก แต่ละคนต่างปลดเครื่องประดับมีราคาบางส่วนบนร่างออกมามอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นของขวัญ

อวิ๋นเชียนเมิ่งรับของกำนัลมาแล้วพูดขอบคุณเสียงแผ่ว “ผู้อาวุโสมอบของให้มิอาจปฏิเสธ เชียนเมิ่งขอขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านไว้อีกครั้งเจ้าค่ะ”

ทุกคนได้ยินปากเล็กๆ ของนางเอ่ยวาจาหวานล้ำถึงเพียงนี้ จึงพากันชื่นชมอีกยกใหญ่

“เป็นธิดาภรรยาเอกของจวนอัครเสนาบดี ทั้งยังมีมารดาที่รู้ขนบมารยาทอย่างรั่วหลี ยายหนูเมิ่งเอ๋อร์คนนี้ไม่เลวจริงๆ แค่ดูก็รู้ว่าถือกำเนิดจากตระกูลผู้ลากมากดี” เหล่าไท่จวินสกุลหร่วนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งงามล้ำเฉิดฉัน อากัปกิริยางามสง่าก็นึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยชมเชยเป็นคนแรก

สกุลหร่วนคือสกุลท่านตาของอวี้เฉียนตี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

ปีนั้นหร่วนซูเฟยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กุ้ยเฟยเสียชีวิตเนื่องจากคลอดบุตรยาก ซีจิ้งตี้ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงมอบอวี้เฉียนตี้ให้ชวีกุ้ยเฟยซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในกุ้ยเฟยทั้งสี่เลี้ยงดู ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดไม่ยิ่งใหญ่เท่าบุญคุณที่ชุบเลี้ยง ชวีกุ้ยเฟยปฏิบัติกับองค์ชายน้อยที่สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์อย่างจริงใจ ด้วยเหตุนี้ความรักความผูกพันของสองแม่ลูกจึงลึกซึ้งยิ่ง

ส่วนสกุลหร่วนสูญเสียหร่วนซูเฟยไปคนหนึ่งแล้วจึงไม่อาจสูญเสียองค์ชายน้อยไปอีก พร้อมกันนั้นเห็นว่าชวีกุ้ยเฟยดูแลองค์ชายน้อยด้วยใจจริง กอปรกับจะได้จวนฝู่กั๋วกงที่มีพลังอำนาจเหลือล้นเป็นกำลังหนุนให้องค์ชายน้อยขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคต สกุลหร่วนจึงยอมคบค้าสมาคมกับสกุลชวี

ด้วยเหตุนี้ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ความสัมพันธ์ของสกุลหร่วนกับสกุลชวีจึงใกล้ชิดกันมากที่สุด ความสัมพันธ์ของสองสกุลสนิทแน่นแฟ้น แนบแน่นไม่อาจแยกจาก เรียกได้ว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน

เพราะความสัมพันธ์ในระดับชั้นนี้ วันนี้ของขวัญพบหน้าที่เจียงเหล่าไท่จวินแห่งสกุลหร่วนมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงล้ำค่ามากที่สุด ลูกประคำมรกตเปล่งแสงสีเขียวสดใสเส้นนั้นร่วมผ่านวันเวลากับเจียงเหล่าไท่จวินมาถึงสามสิบปี แต่วันนี้กลับมอบให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างใจกว้าง ไม่เพียงแค่เห็นแก่หน้ากู่เหล่าไท่จวินเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ปีนั้นไทเฮาทรงดูแลฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ส่วนกู่เหล่าไท่จวินเห็นเจียงเหล่าไท่จวินกระตือรือร้นมีน้ำใจถึงเพียงนี้จึงกล่าวอย่างอาดูรเล็กน้อย “น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่มีมารดาตั้งแต่เด็ก ข้างกายก็ไม่มีคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ สามารถเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

ครั้นวาจาของกู่เหล่าไท่จวินสิ้นสุด ฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็พลันรู้สึกว่าบนร่างนางมีลูกธนูนับหมื่นปักทิ่มแทงลงมา รู้สึกว่าสายตาตำหนิจำนวนนับไม่ถ้วนพากันพุ่งมาทางตน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยิ่งรู้สึกอึดอัด

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นสู้หน้าใครไม่ติดจึงพูดแก้ไขสถานการณ์ “หากมีท่านย่าอยู่ข้างกาย เมิ่งเอ๋อร์จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมองมายังตนเองพลางเอ่ยประโยคนี้ด้วยใบหน้ายิ้มหวาน ทันใดนั้นพลันโล่งอกอยู่บ้าง อดแอบคิดไม่ได้ว่าเชียนเมิ่งยังเป็นคนแซ่อวิ๋น สุดท้ายแล้วในใจก็ยังคงเข้าข้างสกุลอวิ๋น

ทว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นกลับคิดแต่จะกู้หน้าตนเอง จึงมิได้ครุ่นคิดความหมายในวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้ง

วาจานี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นการลอบเสียดสีว่าอวิ๋นเสวียนจือมิได้ทำหน้าที่ที่บิดาพึงกระทำอย่างสุดกำลัง หนำซ้ำเรื่องที่อัครเสนาบดีอวิ๋นโปรดปรานอี๋เหนียงจวนสกุลซูก็เป็นข่าวเก่าตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว อีกทั้งทุกคนที่อยู่ในงานล้วนเป็นคนที่ปราดเปรื่องที่สุดในจวน ไหนเลยจะไม่เข้าใจความนัยเลี้ยวลดในวาจานี้ เกรงว่าพองานครบรอบวันเกิดครั้งนี้สิ้นสุดลง แต่ละจวนคงจะแอบหัวเราะเยาะกันยกใหญ่

กู่เหล่าไท่จวินเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดแก้ตัวแทนฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น สีหน้าที่เดิมทีไม่ค่อยรับแขกก็ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็มองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าตรงๆ ทว่ากลับสั่งสาวรับใช้ข้างกายเสียงเฉียบ “ทำงานประสาอะไรกัน แม่สามีของลูกสาวข้ามาถึงแล้วยังไม่รู้จักยกเก้าอี้มาอีก ให้นางลำบากยืนมาเนิ่นนานเช่นนี้เป็นความผิดของข้าโดยแท้”

เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นนึกว่ากู่เหล่าไท่จวินจะระเบิดโทสะใส่ตน โชคดีที่ครั้งนี้ระเบิดใส่บรรดาสาวใช้ ด้วยเหตุนี้ความกังวลใจจึงค่อยๆ คลายลง อีกทั้งเห็นกู่เหล่าไท่จวินค่อยๆ มีสีหน้าอ่อนโยนกับตนเอง ในใจก็พลันปีติยินดี เอ่ยยิ้มๆ ทันที “วันนี้เป็นวันดีของเหล่าไท่จวิน ท่านอย่าได้โมโหเป็นอันขาด ฮูหยินผู้เฒ่าทุกท่าน พวกท่านว่าใช่หรือไม่”

กู่เหล่าไท่จวินเห็นฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นอยากจะเริ่มเชื่อมสัมพันธ์ใจจะขาด มุมปากก็ค่อยๆ ฉาบรอยยิ้มเย็นที่คล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มี ทว่ากลับดึงมือฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเข้ามาอย่างกระตือรือร้น แนะนำกับบรรดาฮูหยินที่อยู่ในห้องอย่างสนิทสนม “เกรงว่าทุกคนคงจะไม่คุ้นหน้า นี่ก็คือแม่สามีของบุตรสาวคนรองข้า แต่น่าเสียดายนางจากเมืองหลวงไปสิบกว่าปี จวบจนวันนี้พวกเราถึงได้พบหน้ากัน ระหว่างนี้สูญเสียช่วงเวลาดีๆ ไปไม่น้อยเลย!”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นกู่เหล่าไท่จวินตั้งใจเชื่อมสัมพันธ์ให้ตนจึงไม่เกรงใจเช่นกัน แค่คิดถึงช่วงเวลาที่สูญเสียไป ในใจก็เอาแต่ร่ำร้องว่าเสียดาย สีหน้าแววตาปรากฏความผิดหวังอย่างรุนแรง “ใช่แล้ว ขอบคุณเหล่าไท่จวินที่นึกถึงกันอยู่เสมอ ทั้งยังมอบปะการังเลือดให้ข้า ทำให้ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้จึงพาหลานทั้งสี่มาอวยพรวันเกิดให้ท่านด้วยตนเอง”

ครั้นคนในห้องได้ยินวาจานี้ สายตาก็พากันมองไปทางกู่เหล่าไท่จวินด้วยความสงสัย ทว่ากลับเห็นนางแววตาเรียบเฉย ในดวงตาอมยิ้ม ก็รู้ว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอัครเสนาบดีพูดมามิใช่เรื่องโกหก จึงอดลอบตื่นตกใจมิได้

ปะการังเลือดนั้นเป็นสมบัติที่มีค่าควรเมือง ได้ยินว่าทีแรกไทเฮาทรงเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของกู่เหล่าไท่จวิน จึงเลือกปะการังเลือดสองต้นที่ขนาดใหญ่ที่สุด สีสันสวยงามที่สุดมอบให้จวนฝู่กั๋วกง ทำให้สนมชายาในวังจำนวนมากอิจฉายิ่งนัก

บัดนี้กู่เหล่าไท่จวินกลับนำสมบัติล้ำค่านี้มอบต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนอัครเสนาบดีอย่างใจกว้าง ทั้งเห็นท่าทางได้ผลประโยชน์แล้วยังอวดฉลาดของฮูหยินผู้เฒ่า ในใจทุกคนก็เจ็บใจแทนกู่เหล่าไท่จวินอย่างห้ามไม่อยู่ ความไม่พอใจที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นยังจะสนใจเรื่องเหล่านี้เสียที่ไหน นางจดจ่ออยู่กับความคิดที่จะเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ มิได้พินิจความคิดของทุกคนให้มากขึ้น เอาแต่คิดว่าการดึงดูดความสนใจของทุกคนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ความคิดเล็กๆ ของนางกลายเป็นเรื่องน่าขันในสายตาของทุกคน และทำให้เหล่าฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ พากันพูดเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ กับเหล่าไท่จวิน ปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นทิ้งไว้อีกด้าน

ในตอนนี้เองสาวใช้ด้านนอกเข้ามารายงานว่าเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรงมาถึงแล้ว กู่เหล่าไท่จวินจึงรีบสั่งให้คนเชิญเข้ามา

ม่านประตูในห้องอุ่นถูกเหล่าสาวใช้เลิกออก หญิงชราอายุอานามพอๆ กับกู่เหล่าไท่จวินผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก นางสวมเสื้อผ้าป่านสีคราม บนศีรษะสวมรัดเกล้าประดับอัญมณีสีแดง มือยันไม้เท้าหัวมังกรซึ่งสลักอักษรคำว่า ‘อายุยืน’ เอาไว้

เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา นอกจากกู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินของสกุลหร่วนที่มิได้ลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ล้วนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงอีกครั้ง แต่ดูจากสีหน้าบนใบหน้าทุกคนก็ดูออกว่าเฉินเหล่าไท่จวินของจวนสกุลหรงผู้นี้ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับใคร จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับทุกคนที่มาร่วมงานเท่าไรนัก

ตอนกู่เหล่าไท่จวินส่งเทียบเชิญไปก็มิได้คาดหวังอะไรมากมาย ทว่ายามนี้เห็นเฉินเหล่าไท่จวินมาร่วมงาน นางจึงพลันดีใจอยู่ไม่น้อย สั่งให้พวกสาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือ เข้ามาทันที แล้วเพิ่มเบาะรองไว้บนเก้าอี้ จากนั้นถึงค่อยเชิญเฉินเหล่าไท่จวินนั่งลง

เฉินเหล่าไท่จวินผู้นี้เองก็แปลกประหลาด หลังจากนั่งลงก็มิได้รีบร้อนเอ่ยวาจา แต่กลับกวาดสายตามองทั่วห้องอุ่นแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาหยุดลงบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง นัยน์ตาที่ทอแววฉลาดเฉลียวคู่นั้นฉายรอยยิ้มพึงพอใจวูบผ่าน แล้วจึงหันไปทางกู่เหล่าไท่จวิน กล่าวยิ้มๆ “ข้ามาช้าไป ขอพี่สาวอย่าได้ถือสาหาความ”

พอนางเปิดปากก็ทำให้ทุกคนในห้องต่างลอบแปลกใจ เฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรงที่นิสัยแปลกพิลึกทำสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรกับผู้อื่นถึงเพียงนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร

เท่าที่รู้เฉินเหล่าไท่จวินเองก็เป็นดอกไม้หายากแห่งแคว้นซีฉู่

มิเช่นนั้นยามจวนสกุลหรงให้กำเนิดหรงอวิ๋นเฮ่อที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ผู้คนต่างพากันหลบลี้แทบไม่ทัน เหตุใดเฉินเหล่าไท่จวินกลับเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าได้เล่า

คนที่แปลกแยกเพียงนี้ ปกติเมื่อพบเจอผู้คนก็ไม่เคยทักทายปราศรัย แต่วันนี้กลับมาเยือนถึงจวนฝู่กั๋วกงด้วยตนเอง ซ้ำยังเอ่ยวาจาอ่อนน้อมเช่นนี้ออกมาอีก จะไม่ให้คนประหลาดใจได้อย่างไร

กู่เหล่าไท่จวินเคยประสบคลื่นลมมรสุมพบเจอเหตุการณ์มามากมาย ในเมื่อเฉินเหล่าไท่จวินแสดงความเป็นมิตร นางก็ย่อมต้องให้เกียรติอีกฝ่าย นอกจากนั้นแม้เฉินเหล่าไท่จวินจะมีนิสัยแปลกพิลึก แต่ก็มิใช่คนถ่อยที่โหดเหี้ยมเจ้าเล่ห์พรรค์นั้น กู่เหล่าไท่จวินเองก็ยินดีที่จะคบค้าสมาคมกับนางจึงยิ้มพลางเอ่ยปาก “เหล่าไท่จวินถ่อมตัวเกินไปแล้ว เวลานี้เกรงว่าท่านจะมาเร็วไปแล้วล่ะ พวกเราอายุมากแล้ว ปกติล้วนอยู่แต่ในจวนใครจวนมัน ไม่ยอมออกมาเยี่ยมเยียนกัน แต่วันนี้ก็ขอใช้โอกาสอันดีนี้พูดคุยกันได้เต็มที่เลย”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ยิ้มพลางพยักหน้ากล่าวเห็นด้วย

ทว่าเพิ่งจะสนทนากันไปได้ครู่สั้นๆ ด้านนอกก็ส่งข่าวมาว่าหลินเหล่าไท่จวินแห่งสกุลหยวนของท่านตาเฉินอ๋องได้มาถึงแล้ว

กู่เหล่าไท่จวินแลกเปลี่ยนสายตากับเจียงเหล่าไท่จวินอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง จากนั้นจึงให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา

หลินเหล่าไท่จวินผู้นี้อายุมากกว่ากู่เหล่าไท่จวินเล็กน้อย ทว่ารูปลักษณ์คล้ายคลึงกับหยวนเต๋อไท่เฟยซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ ของเฉินอ๋องถึงห้าส่วน เห็นได้ว่าสมัยยังสาวจะต้องเป็นสาวงามชื่อเสียงเลื่องลือเป็นแน่

เมื่อเทียบกับคนรอบข้างแล้ว กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาจากร่างของหลินเหล่าไท่จวินที่เพิ่งจะมาถึงผู้นี้แลดูเฉียบขาดกว่าเล็กน้อย นัยน์ตาไม่ยิ้มแฝงความน่ายำเกรงนั้นทำให้คนเห็นแล้วหวาดกลัว คล้ายกับนางไม่ได้มาเพื่ออวยพรวันเกิด

ยามกู่เหล่าไท่จวินเห็นนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เจื่อนลงไปถึงเจ็ดแปดส่วน ในดวงตาสร้างปราการระวังภัยขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทว่าริมฝีปากกลับเอ่ยอย่างเกรงใจ “แขกที่นานๆ ทีจะมานี่นา เด็กๆ ยกเก้าอี้ไท่ซือมาอีกตัวซิ อย่าให้แขกผู้ทรงเกียรติของจวนฝู่กั๋วกงต้องเหน็ดเหนื่อย”

หลินเหล่าไท่จวินเดินเข้ามาในห้องอุ่นก็กวาดสายตามองบุคคลภายในห้องแล้วรอบหนึ่ง ทว่าสายตาเรียบเฉยนั้นกลับหยุดชะงักที่เฉินเหล่าไท่จวินกับอวิ๋นเชียนเมิ่งเล็กน้อยก่อนจะวาบผ่านไป เมื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งไล่ตามแววตานั้นอีกครั้งกลับเห็นหลินเหล่าไท่จวินหวนคืนสู่ท่าทางเมื่อครู่ นางพยักหน้าให้กู่เหล่าไท่จวินเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ

“วันนี้เป็นวันเกิดของเหล่าไท่จวิน ข้าย่อมต้องมาอวยพรเป็นธรรมดา แต่กลับเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยได้พบเจอเสียได้” หลินเหล่าไท่จวินเพิ่งจะนั่งลงก็เอ่ยปากอย่างแฝงการเสียดสีในวาจา

ใบหน้าที่ไม่ค่อยได้พบเจอในวาจาหมายถึงเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในสมัยฮ่องเต้ซีจิ้งตี้สกุลหรงจะให้กำเนิดหรงเสียนเฟย แต่สกุลหรงเป็นตระกูลพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค ตอนที่แคว้นซีฉู่ก่อร่างสร้างประเทศได้ช่วยบริจาคเงินบริจาคธัญญาหาร ลงแรงไปไม่น้อย ถึงได้เลือกบุตรสาวคนโตของเฉินเหล่าไท่จวินเป็นหรงเสียนเฟย

ทว่าฮ่องเต้ซีจิ้งตี้กลับกลัวว่าสกุลหรงจะอาศัยสนมที่เกิดจากสกุลตนผูกขาดสนามการค้าของแคว้นซีฉู่ไว้ ด้วยเหตุนี้จึงให้หรงเสียนเฟยดื่มยาไร้บุตรเพื่อตัดความคิดเลยเถิดของสกุลหรง พร้อมทั้งอาศัยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นสนมทำให้สกุลหรงถวายชีวิตเพื่อแคว้นซีฉู่ต่อไป

ดังนั้นในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวง สกุลหรงจึงอยู่ในฐานะพิเศษ

อีกทั้งในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่ คนสกุลหรงกลับดูแปลกแยกยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่คบค้าสมาคมกับใครอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้น พอวันนี้หลินเหล่าไท่จวินเห็นเฉินเหล่าไท่จวินอยู่ที่นี่ ในใจก็พลันถาโถมด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน ถึงขั้นคิดว่าสกุลหรงวางแผนร่วมมือกับสกุลหร่วนและสกุลชวีเพื่อต่อกรกับสกุลหยวน

ทุกคนได้ยินคำถามของหลินเหล่าไท่จวิน พอนึกถึงเรื่องราวในราชสำนักตอนนี้ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงกู่เหล่าไท่จวิน เจียงเหล่าไท่จวิน และเฉินเหล่าไท่จวินที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทำให้หลินเหล่าไท่จวินที่เอ่ยถามพลันผิดหวังวูบหนึ่งในใจ

“เหล่าไท่จวิน คุณหนูใหญ่เชิญพวกคุณหนูญาติผู้น้องไปที่เรือนฮ่วนซีเจ้าค่ะ” ตอนนี้เองสาวใช้ประจำตัวของชวีเฟยชิงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นเพียงนางยิ้มบางๆ พลางขอความกรุณาจากกู่เหล่าไท่จวิน

กู่เหล่าไท่จวินเองก็เก็บสายตาที่หลินเหล่าไท่จวินมองอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่เข้าสู่ในดวงตา และรู้สึกลึกๆ เช่นกันว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ที่นี่ไม่ใคร่สะดวกใจเท่าไรจึงยิ้มพร้อมเอ่ย “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าพาน้องสาวทั้งสามของเจ้าไปพบกับพี่เฟยของเจ้าเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้บรรยากาศในห้องอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย รู้ดีว่ารั้งอยู่ที่นี่คงไม่สะดวก จึงนำพวกอวิ๋นทั้งสามคนยอบกายคำนับทุกคน ตามสาวใช้ผู้นั้นไปยังเรือนฮ่วนซี

 

เรือนฮ่วนซีเป็นสถานที่ที่จวนฝู่กั๋วกงใช้ต้อนรับหญิงสาวนอกจวน กินพื้นที่กว้างขวาง ภายในเรือนทัศนีภาพงามงดตระการตา แต่อยู่ห่างกับเรือนรุ่ยหลินที่กู่เหล่าไท่จวินพำนักเป็นช่วงระยะทางหนึ่ง จำเป็นต้องเดินผ่านทางเดินในสวนดอกไม้ของจวนฝู่กั๋วกง

งานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินในวันนี้ ลูกหลานของแต่ละจวนก็ติดตามผู้อาวุโสของสกุลตนมาอวยพรวันเกิดด้วยเช่นกัน หญิงสาวถูกจัดให้อยู่ที่เรือนฮ่วนซี ส่วนบรรดาชายหนุ่มถูกจัดให้อยู่ที่ลานด้านหน้า มีชวีหลิงเอ้าซึ่งมียศเป็นท่านโหวกับชวีฉางชิงคอยต้อนรับแขกเหรื่อด้วยตนเอง

สาวใช้ผู้นั้นเกรงว่าจะเจอกับบุรุษที่บังเอิญทะเล่อทะล่าเข้ามาในสวนดอกไม้จึงพาพวกอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินทางลานด้านหลังแทน ยามนี้กำลังเดินผ่านหอชูอวิ๋นของชวีฉางชิงพอดี เสียงสนทนาแผ่วต่ำของบุรุษดังออกมาจากด้านใน

อวิ๋นรั่วเสวี่ยนึกว่าชวีฉางชิงอยู่ด้านในจึงคิดจะเข้าไปทักทาย ไม่สนใจเสียงร้องเรียกเบาๆ ของสาวใช้ผู้นั้น นางเดินตรงเข้าไปหน้าประตูลานสวนของหอชูอวิ๋น แต่กลับพบว่านอกจากชวีฉางชิงแล้วยังมีบุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวนวลราวจันทรา ศีรษะสวมเกี้ยวทองคำฝังอัญมณีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย

ยามเขาสนทนากับชวีฉางชิงสายตาคู่นั้นเปล่งแสงแพรวพราว คิ้วโค้งทั้งสองข้างเข้มสนิท ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของผู้เป็นราชัน ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยมองจนตะลึงลานในทันใด

อวิ๋นอี้อี้เห็นนางตะลึงงันอยู่หน้าประตูไม่ขยับเขยื้อนจึงเดินเข้าไปพร้อมยื่นศีรษะเล็กๆ มองเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นก็ถูกบุรุษผู้นั้นดึงดูดเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ใคร!” ยามนั้นเองบุรุษทั้งสองที่เดิมกำลังสนทนาอยู่นั้นกลับพบความผิดปกติที่หน้าประตูพร้อมๆ กัน ชวีฉางชิงจึงตวาดใส่ทางประตูเสียงดัง ทำเอาอวิ๋นอี้อี้ตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับรีบจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยแล้วก้าวเข้าไปในหอชูอวิ๋นด้วยท่วงท่านวยนาด ยิ้มพริ้มเพราพลางกล่าว “พี่ใหญ่ เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”

แต่ขณะที่พูด นัยน์ตาหยาดเยิ้มของอวิ๋นรั่วเสวี่ยคู่นั้นกลับจับจ้องบุรุษที่อยู่ข้างกายชวีฉางชิงตาไม่กะพริบ คิดหมายจะดึงความสนใจจากเขา

ทว่าอากัปกิริยาเลินเล่อของนางกลับแลกมาซึ่งแววยิ้มเยาะในดวงตาของชายหนุ่มรวมถึงโทสะของชวีฉางชิง “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในเรือนของข้า! กฎระเบียบของจวนอัครเสนาบดีหละหลวมถึงเพียงนี้เลยหรือ!”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกชวีฉางชิงฉีกหน้าอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ต่อให้เดิมทีนางหน้าหนาแค่ไหน แต่ตอนนี้ใบหน้าก็ยังย่ำแย่อยู่ดี เห็นน้ำตาในดวงตานางใกล้จะไหลรินอยู่รอมร่อ อวิ๋นเชียนเมิ่งที่เข้ามาทีหลังจึงขมวดคิ้วมุ่นมองนางแวบหนึ่งก่อนกล่าวขอโทษกับชวีฉางชิง “พวกเราเสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”

พอชวีฉางชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความเดือดดาลในดวงตาจึงเลือนหายไปเล็กน้อย ทว่ายามมองทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังคงมีความชิงชังที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับอวิ๋นเชียนเมิ่งว่า “เฟยเอ๋อร์รอเจ้าอยู่ที่เรือนฮ่วนซี รีบไปเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้า รีบให้อวิ๋นเยียนดึงอวิ๋นรั่วเสวี่ยจากไปอย่างเร็วไว ส่วนตนเองคำนับชวีฉางชิงแล้วถอยออกไปจากหอชูอวิ๋นเช่นเดียวกัน

ทว่าตอนที่ออกไปนางช้อนตามองฉู่เฟยหยางที่ไม่พูดไม่จาอยู่ข้างกายชวีฉางชิงแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขาที่เคร่งขรึมเยือกเย็นอย่างวันนี้แตกต่างจากความรู้สึกที่พบกันหลายครั้งก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ระหว่างทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยท่าทางมีเรื่องหนักใจ ถึงกับปล่อยให้อวิ๋นเยียนจูงมือนางไปมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

อวิ๋นอี้อี้เองก็เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งมองกลับหลังไปสามครั้งเช่นกัน

 

ยามนี้ชวีเฟยชิงในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนกำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนฮ่วนซี นางมองเห็นเงาร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาแหลมคมจึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มทันที “พวกเจ้ามากันเสียที!”

ครั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นชวีเฟยชิงก็ยิ้มออกมาจากใจจริง ดึงมือชวีเฟยชิงไว้พลางเอ่ยอย่างสนิทสนม “ข้าเองก็รอที่จะพบหน้าท่านพี่มาทั้งวันเหมือนกันเจ้าค่ะ”

ชวีเฟยชิงเข้าใจความหมายจึงรีบสั่งกับสาวใช้ที่นำทางมาเมื่อครู่ทันที “พาคุณหนูทั้งสามเข้าไปพักผ่อนให้สบายก่อน ข้ากับญาติผู้น้องจะคุยกันสักครู่”

สาวใช้ได้ยินเช่นนี้ก็ยอบกายคำนับชวีเฟยชิงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง จากนั้นพาอีกสามคนที่เหลือเข้าไปในเรือนฮ่วนซี

ชวีเฟยชิงพาอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินไปยังเรือนทิงอวี่ของตนเองพลางกล่าว “วันนี้ห้องครัวต้องยุ่งวุ่นกันใหญ่แน่ๆ ท่านแม่กลัวว่าอากาศไม่ดีทางนั้นจะโดนตัวน้องจึงให้วางของที่ตระเตรียมเอาไว้ในห้องครัวเล็กของเรือนทิงอวี่ของข้า แต่ว่าน้องให้เตรียมวัตถุดิบพวกนี้ไปทำไมหรือ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นป้าสะใภ้เอาใจใส่ถึงเพียงนี้ คิดแทนตนเองอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ในใจซาบซึ้งตื้นตัน จึงไม่คิดปิดบังใดๆ กระซิบเสียงเบาข้างหูชวีเฟยชิง “ตอนเมิ่งเอ๋อร์อยู่บ้านมิได้เรียนเขียนกลอนประพันธ์เพลงมากเท่าไรนัก และมิได้เชี่ยวชาญงานฝีมือด้วย แต่ฝีมือการทำอาหารยังพอจะยกขึ้นโถงรับแขกได้ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดหกสิบปีของท่านยาย เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีอะไรมอบให้ได้ เพียงแค่อยากเลี้ยงอาหารสักโต๊ะให้ท่านดีอกดีใจ แต่ก็ต้องขอบคุณท่านป้าสะใภ้กับท่านพี่ที่ช่วยเหลือนะเจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์ถึงได้อวดฝีมือการทำอาหารเพื่อแสดงความกตัญญูได้”

 

ทางด้านเรือนชูอวิ๋น ชวีฉางชิงคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะโผล่พรวดเข้ามาอย่างกะทันหัน ทั้งยังแสดงท่าทางลุ่มหลงต่อหน้าฉู่เฟยหยางอีก จึงพลันรู้สึกขายหน้าอย่างยิ่ง ทำได้เพียงประสานมือขอโทษฉู่เฟยหยาง “เป็นเพราะบ่าวรับใช้ในบ้านนำทางผิดน่ะขอรับ ขอท่านอัครเสนาบดีโปรดอภัย”

ยามนี้ในดวงตาฉู่เฟยหยางค่อยๆ ปรากฏความสงบนิ่งเยือกเย็น จากนั้นเอ่ยอย่างเรียบเฉย “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน ในจวนกำลังยุ่ง เกิดเหตุผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หาใช้เรื่องใหญ่โตอันใด เจ้าไยต้องโทษตนเองเล่า”

ชวีฉางชิงเห็นฉู่เฟยหยางไม่ใคร่ถือสานัก หัวใจที่ลอยค้างเติ่งก็ค่อยๆ วางลง รีบเบี่ยงประเด็นทันที “ท่านอัครเสนาบดี การเคลื่อนไหวของเฉินอ๋องครั้งนี้…”

ถ้อยคำยังมิทันจบก็ถูกฉู่เฟยหยางตัดบท เขายกมือขวาขึ้นเล็กน้อย ปรามมิให้ชวีฉางชิงพูดต่อไป เพียงกล่าวเรียบๆ “หนีไม่พ้นพระเนตรของฝ่าบาทหรอก พวกเราสนใจแค่รักษาชายแดนไว้ให้ดีก็พอ”

ตอนนี้ยังมิใช่โอกาสอันดีที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้กับเฉินอ๋อง

เฉินอ๋องคิดว่าหากอาศัยจังหวะช่วงงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวินโยกย้ายกำลังพลส่วนหนึ่ง ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ก็จะไม่รู้

หารู้ไม่ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในความคาดหมายของฮ่องเต้แต่แรกแล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ยังไม่อยากสนใจปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้จึงแกล้งหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป

ไม่ว่าคำสั่งเสียตอนฮ่องเต้ซีจิ้งตี้สวรรคตในปีนั้นจะให้ใครขึ้นครองราชย์ แต่บัดนี้อวี้เฉียนตี้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นซีฉู่ สกุลฉู่ของพวกเขากับฮ่องเต้องค์ก่อนร่วมกันรวบรวมแผ่นดินนี้ ย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องที่จะทำให้ประชาชนตกระกำลำบากเพราะการแย่งชิงบัลลังก์ได้

ด้วยเหตุนี้หากไม่ถึงขั้นตกที่นั่งลำบาก กองทัพในมือฉู่เฟยหยางก็จะรักษาความเป็นกลางไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ จะไม่เข้าไปร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้โดยใช่เหตุ เพื่อเลี่ยงมิให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย

ชวีฉางชิงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ เห็นผู้บัญชาการที่ตนเองติดสอยห้อยตามตั้งแต่เข้าค่ายทหารสงบเยือกเย็นเช่นนี้ หัวใจที่กระวนกระวายของเขาก็ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ

ฉู่เฟยหยางกวาดตามองเขาอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง รู้ว่าชวีฉางชิงคงเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของจวนฝู่กั๋วกง วันนี้ถึงได้อารมณ์ร้อนอยู่บ้าง แต่หลังจบบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่ รองแม่ทัพใต้บัญชาการของตนผู้กล้าหาญชาญศึก มีทั้งความกล้ามีทั้งมันสมองผู้นี้ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมของเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชวีฉางชิงคิดอยู่ในใจตอนนี้มิได้มีเพียงเรื่องเฉินอ๋องเรื่องเดียว

หลังจากเขากลับมาจากด่านชายแดน ท่านแม่ก็เล่าเรื่องที่อัครเสนาบดีฉู่ช่วยอวิ๋นเชียนเมิ่งถอนหมั้นที่ท้องพระโรงในวันนั้นให้เขาฟัง ตอนนี้ชวีฉางชิงกำลังใคร่ครวญว่าควรกล่าวขอบคุณเขาหรือไม่

ทว่าพอนึกถึงว่านี่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ มิได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก

 

ธิดาของสกุลเลื่องชื่อมากมายหลายคนได้มาถึงเรือนฮ่วนซีแล้ว อวิ๋นรั่วเสวี่ยอาศัยที่ก่อนหน้านี้ตนเองออกงานแบบนี้แทนอวิ๋นเชียนเมิ่งมาไม่น้อย จึงเดินนำหน้าอวิ๋นเยียนกับอวิ๋นอี้อี้อย่างลำพองใจ ทักทายกับบรรดาคุณหนูและฮูหยินจากจวนต่างๆ อย่างเรียบร้อยพร้อมแย้มยิ้มบางๆ

อวิ๋นอี้อี้เดิมทีก็ไม่ชอบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยอยู่แล้ว เมื่อเห็นนางจงใจโอ้อวดตนเองต่อหน้าตนเช่นนี้ก็อดแค่นเสียงเย็นชาไม่ได้ ลากอวิ๋นเยียนเดินไปยังศาลาที่ไม่ค่อยมีคนเพื่อเลี่ยงมิให้เห็นหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจนหงุดหงิด

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเองก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมกับพวกนางเช่นกัน เมื่อเห็นซูเฉี่ยนเยวี่ยกับคุณหนูหลายคนกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอยู่ในศาลารับลม จึงเดินเข้าไปหาด้วยแววตาแฝงความชื่นชม เอ่ยเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านพี่”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยฟังออกว่าเป็นเสียงของอวิ๋นรั่วเสวี่ย จึงยิ้มพลางลุกขึ้นยืนแล้วดึงนางนั่งลงด้วยกัน “เจ้ามาเสียที เมื่อสักครู่พวกเรายังพูดถึงเจ้าอยู่เลย”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าทุกคนพูดถึงตนเอง ในใจก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ จึงเขย่าตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยพลางกล่าวยิ้มๆ “พูดอะไรถึงข้าหรือ ท่านพี่คนดีบอกข้ามานะ”

ซูเฉี่ยนเยวี่ยจนปัญญา ได้แต่ดึงมือนางเอาไว้พลางกล่าว “พวกเราแค่บอกว่าไม่ได้พบเจ้านานแล้ว”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่าเหตุใดตนเองต้องซักไซ้จนถึงที่สุด ทั้งยังเห็นคุณหนูหลายคนที่มาร่วมงานล้วนใช้สายตาแปลกๆ มองตน จึงได้แต่หัวเราะแหยๆ กล่าวอย่างจนใจอยู่บ้าง “พี่สาวทุกท่านคงจะทราบกันดี ในบ้านข้ายังมีพี่สาวคนโตอีกคน ช่วงก่อนหน้านี้นางถูกเฉินอ๋องถอนหมั้นในท้องพระโรง อารมณ์ย่อมย่ำแย่เป็นธรรมดา คนเป็นน้องสาวอย่างข้าย่อมต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง ป้องกันมิให้พี่สาวคิดสั้น”

แค่วาจาไม่กี่คำ อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หันเหความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่อวิ๋นเชียนเมิ่งได้

ยามนี้เห็นคุณหนูที่แต่งองค์งดงาม รูปโฉมสะสวยเหล่านั้นเผยสีหน้าใคร่รู้ออกมาทันใด พากันซักถามอวิ๋นรั่วเสวี่ย “ตกลงเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็แค่ได้ยินว่าคุณหนูอวิ๋นถูกเฉินอ๋องถอนหมั้น ซ้ำยังพยายามฆ่าตัวตายที่ท้องพระโรง ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่สาวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ใช่น้ำตาอาบหน้าทั้งวันทั้งคืนหรือไม่”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินดังนั้น ในใจก็พลันลำพองขึ้นหลายส่วน นางส่งสายตากับซูเฉี่ยนเยวี่ย จากนั้นจึงพูดด้วยหน้าตาแช่มชื่น “คิดดูเอาเถิด คุณหนูบ้านใดบ้างที่ถูกถอนหมั้นต่อหน้าผู้คนแล้วยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อีก เท่าที่รู้พี่สาวข้าก็เป็นคนหัวแข็ง ทว่ากลับฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นับวันก็ยิ่งทำให้คนยากจะเข้าใจ”

“อ้อ ไม่ยักรู้ว่าในสายตาของน้องสาว ข้าเข้าใจยากถึงเพียงนี้” ยามนั้นเองเสียงเย็นเยือกหนาวเหน็บของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ดังขึ้นจากนอกศาลารับลม

บทที่ 17 ใจคิดร้ายต่อผู้อื่นไม่ควรมี

 หลายคนที่อยู่ในศาลารับลมหันหน้ากลับมาโดยพร้อมเพรียงกัน ภายใต้แสงอาทิตย์ทองอร่าม อวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน บนศีรษะปักไว้ด้วยปิ่นหยกม่วงสลักลายบุปผาหลายอัน สวมต่างหูสีบัวขาวซึ่งทำจากหยกชนิดเดียวกัน เปล่งประกายแพรวพราวภายใต้แสงตะวัน ชวนให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือนราวกับไข่มุกกระจ่างก็ไม่ปาน

“เฉี่ยนเยวี่ยแห่งจวนสกุลซูคารวะคุณหนูอวิ๋น” ซูเฉี่ยนเยวี่ยยืนอยู่กลางศาลารับลม อาภรณ์สีฟ้าทั้งร่างขับเน้นให้นางสดใสบริสุทธิ์ประดุจดอกไป่เหอ ผิวพรรณขาวนวลหมดจดยิ่งกระจ่างใสภายใต้แสงแดดอุ่นๆ ชวนให้คนอดตกตะลึงมิได้

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ามีคนออกหน้าแทนอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะหันเหสายตาไปยังซูเฉี่ยนเยวี่ยที่กำลังยอบกายคำนับตน ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “เชียนเมิ่งแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะคุณหนูซูเช่นกัน

สายตายิ้มพราวของทั้งคู่ประสานกัน ทันใดนั้นคล้ายกับจุดดอกไม้ไฟขึ้นมานับไม่ถ้วน คนนอกกลับรู้แค่ว่าคุณหนูทั้งสองจวนต่างรู้ขนบมารยาท แต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เคยถูกถอนหมั้น ระดับความพึงพอใจในตัวซูเฉี่ยนเยวี่ยในหมู่ฮูหยินจากแต่ละจวนจึงสูงกว่านิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ติดที่เห็นแก่หน้าจวนฝู่กั๋วกงจึงมิได้แสดงออกมาชัดเจนนัก

“ทุกท่านนั่งลงเถิด อีกประเดี๋ยวงานครบรอบวันเกิดกู่เหล่าไท่จวินก็เริ่มแล้ว หลังจากนี้หากอยากนั่งก็ต้องรอครึ่งค่อนวันเลยนะเจ้าคะ” ยามนั้นเองชวีเฟยชิงซึ่งมีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกงก็ก้าวออกมาคลี่คลายสถานการณ์ ดึงอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินไปยังข้างทะเลสาบเพื่อพบกับคุณหนูคนอื่นๆ ที่สนิทสนมกับตน ไม่สนใจพวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยกับซูเฉี่ยนเยวี่ยอีก

“ชิ ทุเรศ ไม่ดูบ้างเลยว่าตนเองชื่อเสียงฉาวโฉ่แค่ไหน ยังจะกล้าชักสีหน้าใส่พี่เยวี่ยอีก ถุย!” คุณหนูใบหน้ากลมผู้หนึ่งในศาลารับลมจดจ้องแผ่นหลังของอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ห่างไกลออกไปพลางถ่มน้ำลาย จากนั้นพูดกับซูเฉี่ยนเยวี่ยอย่างเอาอกเอาใจทันที

“เตี๋ยเอ๋อร์ เสียมารยาทไม่ได้นะ! อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวคนโตของพี่เสวี่ย เจ้าพูดเช่นนี้ หากคนพวกนั้นได้ยินเข้าอาจจะวางแผนสกปรกอะไรอีกก็ได้นะ” ซูเฉี่ยนเยวี่ยเห็นมีคนออกหน้าแทนตนจึงยิ้มพลางดึงสาวน้อยวัยยังไม่ออกเรือนผู้นั้นเข้ามาหา ปลอบประโลมอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

อวิ๋นรั่วเสวี่ยกวาดตามองสาวน้อยที่เพิ่งจะส่งเสียงเมื่อครู่ ครั้นเห็นว่านางเป็นคุณหนูของรองเจ้ากรมอาญา ส่วนบิดาซูเฉี่ยนเยวี่ยเป็นเจ้ากรมอาญา ก็รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงได้ประจบเอาใจซูเฉี่ยนเยวี่ย

ซูเฉี่ยนเยวี่ยไม่คิดจะปล่อยอวิ๋นเชียนเมิ่งไป นางสบสายตากับอวิ๋นรั่วเสวี่ยแวบหนึ่ง จากนั้นประคองกันออกจากศาลารับลม เดินอย่างแช่มช้อยเสมือนมีดอกบัวผุดทุกย่างก้าวไปยังริมทะเลสาบ

“ไม่ทราบว่าพวกพี่สาวกำลังสนทนาอันใดกันอยู่หรือ ท่าทางสนุกสนานถึงเพียงนี้ มิสู้พูดออกมาดีกว่า ให้น้องได้หัวเราะสักหน่อย” ตัวยังไม่ถึง แต่เสียงมาถึงก่อน น้ำเสียงหวานจ๋อยของอวิ๋นรั่วเสวี่ยกระทบหูทุกคนที่อยู่ริมทะเลสาบ ขณะเดียวกันก็ตัดบทการสนทนาของพวกอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทุกคนหยุดพูดและมองไปยังพวกอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เข้ามาใกล้พวกนางอย่างเงียบๆ

“นี่ คนเขาถามพวกเจ้านะ เป็นใบ้กันหมดหรือไร!” สิงจินเตี๋ยรับไม่ได้ที่คนอื่นๆ มิได้ขานตอบ นางตวาดใส่คนหลายคนตรงหน้าทันที เสียงตะคอกนี้ดึงดูดสายตามากมายนับไม่ถ้วนขึ้นมาทันที

คุณหนูทั้งหลายที่อยู่กับชวีเฟยชิงจำได้ตั้งแต่แรกว่านี่คือบุตรสาวของรองเจ้ากรมอาญา และรู้อยู่แล้วว่าสิงจินเตี๋ยเป็นเพียงหมอนปักลาย ยามนี้ทำตัวขายขี้หน้าผู้อื่น แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองถูกซูเฉี่ยนเยวี่ยใช้เป็นไม้ตะบอง ใบหน้าหลายคนพลันเผยรอยยิ้มออกมาทันใด ไม่มีผู้ใดแยแสนางสักคน

สิงจินเตี๋ยกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ครั้นเห็นว่าไม่มีคนสนใจตน ในใจสิงจินเตี๋ยก็พลันเดือดดาล คิดถึงว่ายามที่ตนเองอยู่ในบ้านเป็นไข่มุกที่ทุกคนประคองไว้ในอุ้งมือ แต่ยามนี้กลับถูกคนอื่นเมินเฉยถึงเพียงนี้ โทสะท่วมท้นหัวใจทันใด โกรธจนร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง

พอเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น สายตาทั้งหมดจึงมองมาทางนี้ ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่อีกด้านต่างพากันซุบซิบนินทาสิงจินเตี๋ย ท่าทางไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก

อวิ๋นรั่วเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจาก็ทำให้คนของพวกนางโกรธจนร้องไห้ได้ รู้สึกว่าคนพวกนี้รังแกผู้อื่นหนักเกินไปแล้ว จึงเอ่ยอย่างโหดร้ายเจ็บแสบ “พวกพี่สาวไยต้องรังแกเด็กน้อยอย่างจินเตี๋ยด้วย พี่ใหญ่ ดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นคนที่เคยหมั้นหมายมาก่อน ถึงแม้ต่อมาจะถูกถอนหมั้นต่อหน้าธารกำนัล แต่ก็เคยมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับตัว จะถือสาหาความกับเด็กตัวเล็กๆ ได้อย่างไร แบบนี้มิใช่แสดงให้เห็นว่าพี่ใหญ่ไม่มีความใจกว้างแม้แต่น้อยนิดหรอกหรือ”

พวกชวีเฟยชิงคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เป็นน้องสาวของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แม้ปกติยามอยู่ที่บ้านก็มักจะรังแกอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ยังจะหมิ่นด่าพี่สาวอย่างกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ในดวงตาของแต่ละคนจึงพลันปะทุด้วยเพลิงโทสะ

ทว่ายามนี้เงาร่างสีม่วงอ่อนกลับเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ เดินไปยังเบื้องหน้าทุกคน ยืนประจันหน้ากับอวิ๋นรั่วเสวี่ย ในดวงตาอวิ๋นเชียนเมิ่งประดับรอยยิ้ม ไม่เห็นโทสะแม้แต่กระผีกริ้น รอยโค้งตรงมุมปากงามสมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าสดใส ผิวพรรณขาวราวหิมะทั่วทั้งร่างนั้นงามงดไร้รอยราคี ยิ่งขับเน้นให้นางโดดเด่นสะดุดตาราวกับคนที่เดินออกมาจากภาพวาด ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอดตะลึงงันไม่ได้ไปชั่วขณะ

“วาจานี้ของน้องพูดผิดไปนะ แคว้นซีฉู่ส่งเสริมให้เอ็นดูผู้เยาว์เคารพผู้อาวุโส แต่คุณหนูสิงกลับพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ หากพูดถึงความผิด คุณหนูสิงก็เป็นคนผิดก่อน ส่วนน้องสบประมาทพี่สาวเป็นความผิดลำดับที่สอง ซ้ำในถ้อยคำของเจ้าก็ไม่สนใจไยดีหน้าตาของจวนอัครเสนาบดี ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าเป็นความผิดลำดับที่สาม น้องว่านี่คือความผิดของเจ้าหรือว่าเป็นความผิดของพี่ แน่นอน ขงจื่อ กล่าวไว้ว่าบุตรไร้การอบรมสอนสั่งถือเป็นความผิดของบิดา แต่ตอนนี้ท่านพ่อมิได้อยู่ด้วย น้องทั้งไม่ระวังคำพูดทั้งไร้คุณธรรมเช่นนี้ ข้าที่เป็นพี่สาวย่อมมีความผิดที่สั่งสอนบกพร่องจริงๆ หลังจากกลับจวนจะไปขอรับโทษกับท่านพ่อด้วยตนเอง ขอร้องให้ท่านพ่อยกโทษให้ แต่ไม่รู้ว่าน้องควรต้องทำอย่างไรถึงจะระงับเพลิงโทสะของท่านพ่อได้” แต่ละคำแต่ละประโยคของอวิ๋นเชียนเมิ่งกล่าวอย่างเนิบช้า ความเร็วในการพูดที่ไม่รีบไม่ร้อนนี้กลับทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยค่อยๆ หน้าขาวซีด และทำให้ซูเฉี่ยนเยวี่ยที่อยู่อีกด้านอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเชียนเมิ่งใหม่อีกครั้ง ในใจเพิ่มความหวาดระแวงและความเป็นอริต่อคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีมากขึ้นมาอีก

“หากคุณหนูสิงยังร้องไห้ต่อไป เกรงว่าใต้เท้ารองเจ้ากรมอาญาคงเสียหน้าไม่มีเหลือเป็นแน่ ไม่รู้ว่าหลังจากงานครบรอบวันเกิดนี้สิ้นสุดลง การกระทำของเจ้าครั้งนี้จะทำให้ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ในงานพูดวิจารณ์กันไปอีกนานแค่ไหน” ทุกคนเห็นผู้เกี่ยวข้องอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวจึงค่อยๆ สงบจิตสงบใจลง เดิมทีวันนี้สิงจินเตี๋ยแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเต็มยศหมายจะกลบความงามของหมู่มวลบุปผา แต่เมื่อผ่านการร้องไห้ฟูมฟายเมื่อครู่ ใบหน้าที่แต่งไว้อย่างประณีตบรรจงก็เลอะเทอะไปจนหมด นางควักกระจกเล็กๆ จากแขนเสื้อออกมาส่องดู เมื่อเห็นตนเองในกระจกดวงตาทั้งสองข้างบวมแดง เครื่องประทินโฉมเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ก็พุ่งพรวดไปหน้าประตูเรือนฮ่วนซีให้สาวใช้ตนเองแต่งหน้าเพิ่มโดยไม่ทันได้บอกลาซูเฉี่ยนเยวี่ย

ซูเฉี่ยนเยวี่ยเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดแค่ทีเดียวก็ตะเพิดคนข้างกายตนไปได้ ในดวงตาก็พลันอึมครึมลง ค่อยๆ เข้าไปใกล้อวิ๋นเชียนเมิ่งโดยที่หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย “ไม่ว่าอย่างไรรั่วเสวี่ยก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณหนูอวิ๋น ไยคุณหนูอวิ๋นต้องบีบคั้นไม่ยอมปล่อยนางด้วย ทำให้นางอับอายต่อหน้าผู้อื่นคงไม่ดีกับตัวท่านเองด้วยกระมัง!”

อวิ๋นเชียนเมิ่งสบแววตาที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึนของซูเฉี่ยนเยวี่ย ในดวงตาทั้งเยือกเย็นมากผิดปกติทั้งแฝงด้วยความชาญฉลาดเล็กน้อย นางผลิยิ้มเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้ากับคุณหนูซูหาได้มีความเคียดแค้นต่อกัน ไยคุณหนูซูต้องบีบคั้นกดดันข้าด้วย”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกไป นัยน์ตาซูเฉี่ยนเยวี่ยฉายความโกรธวาบผ่านเล็กน้อย ทว่ามุมปากกลับกระเพื่อมรอยยิ้มเย็น เดินเข้าไปข้างหน้าใกล้กับอวิ๋นเชียนเมิ่งมากยิ่งขึ้น นางคิดจะเดินเฉียดผ่านไหล่อวิ๋นเชียนเมิ่งไป

ตอนนั้นเองไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ร่างของซูเฉี่ยนเยวี่ยพลันล้มไปในทะเลสาบข้างๆ ทุกคนร้องฮือด้วยความตระหนกตกใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ เมื่อเห็นซูเฉี่ยนเยวี่ยกำลังจะร่วงลงไปในทะเลสาบ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยื่นมื่อออกไปดึงชายกระโปรงอีกฝ่ายไว้ทันใด แต่การเคลื่อนไหวของซูเฉี่ยนเยวี่ยรวดเร็วเหลือเกิน มือของอวิ๋นเชียนเมิ่งคว้าได้เพียงผ้าคาดเอวสีขาวเงินที่ข้างเอวของนาง ผ้าคาดเอวผืนนั้นถูกกระชากหลุดอย่างแรงในชั่วพริบตา ในระหว่างที่ผ้าปลิวสะบัด ทุกคนก็ได้ยินเสียงคนตกน้ำดัง ‘ตูม!’

“ใครก็ได้ รีบมาช่วยคุณหนูซูเร็วๆ เข้า!” อวิ๋นเชียนเมิ่งได้สติเป็นคนแรก ตะโกนบอกไปยังพวกสาวใช้ที่กรูกันเข้ามา แต่พวกสาวใช้ต่างว่ายน้ำไม่เป็น แต่ละคนได้แต่วิ่งไปหน้าประตูเรือนฮ่วนซีเพื่อเรียกคนมาช่วยอย่างลนลาน

ในตอนนี้ บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่ปกติมักพูดแต่ศีลธรรมจรรยาล้วนมองดูซูเฉี่ยนเยวี่ยที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำไม่หยุดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กลับเป็นพวกชวีเฟยชิงและอวิ๋นเชียนเมิ่งที่หักกิ่งไม้หลายกิ่งจากในแปลงดอกไม้ที่อยู่อีกด้านแล้วยื่นเข้าไปในทะเลสาบหมายจะดึงซูเฉี่ยนเยวี่ยเข้ามา แต่จนปัญญาที่อาภรณ์ของนางอมน้ำจนหนักอึ้ง ซ้ำไม้กิ่งนั้นก็เล็กบางเกินไป ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกกระชากหัก ซูเฉี่ยนเยวี่ยถูกแรงสะท้อนกลับครั้งนี้ทำให้จมลงไปก้นทะเลสาบ

“เยวี่ยเอ๋อร์!” เสียงตะโกนอย่างร้อนรนดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างสีขาวนวลราวจันทราถลาเข้ามาสู่ในสายตาของทุกคน ไม่ทันไรเงาร่างสีขาวนั้นก็กระโดดลงไปในน้ำ ว่ายไปยังจุดที่ซูเฉี่ยนเยวี่ยตกน้ำอย่างสุดชีวิต

“ยืนทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบลงไปช่วยอีก!” ชวีเฟยชิงเห็นว่าหลังบ้านตนเองเกิดเรื่อง แต่เด็กรับใช้พวกนี้กลับยืนอยู่ริมฝั่งไม่ขยับเขยื้อนจึงพานโมโห ชี้ไปยังคนทั้งสองที่อยู่ในทะเลสาบแล้วตวาดเสียงต่ำ

ทันใดนั้นเสียงคนสิบกว่าคนกระโดดลงน้ำก็ดังขึ้นทันที ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเห็นคนแบกซูเฉี่ยนเยวี่ยที่หมดสติขึ้นมาบนฝั่ง

“รีบพาคุณหนูซูไปที่ห้องรับรอง” จี้ซูอวี่ที่รีบมาหลังจากได้ยินเรื่องราวมองเห็นภาพฉากเช่นนี้จึงสั่งให้พวกสาวใช้นำทางให้แก่ซูเฉิงเหยียนทันที

ส่วนซูเฉิงเหยียนก็อุ้มซูเฉี่ยนเยวี่ยขึ้นจากทะเลสาบด้วยตนเอง กวาดตามองทุกคนที่อยู่โดยรอบด้วยสายตาเย็นชา แล้วจึงก้าวเท้าเร็วไวเดินตามสาวใช้จวนฝู่กั๋วกงไปยังหน้าประตูเรือนฮ่วนซี

ตอนนั้นเองสาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูจี้ซูอวี่สองสามประโยค จี้ซูอวี่หน้าเปลี่ยนสีทันใดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอให้ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านย้ายไปยังลานด้านหน้า ฝ่าบาท ไทเฮา และฮองเฮาเสด็จเยือนจวนฝู่กั๋วกงกะทันหัน”

ได้ยินวาจาเช่นนี้ทุกคนพลันลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ไหนเลยจะมีแก่ใจไปดูเรื่องตลกของผู้อื่น ต่างคนต่างค่อยๆ พากันยืนเรียงแถวตามลำดับขั้นขุนนางของสามี เดินไปลานด้านหน้าอย่างพินอบพิเทา

 

เหล่าบุรุษซึ่งเดิมทีก็อยู่ที่ลานด้านหน้าออกไปต้อนรับที่ประตูใหญ่จวนฝู่กั๋วกงกันแล้ว ส่วนบรรดาสตรียืนเรียงแถวอย่างเรียบร้อยภายใต้การนำของพวกเหล่าไท่จวิน หลังจากเหล่าบุรุษที่อยู่นอกประตูถวายบังคมเสร็จแล้ว บรรดาสตรีก็คุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้ ไทเฮา และฮองเฮาที่ได้รับการต้อนรับเข้ามาในประตูอย่างพร้อมเพรียง

วันนี้ฮ่องเต้เสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทอดพระเนตรภาพที่เข้มงวดจริงจังเช่นนี้ก็เพียงแค่รับสั่งให้ทุกคนยืนขึ้นอย่างเป็นกันเอง จากนั้นเสด็จยังเบื้องหน้ากู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินทันที ประคองผู้เฒ่าทั้งสองขึ้นด้วยพระองค์เอง แย้มพระสรวลและตรัสว่า “ท่านยายทั้งสองสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่”

กู่เหล่าไท่จวินและเจียงเหล่าไท่จวินมองหน้ากันแล้วยิ้ม กู่เหล่าไท่จวินมอบโอกาสตอบคำถามให้แก่เจียงเหล่าไท่จวิน นางยิ้มพลางตอบ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ พวกข้าล้วนแข็งแรงดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาท ไทเฮา และฮองเฮาจะเสด็จมา เสียมารยาทยิ่งนักที่ต้อนรับได้ไม่พรั่งพร้อม ขอให้ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”

คำพูดนี้เจียงเหล่าไท่จวินพูดแทนกู่เหล่าไท่จวิน ทั้งสองสกุลความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่ง กู่เหล่าไท่จวินเองก็พยักหน้าให้เจียงเหล่าไท่จวิน

ฮองเฮาทรงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ รับหยกหรูอี้คู่หนึ่งจากมือนางกำนัลแล้วมอบใส่มือกู่เหล่าไท่จวินด้วยพระองค์เอง ก่อนจะแย้มพระสรวลตรัส “นี่คือของขวัญวันเกิดที่ฝ่าบาทกับหลานสะใภ้ได้เตรียมไว้ให้เหล่าไท่จวิน ขอให้เหล่าไท่จวินสมปรารถนาทุกสิ่งอย่าง สุขเกษมตลอดกาลนาน!”

กู่เหล่าไท่จวินมองหยกหรูอี้อันหนักอึ้งในมือ รีบยอบกายคุกเข่ากราบกรานทันที ทว่าถูกฮ่องเต้และฮองเฮาพยุงเอาไว้พร้อมกัน ยามนี้ไทเฮาจึงเดินเข้ามาพลางตรัสยิ้มๆ “ท่านแม่ นี่คือน้ำใจของพวกเด็กๆ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดอายุครบหกสิบของท่าน พวกเรามาเยือนเป็นการส่วนตัวเลยจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ขอท่านแม่อย่าได้มีพิธีรีตองมากเกินไป”

ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ กู่เหล่าไท่จวินพลันหวาดหวั่น รีบนำคนทั้งสามซึ่งมีฐานะสูงส่งและขุนนางใหญ่หลายคนไปยังเรือนรุ่ยหลินของตนทันที ส่วนขุนนางฝ่ายนอกรวมถึงบุตรหลานและภรรยาให้อยู่ที่ลานด้านหน้าเพราะจำนวนคนเยอะเกินไป

เมื่อทั้งสามคนนี้จากไป บรรยากาศในงานก็คึกคักขึ้นเล็กน้อย

พวกบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เดิมทีคิดจะลอบเข้าไปในเรือนฮ่วนซีเห็นว่าได้พบเจอคุณหนูที่เก็บตัวอยู่ในห้องสมดังปรารถนาจึงพากันเผยแววตายินดีปรีดา สายตาสำรวจรูปโฉมเรือนร่างของหญิงสาวที่อยู่ในงานอย่างหยาบคายเล็กน้อย พาให้บรรดาหญิงสาวจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบๆ

เหล่าหญิงสาวแม้จะเกลียดชังสายตาหยาบโลนของบุรุษ ทว่าพวกนางเองก็แอบมองบุรุษที่อยู่ในงานเช่นกัน ต่างแอบเสาะหาสามีผู้เพียบพร้อมที่ตนถูกใจจากบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย

ในจำนวนนั้นเฉินอ๋องกับอัครเสนาบดีฉู่ซึ่งติดตามฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้มาร่วมงานต่างโดดเด่นไปคนละแบบ แม้ทั้งคู่ต้องตามฮ่องเต้เข้าไปในเรือนด้านใน แต่ก็ให้โอกาสคุณหนูทั้งหลายได้เห็นเป็นบุญตา

เฉินอ๋องนั้นเย็นชาเคร่งขรึม ส่วนอัครเสนาบดีฉู่นั้นสุภาพหล่อเหลา ทั้งสองต่างมีรูปร่างสูงเพรียว กลิ่นอายสูงศักดิ์ และฐานะที่ไม่แพ้ให้แก่กันและกัน จึงกลายเป็นจุดสนใจให้หญิงสาวในงานวิพากษ์วิจารณ์และแอบเหลือบมองไปชั่วขณะ แม้แต่พวกชวีเฟยชิงก็อดไม่ได้ที่จะมองทั้งคู่อีกหลายที

ทว่าในงานยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ แต่กลับทำให้ผู้คนหลีกหนีด้วยความกริ่งเกรง นั่นก็คือหรงอวิ๋นเฮ่อ

เขาซึ่งมีผมสีขาวทั้งศีรษะดูแปลกแยกท่ามกลางผู้คนอย่างเห็นได้ชัด ข้างกายของเขานอกจากซื่อเอ๋อร์ซึ่งเป็นเด็กรับใช้ก็ไม่มีคนอื่นอีก แม้แต่บุรุษสูงศักดิ์เหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูทั้งหลายที่อยู่ในงาน แต่หรงอวิ๋นเฮ่อดูคล้ายเคยชินกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้วจึงมิได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด เพียงแค่นั่งอยู่อีกด้านเงียบๆ สายตาสงบนิ่ง ทำให้คนดูไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

ตอนนั้นเองหญิงงามวัยกลางคนผู้หนึ่งถลาออกมาจากเรือนด้านใน วิ่งตรงไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่ง มือขวาที่เงื้อสูงทำให้คนรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในดวงตาฉู่เฟยหยางและเฉินอ๋องฉายแววหนาวเหน็บผ่านวาบ ทั้งสองขยับร่างกายพร้อมกัน คนหนึ่งขวางอยู่เบื้องหน้าหญิงงามวัยกลางคนผู้นั้น ส่วนอีกคนบังอยู่หน้าอวิ๋นเชียนเมิ่ง ส่วนหรงอวิ๋นเฮ่อซึ่งอยู่อีกด้าน เพราะว่าอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล จึงทันแค่ลุกขึ้นยืน

“ไม่เห็นหรือว่านี่คือจวนฝู่กั๋วกง เป็นที่ที่ เจ้าจะวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อย่างนั้นหรือ” เฉินอ๋องเปล่งเสียงอย่างเย็นชาทำให้หญิงงามวัยกลางคนพลันตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงกับพื้นโดยพลัน

ฉู่เฟยหยางมองดูเฉินอ๋องที่ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม ความสนใจวาบผ่านในดวงตา กล่าวเรียบเฉย “ท่านอ๋องไยต้องเกิดโทสะด้วย มิสู้ฟังวาจาของนางก่อนจะดีกว่า”

หญิงงามวัยกลางคนผู้นั้นเห็นอัครเสนาบดีฉู่พูดแทนตนจึงเงยหน้ากล่าวทันที “เรียนท่านอ๋อง อัครเสนาบดีฉู่ คุณหนูจวนอัครเสนาบดีผู้นี้รังแกคนรุนแรงยิ่ง ถึงกับผลักบุตรสาวของหม่อมฉันตกทะเลสาบ ซ้ำยังทำให้บุตรสาวของหม่อมฉันเสื่อมเสียต่อหน้าผู้คนอีก หม่อมฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไปชั่วขณะถึงได้ลืมตัวไปเจ้าค่ะ”

เจ้ากรมอาญาซูหยวนกำลังเดินเข้ามา ดวงตาที่ย้อมด้วยไอดุดันคู่นั้นพุ่งตรงมายังอวิ๋นเชียนเมิ่งทันที เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวเสียงต่ำลึก “คุณหนูอวิ๋น พวกเราสองตระกูลก็เป็นญาติพี่น้องกัน ข้าเองก็ถือเป็นลุงของเจ้า เยวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นญาติผู้พี่ของเจ้า ไม่รู้ว่าระหว่างเจ้ากับญาติผู้พี่เกิดเรื่องไม่พอใจอะไรขึ้น เหตุใดถึงต้องผลักนางตกน้ำด้วย เจ้าก็รู้ว่าสตรีต้องให้ความสำคัญกับศีลธรรมจรรยาเป็นที่สุด เจ้าทำร้ายเยวี่ยเอ๋อร์เช่นนี้ตกลงมีเจตนาใดกันแน่ หรือว่าได้รับคำสั่งมาจากผู้อื่น หากวันนี้เจ้าบอกชื่อคนที่บงการอยู่เบื้องหลังมา ลุงสัญญากับเจ้าว่าจะไม่พูดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ออกไปเด็ดขาด มิฉะนั้น ใครก็ได้มานี่ที!”

พูดจบซูหยวนก็เริ่มทำตัวไร้เหตุผล ตวาดเสียงดังหมายจะให้ผู้ติดตามของตนจับตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งไป

ทว่าเสียงตวาดดังลั่นของซูหยวนมิได้ทำให้ผู้ติดตามเคลื่อนไหว แต่กลับพาให้ฉู่เฟยหยางหัวเราะเบาๆ จากนั้นคล้ายกับซูหยวนเพิ่งสังเกตเห็นเจียงมู่เฉินและฉู่เฟยหยางที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จึงประสานมือคำนับทั้งสองอย่างประหวั่นพรั่นพรึงน้อยๆ กล่าวอย่างอ่อนน้อม “ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว มิได้สังเกตว่าท่านอ๋องและอัครเสนาบดีฉู่อยู่ที่นี่ ขอให้ท่านทั้งสองเห็นแก่ที่ผู้น้อยห่วงใยบุตรสาวโปรดอย่าได้ถือสา ส่วนนางสารเลวนี่ นางไม่รู้กฎระเบียบ หากพุ่งไปชนทั้งสองท่านก็ขอให้ท่านอ๋องและอัครเสนาบดีฉู่โปรดอภัย!”

เจียงมู่เฉินเย็นชาเหมือนเช่นที่ผ่านมา ดวงตาทั้งสองข้างเหลือบมองเจ้ากรมอาญาซูหยวนอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่งแต่ไม่เอ่ยวาจาใดๆ ทว่าร่างกายยังคงขวางอยู่หน้าซูฮูหยินเหมือนเดิม

ส่วนฉู่เฟยหยางกลับยกมุมปากน้อยๆ รอยโค้งงดงามสมบูรณ์แบบทำให้คุณหนูที่อยู่ในงานแอบเทใจให้เขาทันที แต่ตัวเขากลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว กวาดตามองระหว่างซูหยวนกับเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง นัยน์ตาสีดำสนิทประดุจแต่งแต้มด้วยสีน้ำมันกลับแฝงด้วยเกล็ดหิมะท่ามกลางรอยแย้มยิ้ม ทำให้ซูหยวนสั่นสะท้านทั้งกายและใจเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงเอ่ยถามเบาๆ อย่างไม่ยี่หระของฉู่เฟยหยางดังขึ้นข้างหู “ใต้เท้าซูเข้มงวดกับกฎระเบียบและการอบรมสั่งสอนของครอบครัวเสียจริง และไม่ดูว่าที่นี่คือสถานที่ใด ถึงกับให้ท้ายภรรยาทำร้ายผู้อื่นที่นี่ ท่านก็รู้ว่าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้เข้า จุดจบของใต้เท้าซูจะเป็นเยี่ยงไร ไม่ต้องให้ข้าเตือน ในฐานะที่ใต้เท้าซูเป็นเจ้ากรมอาญาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ วิธีลงโทษหนึ่งพันหนึ่งวิธีของกรมอาญานั้นน่าสนุกยิ่งนัก”

ซูหยวนรู้สึกเพียงว่าเสียงของฉู่เฟยหยางไม่ดังมาก น้ำเสียงนุ่มละมุน แต่เหตุใดเหงื่อเย็นถึงผุดซึมออกมาจากแผ่นหลังเขาเป็นชั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นซูหยวนร่วมงานในราชสำนักด้วยกันกับอัครเสนาบดีฉู่ย่อมรู้ถึงความเก่งกาจของฉู่เฟยหยาง ปกติใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้ม แต่ฉู่เฟยหยางที่เข้าสู่สนามรบกลับเป็นแม่ทัพหน้าเย็น ความสามารถในการฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาแม้แต่เจ้ากรมอาญาที่ทรมานผู้กระทำผิดคดีร้ายแรงอยู่เป็นประจำอย่างตนเองเห็นแล้วยังร่างสั่นเทิ้มรุนแรง

อวิ๋นเชียนเมิ่งฉวยโอกาสนี้เอ่ยถามอย่างเฉยชา “บ้านเดิมของท่านแม่ข้าก็คือจวนฝู่กั๋วกง ท่านโหวของที่นี่ถึงจะเป็นท่านลุงที่แท้จริงของข้า ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูแห่งจวนสกุลซูกลายเป็นลุงของข้าตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าท่านลุงอีกสองท่านของข้าที่แยกบ้านออกไปจากจวนตั้งแต่ปีก่อนนู้นเปลี่ยนแซ่ของบรรพบุรุษหลังจากแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ยินดีเป็นลูกหลานสกุลชวี? จุดนี้ทำให้ข้าสับสนงุนงงจริงๆ ใต้เท้าซูโปรดพูดอธิบายให้ละเอียด จะได้ให้ฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ในงานเปิดหูเปิดตาสักครา”

ซูหยวนไม่คิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะไม่ไว้หน้าตนต่อหน้าผู้อื่นถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นยังเหน็บแนมตนต่อหน้าธารกำนัล รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายวับไปทันใด แปรเปลี่ยนเป็นท่าทางเหี้ยมเกรียมแทน ความเกลียดชังในดวงตามากพอจะทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตายได้แปดรอบสิบรอบ “ในเมื่อคุณหนูอวิ๋นไม่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันลุงหลานระหว่างเจ้ากับข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคุณหนูเหมือนกัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่บุตรสาวข้าตกน้ำวันนี้ ข้าจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีเด็ดขาด! คุณหนูอวิ๋นผลักคนตกน้ำ มีเจตนาพยายามฆ่า สมควรรับโทษประหาร! พอถึงเวลาเผชิญหน้ากับพยานและหลักฐาน ไม่รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นยังจะแข็งกร้าวเช่นนี้อยู่หรือไม่”

ตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายมีการเตรียมการเอาไว้อย่างชัดเจน ในใจพลันรู้สึกขบขัน หัวใจสงบนิ่งยิ่งนัก ทว่าจู่ๆ ก็เอ่ยปากกับคนโดยรอบด้วยเสียงดังขึ้น “วันนี้ฮูหยินและคุณหนูทุกท่าน อัครเสนาบดีฉู่ เฉินอ๋องล้วนอยู่ในงาน ขอทุกท่านเป็นประจักษ์พยานแก่เชียนเมิ่ง ข้าอยากจะเห็นนักว่าพยานและหลักฐานที่ใต้เท้าซูพูดถึงคืออะไรถึงได้มั่นอกมั่นใจเช่นนี้”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็สาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว ไม่ต้องการการปกป้องจากฉู่เฟยหยางและเจียงมู่เฉิน นางยืนอยู่ตรงหน้าซูหยวนด้วยตนเอง นัยน์ตาที่แฝงด้วยความแน่วแน่เต็มเปี่ยมคู่นั้นจ้องตรงไปยังซูหยวน รอให้เขานำหลักฐานออกมา

ซูหยวนไหนเลยจะกลัวเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขายิ้มเย็นเยียบให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ทันใดนั้นก็หยิบหยกประดับทรงบุปผาสีม่วงชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง หยกประดับชิ้นนั้นใช้เส้นด้ายสีม่วงอ่อนร้อยเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องประดับที่สตรีสวมใส่ไว้ที่ข้างเอว

สายตาของทุกคนมองไปยังอวิ๋นเชียนเมิ่งทันที วันนี้นางก็สวมชุดกระโปรงสีม่วงเช่นกัน เสียงโจษจันค่อยๆ ดังขึ้นในทันใด ดูเหมือนมุ่งร้ายต่ออวิ๋นเชียนเมิ่งยิ่งนัก

ทว่าซูหยวนไม่รู้ว่าชาติที่แล้วอวิ๋นเชียนเมิ่งคือหัวหน้าหน่วยคดียาเสพติด ในสายตานางละครปาหี่เด็กน้อยพรรค์นี้เป็นเรื่องน่าขำขันเสียจริงๆ จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทว่ากลับยิ้มแย้มไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ทุกคนซุบซิบนินทาแต่เจ้าตัวเอื่อยเฉื่อยสบายใจ

กลับเป็นซูหยวนที่ในดวงตาฉายแววตะลึงงันวาบผ่าน คิดไม่ถึงว่าแม้ความตายจะมาเยือนศีรษะ แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยังเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนถึงเพียงนี้ ถึงกับใช้ความเงียบงันมาต่อกรกับตน จึงเอ่ยปากอย่างเต็มไปด้วยแววคาดคั้น “คุณหนูอวิ๋นจำหยกประดับชิ้นนี้ได้สินะ แต่ไม่ทราบว่าหยกของคุณหนูอวิ๋นถูกกำแน่นอยู่ในมือของบุตรสาวข้าได้อย่างไร ลูกสาวข้าคงจะดึงมาจากบนร่างคุณหนูตอนที่ถูกผลักลงน้ำกระมัง”

พอวาจานี้โพล่งออกมา เรือนด้านหน้าก็เสียงดังเกรียวกราว พวกฮูหยิน คุณหนู คุณชายสูงศักดิ์เหล่านั้นพากันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง หวาดกลัวราวกับเห็นหญิงงามอสรพิษก็ไม่ปาน

นัยน์ตาที่เย็นชามาแต่ไหนแต่ไรของเฉินอ๋องก็กวาดมองอวิ๋นเชียนเมิ่งแวบหนึ่งเช่นกัน ส่วนฉู่เฟยหยางก็ยิ่งจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตาฉายแววใคร่รู้ คงจะคาดหวังรอคำแก้ตัวต่อจากนี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งมากทีเดียว

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูหยกประดับที่เปล่งประกายมันขลับท่ามกลางแสงอาทิตย์ชิ้นนั้น ทั้งยังเห็นท่าทางในใจมีไม้ไผ่ ของซูหยวน ทว่าไม่เอ่ยแก้ตัว กลับพูดต่อไปว่า “พยานเล่า?”

ซูหยวนผงะอึ้งเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของอวิ๋นเชียนเมิ่งเท่าไรนัก แต่เห็นเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างนางยังคงปากแข็งมาจนถึงตอนนี้ กลัวว่าไม่เห็นโลงศพคงจะไม่หลั่งน้ำตา จึงจะช่วยให้ใจอยากรู้ของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้สมปรารถนา เอ่ยเสียงก้องไปทางด้านหลัง “คุณหนูสิง เชิญออกมาเถิด”

สิงจินเตี๋ยที่เมื่อครู่วิ่งตะบึงออกไปจากเรือนฮ่วนซีเพื่อแต่งหน้าแต่งตัว ยามนี้ค่อยๆ เดินออกมาจากหลังประตูโค้งบานหนึ่งโดยที่อาภรณ์จัดแต่งเรียบร้อย แต่งหน้าวิจิตรประณีต ขณะเดียวกันปากก็ยังมิได้หยุดพัก บนใบหน้าที่มองดูอวิ๋นเชียนเมิ่งมีแต่ท่าทางราวจะกำจัดเภทภัยเพื่อราษฎร “ข้าเป็นพยานได้ อวิ๋นเชียนเมิ่งผลักพี่เยวี่ยร่วงตกน้ำจริงๆ ฮูหยินทุกท่าน พวกท่านถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งหลอกแล้ว สตรีผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต แค่พูดคุยกับพี่เยวี่ยไม่ถูกคอกันก็เกิดความริษยา จ้องหาโอกาสทำร้ายชีวิตผู้อื่น จิตใจของนางชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ทำให้ลูกผู้หญิงอย่างข้ารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูสิงจินเตี๋ยที่เก่งในทางชอบทำให้เสียเรื่องปรากฏตัวออกมา รู้สึกเพียงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง พร้อมทั้งเห็นว่าหากซูหยวนกำจัดตนไปไม่ได้คงจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี จึงไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป ยิ้มเย็นพลางมองไปทางสิงจินเตี๋ย เอ่ยถามกลับ “ตอนที่คุณหนูซูตกน้ำ คุณหนูสิงก็ไม่ได้อยู่ที่เรือนฮ่วนซีแล้ว หรือว่าคุณหนูสิงมีตาทิพย์หูทิพย์หรืออย่างไร ถึงได้ยินบทสนทนาระหว่างข้ากับคุณหนูซูได้ อีกทั้งยังมองเห็นรายละเอียดตอนคุณหนูซูตกน้ำได้ด้วย ข้าไม่ยักรู้ว่าแคว้นซีฉู่ของพวกเราได้ให้กำเนิดอัจฉริยบุคคลอย่างคุณหนูสิงเช่นนี้ หากพาไปออกทัพจับศึก แคว้นซีฉู่ของพวกเราคงจะไม่มีทางปราชัยเป็นแน่”

คำกระทบกระเทียบเสียดสียกหนึ่งทำให้ใบหน้าเล็กๆ ภายใต้เครื่องประทินโฉมของสิงจินเตี๋ยตบะแตกไปตั้งนานแล้ว ใบหน้าทั้งดวงดุร้ายขึ้นมาทันใด กระทืบเท้าเร่าๆ ชี้ไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมก่นด่า “อวิ๋นเชียนเมิ่ง! ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าลงมือทำร้ายผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้กลับเล่นแง่ไม่ยอมรับผิด ใช้วิธีการต่ำทรามของคนถ่อยพรรค์นี้ เสียทีที่เจ้ายังเป็นคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดี เสียทีที่มารดาของเจ้าเป็นคุณหนูจวนฝู่กั๋วกง ช่างชวนให้คนพานดูถูกไปถึงบ้านเดิมของมารดาเจ้าจริงๆ!”

ไม่รู้ว่าสิงจินเตี๋ยพอถูกดูแคลนแล้วสมองช้าลงหรืออย่างไร ตอนเอ่ยวาจาไม่รู้จักกาลเทศะเลยแม้แต่นิดเดียว สักแต่จะชี้หน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งด่าจวนฝู่กั๋วกง ทันใดนั้นทุกคนพลันเก็บสายตามองดูละครสนุกๆ ค่อยๆ พากันถอยหลังสองสามก้าวเพื่อมิให้กลายเป็นปลาที่ติดร่างแห

ครั้นวาจาสิงจินเตี๋ยโพล่งออกจากปาก ซูหยวนก็ร้องในใจว่าแย่แล้ว

แม้ว่าสกุลซูกับจวนฝู่กั๋วกงไม่ได้ญาติดีกันเท่าไรเหตุเพราะบุตรสาวทั้งสอง แต่หลายปีมานี้ล้วนพยายามฉีกหนังหน้าบางๆ นั้นออก วันนี้พอถูกสิงจินเตี๋ยปั่นป่วน เกรงว่าเรื่องแก่งแย่งชิงดีระหว่างคุณหนูจะยกระดับกลายเป็นปัญหาระหว่างสองจวน และเมื่อดูจากที่วันนี้ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เสด็จมาอวยพรวันเกิดที่จวนฝู่กั๋วกงด้วยพระองค์เอง นี่หมายความว่าจวนฝู่กั๋วกงได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ไม่ใช่ผู้ที่สกุลซูเล็กๆ จะสามารถวิ่งเข้าปะทะใส่ได้จริงๆ

พอคิดเช่นนี้ท่าทางวางโตของซูหยวนเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ลดเลือนลงเล็กน้อย ในดวงตามองไปทางเฉินอ๋องอย่างแฝงความพะวง ทว่าอีกฝ่ายท่าทีเรียบเฉยเยือกเย็นมาโดยตลอด ทำให้เขาคาดเดาความคิดของเฉินอ๋องไม่ออก

ทว่าวาจาของสิงจินเตี๋ยกลับทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ความเจ็บปวดที่มาโดยกะทันหันเช่นนี้ราวกับซึมลึกเข้าสู่ไขกระดูก เป็นความเจ็บปวดที่แค่ถูกคนพูดสะกิดเข้าเพียงเล็กน้อยก็จะท่วมท้นอย่างไร้ขีดจำกัด

อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อมรู้ดีว่านี่เป็นความคิดคะนึงและความเคารพรักซึ่งมีต่อมารดาที่เจ้าของร่างคนก่อนหลงเหลือเอาไว้ในร่างกาย เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่วันนี้ เพราะเรื่องของตนกลับทำให้อวิ๋นฮูหยินที่เสียชีวิตไปแล้วถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้จึงพาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งโทสะท่วมท้นหัวใจทันที บรรยากาศอ่อนโยนที่เดิมทีรายล้อมรอบกายถูกทำลายลงโดยพลัน ความเย็นเยียบหนาวเหน็บเสียดกระดูกพุ่งตรงออกมาปะทะเข้าใส่สิงจินเตี๋ยที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้ก็ราวกับแฝงเกล็ดน้ำแข็งเจือหิมะ เย็นเฉียบยิ่งนัก

“คุณหนูสิงเกิดในตระกูลที่มีขนบมารยาท ย่อมรู้จักการเคารพมารดาผู้อื่น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแม้จะไม่ได้ประสูติแต่ไทเฮา ทว่ากลับทรงเคารพมีมารยาทต่อไทเฮา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของบุตรกตัญญู แต่คุณหนูสิงมีครบทั้งบิดามารดา ชาติกระกูลดีงาม แต่กลับไม่เข้าใจหลักการนี้ ตกลงว่าเป็นเพราะการอบรมสั่งสอนของที่บ้านคุณหนูสิงไม่เข้มงวด หรือว่าเดิมคุณหนูสิงก็เป็นคนยโสโอหังอยู่แล้ว แม้แต่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วก็ยังไม่เคารพเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกท่านที่อยู่ในงานคงจะเข้าใจกระจ่าง รองเจ้ากรมสิงบิดาของคุณหนูสิงเป็นผู้ใต้บัญชาของใต้เท้าซู ใต้เท้าซูหาคนผู้นี้มาเป็นพยาน ในใจจะมีความยุติธรรมให้พูดถึงได้แม้แต่เพียงนิดอย่างนั้นหรือ หรือไม่กลัวว่าผู้อื่นจะคิดว่าใต้เท้าซูสมคบคิดหาประโยชน์ส่วนตน มีเจตนาวางแผนก่อกบฏ”

วาจาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งพูดกังวานมีพลัง แต่ก็แฝงด้วยความน้อยอกน้อยใจและเข้มแข็งเล็กน้อย โดยเฉพาะยามพูดถึงชวีรั่วหลีที่เสียชีวิตไปแล้ว ทั่วทั้งร่างยิ่งถูกปกคลุมด้วยความโศกศัลย์ พลันทำให้ฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นนึกถึงชาติกำเนิดอันน่าเวทนาของนาง ค่อยๆ พากันใช้สายตาตำหนิติเตียนจ้องไปยังสิงจินเตี๋ย ส่วนบรรดาบุรุษหนุ่มที่อยู่อีกด้านก็ยิ่งส่งเสียงให้กำลังใจ

สิงจินเตี๋ยเคยเห็นภาพสถานการณ์เช่นนี้เสียที่ไหนกัน ทุกคนอยากจะแล่เนื้อเถือหนังนางทั้งเป็นใจจะขาด ทำให้นางตกใจเสียขวัญจนนั่งแปะลงกับพื้น สองขาเตะมั่วซั่ว สองมือตบตีซี้ซั้ว สุดท้ายก็ร้องไห้เสียงดังขึ้น

เมื่อครู่อวิ๋นเชียนเมิ่งเพิ่งจะโยนเหาใส่หัวเขาและทำให้ซูหยวนหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกัน ทำได้เพียงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยกหยกประดับในมือขึ้นสูง เดินวนรอบลานด้านหน้าหนึ่งรอบให้ทุกคนเห็นรูปร่างของหยกประดับในมือเขาชัดๆ แล้วจึงกลับมายืนหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยซักถาม “ขอให้คุณหนูอวิ๋นพูดเรื่องหยกประดับนี้ดีกว่า ข้าคิดว่าบุตรสาวของข้าคงไม่หยิบของติดตัวคุณหนูอวิ๋นไปโดยไม่มีสาเหตุกระมัง ถ้าหากตอนนี้คุณหนูอวิ๋นยอมรับผิด ข้าก็จะให้แล้วกันไป มิเช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าขอตัดญาติขาดมิตรกัน”

ยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งโกรธถึงขีดสุดจนกลับกลายเป็นแย้มยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มแผ่ไปไม่ถึงก้นบึ้งของดวงตา นัยน์ตาที่แฝงด้วยเกล็ดน้ำแข็งคู่นั้นมองซูหยวนอย่างเยียบเย็น กล่าวอย่างแจ่มแจ้งกระจ่างชัด “ใต้เท้าซูเป็นเจ้ากรมอาญาของราชสำนักจริงๆ หรือไม่ อาศัยแค่หยกชิ้นเดียวก็ตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรได้ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็ขอถกเหตุผลกับใต้เท้าอย่างชัดๆ สักครา ข้อหนึ่ง วันนี้เป็นงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน จวนฝู่กั๋วกงผู้คนไปมาขวักไขว่ คุณหนูและฮูหยินทุกท่านล้วนแต่งกายออกงานอย่างเลิศหรูอลังการ หากหนึ่งในนั้นไม่ระวังเผลอทำเครื่องประดับหรือผ้าเช็ดหน้าอะไรร่วงหล่นยามเดินเหินก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้ทั่วไป ข้อสอง นี่ก็เป็นเรื่องที่ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านล้วนเห็นกันทั่ว ตอนคุณหนูซูตกน้ำ เชียนเมิ่งก็พยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ยิ่งกว่านั้นยังคิดจะคว้าตัวคุณหนูซูเอาไว้ไม่ให้ตกน้ำ ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน เชียนเมิ่งเองก็ไม่ระวังคว้าผ้าคาดเอวของคุณหนูซูจนหลุด ในทางกลับกัน เพื่อเอาชีวิตรอดคุณหนูซูย่อมคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวนางที่สุดเอาไว้ เช่นสิ่งของบางอย่างบนตัวข้า นี่ก็เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลสามารถตรวจสอบได้ ข้อสาม ใต้เท้าซูมีฐานะเป็นขุนนางฝ่ายนอกย่อมไม่สามารถเข้าไปยังเรือนฮ่วนซีที่สตรีพักได้ แต่ท่านกลับไม่สืบหาข้อเท็จจริง อาศัยแค่ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยก็ตัดสินว่าเชียนเมิ่งเป็นฆาตกร ช่างชวนให้คนเสียขวัญโดยแท้ ภายภาคหน้าหากคนสกุลซูมีเภทภัยยังจะมีใครกล้ายื่นมือช่วยเหลืออีกเล่า คิดว่าผู้อื่นล้วนไม่กลัวใต้เท้าซูแว้งกัดอย่างนั้นหรือ ข้อสี่ ใต้เท้าซูเพิ่งจะพูดว่าจะไว้หน้าไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่ที่นี่ยามนี้มีคนยืนอยู่มากมาย เชียนเมิ่งอดทนแล้วอดทนอีกไม่อยากจะทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูซูเสียหาย แต่ใต้เท้าซูกลับทำให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต ท่านพูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ศักดิ์ศรีของขุนนางอยู่ที่ใด ไม่จำเป็นต้องให้เชียนเมิ่งอธิบายกระมัง”

ซูหยวนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งบีบจนตนหมดหนทางเช่นนี้จึงรู้สึกอับอายขายหน้าจนหมดสิ้น เท้าข้างหนึ่งของเขาเตะลงบนหลังซูฮูหยิน ดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “นังสารเลว ไม่สอบถามเรื่องราวให้กระจ่างก็ใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าจะให้น้องสาวยืนอยู่ในจวนอัครเสนาบดีต่อไปได้อย่างไร”

ซูฮูหยินถูกสามีของตนปฏิบัติเช่นนี้จึงตกใจจนขวัญกระเจิง หมอบคลานกับพื้นพยายามขอร้องวิงวอน แต่ต่อให้ตอนนี้นางน่าสงสารแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดสงสาร

ยามนี้เองในเรือนด้านในกลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา ท่านโหวแห่งจวนฝู่กั๋วกงชวีหลิงเอ้าที่ทั่วร่างกำจายกลิ่นอายสูงศักดิ์เดินออกมา เมื่อเขาเห็นหลานสาวที่ไม่ได้พบกันมานาน นัยน์ตาซื่อตรงคู่นั้นก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ กล่าวเสียงนุ่มนวล “ให้เมิ่งเอ๋อร์ต้องคับข้องหมองใจแล้ว ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงรับสั่งเรียกเจ้าเข้าไปแน่ะ”

“ฮ่องเต้น้อยก็มาหรือ? ท่านโหว ขอประทานโทษจริงๆ ท่านอ๋องเช่นข้ามาสายแล้ว” ยามนี้ชายชราอายุราวๆ หกสิบปีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของจวนฝู่กั๋วกง เขาสวมชุดชินอ๋องสีม่วงอมแดง ทั้งยังเรียกตนเองว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งสนใจใคร่รู้ฐานะของเขาขึ้นมาทันใด

“ผู้น้อยคารวะฉู่อ๋องขอรับ ท่านอ๋องมาเยือนก็ถือเป็นเกียรติแก่จวนฝู่กั๋วกงยิ่ง เรียกว่ามาสายที่ไหนกันขอรับ” ชวีหลิงเอ้าจำผู้ที่มาใหม่ได้ ใบหน้าพลันประดับรอยยิ้มจริงใจพร้อมเข้าไปต้อนรับ เขาซึ่งมีฐานะเป็นถึงโหวกลับค้อมประสานมือคำนับชายชราที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อครู่

ทุกคนได้ยินคำเตือนสติของชวีหลิงเอ้า พร้อมกันนั้นเห็นชวีหลิงเอ้าต้อนรับคนผู้นี้อย่างให้เกียรติถึงเพียงนี้ ในใจก็พลันตะลึงพรึงเพริด ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นมังกรเทพเห็นเศียรไม่เห็นหางอย่างฉู่อ๋อง จึงพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามชวีหลิงเอ้า “คารวะท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี!”

ครั้นฉู่อ๋องผู้นั้นได้ยินได้เห็นทุกคนคำนับแสดงความเคารพก็หัวเราะฮ่าๆ กล่าวอย่างเบิกบาน “ทุกคนไม่ต้องเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก ข้ามาวันนี้ก็แค่อยากขอดื่มสุรามงคลของเหล่าไท่จวินสักจอก”

พูดจบนัยน์ตาที่แฝงประกายระยิบระยับของฉู่อ๋องคู่นั้นก็กวาดมองฉู่เฟยหยางที่อยู่อีกด้านอย่างเฉยชา แต่นอกจากเศษเสี้ยวแววประหลาดใจที่ได้เห็นฉู่อ๋องในทีแรกแล้ว ตอนนี้ฉู่เฟยหยางก็กลับคืนสู่ท่าทีเมื่อครู่

“เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านอ๋องตามผู้น้อยเข้าไป หากท่านแม่เห็นท่านมาอวยพรวันเกิดจะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ” ชวีหลิงเอ้าส่งสายตาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งให้นางรีบตามตนเองมา จากนั้นจึงต้อนรับฉู่อ๋องไปยังเรือนรุ่ยหลินอย่างอ่อนน้อม

ฉู่เฟยหยางเห็นฉู่อ๋องเข้าไปยังเรือนด้านในของจวนฝู่กั๋วกงทั้งอย่างนี้ ในใจก็ไม่วางใจอยู่บ้าง จึงขยับกายตามเข้าไป

ยามนี้เจียงมู่เฉินยิ่งทนดูฉู่เฟยหยางกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้ เหลือบตามองซูหยวนที่ทำตัวขายหน้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วเดินไปเรือนด้านในโดยไม่พูดไม่จา

“เจ้าหลิง จวนฝู่กั๋วกงของพวกเจ้านี่มีชีวิตชีวาดีจริงๆ ไหนเลยจะเปล่าเปลี่ยววังเวงเหมือนจวนฉู่อ๋องของข้า แม้แต่เงาสตรีสักคนยังไม่มี” ตลอดทางที่เดินมา บ่าวรับใช้รูปร่างเจ้าเนื้อเหมือนหยางอวี้หวนหรือผอมเพรียวอย่างเจ้าเฟยเยี่ยน มีให้ฉู่อ๋องมองดูจนพูดไม่หยุด หางตายังไม่ลืมที่จะแอบเหลือบมองฉู่เฟยหยางที่อยู่ด้านหลัง

ทว่าสายตาของฉู่เฟยหยางกลับอยู่บนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่ง ในดวงตามีแต่แววสืบเสาะอย่างลึกล้ำ

ชวีหลิงเอ้าได้ยินเช่นนั้นจึงพลันเหงื่อตกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันนี้ฉู่อ๋องมาเยือนมีธุระสำคัญอันใด เห็นเขาสบายอารมณ์เช่นนี้กลับทำให้ชวีหลิงเอ้าไม่รู้ว่าควรจะต่อคำอย่างไร

“ฉู่อ๋องยิ่งแก่ยิ่งแข็งแรง หากคิดว่าจวนอ๋องไม่มีชีวิตชีวาก็รับบ่าวสาวงดงามสักหลายคนก็ได้ ทั้งเสริมความมีชีวิตชีวา ทั้งยังสืบทอดลูกหลานได้อีกด้วย” สายตาหลบๆ ซ่อนๆ ของฉู่อ๋องไหนเลยจะรอดพ้นดวงตาของฉู่เฟยหยาง ยามได้ยินฉู่อ๋องเอ่ยเรื่องนี้ออกมาภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ฉู่เฟยหยางก็โต้กลับอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

ฉู่อ๋องคล้ายกับไม่ได้ยินคำเสียดสีเหน็บแนมของฉู่เฟยหยาง ดวงตายิ้มหรี่ทั้งสองข้างมองไปบนร่างอวิ๋นเชียนเมิ่งซึ่งเดินตามอยู่อีกด้านทันที รู้สึกเพียงว่าแม่นางน้อยยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งสะสวยเรียบร้อย กลิ่นอายสุขุมฉลาดเฉลียวบนร่างยิ่งทำให้ฉู่อ๋องพึงพอใจยิ่ง จึงดึงชวีหลิงเอ้าที่ขวางกลางระหว่างทั้งสองออกมา ขยับเข้าไปข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง ถามเสียงเบา “ยายหนู เจ้าหมั้นหมายกับผู้ใดไว้แล้วหรือไม่”

ตั้งแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งมาที่ยุคโบราณก็ยังไม่เคยพบเจอคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเห็นว่าฉู่อ๋องผู้นี้แม้จะมีฐานะสูงส่งแต่กลับเรียบง่ายเป็นมิตร โดยเฉพาะนัยน์ตาวาววับเป็นประกายคู่นั้นมีเพียงรอยยิ้มไร้ซึ่งแผนร้ายใดๆ จึงตอบกลับไปเบาๆ “เรียนท่านอ๋อง ยังเจ้าค่ะ”

ฉู่อ๋องคล้ายกับพึงพอในใจคำตอบของอวิ๋นเชียนเมิ่งมากจึงพยักหน้าติดๆ กัน พูดคำว่า ‘ดี’ ติดๆ กันสามคำ หลังจากนั้นก็ดึงชวีหลิงเอ้าที่ถูกเขาเบียดไปอยู่อีกด้านเดินไปข้างหน้า เอ่ยถามเสียงก้อง “ท่านโหว ฐานะวงศ์ตระกูลของจวนอ๋องข้าไม่ถือว่าต่ำต้อยกระมัง”

ทีแรกชวีหลิงเอ้าคิดว่าฉู่อ๋องเพียงแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่พอยามนี้เห็นในดวงตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง หัวใจทั้งดวงพลันชะงักค้าง คิดได้ว่าปีนี้ฉู่อ๋องอายุเกินหกสิบแล้ว แต่เมิ่งเอ๋อร์เพิ่งจะถึงวัยออกเรือน ในใจแอบร่ำร้องว่าแย่แล้วทันที

ฉู่เฟยหยางที่อยู่อีกด้านกลับมุ่นหัวคิ้วเบาๆ ส่วนเฉินอ๋องยิ่งมองอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยแววตาซับซ้อนมากกว่าเดิม

บทที่ 18 เผยเสน่ห์ปลายจวัก

 ทุกคนเดินตามอยู่ด้านหลังฉู่อ๋องและชวีหลิงเอ้า ไม่ต้องใช้เกี้ยวก็เดินจากลานด้านหน้ามาถึงเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวิน แต่ยามที่ชวีหลิงเอ้าจะนำฉู่อ๋องเดินเข้าไปในห้องหลักของเรือนรุ่ยหลินนั้นจู่ๆ ฉู่อ๋องก็ผ่อนฝีเท้าลง ช่วงเอวที่เมื่อครู่ยังยืดตรงพลันงุ้มค่อมเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังไอเสียงดังใส่ทางตำแหน่งของห้องอุ่นสองสามคำรบ เสียงที่แลดูไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อยค่อยๆ พูดกับชวีหลิงเอ้าว่า “แก่แล้ว ใช้การไม่ได้แล้ว เพิ่งเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หอบจนกลายเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็ยังสู้คนหนุ่มคนสาวอย่างพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ”

ชวีหลิงเอ้าเห็นฉู่อ๋องพูดเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกขบขัน แต่ใบหน้ายังคงเคารพนอบน้อมเช่นเดิม เขาพูดตามวาจาของฉู่อ๋องต่อไปว่า “ท่านอ๋องน่ะยิ่งแก่ยิ่งแข็งแรง นึกถึงเมื่อปีนั้นที่ท่านอ๋องกับอดีตฮ่องเต้กรีธาทัพออกรบ ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล คนรุ่นหลังเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้และยังเคารพเลื่อมใสท่านอ๋องอย่างสุดแสน หากไม่มีพวกท่านอ๋องหลั่งเลือดกรำศึก คนรุ่นหลังไหนเลยจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้ได้”

ฉู่อ๋องเห็นชวีหลิงเอ้าพูดจากใจจริงอย่างน่าฟังยิ่งจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แต่กลับไม่เปลี่ยนท่าทางเดินเหินไม่ค่อยสะดวกที่ทำอยู่ในตอนนี้ หลังจากนั้นก็ไออีกสองสามคำรบ ชี้ไปที่ห้องหลักพลางเอ่ยปาก “พวกเรารีบเข้าไปกันเถิด อย่าให้ฝ่าบาทกับเหล่าไท่จวินรอนาน”

ชวีหลิงเอ้าพยักหน้าทันที ประคองฉู่อ๋องเข้าไปในห้องหลักด้วยตนเอง ถึงแม้คนอื่นๆ จะเข้าไปในห้องหลักแล้ว แต่ก็มิได้เข้าไปในห้องอุ่นเพราะยังไม่ได้ถูกเรียก จึงรอคอยอยู่ด้านนอก

เสียงไอของฉู่อ๋องเมื่อครู่ดังเข้าไปถึงห้องอุ่นตั้งแต่แรกแล้ว ทุกคนที่อยู่ด้านในล้วนรอคอยการมาถึงของเขา ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ยังรับสั่งให้คนเตรียมที่นั่งเบาะนุ่มรออยู่อีกด้าน

“กระหม่อม…แค่กๆ…กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท…แค่กๆ…” พอเข้ามาในห้องอุ่นฉู่อ๋องก็รีบคุกเข่าถวายบังคมอวี้เฉียนตี้ แต่ยามนี้เสียงไอของเขากลับรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก กว่าจะพูดจบประโยคหนึ่งต้องหยุดพักอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเสียงหอบระหว่างพูดยังรุนแรงยิ่ง คล้ายกับหายใจหายคอไม่ค่อยทัน

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เห็นฉู่อ๋องต้องการจะทำความเคารพตนอย่างงกๆ เงิ่นๆ จึงเสด็จลงมาจากที่นั่งตำแหน่งประธานทันที ทรงประคองฉู่อ๋องที่ย่อตัวลงครึ่งหนึ่งขึ้นด้วยพระองค์เอง ตรัสอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ “ฉู่อ๋องไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก ตอนอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพก็ทรงอนุญาตให้เจ้ามิต้องคุกเข่าถวายบังคม พอมาถึงเราจะสั่งให้เจ้าคุกเข่าคารวะได้ที่ไหนกัน หนำซ้ำฉู่อ๋องยังไอรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่สบายใช่หรือไม่ ต้องการให้เราเรียกหมอหลวงมาตรวจรักษาหรือไม่”

ฉู่อ๋องถูกพยุงไว้จึงไม่อาจถวายบังคม แต่จารีตระหว่างกษัตริย์และขุนนางไม่อาจละทิ้ง เขาจึงส่ายหน้า ยืนกรานจะคุกเข่าลง พอถวายบังคมโดยเสร็จสิ้นสมบูรณ์จึงถูกชวีหลิงเอ้าประคองขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างพึงพอใจและซาบซึ้ง “ขอบพระทัย…ฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมอายุมากแล้ว…เมื่อก่อนตอนกรำศึกอยู่ในสนามรบก็ได้รับบาดเจ็บ…ถึงแม้ตอนนี้วสันตฤดูอบอุ่นบุปผาบานสะพรั่ง…แต่สุดท้ายก็ยังคงหนาวเหน็บอยู่บ้าง…โรคเรื้อรังเหล่านี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่เหมันตฤดู…ล้วนเป็นโรคคนแก่ทั้งนั้น…ลำบากฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง”

พูดจบฉู่อ๋องก็เริ่มไอขึ้นมาอีก มือซ้ายของเขาควักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีเทาฝุ่นผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างสั่นเทา มองทุกคนแวบหนึ่งด้วยสายตาขออภัยเล็กน้อย จากนั้นปิดริมฝีปากทั้งสองแล้วไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ฉู่อ๋องไม่เป็นไรจริงๆ หรือ ข้าคิดว่าเรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรหน่อยดีกว่า เช่นนี้ฝ่าบาทกับข้าจะได้วางใจ อย่างไรฉู่อ๋องก็มีความดีความชอบจากการศึก ตรากตำสร้างคุณูปการใหญ่หลวงเพื่อแคว้นซีฉู่ พวกเราจะปล่อยให้ขุนนางผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดินเจ็บป่วยแต่ไม่รักษาได้เยี่ยงไร” ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นฉู่อ๋องไอจนทั้งหน้าแดงเถือกจึงตรัสด้วยความพะวงพระทัยทันที

ทว่านางไม่เอ่ยเสียยังดีกว่า พอพูดจบฉู่อ๋องก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งเบาะนุ่มอีกครั้ง ประสานมือคำนับด้วยสองมือสั่นเทา เคราขาวเหนือริมฝีปากสั่นระริก กล่าวว่า “กระหม่อมขอบพระทัยในความหวังดีของไทเฮา…เพียงแต่…นี่ล้วนเป็นโรคเรื้อรัง…ไม่หนักหนาสาหัส…ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงในวังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบฉู่อ๋องก็หันไปทางกู่เหล่าไท่จวินผู้เป็นเจ้าของวันเกิดในวันนี้ กล่าวอวยพรจากใจจริง “น้องกู่เอ๋ย…พวกเราเองก็มิได้พบหน้ากันมาหลายปี…วันนี้เป็นวันดีของเจ้า…พี่ฉู่อย่างข้าคนนี้ก็อยากมาขอดื่มเหล้ามงคลที่จวนเจ้า…น้องสาวโปรดอย่าได้ถือสา”

กู่เหล่าไท่จวินจะถือสาได้อย่างไร พอคิดถึงเมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้ยกทัพพิชิตใต้หล้า จวนฝู่กั๋วกงก็คอยติดตามอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ จึงมีมิตรไมตรีกับฉู่อ๋องอยู่หลายส่วน

ทว่าหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องครั้งนั้นฉู่อ๋องก็ไม่มีความสนใจในงานราชกิจอีกต่อไป แต่กลับตั้งอกตั้งใจทำตัวเป็นท่านอ๋องผู้ว่างงาน วันๆ เอาแต่ปิดประตูไม่รับแขกและค่อยๆ ห่างเหินกับตระกูลใหญ่ทั้งหลายในเมืองหลวง

วันนี้เขาสามารถมาอวยพรวันเกิดได้ ในใจกู่เหล่าไท่จวินย่อมยินดีปรีดายิ่งนัก

เมื่อเห็นว่าบัดนี้ฉู่อ๋องถูกโรคเก่ารุมเร้ากายา ในใจของกู่เหล่าไท่จวินก็รู้สึกอาดูรเล็กน้อย พอนึกถึงว่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาปีนั้นบัดนี้ค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ จะไม่ทำให้หวนนึกถึงวันวานได้อย่างไร

“พี่ฉู่ ร่างกายท่านเป็นเช่นนี้ วันนี้ยังมาอวยพรน้อง น้องอดปลาบปลื้มใจไม่ได้จริงๆ พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายปี แต่ท่านยังจำวันเกิดน้องได้ ช่างมีน้ำใจไมตรียิ่งนัก แต่ท่านก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายตนเองบ้าง อย่าอวดดีเตะถ่วงเวลาเยียวยารักษา” กู่เหล่าไท่จวินพลันเอ่ยออกมาจากจิตใจ แค่ฟังเสียงของนางก็รู้ว่าความห่วงหาอาทรที่มีต่อฉู่อ๋องเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน แต่วาจาของนางกลับแลกมาด้วยการไอโขลกที่รุนแรงยิ่งขึ้นของฉู่อ๋อง เขาใช้มือขวาทุบอก สีหน้าท่าทางทุกข์ทรมาน

ชวีหลิงเอ้าเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบรับถ้วยชาที่สาวใช้ส่งมาให้ ส่งไปถึงข้างปากของฉู่อ๋องด้วยตนเอง ส่วนมืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลังฉู่อ๋องเบาๆ เพื่อให้เขาหายใจสะดวก

ฉู่อ๋องดื่มชาไปสองสามอึกอย่างทุลักทุเลแล้วโบกมือให้ชวีหลิงเอ้าเป็นการบอกว่าให้ยกออกไป หลังจากหอบหายใจเฮือกถึงได้เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทก็ทรงเห็น ร่างกายโทรมๆ ของกระหม่อมแม้อยากจะรับใช้ชาติแต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว ตอนนี้ก็หลงเหลือเพียงชื่อเสียงนิดๆ หน่อยๆ ทำให้ฝ่าบาทกับไทเฮาต้องหัวเราะแล้ว”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เห็นเขาถ่อมตัวเช่นนี้ก็รีบรับสั่งกับหลิวกงกงที่อยู่ข้างพระวรกาย ตรัสเสียงก้องกังวาน “นำโสมภูเขาจากเขาฉางไป๋ซานที่ได้รับบรรณาการมาเมื่อปลายปีที่แล้วจากคลังหลวงมาสองต้น ส่งไปที่จวนฉู่อ๋อง ให้ฉู่อ๋องบำรุงรักษาร่างกายให้ดี”

ฉู่อ๋องได้ยินเช่นนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏแววซาบซึ้งตื้นตัน ลุกขึ้นคำนับโดยไม่สนการทัดทานของฮ่องเต้และไทเฮา

ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นฉู่อ๋องเคร่งครัดในจารีตถึงเพียงนี้ ทั้งยังเห็นเขาไอโขลกรุนแรงมาก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้เขาได้ผ่อนคลายสักครู่ จากนั้นมองไปทางชวีหลิงเอ้าพลางตรัสถาม “น้องรอง ข้าให้ไปพาเมิ่งเอ๋อร์เข้ามามิใช่หรือ คนไปไหนเสียล่ะ”

เมื่อครู่ชวีหลิงเอ้ากำลังปรนนิบัติฉู่อ๋องจึงหลงลืมอวิ๋นเชียนเมิ่งไปชั่วขณะ ยามนี้เห็นไทเฮาตรัสถึงจึงกล่าวยิ้มๆ “เฉินอ๋อง อัครเสนาบดีฉู่ และเมิ่งเอ๋อร์ล้วนรออยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงประสงค์เรียกเข้าเฝ้าพร้อมกันเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทอดพระเนตรไทเฮาแวบหนึ่ง เห็นไทเฮาแย้มพระสรวลให้เขาเล็กน้อยจึงตรัสอย่างสบายพระทัยเช่นกัน “เชิญเข้ามาให้หมดเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงครอบครัว ไม่มีกฎข้อบังคับมากมายถึงเพียงนั้น ให้ทุกคนผ่อนคลายกันสักหน่อย อย่าเคร่งครัดในจารีตระหว่างกษัตริย์กับขุนนางมากเกินไปเลย”

ชวีหลิงเอ้าได้ยินฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสเช่นนั้นจึงค้อมตัวถอยออกไปอย่างนอบน้อม ไม่นานนักกลุ่มคนหลายคนก็เดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องอุ่น

แม้ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ตรัสว่าให้ผ่อนคลายสักเล็กน้อย แต่จะมีคนกล้าผ่อนคลายจริงๆ เสียที่ไหนกัน

หากเรื่องนี้ถูกคนมีเจตนาร้ายเห็นเข้า ต่อไปถูกคนยกมาพูดถึง นั่นมิใช่การขุดหลุมฝังศพตนเองหรอกหรือ

กลุ่มคนหลายคนต่างเดินเข้ามาถวายบังคมอย่างพินอบพิเทา หลังจากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างกายญาติของแต่ละคนตามรูปแบบของงานเลี้ยงครอบครัว

เฉินอ๋องมาอยู่ข้างกายหลินเหล่าไท่จวิน แน่นอนว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งถูกกู่เหล่าไท่จวินดึงไปนั่งลงด้วยกัน อวิ๋นเสวียนจือยืนอยู่เงียบๆ อีกด้านโดยลำพัง ส่วนฉู่เฟยหยางไปยืนข้างกายฉู่อ๋อง

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทอดพระเนตรเห็นฉู่เฟยหยางมาถึงจึงทรงอดบ่นมิได้ “อัครเสนาบดีฉู่ เจ้าต้องเป็นห่วงเป็นใยฉู่อ๋องให้มากๆ เราว่าสุขภาพร่างกายของฉู่อ๋องชวนให้คนไม่วางใจจริงๆ ”

ฉู่เฟยหยางได้ยินก็ก้มหน้ามองฉู่อ๋องที่ไอไม่หยุด นัยน์ตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งฉายแววเหนื่อยใจวาบผ่านอย่างรวดเร็ว ยื่นมือใหญ่ออกไปตบหลังฉู่อ๋องแรงๆ กล่าวด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้ท่านปู่คงจะถูกลมและความเย็นน่ะพ่ะย่ะค่ะ หากร่างกายไม่สู้ดี วันหลังอย่าออกจากจวนอ๋องจะดีกว่า”

ฉู่อ๋องเดิมทีก็ใบหน้าแดงก่ำอยู่แล้ว ยามนี้ถูกฉู่เฟยหยางออกแรงตบเช่นนี้ เกรงว่าใบหน้าชรานั้นคงจะคั้นโลหิตออกมาได้แล้ว ซ้ำเห็นหลานรักของตนจะกักบริเวณตนเองอีก เขาจึงรีบเงยหน้ามองฉู่เฟยหยางทันที ถลึงตาใส่ฉู่เฟยหยางในมุมที่ไม่มีคนมองเห็น ทว่าคำพูดที่ออกจากปากกลับเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “หลานไม่ต้องเป็นห่วงสุขภาพของปู่หรอก ขอแค่เจ้าแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทอย่างเต็มที่ ปฏิบัติหน้าที่เพื่อฝ่าบาทด้วยความจงรักภักดีก็ถือเป็นวาสนาของปู่แล้ว ส่วนปู่น่ะหรือ คนเราพอแก่ตัวลง ถึงแม้ร่างกายจะเทียบกับแต่ก่อนมิได้ ทว่าการออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ถึงจะเป็นเคล็ดช่วยให้อายุยืนยาวนะ”

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ฉู่หนานซานก็รู้สึกว่าแรงบนแผ่นหลังของตนหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ ตบจนร่างทั้งร่างของเขาแทบจะคะมำไปข้างหน้าได้ ในใจอดไม่ได้ที่จะแอบด่าฉู่เฟยหยางว่าไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส

ทว่าชวีหลิงเอ้าที่อยู่อีกด้านกลับเก็บเรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าสู่สายตา แม้จะขบขันกับวิธีการอยู่ร่วมกันของปู่หลานคู่นี้ แต่กลับทนเห็นฉู่หนานซานถูกฉู่เฟยหยางรังแกไม่ได้จริงๆ จึงเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ให้สาวใช้มาปรนนิบัติท่านอ๋องเถิด อัครเสนาบดีฉู่เชิญนั่ง”

ส่วนฉู่เฟยหยางกลับมองฉู่อ๋องที่ยามนี้ไอโขลกจนพูดจาไม่ออกขึ้นมาจริงๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาจึงคลายมือออก นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายฉู่หนานซาน

กระทั่งถึงตอนนี้ไทเฮาถึงได้มีช่องว่างตรัสถามอวิ๋นเชียนเมิ่ง “เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นที่เรือนด้านหน้าหรือ ข้าได้ยินฉวีกงกงรายงานว่ามีคุณหนูบุตรสาวขุนนางตกน้ำ ส่วนเจ้ากรมอาญากลับสงสัยว่าเจ้าเป็นคนทำ ซ้ำในมือยังมีหลักฐานและพยานด้วย เมิ่งเอ๋อร์ ข้าเห็นเจ้าเติบโตมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า แต่หากเจ้าเป็นคนทำจริงๆ ข้าจะไม่ให้ท้ายเด็ดขาด หากมีคนใส่ร้ายป้ายสีเจ้า ข้ากับฝ่าบาทจะเป็นธุระจัดการแทนเจ้าเอง”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นไทเฮาตรัสถึงเรื่องนี้จึงรีบลุกขึ้นเดินไปตรงกลางห้อง คุกเข่าให้เหล่าคนที่อยู่บนที่นั่งตำแหน่งประธานทันที กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจทว่าแข็งกร้าว “ฝ่าบาทและไทเฮาโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ใต้เท้าซูฟังแล้ว แต่ใต้เท้าซูกับซูฮูหยินเอาแต่ใส่ร้ายหม่อมฉัน ยิ่งไปกว่านั้นยังให้บุตรสาวรองเจ้ากรมอาญาพูดจาไร้สัมมาคารวะดูหมิ่นมารดาของหม่อมฉัน ไทเฮา ฝ่าบาท แค่หม่อมฉันถูกใส่ร้ายก็ยังไม่อาจกล้ำกลืนเรื่องนี้ลงไปได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดตนเองถูกหมิ่นด่าต่อหน้าผู้คน ขอไทเฮากับฝ่าบาททรงตัดสินด้วยความยุติธรรม คืนความบริสุทธิ์ให้หม่อมฉันและมารดาด้วยเพคะ”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็โขกศีรษะให้ไทเฮาและฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้สามคำรบอย่างหนักแน่น

คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินวาจานี้ก็พากันมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นเพียงยามนี้นางสองตาแดงเรื่อ หยาดน้ำที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาดื้อรั้นไม่ยอมไหลรินลงมา ทว่าริมฝีปากทั้งสองของนางกลับสั่นระริก เห็นได้ว่าได้รับความคับข้องหมองใจอย่างถึงขีดสุด ดูแล้วชวนให้คนเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน

ไทเฮาตรัสด้วยความสะเทือนพระทัย “ฝ่าบาท หร่วนซูเฟยมารดาของท่านก็สิ้นเพราะคลอดบุตรยาก คล้ายคลึงกับสภาพของเมิ่งเอ๋อร์ วันนี้พอย้อนคิดดู ใจของแม่ก็ทรมานมากเหมือนกัน แต่พวกเจ้าล้วนเป็นคนจิตใจงามมีความกตัญญู ทุ่มเทตอบแทนต่อคนที่มีบุญคุณกับตนเองอย่างแท้จริง แม่ย่อมปลาบปลื้มยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูรองเจ้ากรมอาญาที่เติบโตท่ามกลางครอบครัวที่มีพร้อมทั้งบิดามารดา เหตุใดจิตใจถึงได้ชั่วร้ายเหลือเกิน อายุแค่นี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยไปแม้กระทั่งคนตาย สตรีไร้ศีลธรรมเช่นนี้หากไม่ลงโทษให้หนักๆ ในวันข้างหน้าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายรวมไปถึงประชาชนทั่วไปจะไม่เอาเป็นเยี่ยงเป็นอย่างหรือ พอถึงตอนนั้นแคว้นซีฉู่ยังจะมีหน้าเรียกตนเองว่าแว่นแคว้นแห่งแบบแผนจารีตได้อีกหรือ จะไม่ให้พวกหมานอี๋ หัวเราะเยาะเอาได้อย่างไร”

“แค่กๆๆๆ” ยามนี้ฉู่อ๋องเริ่มไอขึ้นอีกครั้ง ฉู่เฟยหยางเห็นเช่นนั้นก็คิดจะยื่นมือไปตบหลังเขา แต่กลับเห็นร่างกายของฉู่อ๋องเบี่ยงหลบอย่างแนบเนียน กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจทันที “ฝ่าบาท ไทเฮา เด็กน้อยไร้มารดาผู้นี้น่าสงสารเสียจริง เฟยหยางของพวกข้าก็ไม่มีมารดามาตั้งแต่เล็ก บิดาของเขาก็งานยุ่งรัดตัว ลำบากเจ้าเด็กคนนี้ต้องถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ตบแต่งภรรยา ต่อไปหากข้าล่วงพ้นหนึ่งร้อยปี จะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบบรรพบุรุษสกุลฉู่เล่า”

ทุกคนไม่คิดว่าฉู่อ๋องจะดันเอ่ยปากขึ้นในตอนนี้ แต่ในวาจาธรรมดาๆ นี้กลับแฝงด้วยความไม่ชอบมาพากล รู้สึกน่าสนใจขึ้นมาชั่วขณะ ทุกคนตั้งอกตั้งใจรอดูว่าการตัดสินครั้งนี้จะคลี่คลายลงเช่นไร

ส่วนฉู่เฟยหยางกลับขมวดหัวคิ้วเบาๆ กับวาจาของฉู่อ๋อง ในใจแอบก่นด่าปู่ตนเองอย่างอดไม่ได้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็พูดเรื่องที่ตนยังไม่ได้แต่งภรรยาออกมา หากคิดว่าจวนอ๋องไร้ชีวิตชีวาจริงๆ ล่ะก็ ไยต้องเอาแต่จับตาหลานชายของตนเองด้วยเล่า สู้เอาเวลาไปคิดวางแผนเพื่อตัวเขาเองเสียยังดีกว่า

ฉู่อ๋องคล้ายกับรับรู้ถึงความคิดของฉู่เฟยหยาง สองมือที่เต็มไปด้วยรอยด้านคู่นั้นกลับกดลดลงบนตัวฉู่เฟยหยาง มองอีกฝ่ายด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูเปี่ยมล้น คิดจะเอ่ยวาจาแต่กลับไออย่างรุนแรงไม่หยุด

วาจาของฉู่อ๋องกระเพื่อมระลอกคลื่นขึ้นในใจทุกคน โดยเฉพาะในใจของคนสกุลชวีต่างเชื่อมั่นไปแล้วว่าซูหยวนผู้นี้เห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไร้มารดาคุ้มครองจึงรังแกเด็กสาวอย่างโจ่งแจ้ง

ยามนี้ไทเฮาตรัสขึ้นอีกครา “ตำหนักในกำลังจะจัดงานคัดเลือกสาวงาม ชื่อของคุณหนูเจ้ากรมอาญาผู้นั้นถูกส่งไปแล้ว แต่ครั้งนี้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ คุณหนูซูคงไม่อาจเข้าวังได้แล้ว”

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เองก็ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินไปจึงผงกพระเศียรให้ไทเฮา ตรัสกับอวี๋กงกงที่อยู่ข้างพระวรกาย “ประกาศราชโองการของเราออกไป รองเจ้ากรมอาญาอบรมสั่งสอนบุตรธิดาไม่เข้มงวด ทำให้ธิดาตนใส่ร้ายคุณหนูสกุลอวิ๋น เดิมควรลงโทษสถานหนัก แต่วันนี้เป็นวันดีของกู่เหล่าไท่จวิน เราผ่อนหนักให้เป็นเบา ลงโทษหักเบี้ยหวัดครึ่งปี พร้อมกันนั้นลงโทษให้คุณหนูสกุลสิงคัด ‘บัญญัติสตรี’ หนึ่งร้อยจบ ส่วนเจ้ากรมอาญา เขามีฐานะเป็นถึงเจ้ากรมแต่กลับไม่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่สืบหาความจริงให้กระจ่างก็ใส่ร้ายผู้อื่น ลงโทษหักเบี้ยหวัดหนึ่งปี ถอดป้ายชื่อของคุณหนูสกุลซูที่ถูกส่งเข้าไปในวังออก ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามได้อีก”

ครั้นเห็นเรื่องราวได้ข้อสรุปแล้ว อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ยอบกายคำนับทุกคน แล้วจึงถอยออกจากห้องอุ่นไป

 

เพิ่งจะก้าวออกจากเรือนรุ่ยหลินก็ถูกคนกอดเอาไว้เต็มรัก กลิ่นหอมสดชื่นแผ่กำจายมาจากด้านหลัง มุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งย้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านพี่ ท่านเริ่มแกล้งเมิ่งเอ๋อร์อีกแล้ว”

เมื่อถูกเดาได้ว่าเป็นใคร ชวีเฟยชิงกลับยังคงตื่นเต้นดีใจเหมือนเดิม จูงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งพลางเดินไปช้าๆ ทว่ารอยยิ้มทางหางตากลับชัดเจนขึ้นทุกขณะ “เมื่อครู่ข้าได้ยินจากข้างนอกแล้ว เจ้ากรมอาญาผู้นั้นสมควรถูกลงโทษจริงๆ บุตรสาวแบบนั้นยังจะกล้าส่งเข้าวังอีก กลัวว่าคงจะอยู่ในนั้นได้ไม่เกินสามวันกระมัง!”

พูดจบจมูกเล็กสวยงามของชวีเฟยชิงก็อดย่นเล็กน้อยไม่ได้ สีหน้านางเวลานี้น่ารักเป็นหนักหนา

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเที่ยงแล้ว จึงจูงชวีเฟยชิงเดินตรงไปยังเรือนทิงอวี่

 

ขณะที่กำลังเดินผ่านเฉลียงทางเดินอันคดเคี้ยววกวน กลับเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อที่ผมขาวทั่วทั้งศีรษะนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างเฉลียงทางเดิน แม้มิได้เอ่ยวาจาใดๆ แต่ภายใต้แสงอาทิตย์เส้นผมสีขาวนั้นช่างเตะตายิ่งนัก ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งกับชวีเฟยชิงมองแวบเดียวก็เห็นทันที

ตอนนี้แน่ชัดว่าหรงอวิ๋นเฮ่อเองก็เห็นทั้งสองเช่นกัน จะให้หนีไปไหนก็ไม่ได้ ทั้งสองจึงจำต้องเดินเข้าไปทักทาย

“อวิ๋นเชียนเมิ่งแห่งจวนอัครเสนาบดีคารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ”

“ชวีเฟยชิงแห่งจวนฝู่กั๋วกงคารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ”

หรงอวิ๋นเฮ่อกลับไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ แต่ยามนัยน์ตาคู่นั้นเห็นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนอยู่ตรงหน้าโดยไร้รอยขีดข่วนก็วางใจลงเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ ทันที ไม่รอให้ทั้งสองจากไปก็เป็นฝ่ายหนีไปก่อน

“เป็นคนแปลกประหลาดขนานแท้!” ชวีเฟยชิงมองแผ่นหลังหรงอวิ๋นเฮ่อที่ไกลออกไป บ่นอุบอิบเสียงเบา

อวิ๋นเชียนเมิ่งยิ้มๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา เนิ่นนานผ่านไปถึงค่อยพูดขึ้นประโยคหนึ่ง “บางคนรูปโฉมงามราวกับหยกแต่จิตใจดุจเดรัจฉาน ทว่าบางคนแม้เกิดมาพร้อมเรื่องน่าเสียดายแต่กลับเป็นคนจิตใจดีงาม ท่านพี่อย่าตัดสินคนแค่ที่รูปลักษณ์ภายนอกนะเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เผยแววฉงน คว้าตัวเมิ่งเอ๋อร์มาใกล้พร้อมกับถามย้ำ “เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ ข้าได้ยินว่าเหล่าไท่จวินสกุลหรงเป็นคนรักสันโดษยิ่ง คุณชายหรงผู้นี้ก็ถูกเลี้ยงดูข้างกายเฉินเหล่าไท่จวินมาตั้งแต่ยังเล็ก ด้านอุปนิสัยใจคอก็เลยคล้ายคลึงกับเฉินเหล่าไท่จวินผู้นั้นมากทีเดียว เมื่อครู่พอเห็นพวกเราก็ไม่พูดอะไรสักคำเลยด้วย”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางอยากรู้อยากเห็นถึงเพียงนี้จึงพยักหน้าเบาๆ กล่าวช้าๆ “นิสัยสันโดษก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนไม่ดีนี่นา คนที่เอาแต่แย้มยิ้มทั้งวันพวกนั้นต่างหากถึงจะน่ากลัวจริงๆ ต่อไปท่านพี่ก็อย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นคนที่จะเสียเปรียบก็คือตัวท่านพี่เองนะเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงเห็นนางพูดจาฉะฉานมีเหตุมีผลจึงจดจำเอาไว้ในใจ พยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นทั้งสองคนก็เดินจูงมือกันไปยังเรือนทิงอวี่

ทว่าทั้งสองเพิ่งจะจากไป เงาร่างสูงเพรียวก็เดินออกมาจากหลังภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ จดจ้องเงาร่างสีม่วงนั้นอยู่เป็นนานจนไม่อาจตื่นจากภวังค์ ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องผมยาวสีขาวเงินพร่างพราวระยับราวกับหิมะ

 

ภายในห้องครัวเล็กตอนนี้แม่นมแต่ละคนกำลังดูแรงไฟอย่างระมัดระวัง ไอร้อนเป็นสายพวยพุ่งออกมาเหนือเตาไฟนั้น เกลียวกลิ่นหอมหวนล่องลอยเข้าสู่จมูกของทุกคน ทำให้ความอยากอาหารทวีขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ทันใดนั้นชวีเฟยชิงก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปยังหน้าเตาไฟ ยื่นมือหมายจะเปิดฝาหม้อขึ้น โชคดีที่สาวใช้ซึ่งอยู่อีกด้านมือเร็วตาไวห้ามนางเอาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นผิวเนียนนุ่มของชวีเฟยชิงคงจะถูกลวกเป็นแผลไปนานแล้ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งถูกการกระทำของชวีเฟยชิงทำให้ตื่นตระหนกจนเหงื่อออกชุ่มไปทั้งร่าง รีบดึงมือทั้งสองข้างของนางมาตรวจดู ปากเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ ถูกลวกหรือไม่”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นห่วงเป็นใยตนเองจากใจจริง มุมปากจึงผลิยิ้มบางๆ ดึงแขนเสื้อลงพร้อมกล่าวรับประกัน “ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ หอมยิ่งกว่าอาหารที่จวนโหวของพวกเราทำเสียอีกนะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับยิ้มอย่างลึกลับ จากนั้นหันไปทางแม่ครัวที่กำลังดูไฟอยู่ “ดูแรงไฟตามที่ข้ากำชับไว้หรือไม่ ไม่มีคนมายุ่งกับวัตถุดิบที่ข้าเตรียมไว้แล้วใช่ไหม”

แม่ครัวผู้นั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งระมัดระวังถึงเพียงนี้ ในใจก็ยิ่งเพิ่มความระวังรอบคอบ ตอบกลับอย่างจริงจัง “เรียนคุณหนู ทุกอย่างได้จัดเตรียมตามที่คุณหนูสั่ง กระทั่งถึงตอนนี้ฝาหม้อยังไม่ได้เปิดออกเลยเจ้าค่ะ”

ชวีเฟยชิงได้ยินคำตอบของแม่ครัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความฉงน ถามอวิ๋นเชียนเมิ่งเสียงเบา “ตั้งแต่พวกเราออกไปจนกลับมาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มๆ นี่คืออะไรถึงได้ตุ๋นนานเช่นนี้”

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับให้พวกสาวใช้พับแขนเสื้อให้นาง หยิบวัตถุดิบอื่นๆ ซึ่งอยู่อีกด้านมาแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร แต่ยังคงตอบคำถามของชวีเฟยชิงด้วยน้ำอดน้ำทน “เหล่าไท่จวินอายุมากแล้ว ทานอาหารที่แข็งเกินไปไม่ได้เจ้าค่ะ ดังนั้นตอนเตรียมอาหารให้ท่านจะต้องคอยระวังความแข็งความอ่อนของอาหาร ลำไส้และกระเพาะของผู้สูงอายุไม่ค่อยแข็งแรง ทนรับการกระตุ้นไม่ไหว”

ชวีเฟยชิงฟังจนสับสนงุนงง แต่ก็รู้สึกว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดอะไรที่มีเหตุผล จึงเบิกตาโตเดินตามอยู่ข้างหลังนาง มองนางหยิบจับวัตถุดิบแต่ละอย่างด้วยมือไม้คล่องแคล่วอย่างสนใจใคร่รู้

“หากท่านพี่ไม่มีธุระอะไร ไปหยิบชาเขียวมาให้เมิ่งเอ๋อร์ดีกว่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าอีกนิดเดียวร่างของชวีเฟยชิงก็จะแนบติดกับแผ่นหลังของตนแล้ว ห้องครัวนี้มีพื้นที่น้อย หมุนขยับร่างกายก็ไม่สะดวก อีกทั้งยามนี้มีคนที่ไม่ช่วยงานเพิ่มมาอีกคน อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงได้แต่ไล่นางออกไป

ชวีเฟยชิงเห็นว่าในที่สุดตนเองก็มีเรื่องให้ทำจึงเดินออกไปข้างนอกอย่างตื่นเต้นดีใจ ในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังยินดีที่พื้นที่กว้างขึ้นมาเล็กน้อย ชวีเฟยชิงก็วกกลับมาอีกครั้งราวกับสายลม ในมือยังถือชาเขียวไว้สิบกว่าชนิด พูดถามอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “เมิ่งเอ๋อร์ นี่คือชาหลงจิ่ง ก่อนฤดูฝน นี่คือชาปี้หลัวชุน นี่คือชาผู่เอ่อร์ นี่คือชาเถี่ยกวนอิน ชามากมายขนาดนี้พวกเราจะใช้ชนิดไหนหรือ”

ด้วยอุณหภูมิความร้อนสูงจากในครัว ทำให้ยามนี้บนศีรษะอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงผุดหยาดเหงื่อพราย นางที่ในมือกำลังยุ่งสาละวนกวาดตามองถุงชาในมือชวีเฟยชิงแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ชาปี้หลัวชุนแล้วกันเจ้าค่ะ หยิบใบชาออกมา ให้พวกสาวใช้บดใบชาเป็นผง”

ชวีเฟยชิงเป็นคุณหนูสกุลใหญ่จะเคยลงครัวได้อย่างไร ยามนี้พอได้ยินอวิ๋นเชียนเมิ่งพูดเรื่องพวกนี้ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ไฉ่ปัวสาวใช้ใหญ่ประจำตัวนางกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว พอได้ยินคำสั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รับถุงชาในมือชวีเฟยชิงมาแล้วนำออกไปบดเป็นผง

ชวีเฟยชิงเห็นงานในมือตนถูกคนอื่นแย่งไปก็พลันกระวนกระวาย จึงเดินเข้าไปดึงตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งให้นางมอบหมายภารกิจให้ตนอีก แต่คาดไม่ถึงว่าในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังหั่นผักอยู่นั้น พอถูกนางดึงมีดในมือก็พลันกรีดเข้าเนื้อบาดโดนนิ้วชี้ข้างขวาทันใด นิ้วขาวผ่องปานต้นหอมลอกนั้นหลั่งโลหิตสดๆ ทำให้ชวีเฟยชิงตื่นตกใจจนรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อให้นางเอาไว้ ปากพูดขอโทษไม่หยุด “เมิ่งเอ๋อร์…ข้า…ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…รีบไปหาหมอกับข้าเร็วเข้า”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูท่าทางลนลานของนาง กลับรู้สึกเหมือนตนเป็นฝ่ายรังแกนางแทน จึงยกนิ้วขึ้นดูอย่างละเอียด พอเห็นว่าบาดแผลที่โดนบาดค่อนข้างลึกแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อนิ้วเอาไว้ให้แน่นๆ แล้วหั่นผักต่อไป “ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไร แต่ว่าท่านออกไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ห้องครัวเล็กนี้มันร้อนเกินไปจริงๆ ท่านออกไปสูดอากาศหน่อยเถิด พอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าค่อยไปหาหมอ”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งยืนกรานเช่นนี้ พร้อมทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนทำให้นิ้วนางโดนบาดเป็นแผลจึงไม่กล้ารั้งอยู่ต่อไป ได้แต่เดินออกจากห้องครัวเล็กพลางหันกลับมามองเป็นระยะๆ สั่งให้สาวใช้ไปเชิญท่านหมอ ส่วนตนเองก็รออยู่นอกห้องครัว

พอไม่มีชวีเฟยชิงความเร็วในการทำอาหารของอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ว่องไวขึ้นทุกขณะ สามเค่อให้หลังอาหารทั้งหมดก็สำเร็จเรียบร้อย ส่วนผงชาเขียวที่เมื่อครู่ให้สาวใช้ไปตระเตรียมก็จัดการเสร็จแล้ว

ชวีเฟยชิงได้ยินเสียงทอดน้ำมันดังมาจากในห้องครัวเล็ก อีกครึ่งเค่อให้หลังก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเดินนำพวกสาวใช้ที่ในมือยกอาหารชั้นเลิศออกมา

“เมิ่งเอ๋อร์ ท่านหมอมาแล้ว” ชวีเฟยชิงเดินเข้าไปหา ยกสองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งมาตรวจดูอย่างละเอียดลออ เห็นเพียงผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนนั้นเปรอะเปื้อนด้วยรอยเลือดเต็มไปหมดจึงพลันเจ็บปวดใจไม่หยุด

อวิ๋นเชียนเมิ่งกังวลว่าอาหารเย็นแล้วจะส่งผลกระทบต่อรสชาติ จึงเดินมายังเรือนด้านในกับชวีเฟยชิงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ให้ท่านหมอตรวจอาการก็สั่งให้สาวใช้เช็ดหยดเหงื่อบนใบหน้านาง เติมแป้งประทินโฉมบางๆ จากนั้นทั้งสองก็รีบรุดไปยังเรือนรุ่ยหลิน

 

เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดว่ารอมานานขนาดนี้คงจะเหลือเพียงแค่คนจวนฝู่กั๋วกงกับพวกไทเฮา แต่พอก้าวเข้าไปในห้องอุ่น คนที่อยู่ภายในห้องกลับนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว แต่ละคนต่างมองมาที่ตนด้วยสายตาใคร่รู้

“ยายเด็กคนนี้มาได้เสียที พวกเราทุกคนท้องกิ่วกันหมดแล้วนะ” ไทเฮาเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งอึ้งงันเล็กน้อยจึงตรัสไขข้อสงสัยให้นาง

อวิ๋นเชียนเมิ่งแย้มยิ้มอ่อนช้อย เดินเข้าไปทำความเคารพพร้อมกับชวีเฟยชิง หลังจากนั้นลุกขึ้นยืนยกอาหารที่ตระเตรียมไว้ขึ้นวางบนโต๊ะยาวที่ถูกจัดเอาไว้แล้วทีละอย่างๆ ตามลำดับ

สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองลงบนอาหารจานแรกที่ถูกวาง บนจานกระเบื้องเคลือบสีขาวใช้ผักจัดแต่งเป็นรูปต้นสนหนึ่งต้นและนกกระเรียนมงกุฎแดงสองตัว ทุกคนถูกลวดลายอันงามล้ำนี้ดึงดูดอย่างห้ามไม่อยู่

“ท่านยาย อย่างแรกนี้เป็นอาหารจานเย็น จานหลักคือสนกระเรียนอายุมั่นเจ้าค่ะ ทำขึ้นจากเห็ดหอม เนื้อไก่แห้ง แตงกวา ไข่ขาว ไข่ฟู ผักแห้ง และอิงเถา* อาหารชนิดนี้รสชาติอ่อนๆ เอร็ดอร่อย เหมาะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่สุดเลยเจ้าค่ะ ส่วนจานเคียงคือห้าบุตรประทานพร สี่สมุทรร่วมฉลอง มิตรหยกชั้นเซียน สามดาวหัวลิง ห้าบุตรประทานพรที่จริงแล้วคือเมล็ดผลไม้ห้าชนิด ส่วนสี่สมุทรร่วมฉลองคืออาหารทะเลสี่ชนิด มิตรหยกชั้นเซียนคือเผือกและเห็ดหอม สามดาวหัวลิงคือยำเห็ดหัวลิง เชิญฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮา และท่านยายลิ้มรสได้เลยเจ้าค่ะ”

ทุกคนยังไม่ได้กินก็ถูกการจัดวางที่เป็นเอกลักษณ์นี้ดึงดูดไว้ชะงัด ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะใช้วัตถุดิบธรรมดาๆ จัดแต่งออกมาเป็นอาหารที่งดงามมีชีวิตชีวาเช่นนี้ได้ ทุกคนต่างคีบอาหารในจานตนเองขึ้นมา มองแล้วมองอีกอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วพลันตระหนักได้ว่าเป็นอย่างที่อวิ๋นเชียนเมิ่งบอกจริงๆ จึงวางอาหารใส่ปากอย่างอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง

“รสชาติอร่อยจริงๆ ด้วย แต่ก็ยังคงความสดใหม่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังไม่แย่งรสชาติอาหารจานที่มาทีหลังด้วย มิหนำซ้ำเนื้อไก่นี่ยังเคี้ยวง่ายมาก ทำให้คนที่ฟันไม่ดีอย่างข้าเองก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย” กู่เหล่าไท่จวินเอ่ยปากชมเป็นคนแรก จากนั้นชวีเฟยชิงจึงมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความนับถือเต็มเปี่ยม

เมื่อดูจากสีหน้าคนอื่นๆ ก็สามารถมองออกว่าพึงพอใจต่ออาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ โดยเฉพาะพวกฮ่องเต้ที่ปกติเสวยอาหารอันประณีตบรรจงทว่าไร้รสชาติในวังจนเคยชินก็ยังเสวยเพิ่มอีกหลายคำ

อวิ๋นเชียนเมิ่งมิได้กระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคำชมเชยของเหล่าไท่จวิน นางหันตัวกลับ ยกอาหารจานร้อนจานต่อไปขึ้นโต๊ะด้วยตนเอง

“เหล่าไท่จวิน อาหารจานร้อนจานแรกชื่อว่าลูกหลานเต็มบ้านคือไข่นกกระทาตุ๋นผักเขากวางเจ้าค่ะ จานที่สองเรียกว่าครอบครัวสุขสันต์คือสะโพกไก่ผัดนกกระทา จานที่สามเรียกว่าอายุวัฒนะคือปลิงทะเลต้มผักเสวี่ยหลี่หง จานที่สี่เรียกว่าบารมีเทียมฟ้าคือมันปูผัดเต้าหู้ จานที่ห้าเรียกว่าอรหันต์ชุมนุมเป็นรวมมิตรผัก จานที่หกเรียกว่ารุ่งโรจน์ห้าชั่วคนคือปลาจะละเม็ดนึ่ง จานที่เจ็ดเรียกว่าเผิงจู่ ประทานพรคือแกงไก่ป่าต้มฝูหลิง ส่วนจานสุดท้ายนี้เรียกว่าหวนคืนวัยเยาว์ จริงๆ แล้วคือเต่าทองผัดไก่บ้าน ตบท้ายด้วยน้ำแกงถ้วยนี้ ตั้งชื่อให้ว่าน้ำพุหวานธารหยกคือโสมคนตุ๋นกับนกพิราบเจ้าค่ะ”

กระทั่งอาหารจานร้อนทั้งหมดถูกยกขึ้นจนครบถ้วน อวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถอยไปอยู่อีกด้าน รอคอยให้ทุกคนได้ลิ้มลอง ทว่าตอนนี้ทุกคนมีแก่ใจลิ้มรสเสียที่ไหนกัน ต่างก็พากันตื่นตะลึงไปกับชื่ออาหารของอวิ๋นเชียนเมิ่งไปตั้งแต่แรกแล้ว

“ช่างเป็นเด็กที่มีความคิดพลิกแพลงจริงๆ น้องกู่ เจ้าเป็นคนมีวาสนาแท้ๆ เลย แม่หนูนี่ถึงกับคิดสร้างสรรค์ตั้งชื่ออาหารความหมายมงคลเช่นนี้เพื่ออวยพรวันเกิดให้เจ้า ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ เมื่อก่อนตอนกรีธาทัพอยู่ในสนามรบ ยามแม่ทัพใหญ่ฉลองวันเกิด อย่างมากก็มีแค่บะหมี่อายุยืนถ้วยเดียว โชคดีที่วันนี้ข้าได้มางานวันเกิดเจ้า มิเช่นนั้นคงพลาดเรื่องดีๆ ไปมากมาย” ฉู่อ๋องเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามนี้เห็นอาหารเยอะแยะมากมาย โรคเรื้อรังพลันหายดี อาการไอก็คล้ายกับหายสนิทแล้ว พออ้าปากก็พูดชมเชยอวิ๋นเชียนเมิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เชียนเมิ่งแค่นำภูมิปัญญาของคนโบราณมาประยุกต์ใช้ มิได้แสดงฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษเลยเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งยอบกายให้ฉู่หนานซาน น้ำเสียงเรียบนิ่งอ่อนโยน ไม่ได้ยินความหยิ่งผยองอวดดีแม้แต่กระผีกริ้น

ฉู่อ๋องเห็นนางมีมารยาทงามเช่นนี้จึงยังคิดจะเอ่ยปากชื่นชมอีก แต่ข้างหูกลับมีเสียงเย็นชาของเฉินเหล่าไท่จวินดังขึ้น “ดูเหมือนอาการไอของท่านอ๋องจะหายดีแล้ว ตอนนี้ถึงได้พูดจาเสียงดังกังวานเพียงนี้”

ถึงจะถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คน แต่ฉู่อ๋องก็หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ทว่ากลับเริ่มไอโขลกขึ้นมาแทน เขาดึงแขนเสื้อฉู่เฟยหยางเอาไว้ ให้ฉู่เฟยหยางหยิบยาเม็ดที่ใส่ไว้ข้างเอวของตนออกมา

ส่วนฉู่เฟยหยางมองปู่ของตนเองด้วยรอยยิ้มจางๆ มือค่อยๆ หยิบขวดยา จากนั้นก็เทยาเม็ดซึ่งอยู่ด้านในออกมาส่งให้ฉู่อ๋อง ก่อนที่ฉู่อ๋องจะโยนยาเม็ดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งยืนอยู่ใกล้ ทั้งยังสายตาแหลมคม จึงพบว่ายาเม็ดของฉู่อ๋องเมื่อครู่เป็นเพียงเมล็ดซิ่งเมล็ดหนึ่งเท่านั้น นางรู้สึกขำขันขึ้นมาทันใด แต่ก็เกิดความสนใจใคร่รู้ต่อฉู่อ๋องที่ทุกคนให้ความเคารพยำเกรงผู้นี้มากขึ้นหลายส่วน

ในขณะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งจดจ่อความสนใจอยู่กับฉู่อ๋อง ทางด้านนั้นก็เริ่มทานอาหารกันแล้ว เหล่าไท่จวินทั้งสี่ล้วนอายุมากแล้ว มิได้นิยมชมชอบอาหารแข็งๆ รวมถึงของคาวกลิ่นรุนแรงเหล่านั้น แต่กลับชื่นชอบอาหารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปรุงขึ้นจากวัตถุดิบธรรมดาๆ ยิ่งนัก

ส่วนฮ่องเต้กับฮองเฮาแม้ว่าพระชนมายุยังไม่มาก มิได้ชื่นชอบอาหารที่อ่อนเกินไปเหล่านี้เป็นพิเศษ แต่อาหารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งทำชนะด้วยรสชาติของวัตถุดิบที่ถูกรีดเค้นออกมาทุกหยาดทุกหยด กอปรกับยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งปรุงใช้น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มิได้เติมเครื่องเทศแต่งกลิ่นอื่นๆ อีก ทว่ากลับทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาเสวยอย่างเต็มอิ่มปริ่มเปรม

โดยเฉพาะฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ ทรงโปรดปรานผักเสวี่ยหลี่หงที่ไม่เคยเสวยมาก่อนยิ่งนัก จึงเสวยแล้วเสวยอีก

งานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลง ในใจทุกคนต่างพึงพอใจมาก

เจียงมู่เฉินวางถ้วยและตะเกียบในมือลง จ้องมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยสายตาแฝงแววสืบเสาะ แต่เห็นว่าพอนางเห็นทุกคนวางถ้วยตะเกียบลงก็หมุนกายออกไปข้างนอก

ฉู่เฟยหยางได้กลิ่นอ่อนๆ คล้ายกับมีแต่ก็เหมือนไม่มีในยามที่อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินผ่านข้างกายเขา สายตาหรี่ลงน้อยๆ มองสำรวจทั่วทั้งเรือนร่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกล้ำ

อวิ๋นเชียนเมิ่งออกไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับเข้ามา ในมือยังยกของหวานจานหนึ่งเข้ามาด้วย เห็นเพียงของหวานนั้นเขียวสดวาววับ เป็นขนมแป้งกรอบทรงกลมสีเขียวชิ้นเล็กๆ ส่วนขอบของขนมนั้นก็โรยด้วยเม็ดงา ทำให้ดูสีสันสดใสสวยงามน่าทานยิ่งนัก

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่ายามนี้ทุกคนกำลังมองตนเองอย่างเปี่ยมด้วยความคาดหวังจึงไม่อ้อมค้อมวกวน แย้มยิ้มพลางกล่าวอธิบาย “เหล่าไท่จวิน นี่คือของหวานเจ้าค่ะ เรียกว่าหัตถ์พุทธลูบศีรษะ ที่จริงแล้วเป็นแค่ขนมฝอปิ่งชาเขียวธรรมดาๆ แต่ว่าตั้งชื่อให้ไพเราะ ขอฝ่าบาท ไทเฮา ฮองเฮา และเหล่าไท่จวินอย่าได้รังเกียจ”

กู่เหล่าไท่จวินพึงพอใจกับอาหารวันนี้เป็นอย่างมาก ไหนเลยจะมาจับผิดอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก

หลังจากพวกฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้คีบขนมฝอปิ่งชาเขียวแล้ว นางก็รีบคีบตามด้วยหนึ่งชิ้น รู้สึกเพียงกลิ่นหอมจรุงใจของชาเขียวกระจายไปทั่วปาก ขนมฝอปิ่งชาเขียวนี้ดูเหมือนเป็นขนมหวาน แต่กลับเจือรสหวานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นเพราะยายหนูเมิ่งเอาใจใส่พิถีพิถัน รู้ดีว่าผู้สูงอายุกินของหวานมากไม่ได้ จึงลดปริมาณน้ำตาลที่อยู่ภายในลง

ทุกคนไม่คิดว่าฝอปิ่งชาเขียวที่มิได้ถือว่างดงามประณีตนี้กลับมีรสชาติสดใหม่ถึงเพียงนี้ ซ้ำยังกำจัดความมันเลี่ยนที่หลงเหลืออยู่ในปากเมื่อครู่นี้ได้พอดิบพอดี

ผ่านไปชั่วครู่ฝอปิ่งชาเขียวเต็มจานก็ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกคนลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยพลางมองอวิ๋นเชียนเมิ่ง ต่างล้วนมีสีหน้าไม่นึกไม่ฝัน

ฉู่เฟยหยางกลับสังเกตเห็นว่าบริเวณแขนเสื้ออวิ๋นเชียนเมิ่งเปรอะสีแดงเป็นจุดๆ นัยน์ตาอมยิ้มบึ้งตึงขึ้นหลายส่วน

กู่เหล่าไท่จวินสงสารที่อวิ๋นเชียนเมิ่งยุ่งสาละวนมาครึ่งค่อนวันจึงกล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู “เมิ่งเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ออกไปทานอาหารกันเถิด”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ดีแก่ใจว่ากู่เหล่าไท่จวินเป็นห่วงตนเองจึงพยักหน้าขานรับ ถอยออกไปพร้อมกับชวีเฟยชิง

ทว่ายามนี้แม่นมข้างกายจี้ซูอวี่กลับเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ เชิญชวีเฟยชิงไปต้อนรับหญิงสาวจากสกุลต่างๆ ที่ลานด้านหน้า อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าป้าสะใภ้ใช้โอกาสนี้ให้ชวีเฟยชิงเรียนรู้การควบคุมดูแลเรื่องราวต่างๆ ภายในจวน จึงแย้มยิ้มพลางพูดเกลี้ยกล่อมชวีเฟยชิงที่ไม่ยอมจากไป

เพิ่งจะหมุนตัวกลับก็เห็นฉู่เฟยหยางยืนอยู่เบื้องหลังตน นัยน์ตาสีดำวาววับคู่นั้นกำลังมองมาอย่างแฝงรอยยิ้ม ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งตกใจจนหัวใจเต้นช้าไปหนึ่งจังหวะ รีบปรับท่าทางของตนให้เรียบร้อย ถอยหลังไปเล็กน้อยหนึ่งก้าว เว้นระยะห่างกับฉู่เฟยหยางแล้วทำความเคารพ “คารวะอัครเสนาบดีฉู่เจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าฉู่เฟยหยางย่อมมองเห็นความตื่นตระหนกในชั่วพริบตาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งมองเห็นเขา พร้อมกันนั้นยังเห็นว่าตอนนี้นางฝืนบังคับให้ตนเองสงบนิ่ง ในใจรู้สึกว่านางแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ

หากเปลี่ยนเป็นสตรีคนอื่นถูกบุรุษแปลกหน้าเข้าใกล้ เกรงว่าคงจะตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ในชั่วพริบตา ทั้งยังใช้ท่าทีเยือกเย็นถึงขีดสุดมาตอบโต้อย่างคล่องแคล่ว

ตกลงแล้วเป็นสตรีแบบไหนกันแน่ นางผ่านเรื่องอะไรมากันแน่ ไฉนถึงสุขุมราวกับคนที่มีชีวิตมาแล้วหลายชาติก็ไม่ปาน

ทว่าตอนนี้ฉู่เฟยหยางมิได้มาที่สวนดอกไม้เพื่อสืบหาความลับเรื่องชาติกำเนิดของนาง เขาควักขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ รีบยื่นไปตรงหน้านางทันที และกล่าวอย่างจริงจัง “มือได้รับบาดเจ็บก็อย่าให้ถูกน้ำ ทายานี้ทุกๆ วัน ไม่เกินสิบวันผิวพรรณก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองขวดกระเบื้องเคลือบตรงหน้า ทว่ามิได้ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับกำลังครุ่นคิดถึงเจตนาของฉู่เฟยหยาง นอกจากนี้แคว้นซีฉู่มีข้อเรียกร้องต่อสตรีเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้บุรุษและสตรีแอบส่งมอบสิ่งของให้กันและกันเด็ดขาด

ฉู่เฟยหยางกลับไม่ยอมให้นางค่อยๆ คิดอย่างช้าๆ กอปรกับเขาก็มิใช่คนเคารพในจารีตธรรมเนียมอยู่แล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมาจึงยัดโอสถใส่มือนางอย่างเผด็จการ ส่วนตนเองก็ค่อยๆ เดินหายไปในสวนดอกไม้อย่างเงียบเชียบเหมือนขามา

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองขวดยาที่เพิ่มเข้ามาอยู่ในมือตน ในใจพลันหงุดหงิดแต่ก็จนปัญญา จึงได้แต่เก็บไว้ในแขนเสื้อ คิดจะกลับไปเรือนทิงอวี่ของชวีเฟยชิงเพื่อพักผ่อนสักครู่

ทว่ายังเดินไปไม่พ้นสามสิบจั้งก็เห็นหรงอวิ๋นเฮ่อเดินตรงเข้ามา เดิมอวิ๋นเชียนเมิ่งคิดจะหลบหลีก แต่หลังจากหรงอวิ๋นเฮ่อมองเห็นนางฝีเท้าก็เร่งความเร็วขึ้น เดินมาถึงตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว ยื่นขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินใบหนึ่งมาตรงหน้านาง หลังจากนั้นก็กระแอมไอ กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ท่านย่าให้ข้านำมามอบให้เจ้า”

พูดจบก็วางขวดกระเบื้องไว้ข้างเท้าอวิ๋นเชียนเมิ่งก่อนจะหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินที่ข้างเท้า นึกถึงขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวที่อยู่ในแขนเสื้อ พลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด

บทที่ 19 คลื่นลูกเก่ายังไม่สงบ คลื่นลูกใหม่ก็ผุดขึ้น

 ในเรือนรุ่ยหลิน บรรดาเหล่าไท่จวินผู้ทรงศักดิ์และพวกฉู่อ๋องกำลังหวนรำลึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งกรีธาทัพออกกรำศึกไปทั่วทุกสารทิศ เจียงมู่เฉินเห็นฉู่เฟยหยางหายออกไปจากห้องอุ่นตั้งนานแล้ว ในใจพลันวาดผ่านด้วยความไม่สบอารมณ์ จึงหาข้ออ้างออกไปจากเรือนรุ่ยหลินเช่นเดียวกัน ตลอดทางที่เดินไปถึงลานด้านหน้าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่เฟยหยาง จึงเดินไปยังทิศทางของสวนดอกไม้แทน

ส่วนอวิ๋นเชียนเมิ่งนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ย่อกายลงเก็บขวดกระเบื้องเคลือบน้ำเงินไว้ในแขนเสื้อ ถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบเก็บงำความเหนื่อยใจบนใบหน้าทันที ครั้นเห็นว่าเมื่อครู่ตนเองสั่งให้สาวใช้ไปช่วยงานชวีเฟยชิงจนหมด ตอนนี้ข้างกายเลยไม่มีใครอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว จึงเดินตรงไปยังเรือนทิงอวี่ด้วยฝีเท้าเร็วไวเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น

“พวกเจ้าดูชัดแล้วจริงๆ นะ อีกประเดี๋ยวคงไม่มีคนโผล่มาใช่ไหม ข้าเห็นคุณหนูอวิ๋นผู้นั้นกับคุณหนูใหญ่จวนฝู่กั๋วกงตัวติดกันไม่ห่าง ถ้าหากถูกจับได้ล่ะก็ ข้าคง…” ในขณะเดียวกันนี้ด้านนอกของสวนดอกไม้จวนฝู่กั๋วกงมีเงาร่างลับๆ ล่อๆ สามสายเดินวนไปวนมานอกกำแพงไม่หยุด บุรุษหนุ่มคนหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คือหยวนชิ่งโจวแห่งจวนหานกั๋วกง ยามนี้เขากำลังเอ่ยถามสาวใช้สองคนอย่างละล้าละลัง

ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากพบอวิ๋นเชียนเมิ่งบนท้องถนนก็ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปแน่นอน

ยามนี้เห็นหยวนชิ่งโจวอยู่ในเสื้อคลุมยาวผ้าดิ้น ใบหน้าแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย ยามพูดจาก็พ่นกลิ่นเหล้าออกมาคละคลุ้ง ยิ่งกว่านั้นร่างยังยืนพิงกำแพงอย่างไม่มั่นคงเสียด้วยซ้ำ แค่ดูก็รู้ว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงคงจะดื่มเหล้าไปหลายอึกเป็นแน่

“คุณชายวางใจได้ เมื่อครู่พวกเราเห็นคุณหนูชวีพาสาวใช้ทุกคนไปที่ลานด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ ในสวนดอกไม้ตอนนี้มีเพียงคุณหนูอวิ๋นคนเดียว ท่านแอบอยู่ที่นี่ ฉวยโอกาสตอนนางเดินผ่านภูเขาจำลองกอดนางเอาไว้ พาตัวนางเข้าไปในภูเขาจำลอง อยากจะทำอะไรคนอื่นก็มองไม่เห็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ในชุดกระโปรงสีเขียวหนึ่งในนั้นกลอกตาใส่หยวนชิ่งโจวอย่างไม่พอใจยิ่ง ทั้งยังเห็นว่าเขามีแต่กลิ่นเหล้าเต็มปากเต็มร่าง ในดวงตาจึงเต็มไปด้วยแววเหยียดยาม แต่เพื่อความสุขของคุณหนูตน นางจึงไม่อาจไม่หลอกล่อเจ้าคนบ้ากามนี้มาที่นี่ คิดวางแผนการให้กับเขา

พูดจบ บนใบหน้าหยวนชิ่งโจวก็ปรากฏสีหน้าอดใจรอไม่ไหว สาวใช้ชุดเขียวในใจหยามเหยียด แต่บนใบหน้ากลับยิ้มหวานล้ำยิ่งขึ้น

สิ้นคำนางก็ไปแอบตรงทางเข้าทางลัดเมื่อสักครู่กับสาวใช้ชุดเหลือง ทั้งสองเคลื่อนกายหลบอยู่หลังกำแพงเตี้ยๆ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องดูเหตุการณ์ด้านนอกเขม็ง

หยวนชิ่งโจวตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าเหตุใดสาวใช้สองคนนี้จู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง และเหตุใดสาวใช้สองคนนี้ต้องสร้างโอกาสให้เขากับอวิ๋นเชียนเมิ่ง

ตัวเขาในตอนนี้ตัณหาขึ้นสมองไปเสียแล้ว ครั้นเห็นทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยจึงเดินโซซัดโซเซเข้าไปด้านหลังภูเขาจำลอง ตัวอ่อนยวบยาบเอนพิงผนังหินของภูเขาจำลอง หรี่นัยน์ตาที่เปล่งประกายราคะคู่นั้นพลางจับจ้องอวิ๋นเชียนเมิ่งที่เดินใกล้เข้ามาทุกขณะตาไม่กะพริบ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเดินทะลุเฉลียงทางเดินมายังลานด้านหลัง ยามนี้ลมเบาๆ สายหนึ่งพัดโชยขึ้นมาพอดิบพอดี สายลมเย็นๆ อันแผ่วเบาอุ่นละมุนนั้นพัดพากลิ่นหอมจรุงใจของบุปผานานาพรรณมาด้วย และยังเจือด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้งรวมถึงกลิ่นกำยานเทียม ซึ่งกลิ่นกำยานเทียมนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง ดวงตาทั้งสองข้างมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรอบคอบระมัดระวัง รู้สึกเพียงว่าสถานที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสวนดอกไม้และลานด้านหลังแห่งนี้วันนี้แลดูแปลกประหลาดกว่าปกติ ราวกับเป็นกับดักที่รอให้นางกระโดดลงไป

ส่วนคนที่เฝ้าอยู่ทั้งสองข้างกลับมองดูอวิ๋นเชียนเมิ่งอิดๆ ออดๆ ด้วยใจร้อนรุ่มดั่งไฟลน ในใจล้วนไม่แน่ใจว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งรู้ตัวแล้วหรือไม่

ทว่ายามนี้ความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งเล็งและบรรยากาศรอบข้างนำพามาชัดเจนมากขึ้นทุกที ยิ่งทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งมั่นใจในความหวาดระแวงของตน นางพลันสีหน้าเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กวาดมองรอบๆ ด้านด้วยสายตาเย็นชา นางอยากจะรู้นักว่าใครมันกล้าลอบทำร้ายตนในอาณาเขตของจวนฝู่กั๋วกง

นางยืนนิ่งเฉยๆ ไม่ขยับเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สองคนนั้นร้อนใจจนทนไม่ไหว สาวใช้ชุดเขียวผู้นั้นผลักสาวใช้ชุดเหลืองออกไป

สาวใช้ชุดเหลืองมิได้ยืนมั่นแม้แต่ฝีเท้าเดียว ถลาไปตรงหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลาน จากนั้นทำความเคารพอวิ๋นเชียนเมิ่งพร้อมกล่าว “คุณหนูใหญ่ให้บ่าวหานานเลยนะเจ้าคะ”

สาวใช้ชุดเขียวเห็นสาวใช้ชุดเหลืองเริ่มเอ่ยพูดกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้ว จึงหมุนกายมุ่งไปยังลานด้านหน้าทันที

เวลานี้อวิ๋นเชียนเมิ่งจำได้ว่านี่คือเฟิงเอ๋อร์สาวใช้ชั้นสองข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ย ทว่ายามนี้เฟิงเอ๋อร์ไม่อยู่ปรนนิบัติข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่กลับวิ่งมาหาตนที่นี่ ช่างน่าสงสัยโดยแท้

อวิ๋นเชียนเมิ่งผลิยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยปากถามอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา “เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ปรนนิบัติข้างกายน้องรอง วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน”

เฟิงเอ๋อร์เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าเหมือนปกติ อดคิดในใจไม่ได้ว่าคุณหนูใหญ่คงจะยังไม่รู้ว่าข้างหน้ามีคนซ่อนอยู่จึงยิ้มพลางตอบ “เรียนคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองให้บ่าวมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้คุณหนูรองเห็นว่าคุณหนูจวนท่านโหวพาสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ไปที่ลานด้านหน้าด้วย กลัวว่าถ้าหากข้างกายคุณหนูใหญ่ไม่มีคนอยู่ด้วยจะไม่สะดวก จึงได้ให้บ่าวมาหานี่แหละเจ้าค่ะ บ่าวหาในสวนดอกไม้แล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็หาคุณหนูใหญ่เจอเสียที ช่วงนี้มีลมพัดแล้ว แม้ว่าเดือนสามอากาศจะค่อยๆ อุ่นขึ้น แต่ลมก็ยังเจือด้วยไอเย็น ให้บ่าวปรนนิบัติคุณหนูกลับไปพักผ่อนที่เรือนทิงอวี่ดีกว่าเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งฟังวาจาของเฟิงเอ๋อร์ด้วยมุมปากอมยิ้ม เห็นความเร็วในการพูดของสาวใช้ผู้นี้ค่อนข้างเร็ว อีกทั้งสายตายังแอบมองไปทางภูเขาจำลองที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังบ่อยๆ ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันกระจ่างแจ่มแจ้ง แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยความลำบากใจ “ที่นี่ทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก มิหนำซ้ำยามลมวสันต์ในเดือนสามพัดปะทะใบหน้าก็นุ่มนวลราวกับมีผ้าไหมไล้ลูบใบหน้า ทัศนียภาพอันน่าสำราญใจถึงเพียงนี้ ไม่ต้องรีบกลับไป นอกจากนั้นข้าเชื่อว่าอีกไม่นานท่านพี่ก็กลับมาแล้ว ข้ารออยู่ที่นี่ก็พอ เจ้าเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติน้องรอง ถ้าน้องรองเรียกใช้เจ้าจะได้สะดวกมือ ไม่จำเป็นต้องคอยตามอยู่ข้างกายข้า กลับไปเสียเถอะ”

พูดจบอวิ๋นเชียนเมิ่งก็หันกายมุ่งไปยังทิศทางของสวนดอกไม้ สายตาของเฟิงเอ๋อร์ที่ร้อนใจมองกำแพงเตี้ยๆ นั้นแวบหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง จากนั้นก็วิ่งไปเบื้องหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยไม่ต้องคิด เปิดปากเอ่ยห้าม “คุณหนูใหญ่ ท่านกลับไปเรือนทิงอวี่เถิดเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าสาวใช้คนหนึ่งกลับกล้าขวางทางตน ทั้งยังเห็นในดวงตาของเฟิงเอ๋อร์มีแต่แววลุกลี้ลุกลน รอยยิ้มที่ดวงตาจึงค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น มุมปากเม้มแน่น ส่งเสียงตวาดทันใด “เจ้ามีฐานะอันใด กล้าขวางทางข้าเชียวหรือ! หรือว่าข้าอยากจะไปที่ไหนก็ต้องให้เจ้ามาควบคุม เป็นผู้ใดสั่งสอนกฎระเบียบอย่างนั้นหรือ ถึงได้ปล่อยให้เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ สาวใช้ที่ไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้จวนอัครเสนาบดีของข้าไม่ต้องการหรอก กลับไปข้าจะสั่งให้หลิ่วอี๋เหนียงหาพ่อค้าทาสมาพาตัวเจ้าไป”

เฟิงเอ๋อร์คอยติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นรั่วเสวี่ยมาตั้งแต่เด็กจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นเชียนเมิ่งในระยะนี้อยู่ในสายตาด้วยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นยังเห็นว่าแม้แต่ซูชิงก็ยังเสียเปรียบในเงื้อมมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ตอนรับมือกับอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่จึงระแวดระวังมากกว่าทุกครา

ทว่าก็ยังถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งจับผิดจนได้ เห็นเพียงยามนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งสีหน้าเคร่งขรึม ประกายเย็นเยียบปรากฏวาบในดวงตาพาให้คนบังเกิดความหวาดหวั่นในใจ โดยเฉพาะเมื่อครู่นางยังเอ่ยถึงพ่อค้าทาสที่เหล่าบ่าวรับใช้หวาดกลัวเป็นที่สุด พร้อมทั้งนึกถึงหงเซียงที่ก่อนหน้านี้ถูกพ่อค้าทาสเอาตัวไปเพราะวิ่งชนคุณหนูใหญ่ ทำให้เฟิงเอ๋อร์ที่ฉลาดหลักแหลมลนลานขึ้นมาทันใด รีบคุกเข่าให้อวิ๋นเชียนเมิ่งทันที ดึงมุมกระโปรงอีกฝ่ายพลางพูดอ้อนวอน “คุณหนูใหญ่ เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ ขอร้องคุณหนูอย่าไล่บ่าวออกไปเลยนะเจ้าคะ ที่บ้านบ่าวยังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ขอร้องคุณหนูใหญ่โปรดสงสารบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองความผิดปกติในลานบ้านแห่งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะหลงกลนาง จึงไม่สนใจเฟิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างเท้าอีก มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ต่อไป เฟิงเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งจะเดินไปข้างนอกทั้งๆ ที่ตนเองขวางกั้นอยู่ ร่างที่หมอบอยู่กับพื้นลุกขึ้นถลาไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด แต่หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งเตรียมการระวังเอาไว้แล้ว นางเบี่ยงกายหลบ ซ้ำยังผลักเฟิงเอ๋อร์ไปทางภูเขาจำลอง

 

“อะไรนะ พั่นหลันเจ้าพูดว่าอะไรนะ ท่านพี่ถูกบุรุษขวางทางเอาไว้ที่ลานด้านหลังหรือ!” ยามนี้พวกชวีหลิงเอ้าสามีภรรยาพาบุตรธิดาทั้งสองมาร่วมรับประทานอาหารกับแขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรที่ลานด้านหน้า แต่ทางฝั่งโต๊ะจัดเลี้ยงของสตรี อวิ๋นรั่วเสวี่ยที่เดิมทีกำลังทานอาหารอย่างเงียบๆ หลังจากได้ฟังคำรายงานของพั่นหลันสาวใช้ประจำตัวก็ถึงกับยืนขึ้น ย้อนถามสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนเสียงดังอย่างลืมตัว

ซูหยวนที่นั่งอยู่ไกลออกไปก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน ประสานมือคำนับให้ชวีหลิงเอ้า จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านโหว รีบไปดูคุณหนูอวิ๋นที่ลานด้านหลังเถิด อย่าให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นอันขาด!”

วาจาของซูหยวนเพิ่งจะสิ้นสุดก็รู้สึกว่าแววเย็นเยือกแผ่ลามขึ้นมาบนร่าง พอมองจ้องไปก็เห็นชวีฉางชิงบุตรชายคนโตของจวนฝู่กั๋วกงกำลังใช้สายตาเย็นชาถึงขีดสุดจ้องมองเขา แม้ชวีฉางชิงอายุเพียงแค่สิบแปด แต่อย่างไรเขาก็เป็นนักรบที่ตะลุยโรมรันกับข้าศึกในสนามรบมาแล้ว ไอสังหารบนร่างจึงมีแต่มากกว่า ไม่มีน้อยกว่าซูหยวน ในความเย็นชาปราดนั้นระคนด้วยไอสังหารรุนแรง ทำให้ซูหยวนหัวใจพลันสะดุ้งเฮือก แต่อวิ๋นเชียนเมิ่งทำให้เยวี่ยเอ๋อร์ของเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้เป็นพระสนม ซูหยวนย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้ทำลายชื่อเสียงอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ป่นปี้ไปแน่นอน

ทุกคนได้ยินวาจาของซูหยวนมีเหตุมีผลจึงพากันพยักหน้า ในสายตาของทุกคนล้วนฉายแววสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น เกรงว่าบรรดาฮูหยิน คุณหนู ขุนนาง และพวกผู้สูงศักดิ์ที่วันๆ ไม่มีอะไรให้ทำเหล่านี้คงจะชอบดูคนอื่นขายขี้หน้าเป็นที่สุด

จี้ซูอวี่กับชวีเฟยชิงก็ขมวดคิ้วมองชวีหลิงเอ้า รอคอยให้เขาตัดสินใจ

ชวีหลิงเอ้ารู้ดีว่าคนสกุลซูวางกับดักเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ หากเขาเข้าข้างนางมากเกินไป เกรงว่าต่อให้ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ต่อไปในใจทุกคนก็คงคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง

แผนรับมือในตอนนี้ก็มีเพียงพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังลานด้านหลัง ปล่อยให้ความจริงได้เป็นฝ่ายพูด

วันนี้ทุกคนในครอบครัวตนล้วนงานยุ่งอยู่ที่ลานด้านหน้าและเรือนรุ่ยหลินของมารดา ลานด้านหลังจึงกลายเป็นที่ที่ปล่อยให้คนสบโอกาสได้ง่าย หากพวกซูหยวนสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เกรงว่าชื่อเสียงทั้งชีวิตของอวิ๋นเชียนเมิ่งคงจะป่นปี้ย่อยยับจริงๆ

ทันใดนั้นนัยน์ตาที่แต่ไหนแต่ไรมาแม้จะเผชิญอันตรายก็ไม่เคยลนลานของชวีหลิงเอ้าพลันปรากฏแววลังเลวาบผ่านอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้เองชวีฉางชิงกลับพยักหน้าให้ชวีหลิงเอ้า จากนั้นจึงเห็นชวีหลิงเอ้าเอ่ยเสียงต่ำลึก “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนฮูหยินทุกท่านเป็นพยานให้แก่หลานสาวของข้า คืนความบริสุทธิ์ให้แก่เมิ่งเอ๋อร์”

บรรดาฮูหยินแต่ละคนล้วนสีหน้าตื่นเต้น วางชามตะเกียบในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนทันที ตามพวกชวีหลิงเอ้าไปยังลานด้านหลัง

ส่วนพั่นหลันที่เมื่อครู่เดินมารายงานกลับรับบทเป็นผู้นำทาง สีหน้าเจือแววยินดีพลางพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเอิกเกริกเข้าไปใกล้ภูเขาจำลองลูกนั้นอย่างรวดเร็ว

 

“ทุกท่านดูสิเจ้าคะ ในนั้นมีเงาคนสองคนใช่หรือไม่” ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในภูเขาจำลอง พั่นหลันก็บอกแจ้งแก่คนที่อยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ฮูหยินเหล่านั้นเห็นหลังภูเขาจำลองปรากฏเงาร่างคนจริงๆ สายตาต่างพากันมองไปทางพวกชวีหลิงเอ้าสามีภรรยาทันที

สำหรับสายตาประณามของทุกคน คนสกุลชวีทั้งสี่รวมถึงมู่ชุนกลับสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน สี่คนนั้นสีหน้าแน่วแน่ เชื่อมั่นว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียพรรค์นี้เด็ดขาด

ทุกคนได้ยินเพียงชวีหลิงเอ้าตวาดเสียงดัง “ใครก็ได้มัดตัวคนที่อยู่หลังภูเขาจำลองมาให้ข้า!”

เหล่าองครักษ์ของจวนอ๋องเดินเข้าไปทันที พุ่งไปหลังภูเขาจำลองด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ มัดตัวคนทั้งสองที่แอบซ่อนอยู่ด้านในมาไว้ต่อหน้าทุกคน

พอทุกคนมองดูก็เห็นเพียงชายหญิงคู่นี้ต่างเหลือเพียงอาภรณ์ตัวกลาง เรือนร่างของหญิงสาวคล้ายคลึงกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง ยามนี้สาบเสื้อถูกเปิดแบออกเผยให้เห็นเอี๊ยมสีชมพูลายนกยวนยาง* เล่นน้ำซึ่งอยู่ภายใน ส่วนตรงคอของชายหนุ่มมีรอยกรีดที่คล้ายกับรอยเล็บ แม้แต่กางเกงและผ้าคาดเอวก็มิได้ผูกปม ทั้งสองผมเผ้ายุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตาเช่นเดียวกัน แม้ถูกมัดตัวแน่นก็ยังคงหลับอยู่ ดูท่าทางเมื่อครู่ทั้งสองคงเพิ่งจะเสร็จกิจไปหนึ่งยก มิเช่นนั้นคงไม่เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นเช่นนี้จึงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากร่ำไห้เสียงดัง “ท่านพี่นี่นะ ไฉนถึงได้โง่เง่าเช่นนี้ ต่อให้ถูกถอนหมั้น แต่จะดูถูกตนเองเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ท่านลักลอบมีสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติคงโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ท่านจะให้ข้าอธิบายกับท่านพ่ออย่างไรเล่า!”

ในหูของฮูหยินทุกคนถือว่าการเปล่งวาจาของอวิ๋นรั่วเสวี่ยเป็นการยืนยันแล้วว่าเรื่องที่อวิ๋นเชียนเมิ่งลักลอบมีสัมพันธ์เป็นความจริง ส่วนอวิ๋นรั่วเสวี่ยตอนนี้กลับแสดงวีรกรรมในฐานะน้องสาวที่แสนดี ออกคำสั่งกับองครักษ์จวนโหว “รีบประคองท่านพี่เข้าไปในเรือนทิงอวี่เร็วเข้า อย่าให้ผู้อื่นได้เห็นสภาพเช่นนี้ของท่านพี่”

ทว่าองครักษ์จวนฝู่กั๋วกงหาใช่บ่าวรับใช้ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย องครักษ์เหล่านั้นจึงทำหูทวนลมกับวาจาของนาง

ยามนี้เองชวีหลิงเอ้ากลับออกคำสั่งเสียงเย็น “เลิกผมของสองคนนี้ออก ข้าอยากจะดูหน้านักว่าเป็นผู้ใดถึงได้หาญกล้าทำเรื่องสกปรกโสมมเยี่ยงนี้ในจวนฝู่กั๋วกงของข้า”

องครักษ์ผู้นั้นได้รับบัญชาแล้วก็เปิดเส้นผมด้านหน้าของทั้งสองออกทันที เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตาสองดวง

ทุกคนในที่นั้นคล้ายกับทอดถอนใจออกมาพร้อมกัน สตรีผู้นี้ไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่งสักหน่อย

ในเมื่อไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แล้วนางเป็นใคร

“เอ๊ะ นี่มิใช่เพ่ยเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวคุณหนูซูของเจ้ากรมอาญาหรอกหรือ” ตอนนั้นเองมีฮูหยินผู้หนึ่งตาดีจำสาวใช้คนนี้ได้

ชวีหลิงเอ้าได้ยินดังนั้นในดวงตาจึงฉายแววดุดันออกมาวาบหนึ่ง ออกคำสั่งแก่องครักษ์ทันที “พาตัวสองคนนี้ไปสอบสวนให้ละเอียดแล้วค่อยสืบฐานะของทั้งคู่ให้กระจ่าง ข้ารู้สึกสนใจยิ่งนัก อยากจะดูว่าสรุปแล้วเป็นผู้ใดแอบลักลอบนัดพบกันโดยไม่ดูสถานที่”

จี้ซูอวี่เห็นชวีหลิงเอ้าเกิดโทสะ นางเห็นว่าวันนี้เป็นวันดีจึงกล่าวเตือน “วันนี้เป็นวันดีของกู่เหล่าไท่จวิน ไม่ควรให้เลือดตกยางออก จับทั้งสองไปขังไว้ก่อนเถิด รอให้พ้นวันนี้ไปค่อยสอบสวนก็ยังไม่สาย”

ชวีหลิงเอ้านึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีแขกเหรื่อมากมาย ซ้ำยังเป็นวันเกิดอายุครบหกสิบของมารดาตนเอง จึงสูดหายใจลึกๆ แล้วยอมอ่อนข้อ “จัดการตามวาจาของฮูหยิน!”

องครักษ์น้อมรับบัญชา คุมตัวคนทั้งสองที่ยังคงอยู่ท่ามกลางนิทราเดินไปยังเรือนปีกข้าง

อวิ๋นรั่วเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าสตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์ไม่เพียงแต่ไม่ใช่อวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่กลับเป็นเพ่ยเอ๋อร์สาวใช้ใหญ่ข้างกายซูเฉี่ยนเยวี่ย

ทันใดนั้นใบหน้านางก็ไร้สีเลือด รู้สึกเพียงสองขาของตนอ่อนยวบ ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นางถึงกับมองไปทางฝูงคนอย่างงุนงงอยู่บ้าง

ฮูหยินทุกคนกำลังมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่ใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวตนเองผู้นี้อยู่เช่นกัน ในดวงตาของพวกนางมีแต่แววหยามเหยียด

ส่วนพั่นหลันหลังจากเห็นว่าสตรีผู้นั้นดันกลายเป็นเพ่ยเอ๋อร์ที่คอยอยู่ข้างกายซูเฉี่ยนเยวี่ยก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ เมื่อหันไปสบสายตาของอวิ๋นรั่วเสวี่ย พั่นหลันก็ร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยแก้ตัว นางก็ถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยตบเข้าฉาดใหญ่อย่างรุนแรง

ฮูหยินเหล่านั้นเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็พากันมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยความไม่เข้าใจ

ส่วนพั่นหลันกลับคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยความน้อยใจเต็มอก ในดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาพลางร้องขอชีวิต “คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ บ่าวดูผิดไปเอง เพ่ยเอ๋อร์รูปร่างคล้ายกับคุณหนูใหญ่ ซ้ำยังไม่มีคนอื่นคอยติดตามอยู่ข้างกาย บ่าวก็เลยคิดว่าเป็นคุณหนูใหญ่ ขอร้องคุณหนูไว้ชีวิตด้วยเถิดเจ้าค่ะ บ่าวมิได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ”

พูดจบพั่นหลันก็โขกศีรษะให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างไม่คิดชีวิต หน้าผากขาวราวหิมะนั้นโขกลงบนทางเดินโรยกรวดอย่างหนักหน่วงรุนแรง แค่ครู่เดียวก็เลือดตกยางออกแล้ว

อวิ๋นรั่วเสวี่ยในยามนี้กลับสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าควรจะร้องขอชีวิตกับท่านลุงต่างหาก! วันนี้เจ้าเกือบจะให้ร้ายจนท่านพี่สูญเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้จวนฝู่กั๋วกงอับอายขายหน้า อีกทั้งเจ้าทำให้ข้าขายหน้าไม่เหลือแล้ว ยังจะกล้ามีหน้ามาขอความเมตตาจากข้าอีกหรือไร”

สั่งสอนพั่นหลันเสร็จ อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็หันไปหาพวกชวีหลิงเอ้า กล่าวด้วยท่าทางราวดอกหลีฮวาต้องหยาดน้ำตา “ท่านลุง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของสาวใช้คนนี้ หากท่านอยากตีอยากลงโทษ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่คัดค้านใดๆ แต่ในใจเสวี่ยเอ๋อร์ยังรู้สึกผิด อยากจะไปที่เรือนทิงอวี่เพื่อขอโทษท่านพี่ด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

ยามนี้ชวีเฟยชิงก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแล้ว เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมตาพูดคำโกหกได้หน้าด้านๆ เช่นนี้จึงแค่นเสียงเย็นชากล่าวด้วยวาจาเจือแววเสียดสี “เกรงว่านี่คงจะเป็นแผนร้ายที่มีคนตั้งใจวางแผนมาเป็นอย่างดีกระมัง ยามนี้คุณหนูอวิ๋นคงจะไปปลอบใจคุณหนูซูที่ถูกสาวใช้ทำให้เดือดร้อนไปด้วยที่ห้องรับรองแล้วล่ะ”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นว่าความคิดของตนถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง ในใจก็พลันเดือดดาลแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ชี้พั่นหลันพร้อมกับพูดดุด่าต่อ “นางบ่าวชั่ว ทุกทีก็ชอบทำเรื่องจับลมคว้าเงา* วันนี้กลับก่อเรื่องในงานสำคัญแบบนี้ คอยดูนะว่าพอกลับไปข้าจะถลกหนังเจ้าอย่างไร!”

จี้ซูอวี่เห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยยังไม่หยุดเล่นละคร ในใจรู้สึกรำคาญอยู่นานแล้ว จึงยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินทุกท่าน “ให้ทุกท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเดี๋ยวนี้พวกสาวใช้จะใจกล้าเช่นนี้ ฮูหยินทุกท่านก็ต้องป้องกันระวังเอาไว้เช่นเดียวกัน หากบ่าวบ้านตนเองก่อเรื่องยังสามารถจัดการได้ แต่บ่าวจวนผู้อื่นก่อเรื่องขึ้นในบ้านตน ช่างชวนให้ปวดหัวจริงๆ”

ฮูหยินเหล่านั้นเห็นจี้ซูอวี่พูดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งจึงพากันพยักหน้าสำทับ

 

ชวีเฟยชิงเพิ่งจะก้าวเข้าเรือนทิงอวี่ของตนก็เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมือหนึ่งถือหนังสือปกิณกะนั่งอยู่ข้างโต๊ะพร้อมกับตั้งอกตั้งใจอ่านจึงเอ่ยขำๆ “ข้างนอกโกลาหลวุ่นวาย แต่ผู้เกี่ยวข้องอย่างเจ้าสบายใจเฉิบอย่างกับคนไม่มีเรื่องมีราว ซ้ำยังมีแก่ใจมาอ่านหนังสืออีก”

อวิ๋นเชียนเมิ่งวางหนังสือในมือลง ครั้นเห็นชวีเฟยชิงเดินเข้ามาก็ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “เกิดเรื่องอันใดหรือ ท่านพี่เล่าให้เมิ่งเอ๋อร์ฟังหน่อยสิเจ้าคะ”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งท่าทางสงบนิ่งเยือกเย็น จิตใจนางที่เดิมถูกอวิ๋นรั่วเสวี่ยทำให้โมโหจนเหลืออดพลันสงบตามไปด้วย

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับปลอบประโลมอารมณ์ที่เดือดดาลมากเกินไปของชวีเฟยชิงด้วยจิตใจสงบราบเรียบ “ท่านพี่ลืมวาจาที่เมิ่งเอ๋อร์พูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือ พวกเราจะสะดุดขาตนเองให้ศัตรูสบโอกาสได้อย่างไร ท่านโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ทำให้คนอื่นยังคงคิดว่าข้ามีเรื่องอะไรที่พบเจอหน้าผู้คนไม่ได้จริงๆ เพราะอย่างนั้นถึงได้อับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ เช่นนี้จะไม่เข้าทางแผนร้ายของคนอื่นหรือ”

ชวีเฟยชิงเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งเยือกเย็นปานนี้ ในใจก็เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้ม แต่เมื่อคิดถึงเล่ห์กลของอวิ๋นรั่วเสวี่ยในวันนี้ก็อดพะวักพะวนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดึงมืออวิ๋นเชียนเมิ่งเข้ามาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “เมิ่งเอ๋อร์ ข้าว่านะจวนอัครเสนาบดีนั่นมิใช่ที่ที่คนจะอยู่อาศัยได้จริงๆ สู้เจ้าย้ายมาจวนฝู่กั๋วกงดีกว่า ทั้งได้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งยังห่างไกลจากคนถ่อยที่คิดแต่จะทำร้ายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาพวกนั้นด้วย”

แม้ว่ามุมปากอวิ๋นเชียนเมิ่งยังคงอมยิ้ม แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก นางส่ายหน้าให้ชวีเฟยชิงอย่างแน่วแน่ เป็นครั้งแรกที่นางเก็บรอยยิ้มตรงมุมปากต่อหน้าชวีเฟยชิง ก่อนตอบกลับโดยแฝงด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่ง “ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านพี่เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้น้องแค่อยากกลับไปอยู่ร่วมกับน้องรองอย่างสนิทสนม”

คำว่า ‘อยู่ร่วมกับน้องรองอย่างสนิทสนม’ ในประโยคสุดท้ายแทบจะถูกเค้นออกมาจากไรฟันของอวิ๋นเชียนเมิ่ง แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของอวิ๋นเชียนเมิ่งตอนนี้เป็นอย่างไร แม้แต่ชวีเฟยชิงซึ่งอยู่อีกด้านก็รู้สึกได้ถึงโทสะที่ส่งมาจากภายในร่างกายนาง โดยเฉพาะยามเห็นสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวหาใดเปรียบของอวิ๋นเชียนเมิ่ง นางก็รู้ได้ทันทีว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ตนเองคงโน้มน้าวไม่สำเร็จจึงล้มเลิกความคิดไป

 

หลังจากชวีหลิงเอ้าจัดการเรื่องร้ายๆ เสร็จสิ้นก็มิได้ย้อนกลับไปที่ลานด้านหน้าในทันที แต่ให้ชวีฉางชิงต้อนรับแขกเหรื่อแทนตนเอง ส่วนตนก็ไปยังเรือนรุ่ยหลินของกู่เหล่าไท่จวินอย่างรวดเร็ว สั่งให้คนไปเรียกอวิ๋นเสวียนจือที่อยู่ด้านในออกมา

“ไม่ทราบว่าท่านโหวมีธุระอันใดหรือ” อวิ๋นเสวียนจือเดินตามเด็กรับใช้ออกมาจากเรือนรุ่ยหลิน เห็นชวีหลิงเอ้ายืนอยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางมองเขาอย่างเย็นชา ในใจพลันฉงนสนเท่ห์จึงเอ่ยปากถามขึ้น

ชวีหลิงเอ้าแค่นึกถึงเรื่องเมื่อครู่โทสะก็ท่วมท้นหัวใจจึงย่อมไม่ทำสีหน้าดีๆ ใส่อวิ๋นเสวียนจือ อีกทั้งยังแค่นเสียงเย็นชาใส่เขาหนึ่งคำรบ เอ่ยเสียงต่ำลึกดุดัน “ตามข้ามา!”

แม้ว่าอวิ๋นเสวียนจือจะมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้น แต่ที่เขามีฐานะอย่างวันนี้ได้ก็เกี่ยวพันกับจวนฝู่กั๋วกงอย่างแนบแน่น ด้วยเหตุนี้ยามเผชิญหน้ากับพี่ภรรยาคนโตจึงแสดงบารมีขุนนางอย่างเช่นในยามปกติออกมาไม่ได้เป็นธรรมดา โดยเฉพาะยามนี้ชวีหลิงเอ้ามีสีหน้าไม่เป็นมิตร นัยน์ตาที่ยามปกติสูงศักดิ์หาใดเทียมคู่นั้นกำลังเผยแววดูถูกและเย็นชาออกมาอย่างรุนแรง ทำให้อวิ๋นเสวียนจือลอบขมวดคิ้วกับตนเอง ในใจก็ค่อยๆ บังเกิดความไม่พอใจขึ้น

อย่างไรตัวเขาในวันนี้ก็เป็นอัครเสนาบดีของแคว้นแคว้นหนึ่ง เป็นผู้อยู่เหนือขุนนางทั้งปวง แต่ในสายตาคนบ้านเดิมของภรรยาเอกยังคงต้องแสดงบทบาทเชื่อฟัง ถูกเรียกก็มาถูไล่ก็ไป ทำให้อวิ๋นเสวียนจือพลันรู้สึกว่าไร้ศักดิ์ศรียิ่ง คิดว่าจวนฝู่กั๋วกงอาศัยอำนาจบารมีรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว

ถึงแม้ในใจจะไม่พอใจเท่าไรนัก แต่ในสนามขุนนางอวิ๋นเสวียนจือกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการปกปิดอารมณ์ของตนเองย่อมทำได้ดั่งใจนึกอยู่แล้ว

อวิ๋นเสวียนจือจึงใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม ตามอยู่ด้านหลังชวีหลิงเอ้าอย่างพินอบพิเทา

เมื่อมาถึงเรือนชิงซง ชวีหลิงเอ้าก็ตวาดไล่บริวารที่ตามมาทุกคนออกไปทันที ก่อนปิดประตูใหญ่ของห้องหนังสือ สนทนากับอวิ๋นเสวียนจืออยู่ด้านในถึงครึ่งชั่วยาม

ยามอวิ๋นเสวียนจือเดินออกมาจากเรือนชิงซง ทุกคนเห็นเพียงสีหน้าเขียวคล้ำและหัวคิ้วที่ขมวดแน่นเข้าหากันของเขา ต่อให้เขาพยายามระงับโทสะทั่วทั้งร่างอย่างสุดกำลังแล้ว แต่คนอื่นๆ แค่เห็นก็มองออกทันที

 

อวิ๋นรั่วเสวี่ยกำลังคิดจะบอกให้พั่นหลันแอบไปตามหาเฟิงเอ๋อร์อย่างเงียบๆ ทว่ากลับเห็นอวิ๋นเสวียนจือเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ครั้นถูกดวงตาทั้งสองข้างของบิดาที่มีเพลิงโทสะพุ่งเทียมฟ้ากวาดมอง อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ตื่นตกใจจนผ้าเช็ดหน้าที่บีบอยู่ในมือร่วงหล่นลงทันใด นางไม่มีท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับรีบลุกขึ้นยืนด้วยความสะพรึงกลัว ก่อนจะยอบกายคำนับอวิ๋นเสวียนจือที่เดินมาถึงตรงหน้านาง เอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพ่อ”

สองมือของอวิ๋นเสวียนจือไพล่อยู่ด้านหลัง มองดูท่าทางว่านอนสอนง่ายที่ใช้รับมือตนเองในตอนนี้ของอวิ๋นรั่วเสวี่ย วาจาที่ชวีหลิงเอ้ากล่าวกับตนเมื่อครู่ดังขึ้นในสมองอีกครั้ง เขารู้สึกเพียงว่าเพลิงโทสะโถมกระหน่ำในอกอย่างไม่ขาดสาย สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกแรงกำแน่นไม่หยุด อดทนข่มกลั้นไม่ให้ตบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยต่อหน้าธารกำนัลอย่างที่สุด

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวคนรองที่ตนเองประคองให้เติบใหญ่บนอุ้งมือกลายเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ลงมือไม่เลือกวิธีการเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ถึงแม้จะเป็นเพราะชวีรั่วหลี ที่ผ่านมาตนเองจึงชอบบุตรสาวคนโตอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ลง แต่ในเมื่อบัดนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นก็คือบุตรสาวของเขาอวิ๋นเสวียนจือ

บุตรสาวคนโตผู้นี้ฐานะสูงศักดิ์ ในภายภาคหน้าคงจะมีบุพเพสันนิวาสที่ดี แต่ไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจะอิจฉาริษยาอวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเพียงนี้ ถึงกับสร้างเรื่องแสดงละครจนเกือบจะทำลายชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่ง และเกือบจะทำให้ตนเองสูญเสียบุตรสาวดีๆ ไปหนึ่งคน

อวิ๋นเสวียนจือยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว สองมือสั่นเทิ้มขึ้นมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาที่ปกติเมื่อเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็มักจะแย้มยิ้มคู่นั้นยามนี้กลับยิ่งอึมครึมจนน่าหวาดกลัว ทั่วทั้งร่างแผ่กระจายไอสังหารดุดันเฉกเช่นยามอยู่ในราชสำนักโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องพูดถึงว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าเขาตกใจกลัวจนใบหน้าซีดขาวไปแล้ว แม้แต่บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่เมื่อครู่วิพากษ์วิจารณ์กระซิบกระซาบเรื่องหลังบ้านของจวนอัครเสนาบดีเหล่านั้น แต่ละคนต่างก็พากันก้มหน้าต่ำไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำใดๆ อีก

“ท่านพ่อ น้องรอง” ตอนนี้เองอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเดินจูงมือชวีเฟยชิงออกมาจากลานด้านหลัง ขณะที่มองเห็นอวิ๋นเสวียนจือกับอวิ๋นรั่วเสวี่ย อวิ๋นเชียนเมิ่งใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างสุภาพเรียบร้อยพลางเดินมาหาทั้งสองอย่างเชื่องช้า

หลังจากอวิ๋นเสวียนจือเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งมาถึงเบื้องหน้าตนโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายผม เส้นลวดที่ขึงแน่นในหัวใจก็ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย ทว่ายามเขาเห็นนิ้วที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลเป็นชั้นๆ หัวคิ้วก็มุ่นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม กล่าวระคนความห่วงใย “เมิ่งเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”

อวิ๋นเชียนเมิ่งหลุบม่านตาลงตามวาจาของบิดา มองนิ้วมือข้างซ้ายของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นช้อนนัยน์ตาทั้งสองข้างมองไปทางอวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างอบอุ่น ตอบกลับอย่างเรียบเฉยทว่าแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง “ก่อนหน้านี้ตอนลูกเตรียมงานเลี้ยงให้ท่านยายแต่ไม่ระวังถูกมีดบาดนิ้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่วางใจ ดังนั้นหลังจากลูกทำอาหารให้ท่านยายทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงให้ท่านหมอตรวจดูนิ้วของลูกเพื่อมิให้บาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกเจ้าค่ะ”

ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกมา อวิ๋นรั่วเสวี่ยพลันใบหน้าไร้สีเลือด ยิ่งก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตามองอวิ๋นเชียนเมิ่ง

แขกเหรื่อที่ลานด้านหน้าต่างเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน พากันลอบถอนหายใจว่าความกตัญญูของคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีกลับนำมาซึ่งการปั้นเรื่องใส่ร้ายของน้องสาวที่มีเจตนาไม่ดี

ทว่าอวิ๋นเสวียนจือที่ได้ยินวาจาเหล่านี้ของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ยามนี้ใบหน้าได้ดำมืดลงโดยสมบูรณ์ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจดจ้องอวิ๋นรั่วเสวี่ยเขม็ง กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กลับจวน!”

จากนั้นก็พาอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นรั่วเสวี่ยก้าวออกไปจากจวนฝู่กั๋วกงอย่างเร่งรีบ ฮูหยินผู้เฒ่าที่ตามมาทีหลังพาหลานสาวอีกสองคนมาด้วย ครั้นเห็นบุตรชายสีหน้าย่ำแย่จึงแอบร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว ได้แต่เอ่ยอำลาจี้ซูอวี่สองสามประโยคแล้วก้าวขึ้นไปบนรถม้าของจวนอัครเสนาบดีด้วยความร้อนรน

 

รถม้าบึ่งตรงไปยังจวนอัครเสนาบดี พ่อบ้านจ้าวและบ่าวรับใช้ทุกคนรออยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว อวิ๋นเสวียนจือลงจากรถม้าด้วยดวงตาเปี่ยมแววดุร้าย แม้แต่เกี้ยวที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้วก็ไม่นั่ง เดินไปยังลานด้านหลังด้วยตนเอง

“ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก!” มือหนึ่งผลักประตูใหญ่ของศาลบรรพชน พออวิ๋นเสวียนจือหันหน้ากลับมาก็ตะคอกใส่อวิ๋นรั่วเสวี่ยเสียงดัง ดวงตาที่ถลนออกมาเล็กน้อยคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังที่มีต่ออวิ๋นรั่วเสวี่ย ต่อให้หลับฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ให้กำเนิดลูกสาวโง่เง่าร้ายกาจเช่นนี้

“คุกเข่าลง!” อวิ๋นรั่วเสวี่ยเพิ่งจะเข้ามาในศาลบรรพชน เสียงตวาดด้วยโทสะของอวิ๋นเสวียนจือก็ดังขึ้นข้างหู ทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยตกใจกลัวจนคุกเข่าลงเสียงดังตรงหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษโดยทันที

วันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ แต่ก่อนไม่ว่านางกับซูชิงจะรังแกอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างไร อวิ๋นเสวียนจือล้วนทำเป็นมองไม่เห็น เพราะอย่างไรตอนนั้นก็อยู่ในจวนอัครเสนาบดี ต่อให้คนภายนอกรู้ว่าเขาโปรดปรานอี๋เหนียง แต่ก็ไม่มีใครทราบสถานการณ์อย่างละเอียด

ทว่าวันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับใส่ร้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งที่จวนฝู่กั๋วกงอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดทำให้ตนเองถูกชวีหลิงเอ้าเรียกไปต่อว่าอย่างรุนแรงในห้องหนังสือ ทำให้ตนเองอับอายขายหน้า นี่จะมิให้อวิ๋นเสวียนจือโมโหได้อย่างไร

มิหนำซ้ำตอนนี้เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างกับไฟลามทุ่ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ลักลอบมีสัมพันธ์คือสาวใช้จวนสกุลซู แต่เรื่องที่หลังบ้านจวนอัครเสนาบดีไม่ปรองดอง พี่น้องไม่ลงรอยกันก็ถูกผู้คนเอาไปพูดกันทั่วแล้ว ต่อไปจะให้เขาบัญชาการขุนนางทั้งหลายได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเสวียนจือยังวาดหวังว่าบุตรสาวทั้งสามจะได้แต่งให้กับเชื้อพระวงศ์ แต่วันนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยเกือบจะทำลายอวิ๋นเชียนเมิ่ง จะให้เขาดูนางเที่ยวก่อความวุ่นวายอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร

 

ซูชิงที่ตัวอยู่ในเรือนเฟิงเหอยามนี้ก็ร้อนอกร้อนใจไม่หยุดเช่นกัน เมื่อครู่พ่อบ้านจ้าวแอบส่งคนมารายงานว่าอวิ๋นเสวียนจือพาพวกคุณหนูไปที่ศาลบรรพชนด้วยสีหน้าย่ำแย่ หลังจากนั้นพั่นหลันก็กลับมาอธิบายเรื่องราวในวันนี้ ยิ่งทำให้ซูชิงตื่นตระหนก เหงื่อเย็นๆ ผุดทั่วร่าง เลิกผ้าห่มออกหมายจะรีบรุดไปยังศาลบรรพชน ทว่าถูกแม่นมหวังขวางเอาไว้

“ฮูหยิน ตอนนี้ท่านไปไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ คุณหนูรองวางแผนเล่นงานคุณหนูใหญ่ เดิมก็เป็นแค่เรื่องพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ถ้าท่านไปไม่เท่ากับบอกทุกคนว่าท่านมีส่วนกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่คุณหนูรองเลย แม้แต่ท่านก็หนีไม่พ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์คุณชายน้อยนะเจ้าคะ ท่านหมอกำชับเอาไว้แล้วว่าให้ท่านสงบใจบำรุงครรภ์ จะให้เกิดปัญหาอีกไม่ได้เป็นอันขาดนะเจ้าคะ”

ซูชิงได้ฟังเรื่องของอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงพลันลนลานเพราะความห่วงใย แต่พอตอนนี้ได้ฟังแม่นมหวังวิเคราะห์เช่นนี้ สองมือก็ลูบบนท้องน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วจึงพยักหน้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะถูกแม่นมหวังประคองขึ้นเตียงอีกครั้ง

 

ทางฝั่งอวิ๋นเสวียนจือกลับถลาเข้าไปตะคอกใส่พวกแม่นมด้วยสายตาชิงชัง “ยังไม่รีบลากออกไปอีก!”

แม้ว่าแม่นมสองสามคนนั้นจะไม่กล้าทำให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยบาดเจ็บ แต่เมื่อเทียบกับการฝ่าฝืนคำสั่งของอวิ๋นเสวียนจือ ก็ได้แต่ต้องล่วงเกินอวิ๋นรั่วเสวี่ยแล้ว คนหลายคนดึงตัวอวิ๋นรั่วเสวี่ยพลางลากนางไปยังแท่นลงโทษแล้วกดให้นางนอนคว่ำลงด้านบน จากนั้นก็หยิบแส้ฟาดไปยังแผ่นหลังของนาง

“โอ๊ย!” ทันใดนั้นเสียงร้องน่าสังเวชของอวิ๋นรั่วเสวี่ยก็ดังขึ้นภายในศาลบรรพชน แต่ยามนี้อวิ๋นเสวียนจือกินลูกตุ้มตาชั่งทำใจแข็งเพื่อจะสั่งสอนอวิ๋นรั่วเสวี่ย ต่อให้นางร้องโหยหวนแค่ไหน ดวงตาเขาก็ไม่กะพริบด้วยความเห็นอกเห็นใจแม้แต่นิดเดียว

อวิ๋นเสวียนจือเดินไปตรงหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ย เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจำเอาไว้ให้ดี จำใส่สมองเอาไว้ให้ดี! อย่าเอาแต่ทำตัวไร้เหตุผลไปวันๆ หาเรื่องให้คนเกลียดชังโดยใช่เหตุ!”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยกำลังนอนคว่ำอยู่จึงมองไม่เห็นสีหน้าของอวิ๋นเสวียนจือ แต่ความเย็นชาในน้ำเสียงของอีกฝ่ายตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน และความเจ็บปวดบนแผ่นหลังก็ยิ่งย้ำเตือนว่าต่อให้ปกตินางได้รับความเอ็นดูแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้อวิ๋นเสวียนจือเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าคนนอกได้ มิเช่นนั้นคนที่เสียเปรียบก็คือตัวนางเอง

พอคิดได้เช่นนี้อวิ๋นรั่วเสวี่ยก็สงบลง ไม่ดิ้นรนไม่ร้องโอดโอยอีกต่อไป กัดริมฝีปากล่างแน่นปล่อยให้แส้ฟาดลงบนแผ่นหลัง

อวิ๋นเสวียนจือเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยสงบนิ่งลง ทั้งยังเห็นเสื้อตรงแผ่นหลังของนางค่อยๆ มีโลหิตซึมออกมาจึงส่งสายตาให้แม่นมที่เป็นผู้ลงโทษ บอกให้นางหยุดมือ แล้วสั่งให้คนแบกอวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับเรือนเฟิงเหอ

 

สุ่ยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ในเรือนฉี่หลัวได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้อวิ๋นเชียนเมิ่งอาบเรียบร้อยแล้ว เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งอยากให้มู่ชุนออกไปพักผ่อน แต่มู่ชุนใช้เหตุผลว่านิ้วของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้รับบาดเจ็บ ต้องปรนนิบัติอวิ๋นเชียนเมิ่งถอดอาภรณ์ตัวนอกก่อนถึงจะยอมออกจากห้อง

“ตายแล้ว!” พอปลดอาภรณ์ตัวนอกออก อวิ๋นเชียนเมิ่งก็เดินไปหลังฉากกั้น ทว่าได้ยินเสียงร้องตื่นตระหนกเบาๆ ของมู่ชุนจึงหยุดถอดอาภรณ์ตัวในแล้วถามขึ้น

“เกิดเรื่องอันใด”

“เป็นบ่าวเสียมารยาทเองเจ้าค่ะ แต่ว่าแขนเสื้อของคุณหนูเปื้อนรอยเลือด โชคดีที่อยู่ด้านใน มิเช่นนั้นหากถูกคนนอกเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปพูดอย่างไรบ้าง” มู่ชุนนำเสื้อผ้าโปร่งที่เปื้อนเลือดกับกระโปรงยาวแยกวางไว้ด้วยกันต่างหาก แล้วจึงยอบกายให้อวิ๋นเชียนเมิ่ง ก้าวออกจากห้องอย่างแผ่วเบา

วาจาของมู่ชุนกลับเตือนสติอวิ๋นเชียนเมิ่ง ฉู่เฟยหยางคงจะสังเกตเห็นมือตนเองและเห็นรอยเลือดบนแขนเสื้อกระมัง อย่างไรตอนที่อยู่ในห้องอุ่นของกู่เหล่าไท่จวิน ตนเองก็อยู่ใกล้กับฉู่อ๋องและฉู่เฟยหยางที่สุด

ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฉู่เฟยหยางผู้นี้สังเกตการณ์ละเอียดถี่ถ้วน ต้องเป็นคนที่มีความรอบคอบระมัดระวังเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้าตาท่านหญิงไห่เถียนได้หรอก

ทว่าสิ่งที่ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งสับสนจริงๆ ก็คือวันนี้ตอนที่ตนเองถูกเฟิงเอ๋อร์เล่นงาน เหตุใดฉู่เฟยหยางกับเฉินอ๋องถึงปรากฏตัวออกมาพร้อมกันได้

โดยเฉพาะยามที่เฉินอ๋องเห็นหยวนชิ่งโจวพุ่งมาหาตนด้วยท่าทางเมาแอ๋ สีหน้านั้นดำทะมึนราวกับก้นกระทะ อีกทั้งลงมือต่อยหยวนชิ่งโจวที่ใบหน้าฉายแววราคะจนสลบทันที ก่อนจะหิ้วคอเสื้อหยวนชิ่งโจวหายไปในลานด้านหลัง

ส่วนฉู่เฟยหยางก็ยิ่งทำให้คนเดาใจไม่ถูก ทั้งๆ ที่จากไปแล้ว ไฉนถึงโผล่มาอยู่ต่อหน้านางอีกครั้งได้ ซ้ำเขายังตบเฟิงเอ๋อร์ที่คิดจะตะโกนร้องเสียงดังจนสลบไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้คนมาพาตัวเฟิงเอ๋อร์ไป

คิดๆ ดูแล้วตอนที่สาวใช้จวนสกุลซูลักลอบนัดพบกับบุรุษต้องเป็นการจัดของฉู่เฟยหยางแน่นอน เพราะอย่างไรตอนนั้นความสนใจของเฉินอ๋องก็ถูกหยวนชิ่งโจวช่วงชิงไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คุณชายคนโตของจวนหานกั๋วกงผู้นี้ก่อเรื่องขายขี้หน้าอีก เขาคงจะส่งตัวหยวนชิ่งโจวกลับจวนหานกั๋วกงด้วยตนเองแน่ๆ

ในขณะที่ตนหันกายหมายจะจากไป ฉู่เฟยหยางกลับเอ่ยถามเบาๆ จากด้านหลัง “การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใดหรือ”

แค่ประโยคเดียวก็แทบจะทำให้ฝีเท้านางยุ่งเหยิงได้ นางเกือบจะลืมตัวเสียมารยาทต่อหน้าฉู่เฟยหยาง ซ้ำยังรู้สึกว่าแผ่นหลังถูกเกาะติดด้วยแววตาสืบเสาะสองสาย ทำให้นางไม่กล้ารั้งอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้นั้นอีก

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูไอร้อนที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นในถังอาบน้ำ มือขวากำหมัด ทุบลงบนผิวหน้าที่อุ่นร้อนเบาๆ นัยน์ตาที่เยือกเย็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรฉายแววหงุดหงิดวาบผ่าน ริมฝีปากแดงบู้ขึ้นน้อยๆ อย่างดื้อรั้น คิ้วงามขมวดเข้าด้วยกันเบาๆ อดไม่ได้ที่จะแอบด่าตนเองในใจว่าไร้ความสามารถ

แค่คำถามเบาๆ ประโยคเดียวของฉู่เฟยหยาง ไยนางต้องถือเป็นจริงเป็นจังจนเกินไปด้วย หรือยังกลัวว่าฉู่เฟยหยางจะกล่าวหาว่านางเป็นสัตว์ประหลาดที่ย้อนเวลามาเกิดใหม่ ถูกคนอื่นจับมัดขึ้นลานประหารแล้วเผาให้ตายอย่างนั้นหรือ

หยาดน้ำหยดหนึ่งกระเซ็นลงบนพวงแก้มอวิ๋นเชียนเมิ่ง สัมผัสเย็นวาบทำให้นางกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็น แต่ก็อดกำชับกับตนเองอีกครั้งไม่ได้ว่าต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เฟยหยางต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำมากยิ่งขึ้น บุรุษที่แค่พบหน้ากันไม่กี่ครั้งก็เกิดความสงสัยต่อคนอื่นเช่นนั้นเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

 

ทางเรือนเฟิงเหอ ซูชิงมองดูอวิ๋นรั่วเสวี่ยที่หมดสติถูกคนแบกกลับมาพลันเจ็บปวดหัวใจไม่หยุด สั่งให้พั่นหลันไปเชิญหมอมาทันที ส่วนทางนี้ให้เหลือแม่นมหวังอยู่ในห้องเพียงคนเดียว ทั้งสองช่วยกันถอดเสื้อตัวนอกให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างระมัดระวัง ยามเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแส้ ซูชิงก็พลันร่ำไห้ดุจสายฝน เปลี่ยนอาภรณ์ตัวในและตัวนอกพร้อมกับป้อนยาให้อวิ๋นรั่วเสวี่ยด้วยตนเอง

แต่สายตายามอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมตาขึ้นกลับเย็นชาหาใดเปรียบ ทำให้ซูชิงก้มหน้าลงด้วยความละอายใจอยู่บ้าง

“คุณหนูรอง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ ฮูหยินนั่งเฝ้าท่านอยู่ตรงนี้ครึ่งวันแล้ว ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที” แม่นมหวังเห็นอวิ๋นรั่วเสวี่ยฟื้นขึ้นก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

แต่อวิ๋นรั่วเสวี่ยกลับไม่มองนางด้วยซ้ำ เอาแต่จดจ้องซูชิง ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะแต่งให้ฉู่เฟยหยาง!”

ได้ยินดังนี้ดวงตาทั้งสองข้างของซูชิงก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ จ้องมองอวิ๋นรั่วเสวี่ยอย่างไม่นึกไม่ฝัน ครุ่นคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดพอไปจวนฝู่กั๋วกงหนนี้บุตรสาวถึงเอ่ยวาจาแบบนี้ออกมา

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเห็นซูชิงแค่เพียงมองตนแต่กลับไม่พูดไม่จา โทสะจึงท่วมท้นหัวใจอย่างห้ามไม่อยู่ ตะคอกออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนแผ่นหลังของตนเอง “ช่างเป็นอี๋เหนียงที่ใจดำอำมหิตขนานแท้! มองดูลูกสาวตนเองเกือบจะถูกตีตายอยู่เฉยๆ แม้แต่หน้าก็ยังไม่โผล่มาสักนิดเดียว ตอนนี้แค่อยากให้ท่านไปพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อก็ยังละล้าละลัง น่าผิดหวังเสียจริงๆ!”

ครั้นวาจาเชือดเฉือนของอวิ๋นรั่วเสวี่ยถูกเปล่งออกมาจากปาก ในดวงตาซูชิงก็ฉายแววเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวที่นางเห็นเป็นเสมือนสมบัติล้ำค่า เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จะเรียกนางว่า ‘อี๋เหนียง’ กับปาก

ที่อวิ๋นรั่วเสวี่ยทำเช่นนี้ก็แค่เพียงเพราะตนเองมิได้รับปากนางในทันที

ทว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยลืมไปแล้วหรือว่าเพื่อให้นางได้เข้าร่วมงานครบรอบวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน ตนเองจึงคืนสินเดิมของชวีรั่วหลีให้อวิ๋นเชียนเมิ่งไปจนหมดสิ้น

แม้ว่าในใจซูชิงจะรู้สึกไม่สบายใจเพราะคำพูดของอวิ๋นรั่วเสวี่ย แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแผลของนางก็อดโทษตนเองไม่ได้

หากเมื่อครู่ตนรีบไปที่ศาลบรรพชน บางทีรั่วเสวี่ยคงจะไม่ได้รับบาดเจ็บทางกายในครั้งนี้

พวกแม่นมทำงานเบ็ดเตล็ดที่เป็นคนลงโทษออกแรงไม่หนักไม่เบา แต่ก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นรั่วเสวี่ยบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็นหรือไม่ ทว่าการที่บุตรสาวเพียงคนเดียวได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังก็ยิ่งทำให้ซูชิงปวดใจไม่หยุด บาดแผลนี้เกรงว่าต้องรักษาอย่างดีเป็นเวลาหลายเดือนถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น

“ดูท่าทางอี๋เหนียงคงไม่ยอมบอกวาจานี้แก่ท่านพ่อ?” ผ่านไปเนิ่นนานแต่ยังไม่เห็นซูชิงเอ่ยวาจาใดๆ อวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงเริ่มร้อนใจ คิดว่าแม้แต่มารดาที่รักใคร่เอ็นดูนางมาตั้งแต่ยังเล็กไม่อยู่ข้างนาง ทันใดนั้นก็ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้น ในดวงตาคล้ายมีแต่ความเกลียดชัง

ซูชิงเห็นนางพูดเช่นนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าฉู่เฟยหยางมีฐานะสูงส่งอำนาจมากล้น อีกทั้งมีจุดยืนเป็นกลาง ก็รู้สึกพึงพอใจในตัวลูกเขยในอนาคตผู้นี้เช่นเดียวกัน จึงยิ้มพลางปลอบโยนอวิ๋นรั่วเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้พวกเราต้องค่อยๆ ปรึกษาหาวิธีกันไป ตอนนี้ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าพวกเราจะเกี่ยวดองกับจวนฉู่อ๋อง แต่ก็ยังต้องรอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายสนิทเสียก่อนถึงจะจัดพิธีแต่งงานได้”

อวิ๋นรั่วเสวี่ยได้ยินคำตอบของซูชิง เห็นชัดว่านางตกปากรับคำของตนแล้ว สีหน้าบนใบหน้าอวิ๋นรั่วเสวี่ยจึงอ่อนลงมาก ยามนี้ถึงรู้สึกถึงความเจ็บแสบบนแผ่นหลัง คว้าสองมือของซูชิงไว้แน่น หลั่งน้ำตาอย่างไม่อาจสะกดกลั้น “ท่านแม่ ทั้งหมดเป็นเพราะนางสารเลวอวิ๋นเชียนเมิ่งทำร้ายข้า! วันนี้นางไม่เพียงแค่ทำให้ญาติผู้พี่ตกน้ำที่จวนฝู่กั๋วกง แต่ยังทำให้ข้าอับอายขายหน้าอีกด้วย ความแค้นนี้ต่อให้ปลิดชีพนางสารเลวนั่นด้วยดาบเดียวก็ไม่อาจคลายความเคียดแค้นในใจข้าได้”

ซูชิงได้ยินทุกอย่างมาจากพั่นหลันแล้ว ยามนี้เห็นบุตรสาวโกรธแค้นจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ในใจพลันเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย แผ่ประกายโหดเหี้ยมอำมหิต จากนั้นเรียกแม่นมหวังเข้ามาใกล้ๆ “ไปเอารังนกเลือดมาจากห้องคลังเล็กและนำไปส่งยังจวนสกุลซูด้วยตนเอง ปลอบขวัญคุณหนูให้ดีๆ เสวี่ยเอ๋อร์ ระยะนี้อย่าได้โกรธเกรี้ยวอีกเป็นอันขาด เจ้ารักษาตัวอยู่ที่เรือนข้าให้ดีๆ ส่วนทางอวิ๋นเชียนเมิ่ง ข้าจะปรึกษากับพวกท่านลุงของเจ้าเอง”

แม่นมหวังรับคำสั่งแล้วเดินออกไปจากห้องทันที ตรงไปยังห้องเสบียงที่อยู่ทางห้องปีกข้าง แค่ครู่เดียวในมือก็ยกรังนกเลือดชั้นเลิศหลายถ้วยออกมา หลังจากให้ซูชิงตรวจดูแล้วก็พาสาวใช้อีกหลายคนมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลซู

อวิ๋นรั่วเสวี่ยเค้นคำพูดประโยคหนึ่งออกมาจากไรฟัน “ข้าจะต้องแต่งให้ฉู่เฟยหยางให้ได้! เช่นนี้ข้าถึงจะเล่นงานอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ตายได้อย่างง่ายดาย ข้าจะให้นางถูกคนนับหมื่นข่มเหงจนตาย ข้าจะต้องเอาความอัปยศที่ได้รับในวันนี้ทบคืนให้นางเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”

ซูชิงเห็นบุตรสาวของตนถูกอวิ๋นเชียนเมิ่งเหยียดหยามจนถึงขั้นนี้ ความคิดชั่วร้ายก็ล้นทะลักหัวใจพลางโอบอวิ๋นรั่วเสวี่ยเอาไว้ เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ลูกวางใจเถิด แม่จะไม่ให้เจ้าถูกดูหมิ่นโดยเสียเปล่าแน่นอน! แม่จะต้องทำให้เจ้าแต่งงานกับอัครเสนาบดีฉู่ให้ได้ พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่อวิ๋นเชียนเมิ่งเลย แม้แต่ยายแก่หนังเหนียวที่หอไป่ซุ่นก็ต้องค้อมกายคุกเข่าคารวะพวกเรา!”

บทที่ 20 บังเอิญพบอริในวัดผู่กั๋ว

 

หลังจากพักผ่อนมาสามสี่วัน ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็พาอวิ๋นเชียนเมิ่งและอวิ๋นอี้อี้ขึ้นรถม้ารีบมุ่งหน้าไปยังวัดผู่กั๋ว

เนื่องจากการเดินทางไปกลับโดยรถม้ากินเวลาถึงครึ่งค่อนวัน ทุกคนจึงออกเดินทางตั้งแต่ยามอิ๋น เพราะอวิ๋นอี้อี้อายุยังน้อย พอขึ้นรถม้าก็ซุกตัวเอนหลับข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าทันที พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางนอนหลับปุ๋ยโดยไม่สนใจภาพลักษณ์จึงพากันพูดล้อนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็หยุดไป

ฮูหยินผู้เฒ่าให้แม่นมรุ่ยรองเบาะให้อวิ๋นอี้อี้เพิ่มอีกสองสามใบ ส่วนตนเองก็ค่อยๆ ปิดตาทั้งสองข้างแล้วขยับลูกประคำในมืออย่างช้าๆ

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นนางปากท่องสวดมนต์ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความละโมบ จึงรู้สึกขบขันยิ่งนัก พานหมดอารมณ์จะเสวนาเช่นเดียวกัน นางเพียงแค่เอนพิงผนังด้านในของรถม้า ยกมือขึ้นเปิดมุมหนึ่งของผ้าม่านออก มองดูท้องนภาด้านนอกที่ยังไม่สว่างเท่าใดนัก รู้สึกได้เพียงว่าในอากาศชื้นแฉะที่พุ่งปะทะใบหน้าแทรกซึมด้วยไอเย็นที่ชวนให้คนตื่นตกใจ ทว่าความเย็นนี้กลับทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เพียงไม่นานอวิ๋นเชียนเมิ่งก็ถูกทัศนียภาพภายนอกดึงดูดไว้เสียแล้ว จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากขึ้นอีกครา นางจึงจำต้องปล่อยผ้าม่านลง

เมื่อรถม้ามาถึงตีนเขาของวัดผู่กั๋วก็ล่วงยามเฉิน สามเค่อแล้ว ผ่านไปอีกสองเค่อก็มาถึงปากเขาทางขึ้นวัดผู่กั๋ว ตามกฎระเบียบของวัด พอถึงตรงนี้รถม้าทุกคันไม่สามารถเข้าไปได้ ผู้ที่โดยสารรถม้าทุกคนต้องลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในวัด

ทันใดนั้นทางขึ้นเขาที่เมื่อครู่ยังเงียบสงัดราวกับยามราตรีก็ครึกครื้นขึ้นมาเพราะหญิงสาวตระกูลขุนนางมากมายพากันลงมาจากรถม้า

เมื่อทอดสายตามองออกไป สถานที่แห่งนี้บุปผาเบ่งบานงามสะพรั่ง เสื้อผ้าเครื่องประดับของบรรดาอิสตรีสวยสดเลอค่ายิ่ง เมื่อเทียบกับปากทางขึ้นเขาที่เรียบง่ายแล้วก่อเกิดเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองฮูหยินผู้เฒ่าก้าวขึ้นขั้นบันไดที่ปูด้วยศิลาเขียวไปยังประตูใหญ่โตมโหฬารของวัดผู่กั๋ว

ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขา กลิ่นควันธูปที่ลอยตลบอบอวลระหว่างทางขึ้นเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ไม่เสียทีที่วัดผู้กั๋วเป็นอารามที่ราชนิกุลให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปที่แห่กันมายังตำหนักศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้แต่หญิงสาวตระกูลขุนน้ำขุนนางเหล่านั้นถ้าหากจะมาไหว้พระ สถานที่ที่เลือกเป็นอันดับแรกก็คือวัดผู่กั๋วเช่นเดียวกัน

อีกทั้งว่ากันว่ายี่สิบปีก่อนหรงเสียนไท่เฟยที่อยู่ในวังก็ได้ผูกวาสนาอันน่าฉงนกับแม่ชีจิ่วเสวียนแห่งวัดผู่กั๋ว ทั้งสองความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก ยิ่งกว่านั้นหรงเสียนไท่เฟยยังมาไหว้พระสวดมนต์ที่วัดผู่กั๋วแห่งนี้ด้วยตนเอง สดับรับฟังเทศนาจากแม่ชีจิ่วเสวียนทุกๆ สามเดือน

เดินเท้ามาเป็นเวลาสองเค่อ ทุกคนถึงได้เห็นประตูใหญ่ของวัดผู่กั๋ว ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงประตูใหญ่นี้ให้ความรู้สึกสูงเทียมเมฆาอยู่รางๆ ไม่รู้ว่าเพราะยอดเขาใกล้กับเส้นขอบฟ้าหรือว่าเพราะประตูอารามสูงตระหง่านอยู่แล้ว ทำให้พวกสตรีที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึงลานไปทุกคน แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็อดอึ้งงันไม่ได้

“ท่านย่า พวกเรารีบเข้าไปจุดธูปไหว้พระกันเถิดเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเตือนเสียงเบาเพื่อมิให้ฮูหยินผู้เฒ่าเผลอลืมตัวต่อหน้าผู้อื่น

ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บสายตาก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้าไปด้านในโดยมีแม่นมรุ่ยคอยประคอง ดวงตาทั้งสองพลันถูกกระถางธูปยักษ์ยาวสามจั้งกว้างสองจั้งที่อยู่ในลานวัดทำให้ตะลึงพรึงเพริดขึ้นอีก

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เป็นคนที่อยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว และเคยไปวัดวาอารามมามากมายนับไม่ถ้วน แต่จะมีอารามที่ไหนโอ่อ่ามโหฬารอย่างวัดผู่กั๋วบ้างเล่า

แค่ชั่วพริบตาเดียวการตัดสินใจที่จะยกอวิ๋นอี้อี้ให้แต่งงานกับฉู่เฟยหยางของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งแน่วแน่มากขึ้น แม้ว่าวัดผู่กั๋วจะเป็นอารามที่ไม่ว่าประชาชนคนธรรมดาหรือขุนนางผู้สูงศักดิ์ล้วนมากราบไหว้บูชาได้ แต่ปกติแล้วผู้ที่มาไหว้พระที่นี่ส่วนมากก็ยังเป็นพวกขุนนางใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์อยู่ดี

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นฮูหยินผู้เฒ่าจดจ้องกระถางธูปยักษ์พลางนิ่งอึ้งเลื่อนลอย พร้อมทั้งเห็นในดวงตาอีกฝ่ายฉายประกายละโมบ นางจึงอดลอบถอนหายใจไม่ได้ ผู้คนกล่าวกันว่าอารามเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งขึ้นไปข้างบน หัวใจของคนก็ยิ่งรู้สึกสงบนิ่ง แต่สำหรับคนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ต่อให้ใช้ชีวิตโดยกอดพระบาทพระพุทธเจ้าไปด้วยก็เกรงว่าคงชำระล้างความโลภในใจนางไม่ได้กระมัง

“ท่านย่า หลานจะไปเดินเล่นรอบๆ หน่อยนะเจ้าคะ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีเช่นนี้ อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงส่งเสียงเอ่ยขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางมาครานี้มิใช่เพื่ออวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่แล้ว จึงหลุบสายตาของตนเองที่ทอดมองไปยังกระถางธูปยักษ์ กำชับให้แม่นมหมี่กับมู่ชุนตามอวิ๋นเชียนเมิ่งไปให้ดี จากนั้นดึงอวิ๋นอี้อี้ที่กำลังมองสำรวจรอบๆ อยู่ให้เดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ที่ผู้คนแน่นขนัดเพื่อไหว้พระเสี่ยงเซียมซี

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นในลานวัดและในตำหนักใหญ่ผู้คนมืดฟ้ามัวดินแล้วรู้สึกหมดความสนใจยิ่งนัก จึงเดินทอดน่องไปทางลานด้านหลังของวัดผู่กั๋วอย่างแช่มช้า

ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน กลิ่นควันธูปก็ยิ่งเบาบาง ไม่ฉุนแสบจมูกเหมือนดั่งลานด้านหน้า ทว่าช่วยให้สงบจิตสงบใจได้มากขึ้น นอกจากนี้ลานด้านหลังยังห่างไกลจากเสียงดังเอะอะด้านหน้า แลดูเงียบสงบเป็นพิเศษ ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น

ตลอดระยะเวลาที่อวิ๋นเชียนเมิ่งย้อนเวลามายังแค้วนซีฉู่นี้ นางต้องอยู่ในชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงคาดเดาจิตใจผู้อื่นตลอดเวลา แต่ทันใดพลันได้มาอยู่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสจึงรู้สึกราวกับร่างกายทั้งร่างได้รับการปลดปล่อย มุมปากย้อมด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างสุดจะห้าม เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องปีกข้างอันงดงามมีเอกลักษณ์ที่ลานด้านหลังอย่างสุขใจ

รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างทุกหลังในวัดผู่กั๋วล้วนแตกต่างกันออกไป แม้แต่พืชพรรณภายในวัดก็ดูเหมือนถูกปลูกให้เข้ากัน พฤกษาแต่ละต้นที่เปี่ยมล้นด้วยชีวิตชีวากำลังผลิชีวิตของตนเองในสถานที่ซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้

พวกอวิ๋นเชียนเมิ่งทั้งสามคนก็มายืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเล็กๆ หลังหนึ่งโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว ครั้นเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นเพียงบนป้ายสีดำสนิทเขียนคำว่า ‘ตำหนักเจวี๋ยเมี่ยว’ ไว้อย่างงดงามอ่อนช้อยราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล รู้ได้ไม่ยากว่าเป็นลายมือของนักเขียนพู่กันเลื่องชื่อ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของวัดผู่กั๋วแห่งนี้

แม้ที่นี่จะมีเกลียวควันธูปลอยขึ้นมาจากกระถางธูปสำริดบริสุทธิ์ภายในตำหนัก แต่ก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาสักการะกราบไหว้ ทำให้ใจอวิ๋นเชียนเมิ่งบังเกิดความฉงน แต่มิได้พรวดพราดก้าวเข้าไปในตำหนัก เพียงแค่นำแม่นมหมี่กับมู่ชุนเดินชมภายนอกตำหนักครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปเบื้องหน้าต่อ

เมื่อเดินผ่านตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ ครั้นมุ่งหน้าเดินต่อตามเสียงน้ำไปก็เห็นว่ากลางลานกว้างมีศาลารับลมหลังหนึ่งตั้งอยู่ อีกทั้งภายในศาลากลับดึงน้ำจากน้ำพุเข้าไป

น้ำพุถูกดึงเข้ามาในรางน้ำ ไหลผ่านรางน้ำที่คดเคี้ยววกวน รางน้ำนั้นกว้างราวๆ หนึ่งชุ่น หากวางถ้วยชาลงในรางน้ำ ถ้วยชาก็จะไหลละล่องไปตามสายน้ำ ไม่ว่าผู้ที่มาไหว้พระจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งใดในศาลาก็สามารถตักน้ำขึ้นมาดื่มได้

ทว่ายามนี้ในศาลามีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว คนผู้นั้นเส้นผมเป็นสีเงินทั่วทั้งศีรษะ สวมเสื้อคลุมผ้าดิ้นสีขาวราวหิมะ โดดเดี่ยวแปลกแยกจนพานให้คนรู้สึกว่าเป็นเพียงภาพมายา

เส้นผมสีขาวสะดุดตานั้น แม้อยากจะมองข้ามแต่ก็มิอาจทำได้ คนผู้นั้นหากมิใช่หรงอวิ๋นเฮ่อแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า

อวิ๋นเชียนเมิ่งนึกขึ้นได้ว่าหรงเสียนไท่เฟยที่มาเยือนวัดผู่กั๋ววันนี้เป็นอาแท้ๆ ของหรงอวิ๋นเฮ๋อ ส่วนหรงอวิ๋นเฮ่อก็ได้รับความโปรดปรานจากไท่เฟยยิ่ง ในใจจึงพลันแจ่มแจ้งว่าเหตุใดหรงอวิ๋นเฮ่อถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ขณะที่กำลังลังเลว่าต้องเดินเข้าไปในศาลาไหลแก้วนั้นหรือไม่ ก็เห็นว่าทางหรงอวิ๋นเฮ่อสังเกตเห็นนางแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอยู่ในศาลารับลมอันสูงตระหง่านนั้น มองนางด้วยสายตาลึกล้ำ

“แม่นม มู่ชุน ตามข้าไปคารวะคุณชายหรงเถิด” แม้ว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด แต่อีกฝ่ายก็มองเห็นตนเองแล้ว หากหันกายหนีไปตอนนี้ก็จะดูเหมือนตนไร้มารยาทเกินไป เพราะฉะนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงสั่งแม่นมหมี่กับมู่ชุนทั้งสองคนเสียงเบาให้พวกนางเดินเข้าไปในศาลาไหลแก้วเป็นเพื่อนตน

หรงอวิ๋นเฮ่อยืนอยู่ในศาลาไหลแก้วอย่างผึ่งผายงามสง่า เงามืดเหนือศีรษะบดบังใบหน้ากว่าครึ่งของเขา ทำให้มองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ไม่ถนัดตานัก เพียงแต่กลิ่นอายที่ค่อนข้างน่าเข้าหากลับแตกต่างไปจากความสันโดษยามที่อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ พาให้แม่นมหมี่และมู่ชุนที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่หวาดเกรงคุณชายผมขาวอย่างหรงอวิ๋นเฮ่ออีกต่อไป

อวิ๋นเชียนเมิ่งแหงนหน้ารับเมฆหมอกบางๆ บนภูเขาพลางเดินไปยังศาลาไหลแก้วอย่างแช่มช้า แสงตะวันสีเหลืองอ่อนๆ ทะลุผ่านชั้นเมฆเบาบางตกกระทบลงบนร่างของนาง ก่อเกิดเป็นแสงเรืองรองจางๆ ทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งในยามนี้ดูเหมือนเทพเซียนราวกับเป็นภาพฝัน งดงามหลอกตาเกินไป จนกระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งก้าวขึ้นขั้นบันไดของศาลาไหลแก้วทีละขั้นๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา หรงอวิ๋นเฮ่อถึงได้เก็บแววตาเหม่อลอยของตน นัยน์ตาที่หลุบต่ำเล็กน้อยเก็บงำแววตาของเขาเอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนกลับมามีท่าทีเฉยชาดังเดิม

“คารวะคุณชายหรงเจ้าค่ะ” อวิ๋นเชียนเมิ่งย่อเข่าคำนับหรงอวิ๋นเฮ่ออย่างสง่างามพลางเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา

“อืม” เห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งสุภาพเรียบร้อยเพียงนี้ แต่หรงอวิ๋นเฮ่อกลับแลดูเกร็งๆ อยู่บ้าง เขาพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ อีกทั้งสายตายังชำเลืองสะเปะสะปะโดยที่ไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหน พานให้มู่ชุนก้มหน้าแอบหัวเราะโดยไม่รู้ตัว

“ไม่รบกวนความสงบของคุณชายหรงแล้ว เชียนเมิ่งขอตัวลา” อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นยามนี้หรงอวิ๋นเฮ่อมือไม้เก้กังราวกับเด็กน้อย บนใบหน้าพลันผลิยิ้มบางๆ หลังจากนั้นจึงคารวะอีกครั้งแล้วเตรียมหันกายจากไป

“เอ่อ…” หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังจะจากไปจึงส่งเสียงขึ้นอย่างร้อนรน ฝีเท้าก้าวออกไปน้อยๆ ทันใด แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงฝืนเก็บฝีเท้ากลับมา

ได้ยินเขาส่งเสียง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงหันกลับมาอย่างสงบนิ่ง มองหรงอวิ๋นเฮ่อโดยรักษาระยะห่างจากเขาระดับหนึ่ง ถามเสียงแผ่วเบา “คุณชายหรงยังมีธุระใดหรือ”

ครั้นเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งหันกลับมา บนใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับหยกของหรงอวิ๋นเฮ่อก็ปรากฏสีแดงเรื่อน่าสงสัย สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังคลายแล้วบีบ บีบแล้วคลาย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงทอดมองไปยังตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “บาดแผลของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่”

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเขาตัวเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ ทันใดนั้นพลันเกิดความคิดอยากกลั่นแกล้ง จึงเดินเข้าไปหาครึ่งก้าว แต่กลับเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อรีบร้อนถอยกรูดไปด้านหลังก้าวใหญ่ราวกับกระต่ายที่ตื่นกลัว แล้วถึงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นเขาถอยหนีเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าคุณชายหรงที่ดูเหมือนสันโดษผู้นี้ได้รับการสอนสั่งจากเฉินเหล่าไท่จวินมาเป็นอย่างดี มิได้มีจารีตของสุภาพชนเพียงแค่ประดับไว้บนปากเหมือนอย่างพวกคุณชายเสเพลสูงศักดิ์ทั้งหลาย ความรู้สึกในใจที่มีต่อหรงอวิ๋นเฮ่อดีขึ้นทันที นางไม่ก้าวเดินเข้าไปหาอีก ตอบกลับเขาไปอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณคุณชายหรงที่เป็นห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ”

หรงอวิ๋นเฮ่อเก็บสายตากลับตามคำตอบของอวิ๋นเชียนเมิ่ง มองสองมือของนางที่ประกบกันอยู่ข้างเอวอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง จากนั้นถึงวางใจลงเล็กน้อย

ในศาลาไหลแก้วพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นหรงอวิ๋นเฮ่อดูเหมือนไม่มีเรื่องอื่นจะพูด ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขอตัว เสียงเจือแววกังวลน้อยๆ ของเขาก็ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครา “เจ้าก็ชอบที่นี่?”

แม่นมหมี่เห็นหรงอวิ๋นเฮ่อถามแล้วถามอีก ทั้งยังกลัวว่าหากมีคนผ่านมาเห็นเข้าจะทำให้ชื่อเสียงอวิ๋นเชียนเมิ่งเสื่อมเสีย จึงเอ่ยเตือนเสียงต่ำเบา “คุณหนู ทางฮูหยินผู้เฒ่าคงจะรอจนร้อนใจแล้วนะเจ้าคะ”

ได้ยินดังนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็เบนศีรษะมองแม่นมหมี่แล้วจึงหันมาเผชิญหน้ากับหรงอวิ๋นเฮ่ออีกครั้ง ริมฝีปากยิ้มบางๆ พลางกล่าว “ที่นี่ห่างไกลจากเสียงเอะอะวุ่นวายของโลกภายนอก เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การปฏิบัติสมาธิที่พบเจอได้ไม่มาก ยามอยู่ที่นี่พลันลืมเลือนความวุ่นวายใจในโลกโลกีย์ไปจนหมดสิ้น คนส่วนมากก็คงจะชื่นชอบที่นี่เช่นเดียวกัน”

หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งตอบเช่นนี้ ในดวงตาจึงปรากฏรอยยิ้มเบาบาง พูดต่อว่า “มนุษย์ล้วนคิดว่าการกราบไหว้ต่อหน้าพระโพธิสัตว์มากๆ คือการนับถือพุทธศาสนา แต่ว่าจะมีกี่คนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการนับถือพุทธศาสนามิได้อยู่ที่การกราบไหว้บูชา ยิ่งมิได้อยู่ที่การบริจาคเงินค่าธูป หากก่อกรรมทำชั่วมากมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ว่าอยากจะจ่ายเงินลบล้าง แต่พระโพธิสัตว์เองก็ไม่อยากจะมองหน้าเช่นกัน มิสู้อัญเชิญพระพุทธเจ้าไว้ในใจ คอยเตือนตนเองให้ทำความดีมากๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นพระโพธิสัตว์จะต้องคอยดูอยู่แน่นอน ไม่คิดว่าวันนี้จะบังเอิญพบคุณหนูอวิ๋นที่นี่ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกเหมือนได้พบสหายรู้ใจ”

ครั้นได้ฟังความเห็นของอวิ๋นเชียนเมิ่งเมื่อครู่ หรงอวิ๋นเฮ่อจึงสนทนาอย่างสนุกสนานขึ้นมาทันใด สุดท้ายยังจัดให้อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็น ‘สหายรู้ใจ’ อีกด้วย พาให้แม่นมหมี่ที่อยู่ด้านหลังตกใจจนเหงื่อเย็นผุดทั่วร่าง เดิมทีที่คุณหนูทักทายปราศรัยกับคุณชายหรงก็ไม่ถูกกาลเทศะอยู่แล้ว ยามนี้ทั้งสองยังสนทนาธรรมกันไม่หยุด เกรงว่ายิ่งคุณหนูรั้งตัวอยู่ที่นี่นานก็ยิ่งไม่ปลอดภัย

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายหรงยังเป็นคนที่โดดเดี่ยวแปลกแยกถึงเพียงนี้ นี่คงจะไม่เป็นผลดีต่อคุณหนู แม่นมซย่ามอบคุณหนูให้นางปกป้องดูแลอย่างเต็มที่ ตนเองย่อมไม่อาจปล่อยให้คุณหนูได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและชื่อเสียงได้

พอคิดได้เช่นนี้แม่นมหมี่ก็ส่งเสียงขึ้นอีกครา “คุณหนู ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะรอจนร้อนใจแล้วนะเจ้าคะ”

หรงอวิ๋นเฮ่อเห็นแม่นมข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งเอ่ยเตือนหลายครั้งหลายครา พร้อมทั้งเห็นว่าในศาลาไหลแก้วมีเพียงตนกับอวิ๋นเชียนเมิ่งแค่สองคน จริงอยู่ที่จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้

แม้ตนเองจะไม่ใส่ใจสายตาของผู้อื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในสายตาของหรงอวิ๋นเฮ่อตอนนี้อวิ๋นเชียนเมิ่งแตกต่างจากผู้อื่นยิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจเขากลับไม่ปรารถนาให้เกิดเรื่องใดๆ ขึ้นกับอวิ๋นเชียนเมิ่ง จึงเอ่ยปากเสียงเบา “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่รั้งคุณหนูไว้แล้ว”

อวิ๋นเชียนเมิ่งพยักหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนหันกายก้าวออกไปจากศาลาไหลแก้ว

 

ยามนี้ภายในห้องปีกข้างที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาไหลแก้วกลับมีสตรีสองนางยืนอยู่ มองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศาลาเมื่อครู่นี้เข้าสู่สายตา

“คิดไม่ถึงว่าหลานชายที่แทบจะไม่มีมนุษยสัมพันธ์ของข้า บัดนี้ก็มีเวลาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน ทำให้ข้าตกใจไม่น้อยเลยล่ะ” สตรีในชุดชาววังสีขาวอ่อนคลุมทับด้วยผ้าโปร่งบางสีรากบัวเอ่ยปากขึ้นเบาๆ

เห็นเพียงนางเกล้ามวยเมฆายกสูง บนศีรษะประดับด้วยปิ่นหยกนิ่มลายดอกบัวหนึ่งอันอย่างเรียบง่าย ทั้งสมฐานะและไม่ล่วงล้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์

บนใบหน้างามเรียบๆ ราวกับดอกบัวเหนือน้ำดวงนั้นคล้ายคลึงกับหรงอวิ๋นเฮ่อที่อยู่ในศาลาถึงห้าส่วน ทว่าสีหน้าท่าทางกลับระทมกลัดกลุ้มกว่าหรงอวิ๋นเฮ่อสามส่วน หว่างคิ้วยังแฝงด้วยความสูงศักดิ์ที่ไม่ต้องแผดโทสะก็ชวนให้ผู้คนยำเกรง คนผู้นี้คงจะเป็นบุตรสาวของเฉินเหล่าไท่จวินแห่งจวนสกุลหรง หรงเสียนไท่เฟยคนปัจจุบันแห่งแคว้นซีฉู่

ส่วนสตรีที่ตะแคงหูสดับฟังเสียงทอดถอนใจของหรงเสียนไท่เฟยกลับสวมอาภรณ์ของนักพรตเต๋าสีเทาฝุ่น เส้นผมยาวน่ารำคาญบนศีรษะถูกรวบสูง ใช้ผ้าไหมสีเดียวกันเส้นหนึ่งมัดเอาไว้ มือเปล่าทั้งสองข้างยกพู่ปัดขึ้นเบาๆ ฟังเสียงพึมพำของหรงเสียนไท่เฟย ทว่ากลับผลิยิ้มบางๆ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “สีกาผู้นั้นคงจะเป็นคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีที่ไท่เฟยกล่าวถึงกระมัง ดูจากนรลักษณ์ของนาง เป็นผู้ที่มีวาสนาเปี่ยมล้นจริงๆ แต่ว่า…”

หรงเสียนไท่เฟยเห็นคนที่อยู่ข้างกายพูดแค่ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันค้างแข็งเล็กน้อย แล้วจึงแย้มยิ้มขึ้นมาอีกครา เอ่ยอย่างเรียบเฉย “จิ่วเสวียน พวกเราคบหากันมานานหลายปี มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด ไม่ต้องระมัดระวังข้าขนาดนั้นก็ได้”

สตรีที่เอ่ยพูดเมื่อครู่ก็คือแม่ชีจิ่วเสวียนที่พุทธศาสนิกชนทุกคนล้วนอยากพบเจอ คาดไม่ถึงว่ายามนี้นางกลับกำลังดูนรลักษณ์อวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นเพื่อนหรงเสียนไท่เฟย

เดิมทีนางเป็นผู้ที่ออกบวชละทิ้งทางโลก การดูนรลักษณ์ที่ผ่านมาจะพูดแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยามนี้เห็นหรงเสียนไท่เฟยแทนตนเองว่า ‘ข้า’ จึงพูดต่อเป็นกรณีพิเศษ “จริงอยู่ที่คุณหนูอวิ๋นท่านนี้เป็นคนมีวาสนามากล้น ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่เปี่ยมวาสนาล้วนต้องผ่านเคราะห์กรรมที่คนธรรมดาไม่อาจทานทนได้ เกรงว่านี่คงจะเป็นการทดสอบสติปัญญาและความมุ่งมั่นของนางจากสวรรค์กระมัง”

หรงเสียนไท่เฟยรับฟังสิ่งที่แม่ชีจิ่วเสวียนกล่าวอย่างเงียบๆ คิ้วงามที่วาดอย่างบรรจงขมวดเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น มุมปากพลันยิ้มจนดูไม่เหมือนจริงอยู่บ้าง แววตาจดจ้องหรงอวิ๋นเฮ่อที่มองส่งอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างลึกซึ้ง ไม่เปล่งวาจาใดๆ

แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นนางมีท่าทางหนักอกหนักใจ เดิมทีเป็นเพราะผู้ละกิเลสไม่ควรข้องแวะกับความวุ่นวายทางโลก ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือสหายรักที่คบหาสนิทสนมมานานหลายปี ทั้งยังนึกถึงความทุกข์ยากที่สหายได้รับมาตลอดหลายปีนี้ ริมฝีปากจึงพ่นเสียงทอดถอนใจเบาๆ ถามเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “แล้วเหล่าไท่จวินที่จวนคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

ได้ยินดังนั้นหรงเสียนไท่เฟยพลันแย้มยิ้มบางๆ เก็บความพะวงที่ไม่อาจสังเกตได้โดยง่ายในดวงตาออกไป เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยทันที “นั่นเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของท่านแม่เท่านั้นเอง”

แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นนางไม่ยินดีจะพูดให้มากความจึงไม่เอ่ยถามอีก ทั้งสองหันกายเดินกลับไปยังตำหนักเจวี๋ยเมี่ยวซึ่งอยู่อีกด้านอย่างเชื่องช้า

 

ระหว่างทางมาลานด้านหน้าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้ยินฮูหยินและคุณหนูหลายคนซุบซิบพูดคุยกันว่าวันนี้เป็นวันประกาศราชโองการคัดเลือกสาวงามเข้าวัง ส่วนคุณหนูหานจากครอบครัวของเจ้ากรมปกครองกลายเป็นผู้โชคดีที่ทุกคนต่างกล่าวถึง ได้รับคัดเลือกเป็นพระสนม

ส่วนไห่อ๋องกลับปฏิเสธตำแหน่งกุ้ยเฟยที่เดิมทีฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้ทรงต้องการประทานให้แก่ท่านหญิงไห่เถียน แสดงให้เห็นถึงความรักใคร่โปรดปรานที่ไห่อ๋องมีต่อท่านหญิงไห่เถียน ยิ่งกว่านั้นยังกลายเป็นประเด็นสนทนาที่ผู้คนพากันกล่าวถึง

เรื่องที่ชวนให้คนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือหลังจากถูกไห่อ๋องปฏิเสธ ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้กลับไม่ทรงพิโรธเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทรงทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำไป เป็นเรื่องที่ชวนให้คนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกัน

แต่เดิมไห่อ๋องติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นผู้สร้างคุณูปการด้านการศึกให้แก่แคว้นซีฉู่ ด้วยเหตุนี้จวนไห่อ๋องจึงเหมือนกับจวนฉู่อ๋อง มีตำแหน่งในแค้วนซีฉู่สูงยิ่งกว่าเชื้อพระวงศ์เสียอีก

ทว่ายิ่งมีคุณงามความดีสะท้านสะเทือนบัลลังก์ก็ยิ่งดึงดูดความหวาดระแวงจากฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย คนที่ฉลาดเฉกเช่นฉู่อ๋องจึงแสร้งทำตัวโง่เง่าต่อหน้าพระพักตร์ ส่วนที่ไห่อ๋องปฏิเสธฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้คงเป็นเพราะไม่อยากผลักครอบครัวตนเองไปอยู่ท่ามกลางภยันตรายเพื่อมิให้ต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง

ฮ่องเต้อวี้เฉียนตี้เองก็คงจะไม่ได้ต้องการรับไห่เถียนเป็นกุ้ยเฟยอย่างจริงใจเช่นกัน ที่สอบถามความเห็นไห่อ๋องก็เพราะอยากหยั่งเชิงดูท่าทีและนัยแฝงของไห่อ๋องกระมัง

เพียงแต่ไม่ว่าใครเข้าวังไปเป็นพระสนม ชาตินี้ซูเฉี่ยนเยวี่ยคงไม่มีวาสนากับวังหลวงเสียแล้ว

“ท่านย่า” อวิ๋นเชียนเมิ่งเจอตัวฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น แต่กลับเห็นนางสีหน้าไม่สู้ดี ส่วนอวิ๋นอี้อี้ซึ่งอยู่อีกด้านก็ท่าทางไม่มีความสุข เห็นตนแล้วก็ไม่คารวะ เอาแต่ดึงหยกประดับที่ห้อยอยู่ข้างเอว

“เจ้ามาแล้ว” สีหน้าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าดูไม่ค่อยดีเท่าไร พอเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็แค่ขานรับอย่างเกียจคร้าน จากนั้นสายตาก็หันไปยังนักบวชที่คอยอธิบายใบเซียมซีซึ่งอยู่ข้างๆ “ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”

นักบวชผู้นั้นมองฮูหยินผู้เฒ่าแวบหนึ่ง ประกายในดวงตาเรียบนิ่งไม่ไหวติง ตอบกลับอย่างเฉยชา “หากสีกาไม่เชื่อไยต้องถามอีกเล่า”

ฮูหยินผู้เฒ่าถูกตอกกลับมา สีหน้ายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม อ้าปากอยู่หลายครั้ง แต่มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีก

“ฮึ ปกติไม่ทำกรรมดี ตอนนี้จะเสี่ยงได้ใบเซียมซีดีๆ ได้อย่างไร” ในตอนนั้นเองหญิงชราในชุดผ้าดิ้นผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่

ข้างกายหญิงชราผู้นั้นติดตามมาด้วยมารดาของซูเฉี่ยนเยวี่ย ทั้งสองมองทุกคนจากจวนอัครเสนาบดีด้วยสายตาเคียดแค้นเต็มเปี่ยม คล้ายกับอยากจะแล่เนื้อเถือหนังพวกนางทั้งเป็นใจจะขาด

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเองก็เป็นคนตาไว จำได้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นแม่เลี้ยงของซูชิง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซู แต่ตอนนี้เห็นผู้มาใหม่ไม่ประสงค์ดี ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นจึงรีบเก็บสีหน้าที่ย่ำแย่แล้วแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางสูงศักดิ์จนไม่อาจล่วงล้ำ มองดูคนทั้งสองที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดเสียดสี “วันนี้เป็นวันดีที่ฝ่าบาททรงประกาศราชโองการ แต่ตอนนี้กลับเห็นฮูหยินผู้เฒ่าและซูฮูหยินมาไหว้พระอย่างสบายอุราถึงเพียงนี้ เกรงว่าคุณหนูซูคงจะไม่ได้รับราชโองการกระมัง”

ฮูหยินผู้เฒ่าซูกับซูฮูหยินได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเขียวคล้ำขึ้นทันใด นัยน์ตาของทั้งคู่หันไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น อยากจะใช้เพลิงโทสะในดวงตาแผดเผาอวิ๋นเชียนเมิ่งให้ตายใจจะขาด

ทว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่อาจรองรับโทสะของพวกนางโดยใช่เหตุ มิหนำซ้ำคนที่ยั่วยุเพลิงโทสะของพวกนางหาใช่นางไม่ โทสะนี้ย่อมไม่อาจรับไว้เปล่าๆ ได้

อวิ๋นเชียนเมิ่งประคองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างสนิทชิดเชื้อ ใช้เสียงกังวานเสนาะหูเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ท่านย่าลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ คุณหนูสกุลซูถูกฝ่าบาทเพิกถอนโอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไร้วาสนากับประตูวังเสียแล้วล่ะเจ้าค่ะ ดูท่าวันนี้ซูฮูหยินทั้งสองท่านคงมาวัดผู่กั๋วเพื่อเสี่ยงเซียมซีให้คุณหนูซู ขอพรให้นางหาคู่ครองที่เพียบพร้อมได้กระมัง”

เสียงของอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่ดังไม่เบา แต่ตำหนักใหญ่ของวัดผู่กั๋วกลับกว้างขวางสูงตระหง่าน ยังผลให้การสะท้อนเสียงดียิ่ง ทำให้เหล่าหญิงสาวตระกูลขุนนางที่กำลังไหว้พระเสี่ยงเซียมซีอยู่นั้นต่างก็ได้ยินคำเสียดสีในวาจาของอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างชัดเจน

ในกลุ่มคนเหล่านี้ก็มีคนไม่น้อยที่มีวาสนาได้เข้าร่วมงานวันเกิดของกู่เหล่าไท่จวิน จึงย่อมเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นดี

ทันใดนั้นบรรยากาศที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสียงสั่นกระบอกไม้ไผ่พลันถูกกลบด้วยเสียงกระซิบกระซาบเป็นระยะๆ เหล่าหญิงสาวที่แต่เดิมก็ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหล่านั้นพากันจ้องมองคนสกุลซูทั้งสองพลางหัวเราะเยาะเสียงต่ำ

ทว่าเมื่อเทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าซูแล้ว โทสะของซูฮูหยินกลับมากยิ่งกว่า

อย่างไรซูเฉี่ยนเยวี่ยก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนาง แต่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เพราะอวิ๋นเชียนเมิ่ง ทว่าคนร้ายกาจอย่างอวิ๋นเชียนเมิ่งไม่เพียงแต่ลอยนวลหน้าระรื่น ทั้งยังให้ร้ายบุตรสาวนางถึงเพียงนี้ จะให้นางกลืนโทสะนี้ลงไปได้อย่างไร ทันใดนั้นความเดือดดาลพลันท่วมท้นหัวใจ ในดวงตาซูฮูหยินฉายรอยยิ้มเย็นที่ไม่ชัดเจนผ่านวาบ ไม่ต่อปากต่อคำกับอวิ๋นเชียนเมิ่งอีก เข้าไปประคองแม่สามีของตนเดินผ่านข้างกายพวกฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นไป

“โอ๊ย” ในขณะที่คนของทั้งสองฝ่ายเดินเฉียดผ่านกันนั้น ร่างกายของซูฮูหยินก็เอนเอียงคะมำไปด้านนอก ร้องโอดโอยขึ้นมาทันใด ร่างทั้งร่างล้มคว่ำลงกับพื้นก่อนที่นางจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ขณะคิดจะกล่าวหาว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งผลักนางล้ม แต่กลับพบว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งล้มลงนั่งกับพื้นพร้อมด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มทั่วศีรษะ คนจวนอัครเสนาบดีเห็นนางสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจึงรีบถลาเข้าไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเจ้าคะ” มู่ชุนวิ่งไปข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่งเป็นคนแรกสุด ประคองนางเข้าสู่อ้อมอก เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนศีรษะให้นางอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามด้วยน้ำตาคลอหน่วย

“คุณหนู เท้าท่านได้รับบาดเจ็บหรือเจ้าคะ” แม่นมหมี่เองก็รีบไปล้อมอยู่ข้างกายอวิ๋นเชียนเมิ่ง เห็นสองมือของอวิ๋นเชียนเมิ่งกุมข้อเท้าขวาเอาไว้จึงเข้าใจได้ทันทีว่านางบาดเจ็บที่ตรงไหน แต่จะให้ปลดรองเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งออกเพื่อตรวจดูอาการต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร หากถูกทหารองครักษ์ด้านนอกเห็นเข้า ชื่อเสียงของคุณหนูนางคงจะย่อยยับภายในพริบตาเข้าจริงๆ

พอคิดได้เช่นนี้แม่นมหมี่ก็ร้อนใจจนเหงื่อเย็นๆ ผุดทั่วร่างตาม อย่างไรพวกนางก็ออกมาเป็นเวลาแค่วันเดียว จะพาท่านหมอเดินทางติดตามมาด้วยได้อย่างไรกัน

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” ยามนี้เสียงไต่ถามอันเย็นเยียบดังขึ้นจากลานด้านหลัง

ทุกคนช้อนดวงตาขึ้นมอง เห็นเพียงแม่ชีจิ่วเสวียนเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีแม่ชีน้อยเดินเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลังจากแม่ชีจิ่วเสวียนฟังวาจาของแม่ชีน้อยผู้นั้นจบ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจเล็กน้อย ถึงขั้นเดินเข้าไปย่อกายลงถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วลูบคลำข้อเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยตนเอง นางขมวดคิ้วพลางกล่าว “ใครก็ได้แบกคุณหนูอวิ๋นเข้าไปในห้องปีกข้างด้านหลังที”

แม่ชีน้อยเหล่านั้นเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนสีหน้าท่าทางเฉียบขาดอยู่บ้างจึงยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาทันที พวกมู่ชุนพยุงอวิ๋นเชียนเมิ่งที่กัดฟันอดทนให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ หลังจากนั้นก็ส่งตัวอวิ๋นเชียนเมิ่งเข้าไปในลานด้านหลังอย่างเร่งรีบ

“ซูฮูหยิน ท่านใจร้ายใจดำเหลือเกิน คาดไม่ถึงว่าท่านจะทำร้ายหลานสาวของข้าจนเจ็บหนักเช่นนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นว่ามีคนดูแลอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วจึงรั้งตัวอยู่ในที่เกิดเหตุ ชี้ซูฮูหยินที่ยังนั่งเล่นละครอยู่กับพื้นพลางเอ่ยเสียงเฉียบ

ซูฮูหยินเดิมทีคิดจะแสร้งทำเป็นหกล้มเพื่อใส่ร้ายอวิ๋นเชียนเมิ่ง แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้ากะทันหัน มิหนำซ้ำยังเป็นตอนที่ตนเองเดินเฉียดผ่านนาง ทำให้ซูฮูหยินแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างนิ่งอึ้งมองฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นที่ท่าทางเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนางโดยที่พูดอะไรไม่ออก

“เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ฮูหยินผู้เฒ่าจะใส่ร้ายผู้อื่นตามใจชอบได้อย่างไร” ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนสกุลซูก็หาใช่สัตว์กินพืชเช่นกัน นางสั่งให้สาวใช้ประคองลูกสะใภ้ของตนขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็รวบรวมสมาธิรับมือกับฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋น

แม้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ อวิ๋นเชียนเมิ่งถึงเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเรื่องนี้ประจวบเหมาะพอดี นางย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะดูหมิ่นคนในครอบครัวของซูชิงไปแน่นอน

นางยืดเอวตรง ประกายเย็นเยียบพุ่งออกมาจากแววตา เอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดง่ายจริงๆ คิดจะผลักความรับผิดชอบแบบนี้น่ะหรือ เมื่อครู่บรรดาฮูหยินที่อยู่ที่นี่ก็ได้ยินได้เห็นกันทั้งนั้น พอฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเปิดประตูเข้ามา แม่ผัวลูกสะใภ้ต่างพูดจาไร้สัมมาคารวะกับพวกข้าคนละคำสองคำ ยามนี้ทำให้หลานสาวข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ยอมรับ ดีร้ายอย่างไรใต้เท้าซูก็เป็นเจ้ากรมอาญา คิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวที่น่าสงสารของข้าจะได้รับความอยุติธรรมอย่างคลุมเครือน่าสงสัยเช่นนี้”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นพูดจบก็หลุบตาลงเล็กน้อยพลางร่ำไห้ สาวใช้ทุกคนซึ่งอยู่อีกด้านพากันเข้ามาปลอบขวัญ แม้จะไม่กล้าประณามคนสกุลซู แต่ความเกลียดชังในดวงตากลับถูกคนอื่นเห็นเข้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ยามนี้ซูฮูหยินที่เมื่อครู่ยังร้องโหวกเหวกโวยวายได้หยุดปากไปแล้ว นอกจากชายกระโปรงเปรอะเปื้อนขี้เถ้าเล็กน้อย นางก็หาได้รับบาดเจ็บใดๆ ไม่ เมื่อเทียบกับท่าท่างหัวคิ้วขมวดแน่น เจ็บปวดจนเหงื่อเม็ดโตท่วมศีรษะ พูดเอ่ยวาจาไม่ออกของอวิ๋นเชียนเมิ่ง ก็ไม่มีตรงไหนที่ชวนให้ควรค่าแก่การสงสารเห็นใจจริงๆ

แม้แต่พวกฮูหยินและคุณหนูที่เก่งกาจในการใส่ร้ายผู้อื่นก็มีท่าทีดูแคลนซูฮูหยินเช่นกัน ต่อให้อยากจะให้ร้ายผู้อื่น อย่างน้อยก็ต้องแกล้งทำให้แนบเนียนหน่อย แต่ซูฮูหยินผู้นี้ไม่เพียงแต่ฝีมือการแสดงละครย่ำแย่ ยังพลาดท่าทำร้ายคุณหนูใหญ่จวนอัครเสนาบดีเข้า แทบจะโง่เขลาราวกับสุกรทีเดียวเชียว กอปรกับทั้งสองสกุลเดิมทีก็เกี่ยวดองกันทางการแต่งงานอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าในท้ายที่สุดเรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างไร

ครั้นในใจทุกคนคิดได้เช่นนี้ แต่ละคนก็ล้วนมองหญิงชราทั้งสองท่านที่กำลังประจันหน้ากันอย่างอยากรู้อยากเห็น ถึงกับลืมจุดประสงค์ที่ตนเองมายังวัดผู่กั๋วไปเสียสิ้น

ท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นตอนนี้ดูเหมือนไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี ขณะที่นางกำลังคิดจะเอ่ยปาก กลับเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนเปล่งวาจาขึ้น “สีการีบเข้าไปดูโยมน้อยผู้นั้นเถิด แม่ชีได้ให้หมอหญิงที่อยู่ในวัดตรวจอาการให้โยมน้อยแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็รู้ว่าอาการเจ็บป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นมองดูท่าทางจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ตัดขาดจากโลกีย์ของแม่ชีจิ่วเสวียน พลันนึกถึงใบเซียมซีที่อวิ๋นอี้อี้เสี่ยงได้ขึ้นมา จึงไม่ดันทุรังอีกต่อไป นางเห็นแก่หน้าแม่ชีจิ่วเสวียน สีหน้าอ่อนลง แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “รบกวนแม่ชีให้เหนื่อยใจแล้วเจ้าค่ะ”

พูดจบก็หันมาถลึงตาใส่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูอย่างดุร้ายก่อนเดินนำทุกคนไปยังลานด้านหลัง

ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเห็นนางเดินไปแล้วก็หลงนึกว่านางหวาดกลัว จึงคิดตะโกนด่าตามหลังนางสักสองสามคำ แต่กลับเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนเดินมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง นัยน์ตาที่ราวกับรู้ทันความคิดของคนคู่นั้นเพียงแค่กวาดมองฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูแวบหนึ่งก็ทำให้นางกล้ำกลืนถ้อยคำในปากลงไป

“ทั้งสองท่านเชิญกลับไปเสีย ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่วัดผู่กั๋วอีก” พอแม่ชีจิ่วเสวียนพูดจบก็ไม่เหลียวแลคนสกุลซูอีก เดินตรงกลับไปยังลานด้านหลังด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลซูเห็นว่าตนเองถูกขับไล่ออกจากวัดผู่กั๋วต่อหน้าผู้คนมากมาย ใบหน้าชราพลันรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ในใจอัดแน่นไปด้วยโทสะอันไร้ขีดสิ้นสุดแต่ก็ไม่กล้าระเบิดออกมาในวัด ทำได้เพียงสั่งให้คนประคองซูฮูหยิน อย่าให้นางสะดุดล้มอีก จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกจากตำหนักหลังใหญ่อย่างเร็วรี่โดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้ใด

 

ทางด้านนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นรีบพาทุกคนเดินไปยังห้องปีกข้างซึ่งอวิ๋นเชียนเมิ่งถูกจัดให้พักอยู่ เห็นเพียงตอนนี้หมอหญิงกำลังพันผ้าพันแผลบนข้อเท้าของอวิ๋นเชียนเมิ่ง

ข้อเท้าเรียวบางขาวกระจ่างของอวิ๋นเชียนเมิ่งบวมฉึ่งเป็นก้อนใหญ่ ส่วนที่บวมเป่งขึ้นมาฟกช้ำเป็นสีม่วงเขียวผสมกัน ดูท่าทางเจ็บหนักไม่เบา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลทันที “อาการของหลานข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหญิงผู้นั้นจัดการกับบาดแผลของอวิ๋นเชียนเมิ่งเสร็จสิ้นก็ให้มู่ชุนปล่อยขากางเกงอวิ๋นเชียนเมิ่งลงอย่างระมัดระวัง แล้วจึงลุกยืนขึ้นเอ่ยตอบ “โยมถูกคนเตะเข้าที่ข้อเท้าด้วยกำลังภายนอก โชคดีที่มิได้บาดเจ็บถึงกระดูก แต่ว่าระยะนี้อย่าลงจากเตียงเอาตามใจชอบดีกว่า”

ทุกคนเห็นหมอหญิงกล่าวเช่นนี้จึงวางใจลงในที่สุด ทว่ายามนี้แม่ชีจิ่วเสวียนได้เดินเข้ามา มองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่นอนเอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างเรียบเฉย “ประเดี๋ยวแม่ชีจะให้คนแบกโยมน้อยลงจากเขา”

อวิ๋นเชียนเมิ่งรู้สึกเพียงว่ารอบๆ ร่างกายของตนเองถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้าสายหนึ่ง แสงนั้นใสกระจ่างจนทำให้หัวใจของนางไร้ที่หลบซ่อน จึงได้แต่คงท่านอนเอนเอาไว้ อมยิ้มพลางเอ่ย “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เชียนเมิ่งสร้างความยุ่งยากให้แม่ชีแล้ว”

แม่ชีจิ่วเสวียนเห็นว่าอีกฝ่ายถูกตนเองจดจ้องแต่กลับยังคงใบหน้าประดับยิ้มเช่นเดิม ความเร็วในการพูดก็ไม่เนิบไม่ช้า ในสายตาที่เมื่อครู่แฝงด้วยความเข้มงวดปรากฏแววชื่นชมจางๆ น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดของแม่ชี แม่ชีย่อมต้องรับผิดชอบ”

สิ้นคำนางก็พยักหน้าให้หมอหญิงผู้นั้นแล้วหมุนกายออกไป

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแม่ชีจิ่วเสวียนที่ไม่ยอมพบใครง่ายๆ อยู่แค่ตรงหน้าตนนี้เองจึงย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ รีบทิ้งหลานสาวที่กำลังเจ็บหนักแล้วเดินออกจากห้องปีกข้างตามหลังแม่ชีจิ่วเสวียนไป นางปั้นหน้าแย้มยิ้มพลางเอ่ย “ได้ยินเสียงเล่าลือมานานแล้วว่าแม่ชีเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา วันนี้ข้าเสี่ยงเซียมซีให้หลานสาวหนึ่งใบ ขอร้องแม่ชีช่วยตีความด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

พูดจบฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นก็หยิบใบเซียมซีที่อวิ๋นอี้อี้เสี่ยงได้ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าแม่ชีจิ่วเสวียนอย่างเคารพนอบน้อม

ทว่าแม่ชีจิ่วเสวียนกลับมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ทำราวกับมองไม่เห็นการประจบเยินยอและท่าทีพินอบพิเทาของนาง แต่กลับรับใบเซียมซีสีแดงมาแล้วกวาดตาอ่านแวบหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “นี่คือเซียมซีบุพเพสันนิวาส แต่ว่าบุพเพสันนิวาสสวรรค์เป็นผู้ลิขิต แม่ชีไหนเลยจะพูดพล่อยๆ ทำลายบุพเพสันนิวาสของผู้อื่นได้ ขอให้สีกาสบายใจเถิด”

พูดจบแม่ชีจิ่วเสวียนก็คืนใบเซียมซีให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนนำหมอหญิงที่อยู่ด้านหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่

ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูใบเซียมซีในมือจนถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ กระทั่งยามที่นางเงยหน้าขึ้นหมายจะไล่ตามแม่ชีจิ่วเสวียนไปอีกครั้ง เบื้องหน้าก็ไร้ซึ่งเงาคนแล้ว จึงได้แต่หน้าม่อยคอตกย้อนกลับไปที่ห้องปีกข้าง

ยามนี้ทุกคนได้ย้ายอวิ๋นเชียนเมิ่งขึ้นไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ มู่ชุนคลุมผ้าห่มผืนหนึ่งลงบนขาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งแล้วจึงค่อยๆ สั่งให้คนยกเก้าอี้ขึ้น ทุกคนประกบอยู่ทั้งสองข้างของเก้าอี้พร้อมเดินออกจากวัดผู่กั๋ว

พวกองครักษ์หลิ่วที่เฝ้ารออยู่ข้างล่างภูเขาเห็นคุณหนูใหญ่ของตนขึ้นเขาไปอยู่ดีๆ แต่กลับถูกคนแบกลงเขามา พร้อมทั้งได้ยินคำกระซิบกระซาบของพวกสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย แต่ละคนล้วนเกลียดแค้นสกุลซูที่ทำตัวอันธพาลวางโตยิ่งนัก จึงสั่งให้รถม้าขับเคลื่อนอย่างเรียบนิ่งขึ้นเล็กน้อยด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้นเพื่อมิให้อวิ๋นเชียนเมิ่งต้องทนทุกข์อีกครั้ง

ระหว่างทางขากลับ ฮูหยินผู้เฒ่าแลดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจหนักอึ้ง มองอวิ๋นอี้อี้ด้วยสายตาสงสารเป็นระยะๆ ทว่ากลับไม่สนใจไยดีอวิ๋นเชียนเมิ่งเลยด้วยซ้ำ

อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับสุขสบายอุรา ขามาเป็นตอนเช้าตรู่ แต่ขากลับใกล้จะโพล้เพล้ และไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาจากจวน นางย่อมต้องอยากชื่นชมทัศนียภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงได้สั่งให้มู่ชุนเลิกผ้าผ่านรถข้างหนึ่งออก ชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกด้วยจิตใจสงบนิ่ง

 

เมื่อทุกคนกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีก็เป็นเวลาอาหารค่ำแล้ว อาทิตย์อัสดงคล้อยลับฟ้าไป จันทร์กระจ่างลอยเด่นบนท้องนภา ทอแสงส่องสว่างแก่พื้นปฐพี

ทว่ายามนี้ที่หน้าประตูจวนอัครเสนาบดีกลับมีรถม้าที่ประดับตกแต่งไม่เหมือนกันสองคันจอดอยู่ พอคนที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเห็นรถม้าจวนอัครเสนาบดีมาถึงก็พากันเข้ามาต้อนรับ

“บ่าวคือแม่นมหยวนสาวใช้ประจำตัวของเหล่าไท่จวินจวนสกุลหรง เหล่าไท่จวินได้ยินว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจึงสั่งให้บ่าวเลือกของบำรุงร่างกายมามอบให้ คุณหนูโปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ” พูดจบแม่นมอายุราวๆ ห้าสิบปีผู้นั้นก็สะบัดมือหนึ่งคำรบ เห็นเพียงบรรดาสาวใช้ที่อยู่ข้างรถม้าหลังคาสีน้ำเงินสดใสรีบยกของบำรุงซึ่งอยู่ภายในรถม้าออกมาทันที

“บ่าวคือเจียวต้าองครักษ์ประจำตัวของฉู่อ๋อง ท่านอ๋องได้ยินว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บจึงสั่งให้บ่าวนำของวิเศษที่ช่วยรักษาบาดแผลและของบำรุงมามอบให้คุณหนูเป็นพิเศษ คุณหนูโปรดรับไว้ด้วยขอรับ” บุรุษวัยกลางคนซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกเคร่งขรึมอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นต่อจากแม่นมผู้นั้น เสียงของเขาก้องกังวาน พูดจาเคร่งครัดอยู่ในกรอบ ยิ่งกว่านั้นองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขายังได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี วาจาของเขาเพิ่งจะสิ้นคำ องครักษ์กลุ่มนั้นก็ยกสิ่งของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนออกมาจากรถม้าหลังคาสีครามเข้ม

ฮูหยินผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นทั้งสองคนไม่คารวะตนเอง แต่กลับเอ่ยวาจากับอวิ๋นเชียนเมิ่งโดยตรง ในใจพลันรู้สึกไม่พอใจ แสดงสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางจ้องมองไปทางอวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยแววตาติเตียนเล็กน้อย

อวิ๋นเชียนเมิ่งไหนเลยจะไม่รู้ความคิดใจแคบของฮูหยินผู้เฒ่า นางถูกสาวใช้กลุ่มใหญ่ของจวนอัครเสนาบดีพยุงลงจากรถม้า แล้วจึงเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “ดึกขนาดนี้ยังต้องรบกวนทั้งสองท่านให้รออยู่นอกประตูจวน เชิญทั้งสองเข้ามาดื่มชาในจวนสักถ้วยก่อนเถิด”

สองคนนั้นไม่เพียงเดาความคิดและจิตใจของผู้เป็นนายตนเองได้กระจ่างแจ้ง แต่ยังสามารถมองความคิดและจิตใจของฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูออกอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย ตอนนี้ทั้งด้านแม่นมหยวนสาวใช้ประจำตัวของเฉินเหล่าไท่จวินและทั้งด้านเจียวต้าองครักษ์ประจำตัวของฉู่อ๋องจึงทราบดีว่าตนเองไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของตนเองเท่านั้น แต่ต่างก็เป็นตัวแทนของผู้เป็นนายของแต่ละคนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามโดดเด่นเกินหน้าเกินตาได้ ทั้งสองจึงพากันตกปากรับคำเชิญของอวิ๋นเชียนเมิ่ง จากนั้นเดินตามนางเข้าไปในจวนอัครเสนาบดี

ทว่าเมื่อเทียบกับใบหน้าเปี่ยมยิ้มของแม่นมจากจวนสกุลหรงแล้ว บุรุษข้างกายฉู่อ๋องที่ชื่อว่าเจียวต้ากลับแลดูเงียบขรึมกว่ามาก

อวิ๋นเสวียนจือได้รับข่าวเรื่องอวิ๋นเชียนเมิ่งบาดเจ็บตั้งแต่ก่อนที่รถม้าจะมาถึงแล้ว จึงกำลังรอฮูหยินผู้เฒ่าและอวิ๋นเชียนเมิ่งอยู่ในโถงรับแขก แต่พอเห็นว่าคนที่เดินเข้ามายังมีคนจากจวนอื่นด้วย อวิ๋นเสวียนจือก็พลันตะลึงงันไปเล็กน้อย

“บ่าวคือแม่นมหยวนจากจวนสกุลหรง คารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ เหล่าไท่จวินของพวกเราทราบข่าวว่าคุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บจึงให้บ่าวมาเยี่ยมเยียนเป็นการพิเศษเจ้าค่ะ” แม่นมหยวนผู้นั้นแค่มองก็รู้ทันทีว่าเป็นคนปราดเปรื่องมีไหวพริบ เมื่อเห็นอวิ๋นเสวียนจือก็รีบเข้าไปทำความเคารพทันที จากนั้นก็ให้พวกสาวใช้วางสิ่งของที่ถืออยู่ในมือลงตรงหน้าอวิ๋นเสวียนจือ

“บ่าวคือเจียวต้าหัวหน้าองครักษ์ของจวนฉู่อ๋อง ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวมาเยี่ยมเยียนคุณหนูใหญ่เป็นพิเศษขอรับ” แม้ว่าเจียวต้าจะทำการอยู่ในกรอบในกฎเกณฑ์ แต่ก็มิใช่คนที่จะยอมน้อยหน้าผู้อื่น พอเห็นแม่นมหยวนแนะนำตัวเสร็จก็เดินเข้าไปกล่าวขึ้นบ้างทันที

อวิ๋นเสวียนจือมิได้ขานรับวาจาของทั้งสองคนในทีแรก แต่กลับมองอวิ๋นเชียนเมิ่งที่ถูกคนแบกเข้ามาด้วยสายตาล้ำลึกแวบหนึ่งแทน อดลอบคิดในใจไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่บุตรสาวของเขากับชวีรั่วหลีผู้นี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซ้ำยังไม่คาดคิดว่าบัดนี้จะเป็นที่ถูกใจของจวนสกุลหรงกับจวนฉู่อ๋องพร้อมๆ กันอีกด้วย

ทว่าทั้งสองสกุลล้วนเป็นตระกูลที่ไม่อาจล่วงเกินได้ง่ายๆ

สกุลหรงกุมเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของแคว้นซีฉู่เอาไว้ แม้จะเป็นแค่ตระกูลวาณิชย์ แต่ก็เป็นวาณิชย์หลวงที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เอง ฐานะหาใช่ตระกูลพ่อค้าต่ำต้อยอีกต่อไป เกรงว่าจะไล่เลี่ยสูสีกับอัครเสนาบดีอย่างตนเสียด้วยซ้ำไป

ส่วนฉู่อ๋องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปีนั้นฉู่อ๋องกับฮ่องเต้องค์ก่อนหลั่งโลหิตกรำศึกร่วมกัน หลังจากช่วงชิงแผ่นดินซีฉู่มาได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนถึงขนาดนำชื่อสกุลของฉู่อ๋องมาตั้งเป็นชื่อแคว้น ยิ่งกว่านั้นยังทรงประกาศราชโองการด้วยพระองค์เองว่าตำแหน่งฉู่อ๋องสามารถสืบทอดได้โดยไม่ต้องลดลำดับขั้น ทั้งยังวางพระทัยมอบกำลังทหารกว่าครึ่งของแคว้นซีฉู่ให้แก่ฉู่อ๋อง แม้แต่ไห่อ๋องที่มีคุณูปการในด้านการศึกสงครามเช่นเดียวกันก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติยศพิเศษเช่นนี้

บัดนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองสกุลจะถูกใจบุตรสาวคนโตของตนพร้อมๆ กัน ทำให้ในใจอวิ๋นเสวียนจือนอกจากจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีแล้วยังมีความเสียดายอยู่เล็กน้อย หากจวนหนึ่งถูกใจบุตรสาวคนอื่นๆ ของเขา เช่นนั้นตนเองที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับทั้งสองจวนพร้อมๆ กันจะไม่ได้หน้าไปด้วยได้อย่างไร

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองสิ่งที่อวิ๋นเสวียนจือคิดอยู่ในใจออก นางจึงหัวเราะเยียบเย็นในใจว่าเขาละโมบโลภมากเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีผิด จากนั้นก็เปล่งเสียงพูดอย่างเฉยชาว่า “ท่านพ่อ ลูกเหนื่อยแล้ว ขอกลับเรือนฉี่หลัวก่อนนะเจ้าคะ”

อวิ๋นเสวียนจือดูเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวน้อยๆ ของอวิ๋นเชียนเมิ่งจึงตวาดเสียงต่ำใส่พวกแม่นมหมี่ทันที “ยังไม่รีบพาคุณหนูใหญ่กลับเรือนไปพักผ่อนอีก แต่ละคนยืนบื้อทำอะไรกันอยู่ตรงนี้”

แม่นมหมี่มองฮูหยินผู้เฒ่าที่สีหน้าเขียวซีดอย่างพะวงใจแวบหนึ่ง แล้วรีบสั่งให้พวกสาวใช้แบกอวิ๋นเชียนเมิ่งกลับเรือนฉี่หลัว

รอจนกระทั่งอวิ๋นเชียนเมิ่งทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว มู่ชุนก็ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบเข้ามา กลิ่นยาจีนเข้มข้นอบอวลภายในห้องทันใด พาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่าตั้งแต่ตนย้อนเวลามาที่นี่ การกินยาก็ได้กลายเป็นอาหารประจำไปแล้ว

“คุณหนูดื่มยาได้แล้วเจ้าค่ะ รีบดื่มตอนร้อนๆ เพื่อมิให้เย็นแล้วทำลายฤทธิ์ยานะเจ้าคะ” มู่ชุนเห็นอวิ๋นเชียนเมิ่งขมวดคิ้ว ริมฝีปากจึงอมยิ้มพลางเอ่ย แต่กลับไม่ยอมให้อวิ๋นเชียนเมิ่งหลบเลี่ยง ยกถ้วยชาไปตรงหน้านางทันที

ถ้วยยาใบนั้นวางลงใต้จมูกอวิ๋นเชียนเมิ่ง กลิ่นยารุนแรงพุ่งเข้าสู่จมูกทันใด แต่เมื่อเห็นว่ามู่ชุนและแม่นมหมี่ต่างก็กำลังจับจ้องตนเองอยู่ อวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้ว่าหนีไม่รอดแน่ จึงได้แต่ยกแขนขึ้นรับถ้วยยา มุ่นหัวคิ้วน้อยๆ ดื่มยาสีน้ำตาลที่อยู่ภายในจนหมดในรวดเดียว

แม่นมหมี่รีบถือน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งมาให้อวิ๋นเชียนเมิ่งบ้วนปากในทันที จากนั้นก็วางถระโถนบ้วนปากไว้ข้างริมฝีปากอวิ๋นเชียนเมิ่งอย่างรอบคอบเอาใจใส่ให้นางได้บ้วนน้ำในปากออกมา

ทั้งสองเห็นสีหน้าท่าทางของอวิ๋นเชียนเมิ่งแลดูง่วงงุนเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยาเมื่อครู่ จึงช่วยปรนนิบัตินางเอนตัวลงนอนพร้อมปล่อยม่านมุ้งออก ก่อนเป่าเทียนสีแดงดับแล้วถอยออกจากห้องไป

ยาออกฤทธิ์เร็วยิ่งนัก เดิมทีอวิ๋นเชียนเมิ่งนึกว่ายังต้องรออีกสักพักถึงจะหลับได้ แต่แค่เวลาครึ่งถ้วยชานางก็จมลึกสู่ดินแดนแห่งความฝัน

เมื่อนอนหลับถึงยามสาม* อวิ๋นเชียนเมิ่งกลับรู้สึกว่าบนใบหน้าถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขม็ง การทำงานเป็นตำรวจมานานทำให้นางสำเร็จการฝึกฝนประสาทสัมผัสอันเฉียบไว แม้ว่าภายในร่างกายยังง่วงงุนอยู่บ้าง แต่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างใจเด็ด

ท่ามกลางความมืดมิด สายตาสุกสกาวคู่หนึ่งกำลังจดจ้องนางตาไม่กะพริบ ทำให้หัวใจอวิ๋นเชียนเมิ่งเต้นระรัวทันใด ขณะกำลังจะตะโกนร้องในสมองก็ตอบสนองออกมาว่าที่นี่คือห้องนอนของตนเอง จึงฝืนสะกดกลั้นหัวใจที่ได้รับความตื่นตระหนก สองแขนยันร่างครึ่งบนขึ้น มองเงาคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยดวงตาสงบเยือกเย็น

ท่ามกลางความมืดสนิทนางรู้สึกเพียงว่าผู้มาเยือนรูปร่างสูงชะลูดแต่ไม่เทอะทะใหญ่โต หากมิใช่เพราะตนเองสัมผัสไวมากเกินไปก็คงจะไม่มีทางรู้สึกตัวได้ว่ามีคนฉวยโอกาสยามค่ำคืนลอบเข้ามาในห้องนอนของตน ซ้ำยังยืนพิศมองนางอยู่ข้างเตียงอีก

เพื่อมิให้สาวใช้ที่เฝ้ายามกลางดึกอยู่ด้านนอกตื่นตระหนก อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงคงท่าเดิมเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน ทว่าสองมือที่ยันอยู่ข้างลำตัวกลับตั้งท่าเตรียมพร้อมตั้งแต่แรกแล้ว หากผู้มาเยือนกล้ามีเจตนาไม่ดี เช่นนั้นก็อย่าโทษที่นางลงมือก็แล้วกัน

ตอนนี้เองเสียงหัวเราะเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยินกลับดังขึ้นจากข้างเตียง ราวกับหัวเราะเยาะที่อวิ๋นเชียนเมิ่งดิ้นรนขัดขืนอย่างไม่เจียมตัว

ขณะที่ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งกำลังฉุนเฉียวนั้น คนผู้นั้นกลับนั่งลงข้างเตียงโดยไม่คิดที่จะทำตัวไม่ให้น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายชาตรีของบุรุษเพศพุ่งปะทะผิวหน้าของอวิ๋นเชียนเมิ่งทันใด ทำให้จิตใต้สำนึกของนางเตะเท้าขวาที่ได้รับบาดเจ็บออกไปเพื่อปกป้องตัวเอง

ทว่าคนผู้นั้นคล้ายกับคาดเดาการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้อยู่แล้ว มือใหญ่ยกขึ้นน้อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดแล้วคว้าเท้าขวาที่เกือบจะเตะเขาออกนอกประตูข้างนั้นไว้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นก็จับเท้าขวาของนางเอาไว้แน่น ทำให้นางหนีไม่พ้นแต่ก็มิได้ทำให้นางเจ็บตัว

อวิ๋นเชียนเมิ่งเห็นว่าความคิดของตนถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง พร้อมทั้งเห็นคนผู้นั้นจับเท้าขวาของตนเองไว้แน่น ดวงตาจึงฉายแววโมโหผ่านวาบท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นก็เบี่ยงตัวออก ยกเท้าซ้ายขึ้นเตะใส่คนผู้นั้นอย่างไม่ยอมถอดใจทันที

คนผู้นั้นกลับร้ายกายยิ่งนัก ถึงกับรู้เท่าทันความคิดของอวิ๋นเชียนเมิ่งได้อีกครา มืออีกข้างคว้าเท้าซ้ายที่แผ่อานุภาพเหี้ยมโหดเอาไว้กลางอากาศ ต่อมาก็บังคับให้เท้าซ้ายของนางวางเข้าไปในผ้าห่ม ส่วนสองมือก็ประคองเท้าขวาที่ได้รับบาดเจ็บนั้นต่อ ลูบไปตามหลังเท้าจนถึงข้อเท้าที่บวมเป่ง นิ้วโป้งมือขวากดส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหยั่งเชิง

“โอ๊ย เจ้า!…” ความเจ็บปวดที่แผ่ลามอย่างกะทันหันทำให้อวิ๋นเชียนเมิ่งส่งเสียงสูดหายใจอันแผ่วเบาออกมา จากนั้นก็เบิกตากว้างถลึงใส่คนผู้นั้น แต่กลับแลกมาด้วยเสียงหัวเราะแผ่วต่ำ

“โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก” คนผู้นั้นกดเสียงต่ำ เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า ความไม่นำพาในน้ำเสียงนั้นทำให้ในใจอวิ๋นเชียนเมิ่งพลันรัดแน่น

ทั่วทั้งแคว้นซีฉู่นี้ นอกจากฉู่เฟยหยางแล้วใครยังจะใช้น้ำเสียงพรรค์นี้สนทนากับผู้อื่นได้เล่า

ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นเชียนเมิ่งอดหรี่ลงน้อยๆ ไม่ได้ อยากจะอาศัยแสงจันทร์อ่อนๆ ที่ลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่างมองผู้มาเยือนให้ชัดเจนเพื่อยืนยันการคาดเดาของตนเอง

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ตอนนั้นเองเสียงของไป๋เหมยกลับดังขึ้นจากด้านนอก หลังจากนั้นไม่นานด้านนอกก็จุดเทียนขึ้น ไป๋เหมยเคาะวงประตูเบาๆ พลางถามด้วยเสียงนบนอบ “คุณหนู ต้องการให้บ่าวไปปรนนิบัติหรือไม่เจ้าคะ”

อวิ๋นเชียนเมิ่งมองดูเท้าของตนที่ถูกชายหนุ่มกุมเอาไว้ในกำมือ จึงเอ่ยเสียงเย็นทันที “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”

“เจ้าค่ะ” ไป๋เหมยขานรับเบาๆ แล้วจึงถอยออกไปจากข้างประตู ผ่านไปครู่หนึ่งแสงเทียนจากด้านนอกที่เพิ่งจะสว่างขึ้นก็ถูกเป่าดับลง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงผ่อนลมหายใจเฮือก

ทว่ายามนี้เบื้องหน้ากลับมีเสียงหัวเราะแผ่วอ่อนของบุรุษดังขึ้นอีกครา หลังจากนั้นอวิ๋นเชียนเมิ่งก็รู้สึกว่าถุงเท้าของตนเองถูกถอดออก มือที่อุ่นร้อนข้างหนึ่งกอบกุมขาขวาของนางไว้ ส่วนมืออีกข้างกลับลูบลงบนข้อเท้า บีบนวดอย่างเบาแรง

บุรุษผู้นั้นนวดคลึงให้อวิ๋นเชียนเมิ่งด้วยความเร็วและแรงสม่ำเสมอเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ทว่าทั้งคู่กลับมิได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก จนกระทั่งบนเท้าถูกสวมด้วยถุงเท้าอีกครั้ง อวิ๋นเชียนเมิ่งจึงคิดจะเอ่ยปากขึ้น แต่กลับถูกไอร้อนพุ่งปะทะเข้ามา ตอนนี้บุรุษผู้นั้นได้เคลื่อนตำแหน่งมานั่งตรงหน้านาง จวนเจียนจะแนบสนิทกับพวงแก้มของนางแล้ว

อวิ๋นเชียนเมิ่งได้เห็นรูปโฉมของผู้มาเยือนถนัดตา หากมิใช่ฉู่เฟยหยางแล้วจะเป็นใคร

 

(โปรดติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 21

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: