บทที่ 149
หรงหยวนโย่วก้าวข้ามธรณีประตูแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เดินเข้าไปในห้องต่อ
ฉากไม้พะยูงเหลืองแบบสี่บานพับขวางกั้นสายตาไว้ บนผ้าที่กรุอยู่เป็นภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำของจิตรกรที่มีชื่อเสียง โอ่อ่าเคร่งขรึมจนคล้ายว่าไม่เหมาะจะวางอยู่ในห้องนอนของหญิงสาว
เงาร่างที่นั่งเขียนคิ้วอยู่หน้าคันฉ่องอย่างเกียจคร้านของกู้ไจ้หลีสะท้อนอยู่บนฉากกั้น อรชรอ้อนแอ้นราวกับเป็นคนในภาพวาด
หรงหยวนโย่วมองเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้าเบนสายตาหลบแล้ว
“เข้ามาคุยกันเถิด” กู้ไจ้หลีเอ่ยปาก ในสุ้มเสียงเจือด้วยแววอิดโรยหลังจากยุ่งมาตลอดทั้งวัน
หรงหยวนโย่วไม่ยินยอมทำเช่นนั้น “ไม่เข้าไปจะดีกว่า”
เขาได้ยินกู้ไจ้หลีวางดินสอเขียนคิ้วลงก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าแช่มช้าแผ่วเบาของนาง เขาก้มหน้าลง ในห้วงสมองกลับปรากฏภาพกู้ไจ้หลีเดินเยื้องกราย แต่ละก้าวล้วนเดินอยู่ในใจเขา
กู้ไจ้หลียืนอยู่อีกฝั่งของฉากกั้น มือข้างหนึ่งทาบลงบนฉาก มองหรงหยวนโย่วพร้อมกับอมยิ้ม
หรงหยวนโย่วจิกแขนเสื้อ ช้อนตามองนางตรงๆ
กู้ไจ้หลีถอดกระโปรงสีแดงเข้มอมชมพูที่หรูหราเกินไป เปลี่ยนมาสวมกระโปรงยาวสีแดงเรื่อ คลุมเสื้อแขนสั้นสีแดงเข้มไว้ด้านนอก ไม่ได้ผูกสายรัดข้างหน้าเสื้อ ปล่อยสาบเสื้อสองข้างลู่ตกอยู่บนตัว เครื่องประทินโฉมทั้งหลายก็ล้างออกแล้วแต่งแต้มใหม่อย่างง่ายๆ หว่างคิ้วงามติดฮวาเตี้ยนสีแดงสด
ในมืออีกข้างของนางถือตลับกระเบื้องเคลือบทรงกลมแบนลายเหมยแดง
“เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือ” กู้ไจ้หลีถามออกมาด้วยท่าทางสบายๆ นางเปิดฝาตลับกระเบื้องเคลือบ ใช้นิ้วถูเอาชาดมาแต้มลงบนริมฝีปากด้วยอากัปกิริยาสง่างาม เม้มปากเบาๆ ชาดสีแดงสดก็กระจายไปบนปากนาง
มองดูท่าทางเม้มปากของนาง ในใจหรงหยวนโย่วพลันว้าวุ่น หัวใจเต้นรัวเร็ว ไม่มีที่ให้หลบหนี
“ใช่ ข้าอยากแต่งงานกับท่าน”
กู้ไจ้หลีหัวเราะเบาๆ นางยื่นตลับชาดให้จี้ชุนที่อยู่ข้างๆ แล้วรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดชาดที่ติดอยู่บนท้องนิ้ว นางเช็ดพลางกล่าวช้าๆ “เจ้าไม่อยากเข้ามาก็ช่างเถิด แต่เหตุใดกระทั่งประตูก็ไม่รู้จักปิด หนาวจะแย่แล้ว”
“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า…” หรงหยวนโย่วกลืนคำว่า ‘ผิดขนบธรรมเนียม’ ลงท้องแล้วหันกลับไปปิดประตูอย่างรีบร้อน
นางหนาวแล้ว
กู้ไจ้หลีนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ชิดฉากกั้น สั่งให้จี้ชุนจัดหาน้ำชามาให้แขก จากนั้นถึงกล่าวกับหรงหยวนโย่ว “ซื่อจื่อน้อยมานั่งเถิด”
หรงหยวนโย่วเดินไปนั่งลงด้วยท่าทางแข็งเกร็งอยู่เล็กน้อย
จี้ชุนออกไปยกชา ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมาจากเตากำยานที่วางอยู่บนโต๊ะพิณตรงมุมทางตะวันตกเฉียงใต้ของห้อง
หรงหยวนโย่วหลุบตา คิดในใจว่าผ่านมาหลายปีนางก็ยังคงชอบจุดกำยานไม่เปลี่ยน
กู้ไจ้หลีเท้าคางมองเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน หรงหยวนโย่วหน้าตาดีเป็นที่สุด ไม่ได้มีท่าทางผอมแห้งอ่อนแอเฉกเช่นในวัยเยาว์แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเขาในสมัยเด็ก ซื่อจื่อน้อยที่แสนว่านอนสอนง่ายผู้นั้น นางยังจำได้ว่าเขาไม่ใช่คนช่างพูด จะอยู่เงียบๆ โดยตลอด บางครั้งถูกคนหยอกล้อหนักเข้ายังจะมีอาการหน้าแดงอีกด้วย
กู้ไจ้หลีพลันยกมุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
หรงหยวนโย่วเริ่มร้อนใจ เขามองสบสายตานางแล้วรีบเอ่ยว่า “ข้ามาด้วยความจริงใจ ท่านอย่ายิ้ม”
“ได้ ไม่ยิ้ม” กู้ไจ้หลีเก็บรอยยิ้มลง ทำหน้าเคร่งขรึม
หรงหยวนโย่วเหลือบมองนางแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นพูดติดอ่าง “ท่าน…ท่าน…ท่านยิ้มไปเถิด”
ท่านยิ้มได้น่ามอง น่ามองเหลือเกิน
กู้ไจ้หลีคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “รูปลักษณ์ภายนอกล้วนเป็นของปลอม คนงามทุกคนล้วนจะแก่ตัวลง กลายเป็นอัปลักษณ์ ซื่อจื่อน้อยอายุยังน้อย ยิ่งควรรอบคอบระมัดระวังเรื่องการแต่งงาน พี่สาวอย่างข้ามิใช่คู่ครองที่เหมาะสมกับเจ้า”
หรงหยวนโย่วพลันรู้สึกปวดแปลบในใจ
“ท่านคิดว่าข้านึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาชั่ววูบเพราะถูกใจรูปโฉมของท่านหรือ” เขากล่าว “ตอนแรกเป็นเพราะอายุยังน้อยนี่ล่ะ ถึงทำได้เพียงมองดูท่านออกเรือนไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ มีปากก็มิอาจพูดได้”
กู้ไจ้หลีตกตะลึง
หรงหยวนโย่วแข็งใจ มองไปที่ดวงตาของกู้ไจ้หลีแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าแก้ไขอายุไม่ได้ แต่หากท่านรังเกียจว่าข้าไม่สุขุมมั่นคงพอ ข้าสามารถพยายามเติบโตขึ้นเพื่อให้การปกป้องคุ้มครองท่านได้”
กู้ไจ้หลีเผลอหัวเราะก่อนส่ายหน้า “ซื่อจื่อน้อยใคร่ครวญให้ดี”
“ยามท่านเกิดข้ายังไม่เกิด ยามนี้มิกล้าปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างไร้ค่าอีกต่อไป”
กู้ไจ้หลีช้อนตามองเขาอย่างลึกซึ้ง นางยกกาบนโต๊ะมารินชาที่หายร้อนแล้วลงในถ้วยก่อนจะยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ดื่มชาสักนิดเถิด” นางอมยิ้มพูด
หรงหยวนโย่วยังคงดื้นรั้นไม่ยอมทำตาม
กู้ไจ้หลียิ้มหวาน ยังคงไม่ได้วางถ้วยชาที่ชูอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายลง นางกล่าวว่า “เจ้าตาแดงแล้ว หน้าก็แดงเช่นกัน ดื่มชาเย็นๆ ให้ดีขึ้นสักหน่อย ประเดี๋ยวสาวใช้จะเข้ามาแล้ว”
หรงหยวนโย่วอึ้งงัน รับชาเย็นๆ ที่กู้ไจ้หลียื่นให้ด้วยท่าทางหลบเลี่ยงสายตาอยู่บ้าง
น้ำชาไหลลงท้อง เย็นโดยแท้ ความเย็นค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากในกาย ถ่านไหมเงิน* ที่จุดอยู่ในห้องก็ทำให้ความหนาวเย็นชนิดนี้คลายลงไม่ได้
หรงฮูหยินกับเถาซื่อสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ในโถงด้านข้าง สำหรับเรื่องระหว่างหรงหยวนโย่วกับกู้ไจ้หลี หรงฮูหยินเพียงเอ่ยไม่กี่คำอย่างเรียบง่ายชัดเจนตรงประเด็น ที่เหลือไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว เมื่อหรงหยวนโย่วกลับมาจากไปหากู้ไจ้หลี หรงฮูหยินก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ระหว่างทางกลับ หรงฮูหยินมองบุตรชายที่เอาแต่เงียบ ยิ้มพลางเอ่ยถาม “นางปฏิเสธเจ้าหรือ”
หรงหยวนโย่วส่ายหน้า สีหน้าติดจะงงงันขณะเอ่ยตอบ “ลูกก็ไม่รู้ขอรับ”
เวลานั้นเขาดื่มชาเย็นที่กู้ไจ้หลียื่นมาให้ลงไปได้ไม่นานนัก จี้ชุนก็ยกกาใหม่เข้ามา เขาดื่มชาร้อนลงไปอย่างเงียบๆ อีกสองถ้วยแล้วก็จากมา คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก
หรงฮูหยินแย้มยิ้ม พิงผนังรถม้าอย่างสบายอกสบายใจ นางไม่แปลกใจเลยสักนิด
หลังแม่ลูกสกุลหรงจากไปแล้ว เถาซื่อก็รีบให้คนไปเชิญกู้เจี้ยนหลีมา นางไม่มีความคิดอะไร จึงอยากลองถามความเห็นของกู้เจี้ยนหลีดู แขกเหรื่อในวันนี้จากไปกันเกือบหมดแล้ว แต่ยังมีอีกสองสามคนถูกกู้จิ้งหยวนรั้งตัวให้อยู่สนทนากันในห้องหนังสือต่อ เถาซื่อไม่อาจไปถามความเห็นของเขาได้ ถึงได้เรียกหากู้เจี้ยนหลี
“หลังซื่อจื่อน้อยจากไปแล้ว พี่หญิงได้พูดอะไรหรือไม่” กู้เจี้ยนหลีถาม
สาวใช้รุ่นเยาว์เอ่ยรายงานตามตรง “ไม่ได้พูดเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินพี่จี้ชุนบอกว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังตรวจดูบัญชีของเรือนสวนอยู่ พอถึงปลายปี ไม่ว่าเรือนสวนหรือร้านค้าล้วนจะมีงานมากเป็นพิเศษ”
“เจี้ยนหลี เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องการแต่งงานนี้” หัวคิ้วเถาซื่อขมวดมุ่น “สกุลเฉินไม่ใช่คน พี่สาวเจ้าถูกทำร้ายมาหนหนึ่งแล้ว จะแต่งงานอีกครั้งพึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดได้อีกเด็ดขาด…”
กู้เจี้ยนหลีคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “วันนี้พี่หญิงยังพูดกับข้าอยู่เลยว่านางรู้สึกว่าชีวิตในยามนี้ดียิ่ง อิสรเสรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้รู้แล้วว่าสตรีออกจากเรือนหลังแล้วถึงกับสามารถมีชีวิตได้อิสระผ่อนคลายปานนี้…” นางลังเลอยู่บ้าง “เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าซื่อจื่อน้อยสกุลหรงจะดีหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพี่หญิงคิดอย่างไร”
“แต่จะไม่แต่งงานอีกเลยชั่วชีวิตได้เชียวหรือ” เถาซื่อค่อนข้างสับสน นางอยู่ในกรอบจนชินแล้ว จึงรับความคิดของสองพี่น้องไม่ค่อยได้นัก
สาวใช้รุ่นเยาว์เข้ามารายงานว่าแขกที่อยู่กับกู้จิ้งหยวนออกจากจวนไปแล้ว เถาซื่อจึงลุกขึ้นทันที ตั้งใจจะนำเรื่องนี้ไปบอกกู้จิ้งหยวน ให้เขาตัดสินใจ
กู้เจี้ยนหลีคิดเรื่องของพี่สาวมาตลอดทางจนกลับถึงห้องตนเอง
นางก้าวเข้าห้องชั้นใน จีอู๋จิ้งก็เดินออกมาจากห้องข้างทางตะวันตกพอดี เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมกระโปรงสีชมพูของกู้เจี้ยนหลีไว้บนตัว
กู้เจี้ยนหลีงุนงงอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามว่า “มิใช่ว่าพกชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนมาให้ท่านแล้วหรือ”
จีอู๋จิ้งปรายตามองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “สวมของเจ้าไม่ได้หรือ”
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ชอบที่ท่านสวมชุดสตรี เพียงแต่ชุดของข้ามีขนาดเล็ก ท่านใส่แล้วไม่อึดอัดหรือ”
“ไม่เห็นเป็นไร อย่างไรก็ใส่ประเดี๋ยวเดียว ตอนนอนก็ต้องถอดแล้ว” จีอู๋จิ้งพูดโดยไม่คิดอะไร
กู้เจี้ยนหลีจึงไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน คิดในใจว่ากลับบ้านแล้วจะต้องหาเวลาเย็บกระโปรงให้จีอู๋จิ้งจนเสร็จแล้วมอบให้เขาให้ได้
นางล้างหน้าล้างตาแล้วรีบดับตะเกียงขึ้นเตียงจากทางปลายเตียง วิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน นางเพลียมากจริงๆ เดิมทีนางควรไปพบบิดาเพื่อสอบถามเรื่องมือสังหารในวันนี้สักหน่อย แต่เขารับรองแขกอยู่ในห้องหนังสือจนดึกดื่น ยามนี้คงกำลังง่วนกับเรื่องของพี่สาวอยู่ นางจึงคิดว่าค่อยไปถามบิดาในวันพรุ่งนี้
ท่ามกลางความมืดมิดจีอู๋จิ้งหันมารวบตัวกู้เจี้ยนหลีเข้าอ้อมแขน นางคลำดูส่งๆ ก็สัมผัสได้ว่าเขาถอดกระโปรงออกแล้วจริงๆ
“เหตุใดนายท่านห้าชอบสวมกระโปรงของสตรีถึงเพียงนั้นเล่า”
“ไม่ได้ชอบมากเสียหน่อย” จีอู๋จิ้งตอบโดยไม่คิด
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว ไม่พอใจในคำตอบนี้ของเขานัก
ผ่านไปครู่หนึ่งจีอู๋จิ้งก็อ้าปากหาวก่อนจะซุกหน้ากับซอกคอของหญิงสาว พูดอย่างเกียจคร้าน “เสื้อผ้าเจ้าหอมดี”
ไม่ใช่ชอบชุดสตรี เพียงแต่ชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ บนชุดของเจ้าเท่านั้นเอง
กู้เจี้ยนหลีอึ้งงัน ใจพลันเต้นเร็วขึ้น หน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดที่ไม่คิดอะไรของเขา นางขยับถอยหลังเล็กน้อย ไม่อยากให้จีอู๋จิ้งสังเกตเห็น ให้ความมืดมิดอำพรางสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติของนางไว้
“กู้เจี้ยนหลี เจ้าดิ้นยุกยิกเหมือนหนอนเพราะเหตุใด” จีอู๋จิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ
กู้เจี้ยนหลีไม่ขยับตัวแล้ว ปล่อยให้จีอู๋จิ้งกอดไว้อย่างว่าง่าย นางแนบใบหน้ากับกระหม่อมของเขา พูดเสียงอ่อนโยน “อีกสิบสองวันจะถึงวันเกิดของข้าแล้ว ในเมื่อท่านจำวันเกิดของตนเองไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปนี้ท่านฉลองวันเกิดวันเดียวกับข้าดีหรือไม่”
จีอู๋จิ้งนอนหลับไม่สนใจนาง
กู้เจี้ยนหลีไม่ได้พูดอะไรต่อ แม้ตรงหน้าจะมืดมิด นางกลับยังคงลืมตา เหม่อลอยอยู่บ้าง
แค่พริบตาเดียวนางก็อยู่กับเขามาจะหนึ่งปีแล้ว
ในภวังค์ภาพยามแรกพบปรากฏขึ้นตรงหน้ากู้เจี้ยนหลี นางยังจำได้ว่าตนเองในเวลานั้นอยู่ในอารมณ์เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นไร นางมองบุรุษบนเตียงด้วยความอกสั่นขวัญแขวน แต่หลังจากนั้นก็ส่ายศีรษะคิดว่าบุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงมีรูปโฉมเย้ายวนเกินไป…
ภาพวันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันค่อยๆ ฉายให้เห็น กู้เจี้ยนหลีกะพริบตาอย่างแช่มช้า คิดถึงเรื่องในอดีตพร้อมกับค่อยๆ จมลงสู่นิทรา
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งไปกินข้าวที่โถงด้านหน้าด้วยกัน กู้เจี้ยนหลีเห็นใบหน้าดำทะมึนของบิดา นางก็ลอบมองไปที่เถาซื่อ เถาซื่อมองนางแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
กู้เจี้ยนหลีแจ้งใจ คิดว่าบิดาคงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพี่สาวกับหรงหยวนโย่ว
นางเพิ่งมีความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงานว่าหรงหยวนโย่วมาแล้ว
พอหรงหยวนโย่วเข้ามา มองเห็นว่าอาหารเช้าเพิ่งยกขึ้นโต๊ะยังไม่ทันกิน เขาก็พูดเสียงดังฟังชัดด้วยความโล่งใจ “มาเมืองหลวงครานี้ได้พาพ่อครัวจากบ้านเกิดมาด้วย เช้านี้ข้าให้เขาทำอาหารเช้าพิเศษประจำบ้านเกิดมาจำนวนหนึ่ง นำมาให้ท่านอ๋องลองชิมดูขอรับ”
กู้ไจ้หลีจิบชาไปหนึ่งอึกก่อนมองมายังหรงหยวนโย่วที่แสร้งทำเป็นสงบนิ่งด้วยท่าทางสบายๆ นางนึกขึ้นได้รางๆ แล้วว่าเมื่อหลายปีก่อนคล้ายจะมีหนหนึ่งที่นางพูดกับหรงหวั่นอินโดยไม่ได้ตั้งใจว่ารู้สึกสนใจอาหารของทางใต้
กู้จิ้งหยวนชำเลืองมองหรงหยวนโย่ว
ทั้งๆ ที่ยามอีกฝ่ายมาพักช่วงสั้นๆ ที่จวนอ๋องในสมัยเด็ก กู้จิ้งหยวนยังชมเด็กคนนี้ไม่ขาดปาก เคยบอกให้กู้ชวนยึดถือเขาเป็นแบบอย่างอยู่หลายครั้ง แต่ยามนี้ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง เหตุใดจึงรู้สึกขัดหูขัดตาปานนี้เล่า
มองดูบรรดาอาหารทางใต้ที่ปรุงแต่งอย่างประณีตถูกยกขึ้นโต๊ะ กู้จิ้งหยวนยิ่งไม่อยากอาหาร เขาวางตะเกียบลง มองจีอู๋จิ้งก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ไป! ไปตกปลาในน้ำแข็งเป็นเพื่อนข้า”
จีอู๋จิ้งตวัดตามองเขาปราดหนึ่งแล้วรั้งสายตากลับ กินโจ๊กปลาของตนเองไปช้าๆ พูดอย่างไม่ให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง “หนาว”
บทที่ 150
“ข้าไปตกปลาเป็นเพื่อนท่านอ๋องเองขอรับ!” หรงหยวนโย่วรีบอาสา
กู้จิ้งหยวนมองเขาโดยไม่พูดอะไร
เถาซื่อเอ่ยถาม “ซื่อจื่อมาแต่เช้าช่างมีความตั้งใจโดยแท้ กินอาหารเช้ามาหรือยัง หากว่ายังก็นั่งลงกินด้วยกันสิ”
“กินเรียบร้อยมาแล้วขอรับ” หรงหยวนโย่วพูดปดออกไปโดยไม่รู้อะไรมาดลใจ
ที่พักของเขาอยู่ไม่ใกล้กับจวนอู่เสียนอ๋อง ยามนี้อากาศหนาว อาหารเย็นเร็ว เขาไม่รู้เวลาอาหารเช้าของจวนอู่เสียนอ๋อง พ่อครัวเพิ่งจะทำเสร็จ เขาก็ออกเดินทางมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ระหว่างทางก็ลืมกินอาหารไปเลย
กู้เจี้ยนหลียิ้มพลางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ลูกจะไปเป็นเพื่อนท่านพ่อด้วย ท่านพ่อต้องรอจนลูกกินเสร็จนะเจ้าคะ”
กู้เจี้ยนหลีหันไปสั่งสาวใช้ให้ตักอาหารให้กู้จิ้งหยวน คราวนี้เขาถึงได้จับตะเกียบขึ้นมาใหม่
กู้เจี้ยนหลีหยิบขนมสีครึ่งแดงครึ่งน้ำเงินอันประณีตบรรจงมากัดคำเล็กๆ รสหวานนุ่มเนียนเข้าปากก็ละลาย กลิ่นหอมหวานกลับอบอวลในช่องปาก นางกินไปอีกคำอย่างอดใจไม่ได้ ก่อนจะยิ้มตาโค้งกล่าวกับหรงหยวนโย่ว
“ซื่อจื่อมีน้ำใจแล้ว สิ่งนี้อร่อยมากทีเดียว! ท่านพ่อ พี่หญิงก็ด้วย พวกท่านก็ชิมดูสิเจ้าคะ”
กู้จิ้งหยวนไม่แม้แต่จะมอง
กู้ไจ้หลีกำลังดื่มชาบุปผา นี่เป็นความเคยชินของนาง ยามเช้าของทุกวันล้วนต้องดื่มชาบุปผาอุ่นๆ หนึ่งถ้วย นางวางถ้วยชาลงก่อนจะหยิบขนมมาชิม
หรงหยวนโย่วจ้องดูสีหน้าของนางอย่างละเอียด รู้สึกประหม่าไม่น้อย
น่าเสียดายที่เขามองอะไรไม่ออกทั้งสิ้น กู้ไจ้หลีก็ไม่มองเขาแม้แต่น้อยเหมือนกับบิดานาง
ภายในใจชายหนุ่มวูบโหวงในทันใด
กู้ชวนกลับก้มหน้าก้มตากินขนมของทางใต้ไปหลายชิ้น พยักหน้าไม่หยุดด้วยความเอร็ดอร่อย และยังไม่ลืมกล่าวขอบคุณหรงหยวนโย่ว
“พี่หญิง วันนี้ยังยุ่งหรือไม่ พวกเราไปเป็นเพื่อนท่านพ่อด้วยกันดีหรือไม่” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยถาม
“ตอนบ่ายอาจจะมีธุระ ตอนเช้ายังว่างอยู่”
ได้ยินกู้ไจ้หลีบอกมาเช่นนี้ หัวใจที่โหวงเหวงของหรงหยวนโย่วก็เริ่มเต้นแรงขึ้นอีกครั้งในที่สุด
“ข้าไปด้วย!” กู้ชวนตะโกน
“ตั้งใจเรียนอยู่ที่บ้าน” กู้จิ้งหยวนขมวดคิ้วเอ็ดบุตรชาย
กู้ชวนห่อไหล่ ก้มหน้ากินขนมอย่างห่อเหี่ยว โชคยังดีที่อาหารทางใต้เหล่านี้อร่อยยิ่งนัก ทำให้ความเศร้าที่ไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นของเขาคลายลง
กู้เจี้ยนหลีไล่ชิมอาหารเช้าที่หรงหยวนโย่วนำมาให้ทุกจาน แทบทั้งหมดล้วนมีรสหวาน นางกำลังชิมเกี๊ยวนึ่งไส้ดีบัว ครั้นกินเจอเนื้อปลาที่อยู่ข้างใน ดวงตาถึงค่อยเป็นประกายขึ้นมา
นางคีบเกี๊ยวนึ่งไส้ดีบัววางลงบนจานสีขาวใบเล็กเบื้องหน้าจีอู๋จิ้งสองตัว บอกเสียงเบาว่า “ข้าชิมหมดแล้ว ท่านน่าจะชอบกินสิ่งนี้”
จีอู๋จิ้งส่งเสียงตอบรับแล้วกินลงไปทั้งสองตัว
กู้จิ้งหยวนมองดูภาพนี้แล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่อยากเห็นหน้าจีอู๋จิ้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเบนสายตาหนีอย่างหมดคำจะกล่าว สายตาก็ไปปะทะเข้ากับใบหน้าของหรงหยวนโย่ว
ในใจหรงหยวนโย่วรู้สึกประหม่าจึงแสร้งทำท่าทางสุขุมเยือกเย็นออกมา แต่เสแสร้งไม่เก่งเท่าไร ดูจะเกร็งอยู่บ้าง เขานั่งเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ลอบมองกู้ไจ้หลีแวบหนึ่งแล้วหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว
กู้จิ้งหยวนมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่าย น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!
สุดท้ายเขาก็จำใจต้องเลื่อนสายตาไปที่กู้ชวน อาจเพราะสายตาของเขาทำให้คนเมินเฉยได้ไม่ง่าย กู้ชวนจึงเงยหน้ามองมา ดวงตาทั้งสองข้างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“ท่านพ่อ ไม่พาข้าไปด้วยจริงหรือขอรับ”
กู้จิ้งหยวนแค่นเสียงหนักๆ คำหนึ่งก่อนกล่าว “วันนี้จะบอกให้อาจารย์เพิ่มเนื้อหาที่สอนเจ้าอีกหนึ่งเท่าตัว!”
กู้ชวนอ้าปากพะงาบ อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
หลังกินอาหารเช้าเสร็จกู้จิ้งหยวนก็ไปตกปลาจริงๆ วันนี้อากาศไม่เลว เขาจึงเดินทางด้วยการขี่ม้า กู้เจี้ยนหลีกับพี่สาว จีอู๋จิ้ง รวมถึงหรงหยวนโย่วล้วนไปด้วยกัน และยังมีบ่าวชายอีกสองคนถือเครื่องมือตกปลาติดตามอยู่ข้างหลัง
กู้จิ้งหยวนรั้งสายบังเหียน หันหน้ากลับไปมองจีอู๋จิ้งแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คนขี้โรคอย่างเจ้ามิใช่หนาวหรือไร รีบกลับห้องไปอยู่บนเตียงเสียสิ”
จีอู๋จิ้งเอ่ยด้วยท่าทางจริงใจ “ไม่ได้ๆ ท่านพ่อตาคนดีชักชวนทั้งที ต่อให้เขยเสี่ยงชีวิตก็ยังต้องไปเป็นเพื่อน ก็คนแก่นี่นะ เหลือเวลาให้อยู่ด้วยกันน้อยลงไปทุกวัน”
กู้จิ้งหยวนแสยะยิ้ม “จีเจา ข้าไม่ถูกตีตายในคุกเป็นเพราะเก็บชีวิตมาให้เจ้าทำให้โมโหตายใช่หรือไม่”
หรงหยวนโย่วสังเกตรูปแบบการอยู่ร่วมกันของว่าที่พ่อตากับผู้เป็นเขยอย่างละเอียดอยู่ด้านข้าง เดิมคิดจะหาประสบการณ์สักหน่อย แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าพ่อตากับลูกเขยบ้านอื่นไม่ได้อยู่ร่วมกันเช่นนี้
ส่วนกู้เจี้ยนหลี นางฟังบิดากับจีอู๋จิ้งปะทะคารมกันจนชิน อาการทำอะไรไม่ถูกหายไปนานแล้ว เวลานี้กำลังขี่ม้าอยู่ใกล้ๆ กับกู้ไจ้หลีที่อยู่บนหลังม้าเช่นกัน สองพี่น้องกำลังพูดคุยสนทนา
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำ บ่าวชายทั้งสองก็เจาะน้ำแข็งแล้วนำพวกม้านั่ง คันเบ็ด และข้องใส่ปลาที่เตรียมมาจัดวางไว้ตามลำดับ
กู้จิ้งหยวนนั่งลงริมแม่น้ำ เริ่มตกปลาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่สนใจใครทั้งนั้น
กู้ไจ้หลีรับคันเบ็ดจากบ่าวรับใช้มาแล้วก็ไม่ได้นั่งลง แต่ยืนหย่อนเบ็ดอยู่ริมฝั่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หรงหยวนโย่วละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเดินไปข้างๆ นาง เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น หย่อนเบ็ดลงน้ำแล้วตกปลาด้วยกันกับนาง แต่สายตาของเขากลับอยู่ที่คันเบ็ดของกู้ไจ้หลีโดยตลอด ช่วยนางดูว่าปลาจะงับเบ็ดเมื่อไร
ส่วนจีอู๋จิ้งย่อมไม่มีอารมณ์มาทำอะไรเช่นนั้น เขานั่งบนหลังม้า ปล่อยใจมองไปที่ไกลๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“ท่านดูอะไรอยู่” กู้เจี้ยนหลีเดินมายืนข้างม้า
จีอู๋จิ้งยื่นมือให้แล้วดึงตัวนางขึ้นหลังม้า กู้เจี้ยนหลีมองตามสายตาของเขาไปก็เห็นเงาคนตัวเล็กๆ สองคนอยู่ลิบๆ น่าจะเป็นคู่สามีภรรยา
ชายหนุ่มคนนั้นกำลังสอนหญิงสาวขี่ม้า หญิงสาวหวีดร้องเป็นระยะ ชายหนุ่มช่วยปกป้องนางอยู่ด้านหลัง ประเดี๋ยวปลอบประเดี๋ยวโอ๋นาง หญิงสาวหันหน้ากลับไปด้วยท่าทางสะเทิ้นอาย คนทั้งสองสบตายิ้มให้กัน อิงแอบคลอเคลีย
จีอู๋จิ้งถอนหายใจ พูดอย่างผิดหวัง “น่าเสียดายที่ข้าสอนเจ้าขี่ม้าไม่ได้”
“ข้าขี่ม้าเป็นตั้งแต่ยังเล็กๆ”
จีอู๋จิ้งยิ่งหงุดหงิด “ผู้ใดช่างน่ารำคาญถึงเพียงนั้น แย่งโอกาสสอนเจ้าขี่ม้าไปจากข้า”
“ท่านพ่อเป็นคนสอน”
จีอู๋จิ้งเหลือบมองกู้จิ้งหยวนด้วยแววตาอึมครึม ด่าในใจว่าตาเฒ่าผู้นี้น่ารำคาญโดยแท้
อาจเพราะอากาศหนาวเกินไป ปลาจึงไม่ยอมว่ายออกมา ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่มีปลามาติดเบ็ดสักตัว
กู้จิ้งหยวนโยนคันเบ็ดทิ้ง “กลับบ้าน!”
“ท่านพ่อ ข้าไม่กลับไปด้วยนะเจ้าคะ จะแวะไปหอสุราก่อน” กู้ไจ้หลีบอก
หรงหยวนโย่วคิดแล้วก็เดินตามหลังกู้ไจ้หลีไปเงียบๆ เป็นระยะห่างราวสิบก้าว
เดิมทีกู้เจี้ยนหลีคิดจะกลับกับบิดา แต่จีอู๋จิ้งก็หาได้ให้นางไป
เวลาเดียวกันนี้หลินเซ่าถังได้ไปยังที่พักของจีเหยียน เขาก้าวเข้าห้องด้านข้าง มองเห็นจีเสวียนเค่อก็ถามว่า “เหตุใดเมื่อวานท่านไม่ไปจวนอู่เสียนอ๋อง”
“ไปแล้ว มีธุระจึงออกมาก่อน”
เมื่อวานจีเสวียนเค่อไปแล้วจริงๆ ยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยตลอด มองดูกู้เจี้ยนหลีปรากฏตัวโดยมีผู้คนตามสรรเสริญเยินยอ มองเห็นนางกับจีอู๋จิ้งหลบไปกินก๋วยเตี๋ยวกันในศาลารับลมเช่นกัน
หลังจากนั้นเขาก็ออกจากงานมาก่อนโดยไม่รอให้มือสังหารเริ่มเคลื่อนไหว
หลินเซ่าถังเดินกลับไปกลับมาในห้องครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยปากอย่างติดจะร้อนใจ “เหตุใดองค์ชายรองยังไม่เสด็จมาเสียที”
จีเสวียนเค่อเก็บหยกประดับในมือ มองอีกฝ่ายก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องร้อนใจปานนี้”
“ข้าจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร” หลินเซ่าถังยิ้มขื่น “นางติดอยู่ในวัง ต้องแสร้งโง่เอาตัวรอดไปวันๆ ข้าอยากจะรับนางออกจากวังมาเดี๋ยวนี้ใจจะขาด นับตั้งแต่นางเข้าวัง เวลาหนึ่งวันราวกับผ่านไปหนึ่งปีเลยทีเดียว”
จีเสวียนเค่อเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเกลี้ยกล่อม “เรื่องที่พวกเราเตรียมการวางแผนไว้ในยามนี้แค่ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะมีผลลัพธ์ที่ไม่มีวันกู้คืนได้ แม้ในใจจะร้อนรุ่มเพียงใดก็พึงกระทำการอย่างรอบคอบ”
แววตาหลินเซ่าถังหม่นแสงลงชั่วพริบตา ถอนหายใจเบาๆ อีกคำรบแล้วกล่าวว่า “ท่านไม่รู้อะไร เมื่อวานตอนที่มองดูมือสังหารพุ่งออกไปลอบสังหารจีหลัน ข้าหวังเหลือเกินว่ากระบี่เหล่านั้นจะแทงเข้าที่อกเขาจนเป็นรูได้จริงๆ! ต่อให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เสี้ยวเวลานั้นในใจกลับยังมีความหวัง ข้ามองดูเฉินเหอจัดการพวกที่มาลอบสังหารออกไปได้ง่ายๆ ในยามนั้นข้าถึงขั้นหวังว่าจีเจาจะพลันปรากฏตัวแล้วบั่นหัวจีหลันได้เสียด้วยซ้ำ!”
“แผนการของพวกเรามิใช่ลอบสังหารเขา หน่วยกล้าตายเหล่านั้นตะโกนเรื่องเหล่านั้นออกมาก็รบกวนจิตใจของจีหลันแล้ว จุดประสงค์นับว่าบรรลุแล้ว คุณชายหลินไม่ต้องเสียดายไป”
หลินเซ่าถังมีหรือจะไม่รู้เหตุผลนี้
ในแผนการที่จีเสวียนเค่อเสนอต่อจีเหยียน พวกเขาหาได้ต้องการลอบสังหารจีหลันจริงๆ การจะสังหารอีกฝ่ายในงานเช่นนั้นลำบากมากจริงๆ คนที่เลือกมาล้วนเป็นหน่วยกล้าตาย ขอเพียงตะโกนเรื่องเหล่านั้นออกมาต่อหน้าธารกำนัลก็ถือว่าปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้ว
จีเสวียนเค่อลอบบอกใบ้จีหลันถึงการลอบสังหารครั้งนี้ล่วงหน้าอย่างคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ทำให้จีหลันเกิดความระแวดระวัง ซึ่งเขาก็หลงกลตามคาด เดิมทีจีหลันก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ขี้ระแวง มิหนำซ้ำเขาครองบัลลังก์มาเกือบหนึ่งปีจวบจนบัดนี้ยังจับกุมตัวจีเหยียนไม่ได้ จึงร้อนใจมานานแล้ว พอเขาได้ข่าวจึงยังคงเสี่ยงมาร่วมงานดูและคิดจะใช้แผนซ้อนแผน เตรียมองครักษ์ไว้เต็มกำลัง อาศัยการลอบสังหารครานี้จับตัวขุนนางกบฏในราชสำนักออกมา ส่วนโจรกบฏที่ถูกเขาจับตัวออกมาเหล่านั้นก็คือขุนนางที่เขาระแวงมานาน กริ่งเกรงสงสัย แต่กลับไม่แน่ใจว่าคิดคดทรยศหรือไม่ และยิ่งหาความผิดมาลงโทษอย่างเปิดเผยเป็นธรรมไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าตนเองใช้แผนซ้อนแผน ใช้ประโยชน์จากการลอบสังหารครานี้สั่งการให้สำนักประจิมทรมานมือสังหารที่ทำการจับเป็นเพื่อบังคับให้ซัดทอดถึงผู้ที่เขาต้องการ แน่นอนว่ามือสังหารไม่มีทางเชื่อฟัง จีหลันจึงได้เตรียมหนังสือสารภาพของปลอมไว้เผื่อ
รายชื่อโจรกบฏยาวเหยียด ราชสำนักแทบจะเปลี่ยนถ่ายเลือดครั้งใหญ่
จีหลันนึกว่าตนเองฉลาดสามารถชนะในหมากกระดานนี้ได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าแต่ละก้าวที่ตนเองเดินในยามนี้ล้วนอยู่ในแผนการของจีเสวียนเค่อ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของกู้จิ้งหยวนไม่เพียงเต็มไปด้วยผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวง แม้แต่ชินอ๋องและขุนนางบรรดาศักดิ์สูงที่เข้ามาถวายพระพรปีใหม่ยังเมืองหลวงก็อยู่ด้วย
จีเสวียนเค่อสั่งให้หน่วยกล้าตายตะโกนป่าวประกาศถึงพฤติกรรมชั่วช้าของจีหลันที่ได้กระทำปิตุฆาตสังหารพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ อีกทั้งบอกความจริงที่ว่าอดีตผู้สืบราชบัลลังก์อย่างจีเหยียนยังมีชีวิตอยู่
นี่เป็นเพียงก้าวแรก พูดอีกอย่างคือเป็นเพียงชนวนที่สามารถลุกลามเป็นเพลิงกองใหญ่ได้ในภายหลัง
จุดสำคัญของแผนการอยู่ที่รายชื่อโจรกบฏฉบับนั้น
จีหลันมีนิสัยขี้ระแวง ขุนนางใหญ่สองสามคนที่จีเสวียนเค่อกับจีเหยียนจัดวางไว้ในราชสำนักใช้เวลาครึ่งปีอาศัยประโยชน์จากความขี้ระแวงของจีหลันทำให้เขาสงสัยว่าขุนนางใหญ่ที่จงรักภักดีต่อเขาจำนวนหนึ่งเป็นพรรคพวกของจีเหยียน
ในรายชื่อโจรกบฏที่จีหลันเขียนเองกับมือนี้กว่าค่อนล้วนเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อเขา เป็นเขาสังหารคนฝ่ายตนเองทิ้งกับมือ และเมื่อจีหลันจัดการกับ ‘โจรกบฏ’ ชุดนี้เสร็จ ในราชสำนักย่อมจะเปลี่ยนถ่ายเลือดครั้งใหญ่ ขุนนางใหม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้จีเหยียนจะสามารถใช้ประโยชน์จากขุนนางที่ซุ่มซ่อนอยู่ในราชสำนักเสนอขุนนางที่เป็นคนของจีเหยียนได้
จีหลันที่เกิดจากนางกำนัลวางแผนรัดกุมเพียงใดก็สู้แรงสนับสนุนจากอำนาจที่ตระกูลฝ่ายมารดาจีเหยียนสั่งสมมาหลายปีไม่ได้
เป็นครู่ใหญ่หลินเซ่าถังก็เอ่ยปากอย่างทดท้อ “ข้ารู้ถึงความยากลำบากของการผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์ แต่ละก้าวล้วนต้องเดินอย่างรอบคอบระมัดระวัง ไม่อาจเหลืออะไรที่จะกลายเป็นภัยในภายหลังไว้ได้ แต่ข้าไม่เหมือนท่าน ท่านขอพึ่งพิงและช่วยเหลือเจ้านายผู้ปราดเปรื่องเพื่อปณิธาน เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองทรงเกียรติ ในขณะที่ข้าเพียงอยากรับนางกลับบ้าน ถึงแม้ว่าชีวิตที่เหลือจะต้องปกปิดชื่อแซ่ไถนาจับปลาเลี้ยงชีพ ตัดขาดจากชีวิตสุขสบายทั้งปวงในอดีตก็ตามที”
จีเสวียนเค่อนิ่งเงียบ
เพื่อปณิธาน เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองทรงเกียรติหรือ
เขากอดอก พลิกหยกประดับชิ้นนั้นไปมาระหว่างนิ้ว
อันที่จริงจีเสวียนเค่ออิจฉาหลินเซ่าถังอย่างยิ่ง แม้จะมีขุนเขาสายน้ำนับพันนับหมื่นชั้นกั้นกลางระหว่างหลินเซ่าถังกับซุนอิ่นจู๋ แต่นางรอเขาอยู่ หัวใจของพวกเขาเชื่อมอยู่ด้วยกัน
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนธันวาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.