บทที่ 143
“ได้ยินว่ากู้เจี้ยนหลีวันๆ หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ออกมาข้างนอกน้อยเหลือเกินนับตั้งแต่เสียโฉม วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของบิดานาง อู่เสียนอ๋องจัดงานใหญ่โตเป็นปีแรก ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องมาปรากฏโฉมกระมัง” ฉินซูหวั่นเอ่ย
จ้าวอวิ๋นหลิงแม่นางวัยกำดัดที่นั่งอยู่ติดกับนางกล่าวรับว่า “ข้าเห็นว่าวันนี้เป็นหลีคนพี่คอยต้อนรับแขกเหรื่อสตรีโดยตลอด ยังไม่เห็นหลีคนน้องเลย ทว่าต่อให้นางปรากฏโฉมแล้วอย่างไร ก็คงมิพ้นคลุมผ้าคลุมหน้า ก่อนหน้านี้นางออกข้างนอกล้วนคลุมหน้าไว้ทุกครั้ง”
“คลุมผ้าคลุมหน้าอะไรกัน ไม่คลุมจะดีกว่า” ฉินซูหวั่นพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
จ้าวอวิ๋นหลิงป้องปากยิ้ม “เช่นนั้นประเดี๋ยวนางปรากฏโฉม เจ้าไปเปิดผ้าคลุมบนหน้านางก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ เลียนอย่างถังหงฮุ่ยอย่างไรเล่า”
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก ถังหงฮุ่ยตอนนี้น่าสังเวชมากเพียงใด ถูกสองตระกูลถอนหมั้นติดต่อกัน ทั้งยังถูกนายหญิงของตระกูลดุด่าต่อหน้าธารกำนัล โชคดีที่นางไม่คิดเล็กคิดน้อย หากมีนิสัยหัวรั้น ไม่เอาผ้าขาวผูกคอก็คงได้แล่นไปบวชชีแล้ว”
เหอเป่าจวินกับเฉิงเหมยหย่าเดินจูงมือกันมาได้ยินบทสนทนาของพวกนางสองคนเข้าพอดี เฉิงเหมยหย่าจึงเอ่ยปากว่า “เกรงว่าพวกเจ้าสองคนคงต้องผิดหวังแล้ว ใบหน้าของเจี้ยนหลีหายดีแล้ว ยามนี้ผิวพรรณเนียนนุ่มประดุจก้อนไขมัน ไม่หลงเหลือรอยใดๆ แม้เพียงน้อยนิด ในความเห็นข้า นางงามพริ้งเพริศกว่าเมื่อก่อนหลายส่วนเลยทีเดียว”
จู่ๆ ได้ยินเสียงของเฉิงเหมยหย่า ฉินซูหวั่นก็นิ่งงันไป ที่สุดแล้วก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง ถูกคนมาพบเห็นเข้าออกจะขายหน้าอยู่สักหน่อย
ฉินซูหวั่นฉีกยิ้ม แต่กลับไม่เป็นธรรมชาตินัก นางกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้มาหลอกกัน รอยตะปุ่มตะป่ำบนหน้านางจะหายไปได้อย่างไร นั่นเป็นตุ่มแผลเป็นที่หลงเหลือมาจากไข้ทรพิษเชียวนะ”
“เป็นความจริง ข้ากับเป่าจวินเห็นเองกับตา!” เฉิงเหมยหย่ารีบร้อนแก้ต่าง “นางยังรับปากจะช่วยหาหมอฝีมือดีมาศึกษาตำรับยาแล้วมอบให้ข้าด้วย!”
ฉินซูหวั่นเพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยคำใด บนหน้ามีคำว่าไม่เชื่อเขียนอยู่เต็ม
เฉิงเหมยหย่าร้อนใจแล้ว รีบกล่าวว่า “ไม่เพียงข้าเห็น เป่าจวิน อวี๋จวิน รวมถึงคุณหนูสามสกุลเยวี่ยก็เห็นกันทั้งนั้น เป่าจวิน เจ้าว่าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีหายดีแล้วจริงๆ”
ฉินซูหวั่นประเมินมองเฉิงเหมยหย่ากับเหอเป่าจวินด้วยความเคลือบแคลง ในใจนางไม่เชื่อ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้ยินว่าตุ่มแผลเป็นจากไข้ทรพิษจะเลือนหายไปได้ นับประสาอะไรกับบอกว่าผิวพรรณเนียนนุ่มประดุจก้อนไขมัน ทั้งยังงามกว่าเมื่อก่อนอีก…
เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
นางแค่นหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีไมตรีอันดีกับนาง แต่เรื่องพรรค์นี้มีอันใดน่าปิดบังกัน ประเดี๋ยวนางปรากฏโฉม ผู้อื่นไม่เชื่อ ขอให้นางเปิดผ้าคลุมหน้า จะมิใช่ทำให้นางขายหน้าหนักหรือไร อ้อ…ข้ารู้แล้ว คงมิใช่ว่าพวกเจ้าสองคนมีความคิดนี้อยู่พอดีกระมัง”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”
จ้าวอวิ๋นหลิงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย นางจะงดงามหรืออัปลักษณ์เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
เหอเป่าจวินเองก็หยิกเฉิงเหมยหย่าไปหนึ่งทีแล้วเกลี้ยกล่อมเช่นกัน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเราไปหาปี้หลันกันเถอะ…”
ฉินซูหวั่นพลันรู้สึกเหมือนถูกจับจุดอ่อนได้ จึงร้อง “แหม” ด้วยน้ำเสียงประชดประชันก่อนกล่าวว่า “เดิมทีเจ้าโกหกพกลมอยู่คนเดียว ยามนี้เป่าจวินยังมาพลอยร่วมมือกับเจ้าด้วยอีกคน เป่าจวินเอ๋ย เจ้าอย่าถูกนางหลอกเอาเชียว”
ถึงแม้จ้าวอวิ๋นหลิงและเหอเป่าจวินจะอยากเกลี้ยกล่อมคนทั้งสองให้เลิกแล้วต่อกัน ทว่าฉินซูหวั่นกับเฉิงเหมยหย่ากลับต่อปากต่อคำกันไปมา ทุ่มเถียงกันเสียงดังจนดึงดูดคนรอบข้างมามุงกันแล้ว
ฉินซูหวั่นมั่นใจว่าเฉิงเหมยหย่าพูดเหลวไหล ยิ่งอับอายจนกลายเป็นโกรธ “อะไรกัน ยามเจี้ยนหลีตกยากกลับไม่เห็นเงาเจ้า ยามนี้รี่มาประจบ นางไม่ได้อยู่ตรงนี้เสียหน่อย เจ้าประจบประแจงอะไร ยังมีหน้ามาคุยโวสอพลอ! คนทั่วไปเทียบไม่ติดฝุ่น!”
เฉิงเหมยหย่าโมโหจนหน้าซีดแล้ว ชี้หน้าฉินซูหวั่นพลางพูดไม่หยุดว่านางวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเสียๆ หายๆ ลับหลัง
“มีใครได้ยินบ้าง อวิ๋นหลิงเจ้าได้ยินหรือไม่” ฉินซูหวั่นไม่ยอมรับ
จ้าวอวิ๋นหลิงไม่กล้าปริปาก
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว คนของก่วงเสียนอ๋องกับเซียงซีกงมาถึงกันแล้ว”
คนที่มุงดูรีบขวางพวกนางไว้ จะปล่อยให้เรื่องบานปลายจนกลายเป็นขี้ปากคนไม่ได้ ทว่าหลังแยกย้ายแล้วบรรดาคนทั้งหลายกลับล้วนจับกลุ่มเล็กๆ พูดคุยกันถึงใบหน้าของกู้เจี้ยนหลี ในจำนวนนั้นย่อมมิขาดผู้ที่มีไมตรีอันดีกับพวกหลงอวี๋จวิน เฉิงเหมยหย่า และเหอเป่าจวิน คนเหล่านี้ได้ยินว่ากู้เจี้ยนหลีกลับมามีรูปโฉมงดงามตามเดิมแล้ว ทว่าแม้จะได้ยินข่าว แต่ไม่ได้เห็นเองกับตาย่อมจะมีท่าทีสงสัย ต่อให้ยาลบเลือนแผลเป็นดีเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หลงเหลือรอยแม้แต่นิดเดียวกระมัง
คนจำนวนมากไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง
กู้เจี้ยนหลีไม่รู้ว่าคนที่ด้านนอกทุ่มเถียงกันเพราะนาง หลังจากเปลี่ยนรองเท้าเสร็จนางก็มุ่งหน้าไปห้องหนังสือของกู้จิ้งหยวนด้วยกันกับจีอู๋จิ้ง
จี้ซย่าประคองของขวัญที่กู้เจี้ยนหลีเตรียมมาให้กู้จิ้งหยวนเดินตามอยู่ด้านหลัง วันนี้มีคนเยอะงานยุ่ง กู้ไจ้หลีกับเถาซื่อต่างง่วนกับการสมาคมสานสัมพันธ์ กู้จิ้งหยวนเองก็พบปะแขกเหรื่ออยู่ที่เรือนหน้าเช่นกัน
ในห้องหนังสือของกู้จิ้งหยวนมีชั้นวางโบราณวัตถุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดผนังด้านหนึ่ง ของขวัญวันเกิดที่กู้เจี้ยนหลีและกู้ไจ้หลีมอบให้เขาตลอดหลายปีมานี้วางอยู่บนนั้น ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวชั้นวางนี้ก็เกือบจะเต็มแล้ว ขณะกู้จิ้งหยวนตกยาก ชั้นวางนี้ถูกทุบจนเละ ของขวัญที่วางอยู่ถูกปล้นไปบางส่วน ของที่ไม่มีราคาบางชิ้นก็ถูกทุบทำลายและโยนทิ้ง
กู้จิ้งหยวนสิ้นเปลืองความคิดความอ่านไปมากกว่าจะเอาของแต่ละชิ้นที่ถูกปล้นไปกลับมาได้ เพียงแต่ของชิ้นเล็กๆ จำนวนหนึ่งเป็นต้นว่าตั๊กแตนที่กู้ไจ้หลีสานเองกับมือในสมัยเด็ก ถุงหอมที่กู้เจี้ยนหลีจับเข็มลงมือปักเองครั้งแรก ตลอดจนบทกลอนคำอวยพรที่นางเขียนเองกับมือล้วนตามหากลับมาไม่ได้แล้ว
กู้เจี้ยนหลีนำงาสลักและหยกสลักที่ตั้งใจเลือกมาอย่างดีไปจัดวางไว้ ส่วนชุดที่นางทำเองนั้นได้ให้สาวใช้นำไปไว้ในห้องนอนของบิดาแล้ว
จีอู๋จิ้งมองดูอยู่ด้านข้างมานานก็กล่าวว่า “กู้เจี้ยนหลี ข้าก็อยากได้เหมือนกัน”
“ข้ากลับไปจะเย็บกระโปรงให้ท่าน” กู้เจี้ยนหลีพูดโดยไม่คิดอะไร เอ่ยจบก็นิ่งงันไปชั่วขณะ พลันฉุกคิดได้ว่าจีอู๋จิ้งอาจจะหมายถึงของขวัญวันเกิด นางหันหน้าไปมองเขาก่อนจะเอ่ยถาม “นายท่านห้า วันเกิดท่านคือเมื่อไร”
“ไม่รู้”
กู้เจี้ยนหลีตกตะลึง ไล่เลียงอีกว่า “จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน”
“ไม่รู้ก็คือไม่รู้” จีอู๋จิ้งลากเก้าอี้ของกู้จิ้งหยวนมานั่งลงด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหยิบขนมในจานบนโต๊ะมากิน
“หลายปีมานี้ท่านไม่ได้ฉลองวันเกิดเลยหรือ” กู้เจี้ยนหลีเดินมาเบื้องหน้าเขา
สายตาของจีอู๋จิ้งจ้องอยู่ที่ขนมซึ่งกัดไปครึ่งชิ้นในมือพลางตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่มีใครฉลองให้ข้านี่”
“แล้ว…” กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะพูดได้คำเดียว จีอู๋จิ้งก็ยัดขนมครึ่งชิ้นที่เหลือในมือเข้าปากให้นางกิน
เขาขมวดคิ้ว บ่นด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย “หวานเกินไปแล้ว ไม่อร่อยเลย”
กู้เจี้ยนหลีกินขนมที่เหลือแทนเขาอย่างเชื่องช้า จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากก่อนจะเอ่ยว่า “กลับบ้านแล้วข้าจะไปศึกษาดูว่าใช้น้ำแกงปลาทำเป็นขนมดอกกุ้ย* ได้หรือไม่”
จีอู๋จิ้งปรายตามองนางด้วยท่าทางพิกล
กู้จิ้งหยวนได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ก็เจียดเวลาพบปะแขกเหรื่อกลับมายังเรือนชั้นใน ยังไม่ทันก้าวเข้าห้องก็ร้องเรียกบุตรสาวเสียงดังแล้ว กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงบิดาก็หันกายเดินไปหาด้วยความดีใจทันใด สองพ่อลูกเริ่มพูดคุยกันอยู่ตรงประตู
จีอู๋จิ้งคร้านจะสนใจพวกเขา นั่งทอดหุ่ยอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ มองดูของประดับบนโต๊ะยาวด้วยความสนใจก่อนจะเอื้อมมือไปเล่นพู่กันบนแท่นวาง ทว่าเขาเผลอเพียงแวบเดียวกลับทำพู่กันหักเสียแล้ว เสียงใสเสนาะดังขึ้น ทำให้กู้เจี้ยนหลีกับกู้จิ้งหยวนที่อยู่ตรงปากประตูต่างหันหน้ามามองเขา
จีอู๋จิ้งโยนพู่กันที่หักคามือทิ้งส่งๆ ลงบนโต๊ะยาวก่อนกล่าวว่า “เผลอตัวไป”
กู้เจี้ยนหลีก้าวปราดๆ มาเบื้องหน้าเขา เอ่ยถามว่า “มือเปื้อนหรือไม่ จะให้สาวใช้ยกน้ำร้อนเข้ามา” นางพูดพลางจะจับมือจีอู๋จิ้งมาดู
“ไม่เปื้อน” เขากุมข้อมือนาง หยุดการเคลื่อนไหวของนางไว้ด้วยอิริยาบถสบายๆ
กู้จิ้งหยวนเบิกตาโตจ้องเขม็งไปที่มือใหญ่ของจีอู๋จิ้งซึ่งกุมข้อมือกู้เจี้ยนหลีอยู่ เอ่ยเสียงลั่นด้วยท่าทางตื่นตัว “เจ้าปล่อยมือเสีย ปล่อยมือ!”
เขาพุ่งตัวมาปัดมือจีอู๋จิ้งออกอย่างแข็งกร้าวแล้วดึงตัวบุตรสาวไปอยู่อีกข้างของตนเอง เขาจ้องด้ามพู่กันที่หักอยู่บนโต๊ะยาวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
มือที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนคู่นี้จับนันนันของข้าเช่นนี้? เกิดทำข้อมือนันนันน้อยหักไปจะทำอย่างไร!
จีอู๋จิ้งเปิดเปลือกตามองเขาก่อนเอ่ยถาม “พยัคฆ์ร้ายแซ่กู้ ท่านเพิ่งจะอายุสี่สิบ สมองก็ใช้การได้ไม่ดีแล้วหรือ”
กู้เจี้ยนหลีงุนงงอยู่เล็กน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงโมโหขึ้นมากะทันหัน
จีอู๋จิ้งลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ประสานมือคารวะกู้จิ้งหยวนอย่างมือไปทางหัวไปทางพลางกล่าวเรื่อยเฉื่อย “เขยขออวยพรวันเกิดแด่ท่านพ่อตา ขอให้ทุกๆ ปีของท่านยังคงเป็นดั่งเช่นวันนี้ อายุยืนร้อยปี แข็งแรงกำยำดุจพยัคฆ์ไปทุกๆ วัน”
“ฮึ” กู้จิ้งหยวนแค่นเสียงเย็น “อวยพรวันเกิด?”
“ใช่แล้วขอรับ ยังมีของขวัญมาให้ด้วย”
“ไม่ต้อง!” กู้จิ้งหยวนยกมือห้ามอีกฝ่ายพูด “เจ้าหยุดเลย! ของขวัญของเจ้าเป็นโครงกระดูกคนหรือเป็นโคมหนังมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมาร่วมสิบกว่าปี หากเจ้าอวยพรวันเกิดข้าด้วยความจริงใจจริงๆ ข้าก็ไม่เอาของขวัญอื่นจากเจ้า คืนบุตรสาวข้ามาก็พอ!”
“จิ คนอย่างท่านเหตุใดจึงน่าเบื่อปานนี้” จีอู๋จิ้งยืดตัวตรง กลับมาประพฤติตัวตามเดิม “หากคืนบุตรสาวให้ท่านแล้ว ข้าคงต้องทำลายงานสักหน่อยถึงจะสนุก”
“เหอะๆ” กู้จิ้งหยวนแค่นหัวเราะ “อะไร นี่เจ้าหมายความว่าอ๋องอย่างข้าเอาเปรียบบุตรสาว?”
“พูดตรงถึงเพียงนี้ก็ไม่สนุกแล้ว” จีอู๋จิ้งหยิบพู่กันบนแท่นวางมาอีกด้าม คราวนี้เขาตั้งใจหักเอง
เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ…
พู่กันหักเป็นท่อน…ท่อนแล้วท่อนเล่า
“เจ้าหยุดนะ!” กู้จิ้งหยวนคิ้วกระตุก ท่าทางราวกับว่าสิ่งที่หักอยู่ในมือจีอู๋จิ้งนั้นไม่ใช่พู่กัน แต่เป็นกู้เจี้ยนหลี!
จีอู๋จิ้งถอนหายใจแล้วกล่าวเสียงเนิบ “แผดเสียงเช่นนี้ทุกวัน ท่านเจ็บคอบ้างหรือไม่ แผดเสียงอะไรอยู่ได้ ไหนท่านว่ามาที หากข้าโมโหท่านแล้วกลับบ้านไประบายอารมณ์ลงกับบุตรสาวท่านจะทำอย่างไรดี”
“เจ้ากล้า!” กู้จิ้งหยวนโมโหจนหน้าซีดแล้ว
“จีเจา!” กู้เจี้ยนหลีถลึงมองจีอู๋จิ้ง พยายามส่งสายตาบอกให้เขาหยุดพูดได้แล้ว
จีอู๋จิ้งทำหน้าทะเล้นในทันที เขาวางศอกลงบนบ่ากู้จิ้งหยวน ฝ่ามือลูบหน้าอกอีกฝ่ายขึ้นลงช่วยปรับการหายใจ ยิ้มพลางพูดว่า “ท่านพ่อตาคนดีไม่ต้องโมโหไป วันนี้เป็นวันมงคลจะโมโหโทโสไม่ได้ ข้าไม่รังแกบุตรสาวท่านหรอก จะบูชาบุตรสาวท่านเป็นบรรพบุรุษเลย พอใจแล้วกระมัง”
กู้เจี้ยนหลียิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่เข้าท่า รีบผลักจีอู๋จิ้งออกแล้วประคองบิดานั่งลง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อ ท่านอย่าฟังเขาพูดเหลวไหล เขาจงใจยั่วโมโห หากท่านโมโหเข้าจริงๆ ก็หลงกลเขาแล้ว”
กู้จิ้งหยวนจ้องหน้าบุตรสาวอยู่พักใหญ่ ในใจพลันรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์
ก่อนหน้านี้เวลาเขาปะทะคารมกับจีอู๋จิ้ง กู้เจี้ยนหลีมักจะห้ามเขาแล้วเกลี้ยกล่อมจีอู๋จิ้ง ทว่ายามนี้สลับกัน นันนันน้อยของเขาเริ่มห้ามจีอู๋จิ้ง หันมาเกลี้ยกล่อมเขาแทนแล้ว
ยิ่งเอ่ยห้ามผู้ใด ในใจก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับผู้นั้น…
กู้จิ้งหยวนรู้สึกใจหาย แต่ถ้าบุตรสาวมีความสุขก็เป็นเรื่องดี ทว่าจีอู๋จิ้งดันเป็นพวกไม่น่าไว้ใจเสียนี่ เขาถลึงตามองชายหนุ่มด้วยความหงุดหงิด
“เมื่อไรเจ้าจะตาย”
จี้ชุนเคาะประตูจากด้านนอก “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทและฮองเฮาเสด็จมาถึงปากตรอกแล้วเจ้าค่ะ!”
กู้จิ้งหยวนนิ่งงันไป เลิกปะทะคารมกับจีอู๋จิ้งแล้วกุลีกุจอลุกออกไปรับเสด็จ
แขกเหรื่อในสวนคุกเข่ากันเต็มพื้น รอฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ แต่ฮ่องเต้และฮองเฮายังไม่ทันมาถึง กู้จิ้งหยวนกลับชิงพาบุตรสาวทั้งสองเดินแหวกผ่านฝูงชนที่คุกเข่าอยู่ก่อน
ดวงตาแต่ละคู่เหลือบมองมายังสองหลีแห่งเมืองหย่งอัน พินิจพิเคราะห์อย่างเงียบๆ
บทที่ 144
เพื่ออวยพรวันเกิดบิดา สองพี่น้องล้วนแต่งกายด้วยสีสันสดใส กู้ไจ้หลีสวมชุดสีแดงเข้มอมชมพู งดงามเย้ายวนเพริศพริ้งพิมพ์ใจ ทำให้คนไม่อาจละสายตา แต่ความหยิ่งทะนงในตัวนางทำให้ความงามเย้ายวนกลายเป็นความสูงส่ง ทำให้คนไม่กล้ามีความคิดลบหลู่ดูหมิ่น ทำได้เพียงแหงนมองโดยไม่กล้าหายใจ
ก่อนหน้านี้นางเพียงดูแลแขกเหรื่อสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งมีสัมพันธ์อันดีกับนางอยู่ที่เรือนชั้นใน กระทั่งคุณหนูและฮูหยินที่มีฐานะต่ำกว่ายังไม่ได้พบ นับประสาอะไรกับบุรุษคนนอกที่เรือนหน้า เวลานี้นางเดินผ่านหน้าไป กระโปรงแดงระพื้น เห็นเพียงแวบเดียวคนทั้งหลายก็ไม่มีใครไม่ตะลึงลาน มีเพียงความงามเพริศพริ้งและท่วงทีเย่อหยิ่งผสานอยู่ด้วยกันจึงจะแบกรับคำว่าหยาดฟ้ามาดินไหว
ทว่าสายตาตะลึงลานของทุกคนหยุดอยู่ที่นางได้ไม่นานนักก็พากันมองไปยังกู้เจี้ยนหลีที่อยู่ข้างกาย กล่าวให้ถูกต้องคือมองไปยังใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีอย่างสุดจะอดใจรอไม่ไหว
เทียบกับพี่สาว สีแดงอ่อนของชุดกระโปรงหรูฉวินบนตัวกู้เจี้ยนหลีย่อมจะไม่ชวนตาพร่าเท่าสีแดงเข้มอมชมพู ทว่าในความสดใสงดงามของสีแดงอ่อนแฝงด้วยความงามอ่อนหวานนุ่มนวล ขับเน้นให้พวงแก้มนางดูขาวใสเปล่งปลั่ง ดวงหน้าผิวพรรณนุ่มเนียนเกลี้ยงเกลา ดวงตาดุจก้อนไขมันขาวแต้มด้วยสีดำขลับ ยามกลอกกลิ้งเหลียวมองดูผู้คนงามเจิดจ้าเป็นประกาย ราวกับเป็นเทพธิดาที่เยื้องกรายออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
ประเดี๋ยวก่อน…
ใบหน้าของนาง!
นางไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า! ไม่ได้มีหน้าตะปุ่มตะป่ำชวนให้คนเสียดายหรือรู้สึกสมน้ำหน้าด้วยเช่นกัน!
แต่ละคนที่คุกเข่าอยู่ต่างตะลึงพรึงเพริด ไม่อยากเชื่อสายตาโดยสิ้นเชิง!
ที่แท้ข่าวลือก็เป็นความจริง? กู้เจี้ยนหลีรักษาใบหน้าที่มีตุ่มแผลเป็นจนหายดีแล้วจริงๆ? นี่…ผลลัพธ์นี้ใช่แค่รักษาหายดีเสียที่ใด เป็นการเปลี่ยนผิวหนังใหม่ ราวกับเกิดใหม่ชัดๆ…
เป็นอีกครั้งที่สองหลีแห่งเมืองหย่งอันใช้รูปโฉมงามเลิศหล้าที่สตรีในเมืองหลวงทาบไม่ติดทำให้คนทั้งหมดต้องกลั้นหายใจตะลึงลานในความงาม เอ่ยวาจาอื่นใดไม่ออกอีก
ฉินซูหวั่นอ้าปากค้าง เหม่อลอยไปแล้ว ครั้นนึกได้ว่าตนเองเพิ่งจะโต้เถียงยืนกรานไม่เชื่อเด็ดขาดว่ากู้เจี้ยนหลีกลับมามีโฉมงดงามตามเดิมท่ามกลางสายตาคนตั้งมากเพียงนั้นก็อับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีในทันที เป็นนานกว่านางจะรู้สึกตัว อาการแน่นหน้าอกบังคับให้นางหอบหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองไปยังจ้าวอวิ๋นหลิงที่สนิทสนมกันโดยจิตใต้สำนึก กลับพบว่าอีกฝ่ายกระเถิบตัวออกห่างจากนางไปอยู่ใกล้กับเฉิงเหมยหย่าแล้ว
ฉินซูหวั่นโมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก!
ส่วนถังหงฮุ่ยซึ่งกล่าววาจาค่อนแคะกู้เจี้ยนหลีในงานแต่งงานของหลงอวี๋จวินน่ะหรือ น่าเสียดายที่วันนี้นางไม่อยู่ ไม่อาจได้เห็นกู้เจี้ยนหลีที่กลับมามีรูปโฉมงดงามตามเดิมด้วยตาตนเอง เนื่องด้วยนางไม่มีคุณสมบัติจะมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ เกรงว่าวันหน้านางก็คงจะไม่ได้เห็นแล้ว เป็นเพราะวงสังคมของนางลดระดับลงไม่หยุด ไม่มีคุณสมบัติพอจะปรากฏตัวเบื้องหน้ากู้เจี้ยนหลีอีกต่อไป
แน่นอนว่าฉินซูหวั่นเองก็ไม่อาจปรากฏตัวเบื้องหน้ากู้เจี้ยนหลีได้อีกแล้วเช่นกัน
กู้ไจ้หลีและกู้เจี้ยนหลีคุ้นชินกับสายตาเช่นนี้มานานแล้ว พวกนางเดินอยู่ด้านหนึ่งของกู้จิ้งหยวน เถาซื่อเดินอยู่อีกด้าน ส่วนจีอู๋จิ้งเบื่อความยุ่งยากจึงไม่ตามมาด้วย
กู้เจี้ยนหลีเอ่ยถามเสียงเบา “เสี่ยวชวนเล่า”
“วิ่งไปเล่นที่อื่นแล้ว” กู้จิ้งหยวนตอบ
กู้เจี้ยนหลีมองดูสีหน้าของบิดาอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง บิดาสีหน้าเป็นปกติ หาได้มีโทสะสักกระผีก แม้กู้ชวนจะซุกซนไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็มีขอบเขต ไม่มีทางทำเรื่องไม่เหมาะสมในงานเช่นนี้แน่นอน
กู้เจี้ยนหลีแจ้งใจ เห็นได้ชัดว่าบิดาจงใจไล่กู้ชวนไปเอง คิดว่างานเลี้ยงวันนี้เป็นไปได้สูงที่จะเกิดเรื่องบางอย่าง…
ความคิดของนางหยุดชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกไม่ใคร่ชอบใจนัก นี่เป็นปีแรกที่บิดาจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด แต่กลับต้องมาถูกผู้อื่นใช้เป็นข้ออ้างหาเรื่องโจมตี
กู้จิ้งหยวนเพิ่งเดินไปถึงประตูใหญ่ ขบวนเสด็จก็มาถึงแล้ว
จีหลันลงจากรถม้าโดยมีซุนอิ่นจู๋ตามลงมา คนทั้งหลายถวายบังคม จีหลันบอกให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี จากนั้นก็กล่าวว่าวันนี้สามารถงดเว้นพิธีรีตองทั้งปวงด้วยมาอวยพรวันเกิดกัน
ฝูงชนคลาคล่ำลุกขึ้นโดยไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย
บนหน้าจีหลันประดับด้วยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน สายตาเขากวาดผ่านสองพี่น้องข้างกายกู้จิ้งหยวน หยุดอยู่บนหน้าของกู้เจี้ยนหลีนานขึ้นชั่วพริบตา เขาที่มีท่าทีสุขุมอ่อนโยนเสมอมามีแววหวั่นไหวในสีหน้าเป็นครั้งแรกเพราะความตื่นตะลึง
เขาได้รู้จากปากจี้จิ้งอี้แล้วว่าจีอู๋จิ้งใช้ยาแก้พิษแลกเอายารักษาใบหน้ามาให้กู้เจี้ยนหลี คิดไม่ถึงว่ารูปโฉมของนางจะกลับมางดงามปานนี้ ทั้งยังงามกว่าเดิมด้วยซ้ำไป!
จีหลันอึ้งงันอยู่เพียงพริบตาเดียวก็ได้สติอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนกลับมาเป็นฮ่องเต้ผู้สุภาพอ่อนโยนสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง เขาสาธยายถึงความเป็นเสาหลักแห่งแคว้นต้าจีของกู้จิ้งหยวนเสร็จถึงได้ก้าวเดินเคียงไปกับกู้จิ้งหยวน
กู้เจี้ยนหลีกับพี่สาวและเถาซื่อตามหลังอยู่หนึ่งก้าว เดินไปพร้อมกับซุนอิ่นจู๋
ครั้นเห็นว่ากำลังจะเดินผ่านแขกเหรื่อทั้งหมดไปยังโถงหลักแล้ว ซุนอิ่นจู๋ก็พลันแย้มยิ้มมีเสน่ห์พลางเอ่ยปาก “ข้าได้นำขนมไหมบงกชติดมาด้วย รสเลิศทีเดียว ปี้เถา เจ้านำไปแบ่งสักหน่อย”
ประกายรังเกียจวาบผ่านในดวงตาจีหลัน เขาดูถูกการกระทำที่ทึกทักไปเองว่าตนไร้เดียงสาจิตใจงาม แต่กลับโง่เขลาไม่สมฐานะ ทั้งยังดูต่ำต้อยเช่นนี้ของซุนอิ่นจู๋เหลือจะกล่าว
นางกำนัลสองคนยกขนมไหมบงกชสองกล่องมาแบ่งเหล่าสตรีที่อยู่ใกล้ๆ
หลินเซ่าถังเบียดกลุ่มคนเข้ามาอยู่เบื้องหน้าหลงอวี๋จวิน ยิ้มกว้างเผยฟันเขี้ยวพลางเอ่ยว่า “พี่หญิงคนดี ท่านให้ข้าชิมสักชิ้นเถิด!”
หลงอวี๋จวินรู้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง แต่ยังคงมอบให้เขา
“พี่หญิงเอ็นดูข้าโดยแท้!” หลินเซ่าถังยิ้มจนตาโค้ง กัดขนมไปหนึ่งคำ
หวานยิ่ง เพราะเป็นของที่นางทำเอง
…แต่ก็ขมยิ่งเช่นกัน
ได้ยินเสียงของหลินเซ่าถัง ซุนอิ่นจู๋ก็หลุบตาลง ภายนอกไม่แสดงออก แต่ในใจกลับอ่อนยวบ ขณะกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู นางหันกลับไปมองก็เห็นหลินเซ่าถังจากท่ามกลางฝูงชนได้ในแวบเดียว เขามองนางเงียบๆ โดยตลอด ดวงตาทั้งสี่สบประสาน เพียงพริบตาเดียวคนทั้งสองก็ละสายตาจากกันอย่างรวดเร็ว
เฉินเหอสบโอกาสที่รอบข้างไม่มีใครสนใจ หาข้ออ้างประคองซุนอิ่นจู๋ ขยับเข้าใกล้แล้วลดเสียงลงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “เรียกได้ว่าฮองเฮาทุ่มเทพระทัยเสียนี่กระไร”
ซุนอิ่นจู๋มองเขาด้วยท่าทางบริสุทธิ์ใจ ส่งเสียงตอบรับในลำคอสองคำแล้วพยักหน้ากล่าวอย่างเบิกบานใจ “ข้าก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงจิตใจเมตตาในฐานะมารดาของแผ่นดินของข้าได้อย่างดีเช่นกัน!”
เสียงนางไม่เบาไม่ดัง ลอยไปเข้าหูจีหลันพอดิบพอดี จีหลันขมวดคิ้วมุ่น แววไม่ชอบใจในดวงตายิ่งฉายชัด เขามองไปยังกู้เจี้ยนหลีอย่างห้ามตนเองไม่ได้ นัยน์ตาค่อยๆ มีสีเข้มขึ้น
ทุกคำพูดที่กู้เจี้ยนหลีพูดไว้ในคืนนั้น ทุกสีหน้าของนางปรากฏขึ้นตรงหน้าจีหลันอีกครั้ง ในตอนแรกเขาเพียงชื่นชมนาง แต่กาลเวลาได้บ่มเพาะจนความชื่นชมนี้กลายเป็นสิ่งเร้าชนิดหนึ่ง ค่อยๆ เพาะตัวเป็นความเสียดายที่ไม่ได้มาครอง ยิ่งกว่านั้นทุกเรื่องล้วนกลัวการเปรียบเทียบที่สุด เมื่อมีซุนอิ่นจู๋ที่โง่เขลาเป็นตัวเปรียบเทียบ ความเสียดายในใจเขายิ่งค่อยๆ เพิ่มขึ้น นึกภาพครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหากกู้เจี้ยนหลีได้นั่งในตำแหน่งมารดาของแผ่นดินจะดีมากเพียงใด
หลังถวายบังคมเสร็จกู้เจี้ยนหลีกับพี่สาวรวมถึงเถาซื่อก็ถอยออกไป กู้จิ้งหยวนกับจีหลันรวมถึงผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจอีกสองสามคนสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ในโถง
กู้ไจ้หลียังต้องไปดูแลแขกเหรื่อต่อ ไม่มีเวลาอยู่คุยกับกู้เจี้ยนหลีมากนัก นางเพียงดึงตัวน้องสาวไปด้านข้างแล้วเอ่ยถามง่ายๆ ประโยคเดียว
“ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีไม่ได้ตอบอย่างรวดเร็ว นางย้อนนึกอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มตาโค้ง ตอบด้วยท่าทางจริงจัง แววตาสุกใสแวววาว
“สบายดีเจ้าค่ะ ดีหมดทุกอย่าง หลังพวกข้าย้ายออกจากจวนป๋อก็อิสระสบายใจขึ้นมาก ใบหน้าข้าหายดีแล้ว นายท่านห้าก็กำลังค่อยๆ แก้พิษอยู่ เด็กทั้งสองคนว่านอนสอนง่ายขึ้นทุกวัน ทุกอย่างล้วนดียิ่ง”
“นายท่านห้าแก้พิษแล้ว?” กู้ไจ้หลีเพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว เพียงแต่พิษค้างอยู่ในกายเขามาสี่ห้าปี ยาที่ค้นคว้าออกมาใหม่ไม่อาจแก้พิษได้ในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะหายเป็นปกติได้” กู้เจี้ยนหลีชะงักเล็กน้อย “ทว่า…เขาน่าจะยังไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่อง”
กู้ไจ้หลีพยักหน้า เข้าใจความหมายของน้องสาว นางย่อมไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใครอื่นแน่นอน
กู้เจี้ยนหลีจึงถามบ้าง “แล้วพี่หญิงเล่า สบายดีหรือไม่”
กู้ไจ้หลียิ้มแล้ว ยิ้มได้ผ่อนคลายสบายใจนัก “สบายดี อิสรเสรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปี เพราะว่าปีนี้ได้ประสบเรื่องราวเหล่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าสตรีออกจากเรือนหลังแล้วก็ยังสามารถมีชีวิตอิสระผ่อนคลายได้ปานนี้”
แขกเหรื่อมีมากเกินไป ต้องคอยต้อนรับขับสู้ พวกนางไม่อาจหลบซ่อนคุยกันอยู่ตรงนี้ได้อีก กู้เจี้ยนหลีคล้องแขนพี่สาวเดินลงบันไดมุ่งหน้าไปเรือนหลังด้วยกัน
นางยิ้มพลางสัพยอกพี่สาวว่า “ข้าได้ยินจี้ชุนบอกแล้ว ยามนี้พี่หญิงหมกมุ่นกับการหาเงิน เปิดร้านค้าไม่หยุดไม่หย่อน…”
คนทั้งสองเพิ่งจะเลี้ยวผ่านประตูหรูอี้ก็พบกับหรงหยวนโย่วและหรงหวั่นอินสองพี่น้องที่เดินสวนมา
ภูเขาที่อยู่ห่างไปไกลปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขับเน้นสีแดงบนกายสองพี่น้องสกุลกู้ให้ยิ่งดูงามเพริศแพร้ว ยามมองเห็นสีแดงนี้ หรงหยวนโย่วก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย
เป็นหรงหวั่นอินยิ้มพลางเอ่ยปากขึ้นก่อน “ไม่ได้มาเมืองหลวงเสียหลายปี พี่ไจ้หลีกับพี่เจี้ยนหลียังจำข้าได้อยู่หรือไม่”
“หวั่นอิน” กู้เจี้ยนหลียกยิ้ม
สองพี่น้องสกุลหรงเกิดวันเดียวกับกู้เจี้ยนหลี เพียงแต่เกิดช้ากว่าหนึ่งชั่วยาม
สมัยเด็กพี่น้องสกุลหรงเคยมาพักที่จวนสกุลกู้อยู่สองสามครั้ง ทุกครั้งล้วนอยู่ราวหกเจ็ดวัน พวกเขาจึงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์นับว่าพอใช้ได้
แม้พูดไม่ได้ว่าไม่สนิทสนมมากพอ แต่หนุ่มสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้ วันนี้คุยกันถูกคอ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะเป็นอริกันได้ เนื่องด้วยทุกอย่างล้วนยึดวงศ์ตระกูลเป็นสำคัญ เพื่อเลี่ยงความกระอักกระอ่วน หนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนไม่อาจคบหากับใครลึกซึ้งเกินไปได้
“ไม่พบกันหลายปี หวั่นอินโตเป็นสาวแล้ว หยวนโย่วเองก็รูปร่างหน้าตาดีขึ้นจนจำไม่ได้แล้ว” กู้ไจ้หลีมองไปยังหรงหยวนโย่วที่อยู่ด้านข้าง “ซื่อจื่อน้อย นี่เจ้าโตแล้วเลยไม่เรียกพวกข้าว่าพี่หญิงแล้วหรือ”
หรงหยวนโย่วตัวแข็งทื่อ ก้มหน้าลงอย่างประดักประเดิดแล้วประสานมือค้อมตัว กล่าวด้วยท่าทางเกร็งๆ “หยวนโย่วขอแสดงคารวะ”
ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เรียกกู้เจี้ยนหลีและกู้ไจ้หลีว่าพี่หญิง
กู้ไจ้หลีกับกู้เจี้ยนหลีคารวะตอบ ยิ้มพลางกล่าวกับหรงหวั่นอินอีกสองสามคำแล้วก็ปลีกตัวมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ที่เรือนหลัง พวกนางสองคนเดินไปไกลมากแล้ว หรงหยวนโย่วกลับยังคงมองตามทิศทางที่พวกนางจากไป
หรงหวั่นอินกะพริบตา พินิจดูสีหน้าของหรงหยวนโย่วด้วยความสงสัย นางพลันหัวเราะพรืดแล้วเดินไปข้างหน้าพี่ชาย ใช้สองมือประกบใบหน้าเขา บิดให้หันมามองทางตนเอง
“ท่านพี่ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ท่านมองข้ามากหน่อยดีหรือไม่”
“อย่ากวน” หรงหยวนโย่วดึงมือน้องสาวออกแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
หรงหวั่นอินสองมือไพล่หลัง มองพี่ชายด้วยท่าทางซุกซนพลางพูดอย่างเรื่อยเฉื่อย “ท่านพี่…ท่านว่าสีแดงใดน่ามองกว่ากัน แดงเข้มอมชมพูหรือแดงอ่อน” นางพลันรีบพูดเสริมอีกว่า “ท่านพี่มองใครอยู่ พี่ไจ้หลีหรือพี่เจี้ยนหลี”
“อย่าพูดเหลวไหล” หรงหยวนโย่วทำหน้าตึง หันหลังกลับแล้วออกเดิน
หรงหวั่นอินยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ตามไป รีบร้อนเอ่ยว่า “ไม่ว่าคนใดท่านก็มองไม่ได้ทั้งนั้นนะ!”
หรงหยวนโย่วไม่สนใจนาง
หรงหวั่นอินพูดเจื้อยแจ้วต่อ “ท่านพี่ ท่านกระซิบบอกข้าหน่อย พี่หญิงทั้งสองล้วนเป็นคนดีเลิศ เพียงแต่…ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม”
“หรงหวั่นอิน” หรงหยวนโย่วหยุดเดิน มองน้องสาวด้วยท่าทางเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหมาะสมหรือไม่ มีเพียงข้าที่ตัดสินได้ เจ้าไม่ต้องพลอยมีส่วนร่วมส่งเดช ยิ่งอย่าได้ไปพูดเหลวไหลกับคนนอก เจ้าเป็นสตรีควรจะเข้าใจ อย่าได้ทำลายชื่อเสียงสตรีก่อนที่การจะสำเร็จเด็ดขาด”
หรงหวั่นอินตะลึงงัน เหม่อมองพี่ชายพลางเอ่ยถามอย่างทึ่มทื่อด้วยอารามตกใจ “ท่านพี่ นี่ท่านจริงจังหรือ”
หรงหยวนโย่วหันกายกลับ แต่ละย่างก้าวแน่วแน่มั่นคง เขาหยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกครั้ง กลับหลังหันอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วไล่ตามไปยังทิศทางที่กู้ไจ้หลีกับกู้เจี้ยนหลีเดินจากไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 พ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.