X
    Categories: ชายาสะท้านแผ่นดินทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทนำ

ท้องฟ้ายามราตรีใสสะอาดดุจสายน้ำ หมู่ดาวส่องประกายระยิบระยับ

รถไฟขบวนหนึ่งพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล

รถหุ้มเกราะซึ่งผ่านการดัดแปลงแล้วห้าคันกำลังมุ่งหน้าเข้าหาขบวนรถไฟ บนช่องหลังคาที่เปิดอ้าไว้ หากไม่ใช่ปืนยิงลูกระเบิดก็มีปืนกลติดตั้งอยู่ สีหน้าของผู้ที่อยู่ภายในกรุ่นไปด้วยความร้อนใจ

“ยืนยันเป้าหมาย ขีปนาวุธข้ามทวีปสิบเอ็ดลูก” เสียงแจ้งราบเรียบราวกับผิวน้ำ สงบนิ่งและแผ่วเบา

“ไม่มีทางแยกชิ้นส่วนนำกลับมาใช่ไหม” อุปกรณ์สื่อสารเย็นยะเยียบส่งผ่านเสียงทุ้มต่ำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติออกมา

“ไม่มีทางครับ”

“งั้นก็ระเบิดซะ”

“ครับ”

ขณะเดียวกันสุ้มเสียงเยือกเย็นอีกเสียงก็แทรกขึ้น “ข้างหน้ามีรถหุ้มเกราะห้าคัน อีกเจ็ดนาทีสิบเอ็ดวินาทีจะถึงตัวรถไฟ”

“พอ” สายลมพัดโหม ราตรีเงียบสงัด

เวลาผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที

ตูม!

ขณะที่เข็มชี้บอกเวลาสี่นาทีสามสิบวินาที ในค่ำคืนอันเงียบสงบอยู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทจนหูแทบดับ ตามติดด้วยประกายเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แหวกฝ่าความมืดทะมึนแห่งรัตติกาลอย่างกราดเกรี้ยว ปลดปล่อยความงามและอานุภาพของเปลวเพลิงแดงฉาน

ท้ายขบวนของรถไฟซึ่งลักลอบลำเลียงขีปนาวุธข้ามทวีปสิบเอ็ดลูกล่วงล้ำอาณาเขตเข้ามาถูกระเบิดปลิวกระจายไปทั้งตู้ จากนั้นโบกี้ถัดๆ มาก็เกิดระเบิดลุกลามตามติด เปลวไฟคลุ้มคลั่งถาโถมไปทางหัวขบวนอย่างรวดเร็ว

ราตรีมืดมิด แสงเพลิงอาบฟ้า

ท่ามกลางพระเพลิงลุกโพลง เงาร่างดำตะคุ่มร่างหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าเปลวไฟที่บิดเบี้ยว ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาช้าๆ

เสื้อโค้ตสีดำถูกกระแสลมร้อนระอุพุ่งปะทะจนตีสะบัดอยู่กลางอากาศ ผมสีดำสนิทเริงระบำอยู่ท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาลอย่างท้าทาย รูปโฉมที่งดงามราวสวรรค์ปั้นแต่ง ดุจดอกโบตั๋นกลางหมอกควัน เจิดจรัสอย่างหาที่เปรียบมิได้

เบื้องหลังของเธอคือเปลวเพลิงที่ลุกโหมอย่างบ้าคลั่ง พลังรุนแรงมหาศาลเช่นนั้นคล้ายกับทำได้เพียงขับเน้นตัวเธอให้โดดเด่น ต่อให้เป็นสีสันที่จัดจ้ากว่านี้ก็ไม่อาจบดบังสีดำอันท้าทายนั้นได้

‘ไนต์วัน’ เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำกองปฏิบัติการพิเศษ กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ

‘ดาร์กไนต์’ คือหน่วยงานเฉพาะกิจของกองปฏิบัติการพิเศษ กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ จัดเป็นองค์กรลับสุดยอดของประเทศ

บนโลกใบนี้มักมีเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกปรากฏอยู่เสมอ ผู้คนจำนวนมากคิดว่ามันมีอยู่ในนิยายไซไฟเท่านั้น หากแต่ความจริงแล้วพวกมันดำรงอยู่จริง เพียงแต่ทางการได้ปิดบังความลับเหล่านี้ไว้เท่านั้น

ดาร์กไนต์คือหน่วยปฏิบัติการพลังมหัศจรรย์หน่วยงานหนึ่ง ผู้คนในนั้นล้วนมีพลังเหนือมนุษย์ที่คาดไม่ถึงหลายรูปแบบ ทั้งปล่อยกระแสไฟฟ้า มองทะลุวัตถุ ล่วงรู้อนาคต แปลงร่างได้ หรือกระทั่งมีวิทยายุทธ์

พวกเขาเป็นศาสตราวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของประเทศ

ไนต์วันปล่อยกระแสไฟฟ้าไม่ได้ ไม่อาจทำนายอนาคต และไม่มีพลังเหนือมนุษย์ใดๆ

ทว่าเธอรู้วรยุทธ์ ทั้งยังเป็นศิษย์ของสำนักอันดับหนึ่งผู้สืบทอดวิทยายุทธ์จีนโบราณซึ่งเร้นกายจากโลกภายนอก และเพราะเธอมีความสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งเหนือบรรดาศิษย์รุ่นหลัง

วรยุทธ์ คือคำเรียกอย่างง่ายๆ ของวิชาต่อสู้แบบจีนโบราณ

ซัดบุปผาคร่าชีวิต ย่ำหิมะไร้ร่องรอย นี่ก็คือวรยุทธ์

เปลวเพลิงโหมกระพือท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี เงาร่างสีดำเยื้องย่างเข้ามาอย่างมาดมั่นโดยไม่แยแสแรงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นเบื้องหลังแม้แต่น้อย

โบกี้รถไฟตู้แล้วตู้เล่ากลายเป็นผุยผงท่ามกลางแรงระเบิดรุนแรง ส่วนไนต์วันซึ่งเดินอยู่บนหลังคารถกลับเยือกเย็นเช่นเวลาปกติ

ปังๆๆ

เสียงปืนกลกราดยิงอย่างบ้าระห่ำดังขึ้นในความมืดยามค่ำคืน

ภายในโบกี้ที่ยังไม่ถูกระเบิดผลาญทำลาย ผู้ก่อการร้ายนับไม่ถ้วนซึ่งรับหน้าที่ขนส่งขีปนาวุธพากันทุบกระจก ยกปืนกลสาดกระสุนใส่ไนต์วันที่กำลังก้าวฝ่ากองเพลิงเข้ามา

สายลมโชยเอื่อย หางตาของไนต์วันยังไม่ทันกระตุก แค่สะบัดแขนเพียงครั้งเดียว แสงสีเงินสว่างวาบพลันวูบหาย

เสียงปืนสงบลงทันที บนลำคอของเหล่าผู้ร้ายปรากฏรอยเลือดเส้นจางจนแทบมองไม่เห็น ทว่าแต่ละคนกลับร่วงลงไปกองระเนระนาด

อาภรณ์ดำห่มคลุมผืนฟ้า แผ่ขยายอย่างไม่หยุดยั้ง

เปลวเพลิงกวาดม้วนกวดขึ้น กระทั่งโหมเข้าใส่หัวขบวน

เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังกระหึ่มขึ้นทางหัวขบวน นั่นคือหน่วยสนับสนุนนั่นเอง

ไนต์วันสะบัดศีรษะน้อยๆ เพียงสะกิดปลายเท้า ร่างทั้งร่างก็เหินขึ้นไปกลางเวหา เธอคว้าบันไดเชือกที่ห้อยตัวลงมา แล้วเฮลิคอปเตอร์ก็บินบึ่งไปทันที

วินาทีที่พวกเขาบินจากไปนั่นเอง เบื้องหลังบังเกิดเสียงตูมดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง รถไฟทั้งขบวนถูกระเบิดจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาเจ็ดนาทีสิบเอ็ดวินาทีนั้น รถหุ้มเกราะทั้งห้าคันเบรกเอี๊ยดเสียงลั่นราวถูกฉีกกระชากดังสะท้อนท่ามกลางความมืดมิด คนที่อยู่ข้างในแทบคลุ้มคลั่ง

หมดสิ้นแล้ว ขีปนาวุธข้ามทวีปสิบเอ็ดลูกถูกทำลายย่อยยับไปทั้งอย่างนี้

สายลมยามราตรีพัดโชย ไนต์วันพิงร่างกับบันไดเชือก จับจ้องไปยังกองเพลิงเบื้องล่างพลางยักคิ้วยิ้มอย่างมีชัย

ไม่ได้มีความท้าทายเอาเสียเลย

ชั่ววินาทีที่ไนต์วันกำลังคลี่ยิ้มบาง จู่ๆ เฮลิคอปเตอร์เหนือศีรษะกลับชะงักค้างกลางอากาศกลางคัน ครั้นแล้วก็ร่วงดิ่งลงสู่เบื้องล่าง

“แย่แล้ว! เฮลิคอปเตอร์เกิดเหตุขัดข้อง”

ราตรีกาลล้ำลึก สายลมพลิ้วแผ่ว

ไนต์วันไม่เคยคาดคิดเลยว่าภารกิจปิดฉากลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ หากแต่สุดท้ายกลับต้องมาตกม้าตายบนเฮลิคอปเตอร์ที่ลืมเช็กสภาพจนเกิดเหตุขัดข้องกะทันหันลำนี้

ดอกไม้ไฟสว่างไสว นี่ช่างเป็นโลกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน

บทที่ 1

แผ่นดินลืมธารา แคว้นไร้ปีก

เมืองร่วมผลเป็นหมู่บ้านแถบชายแดนของแคว้นไร้ปีก

ยามเย็นย่ำ ลำแสงสีอุ่นอาบไล้ผืนปฐพี ขับเน้นให้ทิวทัศน์ภูเขาท้องน้ำดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล

ในสวนดอกไม้หลังคฤหาสน์สกุลจวินปราศจากพันธุ์ไม้พิสดารหายาก ไร้ซึ่งมวลบุปผาหลากสีสดสวย จะมีก็เพียงชิงช้าธรรมดาทั่วไปตัวหนึ่งจับจองพื้นที่อยู่เท่านั้น ยามนี้สตรีนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนชิงช้าพลางส่งเสียงพูดพร่ำ

เบื้องหน้าของนางคือดรุณีวัยสิบสี่ปีนางหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือ เด็กสาวตอบคำส่งๆ ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระสักนิด

“พระชายาหรือ ข้าไม่สนใจหรอก”

“ไม่สนใจได้อย่างไร แม่จะบอกให้ เจ้ามีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับองค์ชายสามพระองค์นี้จริงๆ นะ ครั้งนั้นท่านพ่อของเจ้า”

“เอาล่ะๆ ท่านอย่าพูดอีกเลย ข้าฟังมาสิบสี่ปีแล้ว ทั้งเรื่องจวนตำแหน่งกั๋วกง เอย เรื่องช่วยชีวิตพระราชวงศ์เอย เรื่องหมั้นหมายเอย”

ไม่ทันรอให้สตรีบนชิงช้ากล่าวจบ เด็กสาววัยสิบสี่ปีนางนั้นก็ชิงส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาเป็นการตัดบทเสียก่อน

“เรื่องเหล่านี้ข้าท่องจำได้หมดแล้วท่านแม่ ท่านคิดว่าบุตรสาวท่านมีสารรูปเยี่ยงนี้ยังจะเป็นพระชายาอ๋องได้อีกหรือ ข้าว่าท่านรีบตื่นเสียดีกว่า อย่ามัวฝันกลางวันอยู่เลย ถ้ายังไม่ตื่น ท่านจะกลับไปนอนต่อสักงีบก็ย่อมได้”

จบคำ เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนใจ เผยให้เห็นดวงหน้าดุจดังภาพวาดของนาง คิ้วเรียวโค้งยาวเจียนจรดจอนผม นัยน์ตาทั้งคู่ดำขลับเป็นประกายดั่งหินผลึกดำส่องสะท้อนอยู่ใต้ฟ้ายามราตรี จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้ม นับเป็นยอดหญิงงามโดยแท้

น่าเสียดาย ครั้นเบือนใบหน้าซีกซ้ายไป บนดวงหน้าซีกขวากลับมีปานแดงประทับตีตรา แลคล้ายอสุนีบาตทาบผ่านพวงแก้ม

หยกขาวมีราคี ยอดนารีงามกลับกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์

สตรีที่พูดพร่ำไม่หยุดนางนั้นถึงกับหุบปากทันควัน

จวินลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงส่ายหน้า พับปิดตำราในมือเข้าหากัน ก่อนเอื้อนเอ่ยกับมารดาของตน “ข้ายังเด็ก ไม่คิดออกเรือน รอให้มีผู้ที่รักข้าจริงเสียก่อนค่อยว่ากันเถิด”

นางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวทิ้งท้ายกับเฟยเยียนผู้เป็นมารดา “ข้าจะไปเก็บใบชา หากท่านแม่ไม่มีธุระอันใดจะไปหาท่านพ่อก็ย่อมได้” เด็กสาวพูดจบก็หมุนกายเดินออกไปนอกคฤหาสน์ ทิ้งผู้เป็นมารดาไว้บนชิงช้าตามเดิม

จวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นหนึ่งในสามจวนบรรดาศักดิ์กั๋วกงที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นไร้ปีก ท่านกั๋วกงที่กล่าวอ้างถึงคือท่านปู่ของลั่วอวี่นั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับกษัตริย์แคว้นไร้ปีก พูดง่ายๆ เปรียบดั่งสหายร่วมเป็นร่วมตาย

จวินลั่วอวี่สืบเชื้อสายมาจากภรรยาลำดับที่ห้าของท่านกั๋วกง ถึงแม้ความไม่เอาไหนของนางและบิดามารดาจะทำให้ทั้งครอบครัวของนางต้องระเห็จมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านกั๋วกงอยู่ดี

เรื่องเหล่านี้ลั่วอวี่ล่วงรู้มานานแล้ว เพียงแต่เวลาล่วงเลย อำนาจก็สูญเสียไป ผู้ใดยังจะจดจำเล่า การหมั้นหมายก็เป็นเพียงคำพูดสนุกสนานเท่านั้น

เฟยเยียนเห็นบุตรสาวออกจากบ้านโดยไม่ปิดบังอำพรางรูปลักษณ์แม้เพียงนิด รูปโฉมโนมพรรณที่งดงามเฉิดฉายพังครืนในพริบตา นางจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว

ทั้งที่ยามแรกเกิดบุตรสาวของนางไม่มีปานแดงนี้แท้ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดครั้นอายุได้สามขวบกลับปรากฏขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำให้ใบหน้าที่เดิมสวยสะคราญกลับกลายเป็นเช่นนี้

อีกทั้งไม่ว่าจะรักษาอย่างไรก็ไม่เป็นผล ล้วนกล่าวว่าเป็นปานโดยกำเนิดกันหมด

ทว่ามีปานที่ไหนเมื่อครั้งแรกเกิดไม่ปรากฏ แต่กลับมาโผล่เอาภายหลังเช่นนี้ ช่างประหลาดแท้

ซ้ำยังเห็นชัดว่าจวินลั่วอวี่บุตรสาวของนางกลับไม่สนใจคำครหาที่แพร่สะพัดออกไปทั่วหล้าเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังคล้ายกลับใช้ชีวิตรื่นรมย์ยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก เฮ้อชวนให้เฟยเยียนกลัดกลุ้มเหลือเกิน

 

แม้จะก้าวออกจากสถานที่ที่เรียกว่าคฤหาสน์ หากแต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงบ้านพักที่ใหญ่โตกว่าบ้านของคนทั่วไปเล็กน้อย จวินลั่วอวี่เดินเอ้อระเหยไปตามถนนใหญ่

ครั้นเห็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่แม้จะเห็นนางจนชินตาแล้วกลับยังมองมาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ลั่วอวี่จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น มุ่งหน้าขึ้นสู่ไร่ชาเนื้อที่หลายสิบหมู่ ที่อยู่บนเขาหลังหมู่บ้าน

สายตาเหล่านี้ไม่ควรค่าพอให้นางสนใจ

ลั่วอวี่แหงนหน้ามองท้องฟ้า มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางเบา

นางมาอยู่ในยุคสมัยนี้สิบสี่ปีแล้ว

นึกถึงตอนนั้น นางคิดว่าตนเองคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาเกิดที่นี่

เป็นเพราะโชคชะตาลิขิตหรือความบังเอิญ ลั่วอวี่หรือไนต์วันไม่มีแก่ใจจะสืบสาวราวเรื่อง แค่ได้มีชีวิตอยู่ก็พอ ได้กลับมาเกิดอีกครั้งก็ดีเหลือเกินแล้ว

เพียงพริบตาแสงอัสดงก็ลาลับขอบฟ้า ม่านราตรีย่างกรายเข้าแทนที่

ลั่วอวี่ปากว่าจะไปเก็บใบชา แท้จริงแล้วเพียงเพื่อหลบเลี่ยงการฟังมารดาพร่ำบ่นเท่านั้น ที่ขึ้นเขามาก็เพียงถือโอกาสใช้เป็นข้ออ้าง

ความมืดยามราตรีแผ่ขยาย บนภูเขาท้ายหมู่บ้านมีน้ำตกแห่งหนึ่ง ลั่วอวี่กำลังนั่งอยู่บนชะง่อนหินซึ่งยื่นออกมาใต้น้ำตก สองขาหย่อนลงในน้ำแล้วแกว่งเท้าไปมา

นิ้วเรียวงามคลายกลุ่มผมที่มวยมุ่นออก

เรือนผมสีดำปลิวสยายน้อยๆ ก่อนปรกลงบดบังปานแดงบนพวงแก้ม เผยเพียงซีกหน้าซึ่งถูกขับเน้นด้วยแสงนวลของดวงจันทร์ งดงามราวปั้นแต่งมาอย่างวิจิตรบรรจง บางครั้งสัตว์ตัวน้อยที่วิ่งโผล่ออกมาจากป่าเห็นแล้วยังชะงักค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมอบกายอ้อยอิ่งอยู่ข้างน้ำตกไม่ไปไหนอีก

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลอยเผลอคลี่ยิ้มบางอย่างกลั้นไม่อยู่ ผินหน้าไปมองเจ้าสัตว์ตัวน้อยบ้าง

แผ่นดินลืมธารา ดินแดนต่างมิติ

ผู้คนที่นี่ไม่มีวรยุทธ์ แต่พวกเขามีพลังยุทธ์และพลังควบคุมสัตว์อสูร

สำหรับลั่วอวี่พลังยุทธ์ของพวกเขาเทียบได้กับพลังวัตรของวิชากำลังภายในของจีนโบราณ เพียงแต่มีสีสันให้เห็นเท่านั้น

ทว่าในดินแดนแห่งนี้จะจัดแบ่งลำดับขั้นอย่างเข้มงวดชัดเจน เพื่อประเมินความสามารถสูงต่ำ

ลำดับขั้นทั้งเจ็ดคือม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ยิ่งมีพลังยุทธ์แก่กล้า สีของพลังก็จะเลื่อนขั้นขึ้น สีแดงคือระดับต่ำสุด สีม่วงคือระดับสูงสุด

จากการสังเกตของลั่วอวี่ พลังยุทธ์สีแดงน่าจะอยู่ในขอบข่ายของผู้มีพลังวัตรสิบปี สีส้มประมาณยี่สิบห้าปี ไล่เรียงเช่นนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ สีม่วงซึ่งเป็นพลังยุทธ์ชั้นสูงสุด เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์ดูแล้วจะเทียบได้กับพลังวัตรมากกว่าร้อยปี

ขณะเดียวกันพลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งมีอำนาจควบคุมสัตว์อสูรมาก ยามต่อสู้สามารถออกประจัญบานพร้อมสัตว์อสูรที่เลี้ยงไว้ได้ เรื่องอานุภาพย่อมไม่ต้องพูดถึง

ลั่วอวี่ยังได้หาข้อสรุปในแบบฉบับของตนอีกว่าสัตว์อสูรของพวกเขาก็เปรียบเหมือนศาสตราวุธในมือ เพียงแต่เปลี่ยนจากวัตถุไร้ชีวิตมาเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งยังดุร้ายและแปลกพิสดารกว่าสัตว์อันตรายในยุคปัจจุบันเล็กน้อย

เพียงแต่สัตว์อสูรหายากยิ่ง ผู้ควบคุมสัตว์อสูรได้จึงยิ่งหายากปานประหนึ่งตามหาขนพญาหงส์เขากิเลน ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดินลืมธาราจึงเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ

ส่วนนางจวินลั่วอวี่ เมื่อครั้งทดสอบพลังยุทธ์ตอนอายุสามขวบ กลับไม่มีพลังยุทธ์ใดๆ แฝงเร้นอยู่เลย

นางถือกำเนิดในจวนกั๋วกงม่วงพราวแห่งแคว้นไร้ปีกซึ่งอาศัยพลังยุทธ์สร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกร จึงนับเป็นตัวประหลาดโดยแท้ เป็นการคงอยู่ที่น่าดูถูกเหยียดหยัน เพราะนับแต่โบราณมาจวนกั๋วกงม่วงพราวยังไม่เคยปรากฏทายาทที่ไร้พลังยุทธ์อย่างสิ้นเชิงเลยแม้แต่ผู้เดียว

ฝ่ายบิดาของนางเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสูญสิ้นพลังเมื่อครั้งเข้าช่วยชีวิตพระราชาคราวหนึ่ง ส่วนมารดาก็ไม่มีพลังยุทธ์แม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้สายเลือดของภรรยาลำดับที่ห้าจึงถือเป็นเศษของไร้ประโยชน์ในหมู่ของไร้ค่า กระทั่งถูกขับไล่มายังหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลกันดารเช่นนี้

ผู้ใดใช้ให้แผ่นดินนี้ยกย่องผู้เข้มแข็ง เป็นโลกแห่งการห้ำหั่นที่ผู้ใดมีหมัดแข็งกว่าย่อมสามารถยืนกล่าววาจาอยู่บนระดับยอดได้เล่า

ลั่วอวี่ดึงความสนใจกลับมาจากร่างของสัตว์น้อย ทอดสายตาไปยังธารน้ำลึก แววตาล้ำลึกสุดหยั่ง

ตูม!

ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องเลื่อนลั่นสนั่นฟ้าดังมาแต่ไกล

ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นทันที ยอดฝีมือ ยอดฝีมือประมือกัน!

นางเพิ่งดึงใจกลับมา แต่ยังไม่ทันเคลื่อนไหวก็เห็นภาพคล้ายดาวตกสายหนึ่งพุ่งอยู่กลางอากาศ จากเหนือน้ำตกด้านบนแหวกดำลงสู่สระลึกเบื้องล่าง

น้ำในสระพลันสาดกระจาย ลั่วอวี่ที่จริงไม่ได้อยู่ใกล้ หากแต่พลังนั้นทรงอานุภาพเกินธรรมดา น้ำจึงสาดกระเซ็นอาบร่างนางจนชุ่มโชก เปียกปอนไปทั้งตัว เส้นผมสีดำลู่แนบใบหน้า บดบังซีกหน้าที่มีปานแดงประทับอยู่อย่างเหมาะเจาะ

“โฮก”

สิ่งที่พุ่งลงมาจากฟ้าไม่รอให้ลั่วอวี่ขยับเขยื้อน มันแผดเสียงคำรามก้อง ทะลึ่งพรวดขึ้นจากสระหมายกระโจนขึ้นฝั่ง

ลั่วอวี่สายตาเฉียบคม มองปราดเดียวก็เห็นว่าสิ่งนั้นดูคล้ายสิงโต ขาวปลอดไปทั้งร่าง กรงเล็บทั้งสี่เป็นสีทองอร่าม ดวงตาแดงฉาน ขนาดใหญ่ราววัวตัวเขื่อง นี่คือราชสีห์เมฆทอง

ราชสีห์เมฆทองแหวกฝ่าอากาศหวังทะยานออกไป แต่เหนือน้ำตกพลันแว่วเสียงแค่นหัวเราะเย็นเยียบทีหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี

“เจ้าเดรัจฉาน คิดหนีอย่างนั้นหรือ!” น้ำเสียงนั้นดุดันทรงพลังเป็นที่สุด

เสียงเรียกยังคงก้องกังวานอยู่ในอากาศ เห็นเพียงคนด้านบนน้ำตกเหินลงมา ร่างเหาะลอยบนฟ้า เท้าเหยียบลงกลางกระหม่อมของราชสีห์ตัวนั้น เขาเค้นพลังจากขาทั้งสองข้าง ถีบราชสีห์เมฆทองซึ่งกระโดดขึ้นมาให้ร่วงสู่สระน้ำอีกครั้ง

อาภรณ์แดงพลิ้วสะบัด เส้นผมสีดำปลิวไหว ผมยาวดำดุจน้ำหมึกแผ่พัดสยายไป ยามที่ดวงตาดำขลับแฝงเปลวเพลิงเฉียบขาดกำลังจับจ้องสัตว์ร้ายยิ่งเปล่งรัศมีลุกโชนแรงกล้า

โทสะที่คุกรุ่นยังผลให้ส่วนลึกในดวงตาดูคล้ายมิใช่สีดำ หากแต่เป็นสีของอัคคี เครื่องหน้างดงามน่ามอง แต่กลับเป็นความงามอันแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว

นี่คือบุรุษผู้ทรงพลังและแผดเผาประดุจเปลวเพลิง

บุรุษอาภรณ์แดงใช้เท้าหนึ่งเหยียบราชสีห์เมฆทองที่คำรามกราดเกรี้ยว มือหนึ่งโบกตวัด พริบตาเดียวโซ่ตรวนเส้นหนึ่งก็พันรัดราชสีห์เมฆทองไว้ จองจำมันอยู่ข้างน้ำตก

ขณะที่บุรุษอาภรณ์แดงกำลังพันธนาการราชสีห์เมฆทองนั้น ท่ามกลางความดำมืดเบื้องหลัง เงาร่างสองสายค่อยๆ ปรากฏตัวช้าๆ หนึ่งในนั้นคือบุรุษชุดดำผู้เปี่ยมด้วยรังสีแห่งความชั่วร้าย เขากล่าวขึ้นอย่างคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

“หึๆ สัตว์อสูรขั้นเจ็ดร้ายกาจสมชื่อ นี่นับเป็นครั้งที่สองที่หนีออกมาได้”

“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว หึ” บุรุษอาภรณ์แดงแค่นเสียงทีหนึ่ง เมื่อหันไปมองการปรากฏกายของพวกพ้องที่หน้าน้ำตก เขาก็เหลือบไปเห็นสตรีที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงมาโดยตลอด

“การฝึกฝนครั้งนี้นับว่าไม่เลวเลยโม่เหยียน เจ้าจับราชสีห์เมฆทองขั้นเจ็ดได้ กลับไปก็สามารถแสดงผลงานให้อาจารย์ได้เห็น เพียงแต่เจ้าตัวนี้”

บุรุษอีกผู้หนึ่งแต่งกายด้วยผ้าไหมเงินสีขาว สีหน้าสุภาพอ่อนโยน วาจาพลันชะงักค้างที่ริมฝีปาก ครั้งนี้สายตาของทั้งสามติดตรึงอยู่ที่ร่างบนชะง่อนหินซึ่งนั่งเปียกปอนไปทั้งตัวอยู่เพียงลำพัง

แสงเดือนสุกสกาวเปล่งรัศมีเรืองเรื่อ ผิวใสผุดผ่องราวเทพธิดาจุติมา

ผมดำปรกใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ แสงจันทร์อาบไล้ดวงหน้าอีกครึ่งซีก ปานประหนึ่งหยกขาวไร้รอยตำหนิที่สวรรค์สร้างอย่างเลิศล้ำ ดังหนึ่งนางพรายในวารี

บุรุษผู้ถูกเรียกขานว่าโม่เหยียนพบว่านางเพียงปรายตามองผ่านเขาไปครั้งหนึ่ง จากนั้นนางก็ก้มหน้ายื่นนิ้วเรียวงามลงไปเก็บป้ายหยกห้อยเอวเนื้อขาวบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในน้ำ

โม่เหยียนเห็นเช่นนี้ก็รีบคลำข้างเอวของตนทันที นั่นคือหยกของเขาจริงๆ มันตกลงไปในน้ำเสียแล้ว

ลั่วอวี่เนื้อตัวเปียกชุ่ม ขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะจับจ้องป้ายหยกที่เก็บขึ้นจากน้ำ

หยกรูปมังกรคุณค่าควรเมือง ครั้นพลิกกลับอีกด้าน บนนั้นมีอักษรคำว่า ‘สาม’ อยู่เพียงตัวเดียว

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แผ่นหยกรูปมังกรอักษรคำว่าสามนี่คือป้ายหยกประจำตัวขององค์ชายสามแห่งแคว้นไร้ปีก

เขานั่นเอง องค์ชายสามพระองค์นั้น ผู้ที่มีพันธะหมั้นหมายกับนาง

ครานี้ช่างบังเอิญโดยแท้

ลั่วอวี่ขยับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หากรู้แต่แรกนางคงไม่หลบเลี่ยงเสียงพร่ำบ่นของมารดามาที่นี่ ควรจะเปลี่ยนสถานที่เสียดีกว่า

“ข้าให้เจ้า”

ขณะนางคลี่ยิ้มบางเบา เสียงทุ้มหนักทรงพลังของบุรุษพลันดังขึ้น

ลั่วอวี่เงยหน้ามอง องค์ชายสามผู้นั้นได้มาหยุดยืนอยู่ในสระน้ำเบื้องหน้านางแล้ว แววตาเขาแฝงความตะลึงพรึงเพริดในความงาม ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายยามจับจ้องนาง ใบหน้าหล่อเหลาคมกล้าของเขานั้นนับว่าหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง นางถูกขับมายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เมื่อตอนอายุห้าขวบ แต่หากจำไม่ผิด ตอนนางอายุเพียงสามขวบได้เคยพบกับองค์ชายสามผู้นี้หนหนึ่งแล้ว เขาผิวขาวนวลละเอียดราวหยกสลัก ใบหน้าจิ้มลิ้มดั่งตุ๊กตา สวยน่ารักกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก

ทั้งยังจำได้ว่าครั้งนั้นองค์ชายสามได้ทิ้งวาจาไว้ให้นางคำหนึ่งนางอัปลักษณ์

แต่บัดนี้เขาได้เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงามสูงสง่าเช่นนี้แล้ว

ลั่วอวี่ลูบคลำป้ายหยกในมือเล่น ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ป้ายหยกรูปมังกรเป็นเครื่องบ่งชี้ฐานันดรศักดิ์ ใช่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ครอบครองได้

องค์ชายสามเห็นนางไม่มีทีท่าใดจึงยื่นมือออกไปเชยคางของนางขึ้น ความปรีดาฉายวาบในแววตา กล่าวคำประกาศิตอย่างเผด็จการเป็นที่สุด “ไปกับข้า ข้าจะรับเจ้าเป็นภรรยา”

ลั่วอวี่ฟังแล้วก็สบตาองค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนตรงๆ ในดวงตาของเขานั้นดูราวกับมีเปลวไฟโชติช่วง เจือความเผด็จการและเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นคือความตรงไปตรงมาที่หากถูกใจสิ่งใดแล้วก็จะคว้ามาให้ได้

แท้จริงเจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นี้นับว่าเปิดเผยจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองยิ่งนัก

ลั่วอวี่เกิดความคิดบางอย่างจึงคลี่ยิ้มบางเบา

“โม่เหยียน เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช ข้าจำได้ว่าเจ้ามีสัญญาหมั้นหมายอยู่แล้ว ได้ยินว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ที่หาประโยชน์มิได้เลยกระมัง!” พอหลุดจากภวังค์ตื่นตะลึง บุรุษชุดดำผู้แผ่รังสีชั่วร้ายก็ยกมือขึ้นกอดอก หันไปกล่าวกับโม่เหยียนด้วยท่าทียั่วยิ้ม

โม่เหยียนได้ยินพลันหัวคิ้วขมวดมุ่น จับจ้องลั่วอวี่ตาไม่กะพริบ ประกาศวาจาอย่างถือตนเป็นใหญ่และหยิ่งทะนงยิ่ง

“ข้าไม่มีวันแต่งกับนาง ข้าไม่สนใจหญิงอัปลักษณ์นั่นหรอก” พูดจบก็ส่งมือให้ลั่วอวี่ “ไปกับข้า”

ลั่วอวี่มองมือที่ยื่นมาทางตน แพขนตาขยับไหวน้อยๆ ดวงตาที่หลุบต่ำฉายประกายกร้าวเพียงวูบหนึ่ง

นางยื่นมือออกไปช้าๆ ท่ามกลางสายตาจดจ้องของบุรุษทั้งสาม ลั่วอวี่ยกมือปัดปอยผมที่เปียกชื้นปรกแก้มข้างหนึ่งออกอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด

ปานแดงคล้ายรอยอสุนีบาตพาดกลางแก้มอีกข้าง

หากกล่าวว่าซีกหน้าซึ่งปราศจากปานประทับนั้นคือเทพธิดา ซีกหน้าข้างนี้ก็เปรียบเหมือนมารร้าย ภายใต้ความมืดยามราตรี ใบหน้าที่โผล่พ้นเรือนผมสีดำนั้นราวกับปีศาจ

โม่เหยียนไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงกับสะดุ้งโหยงแล้วผงะถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเขียวคล้ำในพริบตา

สายลมยามค่ำโชยเอื่อย รอบด้านเงียบสงัดไร้สรรพเสียง

บุรุษชุดดำและบุรุษชุดขาวที่อยู่ไม่ไกลคล้ายตื่นตะลึงจนแข็งค้าง ไร้การตอบสนองไปเสียแล้ว

ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นมองโม่เหยียนซึ่งมีสีหน้าย่ำแย่ราวกับเพิ่งกลืนแมลงวันเข้าไป ดวงตาทั้งคู่ของนางจับจ้องเขาไม่วางตา พลางเอ่ยเสียงราบเรียบกระจ่างใสดุจสายลมเย็น “เช่นนี้ยังต้องการให้ข้าไปกับท่านอีกหรือไม่”

โม่เหยียนโกรธจนหน้าเขียว ขณะที่ลั่วอวี่ก็ยังคงจ้องเขาไม่กะพริบตา

นางมองดูใบหน้าเขาเปลี่ยนสี ดูคนที่พยายามข่มอารมณ์ตนเอง ดูโม่เหยียนผู้ไม่หลุดคำผรุสวาทเพราะได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี ครั้นแล้วลั่วอวี่ก็คลี่ยิ้มช้าๆ

ได้เห็นท่าทางอึกอักและข่มกลั้นเช่นนี้แล้ว คำตอบก็แจ่มชัดโดยไม่ต้องพูดอะไร

ชายหนุ่มคึกคะนอง สนใจรูปโฉมภายนอกเหนือกว่าความต้องการทางด้านจิตใจมากมายนัก

“ช่างเถิด ท่าน”

“ฮ่าๆ โม่เหยียน เจ้านิยมชมชอบแบบนี้หรือ นี่คือสตรีที่เจ้าต้องใจแต่แรกเห็นถึงกับหมายจะแต่งงานด้วย? ฮ่าๆ โม่เหยียน เจ้าช่างมีวาสนากับหญิงอัปลักษณ์โดยแท้ ได้ยินว่าสตรีที่หมั้นหมายกันไว้ก็น่าเกลียดจนน่าตกใจ วันนี้หญิงที่ต้องตายังอัปลักษณ์ราวผีร้ายอีก ฮ่าๆ นี่หรือความชมชอบของเจ้า เห็นทีองค์ชายสามของเรา ชาตินี้คงถูกลิขิตให้ต้องรับหญิงรูปชั่วเป็นชายาเสียแล้ว ฮ่าๆๆ”

เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นขัดคำของลั่วอวี่ บุรุษชุดดำหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่งคล้ายกับสำราญใจยิ่ง

โม่เหยียนได้ยินแล้วสีหน้าพลันขรึมลงทันใด

นัยน์ตาที่เจิดประกายไฟแรงกล้ากลับเปี่ยมไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องลั่วอวี่ด้วยแววตาผลาญเผา เขากัดกรามกรอดขณะเค้นเสียงลอดผ่านไรฟัน “ข้าเกลียดการถูกหลอกลวงที่สุด! รูปโฉมเยี่ยงนี้ รังแต่จะทำให้ผู้อื่นสะอิดสะเอียนเท่านั้น”

จบคำมือข้างหนึ่งก็ตวัดไปหมายคว้าซีกหน้าที่งดงามหมดจดของลั่วอวี่

มีดวงหน้าที่ครึ่งหนึ่งงดงามราวเทพธิดา อีกครึ่งชั่วช้าดั่งปีศาจร้าย ซ้ำยังบดบังซีกหน้าอันอัปลักษณ์ไว้ เท่ากับเจตนาหลอกลวงคนชัดๆ อัปลักษณ์ก็คืออัปลักษณ์ โฉมงามก็คือโฉมงาม หน้าตาสวยครึ่งขี้เหร่ครึ่งมิใช่ความผิดนาง หากแต่จงใจบดบังซีกหน้ามีราคีนั่นคือความผิดของนาง วันนี้เขาจะทำลายซีกหน้านี้ทิ้งเสีย นางจะได้ไม่กล้าใช้ซีกหน้าอันสวยสดงดงามหลอกลวงช่วงชิงความรู้สึกผู้อื่นอีก

กรงเล็บคมกริบว่องไวปานสายฟ้าผสมด้วยเพลิงโทสะอันเกิดจากความอับอาย ตรงเข้าโจมตีใบหน้าของลั่วอวี่ทันที

เห็นเช่นนี้สีหน้าของลั่วอวี่ก็เคร่งขรึม สองนิ้วเพียงดีดออกไป ป้ายหยกรูปมังกรพลันคล้ายเปลี่ยนเป็นกระบี่คมกริบ จู่โจมไปที่ใบหน้าของโม่เหยียนโดยตรง

แรงลมปะทะผิวหน้า เหตุการณ์ฉุกละหุก ความประหลาดใจฉายวาบในแววตาของโม่เหยียน เขารีบพลิกกรงเล็บคว้าแผ่นหยกไว้ได้ทันท่วงที

ขณะนั้นเองเขาพลันได้ยินเพียงเสียงน้ำแตกกระเซ็น ลั่วอวี่พลิกกายดำดิ่งสู่ห้วงน้ำเสียแล้ว

โม่เหยียนยืนนิ่งโดยไม่กวดตาม เขาเพียงคลายมือออกช้าๆ ป้ายหยกในอุ้งมืออันเป็นเครื่องบ่งชี้ฐานันดรศักดิ์ของเขาแหลกเป็นผุยผงต่อหน้าต่อตาของเขาเอง

โม่เหยียนหรี่ตาเพ่ง ทันใดนั้นนิ้วมือทั้งห้าก็กำหมัดแน่น บังอาจทำลายป้ายหยกประจำตัวเชื้อพระวงศ์เชียวหรือ ถึงขนาดบังอาจ

ตูม! จังหวะที่เขาจวนจะบันดาลโทสะอยู่รอมร่อ จู่ๆ ในสระน้ำพลันบังเกิดเสียงสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง กระบี่วารีอันสร้างตัวจากน้ำพุ่งขึ้นไปรอบด้าน ละอองน้ำสาดกระจายจนมืดฟ้ามัวดิน

ราชสีห์เมฆทองซึ่งถูกโม่เหยียนพันธนาการไว้ จู่ๆ ก็หลุดจากโซ่ตรวน มันคำรามก้องอย่างกราดเกรี้ยว รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาก็โจนหายเข้าไปในป่าทึบ ไร้สิ้นร่องรอย

ราชสีห์เมฆทองเป็นสัตว์อสูรที่คล่องแคล่วว่องไวอย่างน่าอัศจรรย์ ครั้นเร่งความเร็วสูงสุดขึ้นมา ผู้ใดก็ไม่อาจไล่ทัน

“ราชสีห์เมฆทอง นางปล่อยราชสีห์เมฆทองไปแล้ว”

บุรุษชุดขาวตะโกนก้อง หากแต่ตระหนักดีว่าพวกเขาไม่อาจไล่ตามรางวัลจากการฝึกปรือครั้งนี้ได้ทันแน่ หากกลับไปทั้งอย่างนี้จะต้อง

ชั่วขณะที่ราชสีห์เมฆทองพุ่งขึ้นจากสระน้ำ ตรงนั้นยังมีเงาร่างอีกร่างแหวกม่านวารีขึ้นมา เหาะเหินเพียงไม่กี่คราก็ขึ้นไปปักหลักบนยอดน้ำตกสูง

ผมดำปลิวสยาย ลั่วอวี่ยืนผงาดอยู่เหนือยอดน้ำตกตั้งตระหง่าน

นางทอดมองไปยังโม่เหยียนที่เพ่งส่งสายตาคุกคามเข่นฆ่ามาจากเบื้องล่าง น้ำเสียงเย็นชาของนางก้องกังวานท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี

“ท่านคิดว่าตนเองเป็นใคร หลอกท่านหรือ ข้าไม่แยแสเลยสักนิด!”

เสียงเย็นเยียบทว่าหยิ่งผยองไม่แพ้กันดังสะท้อนอยู่ในม่านราตรี

ลั่วอวี่หมุนกายไม่มัวพิรี้พิไรอยู่ต่อ อาศัยวิชาตัวเบาจากไปราวติดปีก

ท่ามกลางความมืดมิด เบื้องหลังได้ยินเพียงเสียงแผดคำรามก้องราวกับเสียงอสุนีบาตฟาดลั่นสะท้านฟ้าดิน “นางอัปลักษณ์ ฝากไว้ก่อนเถอะ”

 

รัตติกาลมืดทะมึน สายลมโบกโบยทั่วบริเวณ

ลั่วอวี่เดิมนับว่าค่อนข้างอารมณ์ดี แต่เพราะถูกการพบปะโดยบังเอิญครั้งนี้ทำลายความสุนทรีย์เสียจนราบคาบ ทั้งยังยิ่งทำให้นางตัดสินใจได้แน่วแน่ว่าจะไม่แต่งงานกับองค์ชายสามเป็นเด็ดขาด

แม้นว่าเจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นั้นก็ใช่จะยินดีแต่งงานกับนางด้วยเช่นกัน

นางโลดแล่นเร็วรี่อยู่ท่ามกลางความมืด ว่องไวดุจสายลมพาพัดบุปผาปลิวใบหลิวไหว

ถูกต้อง นางไม่มีพลังยุทธ์ หากแต่นางมีวรยุทธ์ นางมีวิชาการต่อสู้ซึ่งผู้คนในโลกนี้ล้วนไม่มี ซัดบุปผาคร่าชีวิต ย่ำหิมะไร้ร่องรอย เห็นนางเป็นกระดูกอ่อนอย่างนั้นหรือ หึ หาเรื่องผิดคนเสียแล้ว

พอเข้าสู่หมู่บ้านเมืองร่วมผล ลั่วอวี่จึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่คนที่พบกันแล้วชังน้ำหน้า ไม่ควรค่าจะเก็บเป็นอารมณ์

ลั่วอวี่มาถึงโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองร่วมผลอย่างชำนิชำนาญทาง ครั้นโอภาปราศรัยกับคนของโรงน้ำชาเสร็จสรรพจึงเดินทะลุเข้าสู่ลานด้านหลัง นางผลักประตูเปิดออกโดยไม่ละล้าละลังแล้วเยื้องย่างเข้าสู่ภายใน

ส่วนคนงานที่อยู่หน้าร้านต่างใช้สารพัดวิธีมาปิดบังอำพราง ผิวเผินดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ หากแต่แท้จริงแล้วกำลังเฝ้าระวังรอบด้านอย่างเข้มงวด

“พี่ใหญ่”

ทันทีที่ลั่วอวี่ก้าวเข้าสู่ลานด้านหลัง ผู้คนพลันโผล่ออกมาจากทั้งสี่ทิศ โค้งกายให้นางครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงผลุบกลับไปประจำตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็วราวกับลานว่างเปล่านั้นไม่เคยมีผู้ใดปรากฏกายมาก่อน

ลั่วอวี่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินยิ้มก้าวไปยังหอเก๋งหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อย่างสันโดษในลานด้านหลัง นางผลักประตูเปิดออกอย่างถือวิสาสะ

“รู้จักแวะมาด้วยหรือ ไม่มาเหยียบย่างที่นี่ตั้งหลายเดือน หรือท่านลืมเหล่าพี่น้องไปหมดแล้ว” น้ำเสียงขุ่นเคืองลอยออกมาจากด้านใน

บุรุษหนุ่มสวมชุดยาวสีเทานั่งอยู่บนตำแหน่งประมุข ตวัดหางตาจ้องมาทางลั่วอวี่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

บุรุษผู้นี้หน้าตาหมดจดงดงาม ดูแล้วหล่อเหลาเข้าที เสียดายที่มีรอยบากพาดผ่านตั้งแต่หว่างคิ้วจรดโหนกแก้มข้างหนึ่ง ทำลายรูปโฉมงดงามนั้นให้ปรากฏเป็นความเหี้ยมเกรียมและน่าสะพรึงกลัว

มุมปากของลั่วอวี่โค้งเป็นรอยยิ้ม นางเลือกที่นั่งก่อนจะหย่อนกายลงแล้วกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจเจ้าอย่างไรเล่า”

บุรุษหน้าบากได้ยินแล้วกลับไม่ดีใจ ซ้ำยังถลึงตาใส่ลั่วอวี่ทีหนึ่ง เป็นนัยว่าเขาฟังประโยคนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว

ลั่วอวี่หลุดหัวเราะออกมาทันที นิ้วเรียวเคาะกับโต๊ะเบาๆ มองบุรุษหน้าบากพลางกล่าวต่อ “จวินเฟย ที่ข้ามาวันนี้เพื่อบอกเจ้าว่าข้าจะเก็บตัวฝึกวิชา”

“เก็บตัว! เก็บตัวอีกแล้ว! ข้าไม่อนุญาต”

บุรุษหน้าบากนามจวินเฟยทะลึ่งตัวลุกพรวด มองลั่วอวี่ด้วยแววตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ลั่วอวี่มองจวินเฟยยิ้มๆ “ข้าแค่มาบอกกล่าว ไม่ได้มาขออนุญาตจากเจ้า”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา จวินเฟยก็โกรธจนแผลเป็นบนหน้าเกร็งกระตุกทันที

จวินเฟย คือคนที่นางเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนนางอายุได้เจ็ดขวบ

ปีนั้นจวินเฟยเพิ่งอายุได้สิบขวบแต่กลับกล้าลงมือสังหารพ่อเลี้ยงใจทรามที่ทำร้ายตนเพื่อเอาชีวิตรอด จากนั้นเขาก็ถูกคนตามล่ารุมซ้อมปางตายแต่เจ้าตัวยังไม่ยอมรับความตาย นิสัยดุร้ายทั้งบ้าดีเดือดเช่นนี้ ภายหน้าหากมิใช่ผู้กล้าก็ต้องเป็นมหาโจร

ลั่วอวี่ประเมินคนได้เฉียบคมนัก หลังจากช่วยชีวิตเขาไว้ก็ควานหาเงินตามร่างกายตนจนเจอเหรียญทองเข้าเหรียญหนึ่ง จึงมอบให้จวินเฟยที่จะตายมิตายแหล่พร้อมกล่าวว่า ‘ดีแต่อาละวาดฟาดฟัน ไม่มีวันได้เป็นผู้เป็นคนหรอก หากไม่อยากโดนคนรังแก มีแต่ต้องพึ่งพาตนเอง’

ถ้อยคำในครั้งนั้น ลั่วอวี่จดจำได้แม่นยำ

‘วิธีที่รวดเร็วและได้ผลที่สุดคือทำการค้าที่ไม่ต้องลงทุน’ นางชี้แนะต่อก่อนจะแยกจากไป

ไม่นึกว่าหลังจากนั้นหนึ่งปีจวินเฟยจะกลับมาอีกครั้ง กิจการที่ไม่ต้องใช้เงินทุนจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยประการนี้

ทำการค้าไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการจับเสือมือเปล่า

จับเสือมือเปล่าเช่นนั้นการซื้อขายข่าวสารย่อมดีที่สุด

เป็นดังคาด นางมองคนไม่ผิดจริงๆ เจ็ดปีให้หลังบัดนี้กิจการของ ‘หอลับ’ ได้แผ่ขยายครอบคลุมเมืองใหญ่หลายเมืองในแดนห่างไกลนี้ และเริ่มรุกล้ำเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว

ซื้อขายข่าวสาร สนับสนุนสิ่งจำเป็นให้ครบครัน แล้วรับกำไรมหาศาลในฐานะคนกลางนี่เองคือหอลับ

ส่วนนางผู้ไร้ประโยชน์ที่สุดแห่งจวนกั๋วกงกลับเป็นถึงผู้นำสูงสุดที่ทำตัวลึกลับดุจมังกรโผล่หัวไม่เห็นหางของหอลับแห่งนี้

จวินเฟยมองลั่วอวี่ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เขาเริ่มกำหมัดถูมือ

หมาป่าสีเทาเงินหลังอานขนาดมหึมาตัวหนึ่งซึ่งหมอบอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาก็ลุกพรวดขึ้นเหยียดกาย ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องเขม็งมาที่ลั่วอวี่

ลั่วอวี่มองจวินเฟยหน้าโหดทีหนึ่ง แล้วเลื่อนมองสัตว์อสูรที่เขม้นมองมาราวพยัคฆ์หมายตะครุบเหยื่อทีหนึ่ง มุมปากก็ยกขึ้น นางหันกลับไปยิ้มมองจวินเฟยพลางพูดว่า “อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ให้ข้าได้เก็บตัวฝึกวิชาก่อน แล้วเราค่อยมาตัดสินว่าใครเหนือกว่ากัน”

ลั่วอวี่เพียงเอ่ยเสียงล่องลอยแผ่วเบา ครั้นแล้วร่างนางก็ขยับไหว เหินทแยงออกไปนอกหอเก๋ง ระหว่างลอยตัวอยู่กลางเวหายังโบกไม้โบกมือให้จวินเฟยอย่างสำราญอารมณ์

“อย่างน้อยสามวัน อย่างมากสิบวัน เจ้าคอยข้าก็แล้วกัน”

จากนั้นนางก็ร่อนลงสู่พื้นดิน เดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ

จวินเฟยเห็นลั่วอวี่ใช้วิทยายุทธ์พิลึกพิลั่นนั้นเอาตัวรอดไปได้อีกครั้งจึงโมโหจนกัดฟันกรอดอย่างยั้งไม่อยู่

เจ้าคนที่ไม่ว่าอะไรเป็นยกให้เขาจัดการไปเสียทุกเรื่องผู้นี้จะอยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ มันน่าโมโหนัก!

หากแต่ฟังดูแล้ว ไม่เกินสิบวันหลังจากนี้ผู้ที่พวกเขาเรียกขานว่าพี่ใหญ่คงจะสำเร็จบรรลุวิทยายุทธ์แปลกพิสดารอะไรนั่นได้ เช่นนั้นก็ยอมให้นางหลบไปสักพักเถิด

จวินเฟยส่งเสียงฮึทีหนึ่งไปยังทางที่ลั่วอวี่หายลับไป

 

เมื่อหลบเลี่ยงออกมาจาก ‘โรงน้ำชาคืนมืด’ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหน้าฉากของหอลับ ลั่วอวี่ไม่ได้กลับไปคฤหาสน์สกุลจวิน แต่ตรงไปยังห้องลับของนางซึ่งอยู่ภายในหอลับ

ตลอดเวลาที่ผ่านมามารดาของลั่วอวี่คิดว่าบุตรสาวมาทำงานที่โรงน้ำชาเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว บางครานางบอกมารดาว่าจะต้องออกไปเก็บใบชาและไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน มารดาก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด วันนี้นางก็บอกจะไปเก็บชา เท่ากับได้แจ้งให้มารดาทราบแล้วว่านางจะมาที่โรงน้ำชาคืนมืด

การที่บุตรสาวในวัยเพียงสิบสี่ต้องออกมาทำงานนอกบ้าน อาจทำให้บิดาและมารดาของนางละอายใจอยู่บ้าง ทว่าข้ออ้างนี้นับว่าไม่เลวเลย

เมื่อลั่วอวี่เข้ามาในห้องลับของตน นางก็นั่งลงหน้าคันฉ่องแล้วค่อยๆ ลอกปานแดงชิ้นนั้นออกจากใบหน้า

ผิวหนังใต้แผ่นปานมีเพียงจุดแดงขนาดเท่าปลายก้อยอยู่เท่านั้น

ลั่วอวี่เห็นแล้วแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่งปานหรือ หึ ปานที่ไหนกัน เป็นจุดแดงที่เกิดจากพิษต่างหาก

ในปีที่ลั่วอวี่อายุสามขวบมีคนวางยาพิษนาง เดิมคงหมายจะสังหารนางให้สิ้นชีพ หารู้ไม่ว่านางมิใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะเพิ่งอายุได้สามขวบ แต่ตั้งแต่เกิดมานางก็อาศัยลมปราณอันบริสุทธิ์ของเด็กแรกเกิดกรุยเส้นชีพจรและเริ่มฝึกกำลังภายในแล้ว หลังจากถูกพิษ นางต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดจึงสามารถรีดพิษที่อยู่ในตัวมาไว้บนใบหน้าได้สำเร็จ และกลายเป็นจุดแดงที่เห็นอยู่นี้

แม้ต้องสูญเสียรูปโฉม แต่ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อครั้งทดสอบพลังยุทธ์ตอนอายุสามขวบ นางจึงไม่มีพลังใดๆ หลงเหลืออยู่เลย เนื่องจากนำไปฝึกพลังวัตรต้านพิษจนหมดสิ้นแล้ว

ลั่วอวี่โยนปานปลอมในมือลงบนโต๊ะ ประกายเย็นเยียบไหววูบขึ้นในดวงตา

แม้ตอนนั้นนางจะเห็นไม่ชัดว่าใครเป็นคนลงมือวางยา ทว่านางก็ได้ยินเสียงคนผู้นั้น ขอเพียงได้กลับไปจวนกั๋วกงแห่งนั้นอีกครา นางจะต้องควานหาตัวการสำคัญที่หมายจะสังหารนางในครั้งนั้นได้แน่นอน

เมื่อลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความเยียบเย็นในดวงตาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว มีเพียงรอยยิ้มที่คลี่ออกมาช้าๆ

“คราวนี้ดูซิว่ายังจะมีผู้ใดกล้าหยามข้าว่าเป็นคนไม่เอาไหน ยังจะมีใครกล้าคิดร้ายต่อข้าอีก”

หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกมา ลั่วอวี่ก็ลุกไปนั่งบนตั่งเตี้ย มือทั้งสองประสานไว้ในท่าทำสมาธิ

ครั้งนั้นไม่รู้ว่าผู้ปองร้ายใช้ยาพิษชนิดใดถึงได้รุมเร้านางมาเป็นเวลานานหลายปี ก่อนหน้านี้นางต้องฝึกวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นบรรลุขั้นที่เก้าจึงเริ่มขับพิษออกจากร่างได้สำเร็จ

ไอร้อนค่อยๆ แผ่ออกมาปกคลุมร่างของลั่วอวี่ จุดพิษสีแดงบนใบหน้าของนางค่อยๆ จางลงไปตามพลังความร้อนที่เร่งระอุขึ้นเรื่อยๆ และเลือนหายไปทีละน้อย

เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ภายนอกห้องลับดวงตะวันและจันทราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นสู่ท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าความร้อนที่แผ่แผดรอบกายของลั่วอวี่จะเริ่มสลายลงไป ดวงหน้าของเด็กสาวค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นท่ามกลางม่านหมอก

ผิวพรรณผุดผ่องนวลเนียน งดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ เลิศล้ำเหนือใครในหล้า

บนใบหน้าไหนเลยจะมีจุดแดงเหลืออยู่อีก จะมีก็เพียงดวงหน้าผุดผาดงามพริ้มเพราเท่านั้น

พิษร้ายที่คอยรุมเร้านางมานานหลายปี ในที่สุดก็ถูกขับออกจากร่างจนหมดสิ้น

ม่านหมอกพลันสลายไปอย่างรวดเร็ว ตามติดด้วยเสียงลั่นเปรี๊ยะป๊ะระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นลั่วอวี่ก็ขยับตัว ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ปิดสนิทพลันลืมขึ้น แววตาทั้งคู่ดุจมีประกายไฟวิ่งผ่าน เปล่งแสงระยิบระยับ

นัยน์ตาคู่นั้นแลดูสุกใสแวววาวและดำขลับลึกล้ำกว่าที่ผ่านมา ประหนึ่งธารน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง พริบตาที่จ้องมองคล้ายจะดูดดึงวิญญาณผู้คนให้ออกจากร่าง งามดุจท้องฟ้าดาราพรายในยามราตรี

คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น สุดยอดวิชาแห่งวัดเส้าหลินในที่สุดนางก็ฝึกสำเร็จลุล่วงถึงขั้นสิบแล้ว

ลั่วอวี่ยกมือขึ้นช้าๆ ดีดปลายนิ้วไปยังเตากำยานทองเหลืองภายในห้องลับ

เสียงปังดังขึ้น เตากำยานทองเหลืองถูกพลังดรรชนีจู่โจมเข้าใส่ พลันแหลกป่นปี้เป็นผุยผง

ลั่วอวี่สะบัดมืออีกครั้ง เศษชิ้นส่วนของเตาทองเหลืองที่อยู่ห่างไปราวหนึ่งจั้ง พลันลอยขึ้นแล้วแตกกระจัดกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

“ฮ่าๆ”

ลั่วอวี่ไม่อาจระงับอาการลิงโลดได้อีก นางแหงนหน้าหัวเราะด้วยความสาสมใจ

ในที่สุดพลังวัตรหกสิบปี และเจ็ดสิบสองกระบวนท่าไม้ตายของวัดเส้าหลิน นางก็ฝึกสำเร็จแล้ว

พื้นภูมิของแผ่นดินลืมธารานับว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ วรยุทธ์ที่หากอยู่ในยุคปัจจุบันแม้นจะเพียรพยายามมาตลอดชีวิตก็ยากจะบรรลุผล แต่อยู่ที่นี่กลับใช้เวลาเพียงสิบสี่ปีก็สามารถฝึกสำเร็จ

ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก

อัดอั้นตันใจมาถึงสิบสี่ปี ในที่สุดวันนี้พละกำลังของนางก็กลับมาฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง ช่างดีแท้

เสียงหัวเราะก้องกังวานดังไปทั่วทุกสารทิศ

ผ่านไปครู่หนึ่งลั่วอวี่เก็บงำความยินดีปรีดาในจิตใจเดินไปที่หน้าคันฉ่อง นำปานสีแดงแผ่นนั้นปิดทับลงบนผิวหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็เดินอย่างองอาจผึ่งผายออกนอกประตูไป

ผู้ที่ลอบวางยาพิษยังอยู่ในที่ลับ ไยนางต้องรีบเผยตัวด้วยเล่า ถึงอย่างไรนางก็เคยชินกับการมีตำหนิอยู่บนใบหน้าเช่นนี้มานานแล้ว

ฝ่ามือแนบลงกับบานประตู จู่ๆ ลั่วอวี่ก็ยกยิ้มมุมปาก นางตวัดมือขึ้น พลังฝ่ามือถูกซัดออกไปทำให้เกิดเสียงดังปัง! ประตูใหญ่ถูกกระแทกจนเปิดออก ผู้ที่หลบซ่อนอยู่นอกประตูถูกบีบคั้นให้ต้องสำแดงตน

จวินเฟยกับหมาป่าอสูร

จวินเฟยเห็นลั่วอวี่เดินยิ้มกริ่มออกมา นัยน์ตาทั้งคู่พลันหรี่เล็กลง เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พลังยุทธ์สีแดงพวยพุ่งออกมาตรงเข้าโจมตีลั่วอวี่ทันที

ขณะเดียวกันหมาป่าสีเทาเงินก็ส่งเสียงขู่คำราม โก่งหลังขนตั้งชัน แยกเขี้ยวแสยะปากพุ่งกระโจนเข้าใส่ลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่เลือนหาย ปลายเท้าแตะสะกิดพื้น ร่างโผนทะยานขึ้น เท้าข้างหนึ่งเตะตวัดไปที่กลางแสกหน้าของจวินเฟย จังหวะเดียวกันนั้นนางก็พลิกฝ่ามือฟาดใส่หมาป่าสีเทาเงินที่พุ่งกระโจนเข้ามาทันที

โครม!

เพียงได้ยินเสียงกระแทกหนักๆ เงาร่างทั้งสามปะทะกันวูบหนึ่งแล้วแยกออกจากกันทันที

จวินเฟยถลาถอยหลังไปสามก้าว ส่วนหมาป่าสีเทาเงินสัตว์อสูรขั้นสี่ที่อยู่ข้างกายถูกซัดจนมึนงงตาลาย ลงไปนั่งแหมะกับพื้น สะบัดหัวไปมาไม่หยุด

ลั่วอวี่ขึ้นไปยืนผงาดอยู่บนยอดไม้เหนือศีรษะที่แกว่งไกวไปตามสายลม ร่างพลิ้วไหวขึ้นลงไปตามกิ่งไม้ ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยความรื่นรมย์

ดาราพร่างพราวเต็มผืนฟ้าสาดประกายอยู่เบื้องหลัง ดุจดั่งเสน่ห์ลึกลับแห่งราตรีกาล

“ถึงกับกล้าลองดีกับข้า ดูซิว่าต่อไปเจ้ายังจะกล้าอีกหรือไม่” ลั่วอวี่มองสัตว์อสูรที่นั่งหัวหมุนคว้างอยู่กับพื้นด้วยรอยยิ้ม เวลานี้นางอารมณ์ดียิ่งนัก

เจ้าหมาป่าตัวนี้ถือดีว่าตนเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ ปกติชอบแสดงท่าทีหยาบคายดุร้าย คิดจะข่มเหงนาง ฮึ ย่อมถึงคราวต้องชดใช้เสียบ้าง!

จวินเฟยที่ยืนอยู่บนพื้นดินเงยหน้าขึ้นมองลั่วอวี่บนยอดไม้พลางเลิกคิ้วขึ้น

ไม่ผิดจากที่คาดหมาย พลังฝีมือของนางก้าวรุดหน้าไปมาก

เดิมทีเขายังพอมองความลุ่มลึกของนางออก แต่ตอนนี้กลับมองอะไรไม่ออกเลย ไม่ว่ามองอย่างไรลั่วอวี่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่คนธรรมดาผู้นี้

จวินเฟยส่ายหน้าไปมา ในใจรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเช่นกัน ทว่ายังคงปั้นหน้านิ่งเฉยกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อฝึกวรยุทธ์แปลกพิสดารของท่านสำเร็จแล้ว เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะ ปัญหาของท่านมาเยือนถึงประตูบ้านแล้ว”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้มทันควัน ทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่างมายืนเบื้องหน้าจวินเฟย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

กิจการของหอลับคือการซื้อขายข่าว ไม่มีผู้ใดทราบข่าวได้รวดเร็วไปกว่าที่นี่อีกแล้ว

“ทั้งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด และจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลได้แอบส่งคนมาลอบสังหารท่านแล้ว”

“เพราะเหตุใด” ลั่วอวี่ฟังแล้วหาได้ตื่นตระหนก กลับออกอาการแปลกใจเล็กน้อย นางไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับจวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสอง!

จวินเฟยยกมือขึ้นกอดอก กล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะตอนนี้ท่านอายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนองค์ชายสามก็อายุสิบเจ็ดปีเต็ม ได้เวลาจัดการเรื่องการหมั้นหมายของพวกท่าน พระราชายังได้ส่งคนอัญเชิญราชโองการมาที่เมืองร่วมผลแล้วด้วย”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหัวคิ้วก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ไฉนนางยิ่งปฏิเสธสิ่งใด สิ่งนั้นกลับยิ่งเข้ามาหา ไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้พบองค์ชายสามที่คิดจะทำลายรูปโฉมนาง ทำให้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่แต่งงานกับเขา มาวันนี้ข่าวเกี่ยวกับการหมั้นหมายกลับถูกส่งมาถึงแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่รู้จบโดยแท้ ลั่วอวี่อับจนคำพูด

ปีนั้นพระราชาแคว้นไร้ปีกถูกลอบปลงพระชนม์ที่แคว้นข้างเคียง บิดาของนางเสี่ยงชีวิตเข้าถวายการอารักขากระทั่งตัวเองต้องสูญสิ้นพลังยุทธ์ทั้งหมด พระราชาทรงเห็นแก่น้ำใจไมตรีในครั้งนั้น ทั้งทรงเห็นว่านางเป็นทายาทแห่งจวนกั๋วกง ฐานะเหมาะสมคู่ควร จึงได้ทรงหมั้นหมายนางให้กับองค์ชายสามตั้งแต่นางอายุได้สองขวบ

เดิมนางเข้าใจว่าครอบครัวนางทั้งสี่คนถูกขับไล่ไสส่งมาอยู่ที่นี่แล้วฝ่าบาทคงจะปล่อยเลยตามเลย ก็จะมีใครอยากได้หญิงอัปลักษณ์ไปเป็นสะใภ้เล่า ทั้งได้ยินว่าองค์ชายสามผู้นั้นยังเป็นพระโอรสที่พระมเหสีทรงเป็นผู้ให้กำเนิดอีกด้วย นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทกลับยังทรงจำได้!

นางควรยกย่องฝ่าบาทที่ทรงยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตรดี หรือควรบ่นว่าฝ่าบาทไม่รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ดีหนอ

“หากพวกเขาหมายสังหารข้า ข้าจะขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำได้สำเร็จ”

จนคำพูดส่วนจนคำพูด ลั่วอวี่ตั้งสติรับมือกับปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นางผงกศีรษะน้อยๆ สีหน้าสงบนิ่ง

“ไม่เลว จวนกั๋วกงทั้งสามคอยคานอำนาจกันอยู่ ไม่มีใครกดข่มใครได้ ส่วนองค์ชายสามเป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ต่อไป ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ท่านสมควรต้องตาย” จวินเฟยกล่าวด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ

“ต้องตาย? หึ เช่นนั้นก็มาดูกันว่าใครที่ต้องตาย”

นางไม่เคยอยากจะเป็นพระชายาอะไรนั่น แต่หากคิดเอาชีวิตนาง เช่นนั้นก็ต้องมาลองดูกันสักตั้ง

“ป๋อเจวี๋ย จวินเฉินแห่งจวนกั๋วกงของพวกท่านเดินทางมาตรวจราชการที่เมืองใกล้ๆ นี้พร้อมบุตรสาว และวันนี้ก็มาถึงที่นี่แล้ว เวลานี้ที่บ้านท่านกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ด้วยความว่องไวของจวนกั๋วกงอีกสองจวน วันนี้ก็น่าจะ”

จวินเฟยยังกล่าวไม่ทันจบ ลั่วอวี่ก็หายตัวไปไม่เห็นร่องรอยเสียแล้ว มีเพียงเสียงที่ลอยมาท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี “ไปรับน้องชายข้ากลับมา”

จวินเฟยเห็นเช่นนี้ แผลเป็นจากกลางหว่างคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย เขาเดินกอดอกตามหลังนางไปอย่างไม่รีบร้อน

แท้ที่จริงเขาสั่งการไปเรียบร้อยก่อนแล้ว

 บทที่ 2

รัตติกาลมืดมิด หมู่ดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีกาล ดวงจันทร์ทอแสงสุกสกาว

ภายในคฤหาสน์ของจื่อเจวี๋ย จวินอวิ๋น บ้านอันแสนซอมซ่อของลั่วอวี่ยากนักที่จะปรากฏแสงโคมสว่างไสว มีเสียงผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่สอดแทรกด้วยเสียงขับร้องบรรเลงมโหรีเป็นระยะ

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหยักยิ้มมุมปาก ปัดๆ เสื้อผ้าบุรุษเนื้อหยาบสีฟ้าอ่อนบนร่างตน ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปด้วยท่าทางสบายๆ

ภายในลานบ้าน กลุ่มนักดนตรีกำลังร้องขับกล่อมบรรเลง

กลางห้องโถงใหญ่ด้านหน้า จวินอวิ๋นและเฟยเยียนผู้เป็นบิดามารดาของนางนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน สีหน้าของคนทั้งสองดูสงบนิ่งคล้ายมีความไม่พอใจเจืออยู่จางๆ

ส่วนที่ตำแหน่งของแขกมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่งผู้หนึ่งนั่งอยู่ สีหน้าดูไม่สนใจไยดีแกมหยามหยัน

ข้างกายของเขามีเด็กสาวอายุราวสิบหกนั่งอยู่ด้วย รูปโฉมโนมพรรณสวยสะคราญราวกุหลาบดอกหนึ่ง เข้าตำราที่ว่าดวงพักตร์ลักษณาดุจบุปผาและดวงเดือน หากแต่น่าเสียดาย ท่าทางไม่พออกพอใจและดูหมิ่นดูแคลนที่ปรากฏชัดบนดวงหน้างามกลับทำให้แลละม้ายคล้ายดอกกุหลาบปีศาจสีน้ำเงิน

อีกฟากของที่นั่งแขกเหรื่อ ยามนี้มีท่านเจ้าเมืองซึ่งกำลังยิ้มร่านั่งอยู่ สีหน้าท่าทางประจบสอพลอ ทำให้ใบหน้าที่ยามปกตินับว่าพอถูไถไปได้ เวลานี้กลับทำให้คนเห็นแล้วอยากอาเจียน ที่ด้านหลังของเขามีขุนนางในเมืองร่วมผลติดตามมาด้วยหลายคน ล้วนแต่มีสีหน้าท่าทางไม่ต่างกัน

คิดแล้วก็จริง แม้บิดาของนางกับจวินเฉินผู้นี้จะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ทว่าความสูงต่ำของฐานะและยศถาบรรดาศักดิ์กลับปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

บิดาของนางเป็นเพียงจื่อเจวี๋ยผู้ไร้อำนาจ ส่วนจวินเฉินผู้นั้นเป็นถึงขุนนางป๋อเจวี๋ยผู้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั้งแผ่นดิน

การแบ่งบรรดาศักดิ์กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน รวมห้าขั้นมิใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับลั่วอวี่ สมัยที่โลกของนางปกครองโดยราชสำนักก็ใช้ระบบบรรดาศักดิ์เช่นนี้มิใช่หรือ หากเจ้าเมืองจะประจบสอพลอย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ทันทีที่ลั่วอวี่เหยียบย่างเข้าสู่ห้องโถง นางกวาดตามองปราดเดียวก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เหตุใดคืนนี้จึงได้ครึกครื้นนัก” นางพูดพลางค่อยๆ สาวเท้าเดินไปทางบิดามารดาซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน

พอเฟยเยียนเห็นลั่วอวี่ซึ่งหายหน้าหายตาไปเก็บใบชาถึงสามวันกลับมาแล้วก็ยิ้มพลางกวักมือเรียกบุตรสาวให้เข้าไปหา “เข้ามา อวี่เอ๋อร์ มานั่งตรงนี้”

ลั่วอวี่ได้ยินก็รับคำแล้วเดินตรงไปหามารดาทันที ไม่แม้แต่จะชายหางตามองท่านเจ้าเมืองและผู้ที่มีศักดิ์เป็นลุงสามของนางแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนเด็กไร้ผู้คนที่บ้านคอยอบรมบ่มนิสัย

จริงดังคาด บุรุษและเด็กสาวผู้มาเยือนพลันขมวดคิ้วพร้อมกัน แววตาเหยียดหยันยิ่งฉายชัด

“เศษสวะ” ป๋อเจวี๋ยจวินเฉินเห็นเช่นนี้ถึงกับผรุสวาทออกมาอย่างเยียบเย็น

“อวี่เอ๋อร์ คารวะท่านลุงสามกับพี่ลั่วเฉินเสียก่อนสิ” บิดาของลั่วอวี่กล่าวแทรกขึ้นมาพอดี เอ่ยเตือนลั่วอวี่คำหนึ่ง

ทันทีที่สิ้นเสียงคนทั้งสอง บรรยากาศภายในห้องโถงพลันกระอักกระอ่วนขึ้นทันที สีหน้าของจวินอวิ๋นและเฟยเยียนออกจะไม่สู้ดีนัก

ลั่วอวี่ชะงักฝีเท้า เหลียวไปมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

จวินเฉินเห็นลั่วอวี่มองประเมินเขาอย่างไม่ปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย ความดูแคลนในแววตาของเขายิ่งจะแจ้ง สายตาจับนิ่งอยู่ที่ปานแดงบนใบหน้าของลั่วอวี่ ใบหน้าปรากฏแววเหยียดหยามและสะอิดสะเอียน

เดิมคิดว่าฝ่าบาททรงลืมสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นไปแล้ว ปีนี้องค์ชายสามจะมีอายุครบสิบเจ็ดปี สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มเตรียมการเลือกสรรพระชายา เขากำลังหมายมั่นปั้นมือจะอาศัยรูปโฉมและฐานะของบุตรสาว รวมถึงอิทธิพลของจวนกั๋วกง ส่งตัวบุตรสาวขึ้นครองตำแหน่งพระชายา นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทกลับยังไม่ลืมคำมั่นในครานั้น ทั้งยังมีราชโองการให้ลั่วอวี่เข้าวัง โดยอ้างเสียน่าฟังว่าเพื่อจะได้บ่มเพาะความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชาย ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้โทสะพวยพุ่งนัก

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งวงศ์สกุล ต้องรีบยกเรื่องหญิงอัปลักษณ์ที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้วขึ้นเป็นเรื่องสำคัญเหนือเศียรเหนือเกล้า ครั้งนี้เขาบังเอิญตรวจราชการอยู่ที่เมืองข้างเคียงพอดี ทางจวนกั๋วกงได้ส่งพิราบสื่อสารแจ้งให้เขามาอารักขาเด็กสาวผู้อัปลักษณ์อย่างที่สุดนางนี้

ปกติแค่ให้เขาเหลือบมองสตรีขี้ริ้วขี้เหร่เช่นนี้เพียงแวบเดียวยังอยากอาเจียน ตอนนี้ถึงกับให้เขาคุ้มครองนาง ช่างน่าโมโหนัก! จวินเฉินคิดถึงตรงนี้ แววตาดูแคลนและขยะแขยงยิ่งรุนแรงแจ่มชัด

ส่วนลั่วเฉินที่อยู่ข้างกายยังแสดงออกโจ่งแจ้งยิ่งกว่าบิดาของนางเสียอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความริษยาและเคียดแค้น

เดิมทีตำแหน่งพระชายาควรเป็นของนาง เวลานี้กลับตกไปอยู่ในมือของหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เสียแล้ว ราวจะยั่วให้นางคับแค้นใจตาย

ลั่วเฉินพลันลุกขึ้นมา สืบเท้าขึ้นหน้ามาสองสามก้าว แล้วเดินวนรอบตัวลั่วอวี่อย่างสำรวจตรวจตราพลางกล่าววาจาเจ็บแสบด้วยเสียงเฉียบ “ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงเพียงนี้ ช่างทำให้คนอยากอาเจียน อัปลักษณ์เช่นนี้ต่อให้ได้ขึ้นเป็นพระชายา ไม่ช้าก็เร็วย่อมหนีไม่พ้นชะตากรรมถูกปลด ไม่สู้รีบตายๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องอยู่รกหูรกตาผู้คน”

“หลานลั่วเฉิน ระวังคำพูดด้วย เจ้า”

เพียะ!

ถ้อยคำเชือดเฉือนทิ่มแทงของลั่วเฉินถูกน้ำเสียงเดือดดาลของจวินอวิ๋นขัดขึ้น ทว่าทันใดนั้นเสียงตบฉาดก็ดังกังวานขึ้นอย่างชัดเจน ลั่วเฉินซึ่งกำลังพล่ามด่าถูกตบจนหน้าหัน พริบตาเดียวก็ปรากฏรอยปื้นแดงขึ้นบนหน้านวล

ในห้องโถงเงียบกริบไปทันที ทุกคนในที่นั้นมองลั่วเฉินที่ถูกตบด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ข้างกายนางไม่มีคนลงมือ นี่

“เจ้าตบข้า” หลังจากความเงียบผ่านพ้นไป ลั่วเฉินก็เต้นเร่าๆ ขึ้นมาทันที ดวงหน้างามราวดอกกุหลาบบัดนี้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ทว่าแม้จะตวาดเสียงกราดเกรี้ยว แต่นางก็รู้ตัวดีว่าข้อกล่าวหานี้ฟังไม่ขึ้น ผู้คนมากมายล้วนประจักษ์อยู่กับตา ลั่วอวี่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ต่อให้อยากโยนความผิดให้ลั่วอวี่เพียงใดก็ไม่อาจทำได้

ลั่วเฉินถลึงตาใส่ลั่วอวี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งยังกล่าวปรามาสอย่างเจ็บแสบ “น้ำหน้าอย่างเจ้าหรือ ไม่มีปัญญาหรอก”

จบคำนางก็หันไปมองความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างดุดันพลางสาดวาจาด่าทอ “ใคร! ใครมันบังอาจตบหน้าข้า จงไสหัวออกมา ไสหัวออกมา”

เพียะ!

เสียงฉาดดังขึ้นอีกครั้ง ลั่วเฉินคล้ายถูกตบจนร่างซวนเซ ซีกหน้าอีกข้างพลันปรากฏริ้วแดง

“ผู้ใดกัน!” จวินเฉินหน้าดำคร่ำเครียด ลุกพรวดพราดขึ้นมา แววตาเย็นเยียบกวาดมองไปยังน้องห้าและน้องสะใภ้ที่กำลังมีสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง

น้องห้าสูญสิ้นพลังยุทธ์ น้องสะใภ้ก็ไร้พลังยุทธ์ ลั่วอวี่ยิ่งเป็นเหมือนเศษสวะในกองขยะ ผู้ใดกันที่ลงมือ

“กล้าตบข้าเรอะ ข้าจะฆ่าเจ้า” ลั่วเฉินปลดปล่อยพลังยุทธ์สีส้ม ชักกระบี่จากเอว ระดมฟาดฟันความว่างเปล่ารอบกายอย่างบ้าคลั่ง

เพียะๆ!

ใครเลยจะคาดคิดว่านางเพิ่งจะพูดจบ พลังอันไร้ตัวตนกลับฝ่าทะลวงม่านพลังและรัศมีกระบี่ของนางเข้ามา แล้วลงมือตบอีกสองฉาด

ร่างของลั่วเฉินส่ายโงนเงน เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ในนั้นมีฟันขาววาววามซี่หนึ่งปนอยู่ด้วย

“ท่านพ่อ” ลั่วเฉินทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจ นางไม่เห็นว่าผู้ใดตบนาง นี่มันเรื่องอันใดกัน

จวินเฉินเพลิงโทสะลุกโหม พุ่งถลันออกมา ทางหนึ่งช่วยพยุงร่างบุตรสาว ทางหนึ่งก็ตวาดเสียงกร้าว “ใครกัน! หากแน่จริงก็จงก้าวออกมา หดหัวอยู่เช่นนี้หรือเรียกว่าแน่จริง หากยังไม่สำแดงตัว ข้าขอสาปแช่งให้โคตรเหง้าเจ้า”

ลั่วอวี่ฟังมาถึงตรงนี้สีหน้าพลันเยียบเย็น นางดีดนิ้วไปทางจวินเฉินซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวครั้งหนึ่ง

ตึง!

พริบตานั้นจวินเฉินที่พุ่งพรวดออกมาพลันแข้งขาอ่อน ทิ้งร่างลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าลั่วอวี่

ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบในทันที ทุกคนต่างมองจวินเฉินที่คุกเข่าอยู่ด้วยความตื่นตะลึง รวมถึงลั่วเฉินซึ่งกำลังเอะอะโวยวายด้วย

ท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกพิสดาร ลั่วอวี่ปัดๆ เสื้อผ้าตามเนื้อตัว มองจวินเฉินแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไฉนท่านลุงต้องทำถึงเพียงนี้ ท่านคารวะผู้น้อยเยี่ยงนี้ไม่เท่ากับแช่งหลานให้อายุสั้นหรอกหรือ”

พูดมาถึงตรงนี้นางพลันเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างฉับพลัน “แต่ไม่อบรมบุตรสาวถือเป็นความผิดของบิดา จวินลั่วเฉินกล่าววาจาร้ายกาจ คงเพราะขาดการอบรมสั่งสอนเป็นแน่แท้ ท่านลุงจะไถ่โทษแทนย่อมเป็นการสมควร เช่นนั้นถือว่าหลานรับการขอขมาในครั้งนี้ก็แล้วกัน ท่านลุงจงลุกขึ้นเถิด”

กล่าวจบลั่วอวี่ก็ตวัดชายแขนเสื้อ เดินไปยังข้างกายบิดามารดาอย่างดูเป็นธรรมชาติยิ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่ง

จวินอวิ๋นและเฟยเยียนสบตากันแล้วหันไปมองบุตรสาวที่มีท่าทางไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังพี่สามที่ยังคงคุกเข่าแข็งค้างอยู่ท่าเดิม นี่

ความเงียบความเงียบอันผิดวิสัยภายในห้องโถงยิ่งขับเน้นให้เสียงดนตรีที่ลอยแว่วมาจากลานบ้านฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวน

ในยามนี้จวินเฟยซึ่งเร้นกายอยู่ใต้ความมืดยามราตรีกำลังเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

พวกจวินอวิ๋นอาจไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น แต่เขารู้ นี่คือวรยุทธ์พิลึกพิลั่นของลั่วอวี่! พลังวัตรอะไรนั่นช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์นัก

หลังจากความเงียบกริบชั่วครู่ผ่านพ้น

“อ่ะแฮ่ม เอ่อ ใต้เท้าป๋อเจวี๋ย ในเมื่อท่านท่านก็สำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นเชิญท่านลุกขึ้นเถิดขอรับ” เจ้าเมืองที่มีสีหน้าซีดเผือดฝืนยิ้มแล้วพยายามพูดแก้ไขสถานการณ์

ใต้เท้าป๋อเจวี๋ยผู้นี้จู่ๆ ก็เกิดสำนึกผิดและขอขมา ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ในเมื่อใต้เท้าป๋อเจวี๋ยมีความตระหนักรู้และใจกว้าง พวกเขาย่อมสมควรยกย่องชื่นชม เพียงแต่ลั่วอวี่ออกปากว่าไม่ต้องแล้ว เหตุใดเขาจึงยังคุกเข่าอยู่อีก นี่

จวินเฉินซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่กลางห้องโถงดังเดิม ยามนี้แม้แต่ความคิดสังหารคนก็ผุดขึ้นมาแล้ว

เขาอยากคุกเข่า? เขาสำนึกผิด? เขาไม่อยากลุกขึ้น?

น่าตายนัก นัยน์ตาข้างไหนของคนพวกนี้ที่เห็นว่าเขาไม่อยากลุกขึ้น แท้จริงแล้วเขาลุกไม่ขึ้น ทั้งไม่อาจเอ่ยวาจาต่างหาก!

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเพียงว่าหัวเข่าเริ่มชาวูบ ลำคอขมปร่า จากนั้นก็กลับกลายมาอยู่ในสภาพนี้ เขาคล้ายถูกตบจนฟันร่วงเลือดกบปาก อยากพูดแต่พูดไม่ได้

ลั่วอวี่ซึ่งนั่งอยู่เห็นเช่นนี้จึงดีดพลังดรรชนีไปที่กลางอากาศก่อนถึงร่างจวินเฉินเล็กน้อย

“ท่านพ่อ ลุกขึ้นสิ ลุก”

ลั่วเฉินซึ่งอยู่ข้างกายกำลังออกแรงฉุดรั้งบิดาให้ลุกขึ้น ฉับพลันนั้นเองจวินเฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ทำให้ลั่วเฉินที่ออกแรงฉุดดึงมากเกินไปเสียหลักซวนเซล้มลงไปนั่งกับพื้น

จวินเฉินไม่สนใจลั่วเฉินที่ล้มลงไป สองตาจับนิ่งไปยังลั่วอวี่

ลั่วอวี่ยื่นมือไปหยิบจอกสุราของบิดาที่อยู่บนโต๊ะมาหมุนเล่นไปมาบนปลายนิ้ว ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของจวินเฉิน หัวคิ้วหางตากระตุกเล็กน้อย แล้วส่งสายตากลับไปอย่างเฉยเมย

แววตานั้นสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมไหวประหนึ่งสระน้ำลึก ดำมืดจนทำให้คนเห็นแล้วตัวสั่นสะท้าน

ใช่ ตัวสั่นสะท้าน จวินเฉินพลันสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดลั่วอวี่จึงมีแววตาเช่นนี้ นี่

ลั่วอวี่กวาดมองจวินเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่แยแสเขาอีก ปลายนิ้วไล้ผ่านจอกสุรา สายตาเลื่อนไปที่ลานกลางบ้าน มุมปากยกหยักเป็นเส้นโค้ง เอื้อนเอ่ยวาจาอย่างเชื่องช้า “ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาเถอะ”

ถ้อยคำเรียบเรื่อยราวสายลมโชยเอื่อย หากแต่ได้พัดพาระลอกคลื่นสู่ผิวน้ำ จวินอวิ๋น จวินเฉิน และคนอื่นๆ ต่างตะลึงงัน

ระหว่างที่พวกเขากำลังงุนงงอยู่นั่นเอง เหล่านักดนตรีที่ดีดสีตีเป่าอยู่ในลานบ้านก็บุกจู่โจมเข้ามา เห็นเพียงแสงสีเงินสว่างวาบ กระบี่เงินคมกริบเล่มหนึ่งแหวกอากาศตรงดิ่งเข้าหาลั่วอวี่

“ระวัง!” จวินอวิ๋นร้องเสียงหลง

จวินเฉินสองตาเบิกโพลง พลังยุทธ์สีเขียวพลันแผ่ปกคลุมทั่วร่าง เขากวัดแกว่งขวานผ่าภูผาในมือพลางตวาดกร้าว “ผู้ใดกล้าลงมือ!”

ขวานผ่าภูผาโบกสกัดกระบี่คมกริบที่ทะลวงเข้ามา

เวลานี้ลั่วอวี่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของสกุลจวิน หากนางมีอันเป็นไป ตำแหน่งพระชายาอ๋องสามย่อมไม่มีทางตกเป็นของจวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นแน่แท้ เหล่าผู้อาวุโสในสกุลจะต้องฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

กระบี่เงินแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว จวินเฉินก็ว่องไวไม่แพ้กัน ขวานพุ่งเข้าขวางหน้าแล้วจามลงเต็มแรง

เคร้ง!

อาวุธทั้งสองพุ่งปะทะกัน หลังได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบกันดังสะเทือนเลื่อนลั่น ขวานผ่าภูผาในมือของจวินเฉินผู้ฝึกปรือจนมีพลังยุทธ์สีเขียวกลับกระดอนขึ้นไปแล้วร่วงหล่นลงมา ส่วนกระบี่เงินเล่มยาวกลับยังพุ่งเข้าหาลั่วอวี่ด้วยความเร็วที่ไม่ลดน้อยลงเลย

พลังยุทธ์ยังเหนือกว่าจวินเฉิน! จวินเฉินและจวินอวิ๋นสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที

แม้พลังยุทธ์ในกายของจวินอวิ๋นจะสูญสิ้น หากแต่สายตายังเฉียบคม เมื่อเห็นท่าไม่ดีเขาก็พุ่งกระโจนเข้าหาลั่วอวี่ที่อยู่ข้างกายทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด

บุตรสาวของเขาเขาจะปล่อยให้พวกมันสังหารเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

กระบี่ยาวพุ่งฝ่าอากาศ รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด จวินอวิ๋นปราศจากพลังยุทธ์ ความเร็วย่อมไม่อาจเทียบกระบี่คมเล่มนั้น เห็นอยู่ว่าลั่วอวี่จะถูกแทงทะลุร่างอยู่แล้ว จวินอวิ๋นนัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยโลหิต แผดเสียงตะโกนลั่น “ไม่”

เคร้ง!

จังหวะเดียวกับที่จวินอวิ๋นแผดเสียงร้อง พลันเกิดเสียงปะทะดังกังวานขึ้นเบื้องหน้าของลั่วอวี่ กระบี่ยาวสีเงินที่พุ่งทะลวงเข้ามาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้

เสียงร้องของจวินอวิ๋นพลันค้างอยู่ในลำคอ

เบื้องหน้า ลั่วอวี่ถือจอกด้วยมือข้างเดียว ปากจอกหันออกด้านนอก ส่วนปลายกระบี่สีเงินเล่มนั้นปักอยู่ในจอกสุรา

กระบี่ยาวที่แม้แต่จวินเฉินยังไม่อาจรับมือได้ กลับถูกจอกสุราของลั่วอวี่สกัดไว้ได้ นี่มัน

จวินอวิ๋นนัยน์ตาเบิกโพลง ปล่อยให้ตนเองเซถลาเข้าใส่ลั่วอวี่อย่างยั้งไม่อยู่

ลั่วอวี่มือหนึ่งถือจอก มือหนึ่งพยุงร่างจวินอวิ๋นไว้ เมื่อประคองร่างบิดาให้ตั้งหลักได้แล้วก็หันมายิ้มให้แล้วว่า “ท่านพ่อ วางใจเถิด ข้าหาใช่คนไม่เอาไหนไม่”

พูดจบร่างของลั่วอวี่พลันพุ่งถลันไปยืนอยู่กลางห้องโถง

“มีฝีมือแค่นี้หมายจะเอาชีวิตข้า ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” จบคำลั่วอวี่ก็สะบัดมือ จอกสุราและกระบี่ที่ติดมาด้วยแตกสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้น

ลั่วอวี่พลันเคลื่อนไหว นิ้วทั้งห้างอดั่งตะขอคม พุ่งเข้าใส่เหล่านักดนตรีจอมปลอม

คนจากจวนกั๋วกงทั้งสองซึ่งปลอมตัวเป็นคณะนักดนตรีคงคาดไม่ถึงว่าหญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่เล่าลือกันว่าไม่มีความสามารถสักอย่างกลับต้านรับกระบี่ของพวกเขาได้ เห็นชัดว่าแตกต่างจากเรื่องราวที่ได้ยินมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงคนของจวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสอง หลังจากตะลึงงันไปครู่หนึ่งก็รีบตะโกนส่งสัญญาณ พากันจู่โจมเข้าใส่ลั่วอวี่

“สังหารมัน เอาชีวิตพี่น้องของเราคืนมา วันนี้เราต้องกำจัดขุนนางกังฉินหลูเฉิงเฟยให้จงได้”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยแววหยามเหยียด

ไม่กล้าสังหารนางซึ่งหน้า ทำทีเป็นมาสังหารเจ้าเมือง ถึงเวลาหากนางมีอันเป็นไปก็อ้างว่าถูกลูกหลง แน่นอนย่อมต้องมีแพะรับบาป นับว่าจวนกั๋วกงทั้งสองคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ

ส่วนขุนนางกังฉินหลูเฉิงเฟยที่ถูกอ้างถึงนั้นมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาพลัน กลัวลนลานจนแทบฉี่รดกางเกง รีบกระเสือกกระสนไปหลบที่ด้านหลังจวินเฉินและจวินอวิ๋น

สังหารเขา?

เขาไม่เคยล่วงเกินผู้ใดเลย!

สถานการณ์พลิกผันฉับพลัน งานเลี้ยงกลับกลายเป็นลานประหาร

ขุนนางน้อยใหญ่ของเมืองร่วมผลที่นั่งอยู่ในงานต่างหวาดผวาจนหน้าซีดเผือด พากันถอยหนีอุตลุด

สายลมพัดผ่านยอดไม้ ในคืนเงียบสงัดกลับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่า

ลั่วอวี่ซึ่งสวมชุดสีฟ้าอ่อนทั้งตัว เท้าหาได้แตะสัมผัสถูกพื้นดิน เงาร่างพลิ้วไหวคล้ายภูตผีปีศาจ ทุกแห่งที่กรายผ่านจะได้ยินเสียงกระดูกหักลั่นขึ้น เงาร่างค่อยๆ ร่วงผล็อยลงทีละร่าง แต่ไม่มีใครเห็นถนัดตาเลยว่าลั่วอวี่ลงมือด้วยวิธีใด

“พี่สามรีบไปช่วยลั่วอวี่” เฟยเยียนซึ่งเวลานี้เพิ่งหวนคืนสติกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรเสียแล้ว

จวินเฉินซึ่งยืนทื่ออยู่กลางห้องโถงได้แต่เฝ้ามองการเข่นฆ่า มุมปากกระตุก ไม่ได้ตอบคำ แต่กลับเผลอยกมือขึ้นลูบลำคอโดยไม่รู้ตัวพลางสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ

ฝีมือเช่นนี้ฝีมือเช่นนี้เมื่อครู่ผู้ที่ลอบเล่นงานพวกเขาต้องเป็นลั่วอวี่แน่นอน เป็นนางที่ตบลั่วเฉิน เป็นนางที่บังคับให้เขาต้องคุกเข่าให้

คิดมาถึงตรงนี้สีหน้าของจวินเฉินก็ซีดเผือดในพริบตา หากลั่วอวี่คิดจะสังหารพวกเขาล่ะก็ เมื่อครู่คง

ความเงียบความเงียบที่ทำให้ผู้คนอึดอัดหายใจไม่ออกสลับกับความลุ้นระทึก

จวินอวิ๋นนิ่งเงียบ จวินเฉินนิ่งเงียบ เฟยเยียนก็นิ่งเงียบ แม้แต่ลั่วเฉินผู้เย่อหยิ่งราวนกยูงยังได้แต่นิ่งเงียบ

นี่หรือเด็กสาวอัปลักษณ์ลั่วอวี่ผู้ไร้พลังยุทธ์

ทันทีที่รวบคอนักดนตรีคนสุดท้ายเอาไว้ได้ ลั่วอวี่ก็ตวัดปลายเท้าขึ้นเตะอย่างไม่ปรานีปราศรัย

เสียงพลั่กดังขึ้นทีหนึ่ง ชายผู้นั้นไม่ทันได้ร้องสักแอะ ลำคอก็หักพับลง

ลั่วอวี่พลิกฝ่ามือทีหนึ่งโยนบุรุษที่ตายคามือนางทิ้งไป จากนั้นเพียงตวัดปลายเท้าลงกับพื้นคราหนึ่ง ธนูยาวสีเงินที่ตกอยู่บนพื้นก็ลอยขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที ครั้นสะกิดปลายเท้าติดต่อกันหลายครั้ง กระบี่ยาวห้าเล่มก็กระดอนขึ้นมาอยู่ในมือ นางพุ่งทะยานขึ้นแล้วม้วนตัวตีลังกากลับหลัง ไปยืนเด่นอยู่เหนือยอดหลังคา ก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงดาบ ง้างธนู ทุกสิ่งจบลงในชั่วอึดใจเดียว

เพียงยินเสียงขวับหนักๆ ครั้งหนึ่ง กระบี่ทั้งห้าก็พุ่งแหวกฟ้ามืดไป

ฉึก ฉึก ฉึก

ท่ามกลางราตรีดำทะมึน มีเสียงอาวุธกระทบกันสองครั้งตามมาด้วยเสียงครางหนักๆ อีกสามครั้ง ดังชัดถนัดหู

หัวคิ้วของลั่วอวี่ขยับเข้าหากัน รอดไปได้สอง! นางทะยานร่างขึ้นหมายจะไล่ตาม

ชาติที่แล้วนางเป็นคนของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ หลักการที่ยึดถือคือจะไม่สังหารเกินขอบเขตเป็นอันขาด แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมปล่อยผู้ปองร้ายนางและคนในครอบครัวของนางไป

ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งเชียะ ข้าเคารพคืนหนึ่งจั้ง หากใครล่วงเกินข้า แม้นต้องตามไล่ล่าพันลี้ ก็ต้องปลิดชีพมันให้ได้

สำหรับศัตรูแล้ว ลั่วอวี่ไม่เคยยั้งมือไว้ไมตรี

ทว่านางยังไม่ทันออกไล่ตามไปกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น ร่างชะงักค้างฉับพลัน นางหมุนตัวกลับช้าๆ หันหน้าเข้าหาความมืดด้านหลัง

คันธนูในมือหมุนเบน น้าวขึ้น เล็งไปยังความดำมืด

“หึๆ พวกเรามิใช่ศัตรู”

จังหวะเดียวกับที่ลั่วอวี่น้าวคันธนูขึ้นเล็ง น้ำเสียงที่ยากจะปิดบังความประหลาดใจก็ดังขึ้นมาตามหลังเสียงหัวเราะ จากนั้นคนหลายคนก็ก้าวออกมาจากความมืด

คนทั้งห้าท่าทางอิดโรยอ่อนล้า ดูเหมือนจะเร่งเดินทางรอนแรมมาทั้งวันทั้งคืน

“พี่รอง”

“พี่รอง”

เมื่อบุรุษวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าปรากฏตัวขึ้น จวินเฉินและจวินอวิ๋นต่างร้องเรียกด้วยความประหลาดใจ

ป๋อเจวี๋ยจวินลู่แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราว แม้ดูไม่องอาจห้าวหาญเท่าจวินเฉิน ทว่าก็มีความสุขุมลุ่มลึกของปัญญาชนอยู่ในที เขาหัวเราะพลางขานรับคำทักทาย จากนั้นก็หันไปมองลั่วอวี่ที่ยืนเด่นอยู่บนหลังคา คันธนูในมือยังคงเล็งมาทางพวกเขา เขาจึงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “เก็บอาวุธเสียเถิด ข้าบอกแล้ว พวกเราหาใช่ศัตรู”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็กวาดตามองพวกเขาคราหนึ่งแล้วลดธนูในมือลงช้าๆ

“อวี่เอ๋อร์ มา ท่านนี้คือท่านลุงรองของเจ้า” จวินอวิ๋นรู้สึกยินดียิ่งนัก แววตาที่มองลั่วอวี่แม้จะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่กลับสว่างไสวดุจดวงตะวัน เวลานี้เขาพยายามกดข่มความลิงโลด หันมากล่าวกับลั่วอวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ลั่วอวี่เห็นใบหน้าของบิดาที่กำลังข่มกลั้นความตื่นเต้นดีใจจึงค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีเหี้ยมเกรียมดุดันลง ดวงหน้าปรากฏรอยยิ้มบางเบา นางทิ้งร่างลงจากหลังคามายืนอยู่ตรงหน้าจวินอวิ๋น แล้วเอ่ยทักทายเสียงราบเรียบ “ท่านลุงรอง”

จวินลู่มองประเมินลั่วอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วว่า “หากรู้แต่แรก พวกเราคงไม่ต้องรีบร้อนเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาคุ้มครองเจ้า ใครเลยจะคาดคิดว่าลั่วอวี่ที่เล่าลือกันว่าเป็นคนไม่เอาไหนที่สุดในจวนกั๋วกงม่วงพราว บัดนี้กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเรามีตาหามีแววไม่”

พูดจบจวินลู่ก็ลูบเคราครึ้มที่อยู่ใต้คาง หัวเราะด้วยความพึงพอใจ

ด้านหลังจวินลู่มีผู้ติดตามหลายคนล้วนมีอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ได้ยินว่าเป็นกลุ่มผู้อาวุโส ทุกคนพลอยหัวเราะตามจวินลู่ไปด้วย

แม้วิชาต่อสู้จะพิลึกพิสดาร แต่ทรงอานุภาพก็เพียงพอแล้ว

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายไม่ยินดียินร้าย

ผู้แข็งแกร่งจึงจะอยู่รอด เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาแต่โบราณ ผู้เข้มแข็งย่อมอยู่เหนือคนทั้งปวง ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อเสมอ นี่คือวิถีแห่งการอยู่รอดที่มีมาช้านาน ไม่มีสิ่งใดต้องตัดพ้อ และไม่มีสิ่งใดต้องขุ่นเคือง ก็แค่ญาติแปลกหน้าไม่กี่คนเท่านั้น

ถึงตอนนี้เจ้าเมืองร่วมผลและคนอื่นๆ ที่ขวัญกระเจิง ในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมา แต่ละคนตีหน้ายิ้มแย้มกรูเข้ามากล่าววาจายกยอปอปั้นจนเลยเถิด แทบจะเปรียบลั่วอวี่เป็นเทพจุติลงมา ท่าทางประจบสอพลอของคนเหล่านั้นทำให้ลั่วอวี่เห็นแล้วขนลุกชันขึ้นมาทันที

“อวี่เอ๋อร์” เฟยเยียนเข้ามาโอบเอวลั่วอวี่ ตื่นเต้นเสียจนหน้าแดง

“ไว้ข้าจะอธิบายให้ท่านแม่ฟังทีหลัง” ลั่วอวี่ขยิบตา ส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดา

เฟยเยียนพยักหน้าแล้วกอดลั่วอวี่ไว้ ไม่ได้ซักไซ้อันใดอีก

ฝูงชนในห้องโถงต่างยินดีปรีดา มีเพียงลั่วอวี่ที่มีสีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไร จวินลู่เป็นผู้มีสายตาเฉียบคมเหนือคนทั่วไป เขามองลั่วอวี่ยิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “อดีตเป็นเพราะพวกลุงเลอะเลือน ละเลยเจ้าไป ลุงรองต้องขออภัยแทนทุกคนด้วย แต่อุปสรรคสร้างยอดคน นับเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง เจ้าอย่าโกรธเคืองจวนกั๋วกงไปเลย ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นบ้านของเจ้ากับพ่อแม่ มีลูกหลานที่ไหนโกรธเคืองครอบครัวตนเองกัน”

ลั่วอวี่ได้ยินลุงรองกล่าวเช่นนี้ก็อดยกนิ้วให้ไม่ได้

มธุรสวาจาโดยแท้ กล่าวได้ครอบคลุมรอบคอบ มีเหตุมีผล ออกตัวขอโทษก่อน เมื่อเปรียบกับความแข็งกร้าวตรงไปตรงมาของบิดานับว่ามีชั้นเชิงเหนือกว่ามาก หากนางไม่ยอมรับ กลับจะถูกมองว่าเป็นคนใจคอคับแคบ

ทว่านางคือลั่วอวี่ หาใช่ผู้อื่น

“ข้าเป็นคนใจแคบ”

ลั่วอวี่เลิกคิ้วคลี่ยิ้มน้อยๆ มองจวินลู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดเพียงประโยคเดียวของนางปิดกั้นจวินลู่จนเขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี

ขณะที่บรรยากาศเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จู่ๆ จวินอวิ๋นผู้เคยบังคับบัญชาหน่วยองครักษ์ก็โพล่งขึ้นมา “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

แม้จะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโฉดเขลา เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าเมืองเล็กๆ ผู้นี้

จวินลู่ได้ยินแล้วหันไปพูดกับจวินอวิ๋นด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแต่ข้าผู้เป็นพี่ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องห้าและน้องสะใภ้ก่อน ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้ลั่วอวี่เข้าเมืองหลวง ทรงเตรียมการให้ลั่วอวี่และองค์ชายสามได้ทำความรู้จักสนิทสนมกัน เพื่อที่อีกหนึ่งปีให้หลังเมื่อองค์ชายสามเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสแต่งตั้งพระชายาได้ทันที”

ทันทีที่พูดจบ นัยน์ตาของจวินอวิ๋นก็เปล่งประกายเจิดจ้า

เฟยเยียนดวงตาเบิกกว้างคล้ายไม่อยากจะเชื่อ

แม้ปกตินางจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับลั่วอวี่ไม่ได้หยุดหย่อน แต่นางนึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ลั่วอวี่ของนางจริงๆ

ส่วนเจ้าเมืองร่วมผลและเหล่าขุนนางที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว หลังจากเพิ่งสรรเสริญเยินยอเรื่องวรยุทธ์ของลั่วอวี่จบไป เวลานี้ยิ่งตื่นตะลึงกับข่าวนี้เข้าไปใหญ่

พระชายาองค์ชายสาม! สวรรค์ หญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะกลายเป็นพระชายาในองค์ชายสาม

สวรรค์! วันนี้มีแต่เรื่องน่าตกใจทั้งนั้น! อีกาจะกลายเป็นหงส์! อีกาจะกลายเป็นหงส์แล้ว!

แต่ละคนพลันแห่แหนกันเข้าไปประจบประแจงเลียแข้งเลียขาลั่วอวี่ จวินอวิ๋นและเฟยเยียนกันไว้สุดชีวิต โชคดีที่ปกติไม่ได้ล่วงเกินพวกเขาสักเท่าใด หาไม่วันนี้คงต้องเอาหัวชนเต้าหู้ตายไปเสีย

ครู่เดียวในห้องโถงใหญ่ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น

“อวี่เอ๋อร์ แม่พูดไว้ไม่ผิดสินะ เจ้ายังไม่ยอมเชื่อแม่อีก ดูสิ”

“พูดกันจบแล้วใช่หรือไม่”

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอที่ดังอึงคะนึงจนหลังคาแทบเปิด ลั่วอวี่กวาดมองคนทุกผู้ที่อยู่รอบกายด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม แววตาหาได้เชือดเฉือน ทว่าคนที่ถูกลั่วอวี่จับจ้องกลับตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ พากันหัวเราะหึๆ แล้วหุบปาก บอกติดๆ กันว่า “พูดจบแล้วพูดจบแล้ว”

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ผงกศีรษะ สายตามองไปยังจวินลู่ที่ยังคงยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อพูดกันจบแล้ว เช่นนั้นขอข้าพูดสักคำ องค์ชายสามผู้มีรูปโฉมงามกว่าอิสตรีผู้นั้น”

พอได้ยินลั่วอวี่เอ่ยออกมาเช่นนี้ จวินลู่พลันหัวเราะร่า “องค์ชายสามเป็นบุรุษรูปงามก็จริง แต่จะนำมาพูดรวมกับอิสตรีได้อย่างไร”

ลั่วอวี่พยักหน้า “ไม่นำมาพูดรวมกันก็ไม่นำมาพูดรวมกัน ไม่เป็นไร ช่วยขอบพระทัยฝ่าบาทแทนข้าที เป็นพระกรุณายิ่งนักที่ฝ่าบาทยังทรงจดจำสัญญาหมั้นหมายในครั้งนั้นได้ ทว่าเรื่องเป็นพระชายาองค์ชาย ข้าหาได้ฝักใฝ่ ยิ่งไม่สนใจจะแต่งงานกับองค์ชายสามผู้นั้น ใต้หล้ามีสตรีมากมาย สุดแท้แต่เขาจะเลือกสรร เพียงแต่อย่าลากข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นพอ”

จบคำลั่วอวี่ก็ยื่นมือไปจับจูงบิดาและมารดาผู้กำลังตะลึงงันไปกับวาจาของนาง แล้วกล่าวกับจวินลู่ผู้งงงันไม่แพ้กันอีกครา “ข้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่สนใจจะเข้าไปพัวพันกับการชิงดีชิงเด่นในสกุล ทั้งยังไม่ฝักใฝ่จะเป็นใหญ่ในฝ่ายใน ในเมื่อเราเป็นบุคคลที่ถูกทอดทิ้ง เช่นนั้นก็โปรดอย่าได้แยแสเราอีกเลย ข้าไม่ได้ปรารถนาให้ท่านรับเรากลับเข้าสกุล เช่นเดียวกันท่านก็อย่าได้กีดขวางหนทางก้าวหน้าของข้า” จวินลู่เริ่มคิ้วขมวดขึ้นมาบ้าง นางจึงกล่าวต่อไปอีกว่า “หากพวกท่านชื่นชอบที่นี่ก็ยกให้พวกท่านพักอาศัย วันหน้าค่อยพบกันใหม่” สิ้นคำ มือที่เกาะกุมบุพการีไว้พลันกระชับแน่น นางใช้วิชาตัวเบาพาคนทั้งสองพุ่งทะยานออกจากคฤหาสน์ไป แม้น้ำเสียงของนางจะนุ่มนวล ทว่าเฉียบขาดเปี่ยมพลังอำนาจ ไม่เหลือหนทางให้ต่อรอง

เมื่อเห็นลั่วอวี่ จวินอวิ๋น และเฟยเยียนกำลังจะหายออกนอกประตูไป จวินลู่และผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังหลายคนต่างพุ่งทะยานคิดจะไล่ตาม “มีอะไรปรึกษากันได้ พวกเรา”

พริบตาที่พวกเขากำลังจะพุ่งออกนอกประตูไป จู่ๆ ก็มีพลังยุทธ์อันกล้าแข็งขุมหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก กั้นขวางหน้าประตูไว้ราวกับแหจับปลา จวินลู่และคนอื่นๆ จำต้องหยุดชะงัก กว่าจะช่วยกันทำลายตาข่ายพลังยุทธ์ลงได้สำเร็จ บนท้องถนนยามค่ำคืนก็ไม่เหลือร่องรอยของผู้คนให้เห็นแล้ว

อย่าว่าแต่พวกลั่วอวี่สามคนเลย แม้แต่ผู้คนที่ผ่านมาในยามวิกาล พวกเขาก็ไม่เห็นสักคน

จวินลู่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม

“เห็นทีพวกเราคงพลาดอะไรไปมากทีเดียว”

ความมืดมิดแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ค่ำคืนนี้ลมพัดกระโชกแรง

 บทที่ 3

วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสาง ข่าวหนึ่งก็เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ เริ่มแพร่สะพัดออกไปดุจไฟลามทุ่ง

หญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ปฏิเสธการเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม ติว่าองค์ชายสามมีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าอิสตรี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีรูปลักษณ์เหมือนสตรีเพศ ดังนั้นจึงประกาศถอนหมั้น ทั้งพาบิดามารดาออกจากบ้านเพื่อยืนยันความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ข่าวนี้แพร่สะพัดว่องไวสะท้านฟ้าไปทั่วแผ่นดิน หากเทียบกันแล้ว เรื่องที่ลั่วอวี่มีวรยุทธ์กลับถูกข่าวนี้กลบจนมิด

องค์ชายสามคือผู้ใดรู้หรือไม่

พระโอรสองค์ที่สามอันเกิดแต่พระมเหสีของพระราชาองค์ปัจจุบัน กล่าวกันว่ารูปร่างหล่อเหลาสง่างาม ไม่เป็นสองรองใคร อีกทั้งแม้อายุยังน้อยกลับมีพลังยุทธ์ก้าวข้ามระดับสีเขียวเข้าสู่พลังยุทธ์สีน้ำเงินซึ่งถือเป็นพลังยุทธ์ขั้นสูงในบรรดาพลังยุทธ์เจ็ดสี นับเป็นยอดอัจฉริยะผู้หาตัวจับยาก

แต่วันนี้องค์ชายผู้งามสง่ากลับถูกถอนหมั้นเสียแล้ว ทั้งยังถูกหญิงอัปลักษณ์ถอนหมั้นอีกด้วย

ยังมีข่าวใดน่าตื่นตะลึงไปกว่าข่าวนี้อีกเล่า

ทุกแห่งที่ข่าวแพร่สะพัดไปถึงเป็นต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารในวงน้ำชาตามหัวถนนท้ายตรอกไปทันที อีกทั้งยิ่งแพร่ออกไปก็ยิ่งถูกใส่สีตีไข่

ยามนี้ลั่วอวี่ซึ่งอยู่ในหอลับกลับสำราญอารมณ์เป็นที่สุด นางยกถ้วยชาหอมกรุ่นขึ้นละเลียดลิ้มรสจิบแล้วจิบเล่า

ฝั่งตรงข้ามของนางคือจวินอวิ๋นและเฟยเยียนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“อาจารย์เจ้าเป็นคนสอน เหตุใดข้าจึงไม่รู้” จวินอวิ๋นมองบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า

อาจารย์? นางมีอาจารย์คอยชี้แนะเสียที่ไหน ที่บอกไปเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยบางประการที่ยากจะอธิบายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงอุปโลกน์อาจารย์ขึ้นมาลอยๆ

“อาจารย์ไม่ชอบพบปะผู้คน” ลั่วอวี่คลี่ยิ้ม

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วหันไปสบตากับเฟยเยียนวูบหนึ่ง

แผ่นดินลืมธารากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ จะมีจอมยุทธ์ผู้ลึกลับไม่ปรารถนาจะเปิดเผยตัวถือเป็นเรื่องปกติยิ่ง นึกไม่ถึงว่าโชคดีเช่นนี้จะมาตกอยู่กับลั่วอวี่ของพวกเขาได้ ดียิ่งนักดียิ่งนัก

จวินอวิ๋นไม่ซักไซ้เรื่องวรยุทธ์ของลั่วอวี่อีก เป็นวิชายุทธ์ที่แตกต่างจากแผ่นดินลืมธาราอย่างเห็นได้ชัด

ผู้เยี่ยมยุทธ์ย่อมมีความคิดอ่านและเคล็ดวิชาสุดยอดของผู้เยี่ยมยุทธ์เสมอ ไม่มีพลังยุทธ์ก็ไม่เป็นไร สามารถคว้าชัยได้ก็พอ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงปฏิบัติต่ออาจารย์ของเจ้าให้ดี”

จวินอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาทอดถอนใจออกมาเบาๆ มองลั่วอวี่ที่ยิ้มกริ่มก่อนกล่าวว่า “ส่วนเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับองค์ชายสาม เจ้าก็”

พูดยังไม่ทันจบ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของลั่วอวี่ที่บ่งชัดว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จวินอวิ๋นก็พูดอะไรไม่ออกอีก

ผ่านไปครู่หนึ่งจวินอวิ๋นจึงถอนหายใจอีกคราแล้วว่า “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด เจ้าพอใจก็พอ ครั้งนั้นองค์ชายสามเพียงแกล้งเจ้าตามประสาเด็ก ต้องจำฝังใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ได้ยินที่บิดาบ่น ลั่วอวี่จะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง นางได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า “ใช่ ข้าจำฝังใจ”

ผู้ใดแยแสตำแหน่งพระชายาอ๋องกัน!

จวินอวิ๋นและเฟยเยียนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่มองสบตากันแล้วคลี่ยิ้มอย่างอับจนปัญญาออกมาพร้อมกัน

“แล้วลั่วหลีน้องชายเจ้าเล่า เจ้า”

“ท่านพ่อโปรดวางใจ ในเมื่อเราตัดขาดกับจวนกั๋วกง ข้าย่อมไม่ให้น้องต้องตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูเป็นแน่ สหายของข้าได้ส่งคนไปรับน้องที่บ้านท่านยายก่อนแล้ว” ลั่วอวี่ชี้ไปทางจวินเฟย

จวินอวิ๋นมองลั่วอวี่แวบหนึ่ง แล้วจึงเบนสายตาไปทางจวินเฟยซึ่งยืนเงียบไม่พูดจาอยู่ที่ด้านข้างมาโดยตลอด รังสีเข่นฆ่าและความลึกลับจากกายของจวินเฟย ผู้อื่นอาจมองไม่ออก แต่มีหรือที่จวินอวิ๋นจะไม่รู้

คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!

ดูเหมือนบิดามารดาเช่นพวกเขาคงพลาดอะไรไปไม่น้อย บุตรสาวของพวกเขาเริ่มยืนผงาดค้ำฟ้าโดยที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิด

เมื่อเห็นบิดามารดาไม่มีข้อคัดค้าน ลั่วอวี่จึงกล่าวขึ้นระหว่างประคองถ้วยชาในมือ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ต่อไปพวกท่านก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ เรื่องความปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่นอน อีกไม่กี่วันข้าจะไม่อยู่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงจะไปหาของบางอย่างเท่านั้น”

เรื่องพิษที่คอยรุมเร้านางมาสิบกว่าปีและยังมีเรื่องคนที่วางยาพิษนางอีก เหล่านี้เป็นเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงใจนาง ทว่าเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่ยังคั่งค้างอยู่ก็คือบิดาของนางก็มีพิษชนิดนี้อยู่ในกายเช่นกัน เพียงแต่มีปริมาณน้อยมาก น้อยกระทั่งไม่เคยรู้สึก หากแต่มันกลับกัดกร่อนร่างกายของเขาอย่างเชื่องช้าซึ่งนางได้รู้เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ

หลายปีมานี้นางค้นคว้าข้อมูลมากมาย แต่กลับไม่พบว่าเป็นยาพิษชนิดใด

ใช้พิษร้ายแรงที่ไม่มีผู้ใดในแคว้นไร้ปีกรู้จักมาเล่นงานครอบครัวของนาง ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีเจตนาสังหารให้สิ้นซาก เนื่องจากเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้า

ท่านพ่อท่านแม่ของนางไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากันแน่ ลั่วอวี่อยากถามยิ่งนัก ทว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือนางมีพลังวัตรสามารถขับพิษเองได้ แต่บิดาของนางไม่มี

บัดนี้พลังฝีมือของนางก้าวรุดหน้าไปมาก ถึงเวลาสมควรช่วยถอนพิษให้บิดาได้แล้ว

ทางเหนือของเมืองร่วมผลมีภูเขาลูกหนึ่งชื่อภูเขาผู้วิเศษ นางเคยไปสำรวจมาแล้ว ที่นั่นมีพืชสมุนไพรมากมาย เพียงแต่ครั้งนั้นนางยังไม่สำเร็จวิชา ไม่อาจปีนขึ้นสู่ยอดผา หากแต่ครานี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

แม้แคว้นไร้ปีกจะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพิษชนิดนี้อยู่เลย แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะถอนพิษไม่ได้ ผู้ฝึกวรยุทธ์โบราณนอกจากศึกษาศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังศึกษาเรื่องสมุนไพรและการฝังเข็มไปพร้อมกันด้วย

ได้ยินลั่วอวี่กล่าวเช่นนั้น จวินอวิ๋นก็พยักหน้า ฝ่ายเฟยเยียนกำชับกำชาบุตรสาวไม่กี่คำก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ

บุตรสาวคนนี้ของพวกเขายืนหยัดด้วยตนเองมาโดยตลอด นางทำอะไรละเอียดรอบคอบ พวกเขาไม่มีอะไรต้องห่วงกังวล ส่วนเรื่องจวนกั๋วกงม่วงพราว สถานที่แห่งนั้นเปรียบเสมือนสายน้ำลึกล้ำยิ่ง หลายปีมานี้แม้ถูกขับไล่ออกมา แต่พวกเขาก็มีชีวิตที่สุขสบายใจอย่างที่หาไม่ได้จากจวนกั๋วกง พวกเขาอยู่ที่นี่ย่อมประเสริฐกว่าอยู่ในสถานที่ซึ่งมีแต่การแย่งชิงชื่อเสียงผลประโยชน์แห่งนั้นมากมายนัก

ตัดขาดก็ตัดขาด

ครั้นแล้วจวินอวิ๋นและเฟยเยียนก็ตัดสินใจพำนักอยู่ภายใต้อิทธิพลของหอลับ

ลั่วอวี่อยู่เป็นเพื่อนบิดามารดาสองวัน วันที่สามนางก็มุ่งหน้าขึ้นเขาผู้วิเศษ

ปุยเมฆขาวสะอาด สายลมโชยพลิ้ว อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

ลั่วอวี่ย่างเท้าเข้ามาสู่ภูเขาผู้วิเศษ นางไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใด แต่หารู้ไม่ว่า ‘พายุหมุน’ ที่มีนางเป็นจุดศูนย์กลางกำลังพัดม้วนเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว

วิหคสื่อสารหลากสีบินขวักไขว่ ข่าวสารปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า

 

สิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวงสร้างจากศิลาอันเก่าแก่เรียบง่าย ดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่ สงบร่มเย็นงามสง่า เยียบเย็นและทรงอำนาจ กลิ่นอายเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใน

หลังคาบ้านเรือนทรงโค้งและทรงจั่วเปล่งประกายหลากสีสันลานตาท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ร้านรวงแน่นขนัด ดูคึกคักยิ่ง

หอสุราห้วงทำนองเป็นหนึ่งในหอสุราชั้นยอดแห่งเมืองหลวง

“นี่ เจ้าได้ยินข่าวบ้างหรือไม่ หญิงอัปลักษณ์ไม่เอาไหนแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสามแล้วพากันย้ายหนีไปทั้งบ้าน”

“ใครบ้างจะไม่รู้ เขาลือกันไปทั้งแผ่นดิน”

“หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่กลับกล้าปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสาม นางคิดอย่างไรกัน ได้บินขึ้นยอดไม้เป็นพญาหงส์กลับไม่ต้องการ”

“เจ้าจะไปรู้อะไร! ข้าได้ยินว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นบอกว่าองค์ชายสามหน้าตาละม้ายอิสตรีเกินไป นางไม่ชมชอบ ถึงได้ปฏิเสธการแต่งงาน ฮ่าๆ”

“จริงหรือ”

“ก็จริงน่ะสิ”

ภายในหอสุรามีแขกเหรื่อนั่งอยู่เต็มไปหมด หัวข้อสนทนาล้วนวนเวียนอยู่กับข่าวสะท้านแผ่นดินที่วิหคสื่อสารส่งมา

เมื่อเปรียบกับเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานที่ด้านนอกแล้ว ภายในห้องรับรองโอ่อ่าของหอสุราแห่งนี้ คนผู้หนึ่งกำลังมีสีหน้าเขียวคล้ำ กำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบ ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างกายก็กำลังอุดปาก พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

“ข้ายังได้ยินมาว่าหญิงอัปลักษณ์นางนี้ปฏิเสธการแต่งงานเพราะองค์ชายสามไม่มีน้ำยา!”

“หา! เรื่องจริงหรือโกหก! จงว่ามาเร็วเข้า”

“สตรีผู้หนึ่งไม่ยอมแต่งงานกับบุรุษ ถ้าไม่เพราะไร้น้ำยายังจะมีเรื่องใดอีกเล่า”

“จริงด้วย ที่บอกว่ารูปโฉมงดงามกว่าสตรี คำพูดนี้มิใช่เป็นการบอกทางอ้อมว่าองค์ชายไม่มีน้ำยาหรอกหรือ ฮ่าๆ”

“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน”

พริบตาเดียวเสียงหัวเราะก็ดังครืนไปทั้งร้าน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครง ภายในห้องรับรองหรูหราห้องนั้นก็บังเกิดเสียงปังกึกก้องจนหูแทบดับ โต๊ะไม้จันทน์หลังบานประตูถูกพลังฝ่ามือฟาดใส่จนแหลกเป็นผุยผง ประตูห้องพลอยแตกกระจาย เศษไม้กระเด็นไปทั่วบริเวณ

“เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม อย่าเพิ่งวู่วาม”

บุรุษชุดขาวที่อยู่ในห้อง ทางหนึ่งพยายามกลั้นหัวเราะ ทางหนึ่งก็ฉุดรั้งตัวบุรุษที่มีสีหน้าเดือดดาล แผ่รังสีอำมหิตออกมาทั่วร่างเอาไว้

คำพูดจากปากคนคนหนึ่ง เล่าลือกันปากต่อปาก จากเมืองร่วมผลมาถึงที่นี่ ข้อความเดิมจึงถูกถ่ายทอดจนผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง จะไปเชื่อได้อย่างไร

บุรุษชุดม่วงที่อยู่อีกด้านช่วยโอบรั้งบุรุษที่กำลังโมโหคลุ้มคลั่งอีกแรง พูดพลางหัวเราะไปพลาง “แค่ข่าวโคมลอย เชื่อได้เสียที่ไหน พวกเรารู้ว่าเจ้ามีน้ำยาก็พอแล้ว เจ้าโอ๊ย!”

สิ่งที่โต้ตอบกลับมาคือหลังมือของบุรุษซึ่งอารมณ์เดือดพล่าน เหวี่ยงเข้าใส่ปลายจมูกอย่างจัง เลือดกำเดาไหลพรวดทันที บุรุษผู้นั้นรีบเอามืออุดจมูกกระโดดหนี

พอเขากระโดดหนี บุรุษชุดขาวไหนเลยจะสามารถฉุดรั้งราชสีห์ที่กำลังบ้าคลั่งไว้ได้ คนผู้นั้นสลัดหลุดจากการเกาะกุมไปทันที

โครม! เตะผางในคราเดียว ประตูห้องที่เดิมแตกวิ่นจนเหลือเพียงเศษซากรุ่งริ่งอยู่เล็กน้อย บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรแล้ว

แขนเสื้อสีเหลืองทองสะบัดคราหนึ่ง บุรุษผู้มีสีหน้าเดือดดาลก้าวพรวดออกมายืนตระหง่านอยู่ตรงหัวบันไดของหอสุราอย่างเย็นชา กวาดตามองฝูงชนที่สับสนอลหม่านอยู่เบื้องล่าง

กลุ่มคนที่ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งอยู่ข้างล่างต่างได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาทจากด้านบนแต่แรกแล้ว เวลานี้จึงพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปสลอน

เพียงเห็นที่หัวบันไดด้านบนมีคนผู้หนึ่งเรือนผมดำยาวรวบสูง นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นมีเปลวเพลิงฝากแฝงอยู่ภายใน ขณะที่กำลังกวาดตามองมายังฝูงชนอยู่นี้ ประกายไฟในดวงตาดูจะร้อนแผดเผามากขึ้น เวลานี้บุรุษรูปงามจนน่าตื่นตะลึงผู้นี้เกิดเพลิงโทสะกรุ่นในตัวและกำลังพุ่งสูงเสียดฟ้า

“ผู้ใดกัน ท่าทาง”

“ชู่ว”

“องค์ชายสาม แย่แล้ว”

“สวรรค์ เป็นองค์ชายสาม เมื่อครู่พวกเรา”

พริบตานั้นหอสุราที่เมื่อครู่ก่อนยังมีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานพลันเงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนในที่นั้นพากันก้มหน้าก้มตา ใบหน้ามีแต่ความหวาดผวาและกระอักกระอ่วน

เวลานี้องค์ชายสามควรจะอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้

องค์ชายสามกวาดสายตาเย็นชาไปยังฝูงชน เขาก้าวลงจากบันไดทีละก้าวๆ แขกที่อยู่ใกล้คล้ายได้ยินเสียงองค์ชายสามกัดฟันกรอด สัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงร้อนแรงจากสายตาที่มองมา ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“ฮึ”

เมื่อลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนก็แค่นเสียงหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ตวัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

ที่ด้านหลัง สหายทั้งสองซึ่งเฝ้ามององค์ชายสามผู้พยายามข่มกลั้นโทสะแล้วเดินจากไป ทางหนึ่งก็ป้องปากหัวเราะหึๆ อีกทางก็แสร้งวางมาดขรึม กระแอมกระไอสองทีแล้วเอ่ยช้าๆ “ไม่มีข่าวลือในหมู่ปัญญาชน หากเจตนาใส่ร้ายผู้อื่นให้เสื่อมเสีย เช่นนั้นคุกหลวงก็ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกเมื่อ”

กล่าวจบคนทั้งสองก็พากันยืดอกเชิดหน้า เดินตามองค์ชายสามออกไปด้วยสีหน้าคล้ายมีความโกรธโมโหทาทาบอยู่จางๆ ทว่าหลังออกจากหอสุรามาได้ไม่ไกลก็พากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

ส่วนแขกเหรื่อที่อยู่ในหอสุรา แม้องค์ชายสามจะจากไปนานโขแล้วก็ยังคงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดช

บารมีที่เหลือยังสามารถสยบผู้คน!

 

แสงอาทิตย์เปล่งประกาย อาบไล้สิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงาม ดูเจิดจรัสตระการตา

ปัง!

องครักษ์เฝ้าประตูจวนกั๋วกงม่วงพราวได้แต่ยืนทำตาปริบๆ มององค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนถีบประตูไม้จันทน์บุกเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนโดยไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปขวาง

“เรียกจวินโย่วเทียนออกมาพบข้า” เสียงตวาดดังกึกก้องทะลุผ่านตัวอาคารแต่ละชั้นของจวนกั๋วกงม่วงพราว ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงขอบฟ้า

พริบตาถัดมากั๋วกงคนปัจจุบันจวินโย่วเทียนพร้อมด้วยบุตรชายหลายคนก็พากันออกมา

“องค์ชายสาม ท่าน” จวินโย่วเทียนผมขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่รูปร่างกลับกำยำล่ำสันยิ่ง รีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

องค์ชายสามหน้าดำคร่ำเครียด กดข่มอารมณ์โกรธ น้ำเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “อย่ามาทำเป็นตีหน้าซื่อ จวินโย่วเทียน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เคยได้ยินข่าวลือที่ชาวบ้านกำลังโจษจัน”

“องค์ชายสาม นั่นเป็นเพียงข่าวโคมลอยเรื่องนี้”

องค์ชายสามยกมือห้าม ตัดบทจวินโย่วเทียนทันที เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวเสียงหนัก “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเจ้าแก้ตัว ข้าเพียงจะบอกเจ้าว่าไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใด ต้องนำตัวหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นมาที่เมืองหลวงให้จงได้ ถอนหมั้นหรือ อย่าหวังไปหน่อยเลย! ได้ยินหรือไม่”

เสียงตวาดดังขึ้นด้วยความเดือดดาลสุดขีด เห็นชัดว่าเวลานี้เพลิงโทสะขององค์ชายสามลุกโชนเพียงใด

หญิงอัปลักษณ์ที่ยัดเยียดให้ผู้ใดก็ไม่ต้องการ ถึงกับกล้าประกาศถอนหมั้น กล้าบอกว่าเขาคล้ายอิสตรี กล้าหาว่าเขาไม่มีน้ำยา

น่าตายนัก หากเขาทนต่อคำครหานี้ได้ คงไม่มีสิ่งใดที่ทนไม่ได้อีกแล้ว

เดิมเขาไม่ต้องการหญิงอัปลักษณ์นางนี้เป็นชายา แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว

เขาต้องเอาตัวนางมาให้จงได้ เขาจะทุบกดบดขยี้แล้วกระทืบซ้ำแรงๆ อีกสักหลายทีเพื่อระบายโทสะที่คุโชนอยู่ในใจ

เมื่อได้ยินคำสั่งขององค์ชายสาม จวินโย่วเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค้อมศีรษะรับคำ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

ได้ยินจวินโย่วเทียนรับคำ องค์ชายสามก็แค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง ก่อนยกเท้าถีบโต๊ะหยกเบื้องหน้าจนล้มคว่ำแล้วค่อยสะบัดแขนเสื้อจากไป

จวินโย่วเทียนมององค์ชายสามที่จากไปด้วยความโมโห เขาเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ โดยไม่ได้หันหน้ากลับมา “ได้ยินที่องค์ชายสามรับสั่งแล้วใช่หรือไม่”

“ได้ยินแล้วขอรับ” บุตรชายคนโตผู้กุมอำนาจในจวนและบุตรชายคนที่สี่รับคำพร้อมกัน

“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพอใจ”

“ขอรับ”

สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านม่านหน้าต่างม้วนตลบ ดอกท้อนอกห้องโถงกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง สายลมบางเบาพัดโชยผ่านมา กลีบดอกไม้บางเบาปลิดปลิวร่วงพรู นับเป็นฤดูกาลอันงดงามยากจะหาใดเปรียบ

 

ภูเขาผู้วิเศษ เมืองร่วมผล

ลั่วอวี่ผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ กับข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปเพราะตนเองเป็นสาเหตุกำลังสะพายหลัว เก็บสมุนไพรต่างๆ อยู่ตามหน้าผาสูงชัน

หลายวันมานี้นางข้ามภูเขาหลายลูกติดต่อกัน ได้สมุนไพรดีมาไม่น้อย

ลั่วอวี่เหลียวมองดูหลัวที่มีสมุนไพรอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นตัวยาที่ต้องใช้ในการรักษาบิดาค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น นางก็รู้สึกยินดียิ่งนัก

เที่ยงตรง แสงแดดฤดูใบไม้ผลิสาดลอดผ่านยอดไม้ ลั่วอวี่นั่งอยู่บนลานว่างเปล่า กำลังย่างกระต่ายป่าตัวหนึ่งด้วยท่าทางชำนิชำนาญ

น้ำมันสีเหลืองทองค่อยๆ หยาดหยดลงบนกองไฟ เสียงดังฉี่ๆ กลิ่นหอมตลบอบอวลทั่วบริเวณ

นึกถึงตอนนั้น อาจารย์พานางออกมาฝึกวิชาก็จะจับกระต่ายป่า นกต่างๆ ตามป่าเขาเช่นนี้มาย่างกินเป็นอาหารเสมอ ฝีมือการย่างเนื้อของนางนับว่าเป็นเลิศ

จ๊อกๆ

ขณะที่ลั่วอวี่กำลังจมจ่อมอยู่กับเรื่องราวในอดีต จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

ลั่วอวี่ตื่นจากภวังค์ อดขำไม่ได้ นางไม่ได้หิวมากถึงเพียงนั้น เหตุใดท้องจึงร้องขึ้นมาได้!

จ๊อกๆ

ขณะที่นางกำลังหัวเราะอยู่นั้น เสียงท้องร้องกลับดังขึ้นมาอีก ซ้ำยังได้ยินชัดถนัดหูกว่าครั้งก่อน

ลั่วอวี่ชะงักอึ้ง นี่มิใช่เสียงที่เกิดจากตัวนาง จังหวะนั้นสองตาพลันเหลือบขึ้น จับจ้องไปตามที่มาของเสียง

ห่างจากหน้ากองไฟไปไม่ไกล สิ่งมีชีวิตเล็กๆ สีเงินยวงตัวหนึ่งกำลังเบิกดวงตากลมโปน จ้องมาที่นางตาไม่กะพริบไม่สิ จ้องกระต่ายป่าของนางต่างหาก

มุมปากเปียกชุ่ม หยดหยาดใสวาวกำลังไหลย้อยมาตามมุมปากของมันแล้วค่อยๆ หยดติ๋งลงมา

นั่นมันน้ำลาย

ลั่วอวี่หัวเราะออกมาทันที คลายอาการระแวดระวังลง ทั้งไม่คิดจะสนใจเรื่องที่เจ้าตัวน้อยสามารถเข้ามาอยู่ใกล้ตัวนางถึงเพียงนี้อย่างไร้สุ้มไร้เสียง โดยที่นางไม่รู้เนื้อรู้ตัวแม้แต่น้อยได้อย่างไร

นางพินิจพิจารณาเจ้าตัวน้อยอย่างละเอียด ขนสีเงินยวงทั้งร่างไม่พันกันเลยสักเส้น ตัวเล็กกระจ้อยขนาดราวฝ่ามือเท่านั้น รูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกนิดๆ พังพอนหน่อยๆ

ทว่าลั่วอวี่แน่ใจ มันมิใช่ทั้งสุนัขจิ้งจอกและพังพอน มันเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่นางไม่รู้จัก

ยามนี้เจ้าตัวน้อยกำลังยืนด้วยสองขาหลัง เท้าหน้าของมันโอบก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกอยู่ก้อนหนึ่ง มันยืดตัวตรง จ้องมองไปที่เนื้อกระต่ายย่างไม่กะพริบตา ท่าทางตะกละตะกลามนั้นไม่ต้องอาศัยคำพูด มันก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว

ลั่วอวี่ยอมรับว่าตนเองมิใช่คนที่ชื่นชอบสัตว์เล็กๆ สักเท่าไร ทว่าก็ยากจะทำเมินเฉยต่อความน่ารักของเจ้าตัวนี้ได้ นางหัวเราะแล้วส่ายหน้า อาศัยจังหวะนี้พลิกหมุนเนื้อกระต่ายป่าที่อยู่ในมือ

เวลานี้เนื้อกระต่ายป่าใกล้สุกได้ที่จึงยิ่งส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ

“เอื๊อก”

ลั่วอวี่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอดังชัด นางหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เจ้าตัวน้อยจอมตะกละเอ๋ย!

ครั้นเจ้าตัวน้อยเห็นเนื้อกระต่ายป่าพลิกไปมาไม่หยุด จึงเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองลั่วอวี่ที่กำลังหัวเราะร่าคราหนึ่ง

ลั่วอวี่เห็นชัดว่ามันกำลังถลึงตาใส่นาง เสียงหัวเราะจึงยิ่งขบขันมากขึ้น

เจ้าตัวน้อยคล้ายรู้ว่าลั่วอวี่กำลังหัวเราะมัน คราวนี้จึงตวัดสายตาดุดันใส่นาง ทำท่ากลัดกลุ้มใจ ก่อนยกก้อนหินในอุ้งเท้าขึ้นกัดกร้วมไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เคี้ยวกรุบๆ ประหนึ่งกำลังกินถั่วปากอ้า

เสียงหัวเราะของลั่วอวี่พลันชะงักค้างพลางจ้องไปที่ก้อนหินซึ่งถูกกัดจนแหว่งไปแล้ว

ก้อนหินก้อนนั้นแลคล้ายจันทร์เต็มดวงที่ถูกกัดหายไปส่วนหนึ่งกลายเป็นจันทร์เสี้ยว เจ้าตัวน้อยถึงกับกัดกินก้อนหินได้ แสดงว่าฟันของมัน

“กร้วม กร้วม”

ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของลั่วอวี่ ครู่เดียวเจ้าตัวน้อยก็จัดการแทะก้อนหินในอุ้งเท้าจนหมดเกลี้ยง มันหมอบลงกับพื้น สายตากลับมาจับจ้องที่เนื้อกระต่ายย่างอีกครั้ง

มุมปากของลั่วอวี่กระตุกน้อยๆ สัตว์อสูรในแผ่นดินลืมธาราช่างมหัศจรรย์แท้ นางไม่เคยเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กินก้อนหินได้มาก่อนนางขอสมมติให้เจ้าตัวน้อยเป็นสุนัขจิ้งจอกเป็นการชั่วคราว

เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่กลืนน้ำลายไม่หยุด ทั้งอวดฟันสีขาวแวววาวเต็มปาก ลั่วอวี่ก็ลงมือฉีกน่องกระต่ายป่าที่ย่างเสร็จแล้วให้มันอย่างรู้งาน

ฟันของมันช่างแหลมคมเหลือเกิน

เจ้าตัวน้อยถูกกลิ่นหอมยั่วจนน้ำลายสอมานานแล้ว ครั้นเห็นลั่วอวี่โยนเนื้อน่องมาให้ข้างหนึ่งก็รีบกระโจนเข้าหาทันที มันส่งเสียงคำรามออกมาคำหนึ่งแล้วจึงกัดกิน งั่มๆๆ พริบตาเดียวน่องกระต่ายก็หายวับไปกับตา

ลั่วอวี่มองสัตว์ที่ตัวเล็กเท่าฝ่ามือก้มหน้าก้มตาจัดการกับน่องกระต่ายป่าที่มีขนาดพอๆ กับตัวของมัน ปากขยับหมุบหมับไม่หยุด เดี๋ยวก็เผยอขึ้น เดี๋ยวก็หุบลง น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะฉีกน่องอีกข้างส่งเข้าปากตนเองแล้วกัดลงไป

“งั่ม”

ลั่วอวี่เพิ่งอ้าปากกัดลงไปคำแรก พลันมีแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นตรงหน้า รวดเร็วจนนางมองไม่ทัน แล้วก็เห็นบนน่องกระต่ายป่าที่ยังงับอยู่คาปาก ด้านหนึ่งคือปากของนาง ส่วนอีกด้านมีกรงเล็บข้างหนึ่งของเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีเงินยวงตะปบอยู่ ปากเล็กจ้อยกำลังกัดอยู่บนน่องกระต่ายป่าอีกด้านหนึ่ง ลำตัวห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

ลั่วอวี่มองประสานสายตากับเจ้าตัวน้อย

ดวงตาเล็กๆ ของมันเบิกกว้าง แววตาบ่งบอกความมุ่งมั่นว่าไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด จะยอมสู้ตายถวายชีวิตเพื่ออาหารเลิศรสอย่างแน่นอน

ลั่วอวี่เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของมัน เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอับจนคำพูดและขบขันยิ่งนัก จำต้องยอมคายน่องกระต่ายป่า ยกส่วนที่อร่อยที่สุดให้เจ้าตัวน้อยนี้ไป

เมื่อมันเห็นตนเองได้รับชัยชนะก็รีบกอดน่องกระต่ายป่าทันที ครั้นแล้วก็จัดการกินกร้วมๆ ไม่ว่าจะแทะกระดูก เลาะเนื้อ ล้วนว่องไวยิ่ง

ลั่วอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันไปหยิบเนื้อกระต่ายป่าที่เหลือ ทว่านางเพิ่งจะขยับยื่นมือ จู่ๆ เจ้าตัวน้อยก็กระโจนเข้ามา มันกระโดดขึ้นมาบนหลังมือของลั่วอวี่ พ่นน้ำลายใส่เนื้อกระต่ายป่าไปสองที จากนั้นก็หันมาเชิดหน้าขึ้นมองนาง

ลั่วอวี่ชะงักค้าง ก้มลงมองเจ้าตัวน้อย ในดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความได้ใจ ช่างคล้ายลั่วหลีน้องชายของนางในวัยเด็กยิ่งนัก พอแย่งของกินนางไม่สำเร็จก็เล่นลูกไม้สกปรก พ่นน้ำลายลงบนของอร่อยเสีย เช่นนี้สิ่งนั้นย่อมต้องตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย

ท่าทางแบบนี้มันช่าง

ลั่วอวี่คิดจะปั้นหน้าบึ้งตึง แต่ก็ทนไม่ไหวจริงๆ

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะใสดังสะท้อนอยู่บนยอดเขา ล่องลอยทั่วท้องฟ้าไปตามสายลม

เจ้าตัวน้อยนี้น่าขันดีจริง!

เมื่อได้รับชัยชนะ เจ้าตัวน้อยที่ได้ครอบครองเนื้อกระต่ายป่าทั้งหมดก็จัดการกับเนื้อกระต่ายที่เหลือจนเกลี้ยงในพริบตาเดียว ทิ้งเพียงกองกระดูกไว้ให้ลั่วอวี่ จากนั้นเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วมันค่อยลุกขึ้นบิดเอวอย่างเกียจคร้าน ตรงเข้ามากอดขาของลั่วอวี่ เอาเล็บเท้าและปากถูไถซุกไซ้ไปบนเนื้อตัวของเด็กสาวคล้ายกำลังออดอ้อนคลอเคลีย สร้างปฏิสัมพันธ์อันเป็นมิตร

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลันยินดี แม้มันจะจัดการอาหารกลางวันของนางจนเรียบ ทว่าเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยเข้ามาผูกมิตรไมตรี นางก็รู้สึกดีใจ

นางยื่นมือออกไปหมายจะลูบไล้แผงขนสีเงินที่แลดูเรียบลื่นดุจแพรไหม ทว่ามือของนางยังไม่ทันสัมผัสถูก เจ้าตัวน้อยก็พลันผละอุ้งเท้า กระถดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก้มลงมองกรงเล็บของตัวเองแล้วลูบปากเล็กๆ ของตนคล้ายพอใจยิ่งที่ไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ครั้นแล้วมันก็หมุนตัว สะบัดก้นใส่ลั่วอวี่ แสงสีเงินสว่างวาบวิ่งหายลับไป

มือของลั่วอวี่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงค่อยๆ ก้มลงมอง เห็นมุมเสื้อของตนมีคราบมันเยิ้มเปื้อนอยู่ บนกางเกงสีฟ้าปรากฏรอยอุ้งเท้าสองข้างให้เห็นเด่นชัด

กล่าวกันว่าสัตว์บางชนิดมีนิสัยรักสะอาด หลังกินอาหารจะต้องทำความสะอาดเส้นขนและกรงเล็บของตนให้สะอาดเอี่ยม วันนี้เห็นทีนางคงโชคไม่ดี บังเอิญมาเจอสัตว์ที่รักสะอาดเป็นชีวิตจิตใจเข้า อีกทั้งสิ่งที่ต้องสูญเสียไปคืออาหารกลางวันทั้งมื้อ ขณะเดียวกันยังถูก ‘ประทับรอยเท้าไว้ให้ดูต่างหน้า’ บนเสื้อผ้าอีกด้วย

นางคิดจะบันดาลโทสะ ทว่าการถือสาหาความสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด

ลั่วอวี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังไม่วายต้องกลั้นหัวเราะ สุดท้ายได้แต่ฝากถ้อยคำไปกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “เจ้าตัวน้อย เจอกันครั้งหน้า อย่าหวังจะได้กินอีกเลย”

ไม่รู้ลั่วอวี่พูดไปเพราะพาลโมโหหรือสบถสาบานกันแน่ ทว่าหลายวันต่อจากนั้นคำพูดของลั่วอวี่กลับไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย

คล้ายว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กได้ยึดมั่นแล้วว่าลั่วอวี่คือผู้บันดาลอาหารเลิศรสที่เดินเหินได้ ขอเพียงท้องหิว ได้เวลาอาหารเมื่อใด มันก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเนื้อย่างอันโอชะที่ลั่วอวี่ย่างเสร็จแล้วอย่างตรงเวลา กินหมดก็สะบัดก้นไป จากนั้นก็เฝ้ารอให้ถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป

ขณะที่ลั่วอวี่ถูกยั่วอารมณ์เสียจนจะโมโหก็ไม่ได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก ทั้งรู้สึกประหลาดใจในความว่องไวของเจ้าตัวน้อยอย่างมาก

เร็วยิ่งนัก ว่องไวเกินไปแล้ว เมื่อนึกถึงว่านางฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นสำเร็จขั้นที่สิบแล้ว วิชาตัวเบาของนางในยามนี้ไปได้ไกลกว่าพริบตาละพันลี้ แต่กลับไม่อาจสลัดหลุดจากเจ้าตัวน้อยได้เลย นางถูกมันตามติดอยู่ข้างหลังตลอดเวลา ดูจากท่าทางคล้ายยังมีกำลังเหลืออีกด้วย

เจ้าตัวน้อยนี่เป็นสัตว์ชนิดไหนกันแน่

 

ดวงดาวสาดแสงระยิบระยับลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี กะพริบวิบวับดุจดวงตาซุกซน

บนยอดเขาผู้วิเศษ สายลมพัดผ่านยอดไม้บังเกิดเสียงดังซู่ๆ

ดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง สายลมพัดเอื่อย ทิวทัศน์งดงามตระการตา ท่ามกลางสีสันยามราตรี ลั่วอวี่เอนกายพิงก้อนหินก้อนหนึ่ง มุมปากเคลือบรอยยิ้ม กำลังละเลียดกลอยมันภูเขา ในมืออย่างใจเย็น

นางจัดการเจ้าตัวน้อยไม่ได้เช่นนั้นหรือ วันนี้นางจะไม่ย่างเนื้อ ดูซิเจ้าตัวน้อยจะกินอะไร

ความมืดเริ่มแผ่กระจายหนาตาขึ้นทุกขณะ เลยเวลาอาหารตามปกติมานานแล้ว

เจ้าตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าคล้ายจะหิวจนเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่านแล้ว พยายามส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่หยุด คล้ายจะบอกเป็นนัยว่ามันมาถึงแล้ว รีบทำอาหารให้มันกินเร็วเข้า

ลั่วอวี่นิ่งฟังเสียงเหล่านั้น มุมปากแย้มยิ้มกว้างขึ้น แต่ก็ยิ่งละเลียดหัวกลอยมันในมืออย่างเอื่อยเฉื่อยมากขึ้น

มนุษย์ไม่กินเนื้อย่างวันหนึ่ง ไม่หิวตายมิใช่หรือ

หลังจากส่งเสียงเตือนอยู่เป็นนานสองนาน เจ้าตัวน้อยเห็นลั่วอวี่ไม่ยอมขยับก็ทนต่อไปไม่ไหว มันพุ่งปราดออกจากราวป่ามาหยุดตรงหน้าลั่วอวี่ กวัดแกว่งกรงเล็บน้อยๆ ไปมา ส่งเสียงร้องจิ๊ๆ จ๊ะๆ ใส่นาง

นัยน์ตาเล็กๆ ปูดโปน ปากน้อยเชิดขึ้น กรงเล็บทั้งสองกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด ดูไปก็คล้ายเด็กเล็กๆ คนหนึ่งกำลังร้องโวยวายว่า ‘กินข้าวๆ ข้าจะกินข้าว รีบหาข้าวให้ข้ากินเดี๋ยวนี้’ หน้าตาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รอยยิ้มในดวงตายิ่งฉายชัดขึ้น แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ หนำซ้ำยังยื่นมือไปหยิบหัวกลอยมันภูเขาในหลัวที่จวนจะเต็มแล้วออกมาอีกเส้นหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาแทะกินต่อไป ปากก็กล่าวเนิบนาบโดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวน้อยจะเข้าใจหรือไม่ว่า “คืนนี้ข้าจะกินของสิ่งนี้”

เมื่อเห็นลั่วอวี่หยิบหัวกลอยมันออกมากัดกินต่อ เจ้าตัวน้อยจึงเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว! มันกระโจนขึ้นไปบนท่อนแขนของลั่วอวี่ อ้าปากเห็นฟันขาววาววาม

เพียงเห็นฟันขาวซี่เล็กตวัดผ่าน หัวกลอยมันในมือของลั่วอวี่ก็ถูกเจ้าตัวน้อยเขมือบลงท้องด้วยความเร็วอันร้ายกาจ

ชั่วพริบตาเดียวหัวกลอยมันก็ไม่เหลือหลอ

เจ้าตัวน้อยยกอุ้งเท้าเช็ดมุมปาก มันเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับลั่วอวี่ ท่าทางอวดดียิ่งนักคล้ายกำลังบอกว่า ‘กินได้ ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะกินอะไร’

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้น เจ้าตัวน้อยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นางประจักษ์ด้วยสายตาตนเองมาแล้ว สองวันมานี้บางครั้งนางเก็บสมุนไพรจนค่ำมืดไปหน่อย ยามที่มันโผล่มา ถ้าไม่หอบก้อนหินมากินเล่นก็จะเป็นก้านไม้ บ้างก็เป็นผลึกแก้ว ไม่เช่นนั้นก็ดินเหนียว เป็นสัตว์ที่เข้าตำรากินไม่เลือกอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยกินหัวกลอยมันของนางหมด ลั่วอวี่จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ และถือโอกาสเลิกกินเสียเลย นางยกมือขึ้นซ้อนหนุนศีรษะ เอนร่างพิงก้อนหิน เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์

เจ้าตัวน้อยเห็นลั่วอวี่นอนหลับโดยไม่สนใจมันก็โกรธจนกระโจนขึ้นไปบนศีรษะของนาง แล้วระบายโทสะด้วยการยีผมของนางยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่ก็ยังไม่หายแค้น มันส่งเสียงคำรามแล้วอ้าปากกว้างงับผมสีดำของลั่วอวี่ออกมากระจุกหนึ่ง แล้วกินลงท้องไปเพื่อระบายโทสะ

นึกไม่ถึงว่าลั่วอวี่ยังคงไม่สนใจมัน

หลายวันมานี้เจ้าตัวน้อยทำกร่างวางก้ามจนเคยตัว จะทนรับความเมินเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร ตาเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตาปูดโปนพลันพร่ามัว หยาดน้ำใสๆ ร่วงเผาะลงมากระทบถูกใบหน้าของลั่วอวี่

ลั่วอวี่ตะลึงงัน รีบลืมตาขึ้น เห็นเจ้าตัวน้อยกำลังมองนางอย่างน้อยอกน้อยใจ แววตาเต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า

แม้จะเรียกว่ากลั่นแกล้ง แต่ลั่วอวี่ก็แค่คิดจะหยอกล้อเจ้าตัวน้อยเล่นเท่านั้น เห็นแบบนี้ใจก็อ่อนยวบลงทันที จะไปถือสาหาความอะไรกับสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่ง นางก็ช่างเหลือเกิน!

ลั่วอวี่ลุกนั่งตัวตรง ยื่นมือไปลูบไล้เจ้าตัวน้อย คิดจะปลอบใจมัน

เจ้าตัวน้อยนัยน์ตาแดงวาววับไปด้วยหยาดน้ำตา หลังจากถลึงตาใส่ลั่วอวี่ด้วยความน้อยใจทีหนึ่ง ก็กระโดดขวับมุดหายเข้าไปในป่าหนีไปแล้ว

ลั่วอวี่รู้ว่าต่อให้วิชาตัวเบาของตนร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็ไม่อาจตามเจ้าตัวน้อยได้ทัน นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ ดูเหมือนจะล้อเล่นจนเลยเถิดไปแล้ว

นางรีบไปหยิบไก่ป่าที่เตรียมไว้ให้เจ้าตัวน้อยอยู่ก่อนแล้วออกมาจากซอกหินด้านหลัง ลงมือก่อไฟเตรียมย่าง

ขอเพียงมีกลิ่นหอมโชย เจ้าตัวน้อยจะต้องได้กลิ่นแน่นอน ถือเป็นการแสดงความขอโทษของนาง

น้ำมันที่หยดลงบนกองไฟส่งเสียงดังฉี่ กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ

ทว่าตอนนี้ไก่ป่าย่างเสร็จได้ครู่ใหญ่แล้ว เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่มาเสียที

เห็นทีวันนี้นางคงทำให้เจ้าตัวน้อยโกรธเข้าจริงๆ แล้ว ลั่วอวี่ส่ายหน้า ยากนักที่จะได้เจอสัตว์ที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ นางกลับ

ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ภายใต้แสงจากกองไฟ เงาร่างสีเงินยวงพลันฉายวาบ พุ่งขวับเข้ามาหยุดตรงหน้านาง

ลั่วอวี่หยักยิ้มมุมปาก รีบมองไปพลางกล่าวขึ้น “เจ้าตัวน้อยยังโกรธอยู่หรือ นี่ให้เจ้า”

นางพูดยังไม่ทันจบ ขณะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า คำพูดที่ตามมาพลันถูกกลืนหายลงไปในลำคอ

เห็นเจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนสองขา อุ้งเท้าหน้าประคองพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งยื่นส่งให้นาง

ใบไม้ห้าแฉก มีทั้งหมดห้าสี สดใสแวววับจับตา ดอกไม้สีขาวขนาดเท่าเล็บมือลอยเด่นอยู่ท่ามกลางใบไม้ห้าสีกำลังผลิบานงามพริ้มเพรา กลิ่นหอมบางเบาละมุนละไม เพียงดอมดมก็ซึมซาบเข้าไปถึงหัวใจ

ต้นหญ้าห้าสีเป็นยอดสมุนไพรสำหรับถอนพิษ

ทว่านี่มิใช่ประเด็นหลัก ที่สำคัญคือพืชชนิดนี้เติบโตอยู่บนหน้าผาสูงชัน ทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวยาที่ใช้ถอนพิษให้บิดาของนางอีกด้วย เมื่อตอนกลางวันนางพบมันแล้ว หากแต่ไม่ได้เก็บกลับมา เตรียมตัวจะขึ้นเก็บในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากดอกของมันยังไม่บาน ใบไม้ห้าสีที่ดอกยังไม่แย้มบานสรรพคุณจะด้อยลงครึ่งหนึ่ง

หากแต่บัดนี้เจ้าตัวน้อยกลับหอบใบไม้ห้าสีที่นางต้องการกลับมาให้ มองนางด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนักหนา

เจ้าตัวน้อยติดตามนางมาตลอด รู้ว่านางต้องการสิ่งใดเช่นนั้นหรือ

อาจารย์เคยบอกนางว่าสรรพสิ่งล้วนมีชีวิตจิตใจ สัตว์ยิ่งมีความโดดเด่นในเรื่องนี้ เจ้าตัวน้อยนี่

รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาในดวงตา ลั่วอวี่ไม่ได้รับเอาใบไม้ห้าสีต้นนั้นมา หากแต่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย คลี่ยิ้มแล้วว่า “กินอาหารที่ข้าย่างให้เจ้า ไม่ต้องหาสิ่งใดมาตอบแทน เพราะข้าชอบเจ้ามากจึงเต็มใจทำให้เจ้ากิน เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าตัวน้อย เหตุใดจึงได้น่ารักน่าชังนักนะ!”

แม้เจ้าตัวน้อยจะไม่เข้าใจคำพูดของลั่วอวี่ แต่มันสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลอ่อนโยน ปากน้อยๆ พลันแย้มยิ้มทันที มันกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เอาหัวดุนมือของลั่วอวี่ไว้แล้วถูไถคลอเคลียแรงๆ จากนั้นก็เอาใบไม้ห้าสีที่อยู่ในอุ้งเท้ายัดเข้าไปในอกเสื้อของลั่วอวี่ แล้วหมุนตัวกระโจนเข้าใส่ไก่ป่าที่ย่างสุกนานแล้ว ลงมือกินด้วยความเบิกบานใจ

“งั่มๆๆ” มันจัดการไก่ป่าตัวนั้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ลั่วอวี่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา เจ้าตัวน้อยก็สวาปามจนหมดเกลี้ยง

หลังจากอิ่มหนำ มันก็ถูกรงเล็บเล็กๆ กับพื้นดินเพื่อขจัดคราบน้ำมันบนเล็บให้สะอาดเอี่ยม จากนั้นก็กระโดดขวับขึ้นไปบนไหล่ของลั่วอวี่ ไต่ไปตามแนวไหล่มุดตัวเข้าไปในอกเสื้อของนาง อุ้งเท้าเล็กๆ หดไว้ข้างกาย กุมท้องสีขาวนวลไว้ แล้วเริ่มหลับปุ๋ย

ท่าทางมันคงคิดจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ระยะยาว เกาะติดลั่วอวี่ไม่ปล่อยเสียแล้ว

ลั่วอวี่เห็นดังนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางยื่นมือไปเคาะหัวเจ้าตัวน้อยทีหนึ่ง “เจ้าจอมตะกละ ยอมตามคนอื่นมาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่กลัวถูกจัดการหรืออย่างไร” หากแต่นางก็ปล่อยให้มันทำตามใจอยู่ดี

เจ้าตัวน้อยที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ นางจะเลี้ยงไว้ก็แล้วกัน

บทที่ 4

วันรุ่งขึ้น

เจ้าตัวน้อยใช่ว่ามีประโยชน์แค่เพียงน่ารักน่าเอ็นดูเท่านั้น! กว่าลั่วอวี่จะรู้ตัวอีกครั้งนางก็ต้องตระหนกเมื่อรู้ว่าตนเก็บได้สมบัติล้ำค่าอะไรมา

ตั้งแต่เจ้าตัวน้อยติดตามนางมา ของในหลัวสมุนไพรของนางก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วอย่างน่าตื่นตกใจ ในนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่าเลื่องชื่อ ล้ำค่าจนแทบจะทำให้ลั่วอวี่ต้องเริ่มดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง

ทั้งโสมพันปี หลิงจือหมื่นปี หญ้ามิรู้โรย และผลไม้สีทองถูกเจ้าตัวน้อยโยนใส่หลัวประหนึ่งเป็นต้นหญ้าดาษดื่นธรรมดา

ของเหล่านี้ไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใด หากนำไปขายในตลาดล้วนมีค่าสูงกว่าทองคำหมื่นชั่ง แต่ในสายตาของเจ้าตัวน้อยก็แค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้ว่ามันมีประสาทสัมผัสและการดมกลิ่นที่เฉียบไวเพียงใด แม้แต่สุดยอดสมุนไพรที่ลั่วอวี่ยังไม่สังเกตเห็น กลับถูกเจ้าตัวน้อยขุดคุ้ยเจอทุกครั้งไป คล้ายว่าความสามารถโดยกำเนิดของมันคือการตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้

เมื่อค้นพบพรสวรรค์อันน่าตกใจของเจ้าตัวน้อย ต่อให้เป็นลั่วอวี่ผู้ไม่โลภโมโทสันยังแทบควบคุมตนเองไม่อยู่

หลังจากเก็บพืชสมุนไพรที่จำเป็นในการรักษาบิดาได้ครบแล้ว นางยังคงอยู่บนเขาผู้วิเศษต่ออีกสิบวัน ตระเวนไปกับเจ้าตัวน้อยเพื่อเก็บพืชสมุนไพรจนทั่ว

สมุนไพรในหลัวแต่ละอย่างล้วนล้ำค่า หากไม่เพราะลั่วอวี่ยึดถือหลักการที่ว่าทำอะไรอย่าให้เกินพอดี ของเหล่านี้ไม่อาจขุดไปจนหมดสิ้นในคราเดียว หาไม่แล้วสมุนไพรทุกชนิดคงถูกเจ้าตัวน้อยขุดจนไม่เหลือรากเป็นแน่

“เจ้าเงิน ไปเถอะ กลับบ้านกัน”

ลั่วอวี่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยมแบกหลัวสมุนไพร โดยมีเจ้าตัวน้อยที่ได้ชื่อเรียกขานตามสีขนของมันนั่งเกาะอยู่บนไหล่ นางทะยานร่างไปข้างหน้า กลับสู่หอลับในเมืองร่วมผล

ท้องฟ้าสีครามเข้ม ก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าแปรรูปเปลี่ยนร่างไปตามแรงลมพัดโหมไปร้อยแปดพันเก้า ดูงดงามตระการตานัก

ลั่วอวี่อารมณ์ดียิ่ง ใช้วิชาตัวเบามาตลอดทาง จึงกลับถึงเมืองร่วมผลด้วยความเร็วราวดั้นเมฆาขี่สายฟ้า

ตอนมาถึงเมืองร่วมผลก็เป็นเวลากลางดึกพอดี

ลั่วอวี่ปิดบังความยินดีปรีดาไว้ไม่อยู่ นางกระโดดข้ามกำแพงเมืองต่ำเตี้ย เดินเหินบนหลังคาอย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าสู่หอลับ

ลั่วอวี่ทิ้งตัวลงจากหลังคามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูหลังโรงน้ำชาคืนมืดแล้ว นางยิ้มกริ่มคิดจะแฝงกายเข้าไปอย่างเงียบเชียบให้บิดามารดาประหลาดใจเล่น นึกไม่ถึงว่าเพิ่งย่างเท้าออกไป ดวงตาก็กวาดไปเห็นเครื่องหมายลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนบานประตู สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงทันที

เครื่องหมายลับ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหอลับ จวินเฟยถึงต้องทิ้งเครื่องหมายนี้ไว้ เจตนาให้นางสังเกตเห็น

ลั่วอวี่หัวคิ้วขมวดมุ่น วนเวียนอยู่ตรงหน้าประตูหลังโรงน้ำชาคืนมืดรอบหนึ่งโดยมิได้เข้าไป แต่กลับเดินไปอีกทิศทางหนึ่งแล้วเข้าทางประตูลับอีกด้าน พอเข้าไปก็มีคนออกมารับหน้านางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ลั่วอวี่ถามเสียงหนัก

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่าน ประมุขหอสั่งกำชับไว้ หากท่านกลับมาให้รีบไปพบเขาทันที” คนผู้นั้นตอบเร็วรี่

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็โผนตัวพุ่งทะยานไปทางห้องพักของจวินเฟยทันที

รัตติกาลดำทะมึน แต่สถานที่ที่จวินเฟยพำนักอยู่กลับมีแสงโคมสว่างไสว เห็นชัดว่ายังไม่เข้านอน

พอผลักบานประตูห้องของจวินเฟยเข้าไป ลั่วอวี่จึงร้องถามขึ้นโดยพลัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ภายในห้องไม่ได้มีเพียงจวินเฟย จวินอวิ๋นและเฟยเยียนก็อยู่ด้วย ยามนี้เมื่อเห็นลั่วอวี่กลับมาแล้ว ความตึงเครียดบนใบหน้าพวกเขาดูจะผ่อนคลายลงพร้อมกัน คล้ายโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“พี่ใหญ่”

“อวี่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” ในดวงตาของเฟยเยียนมีความร้อนใจที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงหันไปปิดประตู รีบสาวเท้าเข้ามาข้างใน จากนั้นก็วางมือลงบนหัวไหล่ของบิดามารดา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่ทั้งคน ต้องแก้ไขได้แน่นอน”

นั่นมิใช่ถ้อยคำฮึกเหิมทรงพลังมากมาย หากแต่กลับเจือความสุขุมเยือกเย็นที่ไม่น่ามีอยู่ในตัวเด็กสาววัยสิบสี่ ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกวางใจลงได้จริงๆ

“อวี่เอ๋อร์ พ่อจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้า เมื่อสามวันก่อนมีข่าวไม่สู้ดีส่งมา”

สีหน้าของจวินอวิ๋นสุขุมหนักแน่น หาได้ร้อนรนสักเท่าใด เป็นความสงบเยือกเย็นอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน และเวลานี้เขาวางลั่วอวี่ไว้ในตำแหน่งบุคคลที่สามารถปรึกษาหารือและเผชิญหน้ากับปัญหาร่วมกันได้คนหนึ่ง

“อืม ท่านพ่อ ว่ามาเถิด” ลั่วอวี่มองสบตาจวินอวิ๋นแล้วรับคำโดยไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย

จวินอวิ๋นพยักหน้าแล้วเปิดปากทันที “สามวันก่อนลูกน้องสามคนที่จวินเฟยส่งไปรับตัวลั่วหลีได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา”

ลั่วอวี่ฟังถึงตรงนี้ก็พลันกระจ่างแจ้งทันที สองคิ้วขึ้งขรึม แววตาแลดูเหี้ยมเกรียมจนน่าพรั่นพรึงในทันใด “น้องถูกชิงตัวไป?”

“ใช่”

จวินเฟยซึ่งมีสีหน้าคร่ำเครียดกล่าวแทรกจากด้านหลัง “ยอดยุทธ์ครามคนหนึ่งกับยอดยุทธ์น้ำเงินสามคนจากจวนกั๋วกงม่วงพราวชิงตัวลั่วหลีไปจากมือเรา พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ต้านรับไม่อยู่ พี่ใหญ่ ขอโทษ” กล่าวจบจวินเฟยก็ทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง หมายจะคุกเข่ารับผิดกับลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลันสะบัดแขนเสื้อ พลังวัตรขุมหนึ่งพุ่งเข้าพยุงร่างจวินเฟย ยับยั้งการกระทำของเขาเอาไว้

จวนกั๋วกงม่วงพราวลงมือรวดเร็วยิ่งนัก! เมื่อพบว่าหาตัวพวกนางไม่พบก็รู้ทันทีว่าต้องเบนเป้าไปที่น้องชายของนาง

นัยน์ตาทั้งสองของลั่วอวี่หรี่เล็กลง รังสีเข่นฆ่าพาดผ่านวูบหนึ่ง

ผ่านไปครู่ใหญ่ลั่วอวี่กดข่มรังสีอำมหิตนั้นไว้ได้ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “เพราะข้าคาดการณ์ไม่รอบคอบ เรายังไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับยอดยุทธ์ครามได้”

ยอดยุทธ์ครามอาจเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังวัตรเจ็ดสิบห้าปีขึ้นไป ในแว่นแคว้นนี้มียอดฝีมือในระดับนี้เพียงไม่กี่คน จวนกั๋วกงม่วงพราวถึงกับให้ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวออกโรงเองเพียงเพื่อชิงตัวน้องชายของนางไป ดูท่าจวนกั๋วกงม่วงพราวคงจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

นิ้วมือทั้งห้าของลั่วอวี่ค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น

ยอดยุทธ์คราม ต่อให้เป็นนางก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิคนของหอลับ

“หากลั่วหลีถูกคนของท่านพ่อจับตัวไป เรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง จวินอวิ๋นได้กล่าวเสริมขึ้น

พูดจบเขาก็มองลั่วอวี่อย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วจึงกล่าวอย่างลังเล “เพียงแต่พวกเขาปล่อยข่าวออกมาว่าต้องการให้เจ้าเข้าเมืองหลวง”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ สองมือกอดอกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง

ชิงตัวน้องชายของนางไป นอกจากทำเพื่อบีบคั้นนางแล้วก็ไม่มีความหมายอื่นใดอีก เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครบอก ตอนนางได้ยินว่าน้องชายถูกจับตัวไปก็คาดเดาได้แล้ว

“แต่งงานหรือ” ลั่วอวี่เลิกคิ้ว ประกายเยียบเย็นผุดขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตา

“ไม่ได้กล่าวถึง เพียงแต่ลอบส่งข่าวมาว่าให้เจ้าเข้าเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นแม้พวกเขาจะไม่สังหารลั่วหลี แต่จะมอบตัวเขาให้องค์ชายสามจัดการ”

จวินเฟยมองลั่วอวี่ขณะที่เอ่ยเสริมขึ้น บนใบหน้าที่ไม่ชวนมองเวลานี้กลับมีแววขบขันพาดผ่าน “ได้ยินว่าองค์ชายสามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หากลั่วหลีตกอยู่ในเงื้อมมือเขาเวลานี้ ข้าเชื่อว่าคงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่”

เมื่อถ้อยคำนี้หลุดออกมา จวินอวิ๋นเองก็พยักหน้า สีหน้าดูสับสนทั้งกังวลทั้งอับจนปัญญา ทว่าขณะเดียวกันก็มีแววคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพาดผ่านไปแวบหนึ่ง

หลายวันมานี้ลั่วอวี่อยู่แต่บนภูเขาผู้วิเศษ ย่อมไม่ได้ยินว่าข่าวลือเหล่านั้นแพร่สะพัดออกไปจนกลายเป็นเช่นใดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดว่าองค์ชายสามจะมีเรื่องอะไรให้ต้องเดือดดาลมากนัก

หรือเขาคิดแต่งงานกับนาง? ช่างน่าขัน

แต่จวินเฟยจะไม่มีวันกล่าวคำว่า ‘ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข’ ขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ในเมื่อวันนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ดูท่าคงไม่อาจปล่อยให้ลั่วหลีตกไปอยู่ในเงื้อมมือขององค์ชายสามได้จริงๆ

นางรักน้องชายคนนี้ที่สุด จะไม่มีวันยอมให้เขาต้องได้รับความไม่เป็นธรรมหรือต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอันขาด

เจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นี้ใจคออำมหิตนัก!

ความเยียบเย็นค่อยๆ ผุดขึ้นในแววตาของลั่วอวี่ ดวงตาทอประกายไหวระริก หากแต่มุมปากกลับหยักยกเป็นรอยยิ้ม “ในเมื่ออยากให้ข้าไปนัก เช่นนั้นย่อมได้ เพียงหวังว่าพวกเขาจะไม่นึกเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”

น้ำเสียงสบายๆ คล้ายเจือเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี ไม่ตึงเครียด ปลอดโปร่ง ปราศจากความฉุนเฉียวจากการถูกบีบคั้น ทว่ากลับทำให้ทั้งจวินเฟย จวินอวิ๋นและเฟยเยียนรู้สึกเป็นกังวลต่ออนาคตของจวนกั๋วกงม่วงพราวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ลั่วอวี่แหงนหน้าขึ้น จับจ้องจันทร์กระจ่างราวกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“อวี่เอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้า”

“ท่านแม่ โปรดวางใจ ข้ารู้ควรทำเช่นไร เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้”

แม้เฟยเยียนจะรู้ว่าลั่วอวี่มีวรยุทธ์พิสดารล้ำลึก แต่ก็มิอาจหักห้ามความกังวลใจได้อยู่ดี ไม่ว่าบุตรชายหรือบุตรสาวนางก็รัก นางหาได้ต้องการขายบุตรสาวเพื่อแลกกับบุตรชายไม่

ลั่วอวี่คลี่ยิ้มแล้วเข้าไปกอดแขนมารดา อิงร่างเข้าหา

นางตระหนักดี จะโอหังอวดดีก็ต้องมีต้นทุนของความโอหังอวดดี สู้ผู้อื่นไม่ได้ยังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บคิดว่าตนทำเช่นนั้นเช่นนี้ได้ ‘โลกนี้หากไม่มีข้าเสียคนย่อมไม่อาจหมุนต่อไปได้’ นั่นเป็นความโฉดเขลา ยามปีกยังไม่แข็งแรงพอที่จะบินสูงขึ้นก้มลงมองผืนปฐพี เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งพึงเก็บเขี้ยวเล็บไว้ชั่วคราว จากนั้นค่อยลงมือคราเดียวให้ถึงตาย

“จิ๊ๆ”

ระหว่างที่ลั่วอวี่เอนร่างพิงแขนมารดา เจ้าเงินที่ซุกตัวหลับใหลอยู่ในอกเสื้อของนางจู่ๆ ก็คลานออกมา

มันหิวแล้ว

“สัตว์อสูร?” จวินเฟยและจวินอวิ๋นมองเจ้าเงินซึ่งกำลังปีนป่ายออกมาแล้วต่างตะลึงงันไป

มีพลังยุทธ์จึงจะสามารถกำราบสัตว์อสูร แต่ลั่วอวี่ไม่มีพลังยุทธ์แม้แต่น้อย เช่นนี้

“เจ้านี่เป็นสัตว์อสูรที่เก่งแต่กินเท่านั้น” ลั่วอวี่อุ้มเจ้าเงินจอมตะกละอย่างแย้มยิ้ม ส่วนมือก็ขยี้ตัวมันเล่น

เจ้าเงินแม้จะแยกเขี้ยวขู่ลั่วอวี่ แต่กลับปล่อยให้นางแกล้งเล่นตามใจชอบ

จวินอวิ๋นเห็นเช่นนี้คิ้วซ้ายพลันเลิกสูง มองประเมินเจ้าเงินตั้งแต่หัวจรดหางอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “นี่เป็นสัตว์ประเภทใดกัน”

“ไม่รู้” ลั่วอวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วจ้องมองเจ้าเงินอยู่เป็นเวลานาน เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเหมือนเคยเห็นภาพสัตว์อสูรประเภทนี้ที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ภายในเวลาอันสั้นยังนึกไม่ออก

แต่ภาพสัตว์อสูรที่เขาเคยดูมา ล้วนแต่เป็น

“จริงสิ ท่านพ่อ ตามข้ามาทางนี้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

ขณะกำลังแกล้งเจ้าเงิน ลั่วอวี่พลันฉุกคิดถึงธุระอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมเลือนไปเพราะเรื่องของลั่วหลีขึ้นมาได้ นางลุกขึ้นตรงไปทางหลัวใส่สมุนไพรที่วางอยู่หน้าประตูพลางกล่าวกับจวินเฟยว่า “จวินเฟย เจ้าปล่อยข่าวออกไป บอกว่าข้าจะเดินทางไป แต่ขอให้พวกเขารอก่อน อีกอย่างหากถึงตอนนั้นเส้นผมของลั่วหลีขาดหายไปแม้แต่เส้นเดียว ผลที่ตามมาพวกเขาจะต้องรับผิดชอบ”

กล่าวจบ ทางหนึ่งก็คว้าหลัวสมุนไพร ทางหนึ่งก็ฉุดรั้งบิดา จากนั้นก็ส่งยิ้มแล้วขยิบตาให้มารดาก่อนเดินจากไป

เฟยเยียนเห็นเข้าก็อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดเด็กคนนี้ถึงสนิทกับพ่อมากกว่า บุตรสาวน่าจะสนิทกับแม่มากกว่ามิใช่หรือ”

เปลวเทียนไหวระริก จวินเฟยไร้คำพูด

 

ลั่วอวี่ลากจวินอวิ๋นเข้ามาในห้องลับสำหรับฝึกวิชาของนาง นางวางหลัวสมุนไพร สีหน้าที่เดิมทียิ้มแย้มอ่อนโยนพลันเครียดขรึม

จวินอวิ๋นยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ เขารู้ดีว่าลั่วอวี่ดึงตัวเขามาย่อมมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ เมื่อเห็นท่าทีของนางจึงเอ่ยถามเสียงต่ำ “มีเรื่องอะไร”

ลั่วอวี่ไม่ได้พูดอะไร เพียงยื่นมือออกไปแหวกเสื้อของบิดาออกแล้วใช้นิ้วจี้ลงบนจุดลมปราณกลางอกเบาๆ

“โอย” จวินอวิ๋นเจ็บจนสีหน้าแปรเปลี่ยน ร่างงอลงทันที

ความเจ็บปวดรุนแรงเกิดขึ้นเร็ว ทว่าก็หายไปเร็ว พริบตาเดียวก็เลือนหายไป

“นี่มันอาการถูกพิษ” จวินอวิ๋นผ่านโลกมามาก เพียงแวบเดียวก็คาดเดาได้แปดเก้าส่วน

ลั่วอวี่พยักหน้า “ยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า คงถูกพิษมาอย่างน้อยสิบสี่ปี”

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วดวงตาก็ฉายแววตื่นตกใจ หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่งก็ข่มกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ ยืดแผ่นหลังขึ้น นิ่วหน้าแล้วถามว่า “พิษอะไร”

“ไม่ทราบ จวินเฟยสืบถามไปทั่วแคว้นไร้ปีก แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักพิษชนิดนี้” ลั่วอวี่ตอบอย่างแผ่วเบา

จวินอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ในดวงตาก็มีแววประหลาดใจผุดขึ้น เรื่องนี้

“ท่านพ่อ ท่านบอกลั่วอวี่ทีเถิด ท่านเคยล่วงเกินผู้มีฐานะพิเศษคนใดหรือไม่” ลั่วอวี่โน้มกายลง มองสบตาจวินอวิ๋นที่นั่งอยู่

จวินอวิ๋นได้ยินลั่วอวี่กล่าวเช่นนี้ แววตาพลันบ่งบอกอาการครุ่นคิดลังเลขึ้นมาก่อน จากนั้นก็มีประกายประหลาดใจฉายวาบขึ้นมาในดวงตาดำสนิท สุดท้ายก็รีบสะกดกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ หากไม่เพราะลั่วอวี่เฝ้าจับจ้องดวงตาของเขาอยู่ คงพลาดที่จะได้เห็นอย่างแน่นอน

“เมื่อก่อนด้วยฐานะหัวหน้ากองอารักขาย่อมล่วงเกินผู้คนมาไม่น้อย แต่มิใช่คนที่มีฐานะพิเศษอะไร” จวินอวิ๋นยื่นมือมาตบไหล่ลั่วอวี่เบาๆ

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รู้ว่าบางทีบิดาคงไม่อยากกล่าวถึง หรือเป็นไปได้ว่าบิดาของนางก็ยังไม่แน่ใจนัก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปท่านพ่อต้องระวังตัวให้มาก ครั้งนี้ข้าขึ้นเขาผู้วิเศษ รวบรวมยาถอนพิษมาได้ครบแล้ว ดีว่าเป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ข้ายังมีเวลามาถอนพิษได้”

กล่าวถึงตรงนี้ลั่วอวี่เหลือบมองจวินอวิ๋นแวบหนึ่ง มิได้เอื้อนเอ่ยต่อไปอีก แต่ความหมายบ่งบอกชัดเจน หากครั้งหน้ามิใช่พิษที่ออกฤทธิ์ช้า ผลที่ตามมา

จวินอวิ๋นย่อมเข้าใจความหมายของลั่วอวี่ดี เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “หากเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เจ้าสามารถเข้าไปในสำนักศึกษาหลวงได้ จงไปหาคนผู้หนึ่งนามว่าอู๋หยา บางทีเขาอาจพอรู้อะไรบ้าง”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าเครียดขรึมก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางผงกศีรษะรับคำ “เจ้าค่ะ”

ขอเพียงมีเบาะแสที่จะสืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษออกมาได้เป็นพอ ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกนางอยู่ในที่แจ้ง หากไม่อยากถูกเข่นฆ่าสังหารก็ต้องลากตัวการออกมา จากนั้นค่อยตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก

“เช่นนั้นท่านพ่อ ตอนนี้ข้าจะปรุงยาถอนพิษให้ท่าน”

 

สายลมในฤดูใบไม้ผลิแต่งแต้มสีเขียวขจีให้ต้นหยางหลิว ดอกท้อแดงสะพรั่งรับฤดูกาล พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปหนึ่งเดือน

เมืองหลวงยังคงรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นกาลก่อน ดอกไม้นานาพรรณผลิบานงามสะพรั่งไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ลั่วอวี่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนของบุรุษเพศพร้อมด้วยม้าชั้นเลวสีดำตัวหนึ่งเหยาะย่างอยู่บนพื้นดินในเขตเมืองหลวงอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ยิ่ง

เมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีกก่อสร้างด้วยหิน มีส่วนคล้ายอาณาจักรโรมันโบราณอยู่บ้างจากความทรงจำของลั่วอวี่ ดูใหญ่โตโอ่อ่าสง่างาม เยือกเย็นน่าเกรงขาม ขณะขี่ม้าไปบนถนนในเมืองหลวง นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคล้ายได้เข้ามาสู่อาณาจักรโบราณ

ขณะกำลังมองสำรวจรอบด้านไปเรื่อยเปื่อย คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้เดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านางพลางทักทายด้วยเสียงราบเรียบ

“คุณหนูลั่วอวี่”

ลั่วอวี่หันหน้าไปชายตามองบุรุษวัยกลางคนท่าทางคล้ายพ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ไม่กล่าววาจา

“ในที่สุดคุณหนูลั่วอวี่ก็มาแล้ว ข้าน้อยมารับคุณหนูลั่วอวี่ เชิญ” บุรุษวัยกลางคนโค้งตัวลงเล็กน้อย ทันใดนั้นที่ด้านหลังก็มีรถม้างามหรูคันหนึ่งวิ่งเข้ามา

ลั่วอวี่รู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าปานบนใบหน้าของนางเป็นหลักฐานบ่งชี้ตัวนางได้ดีที่สุด จวนกั๋วกงม่วงพราวมีอิทธิพลกว้างขวางถึงเพียงนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่านางมาแล้ว

นางไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย เพียงพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นรถม้า

ผู้คนที่อยู่รอบข้างพอเห็นรถม้าจากจวนกั๋วกงม่วงพราวก็อดสอดส่ายสายตามองมาไม่ได้ เมื่อเห็นลั่วอวี่ซึ่งไม่อำพรางใบหน้า และไม่มีท่าทางอับอายในความอัปลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย ชั่วพริบตาเดียวข่าวซุบซิบก็แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทางดุจคลื่นโหมซัดสาด

หญิงอัปลักษณ์แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวผู้ปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสาม ทั้งบอกว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาผู้นั้นมาแล้ว มาถึงเมืองหลวงแล้ว!

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

ลั่วอวี่ผู้เป็นศูนย์กลางของพายุหมุนลูกนี้นั่งอยู่บนรถม้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางหนักแน่นดุจขุนเขา เห็นพวกปากมากรอบข้างเป็นเพียงมดปลวกที่ไม่ควรใส่ใจ หรือหากกล่าวในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นท่วงทีที่เปี่ยมด้วยความทระนงองอาจ ทำให้พ่อบ้านผู้มาต้อนรับประหลาดใจอย่างยิ่ง

อายุยังน้อย กลับมั่นคงดุจภูผา ช่างมีจิตใจที่สุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก!

 

เดินทางผ่านเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองมาครึ่งค่อนเมืองก็เข้าสู่จวนกั๋วกงม่วงพราว หนึ่งในสามมหาอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีก

หรูหราอลังการยังไม่อาจบรรยายความยิ่งใหญ่โอ่อ่า

สูงส่งน่าเกรงขามยังไม่อาจบรรยายพลังอำนาจ

วิจิตรตระการตายังไม่อาจบรรยายความประณีตงดงาม

ลั่วอวี่นั่งในตำแหน่งของแขกในห้องโถงข้าง กำลังหมุนถ้วยชาในมือเล่น

ดียิ่งนัก ครึ่งชั่วยามผ่านไปยังไม่มีผู้ใดโผล่หัวมาสักคน คงคิดจะแสดงอำนาจกับนางกระมัง!

แพขนตาขยับน้อยๆ มุมปากของลั่วอวี่ค่อยๆ หยักยกเป็นรอยยิ้ม

ในเมื่อเจ้าบ้านไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยือน เช่นนั้นนางจะสอนพวกเขาเองว่าอะไรคือมารยาทในการรับรองแขก

นิ้วเรียวงามทั้งห้าค่อยๆ ไล้วนไปรอบปากถ้วยชารอบหนึ่ง ภายใต้พลังวัตรอันเข้มแข็งทรงพลังทำให้น้ำชาในถ้วยจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที นิ้วเรียวบีบเพียงครั้งเดียว ถ้วยชาพลันแตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน

มุมปากของลั่วอวี่เจือด้วยรอยยิ้ม ในดวงตากลับมีประกายเยียบเย็นพาดผ่าน

นางหัวเราะเสียงต่ำแล้วกล่าวกับเจ้าเงินที่นอนจนเบื่อจึงเริ่มหันมาแทะเก้าอี้กินว่า “มังกรมีวิถีของมังกร หงส์มีเส้นทางของหงส์ ห้องโถงข้างแห่งนี้มิใช่ที่ที่ข้าสมควรนั่ง เช่นนั้นก็ทำลายทิ้งเสียเถิด”

พูดจบนางก็สะบัดมือ ก้อนน้ำแข็งในมือซึ่งเปรียบเสมือนดินระเบิดอันทรงอานุภาพถูกซัดเข้าใส่เสาหยกขาวสี่ต้นที่คอยค้ำยันห้องโถงข้างแห่งนี้ทันที

เสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นสี่ครั้ง เสาหยกขาวเริ่มปริแตกลามออกจากจุดที่ถูกซัดแตก

ลั่วอวี่สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งแล้วจึงสาวเท้าไปทางประตูใหญ่อย่างเชื่องช้า เจ้าเงินส่งเสียงจิ๊ๆ จ๊ะๆ เดินตามไป

ลั่วอวี่เดินเนิบนาบออกมาจากห้องโถงข้าง มุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่อย่างเอ้อระเหยลอยชาย ขณะที่นางเดินห่างออกมาได้สิบเชียะก็ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหวมาจากด้านหลัง ตามด้วยฝุ่นละอองกระจายฟุ้ง ควันหนาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

เสาหยกขาวในห้องโถงข้างถูกทำลาย เมื่อสูญเสียสิ่งค้ำยัน ห้องโถงทั้งห้องพลันพังครืนลงมา ก่อนหน้านี้ยังเป็นสิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงาม พริบตาถัดมากลับกลายเป็นเพียงกองซากเศษหินที่ใช้การไม่ได้

ส่วนลั่วอวี่ที่เดินออกห่างมาได้สิบเชียะ พ้นเขตที่ฝุ่นละอองจะปลิวมาถึงได้พอดี กระทั่งเส้นผมสักเส้นก็ไม่กระดิก

ทุกอย่างตกอยู่ในความนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยกระโดดออกมาจากรอบๆ กองซากปรักหักพัง คนเหล่านี้เดิมหมายมาดจะได้เห็นลั่วอวี่ปล่อยไก่ เวลานี้กลับหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น แต่ละคนพากันจับจ้องห้องโถงข้างที่พังทลายลงมาอย่างตื่นตะลึง มุมปากเกร็งกระตุก

ลั่วอวี่ไม่แม้แต่จะหันไปมอง นางลูบไล้เจ้าเงินที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกพลางสาวเท้าไปทางประตูใหญ่อย่างไม่รีบไม่ร้อน

“แค่กๆ คุณหนูลั่วอวี่ โปรดอย่าจากไปโดยพลการ” ทันใดนั้นก็มีบ่าวไพร่รุดเข้ามาขวางหน้า

ลั่วอวี่ไม่แม้แต่เงยหน้า เพียงสะบัดแขนเสื้อ คนที่เข้ามาขวางพลันหงายท้องล้มตึงลงไปทันที

“คุณหนูลั่วอวี่ ท่านทำเช่นนี้พวกเราลำบากใจนัก”

อีกคนล้มคว่ำคะมำลงกับพื้น

“คุณหนูลั่วอวี่ ท่าน”

ผู้พูดพลันล้มก้นจ้ำเบ้า จากนั้นก็ล้มกลิ้งติดๆ กันอีกหลายคนแล้วไปติดแหง็กอยู่ในซอกหิน

“คุณหนูลั่วอวี่”

ตลอดทางบรรดาบ่าวไพร่พากันดาหน้าเข้ามาหมายจับกุมตัวลั่วอวี่ กลับคาดไม่ถึงว่าเบื้องหน้าของลั่วอวี่คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่ พวกเขายังไม่ทันรุดเข้าไปก็ถูกดีดสะท้อนกลับมาเสียแล้ว

ไกลออกไปมีบ่าวไพร่ คุณหนู และคุณชายในจวนกั๋วกงม่วงพราวจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจมาเฝ้ารอชมเรื่องสนุก เมื่อเห็นเช่นนี้แต่ละคนต่างเบิกตาโพลง จ้องมองหญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่ก้าวเดินเป็นเส้นตรง จังหวะก้าวไม่ช้าไม่เร็ว กระทั่งศีรษะก็ไม่ได้เงยขึ้น เอาแต่จดจ่ออยู่กับสัตว์อสูรตัวเล็กแบบบางในอ้อมแขนเท่านั้น ทว่าตลอดทางบ่าวไพร่ก็ถูกซัดหงายล้มคว่ำไปจำนวนนับไม่ถ้วน ท่าทางของนางดูเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ราวกับกำลังเดินชมวิวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ได้เหลือบแลผู้ใดเลย เพียงมุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่

“คุณหนูลั่วอวี่ นายท่านขอเชิญไปปรึกษาหารือที่ห้องโถงกลางขอรับ”

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย น้ำเสียงทรงพลังดังขึ้น บุรุษวัยกลางคนรูปร่างผึ่งผายในชุดเสื้อคลุมยาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา

พ่อบ้านใหญ่แห่งจวนกั๋วกงออกหน้าแล้ว

ลั่วอวี่ซึ่งเดินตามเส้นทางของตนมาตลอดยามนี้ค่อยหยุดฝีเท้าลง เงยหน้ายิ้มหยันพลางกล่าวว่า “ข้ายังเข้าใจว่าผู้คนในจวนกั๋วกงม่วงพราวตายหมดแล้วเสียอีก”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดจากปาก บรรดาบ่าวไพร่ที่ออกมาในช่วงก่อนหน้าต่างกัดฟันกรอด

ที่แท้ในสายตาของลั่วอวี่ พวกเขาล้วนมิใช่คน แม้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของลั่วอวี่ แต่พวกเขายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปพูดจากับนาง อดไม่ได้ที่จะนึกเดือดดาลอยู่ในใจ ช่างเป็นเด็กสาวที่กำเริบเสิบสานนัก!

“คุณหนูลั่วอวี่ เชิญ”

บุรุษวัยกลางคนไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้บันดาลโทสะ บนใบหน้าเย็นชาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดให้เห็น เพียงค้อมกายน้อยๆ ให้ลั่วอวี่เป็นเชิงเชื้อเชิญ จากนั้นก็เดินนำทางไป

คนผู้นี้เฉยเมยเยือกเย็น เจือด้วยความหยิ่งยโสในความเป็นคนของจวนกั๋วกงม่วงพราวอยู่ในที ลั่วอวี่เห็นอยู่ในสายตา เยาะหยันอยู่ในใจ

 

ภายในโถงกลางของจวนกั๋วกงม่วงพราว แม้ไม่หรูหราโอ่อ่าสลักเสลาเป็นมังกรเป็นหงส์เทียบเคียงตำหนักของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ทรงอานุภาพน่าเกรงขามทำให้คนไม่อาจมองข้าม คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจะได้เข้ามานั่งสนทนาในห้องโถงกลางได้ ในบรรดาลูกหลานที่ถูกเสือกไสไล่ส่งไปอยู่ดินแดนห่างไกล ลั่วอวี่เป็นคนเดียวที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาเจรจาความในห้องโถงกลางแห่งนี้

ห้องโถงกลางอันใหญ่โตโอ่โถง ที่นั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านสองตำแหน่งตั้งอยู่จุดกึ่งกลางสุด ซ้ายขวามีเก้าอี้เรียงรายสองฝั่งด้านละแปดตัว บนเสาหยกขาวขนาดใหญ่หกต้นมีพยัคฆ์เหินสีดำกระหวัดเกี่ยวล้อมวน ขับเน้นให้โต๊ะเก้าอี้ไม้จันทน์ยิ่งดูน่าเกรงขาม

ยามนี้ในตำแหน่งเจ้าบ้านมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่

คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่สง่าผ่าเผย ดูเปี่ยมพลังอำนาจเกินบรรยาย แลละม้ายบิดาของนางอยู่สามส่วน เขาก็คือท่านลุงใหญ่ของนาง โหวเจวี๋ย จวินลี่แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวผู้เป็นรองเพียงท่านกั๋วกงจวินโย่วเทียนเท่านั้น

โดยไม่สนใจความสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ลั่วอวี่ตรงเข้าไปหย่อนก้นลงนั่ง ฝ่ามือลูบไล้เจ้าเงินที่กำลังพริ้มตาด้วยความสบายอยู่ในอ้อมแขนพลางเอ่ยเสียงเย็น “ข้ามาแล้ว มอบตัวน้องชายข้าคืนมา”

เมื่อเห็นลั่วอวี่ไม่มีอาการครั่นคร้าม ทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งทำลายห้องโถงข้างของจวนกั๋วกงไป เวลานี้ยังวางตัวทัดเทียมกล่าววาจาเช่นนี้กับเขาอีก จวินลี่สีหน้าเคร่งขรึมลงก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “จวินลั่วอวี่ ทางที่ดีเจ้าจงสำนึกถึงฐานะของตัวเองให้ดีก่อน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้โทสะ หากแต่น่าหวั่นเกรง

ลั่วอวี่กลับไม่ถูกอำนาจของเขากดข่มแม้แต่น้อย นางเลิกคิ้วเรียวงาม แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ฐานะของข้า ข้าย่อมตระหนักดี ไม่ต้องให้ท่านย้ำเตือน ท่านจวินโหว ทางที่ดีท่านควรสำนึกถึงฐานะของท่านก่อนจะดีกว่า”

จวินลี่ได้ยินแล้วบนใบหน้าพลันมีร่องรอยโทสะคุกรุ่นขึ้นมาบางๆ ในบรรดาชนรุ่นหลังแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราว ยังไม่เคยมีผู้ใดบังอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับเขา!

สีหน้าของเขาขรึมลง ดวงตาหรี่เล็ก

“จวินลั่วอวี่ อย่าคิดว่าไปแอบฝึกวิชานอกรีตนอกรอยที่ใดมาแล้วเข้าใจว่าตนเองเก่งกล้าไร้ผู้เทียมทาน ไม่มีใครในโลกนี้กำราบเจ้าได้ แค่ฝีมือปลายแถวของเจ้า จวนกั๋วกงม่วงพราวของเราหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่” คำกล่าวนี้มิใช่ข่มขู่ ยิ่งฟังเหมือนคุกคาม

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วไม่เกิดโทสะ กลับเอนกายพิงพนักเก้าอี้ นางหัวเราะเสียงเย็น “จวนกั๋วกงม่วงพราว หนึ่งในสามจวนกั๋วกงใหญ่แห่งแคว้นไร้ปีก อิทธิพลแทรกซึมทั่วทุกหย่อมหญ้า เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังสี่ยอดยุทธ์ครามแห่งแคว้นไร้ปีกก็อยู่ในจวนกั๋วกงม่วงพราวแห่งนี้แล้วหนึ่งคน พลังอำนาจย่อมแข็งแกร่งเกรียงไกร ความสามารถนี้ข้าเองก็ยอมรับ ตัวข้าในเวลานี้ยังไม่สามารถเอาชนะยอดยุทธ์ครามได้ แต่@@@แล้วอย่างไรหรือ”

ในใจของลั่วอวี่ย่อมมีตาชั่งอยู่อันหนึ่ง คนเรานั้นจะโอหัง จะอวดดีย่อมได้ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แกร่งกล้ายิ่งกว่ายังจะโอหังอวดดีอย่างไร้ขอบเขตก็เท่ากับเอาไข่ไก่ไปกระทบกับก้อนหิน นั่นย่อมมิใช่ความโอหังอวดดี หากแต่เป็นความโฉดเขลา

ลั่วอวี่เองไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนโฉดเขลา

“แล้วอย่างไรหรือ” จวินลี่แค่นหัวเราะ “ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะมาท้าทายข้าที่นี่อย่างไรเล่า ลั่วหลีจะอยู่หรือไป เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาถามถึง” เสียงหัวเราะเย็นเยียบ เจือด้วยความหลงระเริงที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วปรายหางตามองจวินลี่ บนดวงหน้าปราศจากความขุ่นเคือง ไม่มีความร้อนรนและไร้ความหวาดหวั่น มุมปากยังหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบาคล้ายกำลังเวทนาเขา ยังผลให้ใบหน้าของนางซึ่งครึ่งหนึ่งคล้ายเทพธิดา ครึ่งหนึ่งคล้ายมารร้าย บังเกิดเป็นความขัดกันอย่างสุดขั้วระหว่างความอัปลักษณ์และความงามหยาดเยิ้ม

สีหน้าของจวินลี่ขรึมลงในทันที ลั่วอวี่กำลังเวทนาเขาเช่นนั้นหรือ

ด้วยสายตาเช่นเดิม ลั่วอวี่เอ่ยขึ้นช้าๆ “จวนกั๋วกงม่วงพราวไม่นับญาติสายรอง เฉพาะลูกหลานสายตรงมีจำนวนทั้งหมดสามร้อยสี่สิบแปดคน ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดก็คือจวินลั่วเฟย บุตรชายของใต้เท้าโหวเจวี๋ย เป็นถึงยอดยุทธ์เขียว ส่วนยอดยุทธ์ระดับน้ำเงินขึ้นไปในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน จวินโหวเจวี๋ย ข้าเชื่อว่าน้องชายทั้งสองของท่านคงกลับมารายงานเรื่องความสามารถของข้าให้ท่านทราบแล้ว เวลานี้ต่อให้ข้าไม่อาจเอาชนะยอดยุทธ์ระดับน้ำเงินขึ้นไปได้ แต่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำเงินลงไปเล่า”

กล่าวถึงตรงนี้ลั่วอวี่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ มองจวินลี่ที่สีหน้าแข็งค้างไปในพริบตา นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวน้อยๆ ของเจ้าเงิน

“ข้าเชื่อว่าหากข้าจะสังหารพวกเขา ย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ” สีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน น้ำเสียงกลับเยียบเย็นเสียดแทงกระดูกประหนึ่งหนามแหลมที่แทงทะลุเข้ามา

“เจ้ากล้า!” ดวงตาทั้งคู่ของจวินลี่หรี่ลง รังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง

พริบตานั้นลั่วอวี่ก็เก็บงำความอ่อนโยนบนใบหน้า เชิดศีรษะขึ้นกล่าวเสียงเฉียบขาด “ไม่เชื่อเราก็มาลองดูกัน! ขอเพียงท่านกล้าแตะต้องน้องชายข้าแม้เพียงเส้นขน ข้าจะทำให้จวนกั๋วกงม่วงพราวต้องสิ้นลูกสิ้นหลาน”

แมวน้อยที่กางกรงเล็บอย่างเกียจคร้านออกมาเป็นระยะ จู่ๆ กลับกลายร่างเป็นเสือดาวที่หมายขย้ำคน ทำให้จวินลี่ถึงกับตกตะลึง พลังอำนาจถูกลั่วอวี่กดข่มลงอย่างสิ้นเชิงในพริบตา

อากาศในโถงกลางเยียบเย็นหนักอึ้ง ทำให้คนหายใจไม่ออก

“ทารกหญิงปากกล้านัก ไม่กลัวว่าวันนี้จะไม่ได้ก้าวออกจากจวนกั๋วกงแห่งนี้หรือ”

ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงบ่งบอกถึงความเป็นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนดังขึ้นทำลายบรรยากาศในห้องโถงกลางที่ต่างกำลังเฝ้าคุมเชิงกันอยู่ ชายชราผมสีเงินผู้หนึ่งสองมือไพล่หลังเดินเข้ามาช้าๆ

“ท่านพ่อ” จวินลี่ได้ยินเสียงก็รีบลุกขึ้นยืน เอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม

จวินโย่วเทียน กั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวชำเลืองตามองบุตรชายอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างของลั่วอวี่

จวินลี่เห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย บิดากำลังตำหนิที่เมื่อครู่เขาปล่อยให้ตนเองถูกพลังอำนาจของเด็กสาวตัวเล็กๆ กดข่ม ทำให้จวนกั๋วกงต้องเสียหน้า

ลั่วอวี่หันหน้ามาเผชิญกับจวินโย่วเทียนที่ยังกระฉับกระเฉง ลั่วอวี่เก็บงำท่าทีแข็งกร้าว เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “คิดจะสังหารข้า พวกท่านกล้าหรือ”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา จวินโย่วเทียนผงกศีรษะในทันที “ทารกหญิงตัวดี ครั้งนั้นเรามองเจ้าพลาดไปจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าสามารถสร้างผลงานขึ้นมาได้ เฉลียวฉลาดยิ่งนัก”

ลั่วอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ ฟังคำพลางผงกศีรษะ คล้ายกำลังเกรงใจในคำสรรเสริญเยินยอของจวินโย่วเทียน

ระหว่างเดินทาง นางก็ได้ยินข่าวลือที่พูดกันจนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระเหล่านั้น รวมถึงคำสั่งขององค์ชายสามที่ต้องการให้นางมาเมืองหลวง

ฐานะของนางในยามนี้คือที่ระบายโทสะขององค์ชายสาม ขณะเดียวกันสัญญาหมั้นหมายหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทก็ยังมิได้ถูกเพิกถอน ด้วยฐานะทั้งสองของนางในเวลานี้ย่อมมิใช่ผู้ที่จวนกั๋วกงม่วงพราวคิดจะสังหารก็สามารถสังหารได้

หากจวนกั๋วกงม่วงพราวสามารถสั่งการเองได้ วันนี้พวกเขาคงไม่บีบคั้นให้นางเข้าเมืองหลวงแล้ว

“ทว่าใจคออำมหิตเกินไป”

ช่วงแรกเป็นการกล่าวชม ประโยคถัดมาของจวินโย่วเทียนจึงจะเป็นประเด็นหลัก

สิ้นลูกสิ้นหลานเพียงเพราะจวินลั่วหลีคนเดียว นางถึงกับหันคมหอกเล็งมายังทายาทรุ่นต่อไปทั้งหมดของจวนกั๋วกงม่วงพราว คนเหล่านั้นล้วนเป็นญาติพี่น้องของนางทั้งสิ้น

“ตั้งแต่พวกเราถูกขับไล่ออกจากที่นี่ ท่านกั๋วกงมิใช่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วหรือ จวนกั๋วกงต้องการเพียงผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกที่อ่อนแอจะไปตายอยู่ในซอกหลืบใดก็หาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวนกั๋วกงม่วงพราวของท่านกับสกุลจวินของข้า เวลานี้จึงเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ในอดีตเคยเกี่ยวข้องกันเท่านั้น กับคนแปลกหน้าจะมาพูดเรื่องใจดำอำมหิตได้อย่างไร” แม้ลั่วอวี่จะกำลังยิ้ม แต่ก็จืดชืดและเยียบเย็นนัก “ข้าเพียงทำตามกฎกติกาของพวกท่าน เพราะฉะนั้นเวลานี้พวกท่านจงอย่าได้ยกความสัมพันธ์ขึ้นมาอ้าง ตอนนี้ข้าจะถามอีกครั้ง น้องชายของข้าอยู่ที่ใด”

หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว จวินโย่วเทียนซึ่งเดิมกำลังย่นคิ้ว ในดวงตาพลันปรากฏแววประหลาดใจและลึกล้ำพาดผ่าน ฝ่ายจวินลี่ให้รู้สึกเดือดดาลในความกำแหงของนาง ทว่าถูกผู้เป็นบิดาปรามไว้

หลังจากมองประเมินลั่วอวี่อย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง จวินโย่วเทียนก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน แบ่งแยกความเป็นเจ้าบ้านและแขกอย่างชัดเจน

“ทายาทรุ่นหลังของจวนกั๋วกงม่วงพราวไม่ขาดผู้มีแววเป็นยอดฝีมือ เพิ่มเจ้ามาอีกคนก็ไม่ได้มากขึ้น ขาดเจ้าไปคนก็หาได้น้อยลง ในเมื่อเจ้าแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ เช่นนั้นจวนกั๋วกงม่วงพราวของเราก็คงต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า” น้ำเสียงของจวินโย่วเทียนราบเรียบ ทว่าเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามแม้นไร้โทสะ

“ในเมื่อสกุลจวินของเจ้ากับจวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นเพียงคนแปลกหน้า เช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นบิดาของเจ้าเป็นผู้ตกปากรับคำ แต่เวลานี้เพราะการหมั้นหมายนี้ทำให้จวนกั๋วกงม่วงพราวต้องอึดอัดลำบากใจยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและองค์ชายสาม นอกจากนี้องค์ชายสามยังยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้น ถึงกับทูลขอต่อฝ่าบาท เมื่อใดที่พระองค์มีพระชนมายุครบเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็จะเข้าพิธีอภิเษกสมรสทันที หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ต้องโทษประหารทั้งสกุล ข้าไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้แทนเจ้า ในทางกลับกัน เจ้าต่างหากที่ต้องจัดการให้เราอย่างเหมาะสม”

“ตกลง” ลั่วอวี่ฟังแล้วหัวคิ้วขยับเข้าหากัน แต่กลับตอบได้อย่างเฉียบขาดฉะฉาน

จวินโย่วเทียนเห็นดังนี้จึงพยักหน้า สภาพการณ์เหมือนเป็นการเจรจาระหว่างแขกกับเจ้าบ้านอย่างแท้จริง “ส่วนลั่วหลีน้องชายของเจ้า หนึ่งเดือนก่อนจวนกั๋วกงเราได้ทำการทดสอบพลัง เห็นว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย จึงส่งเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวง แม้องค์ชายสามจะอยู่ที่นั่นด้วย แต่ข้าย่อมส่งคนไปคอยดูแลอารักขา จวินลั่วอวี่ การเข้าสำนักศึกษาหลวงยากเย็นเพียงใดเจ้าย่อมรู้ดี เมื่อน้องชายเจ้าได้เข้าไปศึกษา อนาคตย่อมสดใส เรื่องนี้ถือว่าจวนกั๋วกงของข้าแสดงน้ำใจต่อเจ้าก็แล้วกัน”

ลั่วอวี่ฟังถึงตรงนี้ แม้จะเป็นห่วงลั่วหลีที่ถูกส่งไปอยู่ใกล้ปากพยัคฆ์อย่างองค์ชายสาม หากแต่นางตระหนักดี ลั่วหลีสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงได้ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างมาก สถานที่แห่งนั้นเป็นถึงสำนักศึกษาที่ดีที่สุดซึ่งแคว้นไร้ปีกและอีกสองแคว้นที่อยู่ข้างเคียงร่วมมือกันก่อตั้งขึ้น ผู้จบการศึกษาจากที่นี่ ไม่มีใครไม่เป็นใหญ่เป็นโต

“ขอบคุณมาก น้ำใจครั้งนี้วันหน้าข้าย่อมตอบแทน” ลั่วอวี่ลุกขึ้นยืน

“ดีมาก” จวินโย่วเทียนผงกศีรษะพลางสะบัดมือคราหนึ่ง เทียบสีแดงแผ่นบางก็พุ่งตรงไปหาลั่วอวี่

ลั่วอวี่ยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว คีบแผ่นเทียบที่ซัดเข้ามา

“วันนี้เป็นวันที่สำนักศึกษาหลวงรับสมัครศิษย์ช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นวันสุดท้าย นี่เป็นหนังสือรับรองตัวเจ้า”

ลั่วอวี่คลี่ออกอ่าน หมึกดำยังไม่แห้งดี เห็นทีคงจะเป็นหนังสือรับรองที่เพิ่งเขียนเสร็จสดๆ ร้อนๆ หัวคิ้วหางตาพลันกระตุกวาบ ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นมองจวินโย่วเทียน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “จวินกั๋วกงก็คือจวินกั๋วกง”

จวินโย่วเทียนพยักหน้า ตอบกลับไปคำหนึ่ง “ขอบคุณที่ชม”

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ประสานมือไปทางจวินโย่วเทียนครั้งหนึ่ง ก่อนหมุนกายแล้วก้าวออกจากห้องโถงไป จากนั้นเงาร่างก็พลันพุ่งทะยาน พริบตาเดียวก็จากไปไกล

จวินลี่ซึ่งยืนอยู่กลางห้องโถง เวลานี้กำลังมองไปที่จวินโย่วเทียน ก่อนจะกล่าวอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึง”

จวินโย่วเทียนค่อยๆ ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบ มองตามหลังลั่วอวี่ซึ่งจากไปไกลแล้วพลางกล่าวขึ้นช้าๆ “จวินลี่ เจ้าจงจำไว้ ยอมรังแกคนชราให้ตกต่ำ ดีกว่าข่มเหงผู้เยาว์ให้อับจน ทารกหญิงผู้นี้ฉลาดกว่าที่เราคาดคิด”

จวินลี่เห็นจวินโย่วเทียนกล่าวอย่างจริงจัง ความประหลาดใจก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว

หรือว่าด้วยสารรูปเยี่ยงนี้ของจวินลั่วอวี่จะสามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งพระชายาอ๋องได้จริงๆ วันหน้ายังอาจช่วงชิงตำแหน่งพระมเหสีได้อีกด้วย?

ทว่าต่อให้ครองตำแหน่งพระมเหสีได้ก็หาได้มีอำนาจใหญ่โตขนาดที่จวนกั๋วกงม่วงพราวของพวกเขาจะต้องขอพึ่งบารมี เรื่องนี้

จวินโย่วเทียนเห็นจวินลี่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพียงลุกขึ้นเดินออกไป

จวนกั๋วกงม่วงพราวดูจากภายนอกคล้ายทรงอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่ความเน่าเปื่อยเสื่อมโทรมภายในเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร นี่คือเรือที่ดูโอ่อ่าหรูหรา หากแต่ข้างในกลับมีจุดรั่วไม่รู้เท่าไร ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะยังประคับประคองตัวลอยลำไปได้อีกไกลแค่ไหน และไม่รู้ว่าเมื่อใดจะอับปางลง เด็กสาวผู้นี้แม้จะอ่อนเยาว์นักแต่กลับยอมฉีกหน้าเขา ตัดขาดความสัมพันธ์กับจวนกั๋วกงม่วงพราวซึ่งผู้คนรอบข้างต่างหมายจะตะเกียกตะกายขึ้นมาผูกมิตร ความคิดของนางไหนเลยไม่ลึกซึ้ง

“การมอบผลประโยชน์ให้อย่างพอเหมาะพอควร ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ย่อมดีที่สุด แต่หากนางทำให้พวกเราต้องเสียหาย” จวินโย่วเทียนกล่าวยังไม่ทันจบ เพียงแต่ยกมือขึ้นขีดขวางกลางอากาศคราหนึ่ง ท่าทางเยียบเย็นอำมหิตยิ่งนัก

ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็ต้องสังหาร

จวนกั๋วกงม่วงพราวของเขาไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่เป็นภัยได้ผงาดค้ำฟ้าเป็นอันขาด ต่อให้เป็นลูกหลานของพวกเขาเองก็ตาม!

 

วังไร้ปีก ตำหนักบรรทมขององค์ชายสาม

บุรุษชุดขาววางขี้ผึ้งทาแผลในมือลง เขามองโม่เหยียนผู้มีใบหน้าบึ้งตึงและกำลังใส่ยาอยู่อย่างล้อเลียนพลางเอ่ยขึ้น “เพิ่งมีข่าวว่าคู่หมั้นของเจ้าเข้าไปที่จวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว”

โม่เหยียนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าซึ่งเดิมก็ย่ำแย่พออยู่แล้วกลับยิ่งเคร่งเครียดลงจนน่าหวั่นเกรง เขาขว้างขี้ผึ้งยาในมือลงบนโต๊ะหยกขาวอย่างแรง

“ฮ่าๆ ได้ยินว่าอัปลักษณ์จนน่าตกใจเลยทีเดียว”

ในบรรดาคนทั้งสาม บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีม่วงยกมือขึ้นกอดอก เอนกายพิงเก้าอี้ไม้จันทน์ตัวเขื่องที่ตั้งอยู่หน้าบานหน้าต่าง เขามองบาดแผลบนแผ่นหลังของโม่เหยียนแล้วหัวเราะอย่างไม่มีเจตนาดี

เรื่องที่ออกไปฝึกวิชาแล้วกลับมามือเปล่ายังไม่ต้องพูดถึง แต่ยังกล้าบุกไปอาละวาดที่จวนกั๋วกงโดยไม่กลับสำนักศึกษาหลวงก่อน ผลที่ตามมาก็คือองค์ชายสามต้องถูกลงโทษตามกฎของสำนักศึกษา ต้องประลองฝีมือกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งสองคน ถูกเล่นงานเกือบตาย

ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อความรวดเร็วในการรับข่าวสารของพวกเขา

องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนเพลิงโทสะลุกโชน สีหน้าบูดบึ้งดูไม่ได้ เขาสวมเสื้อสวบแล้วกล่าวเสียงเข้ม “จวินโย่วเทียนมอบหนังสือรับรองให้นางหรือยัง”

“ให้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่สำนักศึกษา” บุรุษชุดสีม่วงตอบทันที ก็คนจากจวนกั๋วกงม่วงพราวเพิ่งมาส่งข่าว

นิ้วทั้งห้าของโม่เหยียนกำแน่นจนลั่นกรอบแกรบ นัยน์ตาทั้งสองหรี่ลง

“ดี ดียิ่งนัก ไป กลับสำนักศึกษา” พูดจบเขาก็ตวัดแขนเสื้อ ก้าวยาวๆ ออกจากตำหนักบรรทมไป

หญิงอัปลักษณ์ ถึงกับกล้าบอกว่าข้าไม่มีน้ำยา ช่างน่าตายนัก! คอยดูครั้งนี้ข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร ใน แคว้นไร้ปีกแห่งนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าแม้แต่คนเดียว!

บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงเห็นดังนี้ก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเลิกคิ้วและลอบยิ้มออกมาพร้อมกัน ตอนเดินทางกลับมาเมืองหลวง โม่เหยียนต้องเสียท่าให้กับหญิงอัปลักษณ์ยังไม่พอ วันนี้คู่หมั้นอัปลักษณ์ที่ทำให้เขาเสียหน้าเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ประมาณการดูแล้วน่าจะ@@@

ทั้งสองมองหน้ากัน หัวเราะฮ่าๆ แล้วเดินตามไป

โม่เหยียนทำทุกวิถีทางเพื่อชักนำหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นมายังสำนักศึกษาหลวงซึ่งเป็นอาณาจักรของเขา คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ชมแล้ว

ท้องฟ้าสีแดงระเรื่อ ย่างเข้าสู่ต้นฤดูร้อนอากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นมาแล้ว

บทที่ 5

สำนักศึกษาหลวงคือสำนักศึกษาชั้นสูงที่สามแคว้นใหญ่ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกันได้แก่แคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิงร่วมกันก่อตั้งขึ้น

กล่าวถึงผู้ก่อตั้งสำนักก็นับเป็นตำนานที่น่าสนใจ เขาถือกำเนิดในแคว้นขุมอนันต์ ร่ำเรียนการต่อสู้ที่แคว้นป่าเฟิง ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงในแคว้นไร้ปีก เป็นอัจฉริยะผู้หาตัวจับยาก เรืองนามไปทั่วแผ่นดินลืมธารา เนื่องจากเขามีความผูกพันลึกซึ้งกับทั้งสามแว่นแคว้น จะตั้งสำนักศึกษาในแคว้นหนึ่งแคว้นใดล้วนไม่เหมาะ จึงตัดปัญหาด้วยการให้แคว้นทั้งสามร่วมมือกันก่อตั้งสำนักศึกษาเสียเลย

สถานที่กำหนดไว้ที่เมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีก ส่วนแคว้นขุมอนันต์และแคว้นป่าเฟิงต่างได้รับสิทธิพิเศษบางประการ ด้วยเหตุนี้ทั้งสามแว่นแคว้นจึงรู้สึกมีความเสมอภาคทัดเทียมและดำเนินการด้วยดีมาโดยตลอด

ส่วนบุคคลที่อยู่ภายในสำนักศึกษาหลวง ไม่มีผู้ใดมิใช่ผู้มากพรสวรรค์จากแคว้นทั้งสาม มีบุคคลสำคัญอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

ตะวันสาดแสงทองผ่องอำไพ กระเบื้องเคลือบบนหลังคาส่องประกายระยิบระยับหลากสีสันละลานตาภายใต้แสงอาทิตย์ แต่งแต้มเมืองหลวงให้ยิ่งเหลืองอร่ามชวนมอง

สำนักศึกษาหลวงตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีกซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ มีอาณาบริเวณหลายพันหมู่ ทอดยาวข้ามภูเขาหลายลูก ยามทอดสายตามองไปแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด

เวลานี้ที่หน้าประตูสำนักศึกษาอันสูงตระหง่านมีผู้คนต่อแถวยาวเหยียดราวมังกรนอนทอดกาย

บิดามารดานับไม่ถ้วนต่างพาบุตรหลานของตนมาชะเง้อชะแง้เฝ้ารอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและคาดหวัง รวมถึงความร้อนใจไม่เป็นสุข เหลือเวลาวันนี้อีกวันเดียวเท่านั้น หากยังไม่ได้ลงชื่อเข้าเรียนก็ต้องรอไปอีกสามปี

ตอนลั่วอวี่เดินทางมาถึงสำนักศึกษาหลวง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือผู้คนจำนวนมากที่เข้าแถวยาวเหยียดดูคึกคักยิ่ง

สมัยก่อนนางเคยเห็นการเปิดรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มาแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นที่ใดมีบรรยากาศครึกครื้นเป็นประวัติการณ์เท่านี้มาก่อน

ลั่วอวี่โบกหนังสือรับรองในมือไปมา ยังดีที่มีของสิ่งนี้ หาไม่แล้วลั่วอวี่ส่ายหน้าแล้วเดินลัดตรงไปยังจุดทดสอบศิษย์ใหม่

“เข้ามาได้อย่างไร ไปต่อแถว” ตรงบริเวณจุดรับศิษย์ใหม่ที่อยู่ด้านหน้าสุด บุรุษวัยกลางคนหน้าตาหยิ่งยโสผู้หนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตามองผลการทดสอบ หันมาตวาดใส่ลั่วอวี่

ลั่วอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นหนังสือรับรองที่อยู่ในมือให้ทันที

“เจ้าไม่รู้จักเข้าแถวหรือจวนกั๋วกงม่วงพราวอ๋อ คนของจวนกั๋วกงม่วงพราวหรอกหรือ”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพอเห็นหนังสือรับรองก็พลันชะงักค้างไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ “โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมองลั่วอวี่ สายตาจับจ้องอยู่ที่ปานบนใบหน้าของนาง อีกทั้งลั่วอวี่ก็พูดจาอย่างเปิดเผยไม่ได้ปิดบังอำพราง ทำให้บุรุษวัยกลางคนจำได้ทันที “ที่แท้เป็นเจ้าเอง”

ลั่วอวี่คิดไม่ถึงว่าตนจะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้แต่คนในสำนักศึกษาหลวงยังรู้จักนาง นางไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ

“ดี เจ้าลองทดสอบก่อนเลย”

บุรุษวัยกลางคนพอรู้ว่าเป็นลั่วอวี่ก็คึกคักขึ้นอักโข ผลักเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าออกไป พยักพเยิดให้ลั่วอวี่มายืนแทนที่ เขาหันหน้าเข้าหาดวงแก้วเจียระไนใสบริสุทธิ์ที่มีขนาดเท่าชามข้าวใบหนึ่งแล้วว่า “วางมือลงไป แล้วปล่อยพลังของเจ้าออกมาให้เต็มที่”

ดวงแก้วเจียระไนเป็นผลึกแก้วที่ใสบริสุทธิ์อย่างที่สุด นึกไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบอย่างหนึ่งอีกด้วย

ลั่วอวี่เหลียวมองรอบด้านครู่หนึ่ง เห็นเด็กบางคนวางมือลงไปแล้วกลับไม่เกิดอะไรขึ้น บางคนก็มีแสงพลังยุทธ์สีแดงสว่างขึ้น คนที่ดีที่สุดจะมีแสงพลังยุทธ์สีส้มปรากฏขึ้น

คิดไม่ถึงว่าดวงแก้วเจียระไนจะมีความเฉียบไวต่อพลังยุทธ์เช่นนี้

แต่นางไม่มีพลังยุทธ์เลยสักนิด!

“เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงแทรกแถว นาง”

“ชู่ว เจ้าคงไม่รู้สินะ แต่ข้าได้ยินมาว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นก็คือสตรีที่ปฏิเสธองค์ชายสาม ชื่อจวินลั่วอวี่อะไรนี่แหละ”

“คนของจวนกั๋วกงม่วงพราวหรือ มิน่าเล่า”

“ได้ยินว่านางเป็นพวกไม่เอาไหน ไม่มีพลังยุทธ์อะไรเลย ให้นางลองก่อนเถิด ดูซิจะปล่อยไก่อย่างไร”

ครู่เดียวเสียงซุบซิบที่ไม่ได้ลดระดับเสียงลงก็ดังขึ้นมารอบด้าน และลอยตามลมไปเข้าหูลั่วอวี่ ต่อให้ไม่อยากได้ยินก็ทำไม่ได้

ลั่วอวี่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ไม่โกรธไม่ยิ้มไม่วิตก คล้ายว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนางที่ดังอยู่รอบข้างไม่ได้เข้าหูนางเลยแม้แต่คำเดียว

นางค่อยๆ ยื่นมือออกมา ทาบฝ่ามือลงบนดวงแก้วดวงนั้น

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงแก้วไม่ปรากฏสีสันใดๆ ยังคงใสบริสุทธิ์ดุจอากาศธาตุ

“เห็นไหม ข้าว่าแล้ว ไม่เอาไหนยังจะกล้ามา”

“ฮ่าๆ หญิงอัปลักษณ์ไม่เจียมตัว ยังคิดจะ”

วาจาเสียดสีและเสียงหัวเราะเยาะหยันดังกระหึ่มขึ้น ประหนึ่งคลื่นในทะเลที่ซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า

บุรุษวัยกลางคนประจำจุดทดสอบก็ยิ้มหยันเช่นกัน “ข้าว่า”

เปรี๊ยะ! พริบตาเดียวกับที่เขาอ้าปากพูด ดวงแก้วที่แข็งแกร่งพลันมีเสียงปริแตก แล้วเริ่มแตกร้าวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แหลกละเอียดกลายเป็นผุยผงไปในที่สุด

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นกลืนวาจากลับลงไปแทบไม่ทัน มองดวงแก้วที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

ดวงแก้วขนาดเท่าชามข้าวแตกร้าวด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ และกลายเป็นผุยผงในเวลาอันสั้นขณะอยู่ใต้ฝ่ามือของลั่วอวี่ ลูกแก้วดวงนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว

แต่การแตกร้าวยังไม่หยุดลงเพียงแค่นั้น

แท่นศิลาสีดำสำหรับวางดวงแก้วก็เริ่มแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามการแตกร้าวของดวงแก้ว ร่องรอยการปริแตกปรากฏชัดเจนต่อหน้าต่อตาทุกคนในที่นั้น คล้ายใยแมงมุมที่กำลังแผ่ขยาย

ปากอ้าตาค้าง!

ท่ามกลางการปริแตกที่กำลังลุกลาม เสียงหัวเราะเยาะหยันรอบข้างค่อยๆ จางหายไป สายตาของทุกคนมองไปที่ฝ่ามือเรียวงามของลั่วอวี่ซึ่งวางค้างอยู่เช่นนั้นเป็นตาเดียว

บุรุษวัยกลางคนหลายคนที่ประจำอยู่ตามจุดทดสอบรอบด้านต่างพากันลุกขึ้นยืน มองมาทางด้านนี้อย่างตื่นตะลึง

สายลมเย็นพัดพรูมาเบาๆ ดวงแก้วและแท่นศิลาสีดำขนาดใหญ่ที่แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีพลันปลิวหายไปตามสายลมทันที ไม่เหลือเศษซากให้เห็นแม้แต่น้อย

ดวงแก้วและแท่นศิลาสีดำที่เมื่อครู่ยังตั้งอยู่ดีๆ พริบตาเดียวกลับอันตรธานหายไปไม่เหลือร่องรอย

ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน ลั่วอวี่ดึงมือกลับมาอย่างแช่มช้า กล่าวเสียงเรียบว่า “ขออภัยด้วย ข้ามือหนักไปหน่อย”

มือหนักไปหน่อย? มือหนักไปหน่อย!?

พริบตานั้นผู้คนที่อยู่รอบด้านถูกคำพูดของนางทำเอาแทบกระอักโลหิต

ทำลายศิลาแหลกเป็นผุยผง มีแต่ยอดยุทธ์เขียวขึ้นไปเท่านั้นจึงจะทำได้ แต่เห็นอยู่ว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ไม่มีพลังยุทธ์ กลับทำลายดวงแก้วและศิลาดำซึ่งว่ากันว่ามีความแข็งแรงทนทานเหนือศิลาทั้งปวงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

สวรรค์

ขบวนแถวยาวเหยียดรอการทดสอบที่เมื่อครู่ก่อนยังส่งเสียงอึกทึกเซ็งแซ่ มาบัดนี้กลับเงียบกริบไร้สุ้มเสียงใดๆ

ลั่วอวี่ปัดๆ ฝุ่นที่อยู่ในมือ เอามือทั้งสองสอดไว้ในแขนเสื้อ มองบุรุษวัยกลางคนซึ่งยังคงจับจ้องไปยังความว่างเปล่าที่เดิมเคยมีผลึกแก้วและแท่นศิลาสีดำตั้งอยู่อย่างตะลึงงันด้วยแววตาเฉยเมยพลางเอ่ยช้าๆ “ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีสิทธิ์เข้าเรียนแล้วหรือไม่”

คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับคืนมา ผู้รับผิดชอบตามจุดทดสอบต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

เห็นอยู่ว่ามิใช่อานุภาพของพลังยุทธ์ ทว่าก็เป็นพลังที่ซ่อนแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจรุนแรงยิ่ง ควรตัดสินอย่างไรดี

“แน่นอน สำนักศึกษาหลวงยินดีต้อนรับศิษย์ที่มีพลังซ่อนแฝงทุกคน”

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ น้ำเสียงบ่งบอกความประหลาดใจระคนตื่นเต้นยินดีกลับดังขึ้นมา คนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากด้านในของสำนักศึกษาหลวง

เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้านวล ตรงมุมเสื้อมีตราสัญลักษณ์ประจำสำนักศึกษาหลวงปักอยู่ ปกเสื้อประดับเหรียญตราและดาวดวงเล็กๆ ที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกระดับชั้น ท่าทางภูมิฐานเปี่ยมด้วยภูมิปัญญา

เขาเป็นอาจารย์ระดับสามดาวประจำชั้นเรียนปีที่สามของสำนักแห่งนี้ ด้านหลังมีเด็กชายตัวสูงเพียงช่วงเอวเขาตามมาด้วยคนหนึ่ง

เด็กชายผู้นั้นพอเห็นลั่วอวี่ ดวงหน้าเนียนใสพลันเจิดจ้า พุ่งถลาเข้าหาลั่วอวี่ทันที

“พี่ใหญ่”

“ลั่วหลี”

ใบหน้าเฉยเมยของลั่วอวี่พลันเปล่งประกายความยินดี อ้าแขนทั้งสองรับเด็กชายเข้าสู่อ้อมกอด

น้องชายของนาง ลั่วหลีของนาง

“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก”

ลั่วหลีอายุน้อยกว่าลั่วอวี่มาก เวลานี้เขาเพิ่งอายุได้แปดขวบ ตัวสูงแค่หน้าอกของลั่วอวี่ เขาโถมตัวเข้ามากอดนางแน่น ออดอ้อนผู้เป็นพี่สาวยกใหญ่

ลั่วอวี่เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความรักใคร่เอ็นดู มือหนึ่งโอบลั่วหลีไว้ อีกมือหนึ่งก็บีบจมูกเล็กๆ แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่เลยหรือ เสียแรงที่พวกท่านเป็นห่วงเจ้า”

“คิดถึง คิดถึงมาก คิดถึงมากเชียวล่ะ” ลั่วหลีเอี้ยวตัวหนีมือพี่สาว เชิดหน้าขึ้นสูงแล้วโต้แย้ง

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะชอบใจ ยื่นมือออกไปลูบไล้เส้นผมของลั่วหลีน้องชายเพียงคนเดียวในชาติภพนี้ของนาง ปลอดภัยดีก็ดีแล้ว ไม่มีอันตรายใดๆ ก็ดีแล้ว

“ไปเถิด เข้าไปคุยกันในสำนัก อย่ามัวขวางประตูอยู่เลย”

อาจารย์ระดับสามดาวผู้นั้นแย้มยิ้มพลางกวักมือเรียกลั่วหลี จากนั้นก็ผงกศีรษะ

ลั่วอวี่ก็ไม่ได้ชอบแสดงความรักระหว่างพี่น้องให้คนนอกดูเสียด้วย จึงจูงมือลั่วหลีพลางบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่จากกันไปขณะเดินเข้าสู่สำนักศึกษาหลวง

 

สำนักศึกษาหลวงไม่เสียทีที่เป็นสำนักซึ่งทั้งสามแคว้นร่วมกันก่อตั้งขึ้น ตัวอาคารสูงตระหง่านตระการตา แม้ไม่พิถีพิถันเรื่องความสวยงามวิจิตรบรรจง ทว่าก็โอ่อ่าอลังการจนทำให้คนรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กกระจ้อยร่อย

ห้องเรียนดูสง่าน่าเกรงขาม ลานฝึกยุทธ์กว้างขวาง เวทีประลองสูงใหญ่ หอสูงและเรือนพักที่วิจิตรงดงามแลกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่โอฬารเรียงรายทับซ้อนกันเป็นระยะทางไกลประหนึ่งคลื่นในทะเลที่ไล่โหมตามกันมาเป็นระลอก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเคารพยำเกรง

“คนสารเลวคนไหนที่รังแกเจ้า”

ลั่วอวี่ไม่ได้สนใจความใหญ่โตมโหฬารและความรุ่งเรืองของสำนักศึกษาหลวงแม้แต่น้อย สนใจแต่คำพูดของลั่วหลีที่ได้ยินแล้วสีหน้าของนางพลันขรึมลงทันที

ลั่วหลีผงกศีรษะ คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น “นั่นสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเคยไปล่วงเกินองค์ชายสามอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อใด พอข้าเข้ามาก็มีใครหลายคนพากันมาหาเรื่องข้า ดีที่ได้อาจารย์ช่วยแก้ปัญหาให้ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สนใจข้า ไม่มีใครพูดคุยกับข้า ไม่มีใครฝึกยุทธ์กับข้า ฮึ ไม่คุยก็ไม่คุย ข้าหาได้แยแส แต่พวกเขากลับแย่งอาหารของข้า ไม่ให้ข้ากินของอร่อยนี่สิ ข้าต้องทนหิวทุกวัน ลับหลังยังมีคนแอบเล่นงานข้า ข่มขู่ข้า พี่ใหญ่ พวกเขาข่มเหงข้า ข่มเหงกันเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ช่วยแก้แค้นแทนข้าด้วย! ตอนอยู่ที่นั่นข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าพี่ใหญ่ร้ายกาจมาก”

เนื่องจากพี่สาวที่สนิทกับตนมากที่สุดมาถึงแล้ว ลั่วหลีซึ่งถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจึงระบายความอึดอัดคับแค้นใจออกมาให้ฟังจนหมด เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้าย เขายังชี้บุ้ยใบ้ไปยังทิศทางของจวนกั๋วกงม่วงพราว

อาจารย์ประจำชั้นเรียนปีที่สามเดินนำทางอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาหยุดฝีเท้าลง ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“เด็กโง่ ที่ผ่านมายังลำบากไม่พอ ยังไม่หัดฉลาดอีกหรือ ตราบใดที่แขนไม่อาจงัดสู้ขา ยังริอ่านสร้างศัตรูย่อมมีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี” จากนั้นจึงหันไปทางลั่วอวี่แล้วว่า “ในเมื่อตัดขาดกับจวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว เช่นนั้นต่อไปลั่วหลีก็ต้องอาศัยเจ้าแล้ว พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดี” พูดจบก็หมุนตัวจะจากไป

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาคือคนที่จวินโย่วเทียนสั่งให้คอยช่วยเหลือลั่วหลีอยู่ลับๆ ยามเผชิญหน้ากับองค์ชายสาม ลั่วหลีจะได้ไม่เสียเปรียบมากนัก นางจึงรีบกล่าวขึ้น “ขอบคุณท่านมาก”

อาจารย์ผู้นั้นโบกไม้โบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้อง ต่อไปพวกเจ้า”

“โอ๊ะ ช่างเป็นหญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์ ทำให้คนนึกอยากอาเจียนเหลือเกิน”

ขณะที่อาจารย์ผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ น้ำเสียงเย้ยหยันของอิสตรีพลันลอยมากระทบหู

“เกิดมาอัปลักษณ์ ทางที่ดีควรรู้ตัวเอง ยังจะออกมาเดินลอยหน้าลอยตาบนท้องถนนเช่นนี้ ช่างไม่กลัวเป็นเสนียดสายตาผู้อื่นบ้างเลย”

“นั่นสิ น่าสะอิดสะเอียนนัก ข้ายังไม่เคยเห็นหญิงใดอัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน”

ลั่วอวี่หยุดยืนนิ่ง หันหน้าไปทางที่มาของเสียง

เพียงเห็นเด็กสาวห้าหกคนกำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลน ดวงหน้าที่เดิมทีดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราถูกความคิดชั่วร้ายทำให้บิดเบี้ยวจนไม่ชวนมอง

ผู้คนรอบข้างที่ตลอดทางก็เอาแต่ซุบซิบนินทาลั่วอวี่อยู่แล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ก็หยุดฝีเท้าทันที พากันมองมาราวกำลังรอชมเรื่องสนุก

“พวกเจ้าพูดอะไร คนชั่ว พวกเจ้าสิน่าเกลียด อัปลักษณ์กันทุกคน ตัวอัปลักษณ์”

ลั่วหลีในวัยแปดขวบได้ยินเด็กสาวเหล่านี้ด่าทอลั่วอวี่ก็พลันกลายเป็นปืนใหญ่ลำน้อยที่ถูกจุดชนวนระเบิดปังออกมาทันที กระโดดออกไปด่าว่าเด็กสาวกลุ่มนั้น

“หน็อย เจ้าเด็กถ่อย ถึงกับกล้าโอ๊ย!”

เด็กสาวอาภรณ์สีม่วงเป็นคนเอ่ยปากก่อนใครเพื่อน นางรูปร่างหน้าตาไม่สะสวยอะไร ทว่าแต่งตัวสวยสดงดงาม อายุราวสิบห้าสิบหกปี นางผรุสวาทออกมายังไม่ทันจบ จู่ๆ ลั่วอวี่ที่อยู่ห่างจากนางระยะหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นตรงหน้า จากนั้นในขณะที่คนรอบด้านยังไม่ทันเห็นถนัด เด็กสาวในชุดม่วงผู้นั้นก็ร้องโอยออกมาพลางยกมือขึ้นกุมแก้มข้างหนึ่งแล้วผงะถอยหลังไปหลายก้าว ริมฝีปากแดงสั่นระริก ครู่เดียวก็ถ่มฟันซี่หนึ่งออกมาจากปาก

ส่วนลั่วอวี่กลับดูเหมือนไม่ได้ย่างกรายเข้าใกล้เด็กสาวชุดม่วงผู้นั้น เวลานี้นางยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ข้างกายลั่วหลี คล้ายไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ

ศิษย์ในสำนักที่มุงดูอยู่รอบด้านเห็นเช่นนี้ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นตะลึง

ลงมือได้รวดเร็วว่องไวยิ่ง!

“ขืนกล้าดูหมิ่นน้องชายข้าให้ข้าได้ยินอีกแม้ประโยคเดียว เรื่องจะไม่จบแค่ฟันซี่เดียวแน่” วาจาเฉียบขาด น่าเกรงขามแม้นไร้โทสะ

บรรดาเด็กสาวที่เข้ามาท้าทายหาเรื่อง เห็นเช่นนี้ถึงกับตะลึงค้าง ต่างผงะถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ หลังจากสิ้นเสียงข่มขู่คุกคามของลั่วอวี่ จู่ๆ น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจือจิตสังหารอันเชือดเฉือนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ช่างกำแหงนัก เพิ่งเหยียบย่างเข้าสำนักศึกษาก็กล้าลงมือกับศิษย์พี่ ไม่เห็นความอาวุโสอยู่ในสายตาเยี่ยงนี้ ต่อไปมิยิ่งกำเริบเสิบสานหนักหรือ”

ในเวลานี้เองเด็กสาวหลายคนที่เจตนาเข้ามาหาเรื่องแต่กลับถูกพลังอำนาจของลั่วอวี่ขู่ขวัญเสียอยู่หมัดต่างแย้มยิ้มออกมาพร้อมกัน พวกนางรีบหันไปมองผู้ที่มาใหม่ทันทีพลางร้องขึ้น “ศิษย์พี่ปี้อวิ๋น ท่านรีบมาช่วยสั่งสอนหญิงอัปลักษณ์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนางนี้แทนพวกเราที นางโอหังนัก หญิงอัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่สั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียบ้างคงไม่รู้ว่าฟ้าสูงเพียงใด แผ่นดินกว้างเพียงไหน”

เพียงชั่วเวลาอันสั้น เด็กสาวเหล่านั้นพลันส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ ใส่สีตีไข่กันอุตลุด ร้องทุกข์กับผู้มาใหม่

ลั่วอวี่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก

เด็กสาวผู้นี้อายุอานามราวสิบหกสิบเจ็ด สวมอาภรณ์สีเหลืองเข้ารูป ขับเน้นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รูปโฉมไม่อาจพูดได้ว่างามเพริศพริ้ง ทว่าทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเสน่ห์ของหญิงสาววัยสะพรั่ง เวลานี้ทั้งปลายตาหางคิ้วของนางล้วนปรากฏแววเหยียดหยามดูแคลนออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“สำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ต่อสู้กันเอง หากเจ้าคิดลงมือ ได้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

เด็กสาวที่มีนามว่าปี้อวิ๋นนางนั้นกวาดมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้าเฉยเมยอย่างชิงชังหยามหยันคราหนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปทางเวทีประลองสูงตระหง่านซึ่งอยู่ไม่ไกล

ผู้ชมที่มุงดูอยู่โดยรอบพลันส่งเสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที

อาจารย์ประจำชั้นปีที่สามซึ่งยืนอยู่ข้างกายลั่วอวี่ยังไม่ขยับไปไหน เห็นเช่นนี้ก็หันมากระซิบบอกลั่วอวี่ “สำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ต่อสู้กันเองก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามการประลองฝีมือบนเวทีประลอง ขอเพียงทั้งสองฝ่ายสมัครใจ จะต่อสู้กันเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ปี้อวิ๋นเป็นศิษย์ชั้นปีที่สาม ระดับพลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด เป็นหลานสาวของท่านกั๋วกงสัมฤทธิผล กำเนิดจากบุตรชายของภรรยาคนที่เจ็ด มีแต่คนรักใคร่ตามใจ” กล่าวจบก็ยกมือขึ้นกอดอก ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก

พลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด หมายความว่าอีกไม่นานก็จะก้าวขึ้นสู่ระดับสี่พลังยุทธ์สีเขียวด้วยอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด นับว่าเป็นอัจฉริยบุคคล

มิน่าถึงได้กล่าววาจายโสโอหังนัก

มุมปากของลั่วอวี่หยักยกคล้ายยิ้มเยาะจางๆ

เหตุใดจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลจึงจ้องจะเล่นงานนาง ลั่วอวี่พอจะคาดเดาได้

ลั่วอวี่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าลั่วหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว

“พี่ใหญ่ เราอย่าสู้กับนางเลย ไป ท่านเพิ่งเข้าสำนัก ข้าจะพาไปดูที่พักของข้า”

พลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด สูงชั้นกว่าเขามากนัก แม้เขาจะอายุยังน้อย หากแต่ตาเฒ่าที่ชิงตัวเขาไปยังจวนกั๋วกงม่วงพราวยังออกปากชมว่าเขามีพรสวรรค์สูง พลังยุทธ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอยู่ในระดับพลังยุทธ์สีส้มชั้นต้น ส่วนพี่สาวของเขาแม้จะได้ยินมาว่าฝีมือร้ายกาจ ทว่าตั้งแต่เล็กเขาก็รู้ว่าพี่สาวไม่มีพลังยุทธ์ ต่อให้มีวิทยายุทธ์ แต่ก็เพิ่งเข้ามาเรียนเท่านั้น จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ชั้นปีที่สามได้อย่างไร ดังนั้นลั่วหลีจึงพูดไปพลางฉุดดึงมือของลั่วอวี่ หมายลากพี่สาวออกไปจากที่นี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของลั่วหลี ขยี้เส้นผมสีดำสนิทของเขา

“ทำไม ไม่กล้าหรือ มิใช่กำแหงอวดดี ปากดีนักมิใช่หรือ หรือวันนี้กลับกลัวขึ้นมา ได้ ในเมื่อเจ้าไม่กล้ารับคำท้าของข้า เช่นนั้นก็ลอดใต้หว่างขาเขาออกไป แล้วข้าจะไม่ถือสาเอาความอีก”

แววเย้ยหยันบนใบหน้าของปี้อวิ๋นยิ่งปรากฏชัดขณะชี้นิ้วส่งๆ ไปยังบุรุษที่อยู่ทางด้านหลังผู้หนึ่ง

บุรุษรูปร่างเตี้ยเล็กท่าทางเฉลียวฉลาดผู้นั้นเห็นเช่นนี้ก็แค่นหัวเราะหึๆ กางขาทั้งสองออก เลิกคิ้วมาทางลั่วอวี่อย่างท้าทาย

“เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก” ลั่วหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป กระโดดออกมาทันที

ลั่วอวี่โบกมือยับยั้งความเดือดดาลของลั่วหลี มองปี้อวิ๋นผู้กำลังอวดลำพองด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ข้าให้โอกาสเจ้าคิดดูใหม่อีกครั้ง”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา ปี้อวิ๋นก็มีท่าทีคล้ายได้ยินเรื่องตลกขบขันที่สุด แหงนหน้าขึ้นหัวเราะฮ่าๆ

ผู้คนรอบด้านก็พากันหัวเราะหยันออกมาพร้อมกัน

“คิดดูใหม่อีกครั้ง คนอย่างเจ้าคู่ควรจะกล่าวคำนี้ด้วยหรือ ฮ่าๆ ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเสียเลย ยังกล้าคุยเขื่องคำโตอย่างไม่ละอายใจต่อหน้าคุณหนูอย่างข้า” ปี้อวิ๋นเยาะเย้ยเสียงดังพลางหัวเราะลั่น

สิ้นเสียง วาจาเยาะหยันจากรอบด้านยิ่งดังมากขึ้น

ลั่วหลีโมโหจนใบหน้าเล็กๆ แดงเถือก แทบจะพุ่งกระโจนออกไปดุจเสือดาวตัวน้อย แต่กลับถูกลั่วอวี่กดหัวไหล่ไว้ ไม่อาจขยับตัวได้

ดวงตาเย็นเยียบกวาดผ่านปี้อวิ๋นซึ่งกำลังหัวเราะสะใจ แววอำมหิตฉายวาบขึ้นมาในดวงตาลั่วอวี่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าเสียใจภายหลังแล้วกัน”

ลั่วอวี่พูดทิ้งท้ายไว้อย่างเย็นชา แล้วดึงมือลั่วหลีเดินตรงไปทางเวทีประลองแห่งนั้นทันที

ผู้คนรอบด้านเห็นลั่วอวี่ถึงกับกล้ารับคำท้าขึ้นเวทีประลองฝีมือกับปี้อวิ๋นซึ่งเรียนอยู่ชั้นสูงกว่านางถึงสองระดับก็พากันตื่นเต้นคึกคัก ต่างชักชวนเพื่อนพ้องเฮโลกันไปที่เวทีประลอง

พวกเขาอยากดูว่าวันนี้หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้จะปล่อยห้าแต้มอย่างไร

ขณะที่ลั่วอวี่กับปี้อวิ๋นก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง ผู้คนในสำนักศึกษาหลวงที่ทราบข่าวก็มายืนสลอนอยู่นอกเวทีแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าจดจ่อราวกำลังเฝ้ารอเรื่องสนุก

“วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

ลั่วอวี่ส่งยิ้มให้ลั่วหลีที่มีสีหน้าหวั่นวิตกทีหนึ่ง นางยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของเวที ยืดเหยียดนิ้วมือทั้งห้าอย่างใจเย็น

ส่วนปี้อวิ๋นซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันห่อปาก มีเสียงผิวปากเบาๆ ดังขึ้น

ครู่เดียวตัวนิ่มสีดำที่มีขนาดราวโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งก็วิ่งฝ่าฝูงชน แล้วกระโจนขึ้นเวทีประลองมายืนอยู่ข้างเท้าของปี้อวิ๋น

บนเกล็ดดำมะเมื่อมมีเกล็ดย้อนอันแหลมคมดุจพุ่มไม้หนามปกคลุมทั่วลำตัว เพียงมันครูดกรงเล็บลงบนเวที พื้นที่แข็งแกร่งดุจหินศิลาก็ถูกขูดเป็นร่องลึกหลายเส้นทันที

เขี้ยวคมกรงเล็บแหลม มีอาวุธอยู่ทั่วร่าง

จากพลังการต่อสู้มันถูกจัดอยู่ในสัตว์อสูรขั้นสี่ เมื่อเทียบกับพลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอดของปี้อวิ๋นถือว่ามีพลังโจมตีสูสีใกล้เคียง

คู่ต่อสู้เพิ่งเข้าสำนักศึกษามาแท้ๆ แต่ปี้อวิ๋นผู้นี้ถึงกับเรียกสัตว์อสูรขั้นสี่ออกมา นางคิดจะทำอะไรกันแน่ ผู้ชมที่อยู่รอบด้านพากันเป่าปากเปี๊ยวป๊าว

ขณะยืนอยู่บนเวที ปี้อวิ๋นมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้านิ่งเฉยอย่างดูถูกเหยียดหยามพลางเอ่ยขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม “กติกาการประลอง ศึกชี้ชะตา ไม่ตายไม่เลิกรา”

คำพูดนี้พอหลุดออกไป ผู้ชมรอบด้านที่กำลังรอชมเรื่องสนุกพลันเงียบกริบไปชั่วขณะ

จะสู้กันถึงตายเชียวหรือ

สำนักศึกษาหลวงไม่มีกฎห้ามไม่ให้ต่อสู้ถึงตาย ขอเพียงคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างต้องยินยอมพร้อมใจ ลงนามในหนังสือสัญญาไว้เป็นหลักฐาน เช่นนั้นก็เชิญลงมือได้ตามสบาย

ทว่าไม่ว่าใครก็มิใช่คนโฉดเขลา ทะเลาะมีปากเสียงกันพอมีให้เห็น แต่จะต่อสู้กันถึงตายนั้นมีน้อย ครั้งนี้ได้ยินปี้อวิ๋นกล่าวเช่นนี้ หลังจากเงียบกันไปชั่วขณะผู้คนที่อยู่รอบเวทีบ้างก็ส่ายหัว บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ร้องว่าดี บ้างก็

นี่มิใช่การกลั่นแกล้งรังแกกันชัดๆ หรอกหรือ

ยอดฝีมือชั้นปีที่สาม ท้าประลองศึกชี้ชะตากับคู่ต่อสู้ที่จะจัดให้อยู่ชั้นปีที่หนึ่งยังไม่ได้ นี่มัน

ทุกคนในที่นั้นคิดว่าลั่วอวี่จะต้องปฏิเสธเป็นแน่ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวกลับยกมือขึ้น ตวัดพู่กันลงไป ลงนามบนหนังสือสัญญาที่ปี้อวิ๋นยื่นให้ทันที

คราวนี้ผู้คนรอบด้านกลับมีอาการลังเลขึ้นมาแล้ว การลงนามอย่างไม่ต้องฉุกคิดเช่นนี้ หรือนางจะพอมีฝีไม้ลายมืออยู่จริง

ยามนี้บุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่บนหอคอยยอดแหลมซึ่งอยู่ห่างออกไป สองมือกอดอกมองลั่วอวี่อย่างตื่นตะลึงเต็มที่ กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นางนั่นเอง เป็นนางจริงด้วย!”

บุรุษชุดม่วงซึ่งอยู่ข้างกายได้ยินเสียงอุทานจากบุรุษชุดขาวผู้ปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็นยิ่งก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้ใดหรือ”

บุรุษชุดขาวมองลั่วอวี่ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษเพศบนเวทีประลอง หน้าตาแบบนี้ มีปานอัปลักษณ์เช่นนี้ คนผู้นี้มิใช่สตรีที่งดงามอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็น่าเกลียดเป็นที่สุดที่พวกเขาบังเอิญพบในค่ำคืนนั้นหรอกหรือ

เมื่อนึกถึงการพบหน้าและการปะทะกันในค่ำคืนนั้น บุรุษชุดขาวเอียงคอไปมองโม่เหยียนที่ทั่วร่างดูเย็นยะเยียบ ทว่ามีอยู่พริบตาหนึ่งคล้ายไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะที่กำลังลุกโชนได้ ด้วยปฏิภาณไหวพริบอันเฉลียวฉลาดบุรุษชุดขาวจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา

มิใช่คู่รักคู่แค้นย่อมไม่พบพาน ที่แท้คนทั้งสองก็มีความเกี่ยวพันกันเช่นนี้เอง

ครั้งแรกที่โม่เหยียนจิตใจหวั่นไหวเพราะเห็นซีกหน้าอีกด้านหนึ่งของหญิงอัปลักษณ์ และหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้กลับเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เขาชิงชังเข้ากระดูกดำพอดี

เรื่องราวบนโลกช่างประหลาดนัก คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว

ส่วนโม่เหยียนที่ร่างกำลังร้อนผ่าวด้วยเพลิงโทสะอยู่ข้างกายของบุรุษทั้งสองไม่ได้พูดอะไร เพียงมองลั่วอวี่ที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองอย่างเย็นชา มือที่กำเป็นหมัดแน่นแทบจะได้ยินเสียงกระดูกเสียดสีกันดังออกมา

ดวงหน้าซีกหนึ่งคือมารร้าย อีกซีกหน้าคือเทพธิดา

ช่างน่าตายนัก คู่หมั้นอัปลักษณ์ของเขา ที่แท้ก็คือหญิงอัปลักษณ์ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นและเอ่ยปากขอแต่งงานในค่ำคืนนั้นเอง

ที่แท้ก็เป็นนาง ที่แท้ก็เป็นนาง!

เมื่อเห็นลั่วอวี่รวบผมขึ้นอย่างคล่องแคล่ว เผยให้เห็นปานบนใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์คล้ายไม่ใส่ใจในรูปโฉมอัปลักษณ์ของตนแม้แต่น้อย ไม่รู้เพลิงโทสะจากที่ใดพลันก่อตัวขึ้นมาในอกของโม่เหยียนแล้วพุ่งสูงเทียมเทียบฟ้า

ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก ที่แท้คนที่ทำให้เขาอับอายขายหน้า ปล่อยข่าวให้เขาเสื่อมเสียล้วนเป็นนาง เป็นคนเดียวกัน

เขากำลังกลัดกลุ้มที่หานางไม่พบอยู่เชียว นึกไม่ถึงว่าวันนี้นางจะเดินมาหาเขาถึงที่ แค้นใหม่ทบหนี้เก่า สมควรแก่เวลาที่จะสะสางให้เรียบร้อยเสียที

เพลิงโทสะลุกโชติช่วง ประหนึ่งเปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ฝ่ายบุรุษชุดม่วงไม่ได้รับคำตอบจากสหายก็หันไปมองโม่เหยียนที่จู่ๆ ก็มีโทสะคุโชนขณะจับจ้องมองลงไปที่เวทีชนิดไม่วางตาคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ ตัวเขาจึงหันไปเบื้องล่างบ้าง เห็นลั่วอวี่ที่หน้าตาอัปลักษณ์ทว่าท่วงทีกลับดูสุขุมเยือกเย็นยิ่ง บนใบหน้าของเขาค่อยปรากฏรอยยิ้มคล้ายเข้าใจเรื่องราวอย่างกระจ่างชัด ที่แท้เพราะตัวการสำคัญมาถึงแล้วนี่เอง!

ตะวันสาดแสงทอง บนเวทีประลองและยอดหอคอยสูงในสำนักศึกษาหลวงมีรังสีอำมหิตพัดโหมอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

ขณะที่ผู้คนรอบด้านเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมา ปี้อวิ๋นผู้อยู่บนเวทีก็กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างย่ามใจ ส่วนลั่วอวี่นวดนิ้วเรียวงาม กล่าวเสียงราบเรียบดุจสายน้ำ ทว่าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

“ดูเหมือนคนของจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลคงไม่ได้บอกเจ้าสินะ ข้ามิใช่คนใจดีมีเมตตา”

ท่ามกลางน้ำเสียงเย็นเยียบ ลั่วอวี่เคลื่อนไหวแล้ว

ในเวลาเดียวกันนั้นปี้อวิ๋นตะโกนเสียงแหลม พลังยุทธ์สีเหลืองพวยพุ่งขึ้นจากร่าง พลังยุทธ์อันทรงอานุภาพแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระบี่คมกริบสองเล่ม หมายฟาดกลางแสกหน้าของลั่วอวี่ ตัวนิ่มซึ่งหมอบอยู่ข้างเท้าปี้อวิ๋นพลันผงกหัววิ่งเข้ามาทันที มันแยกเขี้ยวแหลมคมพุ่งเข้าใส่ลั่วอวี่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ การจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังมหาศาลเทียบเทียมได้กับหัวรถจักร

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รอยยิ้มหยันพลันผุดขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ

นางยกมือขึ้น นิ้วเรียวทั้งห้าคว่ำลงเป็นกรงเล็บ พุ่งเข้าตะปบพลังยุทธ์สีเหลืองทันที

คนที่มาชมการต่อสู้อยู่รอบด้านย่อมมีศิษย์ชั้นปีสูงๆ รวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นลั่วอวี่ไม่เพียงไม่หลบหลีก กลับใช้พลังกรงเล็บต่อกรกับพลังยุทธ์สีเหลืองคมกริบโดยตรงก็อดส่ายหน้าพร้อมกันไม่ได้

ทว่าเพิ่งส่ายหน้าได้ไม่กี่ทีก็ได้ยินเสียงปะทะหนักๆ ดังขึ้น กรงเล็บของลั่วอวี่ฉีกทะลวงพลังยุทธ์สีเหลืองของปี้อวิ๋นไม่ต่างกับฉีกกระดาษ

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างพลันตะลึงงันไปหมด

บนเวทีประลอง ลั่วอวี่สลายการโจมตีของพลังยุทธ์สีเหลืองได้ในคราเดียว แววตามีรอยยิ้มหยันผุดขึ้น ลั่วอวี่สืบเท้าเข้าประชิดก้าวหนึ่ง สะบัดข้อมือขึ้น แล้วฟาดใส่ตัวนิ่มที่พุ่งถลันเข้ามาทันที

จังหวะที่ลั่วอวี่กำลังตะปบฝ่ามือเข้าใส่ตัวนิ่มนั่นเอง เจ้าเงินที่กินอิ่มแล้วหลับอยู่ในอกเสื้อของนางมาโดยตลอดพลันขยับตัว โผล่หัวออกมาจากอกเสื้อของนาง ดวงตาเล็กๆ มองตัวนิ่มอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม มันส่งเสียงร้องจิ๊ๆ แล้วกระโจนออกมา

ทว่าแม้มันจะว่องไว แต่ลั่วอวี่ว่องไวกว่า นางยกมือขึ้นขัดขวางการเคลื่อนไหวของเจ้าเงินพลางกล่าวเบาๆ “กลับมา มิฉะนั้นจะไม่ให้เจ้ากินเนื้อย่าง”

คำข่มขู่นี้ร้ายกาจเหลือเกิน

เจ้าเงินได้ยินเช่นนี้ก็รีบหมุนตัวกลางอากาศ กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของลั่วอวี่อย่างเอาใจ ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกันมือของลั่วอวี่ก็สัมผัสเข้ากับปากอันแหลมคมของตัวนิ่มแล้ว นิ้วทั้งห้ารวบเก็บแล้วกางออก พลังฝ่ามือฟาดลงบนศีรษะน้อยๆ ของตัวนิ่มอย่างจัง

พลังวัตรหกสิบปีหาใช่ธรรมดา ตัวนิ่มซึ่งเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ถูกพลังกระแทกใส่จนศีรษะเอียงพับไปข้างหนึ่ง ร่างร่วงลงสู่เบื้องล่างทันที

ลั่วอวี่ไม่รอให้ตัวนิ่มตกถึงพื้น ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเตะเข้าที่ท้องจนร่างของมันลอยขึ้นมา ก่อนที่นางจะกางกรงเล็บที่ว่างอยู่พุ่งเข้าตะปบทันควัน

เห็นเพียงตัวนิ่มที่มีเกราะหุ้มทั่วตัวแผดเสียงคำรามลั่นกลางอากาศ มันถูกลั่วอวี่ฉีกกระชากร่างจนขาดกระจุยท้องทะลุไส้ทะลัก

“เจ้าเกราะดำ!”

ปี้อวิ๋นที่ยังไม่หายจากอาการตื่นตระหนกเพราะถูกลั่วอวี่ทำลายกระบี่พลังยุทธ์ของนางในคราเดียว เมื่อเห็นเช่นนี้สีหน้ายิ่งตื่นตะลึงพรึงเพริดหนัก ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ลั่วอวี่สลัดซากตัวนิ่มที่เนื้อตัวเหวอะหวะทิ้งไป ตวัดตามองนิ้วมือทั้งห้าของตนที่ยังมีโลหิตหยาดหยด เงาร่างถลันวูบ คุกคามเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย ฝ่ามือพุ่งตะปบไปที่กลางกระหม่อมของปี้อวิ๋นทันที

จู่โจมดั่งวายุ รวดเร็วดุจสายฟ้า ปี้อวิ๋นผู้ถูกพลังกล้าแข็งของลั่วอวี่กดดันจนขยับเนื้อตัวไม่ได้สีหน้าซีดเผือดลงทันที ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงอย่างหวาดกลัวสุดขีด

ผู้คนรอบข้างเพิ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อน ลั่วอวี่อาศัยเพียงมือเปล่าก็สามารถฉีกกระชากตัวนิ่มได้อย่างง่ายดาย พริบตาถัดมาฝ่ามือนั้นก็มาลอยอยู่เหนือศีรษะของปี้อวิ๋นแล้ว ต่อให้กระโหลกของคนแข็งเพียงใดก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าเกล็ดตัวนิ่มที่เป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ไปได้!

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที ทว่ากระทั่งจะเปล่งเสียงออกมาก็ยังทำไม่ได้

“โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

“คุณหนูลั่วอวี่ โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

เมื่อเห็นปี้อวิ๋นกำลังจะดับดิ้นด้วยน้ำมือของลั่วอวี่อยู่รอมร่อ เงาร่างหลายสายพลันพุ่งมาจากที่ไกลด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เอ่ยปากวิงวอนด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่ง

ลั่วอวี่ชำเลืองมองด้วยหางตา มุมปากปรากฏรอยยิ้มหยัน

นางเบี่ยงนิ้วทั้งห้าจากศีรษะของปี้อวิ๋นมาตะกุยลงบนหัวไหล่แทน พลังฝ่ามือทะลุผ่านหัวไหล่ โลหิตพุ่งทะลักอาบชุ่มตัวเสื้อด้านหน้า

“อ๊าาาาาา” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นทันที

ขณะเดียวกันลั่วอวี่ก็ยกเท้าขึ้น เตะปี้อวิ๋นเต็มแรงจนร่างร่วงตกเวทีไป

ที่ด้านล่าง เงาร่างหลายสายที่พุ่งเข้ามาเมื่อครู่พากันกระโดดขึ้นรับร่างของปี้อวิ๋นซึ่งชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและเจ็บปวดจนหมดสติไปแล้ว

หลังจากคลำดูชีพจรก็ต่างทอดถอนใจด้วยความโล่งอก โชคยังดี แม้จะมาช้าไปก้าวหนึ่ง แต่อย่างน้อยยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้

หนึ่งในนั้นหันมากล่าวกับลั่วอวี่ “ขอบคุณที่ยั้งมือไว้ไมตรี” พูดจบก็ค้อมตัวให้ลั่วอวี่เล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็อุ้มปี้อวิ๋นแล้วหมุนตัวพุ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

อาทิตย์ทอแสงทอง เจิดจ้าจนสายตาพร่าพราย

แสงตะวันเจิดจรัสสาดส่องลงมาจากฟากฟ้า อาบไล้ลงบนเรือนร่างของลั่วอวี่

ดวงหน้าซีกหนึ่งคือมารร้าย อีกซีกหน้าคือเทพธิดา

เด็ดชีวิตสัตว์อสูร ล้มคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียว นี่มันนี่มัน

รอบเวทีการประลองเหล่าศิษย์ในสำนักที่เดิมมีเจตนามารอชมเรื่องสนุก เวลานี้ในดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยแววตะลึงลาน ไม่รู้จะบรรยายอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรได้ถูก

หญิงผู้นี้ หญิงอัปลักษณ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าเพราะองค์ชายสาม นางเป็นคนไม่เอาไหนมิใช่หรือ เหตุใดเหตุใดจึง

“อา พี่ใหญ่ร้ายกาจยิ่งนัก พี่ใหญ่ร้ายกาจยิ่งนัก”

ท่ามกลางความเงียบสงัดราวป่าช้า ลั่วหลีที่อกสั่นขวัญแขวนมาโดยตลอดก็หวนคืนสติ เขาหัวเราะพลางกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างเวทีราวกับเป็นจิงโจ้ตัวหนึ่ง ตื่นเต้นดีอกดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง

ลั่วอวี่ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกลับไม่ได้มองไปทางลั่วหลีที่กำลังยินดีปรีดา สายตาเย็นชาคู่นั้นค่อยๆ กราดมองศิษย์ทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ยังมีใครคิดจะต่อสู้ถึงตายกับข้าอีกหรือไม่ วันนี้ข้าจะคอยรับใช้อย่างถึงที่สุด”

“ข้าจะคอยรับใช้อย่างถึงที่สุด”

ทั้งที่ความจริงหาได้มีเสียงสะท้อนใดๆ แต่เสียงของนางกลับคล้ายดังก้องอยู่ข้างหู ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตระหนก เนื้อตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

ลั่วอวี่ในชุดอาภรณ์สีฟ้าอ่อนยืนตระหง่านอยู่บนเวทีประลอง ปานสีแดงบนใบหน้าขับเน้นให้นางดูอัปลักษณ์ยิ่ง มือที่ห้อยอยู่ข้างกายยังคงมีโลหิตหยาดหยด เบื้องหน้าของนางมีซากตัวนิ่มที่ถูกฉีกกระชากจนเนื้อตัวขาดวิ่นกองอยู่ ภาพดังกล่าวย้ำเตือนทุกคนให้รับรู้

หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มิใช่คนไม่เอาไหน มิใช่คนอ่อนแอ แต่เป็นเสือดาวตัวหนึ่ง เสือดาวที่แข็งแกร่งและดุดันตัวหนึ่ง

ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบงัน

ไม่มีผู้ใดเปิดปาก ไม่มีผู้ใดรับคำท้า

ทุกคนที่เคยมีความคิดเช่นนั้น ยามนี้ล้วนเก็บซ่อนมันไว้ในซอกหลืบแล้วกลบฝังอย่างมิดชิด

ลั่วอวี่ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกวาดตามองผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง นางแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้า ครั้งหน้าข้าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเด็ดขาด”

กล่าวจบนางก็ตวัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวกระโดดลงจากเวที

“พี่ใหญ่ ยอดเยี่ยมไปเลย! ยอดเยี่ยมไปเลย!” ลั่วหลีกระโดดเข้ามาหา ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยๆ แห่งความเลื่อมใสศรัทธา

ลั่วอวี่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ ยกมือข้างที่ไม่มีโลหิตเปรอะเปื้อนขึ้นลูบศีรษะลั่วหลี ยามอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวนางไม่เคยปั้นหน้าเย็นชาได้สักที

“ไปเถอะ พาพี่ใหญ่ไป”

ยังกล่าวไม่ทันจบ ลั่วอวี่พลันหันขวับ มองไปยังยอดหอคอยสีขาวหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

ที่แห่งนั้นมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา นางสัมผัสได้

ลั่วอวี่ย่นคิ้วน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ช่างเป็นสายตาที่คุกคามคนนัก

“พี่ใหญ่ ไปเถอะๆ ข้าจะพาพี่ใหญ่ไปดูที่พักของข้า” ลั่วหลีดึงมือพี่สาว ฉุดรั้งไปข้างหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี

ลั่วอวี่มองไปยังทิศทางนั้นอีกครา ก่อนจะหมุนตัวเดินตามลั่วหลีไป

แสงอาทิตย์จ้าตาอาบไล้ทั่วร่างของลั่วอวี่

หากมองจากด้านหลังเพียงอย่างเดียว รูปร่างและท่วงทีกิริยาของนางดูงดงามกว่าปี้อวิ๋นมากมายนัก

“ความรู้สึกเฉียบไวยิ่งนัก ถูกจับได้เสียแล้ว” บนหอคอยยอดแหลมสีขาว บุรุษชุดม่วงปล่อยมือทั้งสองที่กอดอกลง เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้น

“มิใช่ความรู้สึก เป็นกำลังความสามารถต่างหาก พลังช่างกล้าแกร่งนัก” บุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นสูง ในดวงตาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

ที่สระน้ำลึกในค่ำคืนนั้น เขาก็ได้เห็นกลอุบายอันแยบคายและความองอาจห้าวหาญของนางแล้ว สามารถปลดปล่อยราชสีห์เมฆทองจากมือของพวกเขาได้ เพียงเท่านี้ก็อธิบายเรื่องทั้งหมดได้เป็นอย่างดีแล้ว

“ทั้งยังฉลาดเป็นกรดอีกด้วย เชือดไก่ให้ลิงดู ใช้วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ขู่ขวัญทุกคนให้ยอมสยบ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมก็ไม่กล้ากระทำการผลีผลามบุ่มบ่าม สร้างภาพลักษณ์ให้ทุกคนกริ่งเกรงไม่กล้าตอแยตั้งแต่ครั้งแรก ช่างเป็นวิธีที่หลักแหลมยิ่ง เห็นผลทันตา ท่าทียังบ้าระห่ำยิ่งนัก” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว

บุรุษชุดขาวได้ยินแล้วผงกศีรษะ “ฉลาดหลักแหลมยิ่ง ในการต่อสู้ถึงตาย ต่อให้มีคนตาย ครอบครัวของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถเอาเรื่องได้ แต่นางกลับไว้ชีวิตปี้อวิ๋น ไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนกั๋วกงสัมฤทธิผล หนำซ้ำยังทำให้พวกเขาต้องติดค้างน้ำใจอีกด้วย อายุยังน้อยแต่กลอุบายแยบคายนัก”

ขณะที่บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงกำลังกล่าวชื่นชมลั่วอวี่ไม่ขาดปาก โม่เหยียนผู้เปรียบเสมือนเปลวเพลิงที่สงบปากสงบคำมาโดยตลอดพลันแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง

“ฮึ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าพวกเจ้าเป็นใบ้”

คนทั้งสองได้ยินแล้วมองสบตากันวูบหนึ่งก่อนจะหุบปากในทันที ทว่าสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกลับทำให้คนเห็นแล้วยิ่งเดือดดาลหนัก

โม่เหยียนมองเงาร่างเด็กสาวที่เดินห่างออกไปด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโหมไปทั่วร่าง ประเสริฐแท้ คนไม่เอาไหนของจวนกั๋วกงม่วงพราว? นี่หรือคือคนที่พวกเขาบอกว่าไม่เอาไหน

น่าตายนัก พวกเขาต่างหากที่ไม่เอาไหนกันทั้งหมด

หญิงอัปลักษณ์ ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่แท้ก็เป็นเจ้า ประเสริฐ ประเสริฐแท้!

ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กลง รังสีอำมหิตพาดผ่านดวงตา โม่เหยียนตวัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวแล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป

เงาด้านหลังยังคงคุโชนด้วยเพลิงโทสะ

บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงเห็นเช่นนั้น หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างกลั้นไม่อยู่

ฮ่าๆ ชมใครเก่งได้ แต่อย่าได้ชมลั่วอวี่เป็นอันขาด!

เช่นนี้ไม่เท่ากับทุ่มหินใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ

ทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิแผ่ปกคลุมไปทั่ว ผืนปฐพีงดงามตระการตา

บทที่ 6

สำนักศึกษาหลวงกว้างใหญ่มาก

ที่พำนักของลั่วหลีอยู่ในมุมค่อนข้างห่างไกลผู้คน เป็นหอเก๋งมุงหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียวนวลทั้งหลัง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและวิจิตรงดงาม

ลั่วอวี่รู้สึกเหมือนตอนอยู่โรงเรียนประจำเมื่อชาติภพก่อน เพียงแต่สภาพแวดล้อมไม่อาจเทียบกับที่นี่ได้เลย

เพราะได้รับการฝากฝังจากจวนกั๋วกงม่วงพราวและมีพรสวรรค์ชั้นเลิศติดตัวมาแต่กำเนิด ลั่วหลีจึงสามารถเข้าเรียนกลางคันได้เป็นกรณีพิเศษทั้งที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเปิดรับสมัคร แต่เพราะเหตุนี้หอพักดีๆ จึงไม่มีเหลือแล้ว จำต้องมาอยู่ปะปนในหอพักของศิษย์ชั้นปีอื่นซึ่งอยู่ในมุมไกลสุด ทั้งไม่ใช่ที่พำนักสำหรับศิษย์ชั้นปีที่หนึ่ง

“ลั่วหลี กลับมาแล้วหรือ”

พอผลักประตูเข้าไป เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ในห้องก็หันมามองแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหาลั่วหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เจ้าตัวแสบ มีพี่สาวเก่งกาจขนาดนี้ก็ไม่บอกพวกเรา คอยดูเราจะจัดการเจ้าอย่างไร”

“นั่นสิ ต้องสั่งสอนเสียให้เข็ด กล้าปิดบังกระทั่งพวกเรา”

เด็กหนุ่มทั้งสองยื่นมือมายีผมของลั่วหลีแรงๆ อย่างล้อเล่น

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง จริงๆ นะ”

ลั่วหลีเงยหน้าขึ้น ในรอยยิ้มที่บ่งบอกความตื่นเต้นดีใจเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน พวกเขาขยี้หัวลั่วหลีเล่น ท่าทางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

ลั่วอวี่หับประตูปิดลง เอนร่างพิงประตูสองมือยกขึ้นกอดอกยืนดูภาพตรงหน้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่

หลังจากแกล้งลั่วหลีจนพอใจแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็หันมามองลั่วอวี่โดยพร้อมเพรียงกัน

เด็กหนุ่มร่างสูงอายุราวสิบหกสิบเจ็ด หน้าตาเฉลียวฉลาด ยิ้มพลางค้อมศีรษะให้ลั่วอวี่ “ข้าหวังโหว ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า”

เด็กหนุ่มด้านข้างที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลา ลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็นยิ่งก็ค้อมศีรษะให้ลั่วอวี่พลางแนะนำตัว “ข้าหวงอวี่”

ลั่วหลีจับมือหวังโหวและหวงอวี่เอาไว้แล้วแหงนหน้าไปทางลั่วอวี่ เอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบานใจยิ่ง

“พี่ใหญ่ พวกเขาเป็นสหายของข้า ตอนข้าไม่มีข้าวกิน ถูกกลั่นแกล้ง พวกเขาก็แอบช่วยเหลือข้ามาตลอด”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วเอามือที่กอดอกลง ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “ข้าจวินลั่วอวี่ ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้าเช่นกัน เรื่องลั่วหลีต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้ว”

องค์ชายสามมีฐานะอะไร หากเขารู้สึกขัดหูขัดตาลั่วหลีขึ้นมา ไม่ต้องรอให้เขาเปิดปาก ย่อมมีคนอาสาจัดการแทนอย่างแน่นอน ในเวลาเช่นนี้เด็กหนุ่มทั้งสองที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดในครอบครัวสามัญชนกลับกล้ายื่นมือเข้าช่วยลั่วหลี ไมตรีจิตครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก

“ขอบคุณอะไรกัน เจ้าหนูนี่น่ารักน่าเอ็นดู พอช่วยอะไรได้ก็ช่วยกันไป เรื่องเล็กน้อย”

หวังโหวโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ คล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

หวงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของหวังโหว

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ประกายลึกล้ำก็ผุดวาบขึ้นในดวงตา นางแอบพยักหน้ากับตัวเอง

ทั้งสองเห็นนางมีรูปโฉมอัปลักษณ์เช่นนี้กลับไม่มีสีหน้ารังเกียจดูแคลนแม้แต่น้อย ผู้ที่ไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้นับว่ามีความลึกล้ำ

การลงมือกับคู่ต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมของนางในวันนี้ พวกเขาคงรู้แล้ว แต่กลับเผชิญหน้ากับนางอย่างไม่มีท่าทีครั่นคร้ามกริ่งเกรงแต่อย่างใด นับว่ามีความกล้าหาญ

ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้ยังยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ความองอาจไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจและความมีน้ำใจของพวกเขายากจะหาใครเทียบได้

สหายทั้งสองคนของลั่วหลีนับว่าไม่เลวเลย

ลั่วอวี่สรุปข้อคิดเห็นของตนออกมา นางยิ้มให้หวังโหวและหวงอวี่แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้ต้องหิวตาย สำหรับเขาก็คือเรื่องใหญ่”

ทันทีที่พูดจบ หวังโหวและหวงอวี่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ลั่วอวี่ไม่พูดอะไรมาก นางล้วงขวดใบหนึ่งจากอกเสื้อก่อนจะเทเม็ดยาสีแดงออกมาสองเม็ด ยื่นนิ้วแล้วดีดเม็ดยาไปให้หวงอวี่และหวังโหว

ไม่รอให้หวังโหวและหวงอวี่ปฏิเสธ ลั่วอวี่ก็กล่าวยิ้มๆ “สำหรับข้านี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้ายังมีอีกมาก”

จบคำนางก็เขย่าขวดยาในมือ

มีเสียงเม็ดยากระทบกันแสดงว่าในขวดยังมีไม่น้อย

หวังโหวและหวงอวี่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วก้มลงมองเม็ดยาที่อยู่ในมือ เม็ดยาสีแดงไม่รู้ว่าคือยาอะไร แต่เพียงสูดดมกลิ่นหอมก็ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่ง ของสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

หวงอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น “พวกเราช่วยลั่วหลีเพราะอยากช่วย หาได้”

“สหายของลั่วหลีก็คือสหายของข้า ระหว่างมิตรสหายไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หาไม่ก็เท่ากับเห็นข้าเป็นคนอื่น” ลั่วอวี่เอ่ยแทรกขึ้นมาพลางยิ้มให้อย่างอบอุ่นเปี่ยมไมตรีจิต

“ใช่แล้วๆ พี่ใหญ่ให้ พี่หวังกับพี่หวงก็รับไว้เถิด ของสิ่งนี้พี่ใหญ่ยังมีอีกมาก อย่าได้เกรงอกเกรงใจไปเลย”

ลั่วหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้จึงก้าวเข้ามา คว้าเม็ดยาจากมือของหวังโหวและหวงอวี่ยัดเข้าไปในอกเสื้อของคนทั้งสองทันที ท่าทางดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าของสิ่งนี้มีค่ามากมายอะไร

หวังโหวและหวงอวี่มองหน้ากันคราหนึ่ง หวังโหวหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม “ตกลง เป็นสหายก็ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ ข้าจะรับเอาไว้”

“เช่นนี้ถูกต้องแล้ว” ลั่วหลีได้ยินแล้วพลันยิ้มออกมา

ลั่วหลีเห็นหวังโหวและหวงอวี่ยอมรับไว้ก็ดีใจยิ่ง พี่สาวและสหายของเขาเข้ากันได้ดี ดียิ่งนัก

ลั่วหลียื่นมือออกไปอุ้มเจ้าเงินจากไหล่ของลั่วอวี่ ใจจริงเจ้าเงินไม่อยากให้เขาอุ้มเลยแม้แต่น้อย ทว่าภายใต้สายตาข่มขู่ว่าจะไม่ให้กินเนื้อย่างของลั่วอวี่ทำให้มันต้องยอมจำนน

คนทั้งสี่สนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระ

ความมืดยามราตรีแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ มืดสนิทไร้สิ่งเคลือบแฝง

 

สายลมอุ่นเริ่มโชยพัด กลิ่นหอมของดอกท้อขจรขจายไปทั่วรัศมีสิบลี้

วันเวลาต่อจากนั้น ลั่วอวี่จะว่ายุ่งก็ไม่ยุ่ง จะว่าไม่ยุ่งแต่ก็ยุ่ง

ศิษย์ใหม่เข้ารายงานตัว ต้องแบ่งระดับชั้นและจัดสรรครูอาจารย์ผู้สอน กรอกประวัติภูมิลำเนา อายุและครอบครัว@@@

สำนักศึกษาหลวงไม่ได้แบ่งระดับชั้นเรียนตามอายุ หากแต่จำแนกตามความสามารถ

เรื่องนี้ความจริงแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไร ทว่าเมื่อถึงคราวลั่วอวี่กลับกลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว

ลั่วอวี่เพิ่งเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวง ทั้งไม่มีพลังยุทธ์ จัดให้อยู่ในกลุ่มศิษย์ใหม่หรือ

ยอดฝีมือของชั้นปีที่สามยังไม่อาจต่อสู้กับนาง ยังจะเป็นศิษย์ใหม่อะไรได้

เอาล่ะ เรื่องชั้นปียังพอแก้ไขได้ แต่จะให้ใครมาเป็นอาจารย์ของนางเล่า

อาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษาหลวงมาร่วมประชุมกัน ยังชี้ชัดออกมาไม่ได้ว่าวรยุทธ์ของลั่วอวี่เป็นวิชายุทธ์แขนงใด แล้วเช่นนี้จะให้พวกเขาสอนนางอย่างไร

นอกจากนี้วรยุทธ์ผาดโผนพิสดารของลั่วอวี่ พวกเขาไม่มีใครเป็นเลยสักคน!

เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหา แต่ประวัติครอบครัวที่ลั่วอวี่กรอกมากลับเป็นปัญหายิ่งกว่า

นางไม่ได้ระบุถึงจวนกั๋วกงม่วงพราว แต่เป็นคฤหาสน์สกุลจวิน คฤหาสน์สกุลจวินที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนด้วยซ้ำ

กระทั่งผู้รับผิดชอบงานทะเบียนซักไซ้ไล่เลียงจนถึงที่ ถึงได้ยินลั่วอวี่ชี้แจงอย่างเรียบง่ายทว่ากลายเป็นข่าวครึกโครมใหญ่โต นางบอกว่าครอบครัวของจวินอวิ๋นผู้ถือกำเนิดจากภรรยาลำดับที่ห้าแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวได้ตัดขาดจากจวนกั๋วกงม่วงพราวและตั้งคฤหาสน์สกุลจวินขึ้นเอง

เป็นผู้มีอำนาจบรรดาศักดิ์ดีๆ กลับไม่ชอบ อยากจะเป็นสามัญชน?

ส่วนลั่วหลีพอได้ยินลั่วอวี่ว่าเช่นนั้นก็รีบแจ้นไปเปลี่ยนข้อมูลวงศ์สกุลให้เหมือนพี่สาวด้วยอีกคน

ฝ่ายจวนกั๋วกงม่วงพราวเองก็ยอมรับในเรื่องนี้

เรื่องนี้มันช่าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคนแบบไหนประเภทใด สำนักศึกษาหลวงก็เคยพบเจอมาแล้วทั้งนั้น ทว่ายังไม่เคยเจอใครรับมือยากเท่านี้มาก่อน

ช่างทำให้คนปวดหัวยิ่งนัก

จัดชั้นเรียนให้ไม่ได้ อาจารย์ก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างแน่ชัด หลายวันมานี้ลั่วอวี่จึงแทบจะอยู่ในสภาพเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ

ทว่าเดิมทีลั่วอวี่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ร่ำเรียนวรยุทธ์โบราณอะไรจากที่นี่อยู่แล้ว

สาเหตุที่นางมา ประการแรกเพื่อลั่วหลี ประการที่สองเพื่ออู๋หยาที่บิดาของนางเคยเอ่ยถึงผู้นั้น ประการที่สามเพื่อสะสางเรื่ององค์ชายสามและสัญญาหมั้นหมาย ไม่มีคนคอยสอนนางก็ยิ่งดี นางจะได้ดำเนินการได้สะดวก

ดวงจันทร์คล้อยเคลื่อนไปทางตะวันตก ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาทางตะวันออก

แสงอรุโณทัยเริ่มสาดประกายระยิบระยับจ้าตาขึ้นมาขับไล่ม่านราตรีสีดำ แสงรุ่งโรจน์โชติช่วงหลากสีสันทาทาบขอบฟ้า เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง

หลังจากลั่วอวี่มาอยู่ที่นี่ก็พำนักอยู่กับลั่วหลี ส่วนหวังโหวและหวงอวี่ก็ย้ายไปเบียดเสียดกับคนอื่นที่ห้องข้างๆ

เดิมทีสำนักศึกษาหลวงจะแยกที่พักชายหญิงออกจากกัน แต่ไม่รู้เป็นเพราะลืมไป หรือเข้าใจว่ารูปโฉมเช่นนี้ของลั่วอวี่น่าจะปลอดภัยไม่มีอะไร จึงอนุญาตให้นางพำนักอยู่ในหอชายได้

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาหลวงเลยทีเดียว

“พี่ใหญ่ ข้าไปก่อนนะ”

ลั่วหลีขยับชุดฝึกยุทธ์บนร่างจนเข้าที่เข้าทางแล้วหันไปโบกมือให้ลั่วอวี่ ก่อนเปิดประตูออกไป

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วยังไม่ทันรับคำก็ได้ยินเสียงลั่วหลีเปิดประตู ตามมาด้วยเสียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาพบผู้ใด”

“ไม่ทราบว่าจวินลั่วอวี่พักอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เสียงอิสตรีที่ฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่แท้จริงกลับแฝงไว้ด้วยความดูแคลนดังขึ้น

ลั่วอวี่หมุนตัวเดินไปที่ประตูดูว่าผู้ใดมาพบนาง

ที่หน้าประตูมีเด็กสาวสวมชุดฝึกยุทธ์สีขาวทองของศิษย์ชั้นปีที่สามนางหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังมีเด็กหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ชั้นปีเดียวกันตามมาด้วย

ครั้นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราผู้นี้เห็นลั่วอวี่ซึ่งไม่จำเป็นต้องแนะนำตนเอง เพราะปานที่ประทับบนใบหน้าได้บอกให้รู้แล้วว่านางก็คือจวินลั่วอวี่ แววตาดูแคลนและรังเกียจก็ฉายวาบขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นทันที

นางยื่นสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายเทียบเชิญสีแดงใบหนึ่งให้ลั่วอวี่แล้วกล่าวอย่างยโส “พวกเราจะรอเจ้า หวังว่าเจ้าคงจะไม่กลัวหัวหดจนไม่กล้ามา และทำให้พวกเราทุกคนต้องผิดหวังหรอกนะ”

พูดจบนางไม่สนใจว่าลั่วอวี่จะตอบรับหรือไม่ก็หมุนตัวจากไปทันที ท่าทางของนางบ่งบอกถึงความหยิ่งผยองคล้ายคนตรงหน้าไม่คู่ควรแก่การใส่ใจ

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้วมุ่นแล้วพลิกเทียบเชิญที่อยู่ในมือ

“งานชุมนุมสัตว์อสูร” มันอะไรกัน แน่ใจนะว่าไม่ได้เขียนผิดจากงานฉลองวันเกิด เป็นงานชุมนุมสัตว์ ลั่วอวี่ดีดนิ้วใส่เทียบเชิญสีแดงทีหนึ่ง

“งานชุมนุมสัตว์อสูร?”

หวังโหวกับหวงอวี่ที่ออกมายืนอยู่หน้าห้องข้างๆ ตั้งแต่ได้ยินเสียงลั่วหลีแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็พากันนิ่วหน้า สาวเท้าเข้ามาทันที

ลั่วอวี่จึงยัดเทียบเชิญในมือให้หวงอวี่ดูอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

หวงอวี่ผู้มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นรีบกวาดตาอ่านข้อความอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เข้าไปคุยกันข้างใน” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องพักของลั่วอวี่และลั่วหลี

ในเวลาเดียวกันหวังโหวก็ดันตัวลั่วหลีที่ดูท่าทางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “รีบไปเรียนได้แล้ว เพิ่งเข้ามาก็คิดจะโดดเรียนแล้วหรือ เดี๋ยวก็ตามคนอื่นไม่ทันหรอก” กล่าวจบก็ไม่ปล่อยให้ลั่วหลีได้โต้แย้ง หิ้วตัวลั่วหลีโยนออกนอกประตูใหญ่ของหอเก๋งไปทันที

ภายในห้อง ลั่วอวี่มองหวงอวี่ที่มีสีหน้าเป็นกังวลแล้วเดินเข้าไปเอนกายพิงผนังพลางเอ่ยขึ้น “เรื่องเป็นอย่างไรลองว่ามาซิ”

หวงอวี่เหลือบตามองลั่วอวี่ที่ไม่มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดเสียงต่ำ “งานชุมนุมสัตว์อสูร จะว่าไปก็คืองานชุมนุมที่เกี่ยวกับการประลองของสัตว์อสูร เจ้าก็รู้ สัตว์อสูรยิ่งผ่านการต่อสู้มากเท่าไรก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นพวกมันจึงต้องการโอกาสในการฝึกปรือ ด้วยเหตุนี้ศิษย์ในสำนักจึงจัดงานชุมนุมสัตว์อสูรขึ้นอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาสัตว์อสูรของตน”

กล่าวถึงตรงนี้หวงอวี่ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลั่วอวี่เชิดปลายคางขึ้นเป็นเชิงบอกให้เขาพูดต่อ

หวงอวี่เห็นเช่นนี้จึงไม่เกรงใจและไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เคาะนิ้วลงกับโต๊ะพลางกล่าวว่า “แต่งานชุมนุมสัตว์อสูรแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นการประลองฝีมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยมิตรไมตรีอย่างแท้จริง จะยั้งมือแต่พอควรแค่พอรู้แพ้รู้ชนะ ส่วนอีกประเภทมีรูปแบบเหมือนการพนัน ตัดสินแพ้ชนะด้วยความเป็นความตาย มีเงินเดิมพันสูงและมีอันตรายมาก โดยทั่วไปมีแต่คู่อริเท่านั้นที่จัดงานประลองประเภทนี้ เทียบเชิญแผ่นนี้ ข้าดูแล้วเป็นเทียบเชิญที่คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาดส่งมา ข้าจึงอดคาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องไม่ใช่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยไมตรี และยั้งมือแต่พอควรแน่นอน”

หวงอวี่พูดยาวรวดเดียวถึงตรงนี้ พลันชำเลืองตามองไปทางเจ้าเงินที่เพิ่งจะคลานออกจากกองผ้าห่ม ท่าทางยังงัวเงีย หัวยุ่งกระเซิง

สัตว์อสูรระดับขั้นต่ำชั้นที่รู้จักแต่กินแล้วก็นอนตัวนี้ ประลองฝีมือหรือ ไม่แน่ว่าถูกเตะเข้าทีเดียวก็ต้องส่งมันกลับบ้านเก่าแล้วกระมัง

ได้ยินหวงอวี่พูดมาถึงตรงนี้ ลั่วอวี่ก็พอเข้าใจแล้ว

ปี้อวิ๋นแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลผู้ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือถูกนางกำราบจนสิ้นพิษสง สร้างอำนาจบารมีขึ้นมาได้ ไม่ทันไรก็มีคุณหนูแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาดโผล่มาอีกคนแล้ว หรือจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามอีก

ในดวงตาดำขลับของลั่วอวี่ฉายแววกรุ่นโกรธ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!

“อย่าได้ดูเบาคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้เป็นอันขาด นางกับปี้อวิ๋นแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลไม่ใช่คนระดับเดียวกัน” ยามนี้หวังโหวผู้นำตัวลั่วหลีไปโยนไว้ข้างนอกก็เดินเข้ามาพลางเอ่ยแทรกขึ้น

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้น พยักพเยิดไปทางเขาให้ว่าต่อไป!

หวังโหวเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ ทรุดตัวนั่งลงบนเตียงของลั่วหลีแล้วกล่าวว่า “ปี้อวิ๋นจอมสาระแนผู้นั้น ถือดีว่าตนมีความสามารถโดดเด่นกว่าใครในบรรดาคนรุ่นหลังแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลจึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เห็นชัดว่านางเป็นคนโฉดเขลาอย่างไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความ ทว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้เป็นคนฉลาดหลักแหลมไม่น้อย เรื่องความสูงศักดิ์งดงามคงไม่ต้องกล่าวถึง ยังรู้จักการรุกถอยอย่างเหมาะสม ในความนุ่มนวลแฝงไว้ซึ่งความเฉียบขาด เมื่อเปรียบกับปี้อวิ๋นแล้ว เรียกได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่ในเหวเลยทีเดียว”

กล่าวถึงตรงนี้หวังโหวมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้านิ่งเฉยพลางหัวเราะหึๆ

“ที่สำคัญก็คือนางกับองค์ชายสามใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้ยินว่าองค์ชายสามโปรดปรานนางมาก ถ้าไม่ใช่จู่ๆ ก็มีจระเข้ขวางคลองอย่างเจ้าโผล่ขึ้นมาแล้วล่ะก็ พวกเราทุกคนคงไม่สงสัยเลยว่าพระชายาองค์ชายสามต้องเป็นนางไม่ผิดแน่”

หวังโหวพูดจบก็มองลั่วอวี่อย่างยั่วเย้า สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรอชมเรื่องสนุก

หวงอวี่ที่อยู่ข้างๆ เบนสายตามามองลั่วอวี่บ้าง สีหน้าไม่มีรอยกระเพื่อมไหวมากนัก ทว่าในดวงตาคู่นั้นคล้ายมีรอยยิ้มเคลือบแฝงอยู่

เด็กสาวรูปโฉมอัปลักษณ์กลับปล่อยข่าวว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาและไม่ยอมแต่งงานกับเขา เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาไม่อาจตีสีหน้าเคร่งขรึมได้จริงๆ

ลั่วอวี่เห็นท่าทางล้อเลียนของคนทั้งสองก็ตวัดตามองค้อนไปทีหนึ่ง

นางไปกล่าวหาว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข่าวลือนี้ช่างทำให้คนต้องเดือดร้อน

แต่หยอกล้อก็ส่วนหยอกล้อ หลังจากเสียงหัวเราะแผ่วเบาผ่านพ้นไป หวงอวี่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากหลีกเลี่ยงได้ก็อย่าไปจะดีกว่า งานนี้ไม่มีจุดประสงค์ดีแน่”

หวังโหวก็พยักหน้าเช่นกัน “ครั้งก่อนมีงานชุมนุมสัตว์อสูรเช่นนี้ ไม่นับเรื่องสูญเสียสัตว์อสูร และไม่พูดถึงที่สิ้นเนื้อประดาตัว คนที่พ่ายแพ้ยังต้องทำตามเงื่อนไขการเดิมพันที่ต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้า วิ่งล่อนจ้อนไปทั่วสำนักศึกษาหนึ่งรอบ ทั้งยังต้องโขกศีรษะให้ผู้ชนะต่อหน้าผู้คนจำนวนมากอีก สุดท้ายถูกบีบคั้นจนสติฟั่นเฟือน ต้องออกจากสำนักไป”

ผู้ที่เข้ามาในสำนักแห่งนี้ได้ ไม่มีผู้ใดมิใช่ผู้เก่งกาจสามารถ สัตว์อสูรเรื่องเล็ก ทรัพย์สินเงินทองไม่มีเหลือก็ยังนับเป็นเรื่องขี้ผง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงศักดิ์ศรีและหน้าตา เมื่อสูญเสียไปก็หมายความว่าชีวิตนี้ไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมองผู้คนได้อีกแล้ว

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วปรายตามองเทียบเชิญสีแดงแผ่นนั้นแวบหนึ่ง ที่แท้มีจุดประสงค์เช่นนี้เอง นับว่าเฉียบแหลมกว่าปี้อวิ๋นอยู่หลายขุม

แต่

ลั่วอวี่ก้าวช้าๆ ขึ้นมาข้างหน้า หยิบเทียบเชิญสีแดงแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วตวัดปลายนิ้ว

เทียบเชิญพลันถูกกำลังภายในอันกล้าแข็งฉีกกระชากจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงหล่นลงจากปลายนิ้วของลั่วอวี่ มองดูคล้ายผีเสื้อสีแดงกำลังโบยบินอยู่ในห้อง

ท่ามกลางแสงอรุโณทัยที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มุมปากของลั่วอวี่หยักยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มหยันบางเบา นางเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ในเมื่อผู้อื่นอุตส่าห์เชิญมาทั้งที ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร”

น้ำเสียงราบเรียบ หากแต่พลังคุกคามบีบคั้นในความไม่ยี่หระนั้นกลับแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทุกอณูขุมขน เกิดเป็นแรงกดดันอันไร้ตัวตนอย่างหนึ่ง

หวงอวี่และหวังโหวเห็นดังนี้ก็มองสบตากัน ดวงตาของคนทั้งสองฉายแววประหลาดใจ

นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง หวงอวี่และหวังโหวก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ครู่เดียวก็เดินกลับมาอีก

“ที่เจ้าพูดก็ถูก ในเมื่อพวกเขาบุกมาท้าทายถึงที่ ครั้นจะไม่ไป กลับจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเรากริ่งเกรงนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปเถอะ ลั่วอวี่ นี่ให้เจ้า พวกเราไม่มีเงินทองมากมายอะไร เงินเหล่านี้เจ้าเอาไปเป็นเงินเดิมพันเถอะ” หวังโหวยังคงกล่าวกับลั่วอวี่อย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่มีอะไร

พูดจบเขาก็ส่งหีบไม้ใบเล็กมาให้ลั่วอวี่

พวกเขารู้ว่าลั่วอวี่ตัดขาดกับจวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว เด็กสาวผู้ปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสามจนเรืองนามไปทั่วแผ่นดิน เรื่องฐานะและความเป็นอยู่ล้วนถูกขุดคุ้ยจนหมดเปลือก คนยากจนที่โด่งดังคนหนึ่ง ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ เวลานี้นางจะเอาอะไรไปพนันกับผู้อื่นได้เล่า ย่อมต้องอาศัยการเกื้อหนุนจากมิตรสหาย

ลั่วอวี่ยื่นมือรับไป เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าในหีบมีเหรียญทองซ้อนทับกันอยู่กองหนึ่ง เท่าที่ประเมินดูน่าจะมีอยู่ราวหนึ่งร้อยเหรียญ

หนึ่งร้อยเหรียญทอง ในสายตาจวนกั๋วกงแทบจะไม่คู่ควรแก่การชายตามองด้วยซ้ำ ไม่ว่าไปกวาดตามซอกมุมไหนในจวนก็ยังได้เหรียญทองมากกว่านี้

ทว่าหากเปลี่ยนมาเป็นครอบครัวสามัญชนทั่วไปที่มีแต่เหรียญทองแดงและเหรียญเงินเป็นหลัก หนึ่งร้อยเหรียญทองก็เรียกได้ว่ามากมายมหาศาลแล้ว เงินเหล่านี้คงจะเป็นเงินทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่เป็นแน่

ลั่วอวี่ปิดหีบไม้ลง มองหน้าหวงอวี่และหวังโหวแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นางก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ตกลง ถ้าแพ้ก็ใช้เงินของพวกเจ้า ถ้าชนะเราแบ่งกันสามคน”

หวงอวี่กับหวังโหวได้ยินแล้วงุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่น

ลั่วอวี่ช่างคิดหาวิธีแบ่งผลประโยชน์ที่เขี้ยวลากดินเช่นนี้ออกมาได้

ทว่าระหว่างสหายก็สมควรเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ

 

พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงมาถึงยามพลบค่ำ

แสงโคมเริ่มส่องสว่าง ห้องฝึกยุทธ์ภายในสำนักศึกษาหลวงที่ควรจะเงียบสงบลงแล้ว เวลานี้กลับมีเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ ที่นั่งหลายร้อยที่มีคนจับจองเต็มจนไม่เหลือที่ว่าง

คบเพลิงสีแดงส่องสะท้อนไข่มุกราตรีที่ประดับอยู่บนผนังรอบด้าน ทำให้ห้องฝึกยุทธ์แห่งนี้สว่างไสวดุจกลางวัน มองเห็นทุกอย่างชัดเจน

เวทีศิลาดำที่อยู่ตรงกลางมีกลิ่นคาวโลหิตแผ่ออกมาจางๆ ดูโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟ

ห้องฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างคือที่นั่งธรรมดา ชั้นบนเป็นที่นั่งชั้นพิเศษซึ่งกั้นเป็นห้อง ที่นั่งภายในล้วนถูกจับจองหมดแล้ว ทุกคนในที่นั้นกำลังเฝ้ารอการมาถึงของคนผู้หนึ่ง

“จวนจะได้เวลาแล้ว คงไม่ใช่ไม่กล้ามากระมัง” เสียงถากถางดังขึ้น

“ไม่หรอก ข้าว่าคงจวนจะมาถึงแล้วล่ะ” เด็กสาวที่สวมกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน รูปโฉมงามสะคราญ บุคลิกท่วงทีอ่อนหวานละมุนละไมดั่งสายน้ำผู้นี้คือคุณหนูใหญ่สกุลเหลียน นางยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าขณะหันไปกล่าวกับเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย

“นางจะกล้ามาจริงหรือ” เด็กสาวผู้นำเทียบเชิญไปมอบให้ลั่วอวี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูหมิ่นดูแคลน

“หากเป็นข้า ข้าย่อมมาแน่” บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนได้ยินพลันคลี่ยิ้มแล้วหันหน้าไปมองบุรุษชุดขาวที่อยู่อีกฟากของโต๊ะหินหยก กล่าวยิ้มๆ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”

บุรุษชุดขาวยกสุราขึ้นจิบอึกหนึ่งพลางปรายตามองไปยังบุรุษในอาภรณ์สีแดงที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นบุรุษในชุดแดงซึ่งมีสีหน้าเย็นชา หากแต่เห็นชัดว่าไม่อาจข่มกลั้นโทสะไว้ได้ก็เลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“มาแล้วๆ”

ในเวลานั้นเองจู่ๆ ในห้องโถงก็เกิดความวุ่นวายขึ้น จากนั้นไม่นานเสียงจ้อกแจ้กจอแจพลันเงียบลงทันที ทุกคนในที่นั้นต่างจับจ้องไปทางประตูห้องโถง

ลั่วอวี่ยังคงอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน เส้นผมรวบไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ มีเจ้าเงินยืนอยู่บนไหล่ นางก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน

สีหน้าเป็นปกติ ราบเรียบดุจสายน้ำ โดยไม่ได้เหลือบมองแววตาทั้งหลายที่จับจ้องอยู่รอบกาย นางไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเดินไปยังเก้าอี้ว่างภายในห้องโถงอย่างใจเย็น ด้านหลังนางมีลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่ตามมาด้วย

“นางกล้ามาจริงๆ”

“นับว่ามีความกล้าหาญอยู่บ้าง”

“กล้าหาญ ไม่รู้หลังจากวันนี้แล้วยังจะกล้าหาญอยู่หรือไม่”

ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ หลังจากลั่วอวี่เข้านั่งประจำที่แล้วเสียงกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ของคนในห้องโถงก็ดังขึ้นอีกคำรบ ถ้อยคำที่พูดออกมาเต็มไปด้วยการสบประมาทเหยียดหยามนาง

ลั่วอวี่เอนกายพิงพนักเก้าอี้ มือลูบไล้เจ้าเงินราวกับไม่ได้ยินวาจาหยามหยันใดๆ ทั้งสิ้น ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวของนางกลับยิ่งสร้างแรงกดดันอันไร้ตัวตนให้กับทุกคนในที่นั้น

ภายใต้สีหน้าที่ดูเป็นปกติของลั่วอวี่ เสียงกระซิบกระซาบค่อยๆ เบาลง

ภายในห้องที่นั่งชั้นพิเศษ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าไหววูบเล็กน้อย จากนั้นนางจึงลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มแล้วก้าวออกจากห้องมาหยุดตรงหน้าราวระเบียง โบกมือน้อยๆ ไปทางด้านล่าง

เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ด้านล่างพลันเงียบลงทันที

“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ลำดับขั้นตอนของงานชุมนุมสัตว์อสูรทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว ข้าจะไม่กล่าวให้มากความ แต่วันนี้ยากยิ่งที่จะมีผู้มาร่วมงานมากมายเช่นนี้ หากจะประลองยุทธ์เพียงอย่างเดียวคงไม่น่าสนใจเท่าไร เรามาเดิมพันกันดีกว่า เงื่อนไขการเดิมพัน ขอเพียงทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็พอ คนอื่นไม่อาจก้าวก่าย”

พอจบคำ เสียงเป่าปากก็ดังขึ้นจากด้านล่าง ระหว่างนั้นมีเสียงปรบมือดังสอดแทรกเป็นระยะ

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้จึงกล่าวต่อด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “แต่ว่ามีผู้มาร่วมประลองจำนวนมาก หากต่อสู้ทีละคู่ไม่รู้เมื่อไรจึงจะเสร็จสิ้น เช่นนี้แล้วกัน วันนี้เราจะใช้วิธีหมุนวงล้อโดยให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้หมุน หากไปตกที่หมายเลขที่นั่งของผู้ใดก็ให้ขึ้นมาประลอง ส่วนคนอื่นก็ลงเดิมพัน ร่วมสนุกไปพร้อมกัน”

“ตกลง”

“ไม่มีปัญหา สุดแท้แต่ศิษย์พี่เหลียนเถิด”

“ดีๆ มาเริ่มกัน เริ่มกันได้แล้ว”

บรรดาศิษย์สำนักศึกษาที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงกู่ร้องสนับสนุนขึ้นทันที

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นก็เบนสายตาไปที่ร่างของลั่วอวี่ซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง ไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านแม้แต่น้อย คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนยังคงยิ้มแย้มอ่อนโยน นางหันไปทางลั่วอวี่แล้วกล่าวว่า “วันนี้มีศิษย์น้องคนใหม่มาร่วมสนุกกับเราด้วย ศิษย์น้องลั่วอวี่ เข้าใจกติกาแล้วหรือไม่” พูดถึงตรงนี้นางก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยต่อไป “ต้องการให้ข้าอธิบายให้ฟังหรือไม่”

ดวงหน้าอ่อนโยน วาจาบริสุทธิ์ใสซื่อ ที่ว่า ‘ในแพรพรรณซ่อนคมเข็ม’ คงหมายถึงเช่นนี้เอง

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วชำเลืองตามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่อยู่บนชั้นสองปราดหนึ่ง ยังไม่ทันกล่าววาจา ผืนม่านที่อยู่ด้านหลังคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นั้นพลันปลิวตลบไปตามแรงลม เผยให้เห็นโฉมหน้าของผู้ที่อยู่ภายใน

ภายในห้องมีคนอยู่ทั้งหมดสี่คน เด็กสาวผู้ส่งเทียบเชิญ และเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดอีกสามคน

เด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวทางเบื้องซ้ายหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก มีกลิ่นอายของบัณฑิตแผ่ออกมาทั่วร่าง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีน่าคบหา เขาคือบุรุษที่พบในค่ำคืนนั้นเอง

ส่วนบุรุษทางเบื้องขวาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วง เครื่องหน้าคมสัน แม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลาเท่าใด ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษที่แข็งแกร่งห้าวหาญ องอาจผึ่งผายยิ่ง

ส่วนคนที่อยู่ตรงกลาง ในความหล่อเหลาแฝงด้วยแววเดือดดาลและดูแคลนอย่างรุนแรง ทำให้เขาแลดูเหมือนราชสีห์ที่กำลังพองขนพร้อมจะระเบิดโทสะ หากไม่ใช่องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนที่เคยมีเหตุกระทบกระทั่งกับนางยังจะเป็นใครไปได้

สายตาของลั่วอวี่และองค์ชายสามมองสบประสานกัน พริบตานั้นคล้ายมีอสุนีบาตฟาดลงสู่ผืนพสุธา ประกายไฟกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง สายตาดุจคมมีดเชือดเฉือนกันไปมา

หัวคิ้วของลั่วอวี่กระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

โม่เหยียนเห็นสีหน้านิ่งเฉยของลั่วอวี่ ดวงตาทั้งคู่พลันหรี่เล็กลง บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันใด เขาชี้นิ้วออกไปส่งสัญญาณให้ลั่วอวี่อย่างเย็นชา

ลั่วอวี่เห็นแล้วสีหน้าเคร่งขรึมลง พูดผ่านดวงตาอย่างไร้สุ้มเสียง

“ท่านจะเอาอย่างไร

ดวงตาหงส์ของโม่เหยียนหรี่ลงอีกเล็กน้อย ยิ้มเยียบเย็นขยับปากให้ลั่วอวี่อ่าน

“ข้าจะเอาอย่างไรหรือ ง่ายมาก ข้าจะให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ ชาตินี้เจ้าต้องแก่ตายอยู่ในวังหลวง เป็นทาสรับใช้ของข้า ไม่มีวันเป็นไทแก่ตัว”

ลั่วอวี่อ่านริมฝีปากของอีกฝ่ายแล้วหัวคิ้วก็ขยับเข้าหากันเล็กน้อย เหตุใดคนผู้นี้จึงได้จงเกลียดจงชังนางนัก ทีนางยังไม่แค้นเขาที่คิดจะทำลายรูปโฉมของนางเลย เขากลับ

ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้อีกแล้ว ‘ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งเชียะ ข้าเคารพคืนหนึ่งจั้ง’ ใครกลัวใครกันเล่า

ขณะนั้นสีหน้าของลั่วอวี่พลันขรึมลง ส่งภาษาปากให้โม่เหยียนอย่างเย็นชาขึ้นมาบ้าง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก อยากให้ข้าเป็นทาสรับใช้ก็ต้องดูว่าท่านมีความสามารถหรือไม่”

ดวงตาของโม่เหยียนเปล่งประกายเยียบเย็น

“ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าฝีมือของเจ้าร้ายกาจสักเพียงใด ถึงได้โอหังเช่นนี้”

สายลมบางเบาพัดผ่าน ผ้าม่านร่วงปิดลง โม่เหยียนและลั่วอวี่ต่างละสายตาจากกันพอดี

การโต้ตอบอันไร้สุ้มเสียงของคนทั้งสองในครั้งนี้ ผู้คนที่อยู่ด้านล่างล้วนเห็นอยู่ในสายตา ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต

ไหนบอกว่าองค์ชายสามกับคู่หมั้นอัปลักษณ์ของเขาไม่เคยพบหน้ากันมิใช่หรือ

แล้วการประสานสายตาโต้ตอบกันอย่างไร้สุ้มเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีลับลมคมนัย มีลับลมคมนัยแน่นอน!

ทันใดนั้นเสียงคาดเดาและแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ นานาก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถง

ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นการพูดคุยกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนครั้งนี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งแผ่ขยายกว้างขึ้น นางกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มต้นได้”

ทันทีที่ประกาศว่า ‘เริ่มต้นได้’ ด้านล่างก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้นมาทันที

เจ้าหน้าที่ดูแลงานขึ้นไปบนเวที เลือกหมายเลข หมุนวงล้อ กำหนดเจ้ามือ และเรียงลำดับรายชื่อ

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเป็นเจ้ามือ มีผู้เข้าร่วมเดิมพันทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน

การหมุนวงล้อครั้งแรกยังไม่ถึงตาลั่วอวี่ออกโรง สองคนที่ได้รับเลือกเป็นคนที่นางไม่รู้จัก

ลั่วอวี่มองเจ้าหน้าที่ที่ถือพู่กันยืนอยู่ตรงหน้าแต่ยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ หวังโหวจึงกระตุกแขนเสื้อนางแล้วกระซิบเสียงต่ำ “วางเงิน จะเดิมพันข้างไหน”

ในเวลาเดียวกันหวงอวี่ก็เอ่ยเสียงแผ่ว “วางเงิน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเจ้ายอมแพ้ไปโดยปริยาย”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย ที่แท้กฎกติกานี้ก็คล้ายคลึงกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในยุคปัจจุบัน เมื่อนั่งอยู่บนโต๊ะพนัน จะไม่เล่นไม่ได้

นางกวาดตามองจำนวนเงินเดิมพันต่ำสุดในสมุดบันทึกเล่มนั้นห้าสิบเหรียญทอง ลั่วอวี่ขมวดคิ้วก่อนจะควักเงินห้าสิบเหรียญทองแทงข้างสัตว์อสูรตัวหนึ่งซึ่งนางเห็นเพียงผู้เป็นเจ้านาย ยังไม่ได้เห็นสัตว์อสูรตัวนั้นเลยด้วยซ้ำให้เป็นฝ่ายชนะ

 

บนเวทีศิลาดำ สัตว์อสูรทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดและดุดัน

ทว่าการประลองระดับนี้ ในสายตาของลั่วอวี่ไม่มีอะไรน่าสนใจ นางรู้เพียงว่าเมื่อการประลองสิ้นสุดลง เงินห้าสิบเหรียญทองของนางก็โบยบินไป ข้างที่นางแทงพ่ายแพ้เสียแล้ว

“เหลือแค่ห้าสิบเหรียญแล้ว พิจารณาให้รอบคอบสักหน่อย ข้าว่าหลี่ขุยเป็นฝ่ายชนะแน่ พยัคฆ์เหี้ยมของเขาเป็นสัตว์อสูรขั้นห้า มีพิษสงร้ายกาจนัก” หวังโหวชี้แนะอยู่ข้างหูลั่วอวี่

“ข้ากลับรู้สึกว่าเฝ่ยหุยต้องเป็นฝ่ายชนะ เสือดาวเหินของเขาผ่านการต่อสู้มามากทีเดียว” หวงอวี่เสนอความเห็นที่แตกต่างออกไป

ผู้ใดมีวิทยายุทธ์สูงต่ำ ลั่วอวี่มองปราดเดียวก็เห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กับสัตว์อสูรขั้นเดียวกันนางกลับไม่รู้จะดูอย่างไร รู้เพียงว่าพวกมันไม่มีทางเอาชนะนางได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางการโต้เถียงระหว่างหวังโหวและหวงอวี่ เงินห้าสิบเหรียญทองที่วางเดิมพันเป็นครั้งที่สองก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว

จบกัน หวังโหวและหวงอวี่กัดฟันกรอด เงินทุนหมดแล้ว คราวนี้จะเอาอะไรวางเดิมพันกันเล่า

ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้ขึ้นประลองก็ไม่มีเงินเดิมพันเสียแล้ว คล้ายว่ามีความสามารถของเซียนพนันอยู่กับตัวแต่กลับไม่มีทุนทรัพย์ช่วยเบิกทางสู่รอบตัดสิน ในโลกนี้ยังจะมีเรื่องอะไรน่าเศร้าใจยิ่งไปกว่านี้อีก

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเจ้าหน้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลั่วอวี่เป็นครั้งที่สาม แต่ลั่วอวี่กลับไม่ได้ควักเงินออกมาทันที อีกทั้งคนทั้งสามที่อยู่ข้างกายนางก็ล้วนมีสีหน้าร้อนรน จึงเอ่ยปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ทำไม ศิษย์น้องไม่มีเงินวางเดิมพันแล้วหรือ”

ฉับพลันนั้นเองสายตาทุกคู่ในห้องโถงก็จับนิ่งมาที่ลั่วอวี่เป็นตาเดียว บางคนถึงขนาดส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาก็มี

“คลานสี่เท้า! คลานสี่เท้า! คลานออกไปจากที่นี่!”

เงื่อนไขการเดิมพันครั้งนี้ของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคือให้คลานท่าสุนัข ผู้ที่พ่ายแพ้ไม่มีเงินเดิมพันในตานี้ทั้งหมดจะต้องคลานออกจากที่นี่ด้วยท่าทางเหมือนสุนัข ถ้าลั่วอวี่ไม่มีเงินมาเดิมพันต่อ ย่อมเท่ากับแพ้โดยปริยาย

เวลานี้แววตาของคนทั้งห้องที่จับจ้องมายังลั่วอวี่ มีแต่การทับถมสมน้ำหน้า

“ทีนี้จะทำอย่างไรกันดี ข้าจะไปหยิบยืมมาก่อนแล้วกัน” หวังโหวร้อนใจจนถูไม้ถูมือไม่หยุด

“ไม่มีเวลาแล้ว” หวงอวี่ท่าทางยังดูสุขุมเยือกเย็น ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

ส่วนใบหน้าเล็กๆ ของลั่วหลีก็เหยเก ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

“ลุกลี้ลุกลนอะไรกัน” ขณะที่คนทั้งสามกำลังร้อนรนอยู่ไม่สุข จู่ๆ ลั่วอวี่ก็เอ่ยขึ้น นางยื่นมือไปลูบศีรษะของลั่วหลีพลางล้วงตั๋วทองใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แล้วโยนลงในถาดพลางเอ่ยเสียงเนิบนาบ

“ขอโทษด้วย ไม่มีเศษ”

“หนึ่งหมื่นเหรียญทอง!” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกวาดตามองตัวเลขบนตั๋วทองแวบหนึ่งแล้วร้องโพล่งออกมา

พอคำพูดนี้หลุดออกมา เหล่าศิษย์ที่ส่งเสียงเอ็ดตะโรไปทั่วห้องโถงก็มีท่าทางราวกับถูกไม้หวดเข้าอย่างจัง พลันเบื้อใบ้ไปทันที สีหน้าตะลึงงันกันไปเป็นแถว

หนึ่งหมื่นเหรียญทอง? ต่อให้เป็นคนของจวนกั๋วกง แต่ทายาทที่เกิดกับอนุภรรยาเหล่านั้นใช่บอกจะเอาเงินจำนวนนี้มาลงพนันก็จะเอามาได้ง่ายๆ เด็กสาวที่ทั้งอัปลักษณ์ทั้งยากจนผู้นี้ ไหนว่าตัดขาดกับจวนกั๋วกงแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึง

พวกเขาไหนเลยจะรู้ พี่ใหญ่แห่งหอลับซึ่งเป็นแหล่งทองในการจับเสือมือเปล่าจะไม่มีเงินได้อย่างไร!

แม้จะไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความมั่งมีของจวนกั๋วกงหรือวังหลวง แต่ทองคำหมื่นครึ่งหมื่นก็ไม่ขาดแคลน อยากเห็นนางอับอายขายหน้า ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก

“เล่นต่อ” เสียงใสเย็นดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถงที่เงียบกริบ

“เจ้า” หวังโหวและหวงอวี่ที่ได้สติคืนมาพลันเบิกตาโต

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงส่งยิ้มให้คนทั้งสอง บุ้ยใบ้เป็นเชิงว่ากลับไปค่อยคุยกัน จากนั้นก็หันกลับมาเลิกคิ้วถามเจ้าหน้าที่ซึ่งยังยืนทื่ออยู่ตรงหน้าดังเดิม “น้อยไปหรือ”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถูกสายตาเย็นชาของลั่วอวี่ตวัดผ่านพลันสะดุ้งเฮือก รีบจดบันทึกแล้วเดินจากไป

“หึๆ ดูเบานางเกินไปจริงๆ”

ภายในห้องชั้นบน บุรุษชุดขาวนามว่าหลิ่วอวี้เฉินผู้เป็นหลานชายคนโตอันเกิดจากสะใภ้เอกของท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลถือถ้วยชาพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

เสียงหัวเราะนี้ทำให้องค์ชายสามหันมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน หลิ่วอวี้เฉินเห็นแล้วยิ่งหัวเราะชอบใจหนัก

เงินไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ถูกคุกคามด้วยสายตา นั่นก็ไม่อาจกลายเป็นปัญหาไปได้

การเดิมพันต่อจากนั้น โดยพื้นฐานแทบจะกลายเป็นพนันขันต่อระหว่างลั่วอวี่และคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนไปเสียแล้ว

ไพ่โป๊กเกอร์สู้กันที่ชั้นเชิง เดิมพันกันที่จิตใจ ปะทะกันที่โชค ยิ่งไปกว่านั้นคือดวง ไม่ว่าจะทิ้งไพ่ไปกี่ครั้ง ขอเพียงหยิบได้ไพ่ดีมาครั้งเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว

การประชันขันต่อของคนยี่สิบเอ็ดคน ขณะนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงหกคนที่ยังขับเคี่ยวกันอยู่ ส่วนคนอื่นหากไม่ใช่หมดตัวก็พ่ายแพ้การประลองไปจนหมด

บนเวทีในเวลานี้เป็นการประลองระหว่างหมาป่าสีเขียวครามขนาดใหญ่ที่มีปีกคู่หนึ่งงอกอยู่กลางหลัง กับงูยักษ์สองหัวที่มีลำตัวอวบใหญ่เท่าต้นขาคน

ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นสัตว์อสูรขั้นห้า

หมาป่าปีกเขียวอาศัยปีกบินไปมาอยู่กลางเวหาเป็นฝ่ายมีอำนาจควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ มันบินไปมาพลางร่อนถลาลงไปตะปบงูยักษ์ซึ่งกำลังชูคอขู่ฟ่ออยู่เบื้องล่าง กรงเล็บอันแหลมคมจิกเฉี่ยวลำตัวของงูยักษ์ ทิ้งรอยแผลและคราบโลหิตไว้เป็นทาง

ส่วนงูยักษ์ตัวนั้นปากก็พ่นควันพิษ แลบลิ้นแฉกออกมาไม่หยุด ใช้หางกวาดไปมาอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ฟาดหางลงบนพื้นเวทีก็จะบังเกิดเสียงตึงดังสนั่นหวั่นไหว กึกก้องจนหูแทบดับ

“เจ้าว่าผู้ใดจะคว้าชัย” หวังโหวทั้งตึงเครียดทั้งตื่นเต้น

“หมาป่าปีกเขียวรวดเร็วว่องไว ทั้งยังโจมตีทางอากาศ ต้องชนะแน่” หวงอวี่ลูบปลายคางของตน

“หุบปาก พี่ลั่วอวี่แทงข้างงูสองหัว เจ้าเข้าข้างคนนอก” ลั่วหลียกนิ้วชี้หน้าหวงอวี่ คิ้วขมวดมุ่นขณะตวาดเสียงต่ำ

หวงอวี่เงียบไปทันที

ลั่วอวี่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสามก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยเสียงเนิบนาบ “งูสองหัวชนะแน่ หมาป่าปีกเขียวทนต่อไปได้อีกไม่กี่น้ำหรอก”

“หา? เพราะเหตุใด” หวงอวี่ยังถามไม่ทันจบประโยคก็เห็นหมาป่าปีกเขียวที่โบยบินเหนือเวทีประลองพลันร่วงลงมาจากเวหาเสียงดังโครม หางของงูสองหัวฟาดเข้าใส่ทันควัน ร่างของหมาป่าปีกเขียวกระเด็นออกนอกเวทีไป

“พิษ” หวังโหวเห็นเช่นนี้ก็อุทานเสียงเบา

เพราะเมื่อครู่ใบหน้าของหมาป่าปีกเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ นี่เป็นอาการของการถูกพิษ

หวังโหวและหวงอวี่สบตากันครั้งหนึ่ง ลั่วอวี่ช่างมีสายตาแหลมคมนัก

เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ปิดฉากลง ในสนามประลองเหลือผู้ชิงชัยเพียงสามคนเท่านั้น ลั่วอวี่ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียน และเจ้าของงูสองหัวที่เพิ่งคว้าชัยมาได้หมาดๆ ส่วนคนอื่นล้วนพ่ายแพ้ไปจนหมดสิ้น

ทว่าเรื่องนี้หาได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของบรรดาศิษย์ที่มาชมศึกครั้งนี้ไม่ ฉากสำคัญเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

บทที่ 7

“รอบต่อไป ลั่วอวี่ปะทะกับอู่เฟิง” วงล้อหมุนติ้ว เจ้าหน้าที่ประกาศก้อง

ผู้ชมในห้องโถงต่างรอคอยมาทั้งค่ำคืน ในที่สุดก็มาถึงช่วงโค้งสุดท้าย แต่ละคนต่างลุ้นระทึกจนพูดไม่ออก

งูสองหัวของอู่เฟิงเลื้อยวนอยู่บนเวทีศิลาดำ ลำตัวอันใหญ่โตและท่าทางอันเกรี้ยวกราดดุร้ายคล้ายไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา

ส่วนลั่วอวี่ ทุกคนต่างรู้ว่าสัตว์อสูรของนางคือจิ้งจอกที่รู้จักแต่กินตัวหนึ่งเท่านั้น

ยกนี้ใครแพ้ใครชนะ แทบไม่ต้องกังขาเลย

เวลานี้ศิษย์ที่ชมอยู่ข้างเวทีซึ่งใกล้จะหมดเนื้อหมดตัวแต่ยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้างถึงกับเทเงินหมดหน้าตักมาวางเดิมพัน ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าลั่วอวี่จะคว้าชัยชนะ

“ศิษย์น้องช่างโชคดีที่ประคับประคองตัวมาจนถึงตอนนี้ได้” คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนยืนพิงกายอยู่หน้าราวระเบียงของห้องชั้นบนกล่าวกับลั่วอวี่ด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงศิษย์พี่ก็อยากพนันให้ศิษย์น้องเป็นผู้ชนะ แต่กำลังความสามารถหึๆ ข้าแทงข้างอู่เฟิงสิบหมื่นเหรียญทอง ส่วนอีกหนึ่งสิบหมื่นเหรียญทองข้าขอตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน ผู้ใดแพ้ต้องเปลือยกายเดินออกจากที่นี่”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา ในห้องโถงบังเกิดเสียงอึงมี่ขึ้นมาทันที ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาแล้ว

เปลือยกายเดินออกไป ฮ่าๆ

ลั่วอวี่เปลือยกายเดินออกไป!

เด็กสาวผู้นี้อัปลักษณ์ก็ส่วนอัปลักษณ์ เรือนร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ก็ไม่เท่าไร ทว่านางเกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้ก็มีสัมพันธ์กับองค์ชายสาม เงื่อนไขในการเดิมพันที่ดุเด็ดเผ็ดมันเช่นนี้ ฮ่าๆ ไม่ได้เห็นมานานนักแล้ว

ฝูงชนในห้องโถงพลันฮึกเหิมกระชุ่มกระชวยขึ้นทันตา

“เกินไปแล้ว แบบนี้มันรังแกกันเกินไป! รังแกกันเกินไปแล้ว!” หวังโหวกำหมัดแน่น สีหน้าเขียวคล้ำ หากไม่เพราะหวงอวี่คอยรั้งตัวอยู่ข้างๆ เขาคงกระโจนออกไปแผลงฤทธิ์แล้ว

“อย่าวู่วาม เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องผิดกติกา”

ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าเส้นโลหิตบนหน้าผากของหวงอวี่ก็เต้นตุบๆ แม้การตั้งเงื่อนไขเดิมพันจะไม่ผิดกฎกติกาของสำนักศึกษา ทว่าแต่ไรมามีแต่บุรุษเท่านั้นที่เดิมพันกันเช่นนี้ ยังไม่เคยมีอิสตรีเดิมพันกันเช่นนี้มาก่อนเลย

ลั่วอวี่ยื่นมือไปกดไหล่ลั่วหลีที่โมโหจนแทบกระโดดขึ้นมา นางเงยหน้ามองห้องชั้นบนที่ปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ ไอเย็นทาทาบขึ้นมาบนใบหน้าบางๆ

หากองค์ชายสามไม่อนุญาต เชื่อว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคงไม่กล้าวางเดิมพันอุกอาจเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นคู่หมั้นหมายของเขา แม้นางจะบอกถอนหมั้นแล้วก็ตาม

ในเมื่อเขาอยากเห็นนางต้องอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้ อยากเห็นนางล้มลงอย่างไม่มีวันโงหัวขึ้นมาได้อีก เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้าเขาอีกต่อไป

ลั่วอวี่หารู้ไม่ เรื่องครั้งนี้หาใช่เจตนารมณ์ของโม่เหยียน ไม่ว่าอย่างไรลั่วอวี่ก็เป็นคู่หมั้นของเขา จะให้นางเปลือยกายเดินออกไปนั้นสมควรที่ไหน โม่เหยียนได้ยินเงื่อนไขการเดิมพันเช่นนี้สีหน้าก็พลันขรึมลง โทสะคุกรุ่นขึ้นมารำไร

ลั่วอวี่ยื่นมือออกมาลูบตัวเจ้าเงินที่อยู่ในอ้อมอกของนาง มันตื่นขึ้นมานานแล้ว กำลังเผยดวงตากลมโตสีดำวิบวับ สีหน้าเต็มไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม ท่าทางอยากจะออกไปร่วมสนุกกับเขาเต็มแก่ ทว่าถูกลั่วอวี่ปรามเอาไว้มั่น

“พากันแทงข้างอู่เฟิงกันหมดก็หมดสนุกกันพอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าจะช่วยสร้างความครึกครื้นให้ทุกคนเอง”

ลั่วอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ ใช่แล้ว ไม่มีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่มีความเคียดแค้นขุ่นเคือง กลับมีเพียงรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติยิ่ง นางค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบตั๋วทองปึกใหญ่ตรงหน้าซึ่งได้มาจากการเดิมพันแล้วโยนให้เจ้าหน้าที่

“เจ็ดหมื่นเหรียญทอง เก่งจริงก็มาเอาไป”

ในห้องโถงพลันมีเสียงโห่ร้องด้วยความชอบอกชอบใจดังกระหึ่มขึ้น

ทุกคนเดิมพันข้างอู่เฟิงกันหมด ย่อมไม่อาจพนันขันต่อกันได้ แต่ตอนนี้ลั่วอวี่เดิมพันว่าตนเป็นฝ่ายชนะ เงินเจ็ดหมื่นเหรียญทองเพียงพอให้พวกเขาได้แบ่งสันปันส่วนกันเป็นกอบเป็นกำ

ทุกคนต่างยินดีปรีดากันทั่วหน้า

ดวงตาดำสนิทค่อยๆ กวาดมองฝูงชนที่กำลังลิงโลด มุมปากของลั่วอวี่หยักยกเล็กน้อย รอยยิ้มหยันผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ คล้ายหยามหยันทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

“หญิงอัปลักษณ์เสียสติไปแล้ว” ในห้องชั้นบน เด็กสาวผู้ส่งเทียบเชิญแย้มยิ้มอย่างตื่นเต้น

“ไม่แน่หรอก” หลิ่วอวี้เฉินในชุดขาวกลับส่ายหน้า แววลึกล้ำผุดขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ

“บางทีเรื่องสนุกในวันนี้ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายดูใครกันแน่” ญาติผู้น้องขององค์ชายสามผู้สวมอาภรณ์สีม่วง จวิ้นอ๋อง เจี้ยเซวียนหลีสองมือกอดอก เลิกคิ้วขึ้นสูง

ดวงตาขององค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนหรี่เล็กลง

แกร๊ง

เสียงระฆังทองดังกังวาน บอกให้ทุกคนในที่นี้รู้ว่าการประลองได้เริ่มขึ้นแล้ว

บนเวทีประลองศิลาดำ งูสองหัวกำลังเลื้อยวนเวียน หัวทั้งสองโยกส่ายไปมาไม่หยุด ลิ้นสีแดงสดแลบแผล็บๆ อยู่กลางอากาศ หมอกพิษสีดำถูกปล่อยออกมาตามลมหายใจแผ่กระจายไปทุกทิศทาง บนเวทีเต็มไปด้วยไอพิษส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

“พี่ใหญ่ เจ้าเงินจะไหวหรือ” ลั่วหลีกระตุกแขนเสื้อของลั่วอวี่ มองเจ้าเงินที่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะออกไปประลองด้วยความกังวล

เจ้าเงินน่ารักถึงเพียงนี้ จะส่งมันออกไปตายเช่นนี้ไม่ได้!

ได้ยินเช่นนี้ลั่วอวี่ยังไม่ทันเปิดปาก เจ้าเงินก็หันมาส่งเสียงคำรามแยกเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ลั่วหลี ท่าทางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและขุ่นเคือง คล้ายจะบอกว่า ‘กล้าบอกข้าสู้ไม่ไหว น่าโมโหยิ่งนัก น่าโมโหยิ่งนัก’

ลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่เห็นเช่นนี้ก็จนคำพูด

ลั่วอวี่เองกลับดีดหน้าผากของเจ้าเงินทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเฉียบขาด “ถ้าชนะ ข้าจะจับมันมาย่างให้เจ้ากิน ถ้าแพ้ เจ้าก็คิดเอาเองว่าควรทำเช่นไร”

จบคำ มือที่กดร่างเจ้าเงินมาโดยตลอดก็คลายออก เจ้าเงินซึ่งมีเส้นขนสีเงินยวงกระโจนออกไปดุจธนูหลุดจากคันศร พุ่งขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

งูสองหัวท่าทางดุร้ายลำตัวใหญ่มหึมาดุจภูเขา ประจันหน้ากับเจ้าเงินที่ตัวเล็กเพียงฝ่ามือ

การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้ศิษย์ทุกคนที่จับจ้องมาบนเวทีพากันหัวเราะครืนออกมา นี่ช่างง่ายยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเสียอีกมิใช่หรือ

บนเวทีประลอง หัวของงูสองหัวส่ายไปมา ดวงตาจับจ้องไปที่เจ้าเงิน หน้าตาดุร้ายน่ากลัว แต่กลับไม่ยอมลงมือ

ส่วนเจ้าเงินก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนเวทีประลอง ดวงตาเล็กๆ ของมันจับนิ่งอยู่ที่งูสองหัวขนาดมหึมาอย่างตะกละตะกลามประหนึ่งกำลังจับจ้องเนื้อย่างชิ้นโต เนื้อโอชะชิ้นนี้เพียงพอให้มันได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ

“เอาสิ เอาเลย”

“ฆ่ามันซะ”

“บุกเข้าไป”

อู่เฟิงและพวกพ้องที่อยู่ด้านล่างเห็นงูสองหัวรีรอไม่ลงมือเสียทีจึงตะโกนเร่งขึ้นมา

งูสองหัวแลบลิ้นออกมาทันที ชูหัวทั้งสองข้างขึ้น อ้าปากกว้างพุ่งเข้าใส่เจ้าเงิน

ยามนั้นเจ้าเงินที่เคลื่อนตัววนไปรอบเวทีไม่หยุดคล้ายพบเป้าหมายที่มันกำลังมองหาอยู่พอดี มันหยุดยืนนิ่ง มองงูสองหัวที่อ้าปากพุ่งเข้ามาใส่ ความโหดเหี้ยมวูบผ่านดวงตาเล็กจ้อย ร่างดีดผึงทะยานขึ้นกลายเป็นลำแสงสีเงินคมกริบพุ่งเข้าใส่งูสองหัวตัวนั้นทันที

ฉัวะ! เสียงปะทะดังหนักทึบ

ศิษย์ทั้งหมดในห้องโถงแทบจะจินตนาการได้ถึงสภาพอันน่าอเนจอนาถ เช่นเจ้าเงินถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ไม่ก็ถูกเขมือบ ไม่ก็ถูกโจมตีจนร่างกระเด็นออกไป ทุกคนลุกขึ้นมายืนอย่างลืมตัว พวกเขาเกือบจะร้องเฮออกมาเพื่อแสดงความยินดีในชัยชนะครั้งนี้

ทว่าเมื่อม่านโลหิตบนเวทีจางลง ภาพที่ปรากฏต่อสายตากลับทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องตะลึงลาน

“อะไรกัน” คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยืนพิงราวระเบียงอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตาพลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี

“สวรรค์ นี่มันความเร็วและพละกำลังแบบไหนกัน” ในห้องชั้นบน หลิ่วอวี้เฉินขยี้หูขยี้ตา

องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนที่อยู่ข้างกายเขาค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนจับจ้องเจ้าเงินตาไม่กะพริบ

ส่วนญาติผู้น้องของเขาเจี้ยเซวียนหลีถึงกับถีบประตูห้องจนเปิดผางแล้วพรวดพราดลงไปข้างล่าง จับตาดูชนิดเกาะขอบเวที

ในห้องโถง จากเสียงเอะอะอึกทึกกลับกลายเป็นเงียบกริบภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว

เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกหนักๆ สายตาของทุกคนต่างพุ่งไปรวมอยู่บนเวทีประลอง

บนเวทีศิลาดำ สิ่งที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางม่านโลหิตคือตำแหน่งจุดตายบนหัวทั้งสองของงูยักษ์ มีรูกลมขนาดใหญ่เท่าชามคล้ายถูกลูกธนูดอกเดียวกันพุ่งทะลวงผ่าน บาดแผลคมกริบจนมองหาจุดบิดเบี้ยวไม่ได้แม้แต่น้อย

ลำตัวใหญ่โตมโหฬารของงูสองหัวล้มตึงลงกับพื้นท่ามกลางกองเลือด บังเกิดละอองฟุ้งตลบ

ปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว รวดเร็วดุจดาวตกไล่ตามจันทรา

ยามนี้อีกมุมหนึ่งของเวที เจ้าเงินซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือร่างอาบย้อมด้วยโลหิตกำลังถูไถร่างกับพื้นเพื่อเช็ดคราบโลหิตด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด

ตัวเล็กแค่นี้ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรที่ไม่รู้ลำดับขั้น ถึงกับโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถสังหารสัตว์อสูรขั้นห้าได้ นี่นี่นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทไหนกันแน่

“อา เจ้าเงินร้ายกาจจริงๆ ฮ่าๆ พวกเราชนะแล้ว พวกเราชนะแล้ว” ในห้องโถงที่เงียบกริบพลันมีเสียงของลั่วหลีดังก้องกังวานทำลายความเงียบขึ้นมา

“ฮ่าๆ พวกเราชนะแล้ว” หวังโหวและหวงอวี่มองสบตากันครั้งหนึ่งก่อนตะโกนออกมาพร้อมกัน

เจ้าเงินร้ายกาจถึงเพียงนี้ ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!

เจ้าเงินที่อยู่บนเวทีเช็ดขนจนสะอาดเอี่ยมดีแล้วก็พุ่งตัวกลับมาอยู่บนไหล่ของลั่วอวี่ตามเดิม มันยืดตัวขึ้นยืนด้วยสองขาหลังอย่างโอ้อวด สองเท้าหน้าจัดเส้นขนบนหัวอย่างวางมาดสองทีแล้วเชิดหน้าชูคอ ท่าทางอวดลำพองยิ่ง

ท่าทางอวดโอ่นั่นทำให้ลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่นึกเอ็นดูเป็นที่สุด

ขณะที่ลั่วหลีและคนอื่นๆ กำลังดีอกดีใจ ลั่วอวี่กลับนั่งกอดอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยแววตาเยียบเย็น

“อะไร ไม่มีคนทำความสะอาดเวทีหรือ”

บรรดาเจ้าหน้าที่ตะลึงงันไปเพราะเจ้าเงิน ครั้นได้ยินเสียงของลั่วอวี่จึงได้สติคืนมา รีบลงมือทำความสะอาดเวทีและสะสางบัญชี

ลั่วอวี่สองมือกอดอก กวาดสายตาเยียบเย็นไปทั่วห้องโถงที่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง นางแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “น่าเสียดายยิ่ง เห็นทีพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาเอาเงินของข้าไปได้”

พูดจบลั่วอวี่ก็ไม่สนใจทุกคนในที่นั้นอีก หันไปมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่สีหน้าไม่ค่อยจะดีนักแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ประเสริฐยิ่งนัก มาถึงรอบสุดท้ายเสียที ชนะแล้วจะได้กลับไปนอน ข้าเกลียดนักเวลามีใครมาทำให้ข้าต้องเสียเวลานอน”

พอคำพูดประโยคสุดท้ายจบลง คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนพลันตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ

จิตสังหารอันเยียบเย็น ความเย็นยะเยียบที่ทำให้คนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง

บรรดาเจ้าหน้าที่เก็บกวาดเวทีด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงันไปทั้งห้องโถง พวกเขาจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยอย่างว่องไว

เงื่อนไขการเดิมพันสิบหมื่นเหรียญทองของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนปิดฉากลงด้วยการที่อู่เฟิงเปลือยกายล่อนจ้อนวิ่งออกไปด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

ภายใต้แสงไฟที่สั่นไหว ลั่วอวี่มองไปยังเวทีที่เก็บกวาดเรียบร้อยแต่ยังคงเงียบกริบไร้สุ้มเสียง นางเอื้อมมือไปลูบไล้เจ้าเงินที่กำลังอวดโอ่ตนเองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ มุมปากหยักยกแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “พนันกันมาตั้งนาน ข้ายังไม่เคยตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน ในเมื่อคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนชื่นชอบถึงเพียงนี้ เช่นนั้นการประลองในรอบสุดท้ายนี้ ข้าจะร่วมสนุกกับเจ้าจนถึงที่สุด”

พอถ้อยคำนี้หลุดออกมา ห้องโถงที่เงียบกริบกลับมาอึกทึกครึกครื้นทันที แววตาของทุกคนมีเปลวไฟคุโชนขึ้นมาอีกครั้ง

นี่คือการตอบโต้ การประชันที่น่าจับตามองที่สุดระหว่างนางพญาทั้งสอง

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนได้ยินแล้วสีหน้าดำคล้ำไปในทันที แต่นับว่ายังสุขุมเยือกเย็น นางยิ้มออกมาอย่างแข็งกระด้างแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าคงไม่อาจทำตามความปรารถนาของศิษย์น้องได้ การเดิมพันครั้งนี้เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะตั้งเงื่อนไขเดิมพัน”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง

หวงอวี่ที่อยู่ด้านหลังนางรีบอธิบาย “เงินของเจ้ายังมีไม่มากเท่าของนาง มีแต่เจ้ามือหรือคนที่มีกำลังทรัพย์สูงสุดเท่านั้นจึงจะตั้งเงื่อนไขเดิมพันได้”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ดวงตาทั้งคู่พลันกลอกไปมา มิน่าถึงไม่เห็นผู้อื่นตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน

เวลานี้เจ้าหน้าที่คิดคำนวณยอดเงินบนหน้าตักเสร็จเรียบร้อยจึงจัดลำดับออกมา “ตอนนี้เจ้ามือมีเงินอยู่บนหน้าตักสี่สิบเจ็ดหมื่นเหรียญทอง ลูกมือมีสิบเก้าหมื่นเหรียญทอง”

เงินของลั่วอวี่บวกกับเงินที่ชนะมาเมื่อครู่รวมทั้งหมดสิบเก้าหมื่นเหรียญทอง จำนวนไม่น้อยแต่ยังไม่มากพอจะล้มกระดานคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนอยู่ดี

ลั่วอวี่ชำเลืองมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่กำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ตรงราวระเบียง หางตากระตุกเล็กน้อย นางหลุบตาลงครู่หนึ่งแล้วค่อยลืมขึ้นช้าๆ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเงินเดิมพัน”

“ข้าจะเพิ่มเงินเดิมพัน”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาก็ราวกับเกิดคลื่นโหมซัดสาดขึ้นมาในห้องโถงทันที

เพิ่มเงินเดิมพัน? หญิงอัปลักษณ์ที่ไม่เอาไหนสักอย่าง ถึงกับมีกำลังทรัพย์มากกว่าเงินแทบทั้งบ้านของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเชียวหรือนี่ 

นี่จะเป็นไปได้อย่างไร

หลังจากที่ในห้องโถงเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง ฝูงชนกลับคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว!

สนุกแท้ การประชันที่สถานการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิงกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ลั่วอวี่ไม่ได้สนใจความบ้าคลั่งของฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง และไม่ใส่ใจสีหน้าที่ซีดเผือดไปในฉับพลันของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียน นางกวาดสายตาไปยังเจ้าหน้าที่ที่ยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้าก่อนจะถามเสียงเข้มว่า “ไม่ได้หรือ”

“ไม่ใช่ ย่อมได้แน่นอน” เจ้าหน้าที่ประจำห้องฝึกยุทธ์ให้คำตอบ

“ดี” ลั่วอวี่ผงกศีรษะ ไม่แม้แต่จะปรายตามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนและคนอื่นๆ นางหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อช้าๆ ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน ก่อนจะเทยาเม็ดสีแดงออกมาจากขวดเม็ดหนึ่ง

ที่ด้านหลัง หวังโหวและหวงอวี่ที่กำลังประหลาดใจและคิดว่าลั่วอวี่พกตั๋วทองมูลค่าหลายสิบหมื่นติดตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าสิ่งที่นางหยิบออกมาไม่ใช่ตั๋วเงิน หากแต่เป็นยาเม็ดสีแดงที่เคยมอบให้พวกเขาก็พากันงงงัน

เมื่อยาเม็ดสีแดงถูกเทออกจากขวด กลิ่นหอมรวยรินขุมหนึ่งก็โชยมากระทบจมูก ทำให้ผู้สูดดมมีจิตใจอิ่มเอมปลอดโปร่ง

ภายในห้องโถงย่อมมีผู้ที่รู้คุณค่าของสิ่งของ เพียงเห็นนัยน์ตาก็พลันเบิกกว้าง มองยาเม็ดสีแดงที่อยู่ในมือของลั่วอวี่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“นี่มันอะไร ยาฟ้าบันดาลหรือ” ในห้องชั้นบนใบหน้าของหลิ่วอวี้เฉินในชุดสีขาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

โม่เหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตูมาได้ครู่ใหญ่แล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้า “ไม่เหมือน” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เปล่งเสียงลอดไรฟันอย่างสุดจะยอมรับได้ “ดีกว่ายาฟ้าบันดาลเสียอีก”

หลิ่วอวี้เฉินได้ยินแล้วเอามือลูบคาง กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นเป็นยา”

ขณะที่เขากำลังเอ่ยปาก เจี้ยเซวียนหลีในชุดอาภรณ์สีม่วงพลันพุ่งถลากลับขึ้นมาข้างบนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ลูกกลอนสะกดสำนึก เป็นลูกกลอนสะกดสำนึก!”

“อะไรนะ ลูกกลอนสะกดสำนึก! นางถึงกับมีลูกกลอนสะกดสำนึก!”

หลิ่วอวี้เฉินนิ่งงันไปแล้ว ส่วนโม่เหยียนค่อยๆ เบิกตากว้าง

ลูกกลอนสะกดสำนึก นั่นเป็นสิ่งที่แม้นมีทองพันชั่งก็ยากจะครอบครองได้!

ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่อยู่นอกห้อง ได้ยินแล้วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่พวกโม่เหยียนกำลังตื่นตะลึง เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านล่างก็พินิจพิเคราะห์ยาเม็ดที่อยู่ในมือของลั่วอวี่ได้แล้วเช่นกัน เขาตะลึงงันจนเบื้อใบ้อยู่เป็นนาน

ลั่วอวี่ชูยาเม็ดสีแดงขึ้น มองไปยังเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วเอ่ยช้าๆ “ช่วยประเมินราคาด้วย”

เวลานี้ท่าทีเย็นชาแข็งกระด้างของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเลือนหายไปหมดแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความอ่อนน้อมนุ่มนวล เมื่อได้ยินวาจาของลั่วอวี่ก็รีบตอบอย่างมีมารยาท

“ของสิ่งนี้ข้าไม่อาจประเมินราคาได้ แต่เราจะรีบไปเชิญคนจากสำนักแพทย์โอสถมาตีราคายาเม็ดนี้โดยเร็ว ท่านโปรดรอสักครู่” พูดจบก็รีบสาวเท้าเดินออกไปทันที

ผู้คนในห้องโถงเห็นเช่นนี้ก็ทั้งตื่นเต้นระคนฉงนใจ แม้แต่คนของห้องฝึกยุทธ์ยังไม่กล้าตีราคายาเม็ดของหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ ถึงขนาดต้องเชิญคนจากสำนักแพทย์โอสถมาประเมิน เห็นทีสายน้ำสายนี้คงจะลึกล้ำสุดหยั่ง!

ลั่วอวี่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่ได้เหลือบแลผู้คนรอบข้าง นางหลับตาลงลูบไล้ขนเจ้าเงินเล่น ท่าทีอันสุขุมเยือกเย็น อาบแฝงไปด้วยกลิ่นอายของพลังอำนาจในการครอบงำผู้คนทำให้คนไม่อาจมองข้าม

โม่เหยียนที่ยืนอยู่ในห้องจับจ้องลั่วอวี่ไม่วางตา มองความไม่สะทกสะท้านเป็นตัวของตัวเองที่อาบไล้อยู่ทั่วร่างของนางปานประหนึ่งพญาหงส์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงไก่ป่า แม้รูปโฉมจะอัปลักษณ์ หากแต่รอยตำหนิเล็กน้อยก็ไม่อาจบดบังรัศมีหยกงามได้

จู่ๆ โม่เหยียนก็ใจเต้นแรงขึ้น หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นเข้าหากัน

เจ้าหน้าที่ประจำห้องฝึกยุทธ์ดำเนินการได้ว่องไวยิ่ง ไม่นานก็เดินกลับเข้ามา ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีขาว ตรงมุมเสื้อปักตราสัญลักษณ์เป็นรูปเม็ดยาเม็ดหนึ่งเดินตามมาเพื่อจะตรวจสอบยาที่อยู่ในมือของลั่วอวี่

“ลูกกลอนสะกดสำนึกหนึ่งเม็ดราคาสี่สิบหมื่นเหรียญทอง”

ทันทีที่ผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเอ่ยเช่นนั้น ในห้องโถงที่เดิมทีก็เสียงดังอึกทึกอยู่แล้วพลันมีเสียงโห่ร้องขึ้น

ลูกกลอนสะกดสำนึก ที่แท้ก็เป็นลูกกลอนสะกดสำนึก สี่สิบหมื่นเหรียญทองทีเดียว

“ยาลูกกลอนเม็ดนี้สำนักแพทย์โอสถจะขอซื้อไว้ นี่คือตั๋วทอง โปรดตรวจดูด้วย” ผู้ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวกล่าวกับลั่วอวี่ด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่าได้เตรียมการมาก่อนแล้ว

ลั่วอวี่ลืมตาขึ้น มองผู้ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวปราดหนึ่ง นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า ไม่ตรวจดูตั๋วทองสักนิด ก่อนจะยื่นมือออกไปวางเงินทันที ขณะเดียวกันก็หันหน้ากลับมามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่สีหน้าซีดขาว

“ห้าสิบเก้าหมื่น รอบนี้ผู้ใดแพ้ต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้าก้าวออกไปจากที่นี่”

น้ำเสียงเยียบเย็นดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถง แม้นจะอยู่ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของฝูงชนก็ไม่อาจกลบเสียงนี้ไปได้

ฝูงชนที่เดิมยังจมติดอยู่ในกระแสคลื่นอันรุนแรงของลูกกลอนสะกดสำนึกยังไม่ได้สติกลับคืนมา พอได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตื่นเต้นฮึกเหิมมากขึ้น

การประชันระหว่างสตรีสองนาง ไม่ว่าผู้ใดพ่ายแพ้ก็ต้องเปลือยกายต่อหน้าธารกำนัล

น่าสนุก ช่างน่าสนุกโดยแท้

ภายในห้องชั้นบน หลิ่วอวี้เฉิน เจี้ยเซวียนหลี และโม่เหยียนต่างมองสบตาแล้วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกัน ยาสะกดสำนึก เป็นยาสะกดสำนึกจริงๆ เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงได้เก่งกาจเรื่องสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นนัก!

ที่ด้านล่าง หวังโหวและหวงอวี่ที่นั่งอยู่ด้านหลังลั่วอวี่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ พลันถูกเสียงโห่ร้องกระชากสติกลับมาก็ต่างหันมามองหน้ากัน

ยาเม็ดสีแดงที่ลั่วอวี่มอบให้พวกเขา เดิมเพียงรู้ว่าเป็นของดี แต่ไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าจะเป็นลูกกลอนสะกดสำนึก ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากล่าวถึงเรื่องพวกนี้ ทั้งสองเรียกสติคืนมา หวังโหวกระโดดขึ้นมาตะโกนลั่นบ้าง “อย่ามัวแต่ชักช้าร่ำไร เร็วเข้า รีบประลองให้เสร็จๆ ข้าจะได้กลับไปนอนเสียที”

สิ้นเสียง หวงอวี่ที่อยู่ข้างกายก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ แล้วกล่าวต่ออีกประโยค “คงไม่ใช่เกิดกลัวขึ้นมา ไม่กล้ารับคำท้าหรอกนะ”

“ถ้ากลัวก็ถอดเสื้อผ้าแล้วคลานออกไปจากที่นี่”

หวังโหวและหวงอวี่ยกคำพูดของผู้อื่นมาพูดย้อนโต้กลับบ้าง เรียกเสียงหัวเราะครืนจากรอบด้าน ทำให้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยังลังเลไม่กล้าตัดสินใจมีสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด จำต้องพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นการตอบรับคำท้า

การเดิมพันยกสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว

บนเวทีศิลาดำ เสือดาวเงินที่ดูปราดเปรียวคล่องแคล่วตัวหนึ่งกระโดดออกมา เนื้อตัวของมันเป็นสีเงินยวง เขี้ยวฟันแหลมคม ปีกสองข้างกำลังพัดกระพืออยู่บนหลัง

เป็นสัตว์อสูรขั้นหกที่นับว่าพบเห็นได้ยากในสำนักศึกษาหลวงแห่งนี้

ที่คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสามารถขึ้นมาอยู่ในอันดับหนึ่งอันดับสองของสำนักศึกษาหลวงแห่งนี้ได้ก็ด้วยอาศัยสัตว์อสูรตัวนี้เป็นสำคัญ

เดิมทีเสือดาวก็เป็นสัตว์ป่าที่รวดเร็วว่องไวที่สุดแล้ว ยิ่งมีปีกบนหลังเพิ่มมาอีกคู่ เสือดาวที่บินได้ย่อมมีความเร็วน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน

ทันทีที่เสือดาวเงินขึ้นสู่เวที เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังกึกก้อง

แม้นเจ้าเงินจะรวดเร็วและลั่วอวี่จะมีเงินมากมาย แต่เสือดาวเงินก็ช่ำชองเรื่องความว่องไวที่สุด การประลองในรอบนี้ฝีมือจึงค่อนข้างสูสี

ลั่วอวี่เห็นคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนใจคอเริ่มสงบ ใบหน้ามีรอยยิ้มเชื่อมั่นผุดขึ้นมาอีกครั้งก็เคาะศีรษะเล็กๆ ของเจ้าเงินเบาๆ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “จะได้กินเนื้อย่างมากน้อยแค่ไหน ต้องดูผลงานของเจ้าแล้ว”

เจ้าเงินได้ยินเช่นนี้ขนบนตัวก็ตั้งชันขึ้นมาทันที กรงเล็บเล็กๆ กวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าราวกับกำลังประกาศกร้าวอย่างไร้สุ้มเสียงว่า ‘เพื่อเนื้อย่าง ข้าสู้ตาย’

แสงสีเงินวูบขึ้น เจ้าเงินไปปรากฏตัวบนเวทีแล้ว

บนเวทีศิลาดำ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เสือดาวเงินและเจ้าเงินต่างมีสีเงินยวงทั้งตัวเช่นเดียวกัน ทั้งสองยืนคุมเชิงกันอยู่

รอบด้านพลันเงียบกริบไร้สุ้มเสียง สายตาของทุกคนในที่นั้นจับนิ่งอยู่ที่ร่างของสัตว์อสูรทั้งสองตัว

แกร๊ง

เสียงระฆังดังขึ้น การประลองเริ่มต้นแล้ว!

เสียงสัญญาณเปิดศึกเพิ่งดังขึ้น เจ้าเงินก็พุ่งปราดออกไปทันที ทุกคนยังไม่ทันมองชัดถนัดตามันก็ไปยืนเด่นอยู่บนหัวของเสือดาวเงินเสียแล้ว

เสือดาวเงินอารามตกใจจึงเริ่มส่ายสลัดสะบัดหัวอย่างแรงทันที

“รวดเร็วยิ่งนัก นี่มันสัตว์อสูรประเภทไหนกันแน่” หลิ่วอวี้เฉินก้าวออกจากห้องมาดูในระยะประชิด เขาขยี้ตากล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์

“ไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน” ส่วนเจี้ยเซวียนหลีถึงขนาดปีนขึ้นไปบนราวระเบียง จ้องเจ้าเงินตาไม่กะพริบ

ส่วนโม่เหยียนไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เขาตระหนักในความว่องไวของเสือดาวเงินดี แต่ยังไม่ทันได้เผชิญหน้ากลับปล่อยให้เจ้าเงินฉวยโอกาสลงมือก่อนเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นสัตว์อสูรที่มีความว่องไวมากเท่านี้และไม่เคยเห็นสัตว์อสูรชนิดนี้มาก่อน

เจ้าเงินใช้สองเท้าหลังจิกยึดขนและหนังหัวของเสือดาวเงินอย่างเหนียวแน่น ปล่อยให้เสือดาวเงินส่ายสะบัดอย่างคลุ้มคลั่งตามใจชอบ ส่วนกรงเล็บเล็กๆ ทั้งสองก็ดึงทึ้งขนของเสือดาวเงินอย่างเร็วระรัว

สิ่งที่ตามมาจากการดึงทึ้งอย่างบ้าคลั่งคือเส้นขนสีเงินที่ปลิวว่อนแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้นเวทีสีดำ สีขาวเงินตัดกับสีดำดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

“เจ้าเงินกำลังทำอะไร ถอนขนเช่นนั้นหรือ” ดวงตาเล็กๆ ของลั่วหลีกะพริบปริบๆ ถามขึ้นอย่างข้องใจ

หวังโหวและหวงอวี่ไม่มีใครตอบได้ ทั้งสองดูจะจนด้วยคำพูด

ให้มันขึ้นไปเพื่อต่อสู้ ไม่ใช่ให้ไปถอนขน เจ้าเงินกำลังทำอะไรกันแน่

ลั่วอวี่เห็นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ พึมพำขึ้นว่า “เจ้าสัตว์อสูรหลงตัวเอง”

ขนสีเงินปลิวว่อนท่ามกลางเสียงหัวเราะของลั่วอวี่ บนเวทีประลองแทบมองไม่เห็นตัวเสือดาวเงินกับเจ้าเงินเลย เห็นเพียงแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งตามมาด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วนปลิวกระจาย

หลังจากนั้นเสือดาวเงินก็ส่งเสียงคำรามลั่น แสงสีเงินไหววาบ แล้วเงาร่างทั้งสองก็ผละออกจากกัน เสือดาวสีเงินและเจ้าเงินต่างแยกออกมาหยุดยืนอยู่คนละด้านของเวที

รอบด้านเงียบกริบ ทุกสายตาจับนิ่งไปบนเวทีไม่มีใครพูดอะไร

เพียงเห็นเสือดาวเงินที่เดิมดูองอาจห้าวหาญ เวลานี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีเส้นขนสีเงินยวงหลงเหลือแม้แต่น้อย กลายเป็นเสือดาวสีเนื้อที่เนื้อตัวล้านเลี่ยนเตียนโล่งไม่เหลือขนสักเส้น ดูตัวหดเล็กลงไปเป็นกอง

ส่วนฝั่งตรงข้าม เจ้าเงินยืดตัวยืนด้วยสองเท้าหลัง ใช้อุ้งเท้าหน้าตบกันกลางอากาศ มันส่งเสียงเชอะอย่างหยิ่งผยองพลางถ่มน้ำลายรดกองขนสีเงินที่ถูกมันทึ้งถอนออกมาทีหนึ่ง จากนั้นยังชูหมัดเล็กๆ ให้เสือดาวเงินที่ไร้ขนอย่างท้าทาย ท่าทางบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ‘อย่างเจ้าหรือจะคู่ควรกับสีเงินเช่นข้า ใต้หล้านี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับสีเงิน หากเจ้าอยากสีเงินนัก ข้าก็จะถอนขนเจ้าให้เกลี้ยง ดูซิเจ้ายังจะมีสีเงินได้อีกหรือไม่’

“พรืด” ท่ามกลางความเงียบ ลั่วหลีสะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ จากนั้นราวกับเกิดคลื่นโหมซัดสาดตามมา บรรดาศิษย์สำนักศึกษาหลวงที่อยู่ในห้องโถงพากันส่งเสียงหัวเราะออกมาตามกันเป็นพรวน

เสือดาวเงินตัวโกร๋น ฮ่าๆ

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยืนอยู่ด้านข้างโมโหเสียจนหน้าเขียวคล้ำ

เสือดาวเงินที่ถูกถอนขนจนโกร๋นอับอายจนโทสะพวยพุ่ง มันกางปีกคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าเงิน ท่าทางอันโอหังแสดงออกชัดเจนว่า ‘ข้าบินได้ ต่อให้เจ้าไวแค่ไหนก็ได้แต่อยู่บนพื้นเท่านั้น’

ไม่รู้ระหว่างสัตว์อสูรสื่อสารกันอย่างไร หากแต่เห็นชัดว่าเจ้าเงินเข้าใจถึงความโอหังนี้อย่างแจ่มแจ้งพลันส่งเสียงคำรามอย่างดุดันขึ้นมาบ้าง แสงสีเงินไหววาบ พุ่งสวนเข้าใส่เจ้าเสือดาวทันที

เพียงชั่วขณะ ผู้ชมที่นั่งอยู่มองเห็นเพียงเงาสีเงินและร่างสีเนื้อปะทะกันกลางอากาศ เสียงโครมดังสนั่น ม่านโลหิตค่อยๆ แผ่กระจายออกมา จากนั้นร่างสีเนื้อพลันหมุนตัวบินขึ้นสู่เวหา แสงสีเงินไล่กวดไปติดๆ

“เสือดาวเงินบินได้ ย่อมได้เปรียบ” หลิ่วอวี้เฉินยืนลูบคางอยู่ข้างราวระเบียงพลางกล่าวขึ้น

“สู้ไม่ได้ยังหนีได้ เช่นนี้คงจะกลายเป็นสงครามผลัดกันรุกรับ” เจี้ยเซวียนหลีก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ไม่หรอก” ทันทีที่สิ้นเสียงของทั้งคู่ โม่เหยียนก็กล่าวแทรกขึ้น

หลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีเลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกัน “เพราะเหตุใด”

คำย้อนถามยังไม่ทันพูดจบ พวกเขาก็ทราบคำตอบแล้ว

แสงสีเงินซึ่งเดิมชะงักค้างอยู่กลางอากาศ จู่ๆ กลับถีบตัวขึ้นกะทันหัน ครู่เดียวก็ไล่ตามเสือดาวเงินที่โบยบินอยู่กลางอากาศได้ทัน

สีโลหิตสาดกระจาย เสือดาวเงินส่งเสียงร้องโหยหวน

“เพิ่มพลังกลางอากาศ นี่นี่” หลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีได้แต่ตะลึงงัน พวกเขาไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน เจ้าตัวน้อยนี่คือตัวอะไรกันแน่

เสือดาวเงินร่วงสู่พื้น สองปีกขาดสะบั้น ลมหายใจรวยริน เผชิญหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งก็ถูกจัดการราบคาบเสียแล้ว รวดเร็วจนไม่มีผู้ใดเห็นชัดถนัดตาว่าเจ้าเงินลงมืออย่างไรกันแน่

ลั่วอวี่รู้มานานแล้วว่าเจ้าเงินว่องไวเหนือธรรมดา เขี้ยวฟันก็แหลมคมจนน่ากลัว กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อความเร็วผนวกกับเขี้ยวคมจะให้ผลลัพธ์อันร้ายกาจเช่นนี้ แม้แต่นางยังอดเลิกคิ้วไม่ได้

เจ้าเงินกระโดดครั้งเดียวก็กลับมาสู่อ้อมอกของลั่วอวี่ มันยืนตัวตรงแน่ว บิดก้นเล็กๆ ให้ลั่วอวี่ ในดวงตาเล็กๆ ที่เต้นระริกระรี้สื่อความหมายชัดว่า ‘เนื้อย่าง เนื้อย่าง!’

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มพลางลูบหัวเล็กจ้อยของเจ้าเงินอย่างเอ็นดู “กลับไปจะให้เจ้ากินของอร่อย”

พูดจบลั่วอวี่ก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าได้อันตรธานไปแล้ว นางมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ใบหน้าซีดเผือดราวกับคนตายอย่างเย็นชา

คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนรับรู้ถึงสายตาของลั่วอวี่ก็มีสีหน้าย่ำแย่เป็นที่สุด นางหันกลับไปมองโม่เหยียน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างน่าเวทนา “องค์ชายสาม”

โม่เหยียนไม่ได้เหลือบแลสายตาวิงวอนของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสักนิด เพียงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เมื่อกล้าพนันย่อมต้องกล้ารับผล”

กล้าพนันต้องกล้ารับผล ในเมื่อกล้ารับคำท้า พ่ายแพ้แล้วก็ต้องยอมรับ นี่คือหลักการของความเป็นคน เขาไม่มีวันลำเอียงปกป้องคนของตนเองเด็ดขาด

ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนก็ไม่นับเป็นคนของเขาอยู่แล้ว

ครั้งนี้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคิดจะตบก้นม้า กลับไปตบเอาขาม้า เสียแล้ว

สายตาของเขาตวัดไปสบนิ่งกับดวงตาที่มองขึ้นมาของลั่วอวี่ นัยน์ตาของโม่เหยียนลึกล้ำดุจเปลวเพลิง เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

“ถอดให้หมด! ถอดให้หมด! ถอดให้หมด”

เมื่อโม่เหยียนลั่นวาจาออกมาเช่นนี้ ผู้ชมรอบด้านพลันตะโกนกู่ร้องขึ้นมาเป็นระยะ

วิ่งเปลือยกาย สตรีวิ่งเปลือยกาย นี่เป็นภาพที่ไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน

ช่างน่าตื่นเต้น เร้าใจนัก!

ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสีหน้านิ่งขึง ไม่ขยับเขยื้อน

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “เจ้าจะไม่รักษาสัญญาก็ได้ แต่จากนี้ไปข้าเดินผ่านที่ใด เจ้าต้องหลบห่างข้าสามเซ่อ* มิเช่นนั้นข้าเห็นหน้าเจ้าครั้งหนึ่งก็จะตีเจ้าครั้งหนึ่ง”

ฝูงชนพากันโห่ร้อง

“ละเว้นคนได้ก็สมควรละเว้น” ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึง บุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ข้างกายลั่วอวี่มองนางแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

ลั่วอวี่ได้ยินก็หันไปมองบุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวที่กำลังยืนอมยิ้มอยู่ นางเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “วันนี้หากอยู่ในสถานการณ์กลับกัน นางใช่จะยอมละเว้นข้า”

แพทย์โอสถในชุดคลุมยาวสีขาวหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนมีเจตนาจะทำให้ลั่วอวี่อับอาย วันนี้หากนางเป็นฝ่ายชนะ ต้องไม่ยอมละเว้นลั่วอวี่แน่ สิ่งที่เขาพูดออกไปจึงหาความหมายอะไรไม่ได้

หลังจากพยักหน้าแล้ว แพทย์โอสถก็คิดจะเจรจาเรื่องหนึ่ง เขากล่าวกับลั่วอวี่ยิ้มๆ “ขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่ หรือเจ้าอยากจะดูต่อให้จบก่อน”

ลั่วอวี่เหลือบมองความคึกคะนองบ้าคลั่งภายในห้องคราหนึ่ง ความดูแคลนวูบผ่านใบหน้า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถิด” นางหาได้สนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรี

นางกับลั่วหลี หวังโหวและหวงอวี่ก้าวออกจากประตูใหญ่ของห้องฝึกยุทธ์ไปพร้อมกัน

ฝูงชนพากันมองตามหลังลั่วอวี่ที่เดินออกไป แววตาของคนเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว เงาร่างของลั่วอวี่คล้ายสูงใหญ่ขึ้นมาในพริบตา

บทที่ 8

สายลมเย็นยามราตรีพัดโชยมา พากลิ่นหอมของหญ้าเขียวรวยรินมาบางเบา บรรยากาศรอบด้านดูอบอุ่นชุ่มชื้นสงบงดงาม

หลังออกจากห้องฝึกยุทธ์ แพทย์โอสถชุดขาวก็หันมาพูดกับลั่วอวี่ด้วยสีหน้าเจือยิ้ม

“ลั่วอวี่ ลูกกลอนสะกดสำนึกเจ้าเป็นผู้ปรุงขึ้นเองกระมัง สนใจจะเข้าสำนักแพทย์โอสถของเราหรือไม่”

“สำนักแพทย์โอสถ?” ลั่วอวี่ยังไม่ทันเปิดปาก หวังโหวก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ถูกต้อง สำนักแพทย์โอสถหลวง เจ้าน่าจะอยู่ในระดับแพทย์โอสถชั้นกลางใกล้จะขึ้นชั้นสูงแล้วกระมัง ลูกกลอนสะกดสำนึกที่เจ้าปรุงสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง เจ้าสนใจหรือไม่” แพทย์โอสถชุดขาวกล่าวยิ้มๆ

เมื่อได้ยินแพทย์โอสถเอ่ยถึงลูกกลอนสะกดสำนึกขึ้นมาอีกครั้ง หวังโหวและหวงอวี่ต่างหันมามองหน้ากัน

สัตว์อสูรบนแผ่นดินลืมธารามีมากมาย ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ลูกกลอนปราณอสูรอันเกิดจากการจับตัวของพลังปราณแห่งฟ้าดินที่สัตว์อสูรดูดซับไว้ภายในกายล้วนเป็นสุดยอดโอสถที่ช่วยเสริมสร้างพลังยุทธ์ เพียงแต่สัตว์อสูรนิสัยป่าเถื่อน พยศมาก ฝึกให้เชื่องยาก เมื่อกินลูกกลอนปราณอสูรเข้าไป แม้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเกิดผลข้างเคียงอย่างอาการธาตุไฟเข้าแทรกจนเสียสติก็มีมากตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ลูกกลอนสะกดสำนึกซึ่งมีสรรพคุณแก้อาการธาตุไฟเข้าแทรกจึงนับเป็นสิ่งล้ำค่าในบรรดาสิ่งล้ำค่า หนึ่งเม็ดมีค่าสี่สิบหมื่นเหรียญทอง นับว่าสมน้ำสมเนื้อ

แต่ลั่วอวี่กลับมอบให้พวกเขาคนละหนึ่งเม็ดอย่างไม่นึกเสียดาย ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่เคยคิดว่ายานี้จะสูงค่าถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่เคยคิดว่าลั่วอวี่จะเป็นถึงแพทย์โอสถชั้นกลาง

พึงรู้ว่าแพทย์โอสถเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติที่สุดในแผ่นดินนี้ แบ่งออกเป็นชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง จอมแพทย์โอสถ และเทพโอสถ ลั่วอวี่เพิ่งมีอายุสิบสี่ปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถเข้าขั้นแพทย์โอสถชั้นกลางจวนเทียบชั้นสูงแล้ว เรื่องนี้นับว่าน่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าการเป็นยอดยุทธ์น้ำเงินในวัยสิบสี่ปีเสียอีก

“สำนักแพทย์โอสถ พี่ใหญ่”

“ข้าขอไตร่ตรองดูก่อน” ไม่รอให้ลั่วหลีที่กำลังตื่นเต้นดีใจกล่าวจบ ลั่วอวี่ก็แทรกขึ้นทันทีพลางมองแพทย์โอสถผู้นั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แพทย์โอสถชุดขาวได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ หลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธการเข้าสำนักแพทย์โอสถแม้แต่คนเดียว

ทว่าเขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างแย้มยิ้ม “ย่อมต้องไตร่ตรองเป็นธรรมดา อีกอย่างด้วยคุณสมบัติของข้าก็ยังไม่สามารถเชิญเจ้าเข้าสำนักแพทย์โอสถได้ ข้าจะรายงานต่อท่านหัวหน้าสำนักแพทย์โอสถหลวง ลั่วอวี่ เชื่อข้าเถิด เข้าสำนักแพทย์โอสถหลวง สำหรับเจ้าแล้วมีแต่คุณอนันต์ไม่มีโทษแม้เพียงนิด อิทธิพลของเราแผ่ขยายครอบคลุมหลายแว่นแคว้น เชื่อว่าจะเป็นผู้หนุนหลังให้เจ้าได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้เจ้าไม่ต้องห่วงกังวลสิ่งใดอีก”

หลังจากทิ้งวาจาประโยคสุดท้ายที่แฝงความนัยลึกซึ้งให้ลั่วอวี่แล้ว แพทย์โอสถชุดขาวก็ยิ้มพลางกล่าวอำลาลั่วอวี่ด้วยท่าทีงามสง่าก่อนจะเดินจากไป

ลั่วอวี่ยกมือลูบหางคิ้ว ความหมายของคำพูดประโยคนี้มิใช่กำลังบอกนางเป็นนัยหรือว่าเมื่อมีสำนักแพทย์โอสถคอยเกื้อหนุน จวนกั๋วกงทั้งสามก็ไม่มีอะไรน่าครั่นคร้ามอีกต่อไป

ลั่วอวี่เลิกคิ้วหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ แต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร

ไม่มีใครพูดอะไรอีก กระทั่งทั้งหมดกลับมาถึงหอพัก

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับข้า ข้าไม่อยากฟัง หากเป็นสหายก็ช่วยข้าแบ่งเงิน หากไม่ใช่สหายก็ล้มเลิกกันไป” พอก้าวเข้าประตู ลั่วอวี่ก็เอ่ยคำพูดนี้ออกมาโดยไม่หันกลับมามองหน้าใคร

หวังโหวและหวงอวี่ที่เดินตามหลังมาติดๆ กำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากบอกคืนยาลูกกลอนสะกดสำนึกที่มีราคาสูงลิบลิ่วอย่างไรดี แต่กลับได้ยินลั่วอวี่โพล่งขึ้นมาเช่นนี้จึงพากันชะงักนิ่งแล้วหันมามองสบตากัน

ภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ

ครั้นแล้วหวังโหวก็หัวเราะขึ้นมา ก้าวเท้ามาข้างหน้าก่อนจะตบไหล่ของลั่วอวี่แรงๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะ “ได้ ข้ารอรับส่วนแบ่งอยู่ หักเงินต้นของเจ้าออกไป ยังเหลืออีกตั้งสิบกว่าหมื่น พวกเรารวยแล้ว”

หวงอวี่ที่อยู่ข้างหลังก็หัวเราะ พยักหน้าเห็นพ้อง

“ต้องอย่างนี้สิ” ลั่วอวี่หมุนตัวกลับมาพลางหัวเราะ

นางไม่เคยร่ำเรียนวิธีการปรุงยาของแผ่นดินลืมธารา สิ่งที่นางรู้คือการปรุงยาในแบบฉบับชาวยุทธ์ ในสมัยโบราณแต่ละพรรคแต่ละสำนักในยุทธภพมีผู้ใดปรุงยาถอนพิษไม่เป็นบ้าง ส่วนยาสะกดสำนึกอะไรนี่ก็เป็นเพราะครั้งนั้นเจ้าเงินหาสมุนไพรชั้นเลิศมาให้มากมายเกินไป หลังจากนางปรุงยาถอนพิษให้บิดาสำเร็จจึงถือโอกาสปรุงยาเม็ดชนิดนี้ขึ้นมาเท่านั้น

ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

 

มวลหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ รัตติกาลงดงามพร่างพราย

ท่ามกลางความงามเช่นนี้ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนนับว่ามีจิตใจเด็ดเดี่ยวนัก นางเดินเปลือยกายออกจากห้องฝึกยุทธ์

โชคดีที่จวนกั๋วกงเมฆาผงาดมีอิทธิพลไม่น้อย จึงอาศัยผ้าสีดำบดบังเรือนร่างไว้รอบด้าน ทุกคนรู้เพียงว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนปลดเปลื้องอาภรณ์ออกแล้วเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนาง

ทว่าครั้งนี้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนนับว่าอับอายขายหน้าอย่างที่สุด แต่นี้ไปไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้คนในสำนักศึกษาหลวงได้อีก

ราตรี ยิ่งทวีความมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ

 

วังหลวง แคว้นไร้ปีก

“อะไรนะ! แพทย์โอสถชั้นกลางจวนเทียบชั้นสูง?” ในตำหนักบรรทมของพระราชา เสียงเข้มแข็งทรงพลังเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์เสียงหนึ่งดังขึ้น

“พ่ะย่ะค่ะ”

“หึๆ มีความสามารถถึงเพียงนี้ จวินโย่วเทียน พวกเจ้ามองนางผิดไปเสียแล้ว” ผู้เป็นเจ้าเหนือชีวิตส่งเสียงหัวเราะ

“มีเพียงฝ่าบาทที่มีสายพระเนตรในการมองคนได้เฉียบคมยิ่ง”

“ตั้งแต่อายุสามขวบกระทั่งเติบใหญ่ เราก็เห็นแววก้าวหน้าของลูกสะใภ้อัปลักษณ์ผู้นี้มาโดยตลอด ฮ่าๆ ในเมื่อเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ เรายิ่งไม่อาจให้นางยกเลิกการหมั้นหมาย ถ่ายทอดราชโองการ”

ท้องฟ้ายามราตรีเงียบสงัด หมู่ดาราส่งแสงระยิบระยับอยู่บนม่านฟ้า

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

“ฝ่าบาทมีราชโองการ องค์ชายสามและพระคู่หมั้นไม่ได้พบหน้ากันนานหลายปี เพื่อมิให้เกิดความเหินห่างในภายหลัง จึงมีพระราชานุญาตให้ทั้งสองพำนักอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สร้างความใกล้ชิดสนิทสนม”

“ล้อเล่นอะไรกัน! ใครอยากจะอยู่กับหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้น!” ทันทีที่ได้ยินราชโองการ โม่เหยียนซึ่งพำนักอยู่ตามลำพังในเรือนพักส่วนตัวภายในสำนักศึกษาหลวงพลันเกิดเพลิงโทสะพวยพุ่ง

“ราชโองการมิอาจต่อต้าน” นี่คือคำตอบที่ผู้อัญเชิญราชโองการตอบกลับมา

ในเวลาเดียวกันนั้น ณ สถานที่อันห่างไกลซึ่งลั่วอวี่พำนักอยู่ ลั่วอวี่เอนร่างพิงประตู สองมือกอดอก มองผู้อัญเชิญราชโองการอีกคนด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่ยินดีและไม่ฉุนเฉียว

ผู้มาเยือนเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง หากท่านย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันเป็นเวลาครึ่งปีแล้วนิสัยเข้ากันไม่ได้จริง ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ล้มเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้ คุณหนูลั่วอวี่ เงื่อนไขเช่นนี้ท่านพึงพอใจหรือไม่”

“ตกลง” ลั่วอวี่ยิ้มสดใส ตอบอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา

อยู่ด้วยกันครึ่งปีแลกกับการยกเลิกการแต่งงาน ต่อสู้โดยไม่เสียเลือดเนื้อนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทเพียงแต่ตรัสว่าให้อยู่ด้วยกัน คำว่า ‘อยู่ด้วยกัน’ สามารถอธิบายได้หลายรูปแบบทีเดียว

 

ครั้นแล้วเมื่อแสงอรุโณทัยสาดส่อง ลำแสงสีทองอาบไล้เรือนพักหลังน้อยของราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ภายในสำนักศึกษาหลวงจนเกิดประกายหลากสีสันสดสวยลานตา โม่เหยียนก็ออกมารับหน้าคู่หมั้นแสนอัปลักษณ์ของเขาที่จะมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาด้วยใบหน้าขุ่นขึ้ง

ด้านหลังลั่วอวี่มีผู้ติดสอยห้อยตามมาเป็นขบวนลั่วหลี หวังโหว หวงอวี่ และเจ้าเงิน

บนบันไดศิลาดำ โม่เหยียนสองมือกอดอก ข่มกลั้นเพลิงโทสะ มองลั่วอวี่ที่ก้าวเข้าประตูมาอย่างเย็นชาก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวขึ้น “อย่าคิดว่าเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วข้าจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเจ้า”

ลั่วอวี่ตวัดตามองโม่เหยียนแวบหนึ่งอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย นางพาพวกลั่วหลีเดินเข้าไปทันที แต่ขณะที่เดินเฉียดโม่เหยียน นางก็ทิ้งถ้อยคำพร้อมกับรอยยิ้มพริ้มพราย “ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

“เจ้า”

“ไปๆ ไปกินข้าวกันได้แล้ว” หลิ่วอวี้เฉินกับเจี้ยเซวียนหลีที่พำนักอยู่เรือนด้านข้างเห็นเช่นนี้จึงรีบเข้ามาลากตัวโม่เหยียนออกไป เพียงแต่รอยยิ้มที่มุมปากทำอย่างไรก็ปิดไม่มิด

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง เรือนพักส่วนตัวกับหอพักในมุมห่างไกลย่อมไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ ถึงลั่วอวี่จะไม่พึงพอใจคนที่อยู่ร่วมชายคา แต่นางพอใจเรือนพักหลังนี้มาก

“ลั่วอวี่ เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงไม่อยากแต่งงานกับเขา” ระหว่างปัดกวาดที่หลับที่นอน หวังโหวเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ บอกอย่างไม่ปิดบัง “ตัดสินคนจากรูปกายภายนอก คนเช่นนี้ข้าจะฝากชีวิตด้วยได้อย่างไร”

หวงอวี่กับหวังโหวได้ยินแล้วก็หันมามองหน้ากันและพอจะเข้าใจนางแล้ว

“แล้วเขาจะต้องนึกเสียใจ” หวงอวี่เอ่ยออกมาเบาๆ

ลั่วอวี่ไหวไหล่ “ข้าหาได้แยแส ข้าไม่นึกเสียใจเป็นพอ ส่วนเขาข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยว”

หวงอวี่และหวังโหวฟังวาจาปัดความรับผิดชอบของลั่วอวี่แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้

“พี่ใหญ่ กินข้าวได้แล้ว” เสียงของลั่วหลีดังขึ้นที่หน้าประตู

ไม่ได้นอนด้วยกัน อย่างน้อยต้องกินข้าวด้วยกัน เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท

ภายในห้องอาหารใหญ่โตโอ่โถง อาหารเช้าจัดวางรายเรียงจนเต็มโต๊ะไม้ลายดอกท้อ โม่เหยียนพร้อมด้วยหลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีนั่งที่ฟากหนึ่งของโต๊ะ ส่วนลั่วอวี่ ลั่วหลี หวงอวี่ และหวังโหวก็นั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง

“ลุกขึ้น ใครอนุญาตให้เจ้านั่ง” นัยน์ตาคมกริบของโม่เหยียนตวัดขวาง ความเยียบเย็นฉายชัดบนใบหน้า

วันนี้ลั่วอวี่อารมณ์ดี ได้ยินเช่นนี้ก็หาได้ขุ่นเคือง เพียงเลิกคิ้วปรายตามองอีกฝ่ายเท่านั้น

“คิดจะเข้ามาเป็นสะใภ้หลวงก็จงหัดเรียนรู้ขนบธรรมเนียมในรั้วในวัง ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้านั่ง ยังไม่ให้เจ้ากิน เจ้ากล้าดีอย่างไรลงมือกินโดยพลการ!” ความเยียบเย็นดุดันแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของโม่เหยียน

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วยกมือขึ้นเท้าคาง มองอีกฝ่ายที่คิดจะแสดงอำนาจใส่นางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “องค์ชายพระชันษายังไม่มาก เหตุใดจึงขี้หลงขี้ลืมเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ลางดีเลย ภายหน้าคงไม่พ้นเป็นโรคสมองเสื่อมในวัยชราแน่”

“พรืด” ทุกคนในโต๊ะแม้ไม่รู้มาก่อนว่าโรคสมองเสื่อมในวัยชราหมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อพิเคราะห์ตามคำ ความหมายนั้นไม่ว่าใครก็ย่อมเข้าใจ

แต่ไรมาลั่วอวี่ก็ไม่ได้อยากเป็นสะใภ้หลวงอยู่แล้ว ไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาเลยด้วยซ้ำ

โม่เหยียนเดือดดาลสุดขีด เงื้อมือเตรียมจะฟาดลงบนโต๊ะ

“องค์ชาย ช้าก่อนอย่าเพิ่งฟาด” ลั่วอวี่ปล่อยเจ้าเงินลงบนโต๊ะ แล้วก็รีบคว้าจานอาหารรสเลิศขึ้นมาหลายจาน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วส่งยิ้มน้อยๆ “เชิญท่านตามสบาย”

จากนั้นนางก็หันไปพูดกับลั่วหลีและคนอื่นๆ “เร็วเข้า ถ้ารอเขาฟาดฝ่ามือลงไปได้อดกินกันพอดี”

หวังโหว หวงอวี่ และลั่วหลีต่างรีบคว้าจานอาหารกันอุตลุด ส่วนเจ้าเงินเล็งเนื้อย่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโม่เหยียนมาครู่ใหญ่แล้ว พลันอ้าปากคำเดียวเขมือบทั้งเนื้อทั้งจานไปพร้อมกัน เคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงท้องไปทันที

โม่เหยียนชะงักค้างอยู่ในท่านั้น มือที่เงื้อขึ้นจะฟาดก็ไม่ได้ จะไม่ฟาดก็ไม่ได้ ใบหน้าเขียวคล้ำไปทั้งหน้า

เงียบงัน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ

ครั้นแล้วหลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่

“ฮ่าๆ น่าสนุกน่าสนุกจริง” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยเห็นโม่เหยียนมีท่าทางจนแต้มเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้กลับได้เห็นทุกวัน ช่างเจริญหูเจริญตาดีแท้ เจริญหูเจริญตายิ่งนัก!

โม่เหยียนมองลั่วอวี่ที่กำลังเดินเคี้ยวอาหารไปทางหน้าประตู นางปล่อยให้เขามองตามหลัง เพลิงโทสะของเขายิ่งคุโชนกว่าเดิม

ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเชิดหน้าทำเป็นไม่เห็นหัวเขามาก่อน

แต่ไรมาเขาก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้ได้รับการเทิดทูนอยู่เบื้องสูง พรสวรรค์พรั่งพร้อม ชาติสกุลดีเลิศ หน้าตาหล่อเหลา สตรีทั่วทั้งใต้หล้าแทบจะแย่งกันมาเสนอตัวให้เขา เวลานี้มีคู่หมั้นรูปโฉมอัปลักษณ์ยังไม่พูดถึง กลับกล้าหักหน้าเขาถึงเพียงนี้ นางผิดอย่างไม่สมควรให้อภัย!

โม่เหยียนลุกพรวดขึ้นก่อนจะตวาดกร้าว “เจ้า”

วาจากรุ่นโทสะเพิ่งจะเริ่มขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะอันทรงพลังดังมาจากนอกประตู

“ฮ่าๆ มีเรื่องอะไรถึงได้ดูสนุกสนานกันเช่นนี้ ลองเล่ามาให้คนแก่อารมณ์ดีบ้างสิ”

ครั้นแล้วประตูห้องพลันอ้าออกเอง บุรุษวัยกลางคนคู่หนึ่งเดินเข้ามา

ทันทีที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร เจี้ยเซวียนโม่เหยียนรีบข่มกลั้นไฟโกรธที่ลุกโชนอยู่เต็มอกไว้ทันที หมุนตัวที่ยังแข็งทื่อไปทางผู้มาเยือนแล้วเอ่ยทักทาย “อาจารย์ จอมแพทย์โอสถ”

เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินซึ่งกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ด้านข้างรีบเก็บเสียงหัวเราะในฉับพลัน ยืนขึ้นทักทายอย่างอ่อนน้อมว่า “อาจารย์ใหญ่ จอมแพทย์โอสถ”

“ครึกครื้นกันดีนี่” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมยาวสีเทาอ่อน อายุราวสี่ห้าสิบปี รูปร่างซูบผอมเอ่ยอย่างแย้มยิ้ม จากนั้นจึงหันไปมองลั่วอวี่ที่หยุดฝีเท้าลง แล้วกล่าวขึ้น “เจ้าก็คือคู่หมั้นหมายของเจ้าหนูนี่”

“เราทั้งสองต่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่” ลั่วอวี่ยิ้มตอบ แต่ในใจกลับบังเกิดความฉงนสนเท่ห์ ผู้มาเยือนเข้ามาจนใกล้ตัวถึงเพียงนี้ นางกลับไม่อาจสัมผัสรู้ วิชาของพวกเขาสูงส่งยิ่ง เหนือกว่านางมากมายนัก

“ฮ่าๆ ทารกหญิงผู้นี้น่าสนใจ”

“อาจารย์” โม่เหยียนหน้าตึง

คนผู้นี้คือเหยียนเลี่ยอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงและเป็นอาจารย์ของโม่เหยียน

เมื่อเห็นท่าทีของลูกศิษย์ เหยียนเลี่ยยิ่งส่งเสียงหัวเราะ

“ลั่วอวี่” บุรุษอีกคนหน้าตาสดใสท่าทางมีสง่าราศี เส้นผมเริ่มมีสีเงินยวงแทรกแซมประปราย ดูจากหน้าตาอายุไม่น่าเกินสี่ห้าสิบ เขาหันไปหาลั่วอวี่แล้วชี้มาที่ตัวเอง “ข้าฝู่เฮ่ออวี๋ เป็นอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษาหลวง และเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์โอสถหลวง”

ได้ยินเช่นนี้ หวงอวี่ หวังโหว และลั่วหลีต่างสูดหายใจเข้าอย่างแรง คนทั้งสองถือเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นไร้ปีก ถึงกับแนะนำตัวกับลั่วอวี่อย่างเป็นทางการเช่นนี้

ตรงกันข้าม ลั่วอวี่กลับไม่มีท่าทีประหลาดใจเหมือนคนทั้งสามคน ในใจพอจะเข้าใจนัยแอบแฝงที่จอมแพทย์โอสถแนะนำตัวกับนางอย่างเป็นทางการเช่นนี้ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาให้รู้ เพียงทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “จวินลั่วอวี่ ศิษย์สำนักศึกษาหลวง คารวะจอมแพทย์โอสถและอาจารย์ใหญ่”

เหยียนเลี่ยและฝู่เฮ่ออวี๋เห็นลั่วอวี่ทั้งไม่วางตนต่ำต้อยและไม่วางตนแข็งกระด้าง อากัปกิริยาดูเป็นธรรมชาติก็แอบผงกศีรษะกับตนเองด้วยความพึงพอใจ

หลังจากลั่วอวี่แนะนำตนเองแล้ว อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลวงก็กวักมือเรียกโม่เหยียนที่หน้าตาเคียดขึ้งพร้อมกล่าวขึ้น

“ไป เจ้าหนู อาจารย์จะพาเจ้าไปดูอะไรสนุกๆ”

โม่เหยียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ผงกศีรษะแล้วก้าวเท้าออกไป “ขอรับ”

หากทำให้อาจารย์ของเขาออกปากว่าเป็นเรื่องสนุกได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ เช่นนั้นก็วางเรื่องของลั่วอวี่เอาไว้ก่อน

“อาจารย์ใหญ่” เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินมองเหยียนเลี่ยตาปริบๆ

มือใหญ่ของเหยียนเลี่ยโบกวูบ “ไม่มีทาง ที่นั่งไม่พอ ข้าพาไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินสีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที

ในขณะที่เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินกำลังทอดถอนใจ ฝู่เฮ่ออวี๋ก็ยิ้มแล้วกล่าวกับลั่วอวี่

“ลั่วอวี่ ไป วันนี้มีของดี เจ้าก็ตามข้าไปดูเถอะ”

พอสิ้นเสียง โม่เหยียนก็หน้าขรึมลงทันควัน ถลึงตาใส่ลั่วอวี่คล้ายมีควันดำพวยพุ่งจากศีรษะ นางก็ไปด้วยหรือ!

ลั่วอวี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้ม “ได้ไปกับท่านจอมแพทย์โอสถ นับเป็นเกียรติของลั่วอวี่”

ฝู่เฮ่ออวี๋ได้ยินก็หัวเราะชอบใจ ก้าวออกไปพร้อมกับเหยียนเลี่ย

ที่ด้านหลัง โม่เหยียนถลึงตาใส่ลั่วอวี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ จำต้องเดินปั้นปึ่งตามออกไป

ลั่วอวี่ไม่แยแสสนใจสายตาเป็นอริและความโกรธขึ้งของเขา ทำไม้ทำมือบอกพวกลั่วหลีว่านางจะทิ้งเจ้าเงินไว้ที่นี่ หากนางไม่อยู่ เจ้าเงินจะช่วยปกป้องพวกเขาทั้งสามคนได้

หวังโหวและหวงอวี่มีไหวพริบปฏิภาณ ย่อมเข้าใจความหมายของนางดีจึงพยักหน้ายิ้มรับ

 

เมื่อคนทั้งสี่ออกจากสำนักศึกษาหลวงก็เดินทางโดยอาศัยรถม้า

เมืองหลวงมีรถราขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัด บรรยากาศคึกคักจอแจยิ่ง

หอประมูลฟ้าเรืองเป็นหอประมูลชั้นสูงแห่งสามแว่นแคว้น อิทธิพลแผ่ขยายครอบคลุมแคว้นใหญ่ทั้งสาม ทั้งแคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิง

ยามนี้ภายในหอประมูลฟ้าเรืองกำลังครึกครื้นผิดธรรมดา

ห้องมัจฉาโบยบินโอ่อ่าหรูหรา ตามปกติจะไม่เปิดใช้หากของประมูลมิใช่สมบัติชั้นเลิศ เวลานี้โคมแก้วเจียระไนสว่างไสว บนเวทีหยกขาวยังไม่ปรากฏสินค้าและผู้นำประมูล ทว่าที่นั่งด้านล่างหลายร้อยที่ไม่เหลือว่างแล้ว

ลั่วอวี่นั่งอยู่ในที่นั่งของแขกสูงศักดิ์บนชั้นสอง นางชำเลืองตามองจวินโย่วเทียนที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามวูบหนึ่ง

จวนกั๋วกงม่วงพราวก็มาเช่นกัน

“เสด็จอาก็มาด้วย อาจารย์ วันนี้จะประมูลสิ่งใดหรือ” โม่เหยียนซึ่งนั่งอยู่ข้างเหยียนเลี่ยเบนสายตาไปทางซ้ายมือของเขา เสด็จอาของเขามาเป็นตัวแทนขององค์ราชา วันนี้มีของดีอะไรกันแน่ แม้แต่พระบิดาของเขายังให้ความสนใจ

“เห็นแล้วเจ้าก็รู้เอง” เหยียนเลี่ยไม่ตอบ

“ที่อยู่ตรงข้ามเจ้าคือท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผล” ฝู่เฮ่ออวี๋ที่ถูกจัดให้นั่งถัดจากเหยียนเลี่ยพยักพเยิดเชิดคางไปที่ด้านหน้าของลั่วอวี่ จากนั้นจึงหันไปทางตะวันตกแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผู้นั้นคือท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด”

ลั่วอวี่ที่นั่งอยู่ทางขวามือของฝู่เฮ่ออวี๋รับฟังและส่งสายตาแลตาม เห็นท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลมีอายุอานามมิใช่น้อย เส้นผมเป็นสีเงินยวงไปทั้งศีรษะ รูปร่างซูบผอม ท่าทางเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

ส่วนท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด อายุอานามดูจะน้อยกว่าเล็กน้อย น่าจะราวห้าหกสิบปี ท่วงทีกิริยาภูมิฐานงามสง่า สูงส่งประดุจเทพเซียน

เห็นทีของประมูลในวันนี้คงมีมูลค่าพอตัว ไม่ต้องพูดถึงการมาของผู้ทรงอำนาจระดับต้นๆ แห่งแคว้นไร้ปีก เพียงแค่ผู้อาวุโสของสกุลใหญ่ทั้งหลายมากันพร้อมหน้า ลั่วอวี่ก็ต้องเริ่มประเมินการประมูลครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง

“เป็นของอะไรกันแน่” ลั่วอวี่เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ยังกล่าวไม่ทันจบก็ชะงักนิ่งไปเสียก่อน นางถามอะไรที่ไม่สมควรออกไปเสียแล้ว

แต่นึกไม่ถึงว่าฝู่เฮ่ออวี๋กลับยิ้ม กล่าวตอบว่า “เห็นว่าเป็นลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด”

ลั่วอวี่รับฟังด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางหันมามองฝู่เฮ่ออวี๋ ฝู่เฮ่ออวี๋กลับยิ้มให้ด้วยความปรานี

“เจ้าเฒ่าตัวแสบ เผยความลับออกไปเสียแล้ว” เหยียนเลี่ยไม่สบอารมณ์

โม่เหยียนซึ่งอยู่ข้างๆ ยิ่งไม่สบอารมณ์เช่นกัน ตอนเขาถาม อาจารย์ยังไม่ยอมบอก แต่จอมแพทย์โอสถกลับแย้มพรายให้ลั่วอวี่รู้อย่างง่ายดาย ช่างน่าหงุดหงิดนัก อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ลั่วอวี่อย่างดุดัน

“ในเมื่อจะช้าเร็ว” ฝู่เฮ่ออวี๋เพิ่งเปิดปาก กลางลานประมูลเบื้องล่างยังไม่เห็นตัวผู้นำงาน แต่กลับมีเสียงคนชิงเปิดฉากขึ้นมาเสียก่อน

“ทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว”

ลานประมูลพลันเงียบลงทันตา

คนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังเวทีหยกขาว รูปร่างกะทัดรัด ใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมราศี สีหน้ายิ้มแย้ม ดูเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรียิ่ง

“ปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว วันนี้ผู้น้อยจะเป็นผู้ดำเนินงานประมูลสินค้าชิ้นนี้เอง” กล่าวจบเขาก็ก้าวมายืนอยู่กลางเวทีประมูลที่ว่างเปล่า

“อูสิง เจ้าของหอประมูล” ฝู่เฮ่ออวี๋กดเสียงต่ำ อธิบายให้ลั่วอวี่ฟัง

เจ้าของกิจการถึงกับลงมาดำเนินงานประมูลด้วยตนเอง ลูกกลอนปราณอสูรชั้นเลิศที่ว่าไม่รู้เลิศล้ำถึงขั้นไหน ลั่วอวี่ไร้คำพูดจะกล่าว

เมื่ออูสิงมาหยุดยืนอยู่กลางเวทีประมูล เขาก็โค้งคำนับผู้คนไปทั้งสี่ด้าน

“เชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบแล้วว่าวันนี้ของล้ำค่าที่เราจะนำออกประมูลคือสิ่งใด ข้าคงไม่ต้องกล่าวให้มากความ วันนี้ภายในห้องมัจฉาโบยบินของเราจะไม่มีการประมูลสินค้าอื่นๆ เช่นที่เคยปฏิบัติกันมา ผู้น้อยไม่อยากให้ทุกท่านชังน้ำหน้า ดังนั้นเรามาเข้าสู่การประมูลของชิ้นสำคัญกันเลยจะดีกว่า”

กล่าวจบ รอบด้านพลันบังเกิดเสียงหัวเราะเบาๆ เห็นชัดว่าการกระทำอันรู้การควรไม่ควรของอูสิงทำให้ทุกคนพึงพอใจ

อูสิงเห็นเช่นนี้ก็พลันตบมือ สีหน้าจริงจังขึ้น เขากล่าวเสียงสูงว่า “เช่นนั้นการประมูลจะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ทุกท่านโปรดจับตาดูให้ดี นี่คือสมบัติล้ำค่าซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์นับร้อยปีของหอประมูลฟ้าเรือง”

พอสิ้นเสียงตื่นเต้นเร้าใจของอูสิง เวทีหยกขาวที่โล่งว่างเบื้องหน้าก็ค่อยๆ แยกออกจากกัน แท่นหินทรงสี่เหลี่ยมทำจากหยกสีดำโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่าง

บนแท่นหินนั้นมีฝาครอบทำจากผลึกแก้วสีดำวางเด่นเป็นสง่าอยู่อันหนึ่ง บดบังวัตถุที่อยู่ภายใน ปิดกั้นกลิ่นอายทุกอย่างเอาไว้

คนรอบด้านเริ่มชะเง้อชะแง้อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ฝาผลึกแก้วดำไม่ใช่ของหายาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

เช่นเดียวกับดวงแก้วเจียระไนใสบริสุทธิ์ที่สามารถทดสอบพลังยุทธ์ ผลึกแก้วดำมีคุณสมบัติในการปิดกั้นกลิ่นอาย หากวัตถุที่อยู่ภายในเป็นของธรรมดาทั่วไป การปิดกั้นจะไม่บังเกิดผลอะไร แต่ถ้าสิ่งของที่อยู่ภายในยิ่งเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ยิ่งทรงพลังกล้าแกร่ง ผลึกแก้วดำก็จะยิ่งปิดกั้นเอาไว้อย่างมิดชิดไม่ให้เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

เวลานี้ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดๆ ของสิ่งที่อยู่ในฝาครอบผลึกแก้วสีดำ

เงียบงัน รอบด้านพลันเงียบงันไร้สรรพเสียง

ท่ามกลางความเงียบสงบ อูสิงยื่นมือออกมา โคมไฟแก้วเจียระไนภายในห้องมัจฉาโบยบินถูกหรี่ลงจนมืดสลัว เหลือเพียงโคมไฟไม่กี่ดวงส่องแสงรางเลือนเท่านั้น

“ทุกท่าน เชิญดูให้ดีเถิด”

น้ำเสียงที่ตื่นเต้นจนแหบพร่าดังขึ้น อูสิงยื่นมือออกไปเปิดฝาผลึกแก้วดำขึ้นช้าๆ

ฉับพลันนั้นลั่วอวี่ก็เห็นว่าภายใต้แสงมืดสลัว แสงสีแดงเพลิงอันโชติช่วงเจิดจรัสประหนึ่งแสงอาทิตย์พลันเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา กลิ่นอายที่พวยพุ่งมาปะทะใบหน้าแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก

นี่มันนี่มันพลังอะไรกัน ลั่วอวี่ตื่นตะลึง

ทันทีที่ฝาผลึกแก้วดำถูกเปิดออก แสงสีแดงเพลิงเจิดจ้าก็ส่องสว่างพร่างพรายไปทั่วทุกทิศทาง แทบจะทำให้คนไม่อาจเพ่งมองได้

ท่ามกลางประกายแสงสีแดงโชติ วัตถุวาวใสสีแดงเพลิงขนาดกำปั้นทารกแรกเกิดชิ้นหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนแท่นนั้นอย่างสงบ

“สามนักประมูลชั้นยอดแห่งวงการได้ยืนยันรับรองแล้วว่านี่คือลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด”

ทันทีที่อูสิงพูดจบ บรรดาแขกเหรื่อคนสำคัญภายในลานประมูลเบื้องล่างไม่อาจเก็บงำท่าทีได้อีกต่อไป พลันส่งเสียงอุทานอื้ออึงไปทั่ว บางคนตื่นตาจนถึงขนาดทะลึ่งตัวขึ้นมา

“สวรรค์! ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ด! ขั้นสิบเอ็ด!” เหยียนเลี่ยลูบหูตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ขั้นสิบเอ็ด? บนแผ่นดินนี้มีสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดด้วยหรือ” โม่เหยียนลุกพรวดขึ้นมายืนด้วยความตื่นเต้นไม่อยากจะเชื่อ

ขั้นสิบเอ็ดเป็นสัตว์อสูรในตำนานมิใช่หรือ

ในประวัติศาสตร์พันปีแห่งแคว้นไร้ปีก สัตว์อสูรขั้นสูงสุดที่เคยปรากฏตัวให้เห็นมีเพียงขั้นสิบเท่านั้น วันนี้ถึงกับ

“สวรรค์! ขั้นสิบเอ็ด ข้านึกภาพไม่ออกเลย!” ฝู่เฮ่ออวี๋สองมือกำหมัดแน่น ตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว

เทียบกับทุกคนที่ลิงโลดจนเสียอาการ ลั่วอวี่กลับดูค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น

เหตุผลง่ายนิดเดียว ของสิ่งนี้นางไม่จำเป็นต้องใช้

ลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรไม่มีประโยชน์ต่อนางสักนิด ด้วยเหตุนี้จิตใจของนางจึงสงบนิ่งกว่าทุกคน

ทว่าลั่วอวี่ยังคงขยี้ตา “ขั้นสิบเอ็ด วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

อูสิงที่อยู่ด้านล่างคล้ายคาดการณ์อยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่จึงไม่พิรี้พิไรอีก ครั้นแล้วเขาก็โบกมือขึ้น โคมไฟแก้วถูกจุดสว่างขึ้นอีกครั้ง

ท่ามกลางแสงสว่างพร่างพราย ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเปล่งประกายวับวาว แม้จะไม่เฉิดฉายล่อตาเหมือนยามอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ก็ดูงดงามไปอีกแบบ

แสงโคมสว่างขึ้น ผู้ที่นั่งอยู่ไม่มีผู้ใดมิใช่บุคคลสำคัญแห่งแว่นแคว้น หลังจากเสียกิริยาไปชั่วขณะ แต่ละคนก็รีบควบคุมอารมณ์ของตนทันที

“ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ด ไม่มีราคาประมูลขั้นต่ำ เพียงแต่หอประมูลฟ้าเรืองสาขาใหญ่ขุมอนันต์ได้ประกาศไว้แล้ว หากได้ราคาไม่สูงเท่าที่เราคาดหวัง เราก็มีสิทธิ์ไม่ปล่อยสินค้า และจะส่งต่อไปยังแคว้นอื่นๆ”

อูสิงพยักหน้าน้อยๆ ให้แขกที่มาประมูล จากนั้นจึงโบกมือขึ้น

การประมูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ

“หึๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นของที่เลอค่าถึงเพียงนี้ จวนป๋อเจวี๋ยของข้าไม่กล้าอาจเอื้อม เช่นนั้นข้าจะขอเปิดประมูลราคา ถือเป็นการเริ่มต้นให้ทุกท่าน สามร้อยหมื่นเหรียญทอง”

ท่ามกลางความเงียบ ขุนนางป๋อเจวี๋ยผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่เบื้องล่างเปิดฉากอย่างยิ้มแย้ม

ทันใดนั้นความคึกคักฮึกเหิมของทุกคนก็ถูกจุดประกายขึ้นมาแล้ว

“ห้าร้อยหมื่น”

“หกร้อยหมื่น”

“เจ็ดร้อยหมื่น”

ไม่มีผู้ใดเสนอตัวเลขน้อยเลยสักคน ทุกคนที่เปิดปากล้วนบอกราคาเพิ่มขึ้นทีละเป็นหลักร้อยหมื่น

ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดจะอย่างไรก็คุ้มค่า

พึงรู้ว่าสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดโดยพื้นฐานจะมีอายุหนึ่งพันห้าร้อยปีถึงสองพันปี เมื่อสามารถอยู่ยงคงกระพันได้นานเช่นนี้ ประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากลูกกลอนปราณอสูรจึงอาจเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด

บางทีกินลงไปแล้วอาจจะกระโดดจากพลังยุทธ์สีส้มกลายเป็นยอดยุทธ์ม่วงชั้นสูงก็เป็นได้

บางทีอาจสามารถฟื้นคืนจากความตาย

บางทีอาจอยู่เป็นอมตะไม่แก่เฒ่า

ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าคุณประโยชน์ของมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ทุกคนต่างรู้ดี ประโยชน์ของมันไม่น้อยอย่างแน่นอน

“หนึ่งพันห้าร้อยหมื่น”

“หนึ่งพันแปดร้อยหมื่น” จวนกั๋วกงเมฆาผงาดเปิดปาก

“สองพันหนึ่งร้อยหมื่น” จวินโย่วเทียนแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวเพิ่มราคา

“สองพัน”

ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสามเริ่มนำทรัพย์สมบัติในสกุลออกมาเดิมพันช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเพียงเม็ดเดียว

ตรงที่นั่งแขกคนสำคัญบนชั้นสอง ลั่วอวี่เกาะขอบราวระเบียงเฝ้าดูเหตุการณ์ ลูกกลอนปราณอสูรเม็ดหนึ่งมีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากนางมีสักหลัว มิร่ำรวยล้นฟ้าเลยหรือ ลั่วอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ

“สี่พันหมื่น” ท่ามกลางเสียงหัวเราะแผ่วเบา น้ำเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เสด็จอาของโม่เหยียนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเปิดปากขึ้นแล้ว

กั๋วกงใหญ่ทั้งสามชะงักไปเล็กน้อย กำลังทรัพย์ของพระราชาพวกเขาย่อมรู้ดี หากแต่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดช่างเย้ายวนชวนหลงใหลยิ่งนัก

“สี่พันห้าร้อยหมื่น” จวินโย่วเทียนขมวดคิ้วแล้วเปิดปากขึ้นอีกครา ทองสี่พันกว่าหมื่น หากให้ควักออกมาในคราเดียว ต่อให้เป็นจวนกั๋วกงม่วงพราวก็หาใช่เรื่องเล็กน้อย

“ห้าพันหมื่น” เสด็จอาของโม่เหยียนเหลือบมองจวินโย่วเทียนแวบหนึ่ง

ประมุขแห่งจวนกั๋วกงทั้งสามสบตากันครั้งหนึ่ง กำลังทรัพย์ของพวกเขา

“หกพันหมื่น” จังหวะที่จวนกั๋วกงทั้งสามนิ่งงัน ฝู่เฮ่ออวี๋ซึ่งไร้ความเคลื่อนไหวมาโดยตลอดหันมาเปิดปากขึ้นบ้างแล้ว สำนักแพทย์โอสถหลวงมีอิทธิพลแผ่ขยายครอบคลุมสามแว่นแคว้น เปรียบเสมือนขุมเงินขุมทองดีๆ นี่เอง ลูกกลอนสะกดสำนึกเม็ดหนึ่งยังมีราคาสี่สิบหมื่นแล้ว เห็นชัดว่าเงินเท่านี้เป็นเรื่องขี้ผง

ลั่วอวี่หันกลับไปมองฝู่เฮ่ออวี๋ที่กำลังตื่นเต้นจนตาแดงก่ำ จากนั้นก็กวาดตามองเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่นั่งนิ่วหน้าอยู่เบื้องล่างแวบหนึ่ง หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย

“เจ็ดพันหมื่น” หลังจากฝู่เฮ่ออวี๋เปิดปาก เหยียนเลี่ยซึ่งนั่งชมความสนุกมาตลอดก็ไม่ยอมน้อยหน้า เสนอราคาพลางหัวเราะหึๆ

สำนักศึกษาหลวงก็ร่ำรวยล้นฟ้าเช่นกัน

ฝู่เฮ่ออวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย อ้าปากหมายบอกราคาเพิ่ม ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงอาศัยวิชาลมปราณถ่ายทอดเสียง “ท่านหัวหน้าสำนักโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ อาหารแม้นเลิศรส ที่สำคัญคือต้องกลืนให้ลงด้วย”

ฝู่เฮ่ออวี๋ชะงักกึก หันขวับกลับไปมองลั่วอวี่ กลับยังเห็นเด็กสาวยังคงชะเง้อชมความสนุกสนานอยู่ตรงราวระเบียง มิได้หันมาแต่อย่างใด

ฝู่เฮ่ออวี๋ย่อมเป็นผู้มีความคิดคนหนึ่ง เพียงแต่ถูกลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดยั่วยวนจนเผลอไผลลืมตัว ครั้นได้ลั่วอวี่มาเตือนสติจึงสงบใจลงได้ทันที

‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’ คำพังเพยนี้มีหรือเขาจะไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือดินแดนแห่งแคว้นไร้ปีก

ฝู่เฮ่ออวี๋สุขุมเยือกเย็นลงแล้ว

“แปดพันหมื่น”

ขณะที่ฝู่เฮ่ออวี๋เรียกสติกลับมาได้ ฝ่ายเชื้อพระวงศ์ก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง แปดพันหมื่นเหรียญทอง นี่ย่อมเทียบเท่ากับทรัพย์สมบัติกึ่งหนึ่งในท้องพระคลัง ขณะเดียวกันแววตาอันเย็นเยียบแฝงด้วยจิตสังหารแรงกล้าของเสด็จอาของโม่เหยียนก็พลันตวัดวาบไปทางเหยียนเลี่ย

แต่เหยียนเลี่ยเป็นผู้ใด สิ่งที่สำนักศึกษาหลวงไม่ขาดแคลนมากที่สุดคือยอดฝีมือ ขณะนั้นบรรยากาศยิ่งคุกรุ่น เขาทำท่าจะเปิดปากอีกครา

“ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ กลับเปิดประมูลสมบัติของนายข้าโดยพลการ ช่างบังอาจสิ้นดี!” ทันใดนั้น น้ำเสียงโหดเหี้ยมเยียบเย็นผิดธรรมดาเสียงหนึ่งดังทะลุประตูห้องโถงที่ปิดอยู่เข้ามา

โครม! บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประตูศิลาดำหนักกว่าพันชั่งบานนั้นพลันถูกผู้มาเยือนถีบจนแหลกกระจุย เศษหินปลิวว่อน ประตูใหญ่ที่เดิมปิดอยู่อย่างแน่นหนาพังทลายจนไม่เหลือสภาพ

ผู้คนภายในห้องโถงถูกเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจ พากันหันขวับไปทางประตูใหญ่

เพียงเห็นตรงช่องประตูใหญ่ที่เปิดโร่มีเงาร่างเยือกเย็นแปดร่างเดินตรงเข้ามา บุรุษที่เดินนำหน้าอยู่ในชุดสีเขียวคราม ก้าวเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผาย ใบหน้าอำมหิตแข็งกร้าวประหนึ่งสลักเสลาจากก้อนน้ำแข็งหมื่นปี กลิ่นอายเย็นยะเยียบแผ่ออกมาทั่วร่างดุจกระบี่ที่ชักออกจากฝัก เผยความคมกริบออกมาให้เห็น รังสีเข่นฆ่าคุกคามบีบคั้น

เจ็ดคนที่เดินอยู่ด้านหลังรูปร่างหน้าตาพื้นๆ ธรรมดา ทว่าเปรียบประดุจกระบี่ซ่อนคม เก็บงำความสามารถไม่เผยออกมา พวกเขาแต่งกายคล้ายผู้ติดตามทั่วไป แต่กลับมีพลังคุกคามแผ่ออกมาอย่างรุนแรง ทำให้แขกเหรื่อที่นั่งอยู่ตรงประตูต้านรับไม่ไหว พากันผงะถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว

บุคคลเพียงแปดคนกลับทำให้คนรู้สึกถึงพลังอำนาจที่กล้าแกร่งราวกับสามารถต่อกรกับพันทหารหมื่นอาชาได้

เงียบกริบ รอบด้านมีแต่ความเงียบ

เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถง บุรุษชุดเขียวครามผู้เครียดขึงเย็นชากวาดสายตามองผู้คนรอบด้านอย่างเยียบเย็น จากนั้นสายตาก็จับนิ่งอยู่ที่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดบนแท่นประมูล ประกายเย็นยะเยียบวาบขึ้นในดวงตา

“หอประมูลฟ้าเรือง ประเสริฐยิ่งนัก” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเจือด้วยจิตสังหารและความกรุ่นโกรธราวเกลียวคลื่นซัดโถม

ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งแคว้นไร้ปีกที่ตกอยู่ในอาการตะลึงงันทั้งห้องโถงพลันได้สติกลับคืนมา ต่างมุ่นหัวคิ้ว ดวงตาสาดประกายวิบวับ กวาดตามองอูสิงและบุรุษที่น่าครั่นคร้ามผิดธรรมดาผู้นั้นสลับกันไปมา นี่มันเรื่องอะไรกัน

ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเปิดปากช่วยกล่าววาจาให้อูสิง พลังอำนาจของบุรุษทั้งแปดช่างลึกล้ำยิ่ง

“วาจานี้กล่าวได้น่าขันนัก สมบัติของนายเจ้า ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดมีตราประทับของเจ้าอยู่หรือไร” หลังจากอูสิงได้สติคืนมา สีหน้าพลันแข็งกร้าวขึ้น “คิดจะใช้กำลังช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรชั้นเลิศ เจ้าช่างไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ใด ในแคว้นไร้ปีกยังบังอาจ”

“แคว้นไร้ปีกเล็กๆ แคว้นหนึ่ง พวกเราหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่ หอประมูลฟ้าเรือง นายข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจงใช้สองมือประคองลูกกลอนปราณอสูรคืนมา หาไม่ ในเมื่อพวกเราสามารถกำราบสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดได้ จะทำลายหอประมูลฟ้าเรืองที่มีอิทธิพลแผ่ไปทั่วสามแว่นแคว้นของเจ้า ย่อมง่ายดายไม่ต่างกับบี้มดตัวหนึ่ง”

อูสิงยังกล่าวไม่ทันจบ คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่นอกประตูพลันเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างเย็นชา

ครั้นสิ้นเสียงเฉียบขาดหนักแน่น นอกห้องโถงปรากฏรัศมีสีทองสว่างไสว บุคคลสองคนก้าวเข้ามา คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง

คนทั้งแปดในห้องโถงที่เข้ามาก่อนรีบเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ทั้งก้มศีรษะโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ชะเง้อคอยาวมองผู้ที่ก้าวผ่านประตูมา

ตะวันสาดแสงเรืองรองแยงนัยน์ตาของลั่วอวี่จนพร่าเลือน เพียงเห็นคนผู้นั้นค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาท่ามกลางลำแสงสีทอง แม้จะเคยพบเห็นเรื่องราวมามาก แต่ลั่วอวี่ยังคงตะลึงงันไปเล็กน้อย

คนผู้นั้นมีเรือนผมยาวสีเงินปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีผมทิ้งตัวลงมาปรกหน้าผาก และปิดพรางดวงตาทั้งสองข้างให้เห็นเพียงรำไร ดวงตาที่ถูกเส้นผมสีเงินบดบังคล้ายซ่อนแฝงความดำมืดอันใสบริสุทธิ์ที่สุดในปฐพี เวิ้งว้างดุจท้องนภาดาราพราย ลึกล้ำราวห้วงจักรวาลที่ไร้ขอบเขต ทำให้คนเผลอจ้องมองอย่างไม่อาจละสายตา คล้ายถูกดูดดึงให้จมถลำเข้าไปทั้งตัว เพียงดวงตาคู่นี้ก็เหมือนช่วงชิงแสงสว่างทั้งหมดในโลกไปจนหมดสิ้น

คนผู้นี้ซุกมือทั้งสองไว้ในแขนเสื้อ เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวนวลขอบดำ ปักลวดลายด้วยดิ้นนาก แลดูสุภาพสง่าภูมิฐาน เขาก้าวเข้ามาช้าๆ แววตาไหววูบ แม้ไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ ออกมา แต่กลับทำให้คนยอมสยบอยู่ใต้อำนาจโดยไม่รู้ตัว

เขาไม่ได้งามเฉิดฉายราวเปลวเพลิงร้อนแรงเช่นเจี้ยเซวียนโม่เหยียน และไม่ได้สุภาพอ่อนโยนเช่นหลิ่วอวี้เฉิน หรือแข็งแกร่งเด็ดขาดดั่งเจี้ยเซวียนหลี ในความละมุนละไมแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด ในความสง่างามปรากฏแววสุภาพอ่อนโยน เป็นความสูงส่งงดงามประหนึ่งบัวหิมะบนภูผาสวรรค์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของปทุมอัคคีแห่งนรกโลกันตร์

ทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เหล่าผู้กล้าทั้งหลายพลันถูกบดบังรัศมี

เสื้อคลุมยาวกรอมพื้น บุรุษเรือนผมสีเงินหยุดยืนอยู่ในห้องมัจฉาโบยบิน นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นกวาดมองทุกคนที่นั่งอยู่อย่างเมินเฉย แววตาหาได้แฝงไว้ซึ่งความเหี้ยมโหดหรือพลังคุกคาม แต่กลับทำให้เหล่าผู้เรืองอำนาจสูงศักดิ์แห่งแคว้นไร้ปีกพากันหลบสายตาโดยสัญชาตญาณ

เป็นการยอมสยบโดยไม่รู้ตัวอย่างหนึ่ง

เป็นความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกของจิตใจโดยตรง

ลั่วอวี่เกาะอยู่ตรงราวระเบียงเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หางตาเลิกขึ้นน้อยๆ บังเอิญไปสบประสานสายตาเข้ากับบุรุษผมเงินที่มองมาพอดี

ดำสนิทไร้ที่สิ้นสุด

ลั่วอวี่ตะลึงงันไปชั่วขณะ พลันรู้สึกว่านางเข้าใจผิดไปแล้ว ที่ว่าในความละมุนละไมแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด ในความสง่างามปรากฏแววสุภาพอ่อนโยนอะไรนั่น ผิดแล้ว ผิดแล้ว ในส่วนลึกของดวงตาคนผู้นี้บ่งบอกชัดเจนถึงความถืออำนาจบาตรใหญ่อย่างที่สุด เหี้ยมโหดอย่างที่สุด ความสุภาพอ่อนโยนเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เขามาจากความมืดมิด ใช่แล้ว นรกอันมืดมิด

ภายใต้ดวงตาดำสนิทลึกล้ำคู่นั้นซ่อนแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่สุด

สายตาที่กวาดผ่านพวกเขา หากจะบอกว่าเขากำลังมองผู้คน ไม่สู้บอกว่าเขากำลังมองมดแมลงฝูงหนึ่งอยู่ยังจะถูกต้องกว่า

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ช่างเป็นดวงตาที่ทำให้คนรู้สึกหวาดผวายิ่งนัก

สายตาของบุรุษผมเงินกวาดผ่านร่างของนางไป แต่ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ สายตาที่กวาดผ่านไปแล้วพลันตวัดย้อนกลับมาจ้องมองนางอีกครั้ง

ลั่วอวี่ไม่รู้เหตุใดบุรุษผมเงินจึงหันกลับมามองนาง แต่นางก็มิได้หลบเลี่ยง มองสบสายตาของเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน

บุรุษผมเงินจ้องมองลั่วอวี่ ประกายเจิดจ้าผุดขึ้นมาในดวงตาวาบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเบนสายตาไปจับนิ่งอยู่ที่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเม็ดนั้น

บุรุษเรือนผมสีแดงคนหนึ่งเดินตามหลังบุรุษผมเงินเข้ามา ดูมีทีท่าค่อนข้างอ่อนโยน เมื่อเห็นสายตาของบุรุษผมเงินจับจ้องไปที่แท่นประมูลก็ตวาดเสียงหนักออกมาทันที

“จะส่งคืนแต่โดยดี หรือตาย”

“ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาอ้างว่าลูกกลอนปราณอสูรเป็นของพวกเจ้า แบบนี้มันปล้นกัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษชุดเขียวครามผู้เปี่ยมพลังอำนาจคุกคามผู้คน อูสิงแทบจะกล่าววาจาได้ไม่ครบความ หากแต่ยังมีปฏิภาณรู้จักรีบสงบคำ

ทันใดนั้นยอดฝีมือของหอประมูลก็เฮโลกันออกมาจากหลังเวที

กล้าเปิดหอประมูล ย่อมต้องมียอดฝีมือคอยดูแลคุ้มกัน

บุรุษผมเงินมองลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดแล้วเหลือบมองอูสิงกับพวกปราดหนึ่ง ประกายโทสะและความเหี้ยมเกรียมฉายวาบขึ้นในดวงตา เขายกปลายคางขึ้นเล็กน้อย “ไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว”

“ขอรับ”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังสะท้อนทั่วห้องมัจฉาโบยบิน บรรดาผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกที่เพิ่งถอนสติจากพลังอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของบุรุษผมเงินต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที

ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว? อะไรกัน คิดจะสังหารคนของหอประมูลฟ้าเรืองต่อหน้าต่อตาพวกเขา หรือคิดจะสังหารกระทั่งพวกเขาที่นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย

ถึงกับกล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ในขณะที่บุคคลผู้มากอิทธิพลทั่วทั้งแคว้นไร้ปีกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!

ทันใดนั้นท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลก็รู้สึกเสียหน้าจนบังเกิดโทสะ ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะข้างกายทีหนึ่ง ตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจยิ่งนัก ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีก ในสถานที่สำคัญเช่นนี้ยังกล้าช่วงชิงสมบัติล้ำค่า เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเรา เหิมเกริมเกิน”

วาจากราดเกรี้ยวยังกล่าวไม่ทันจบ บุรุษชุดเขียวครามที่กำลังเดินเข้าไปหาลูกกลอนปราณอสูรพลันหันขวับกลับมามองกั๋วกงสัมฤทธิผลคราหนึ่ง ประกายสีครามผุดวาบขึ้นในดวงตา

แม้กั๋วกงสัมฤทธิผลจะสูงวัย แต่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และสัมผัสรับรู้ยังเฉียบไว พอเห็นแสงสีครามผุดขึ้นในดวงตาของบุรุษชุดเขียวคราม ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี พุ่งกระโจนไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด

ตูม! ท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลเพิ่งจะพุ่งถลาไปข้างหน้า พริบตาถัดมาเก้าอี้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพลันถูกพลังยุทธ์สีครามคมกริบฟาดทำลายแตกเป็นเสี่ยงๆ

เศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกกระเด็นไปทิ่มแทงคนของจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลซึ่งหนีไม่ทันจนโลหิตอาบร่าง

“ยอดยุทธ์คราม เป็นยอดยุทธ์คราม”

การลงมือครั้งนี้ทำให้จวินโย่วเทียน เหยียนเลี่ย และคนอื่นๆ ประเมินกำลังความสามารถของบุรุษชุดเขียวครามออกทันที

ทันใดนั้นฝูงชนที่เมื่อครู่ยังมีอารมณ์กรุ่นโกรธพลันหน้าถอดสี

“วันนี้พวกเราเพียงมาทวงของคืน ยังไม่อยากลงมือกับแคว้นไร้ปีก ผู้ที่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ทางที่ดีจงประเมินกำลังของตนให้ดีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าเราเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก เอาเลือดล้างแผ่นดินแคว้นไร้ปีก”

บุรุษชุดเขียวครามนัยน์ตาถมึงทึง แสงสีครามอมม่วงวูบผ่านดวงตา

“ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด” บนที่นั่งอาคันตุกะสำคัญ เหยียนเลี่ยพลันกำหมัดแน่น สีหน้าตะลึงพรึงเพริด

ในดวงตามีแสงพลังยุทธ์สีม่วงผุดขึ้น หมายความว่าใกล้จะก้าวพ้นพลังยุทธ์สีครามเข้าสู่ระดับราชันยอดยุทธ์ม่วงแล้ว เป็นยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน นีนี่นี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะต่อกรได้เลย

ผู้คนของแคว้นไร้ปีกที่เมื่อครู่ยังมีความคิดจะแสดงฝีมืออยู่บ้าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครา ต่างพากันเงียบกริบไปหมด

ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด ในแคว้นไร้ปีกไม่มีผู้ใดสามารถต่อกร

ความประหลาดใจผุดขึ้นในดวงตาของลั่วอวี่ นางยังคงชะโงกอยู่บนราวระเบียงดังเดิม สีหน้าไม่เปลี่ยน หากแต่สมองกลับหมุนอย่างเร็วรี่

“ช่วยด้วย ท่านอาจารย์ใหญ่ องค์ชาย ท่านกงเจวี๋ย ทั้งหลาย ช่วยด้วยขอรับ” สีหน้าของอูสิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยามนี้ไม่อาจคำนึงถึงเรื่องอื่นใดได้อีกแล้ว เขาลนลานละล่ำละลักพลางค้อมตัวลงโค้งคำนับบุรุษผมเงิน “พวกท่านนำลูกกลอนปราณอสูรไปได้เลย เราไม่ประมูลแล้ว ข้ายินดีมอบให้ พวกท่านโปรดละเว้น”

“สายไปแล้ว” บุรุษชุดเขียวครามตวาดเสียงเย็น สีหน้าเฉียบขาด พลังยุทธ์พวยพุ่งอยู่รอบกาย พลังอำนาจคุกคามผู้คน เขาสืบเท้าเข้าไปหาคนของหอประมูลฟ้าเรืองเพียงลำพัง

ส่วนกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพากันห้อมล้อมอยู่รอบกายบุรุษผมเงินโดยไม่ยื่นมือเข้าแทรก คล้ายว่าคนจำนวนเท่านี้ บุรุษชุดเขียวครามเพียงคนเดียวก็รับมือได้สบาย

“ในแคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิงยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถปลิดชีพสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด อีกทั้งบนแผ่นดินนี้ก็ไม่เคยปรากฏสัตว์อสูรขั้นนี้มาก่อน” ท่ามกลางรังสีเข่นฆ่าอันบีบคั้นกดข่ม บุรุษผมแดงซึ่งติดตามอยู่ข้างกายบุรุษผมเงินก็เปิดปากเอ่ยขึ้น “หอประมูลฟ้าเรืองอาศัยจังหวะที่พวกเราเบนความสนใจไปที่อื่น ขโมยของเราไป นับว่าใจกล้านัก ครั้งนี้เจ้าทำให้กิจสำคัญของนายเราต้องล่าช้าเสียการ เราไม่ทำลายหอประมูลฟ้าเรืองในสามแคว้นของเจ้าให้สิ้นซาก นับว่านายเราเมตตานักแล้ว” น้ำเสียงหาได้เย็นชา แต่ความหมายในถ้อยคำกลับเยียบเย็นจนพวกอูสิงหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก

พอพูดจบ เหล่าผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกพลันเบื้อใบ้ไปทันที

ในประวัติศาสตร์ของแคว้นใหญ่ทั้งสามแคว้น ยังไม่เคยปรากฏสัตว์อสูรเหนือกว่าขั้นสิบมาก่อน หรือหอประมูลฟ้าเรืองจะขโมยมาจริ

ลั่วอวี่ฟังแล้วแววตากระเพื่อมไหว ถ้อยคำของบุรุษผมแดงได้อธิบายทุกสิ่งแล้ว มองจากรูปการณ์ พวกเขาใช่ว่ามาบุกช่วงชิงโดยมิชอบ

ในเวลาอันสั้น ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก

แคว้นไร้ปีกมียอดยุทธ์ครามเพียงสี่คนก็นับว่าสุดยอดแล้ว แต่ในที่นี้ยอดยุทธ์ครามวัยยี่สิบกว่าปีกลับเป็นเพียงผู้ติดตามของบุรุษผมเงินเท่านั้น แสดงว่าบุรุษผมเงินผู้นี้

ทุกคนในที่นั้นต่างไม่อาจสัมผัสได้ว่าบุรุษผมเงินร้ายกาจเพียงใด ทว่าผู้ติดตามยังเก่งกาจเพียงนี้ มีพลังอำนาจปานนี้ก็บ่งบอกอะไรได้มากมายแล้ว

บุรุษผมเงินย่อมต้องเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำที่มีพลังยุทธ์สูงกว่ายอดยุทธ์คราม และผู้ที่เหนือกว่ายอดยุทธ์คราม ในแคว้นไร้ปีกยังไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ช่วยด้วย”

โครม! ท่ามกลางเสียงร้องอันตื่นตระหนกของอูสิง จู่ๆ เพดานห้องมัจฉาโบยบินก็เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่น พริบตานั้นฝ้าเพดานก็แตกทะลุออกเป็นช่องขนาดใหญ่ คนผู้หนึ่งพุ่งตัวเข้ามาประดุจสายฟ้าแลบ หมายช่วงชิงลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยว

ด้านหลังคนผู้นั้นมีคนกลุ่มใหญ่ตามมาติดๆ

“แย่แล้ว!” ลั่วอวี่เบิกตาโพลง แอบอุทานออกมาคำหนึ่ง

บุรุษชุดเขียวครามที่อยู่ห่างจากลูกกลอนปราณอสูรเพียงหนึ่งก้าวเห็นเช่นนี้ ประกายเย็นเยียบก็พลันพาดผ่านดวงตา นิ้วทั้งห้าพุ่งแหวกอากาศ ตะปบเข้าใส่ผู้บุกรุก ขณะเดียวกันก็ฟาดฝ่ามือลงกับพื้น เวทีหยกขาวแตกกระจุย ลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยวสีแดงเพลิงลอยลิ่วไปทางกลุ่มบุรุษผมเงิน

ตูม! ตูม!

พลังยุทธ์แหวกอากาศ ผู้บุกรุกถูกจู่โจมจากรอบด้าน

พริบตาเดียวพลังยุทธ์ก็พุ่งกระจายไปทั่วห้องโถง สองฝ่ายประมือกันราวสายฟ้าแลบ

“สวรรค์ ยอดยุทธ์ครามอีกแล้ว ตกลงมียอดยุทธ์ครามมากน้อยเพียงใดกันแน่” เหยียนเลี่ยเบิกตาโพลง ลูกตาแทบจะถลนออกมาอยู่รอมร่อ

ยอดยุทธ์ครามฝ่ายที่ลอบเข้ามาโจมตีกะทันหันทั้งยังสวมหน้ากากอำพรางไว้ครึ่งหน้า ที่แท้ล้วนเป็นยอดยุทธ์ครามทั้งสิ้น

ตั้งแต่เมื่อใดกัน ยอดยุทธ์ครามกลายเป็นกลุ่มคนดาษดื่นที่พบเห็นได้ง่ายดายยามเดินอยู่บนท้องถนนหรือยามไปซื้อกับข้าวกับปลาตั้งแต่เมื่อไร แล้วแล้วจะให้ผู้ที่ใช้เวลาฝึกปรือมาทั้งชีวิตแต่เพิ่งจะก้าวมาถึงขั้นยอดยุทธ์ครามอย่างพวกเขารู้สึกอย่างไร ทนรับได้อย่างไรไหว!

ส่วนคนอื่นๆ ต่างตะลึงงันกันไปหมด

ปัง

ตูม

โครม

ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความตะลึงงัน ห้องมัจฉาโบยบินก็ถูกทำลายจนวอดวายไปทั้งห้อง ของประดับตกแต่งและเวทีศิลาล้วนพังทลายลงไปกองกับพื้น ห้องทั้งห้องโยกคลอนคล้ายจะพังครืน

ยอดยุทธ์ครามคนหนึ่งจะลงมือทำลายอาคารหลังหนึ่งหาใช่เรื่องยากเย็น ทว่าเวลานี้ยอดยุทธ์ครามกลุ่มหนึ่งกำลังทะเลาะวิวาทกัน@@@

ชั่วประเดี๋ยวเดียวเหล่าผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกพลันได้สติ รีบตะลีตะลานวิ่งหนีออกมาข้างนอก

ส่วนพวกอูสิงที่เห็นชัดว่ารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เพราะอีกฝ่ายไม่มีเวลาจะมาสนใจพวกเขาต่างพากันหนีเอาตัวรอด เกรงว่าหากล่าช้าจะไม่มีชีวิตได้เห็นแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งอีก

เหยียนเลี่ยคว้าตัวโม่เหยียนที่สองตายังเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง พาลากไปทางประตูทันที

“เร็ว รีบหนี” ฝู่เฮ่ออวี๋ตะโกนบอกลั่วอวี่เสียงเครียด

ลั่วอวี่นั้นฉลาดเป็นกรด ในเวลานี้นางยังไม่อาจต่อกรกับยอดยุทธ์คราม อยากชมเรื่องสนุกก็ต้องรอให้มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้เสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองฝ่ายดูแล้วไม่น่าตอแยด้วยสักเท่าไร

ขณะนั้นนางกวาดตามองลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดที่ถูกโยนไปมาไม่หยุด แต่กลับไม่มีผู้ใดช่วงชิงไปได้สักที จากนั้นก็ตวัดตามองบุรุษผมเงินซึ่งยังคงสอดมือไว้ในแขนเสื้อมองความวุ่นวายโกลาหลที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ช่างข่มกลั้นอารมณ์เก่งยิ่งนัก

สายตาของลั่วอวี่เพิ่งกวาดผ่าน บุรุษผมเงินพลันหันมาประสานสายตากับนางเข้าพอดี

ลั่วอวี่ชะงักอึ้ง มียอดฝีมือมากมายกำลังประมือกันเพื่อช่วงชิงของของเขา แต่เขากลับไม่เหลียวมองสักนิด เหตุใดจึงสังเกตเห็นว่านางกำลังมองเขาได้

นางครุ่นคิดพลางเบือนหน้าหมายจะหนีออกสู่ภายนอก เวลานี้ห้องมัจฉาโบยบินสั่นไหว ใกล้จะพังถล่มลงมาอยู่แล้ว

ลั่วอวี่เพิ่งจะก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ยังไม่ทันหันหน้ากลับมาดี หางตาของนางพลันเหลือบไปเห็นลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยวสีแดงลอยตัวเป็นเส้นโค้งอยู่กลางเวหา กำลังจะร่วงลงมาที่นางแล้ว

ลั่วอวี่เบิกตากว้างขึ้นมาทันที

ลูกกลอนปราณอสูรร่วงลงมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่เบื้องหลังพลันพุ่งกระโจนเข้าใส่ลั่วอวี่ในฉับพลัน

หากถูกพลังยุทธ์ของยอดยุทธ์ครามเข้า ต่อให้มีลั่วอวี่ร้อยคนก็ไม่พ้นต้องตายเรียบ ลั่วอวี่ตระหนักว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตจึงรีบพลิ้วกายล่าถอยไปด้านหลังโดยเร็ว

ทว่าต่อให้นางไวแค่ไหนย่อมเร็วไม่เท่ายอดยุทธ์ครามแน่ พลังยุทธ์สีครามในมือของคนสวมหน้ากากที่พุ่งเข้ามาก่อนใครเพื่อนพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ปราณสีคราม ทางหนึ่งทะยานร่างขึ้นไปคว้าลูกกลอนปราณอสูร อีกทางก็ฟาดกระบี่ลงมาที่กลางแสกหน้าของลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นว่าหลบไม่พ้นแน่ ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ สองมือยกขึ้นขวาง เตรียมรับมือตรงๆ

ทว่ามือทั้งสองของนางเพิ่งขยับ เงาร่างของบุรุษผมเงินซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงมาโดยตลอดพลันพุ่งปราดมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง เขายื่นมือมาคว้าแขนนางแล้วกระชากไปข้างหลัง ขณะเดียวกันแขนเสื้อข้างขวาก็กวาดสะบัดเบาๆ ใส่คนสวมหน้ากากซึ่งกำลังจู่โจมเข้ามาทีหนึ่ง

เพียงได้ยินเสียงฉาดหนักๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง บุรุษสวมหน้ากากพลันกระอักโลหิตออกมา ร่างล้มกลิ้งไปทางด้านหลัง

ยอดยุทธ์ครามยังไม่อาจต้านรับพลังสะบัดเพียงครั้งเดียวของเขาได้

ลั่วอวี่ตกตะลึง เงยหน้ามองแผ่นหลังของบุรุษผมเงินที่อยู่เบื้องหน้า เขาช่วยนาง!

“เศษสวะ”

ขณะที่นางจมอยู่ในความประหลาดใจ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายของบุรุษผมเงินก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็คว้าแขนลั่วอวี่เหวี่ยงไปด้านหลัง นางถูกโยนจนตัวลอยไปทางประตูใหญ่ที่เปิดสู่ภายนอกทันที

อานุภาพรุนแรงราวสายฟ้าแลบ ลั่วอวี่หลุดออกจากห้องโถงในพริบตา

หลังจากร่างของลั่วอวี่พุ่งออกมาจากห้องโถง พริบตาถัดมาห้องมัจฉาโบยบินก็พังครืน บังเกิดแรงสั่นสะเทือนกึกก้อง ฝุ่นธุลีปลิวว่อน เศษกระเบื้องกระเด็นกระดอนไปทั่วโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

ลั่วอวี่ร่วงลงสู่พื้น เท้าเพิ่งแตะสัมผัสกับผืนดิน ยังไม่ทันยื่นมือขึ้นมาโบกฝุ่นละอองที่ฟุ้งตลบอยู่เบื้องหน้า เหยียนเลี่ยก็พุ่งมาที่ข้างกาย สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงพลางแผดเสียงลั่น “เร็ว หนีเร็ว มีกลิ่นอายของพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตรงมาทางนี้แล้ว เร็ว!”

ขณะเดียวกันลั่วอวี่ก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่แข็งแกร่งยิ่งสองกระแสกำลังพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบอกว่ายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังของยอดยุทธ์ครามเหล่านี้เสียอีก

ลั่วอวี่หัวคิ้วขมวดมุ่น คนเหล่านี้ต่างมาช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรของบุรุษผมเงินผู้นั้นหรือ

“หนีเร็ว” บรรดาผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกกลับกลายเป็นนกแตกรังไปในพริบตา

 

(โปรดติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: