ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ชายาสะท้านแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8

บทที่ 1

แผ่นดินลืมธารา แคว้นไร้ปีก

เมืองร่วมผลเป็นหมู่บ้านแถบชายแดนของแคว้นไร้ปีก

ยามเย็นย่ำ ลำแสงสีอุ่นอาบไล้ผืนปฐพี ขับเน้นให้ทิวทัศน์ภูเขาท้องน้ำดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล

ในสวนดอกไม้หลังคฤหาสน์สกุลจวินปราศจากพันธุ์ไม้พิสดารหายาก ไร้ซึ่งมวลบุปผาหลากสีสดสวย จะมีก็เพียงชิงช้าธรรมดาทั่วไปตัวหนึ่งจับจองพื้นที่อยู่เท่านั้น ยามนี้สตรีนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนชิงช้าพลางส่งเสียงพูดพร่ำ

เบื้องหน้าของนางคือดรุณีวัยสิบสี่ปีนางหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือ เด็กสาวตอบคำส่งๆ ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระสักนิด

“พระชายาหรือ ข้าไม่สนใจหรอก”

“ไม่สนใจได้อย่างไร แม่จะบอกให้ เจ้ามีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับองค์ชายสามพระองค์นี้จริงๆ นะ ครั้งนั้นท่านพ่อของเจ้า”

“เอาล่ะๆ ท่านอย่าพูดอีกเลย ข้าฟังมาสิบสี่ปีแล้ว ทั้งเรื่องจวนตำแหน่งกั๋วกง เอย เรื่องช่วยชีวิตพระราชวงศ์เอย เรื่องหมั้นหมายเอย”

ไม่ทันรอให้สตรีบนชิงช้ากล่าวจบ เด็กสาววัยสิบสี่ปีนางนั้นก็ชิงส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาเป็นการตัดบทเสียก่อน

“เรื่องเหล่านี้ข้าท่องจำได้หมดแล้วท่านแม่ ท่านคิดว่าบุตรสาวท่านมีสารรูปเยี่ยงนี้ยังจะเป็นพระชายาอ๋องได้อีกหรือ ข้าว่าท่านรีบตื่นเสียดีกว่า อย่ามัวฝันกลางวันอยู่เลย ถ้ายังไม่ตื่น ท่านจะกลับไปนอนต่อสักงีบก็ย่อมได้”

จบคำ เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนใจ เผยให้เห็นดวงหน้าดุจดังภาพวาดของนาง คิ้วเรียวโค้งยาวเจียนจรดจอนผม นัยน์ตาทั้งคู่ดำขลับเป็นประกายดั่งหินผลึกดำส่องสะท้อนอยู่ใต้ฟ้ายามราตรี จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้ม นับเป็นยอดหญิงงามโดยแท้

น่าเสียดาย ครั้นเบือนใบหน้าซีกซ้ายไป บนดวงหน้าซีกขวากลับมีปานแดงประทับตีตรา แลคล้ายอสุนีบาตทาบผ่านพวงแก้ม

หยกขาวมีราคี ยอดนารีงามกลับกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์

สตรีที่พูดพร่ำไม่หยุดนางนั้นถึงกับหุบปากทันควัน

จวินลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงส่ายหน้า พับปิดตำราในมือเข้าหากัน ก่อนเอื้อนเอ่ยกับมารดาของตน “ข้ายังเด็ก ไม่คิดออกเรือน รอให้มีผู้ที่รักข้าจริงเสียก่อนค่อยว่ากันเถิด”

นางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวทิ้งท้ายกับเฟยเยียนผู้เป็นมารดา “ข้าจะไปเก็บใบชา หากท่านแม่ไม่มีธุระอันใดจะไปหาท่านพ่อก็ย่อมได้” เด็กสาวพูดจบก็หมุนกายเดินออกไปนอกคฤหาสน์ ทิ้งผู้เป็นมารดาไว้บนชิงช้าตามเดิม

จวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นหนึ่งในสามจวนบรรดาศักดิ์กั๋วกงที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นไร้ปีก ท่านกั๋วกงที่กล่าวอ้างถึงคือท่านปู่ของลั่วอวี่นั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับกษัตริย์แคว้นไร้ปีก พูดง่ายๆ เปรียบดั่งสหายร่วมเป็นร่วมตาย

จวินลั่วอวี่สืบเชื้อสายมาจากภรรยาลำดับที่ห้าของท่านกั๋วกง ถึงแม้ความไม่เอาไหนของนางและบิดามารดาจะทำให้ทั้งครอบครัวของนางต้องระเห็จมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านกั๋วกงอยู่ดี

เรื่องเหล่านี้ลั่วอวี่ล่วงรู้มานานแล้ว เพียงแต่เวลาล่วงเลย อำนาจก็สูญเสียไป ผู้ใดยังจะจดจำเล่า การหมั้นหมายก็เป็นเพียงคำพูดสนุกสนานเท่านั้น

เฟยเยียนเห็นบุตรสาวออกจากบ้านโดยไม่ปิดบังอำพรางรูปลักษณ์แม้เพียงนิด รูปโฉมโนมพรรณที่งดงามเฉิดฉายพังครืนในพริบตา นางจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว

ทั้งที่ยามแรกเกิดบุตรสาวของนางไม่มีปานแดงนี้แท้ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดครั้นอายุได้สามขวบกลับปรากฏขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำให้ใบหน้าที่เดิมสวยสะคราญกลับกลายเป็นเช่นนี้

อีกทั้งไม่ว่าจะรักษาอย่างไรก็ไม่เป็นผล ล้วนกล่าวว่าเป็นปานโดยกำเนิดกันหมด

ทว่ามีปานที่ไหนเมื่อครั้งแรกเกิดไม่ปรากฏ แต่กลับมาโผล่เอาภายหลังเช่นนี้ ช่างประหลาดแท้

ซ้ำยังเห็นชัดว่าจวินลั่วอวี่บุตรสาวของนางกลับไม่สนใจคำครหาที่แพร่สะพัดออกไปทั่วหล้าเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังคล้ายกลับใช้ชีวิตรื่นรมย์ยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก เฮ้อชวนให้เฟยเยียนกลัดกลุ้มเหลือเกิน

 

แม้จะก้าวออกจากสถานที่ที่เรียกว่าคฤหาสน์ หากแต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงบ้านพักที่ใหญ่โตกว่าบ้านของคนทั่วไปเล็กน้อย จวินลั่วอวี่เดินเอ้อระเหยไปตามถนนใหญ่

ครั้นเห็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่แม้จะเห็นนางจนชินตาแล้วกลับยังมองมาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ลั่วอวี่จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น มุ่งหน้าขึ้นสู่ไร่ชาเนื้อที่หลายสิบหมู่ ที่อยู่บนเขาหลังหมู่บ้าน

สายตาเหล่านี้ไม่ควรค่าพอให้นางสนใจ

ลั่วอวี่แหงนหน้ามองท้องฟ้า มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางเบา

นางมาอยู่ในยุคสมัยนี้สิบสี่ปีแล้ว

นึกถึงตอนนั้น นางคิดว่าตนเองคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาเกิดที่นี่

เป็นเพราะโชคชะตาลิขิตหรือความบังเอิญ ลั่วอวี่หรือไนต์วันไม่มีแก่ใจจะสืบสาวราวเรื่อง แค่ได้มีชีวิตอยู่ก็พอ ได้กลับมาเกิดอีกครั้งก็ดีเหลือเกินแล้ว

เพียงพริบตาแสงอัสดงก็ลาลับขอบฟ้า ม่านราตรีย่างกรายเข้าแทนที่

ลั่วอวี่ปากว่าจะไปเก็บใบชา แท้จริงแล้วเพียงเพื่อหลบเลี่ยงการฟังมารดาพร่ำบ่นเท่านั้น ที่ขึ้นเขามาก็เพียงถือโอกาสใช้เป็นข้ออ้าง

ความมืดยามราตรีแผ่ขยาย บนภูเขาท้ายหมู่บ้านมีน้ำตกแห่งหนึ่ง ลั่วอวี่กำลังนั่งอยู่บนชะง่อนหินซึ่งยื่นออกมาใต้น้ำตก สองขาหย่อนลงในน้ำแล้วแกว่งเท้าไปมา

นิ้วเรียวงามคลายกลุ่มผมที่มวยมุ่นออก

เรือนผมสีดำปลิวสยายน้อยๆ ก่อนปรกลงบดบังปานแดงบนพวงแก้ม เผยเพียงซีกหน้าซึ่งถูกขับเน้นด้วยแสงนวลของดวงจันทร์ งดงามราวปั้นแต่งมาอย่างวิจิตรบรรจง บางครั้งสัตว์ตัวน้อยที่วิ่งโผล่ออกมาจากป่าเห็นแล้วยังชะงักค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมอบกายอ้อยอิ่งอยู่ข้างน้ำตกไม่ไปไหนอีก

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลอยเผลอคลี่ยิ้มบางอย่างกลั้นไม่อยู่ ผินหน้าไปมองเจ้าสัตว์ตัวน้อยบ้าง

แผ่นดินลืมธารา ดินแดนต่างมิติ

ผู้คนที่นี่ไม่มีวรยุทธ์ แต่พวกเขามีพลังยุทธ์และพลังควบคุมสัตว์อสูร

สำหรับลั่วอวี่พลังยุทธ์ของพวกเขาเทียบได้กับพลังวัตรของวิชากำลังภายในของจีนโบราณ เพียงแต่มีสีสันให้เห็นเท่านั้น

ทว่าในดินแดนแห่งนี้จะจัดแบ่งลำดับขั้นอย่างเข้มงวดชัดเจน เพื่อประเมินความสามารถสูงต่ำ

ลำดับขั้นทั้งเจ็ดคือม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ยิ่งมีพลังยุทธ์แก่กล้า สีของพลังก็จะเลื่อนขั้นขึ้น สีแดงคือระดับต่ำสุด สีม่วงคือระดับสูงสุด

จากการสังเกตของลั่วอวี่ พลังยุทธ์สีแดงน่าจะอยู่ในขอบข่ายของผู้มีพลังวัตรสิบปี สีส้มประมาณยี่สิบห้าปี ไล่เรียงเช่นนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ สีม่วงซึ่งเป็นพลังยุทธ์ชั้นสูงสุด เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์ดูแล้วจะเทียบได้กับพลังวัตรมากกว่าร้อยปี

ขณะเดียวกันพลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งมีอำนาจควบคุมสัตว์อสูรมาก ยามต่อสู้สามารถออกประจัญบานพร้อมสัตว์อสูรที่เลี้ยงไว้ได้ เรื่องอานุภาพย่อมไม่ต้องพูดถึง

ลั่วอวี่ยังได้หาข้อสรุปในแบบฉบับของตนอีกว่าสัตว์อสูรของพวกเขาก็เปรียบเหมือนศาสตราวุธในมือ เพียงแต่เปลี่ยนจากวัตถุไร้ชีวิตมาเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งยังดุร้ายและแปลกพิสดารกว่าสัตว์อันตรายในยุคปัจจุบันเล็กน้อย

เพียงแต่สัตว์อสูรหายากยิ่ง ผู้ควบคุมสัตว์อสูรได้จึงยิ่งหายากปานประหนึ่งตามหาขนพญาหงส์เขากิเลน ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดินลืมธาราจึงเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ

ส่วนนางจวินลั่วอวี่ เมื่อครั้งทดสอบพลังยุทธ์ตอนอายุสามขวบ กลับไม่มีพลังยุทธ์ใดๆ แฝงเร้นอยู่เลย

นางถือกำเนิดในจวนกั๋วกงม่วงพราวแห่งแคว้นไร้ปีกซึ่งอาศัยพลังยุทธ์สร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกร จึงนับเป็นตัวประหลาดโดยแท้ เป็นการคงอยู่ที่น่าดูถูกเหยียดหยัน เพราะนับแต่โบราณมาจวนกั๋วกงม่วงพราวยังไม่เคยปรากฏทายาทที่ไร้พลังยุทธ์อย่างสิ้นเชิงเลยแม้แต่ผู้เดียว

ฝ่ายบิดาของนางเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสูญสิ้นพลังเมื่อครั้งเข้าช่วยชีวิตพระราชาคราวหนึ่ง ส่วนมารดาก็ไม่มีพลังยุทธ์แม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้สายเลือดของภรรยาลำดับที่ห้าจึงถือเป็นเศษของไร้ประโยชน์ในหมู่ของไร้ค่า กระทั่งถูกขับไล่มายังหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลกันดารเช่นนี้

ผู้ใดใช้ให้แผ่นดินนี้ยกย่องผู้เข้มแข็ง เป็นโลกแห่งการห้ำหั่นที่ผู้ใดมีหมัดแข็งกว่าย่อมสามารถยืนกล่าววาจาอยู่บนระดับยอดได้เล่า

ลั่วอวี่ดึงความสนใจกลับมาจากร่างของสัตว์น้อย ทอดสายตาไปยังธารน้ำลึก แววตาล้ำลึกสุดหยั่ง

ตูม!

ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องเลื่อนลั่นสนั่นฟ้าดังมาแต่ไกล

ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นทันที ยอดฝีมือ ยอดฝีมือประมือกัน!

นางเพิ่งดึงใจกลับมา แต่ยังไม่ทันเคลื่อนไหวก็เห็นภาพคล้ายดาวตกสายหนึ่งพุ่งอยู่กลางอากาศ จากเหนือน้ำตกด้านบนแหวกดำลงสู่สระลึกเบื้องล่าง

น้ำในสระพลันสาดกระจาย ลั่วอวี่ที่จริงไม่ได้อยู่ใกล้ หากแต่พลังนั้นทรงอานุภาพเกินธรรมดา น้ำจึงสาดกระเซ็นอาบร่างนางจนชุ่มโชก เปียกปอนไปทั้งตัว เส้นผมสีดำลู่แนบใบหน้า บดบังซีกหน้าที่มีปานแดงประทับอยู่อย่างเหมาะเจาะ

“โฮก”

สิ่งที่พุ่งลงมาจากฟ้าไม่รอให้ลั่วอวี่ขยับเขยื้อน มันแผดเสียงคำรามก้อง ทะลึ่งพรวดขึ้นจากสระหมายกระโจนขึ้นฝั่ง

ลั่วอวี่สายตาเฉียบคม มองปราดเดียวก็เห็นว่าสิ่งนั้นดูคล้ายสิงโต ขาวปลอดไปทั้งร่าง กรงเล็บทั้งสี่เป็นสีทองอร่าม ดวงตาแดงฉาน ขนาดใหญ่ราววัวตัวเขื่อง นี่คือราชสีห์เมฆทอง

ราชสีห์เมฆทองแหวกฝ่าอากาศหวังทะยานออกไป แต่เหนือน้ำตกพลันแว่วเสียงแค่นหัวเราะเย็นเยียบทีหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี

“เจ้าเดรัจฉาน คิดหนีอย่างนั้นหรือ!” น้ำเสียงนั้นดุดันทรงพลังเป็นที่สุด

เสียงเรียกยังคงก้องกังวานอยู่ในอากาศ เห็นเพียงคนด้านบนน้ำตกเหินลงมา ร่างเหาะลอยบนฟ้า เท้าเหยียบลงกลางกระหม่อมของราชสีห์ตัวนั้น เขาเค้นพลังจากขาทั้งสองข้าง ถีบราชสีห์เมฆทองซึ่งกระโดดขึ้นมาให้ร่วงสู่สระน้ำอีกครั้ง

อาภรณ์แดงพลิ้วสะบัด เส้นผมสีดำปลิวไหว ผมยาวดำดุจน้ำหมึกแผ่พัดสยายไป ยามที่ดวงตาดำขลับแฝงเปลวเพลิงเฉียบขาดกำลังจับจ้องสัตว์ร้ายยิ่งเปล่งรัศมีลุกโชนแรงกล้า

โทสะที่คุกรุ่นยังผลให้ส่วนลึกในดวงตาดูคล้ายมิใช่สีดำ หากแต่เป็นสีของอัคคี เครื่องหน้างดงามน่ามอง แต่กลับเป็นความงามอันแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว

นี่คือบุรุษผู้ทรงพลังและแผดเผาประดุจเปลวเพลิง

บุรุษอาภรณ์แดงใช้เท้าหนึ่งเหยียบราชสีห์เมฆทองที่คำรามกราดเกรี้ยว มือหนึ่งโบกตวัด พริบตาเดียวโซ่ตรวนเส้นหนึ่งก็พันรัดราชสีห์เมฆทองไว้ จองจำมันอยู่ข้างน้ำตก

ขณะที่บุรุษอาภรณ์แดงกำลังพันธนาการราชสีห์เมฆทองนั้น ท่ามกลางความดำมืดเบื้องหลัง เงาร่างสองสายค่อยๆ ปรากฏตัวช้าๆ หนึ่งในนั้นคือบุรุษชุดดำผู้เปี่ยมด้วยรังสีแห่งความชั่วร้าย เขากล่าวขึ้นอย่างคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

“หึๆ สัตว์อสูรขั้นเจ็ดร้ายกาจสมชื่อ นี่นับเป็นครั้งที่สองที่หนีออกมาได้”

“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว หึ” บุรุษอาภรณ์แดงแค่นเสียงทีหนึ่ง เมื่อหันไปมองการปรากฏกายของพวกพ้องที่หน้าน้ำตก เขาก็เหลือบไปเห็นสตรีที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงมาโดยตลอด

“การฝึกฝนครั้งนี้นับว่าไม่เลวเลยโม่เหยียน เจ้าจับราชสีห์เมฆทองขั้นเจ็ดได้ กลับไปก็สามารถแสดงผลงานให้อาจารย์ได้เห็น เพียงแต่เจ้าตัวนี้”

บุรุษอีกผู้หนึ่งแต่งกายด้วยผ้าไหมเงินสีขาว สีหน้าสุภาพอ่อนโยน วาจาพลันชะงักค้างที่ริมฝีปาก ครั้งนี้สายตาของทั้งสามติดตรึงอยู่ที่ร่างบนชะง่อนหินซึ่งนั่งเปียกปอนไปทั้งตัวอยู่เพียงลำพัง

แสงเดือนสุกสกาวเปล่งรัศมีเรืองเรื่อ ผิวใสผุดผ่องราวเทพธิดาจุติมา

ผมดำปรกใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ แสงจันทร์อาบไล้ดวงหน้าอีกครึ่งซีก ปานประหนึ่งหยกขาวไร้รอยตำหนิที่สวรรค์สร้างอย่างเลิศล้ำ ดังหนึ่งนางพรายในวารี

บุรุษผู้ถูกเรียกขานว่าโม่เหยียนพบว่านางเพียงปรายตามองผ่านเขาไปครั้งหนึ่ง จากนั้นนางก็ก้มหน้ายื่นนิ้วเรียวงามลงไปเก็บป้ายหยกห้อยเอวเนื้อขาวบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในน้ำ

โม่เหยียนเห็นเช่นนี้ก็รีบคลำข้างเอวของตนทันที นั่นคือหยกของเขาจริงๆ มันตกลงไปในน้ำเสียแล้ว

ลั่วอวี่เนื้อตัวเปียกชุ่ม ขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะจับจ้องป้ายหยกที่เก็บขึ้นจากน้ำ

หยกรูปมังกรคุณค่าควรเมือง ครั้นพลิกกลับอีกด้าน บนนั้นมีอักษรคำว่า ‘สาม’ อยู่เพียงตัวเดียว

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แผ่นหยกรูปมังกรอักษรคำว่าสามนี่คือป้ายหยกประจำตัวขององค์ชายสามแห่งแคว้นไร้ปีก

เขานั่นเอง องค์ชายสามพระองค์นั้น ผู้ที่มีพันธะหมั้นหมายกับนาง

ครานี้ช่างบังเอิญโดยแท้

ลั่วอวี่ขยับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หากรู้แต่แรกนางคงไม่หลบเลี่ยงเสียงพร่ำบ่นของมารดามาที่นี่ ควรจะเปลี่ยนสถานที่เสียดีกว่า

“ข้าให้เจ้า”

ขณะนางคลี่ยิ้มบางเบา เสียงทุ้มหนักทรงพลังของบุรุษพลันดังขึ้น

ลั่วอวี่เงยหน้ามอง องค์ชายสามผู้นั้นได้มาหยุดยืนอยู่ในสระน้ำเบื้องหน้านางแล้ว แววตาเขาแฝงความตะลึงพรึงเพริดในความงาม ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายยามจับจ้องนาง ใบหน้าหล่อเหลาคมกล้าของเขานั้นนับว่าหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง นางถูกขับมายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เมื่อตอนอายุห้าขวบ แต่หากจำไม่ผิด ตอนนางอายุเพียงสามขวบได้เคยพบกับองค์ชายสามผู้นี้หนหนึ่งแล้ว เขาผิวขาวนวลละเอียดราวหยกสลัก ใบหน้าจิ้มลิ้มดั่งตุ๊กตา สวยน่ารักกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก

ทั้งยังจำได้ว่าครั้งนั้นองค์ชายสามได้ทิ้งวาจาไว้ให้นางคำหนึ่งนางอัปลักษณ์

แต่บัดนี้เขาได้เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงามสูงสง่าเช่นนี้แล้ว

ลั่วอวี่ลูบคลำป้ายหยกในมือเล่น ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ป้ายหยกรูปมังกรเป็นเครื่องบ่งชี้ฐานันดรศักดิ์ ใช่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ครอบครองได้

องค์ชายสามเห็นนางไม่มีทีท่าใดจึงยื่นมือออกไปเชยคางของนางขึ้น ความปรีดาฉายวาบในแววตา กล่าวคำประกาศิตอย่างเผด็จการเป็นที่สุด “ไปกับข้า ข้าจะรับเจ้าเป็นภรรยา”

ลั่วอวี่ฟังแล้วก็สบตาองค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนตรงๆ ในดวงตาของเขานั้นดูราวกับมีเปลวไฟโชติช่วง เจือความเผด็จการและเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นคือความตรงไปตรงมาที่หากถูกใจสิ่งใดแล้วก็จะคว้ามาให้ได้

แท้จริงเจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นี้นับว่าเปิดเผยจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองยิ่งนัก

ลั่วอวี่เกิดความคิดบางอย่างจึงคลี่ยิ้มบางเบา

“โม่เหยียน เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช ข้าจำได้ว่าเจ้ามีสัญญาหมั้นหมายอยู่แล้ว ได้ยินว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ที่หาประโยชน์มิได้เลยกระมัง!” พอหลุดจากภวังค์ตื่นตะลึง บุรุษชุดดำผู้แผ่รังสีชั่วร้ายก็ยกมือขึ้นกอดอก หันไปกล่าวกับโม่เหยียนด้วยท่าทียั่วยิ้ม

โม่เหยียนได้ยินพลันหัวคิ้วขมวดมุ่น จับจ้องลั่วอวี่ตาไม่กะพริบ ประกาศวาจาอย่างถือตนเป็นใหญ่และหยิ่งทะนงยิ่ง

“ข้าไม่มีวันแต่งกับนาง ข้าไม่สนใจหญิงอัปลักษณ์นั่นหรอก” พูดจบก็ส่งมือให้ลั่วอวี่ “ไปกับข้า”

ลั่วอวี่มองมือที่ยื่นมาทางตน แพขนตาขยับไหวน้อยๆ ดวงตาที่หลุบต่ำฉายประกายกร้าวเพียงวูบหนึ่ง

นางยื่นมือออกไปช้าๆ ท่ามกลางสายตาจดจ้องของบุรุษทั้งสาม ลั่วอวี่ยกมือปัดปอยผมที่เปียกชื้นปรกแก้มข้างหนึ่งออกอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด

ปานแดงคล้ายรอยอสุนีบาตพาดกลางแก้มอีกข้าง

หากกล่าวว่าซีกหน้าซึ่งปราศจากปานประทับนั้นคือเทพธิดา ซีกหน้าข้างนี้ก็เปรียบเหมือนมารร้าย ภายใต้ความมืดยามราตรี ใบหน้าที่โผล่พ้นเรือนผมสีดำนั้นราวกับปีศาจ

โม่เหยียนไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงกับสะดุ้งโหยงแล้วผงะถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเขียวคล้ำในพริบตา

สายลมยามค่ำโชยเอื่อย รอบด้านเงียบสงัดไร้สรรพเสียง

บุรุษชุดดำและบุรุษชุดขาวที่อยู่ไม่ไกลคล้ายตื่นตะลึงจนแข็งค้าง ไร้การตอบสนองไปเสียแล้ว

ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นมองโม่เหยียนซึ่งมีสีหน้าย่ำแย่ราวกับเพิ่งกลืนแมลงวันเข้าไป ดวงตาทั้งคู่ของนางจับจ้องเขาไม่วางตา พลางเอ่ยเสียงราบเรียบกระจ่างใสดุจสายลมเย็น “เช่นนี้ยังต้องการให้ข้าไปกับท่านอีกหรือไม่”

โม่เหยียนโกรธจนหน้าเขียว ขณะที่ลั่วอวี่ก็ยังคงจ้องเขาไม่กะพริบตา

นางมองดูใบหน้าเขาเปลี่ยนสี ดูคนที่พยายามข่มอารมณ์ตนเอง ดูโม่เหยียนผู้ไม่หลุดคำผรุสวาทเพราะได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี ครั้นแล้วลั่วอวี่ก็คลี่ยิ้มช้าๆ

ได้เห็นท่าทางอึกอักและข่มกลั้นเช่นนี้แล้ว คำตอบก็แจ่มชัดโดยไม่ต้องพูดอะไร

ชายหนุ่มคึกคะนอง สนใจรูปโฉมภายนอกเหนือกว่าความต้องการทางด้านจิตใจมากมายนัก

“ช่างเถิด ท่าน”

“ฮ่าๆ โม่เหยียน เจ้านิยมชมชอบแบบนี้หรือ นี่คือสตรีที่เจ้าต้องใจแต่แรกเห็นถึงกับหมายจะแต่งงานด้วย? ฮ่าๆ โม่เหยียน เจ้าช่างมีวาสนากับหญิงอัปลักษณ์โดยแท้ ได้ยินว่าสตรีที่หมั้นหมายกันไว้ก็น่าเกลียดจนน่าตกใจ วันนี้หญิงที่ต้องตายังอัปลักษณ์ราวผีร้ายอีก ฮ่าๆ นี่หรือความชมชอบของเจ้า เห็นทีองค์ชายสามของเรา ชาตินี้คงถูกลิขิตให้ต้องรับหญิงรูปชั่วเป็นชายาเสียแล้ว ฮ่าๆๆ”

เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นขัดคำของลั่วอวี่ บุรุษชุดดำหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่งคล้ายกับสำราญใจยิ่ง

โม่เหยียนได้ยินแล้วสีหน้าพลันขรึมลงทันใด

นัยน์ตาที่เจิดประกายไฟแรงกล้ากลับเปี่ยมไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย จับจ้องลั่วอวี่ด้วยแววตาผลาญเผา เขากัดกรามกรอดขณะเค้นเสียงลอดผ่านไรฟัน “ข้าเกลียดการถูกหลอกลวงที่สุด! รูปโฉมเยี่ยงนี้ รังแต่จะทำให้ผู้อื่นสะอิดสะเอียนเท่านั้น”

จบคำมือข้างหนึ่งก็ตวัดไปหมายคว้าซีกหน้าที่งดงามหมดจดของลั่วอวี่

มีดวงหน้าที่ครึ่งหนึ่งงดงามราวเทพธิดา อีกครึ่งชั่วช้าดั่งปีศาจร้าย ซ้ำยังบดบังซีกหน้าอันอัปลักษณ์ไว้ เท่ากับเจตนาหลอกลวงคนชัดๆ อัปลักษณ์ก็คืออัปลักษณ์ โฉมงามก็คือโฉมงาม หน้าตาสวยครึ่งขี้เหร่ครึ่งมิใช่ความผิดนาง หากแต่จงใจบดบังซีกหน้ามีราคีนั่นคือความผิดของนาง วันนี้เขาจะทำลายซีกหน้านี้ทิ้งเสีย นางจะได้ไม่กล้าใช้ซีกหน้าอันสวยสดงดงามหลอกลวงช่วงชิงความรู้สึกผู้อื่นอีก

กรงเล็บคมกริบว่องไวปานสายฟ้าผสมด้วยเพลิงโทสะอันเกิดจากความอับอาย ตรงเข้าโจมตีใบหน้าของลั่วอวี่ทันที

เห็นเช่นนี้สีหน้าของลั่วอวี่ก็เคร่งขรึม สองนิ้วเพียงดีดออกไป ป้ายหยกรูปมังกรพลันคล้ายเปลี่ยนเป็นกระบี่คมกริบ จู่โจมไปที่ใบหน้าของโม่เหยียนโดยตรง

แรงลมปะทะผิวหน้า เหตุการณ์ฉุกละหุก ความประหลาดใจฉายวาบในแววตาของโม่เหยียน เขารีบพลิกกรงเล็บคว้าแผ่นหยกไว้ได้ทันท่วงที

ขณะนั้นเองเขาพลันได้ยินเพียงเสียงน้ำแตกกระเซ็น ลั่วอวี่พลิกกายดำดิ่งสู่ห้วงน้ำเสียแล้ว

โม่เหยียนยืนนิ่งโดยไม่กวดตาม เขาเพียงคลายมือออกช้าๆ ป้ายหยกในอุ้งมืออันเป็นเครื่องบ่งชี้ฐานันดรศักดิ์ของเขาแหลกเป็นผุยผงต่อหน้าต่อตาของเขาเอง

โม่เหยียนหรี่ตาเพ่ง ทันใดนั้นนิ้วมือทั้งห้าก็กำหมัดแน่น บังอาจทำลายป้ายหยกประจำตัวเชื้อพระวงศ์เชียวหรือ ถึงขนาดบังอาจ

ตูม! จังหวะที่เขาจวนจะบันดาลโทสะอยู่รอมร่อ จู่ๆ ในสระน้ำพลันบังเกิดเสียงสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง กระบี่วารีอันสร้างตัวจากน้ำพุ่งขึ้นไปรอบด้าน ละอองน้ำสาดกระจายจนมืดฟ้ามัวดิน

ราชสีห์เมฆทองซึ่งถูกโม่เหยียนพันธนาการไว้ จู่ๆ ก็หลุดจากโซ่ตรวน มันคำรามก้องอย่างกราดเกรี้ยว รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาก็โจนหายเข้าไปในป่าทึบ ไร้สิ้นร่องรอย

ราชสีห์เมฆทองเป็นสัตว์อสูรที่คล่องแคล่วว่องไวอย่างน่าอัศจรรย์ ครั้นเร่งความเร็วสูงสุดขึ้นมา ผู้ใดก็ไม่อาจไล่ทัน

“ราชสีห์เมฆทอง นางปล่อยราชสีห์เมฆทองไปแล้ว”

บุรุษชุดขาวตะโกนก้อง หากแต่ตระหนักดีว่าพวกเขาไม่อาจไล่ตามรางวัลจากการฝึกปรือครั้งนี้ได้ทันแน่ หากกลับไปทั้งอย่างนี้จะต้อง

ชั่วขณะที่ราชสีห์เมฆทองพุ่งขึ้นจากสระน้ำ ตรงนั้นยังมีเงาร่างอีกร่างแหวกม่านวารีขึ้นมา เหาะเหินเพียงไม่กี่คราก็ขึ้นไปปักหลักบนยอดน้ำตกสูง

ผมดำปลิวสยาย ลั่วอวี่ยืนผงาดอยู่เหนือยอดน้ำตกตั้งตระหง่าน

นางทอดมองไปยังโม่เหยียนที่เพ่งส่งสายตาคุกคามเข่นฆ่ามาจากเบื้องล่าง น้ำเสียงเย็นชาของนางก้องกังวานท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี

“ท่านคิดว่าตนเองเป็นใคร หลอกท่านหรือ ข้าไม่แยแสเลยสักนิด!”

เสียงเย็นเยียบทว่าหยิ่งผยองไม่แพ้กันดังสะท้อนอยู่ในม่านราตรี

ลั่วอวี่หมุนกายไม่มัวพิรี้พิไรอยู่ต่อ อาศัยวิชาตัวเบาจากไปราวติดปีก

ท่ามกลางความมืดมิด เบื้องหลังได้ยินเพียงเสียงแผดคำรามก้องราวกับเสียงอสุนีบาตฟาดลั่นสะท้านฟ้าดิน “นางอัปลักษณ์ ฝากไว้ก่อนเถอะ”

 

รัตติกาลมืดทะมึน สายลมโบกโบยทั่วบริเวณ

ลั่วอวี่เดิมนับว่าค่อนข้างอารมณ์ดี แต่เพราะถูกการพบปะโดยบังเอิญครั้งนี้ทำลายความสุนทรีย์เสียจนราบคาบ ทั้งยังยิ่งทำให้นางตัดสินใจได้แน่วแน่ว่าจะไม่แต่งงานกับองค์ชายสามเป็นเด็ดขาด

แม้นว่าเจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นั้นก็ใช่จะยินดีแต่งงานกับนางด้วยเช่นกัน

นางโลดแล่นเร็วรี่อยู่ท่ามกลางความมืด ว่องไวดุจสายลมพาพัดบุปผาปลิวใบหลิวไหว

ถูกต้อง นางไม่มีพลังยุทธ์ หากแต่นางมีวรยุทธ์ นางมีวิชาการต่อสู้ซึ่งผู้คนในโลกนี้ล้วนไม่มี ซัดบุปผาคร่าชีวิต ย่ำหิมะไร้ร่องรอย เห็นนางเป็นกระดูกอ่อนอย่างนั้นหรือ หึ หาเรื่องผิดคนเสียแล้ว

พอเข้าสู่หมู่บ้านเมืองร่วมผล ลั่วอวี่จึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่คนที่พบกันแล้วชังน้ำหน้า ไม่ควรค่าจะเก็บเป็นอารมณ์

ลั่วอวี่มาถึงโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองร่วมผลอย่างชำนิชำนาญทาง ครั้นโอภาปราศรัยกับคนของโรงน้ำชาเสร็จสรรพจึงเดินทะลุเข้าสู่ลานด้านหลัง นางผลักประตูเปิดออกโดยไม่ละล้าละลังแล้วเยื้องย่างเข้าสู่ภายใน

ส่วนคนงานที่อยู่หน้าร้านต่างใช้สารพัดวิธีมาปิดบังอำพราง ผิวเผินดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ หากแต่แท้จริงแล้วกำลังเฝ้าระวังรอบด้านอย่างเข้มงวด

“พี่ใหญ่”

ทันทีที่ลั่วอวี่ก้าวเข้าสู่ลานด้านหลัง ผู้คนพลันโผล่ออกมาจากทั้งสี่ทิศ โค้งกายให้นางครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงผลุบกลับไปประจำตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็วราวกับลานว่างเปล่านั้นไม่เคยมีผู้ใดปรากฏกายมาก่อน

ลั่วอวี่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินยิ้มก้าวไปยังหอเก๋งหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อย่างสันโดษในลานด้านหลัง นางผลักประตูเปิดออกอย่างถือวิสาสะ

“รู้จักแวะมาด้วยหรือ ไม่มาเหยียบย่างที่นี่ตั้งหลายเดือน หรือท่านลืมเหล่าพี่น้องไปหมดแล้ว” น้ำเสียงขุ่นเคืองลอยออกมาจากด้านใน

บุรุษหนุ่มสวมชุดยาวสีเทานั่งอยู่บนตำแหน่งประมุข ตวัดหางตาจ้องมาทางลั่วอวี่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

บุรุษผู้นี้หน้าตาหมดจดงดงาม ดูแล้วหล่อเหลาเข้าที เสียดายที่มีรอยบากพาดผ่านตั้งแต่หว่างคิ้วจรดโหนกแก้มข้างหนึ่ง ทำลายรูปโฉมงดงามนั้นให้ปรากฏเป็นความเหี้ยมเกรียมและน่าสะพรึงกลัว

มุมปากของลั่วอวี่โค้งเป็นรอยยิ้ม นางเลือกที่นั่งก่อนจะหย่อนกายลงแล้วกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจเจ้าอย่างไรเล่า”

บุรุษหน้าบากได้ยินแล้วกลับไม่ดีใจ ซ้ำยังถลึงตาใส่ลั่วอวี่ทีหนึ่ง เป็นนัยว่าเขาฟังประโยคนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว

ลั่วอวี่หลุดหัวเราะออกมาทันที นิ้วเรียวเคาะกับโต๊ะเบาๆ มองบุรุษหน้าบากพลางกล่าวต่อ “จวินเฟย ที่ข้ามาวันนี้เพื่อบอกเจ้าว่าข้าจะเก็บตัวฝึกวิชา”

“เก็บตัว! เก็บตัวอีกแล้ว! ข้าไม่อนุญาต”

บุรุษหน้าบากนามจวินเฟยทะลึ่งตัวลุกพรวด มองลั่วอวี่ด้วยแววตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ลั่วอวี่มองจวินเฟยยิ้มๆ “ข้าแค่มาบอกกล่าว ไม่ได้มาขออนุญาตจากเจ้า”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา จวินเฟยก็โกรธจนแผลเป็นบนหน้าเกร็งกระตุกทันที

จวินเฟย คือคนที่นางเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนนางอายุได้เจ็ดขวบ

ปีนั้นจวินเฟยเพิ่งอายุได้สิบขวบแต่กลับกล้าลงมือสังหารพ่อเลี้ยงใจทรามที่ทำร้ายตนเพื่อเอาชีวิตรอด จากนั้นเขาก็ถูกคนตามล่ารุมซ้อมปางตายแต่เจ้าตัวยังไม่ยอมรับความตาย นิสัยดุร้ายทั้งบ้าดีเดือดเช่นนี้ ภายหน้าหากมิใช่ผู้กล้าก็ต้องเป็นมหาโจร

ลั่วอวี่ประเมินคนได้เฉียบคมนัก หลังจากช่วยชีวิตเขาไว้ก็ควานหาเงินตามร่างกายตนจนเจอเหรียญทองเข้าเหรียญหนึ่ง จึงมอบให้จวินเฟยที่จะตายมิตายแหล่พร้อมกล่าวว่า ‘ดีแต่อาละวาดฟาดฟัน ไม่มีวันได้เป็นผู้เป็นคนหรอก หากไม่อยากโดนคนรังแก มีแต่ต้องพึ่งพาตนเอง’

ถ้อยคำในครั้งนั้น ลั่วอวี่จดจำได้แม่นยำ

‘วิธีที่รวดเร็วและได้ผลที่สุดคือทำการค้าที่ไม่ต้องลงทุน’ นางชี้แนะต่อก่อนจะแยกจากไป

ไม่นึกว่าหลังจากนั้นหนึ่งปีจวินเฟยจะกลับมาอีกครั้ง กิจการที่ไม่ต้องใช้เงินทุนจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยประการนี้

ทำการค้าไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการจับเสือมือเปล่า

จับเสือมือเปล่าเช่นนั้นการซื้อขายข่าวสารย่อมดีที่สุด

เป็นดังคาด นางมองคนไม่ผิดจริงๆ เจ็ดปีให้หลังบัดนี้กิจการของ ‘หอลับ’ ได้แผ่ขยายครอบคลุมเมืองใหญ่หลายเมืองในแดนห่างไกลนี้ และเริ่มรุกล้ำเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว

ซื้อขายข่าวสาร สนับสนุนสิ่งจำเป็นให้ครบครัน แล้วรับกำไรมหาศาลในฐานะคนกลางนี่เองคือหอลับ

ส่วนนางผู้ไร้ประโยชน์ที่สุดแห่งจวนกั๋วกงกลับเป็นถึงผู้นำสูงสุดที่ทำตัวลึกลับดุจมังกรโผล่หัวไม่เห็นหางของหอลับแห่งนี้

จวินเฟยมองลั่วอวี่ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เขาเริ่มกำหมัดถูมือ

หมาป่าสีเทาเงินหลังอานขนาดมหึมาตัวหนึ่งซึ่งหมอบอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาก็ลุกพรวดขึ้นเหยียดกาย ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องเขม็งมาที่ลั่วอวี่

ลั่วอวี่มองจวินเฟยหน้าโหดทีหนึ่ง แล้วเลื่อนมองสัตว์อสูรที่เขม้นมองมาราวพยัคฆ์หมายตะครุบเหยื่อทีหนึ่ง มุมปากก็ยกขึ้น นางหันกลับไปยิ้มมองจวินเฟยพลางพูดว่า “อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ให้ข้าได้เก็บตัวฝึกวิชาก่อน แล้วเราค่อยมาตัดสินว่าใครเหนือกว่ากัน”

ลั่วอวี่เพียงเอ่ยเสียงล่องลอยแผ่วเบา ครั้นแล้วร่างนางก็ขยับไหว เหินทแยงออกไปนอกหอเก๋ง ระหว่างลอยตัวอยู่กลางเวหายังโบกไม้โบกมือให้จวินเฟยอย่างสำราญอารมณ์

“อย่างน้อยสามวัน อย่างมากสิบวัน เจ้าคอยข้าก็แล้วกัน”

จากนั้นนางก็ร่อนลงสู่พื้นดิน เดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ

จวินเฟยเห็นลั่วอวี่ใช้วิทยายุทธ์พิลึกพิลั่นนั้นเอาตัวรอดไปได้อีกครั้งจึงโมโหจนกัดฟันกรอดอย่างยั้งไม่อยู่

เจ้าคนที่ไม่ว่าอะไรเป็นยกให้เขาจัดการไปเสียทุกเรื่องผู้นี้จะอยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ มันน่าโมโหนัก!

หากแต่ฟังดูแล้ว ไม่เกินสิบวันหลังจากนี้ผู้ที่พวกเขาเรียกขานว่าพี่ใหญ่คงจะสำเร็จบรรลุวิทยายุทธ์แปลกพิสดารอะไรนั่นได้ เช่นนั้นก็ยอมให้นางหลบไปสักพักเถิด

จวินเฟยส่งเสียงฮึทีหนึ่งไปยังทางที่ลั่วอวี่หายลับไป

 

เมื่อหลบเลี่ยงออกมาจาก ‘โรงน้ำชาคืนมืด’ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหน้าฉากของหอลับ ลั่วอวี่ไม่ได้กลับไปคฤหาสน์สกุลจวิน แต่ตรงไปยังห้องลับของนางซึ่งอยู่ภายในหอลับ

ตลอดเวลาที่ผ่านมามารดาของลั่วอวี่คิดว่าบุตรสาวมาทำงานที่โรงน้ำชาเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว บางครานางบอกมารดาว่าจะต้องออกไปเก็บใบชาและไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน มารดาก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด วันนี้นางก็บอกจะไปเก็บชา เท่ากับได้แจ้งให้มารดาทราบแล้วว่านางจะมาที่โรงน้ำชาคืนมืด

การที่บุตรสาวในวัยเพียงสิบสี่ต้องออกมาทำงานนอกบ้าน อาจทำให้บิดาและมารดาของนางละอายใจอยู่บ้าง ทว่าข้ออ้างนี้นับว่าไม่เลวเลย

เมื่อลั่วอวี่เข้ามาในห้องลับของตน นางก็นั่งลงหน้าคันฉ่องแล้วค่อยๆ ลอกปานแดงชิ้นนั้นออกจากใบหน้า

ผิวหนังใต้แผ่นปานมีเพียงจุดแดงขนาดเท่าปลายก้อยอยู่เท่านั้น

ลั่วอวี่เห็นแล้วแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่งปานหรือ หึ ปานที่ไหนกัน เป็นจุดแดงที่เกิดจากพิษต่างหาก

ในปีที่ลั่วอวี่อายุสามขวบมีคนวางยาพิษนาง เดิมคงหมายจะสังหารนางให้สิ้นชีพ หารู้ไม่ว่านางมิใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะเพิ่งอายุได้สามขวบ แต่ตั้งแต่เกิดมานางก็อาศัยลมปราณอันบริสุทธิ์ของเด็กแรกเกิดกรุยเส้นชีพจรและเริ่มฝึกกำลังภายในแล้ว หลังจากถูกพิษ นางต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดจึงสามารถรีดพิษที่อยู่ในตัวมาไว้บนใบหน้าได้สำเร็จ และกลายเป็นจุดแดงที่เห็นอยู่นี้

แม้ต้องสูญเสียรูปโฉม แต่ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อครั้งทดสอบพลังยุทธ์ตอนอายุสามขวบ นางจึงไม่มีพลังใดๆ หลงเหลืออยู่เลย เนื่องจากนำไปฝึกพลังวัตรต้านพิษจนหมดสิ้นแล้ว

ลั่วอวี่โยนปานปลอมในมือลงบนโต๊ะ ประกายเย็นเยียบไหววูบขึ้นในดวงตา

แม้ตอนนั้นนางจะเห็นไม่ชัดว่าใครเป็นคนลงมือวางยา ทว่านางก็ได้ยินเสียงคนผู้นั้น ขอเพียงได้กลับไปจวนกั๋วกงแห่งนั้นอีกครา นางจะต้องควานหาตัวการสำคัญที่หมายจะสังหารนางในครั้งนั้นได้แน่นอน

เมื่อลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความเยียบเย็นในดวงตาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว มีเพียงรอยยิ้มที่คลี่ออกมาช้าๆ

“คราวนี้ดูซิว่ายังจะมีผู้ใดกล้าหยามข้าว่าเป็นคนไม่เอาไหน ยังจะมีใครกล้าคิดร้ายต่อข้าอีก”

หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกมา ลั่วอวี่ก็ลุกไปนั่งบนตั่งเตี้ย มือทั้งสองประสานไว้ในท่าทำสมาธิ

ครั้งนั้นไม่รู้ว่าผู้ปองร้ายใช้ยาพิษชนิดใดถึงได้รุมเร้านางมาเป็นเวลานานหลายปี ก่อนหน้านี้นางต้องฝึกวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นบรรลุขั้นที่เก้าจึงเริ่มขับพิษออกจากร่างได้สำเร็จ

ไอร้อนค่อยๆ แผ่ออกมาปกคลุมร่างของลั่วอวี่ จุดพิษสีแดงบนใบหน้าของนางค่อยๆ จางลงไปตามพลังความร้อนที่เร่งระอุขึ้นเรื่อยๆ และเลือนหายไปทีละน้อย

เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ภายนอกห้องลับดวงตะวันและจันทราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นสู่ท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าความร้อนที่แผ่แผดรอบกายของลั่วอวี่จะเริ่มสลายลงไป ดวงหน้าของเด็กสาวค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นท่ามกลางม่านหมอก

ผิวพรรณผุดผ่องนวลเนียน งดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ เลิศล้ำเหนือใครในหล้า

บนใบหน้าไหนเลยจะมีจุดแดงเหลืออยู่อีก จะมีก็เพียงดวงหน้าผุดผาดงามพริ้มเพราเท่านั้น

พิษร้ายที่คอยรุมเร้านางมานานหลายปี ในที่สุดก็ถูกขับออกจากร่างจนหมดสิ้น

ม่านหมอกพลันสลายไปอย่างรวดเร็ว ตามติดด้วยเสียงลั่นเปรี๊ยะป๊ะระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นลั่วอวี่ก็ขยับตัว ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ปิดสนิทพลันลืมขึ้น แววตาทั้งคู่ดุจมีประกายไฟวิ่งผ่าน เปล่งแสงระยิบระยับ

นัยน์ตาคู่นั้นแลดูสุกใสแวววาวและดำขลับลึกล้ำกว่าที่ผ่านมา ประหนึ่งธารน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง พริบตาที่จ้องมองคล้ายจะดูดดึงวิญญาณผู้คนให้ออกจากร่าง งามดุจท้องฟ้าดาราพรายในยามราตรี

คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น สุดยอดวิชาแห่งวัดเส้าหลินในที่สุดนางก็ฝึกสำเร็จลุล่วงถึงขั้นสิบแล้ว

ลั่วอวี่ยกมือขึ้นช้าๆ ดีดปลายนิ้วไปยังเตากำยานทองเหลืองภายในห้องลับ

เสียงปังดังขึ้น เตากำยานทองเหลืองถูกพลังดรรชนีจู่โจมเข้าใส่ พลันแหลกป่นปี้เป็นผุยผง

ลั่วอวี่สะบัดมืออีกครั้ง เศษชิ้นส่วนของเตาทองเหลืองที่อยู่ห่างไปราวหนึ่งจั้ง พลันลอยขึ้นแล้วแตกกระจัดกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

“ฮ่าๆ”

ลั่วอวี่ไม่อาจระงับอาการลิงโลดได้อีก นางแหงนหน้าหัวเราะด้วยความสาสมใจ

ในที่สุดพลังวัตรหกสิบปี และเจ็ดสิบสองกระบวนท่าไม้ตายของวัดเส้าหลิน นางก็ฝึกสำเร็จแล้ว

พื้นภูมิของแผ่นดินลืมธารานับว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ วรยุทธ์ที่หากอยู่ในยุคปัจจุบันแม้นจะเพียรพยายามมาตลอดชีวิตก็ยากจะบรรลุผล แต่อยู่ที่นี่กลับใช้เวลาเพียงสิบสี่ปีก็สามารถฝึกสำเร็จ

ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก

อัดอั้นตันใจมาถึงสิบสี่ปี ในที่สุดวันนี้พละกำลังของนางก็กลับมาฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง ช่างดีแท้

เสียงหัวเราะก้องกังวานดังไปทั่วทุกสารทิศ

ผ่านไปครู่หนึ่งลั่วอวี่เก็บงำความยินดีปรีดาในจิตใจเดินไปที่หน้าคันฉ่อง นำปานสีแดงแผ่นนั้นปิดทับลงบนผิวหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็เดินอย่างองอาจผึ่งผายออกนอกประตูไป

ผู้ที่ลอบวางยาพิษยังอยู่ในที่ลับ ไยนางต้องรีบเผยตัวด้วยเล่า ถึงอย่างไรนางก็เคยชินกับการมีตำหนิอยู่บนใบหน้าเช่นนี้มานานแล้ว

ฝ่ามือแนบลงกับบานประตู จู่ๆ ลั่วอวี่ก็ยกยิ้มมุมปาก นางตวัดมือขึ้น พลังฝ่ามือถูกซัดออกไปทำให้เกิดเสียงดังปัง! ประตูใหญ่ถูกกระแทกจนเปิดออก ผู้ที่หลบซ่อนอยู่นอกประตูถูกบีบคั้นให้ต้องสำแดงตน

จวินเฟยกับหมาป่าอสูร

จวินเฟยเห็นลั่วอวี่เดินยิ้มกริ่มออกมา นัยน์ตาทั้งคู่พลันหรี่เล็กลง เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พลังยุทธ์สีแดงพวยพุ่งออกมาตรงเข้าโจมตีลั่วอวี่ทันที

ขณะเดียวกันหมาป่าสีเทาเงินก็ส่งเสียงขู่คำราม โก่งหลังขนตั้งชัน แยกเขี้ยวแสยะปากพุ่งกระโจนเข้าใส่ลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่เลือนหาย ปลายเท้าแตะสะกิดพื้น ร่างโผนทะยานขึ้น เท้าข้างหนึ่งเตะตวัดไปที่กลางแสกหน้าของจวินเฟย จังหวะเดียวกันนั้นนางก็พลิกฝ่ามือฟาดใส่หมาป่าสีเทาเงินที่พุ่งกระโจนเข้ามาทันที

โครม!

เพียงได้ยินเสียงกระแทกหนักๆ เงาร่างทั้งสามปะทะกันวูบหนึ่งแล้วแยกออกจากกันทันที

จวินเฟยถลาถอยหลังไปสามก้าว ส่วนหมาป่าสีเทาเงินสัตว์อสูรขั้นสี่ที่อยู่ข้างกายถูกซัดจนมึนงงตาลาย ลงไปนั่งแหมะกับพื้น สะบัดหัวไปมาไม่หยุด

ลั่วอวี่ขึ้นไปยืนผงาดอยู่บนยอดไม้เหนือศีรษะที่แกว่งไกวไปตามสายลม ร่างพลิ้วไหวขึ้นลงไปตามกิ่งไม้ ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยความรื่นรมย์

ดาราพร่างพราวเต็มผืนฟ้าสาดประกายอยู่เบื้องหลัง ดุจดั่งเสน่ห์ลึกลับแห่งราตรีกาล

“ถึงกับกล้าลองดีกับข้า ดูซิว่าต่อไปเจ้ายังจะกล้าอีกหรือไม่” ลั่วอวี่มองสัตว์อสูรที่นั่งหัวหมุนคว้างอยู่กับพื้นด้วยรอยยิ้ม เวลานี้นางอารมณ์ดียิ่งนัก

เจ้าหมาป่าตัวนี้ถือดีว่าตนเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ ปกติชอบแสดงท่าทีหยาบคายดุร้าย คิดจะข่มเหงนาง ฮึ ย่อมถึงคราวต้องชดใช้เสียบ้าง!

จวินเฟยที่ยืนอยู่บนพื้นดินเงยหน้าขึ้นมองลั่วอวี่บนยอดไม้พลางเลิกคิ้วขึ้น

ไม่ผิดจากที่คาดหมาย พลังฝีมือของนางก้าวรุดหน้าไปมาก

เดิมทีเขายังพอมองความลุ่มลึกของนางออก แต่ตอนนี้กลับมองอะไรไม่ออกเลย ไม่ว่ามองอย่างไรลั่วอวี่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่คนธรรมดาผู้นี้

จวินเฟยส่ายหน้าไปมา ในใจรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเช่นกัน ทว่ายังคงปั้นหน้านิ่งเฉยกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อฝึกวรยุทธ์แปลกพิสดารของท่านสำเร็จแล้ว เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะ ปัญหาของท่านมาเยือนถึงประตูบ้านแล้ว”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้มทันควัน ทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่างมายืนเบื้องหน้าจวินเฟย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

กิจการของหอลับคือการซื้อขายข่าว ไม่มีผู้ใดทราบข่าวได้รวดเร็วไปกว่าที่นี่อีกแล้ว

“ทั้งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด และจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลได้แอบส่งคนมาลอบสังหารท่านแล้ว”

“เพราะเหตุใด” ลั่วอวี่ฟังแล้วหาได้ตื่นตระหนก กลับออกอาการแปลกใจเล็กน้อย นางไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับจวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสอง!

จวินเฟยยกมือขึ้นกอดอก กล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะตอนนี้ท่านอายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนองค์ชายสามก็อายุสิบเจ็ดปีเต็ม ได้เวลาจัดการเรื่องการหมั้นหมายของพวกท่าน พระราชายังได้ส่งคนอัญเชิญราชโองการมาที่เมืองร่วมผลแล้วด้วย”

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหัวคิ้วก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ไฉนนางยิ่งปฏิเสธสิ่งใด สิ่งนั้นกลับยิ่งเข้ามาหา ไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้พบองค์ชายสามที่คิดจะทำลายรูปโฉมนาง ทำให้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่แต่งงานกับเขา มาวันนี้ข่าวเกี่ยวกับการหมั้นหมายกลับถูกส่งมาถึงแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่รู้จบโดยแท้ ลั่วอวี่อับจนคำพูด

ปีนั้นพระราชาแคว้นไร้ปีกถูกลอบปลงพระชนม์ที่แคว้นข้างเคียง บิดาของนางเสี่ยงชีวิตเข้าถวายการอารักขากระทั่งตัวเองต้องสูญสิ้นพลังยุทธ์ทั้งหมด พระราชาทรงเห็นแก่น้ำใจไมตรีในครั้งนั้น ทั้งทรงเห็นว่านางเป็นทายาทแห่งจวนกั๋วกง ฐานะเหมาะสมคู่ควร จึงได้ทรงหมั้นหมายนางให้กับองค์ชายสามตั้งแต่นางอายุได้สองขวบ

เดิมนางเข้าใจว่าครอบครัวนางทั้งสี่คนถูกขับไล่ไสส่งมาอยู่ที่นี่แล้วฝ่าบาทคงจะปล่อยเลยตามเลย ก็จะมีใครอยากได้หญิงอัปลักษณ์ไปเป็นสะใภ้เล่า ทั้งได้ยินว่าองค์ชายสามผู้นั้นยังเป็นพระโอรสที่พระมเหสีทรงเป็นผู้ให้กำเนิดอีกด้วย นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทกลับยังทรงจำได้!

นางควรยกย่องฝ่าบาทที่ทรงยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตรดี หรือควรบ่นว่าฝ่าบาทไม่รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ดีหนอ

“หากพวกเขาหมายสังหารข้า ข้าจะขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำได้สำเร็จ”

จนคำพูดส่วนจนคำพูด ลั่วอวี่ตั้งสติรับมือกับปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นางผงกศีรษะน้อยๆ สีหน้าสงบนิ่ง

“ไม่เลว จวนกั๋วกงทั้งสามคอยคานอำนาจกันอยู่ ไม่มีใครกดข่มใครได้ ส่วนองค์ชายสามเป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ต่อไป ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ท่านสมควรต้องตาย” จวินเฟยกล่าวด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ

“ต้องตาย? หึ เช่นนั้นก็มาดูกันว่าใครที่ต้องตาย”

นางไม่เคยอยากจะเป็นพระชายาอะไรนั่น แต่หากคิดเอาชีวิตนาง เช่นนั้นก็ต้องมาลองดูกันสักตั้ง

“ป๋อเจวี๋ย จวินเฉินแห่งจวนกั๋วกงของพวกท่านเดินทางมาตรวจราชการที่เมืองใกล้ๆ นี้พร้อมบุตรสาว และวันนี้ก็มาถึงที่นี่แล้ว เวลานี้ที่บ้านท่านกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ด้วยความว่องไวของจวนกั๋วกงอีกสองจวน วันนี้ก็น่าจะ”

จวินเฟยยังกล่าวไม่ทันจบ ลั่วอวี่ก็หายตัวไปไม่เห็นร่องรอยเสียแล้ว มีเพียงเสียงที่ลอยมาท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี “ไปรับน้องชายข้ากลับมา”

จวินเฟยเห็นเช่นนี้ แผลเป็นจากกลางหว่างคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย เขาเดินกอดอกตามหลังนางไปอย่างไม่รีบร้อน

แท้ที่จริงเขาสั่งการไปเรียบร้อยก่อนแล้ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ชายาสะท้านแผ่นดิน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 3

บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์ แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเ...

community.jamsai.com