X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 74

กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้ซย่า ปิดประตู”

“เจ้าค่ะ!” จี้ซย่ารับคำ ปิดประตูรถม้าแล้วไปนั่งลงที่ด้านหน้ารถกับฉางเซิง

“ไป!” ฉางเซิงสะบัดแส้เร่งให้รถม้าจากไป

กู้เจี้ยนหลีแง้มม่านตรงหน้าต่างรถม้าก่อนยื่นหน้ามองออกไปแล้วโบกมือให้ครอบครัวของตนเอง ทั้งสกุลกู้ล้วนไม่อาจทำใจให้นางจากไป มีเพียงกู้จิ้งหยวนที่ยังคงตีหน้าขรึม วันนี้เพราะบุตรสาวอยู่ด้วย บางถ้อยคำจึงไม่อาจกล่าวออกมาทั้งหมด เขาตัดสินใจว่าวันหลังจะหลบเลี่ยงกู้เจี้ยนหลีไปพูดคุยกับจีอู๋จิ้งตามลำพังให้ชัดเจน

รถม้าหักเลี้ยวจนไม่สามารถมองเห็นคนในครอบครัวแล้ว กู้เจี้ยนหลีปล่อยม่านรถม้าลงก่อนหันกลับมานั่งดีๆ นางพินิจดูสีหน้าของจีอู๋จิ้งแวบหนึ่งทว่าไม่อาจแยกแยะอารมณ์ของเขาได้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน

“ท่านพ่อหาได้มีเจตนาร้าย ท่านอย่าโกรธไปเลย”

“ไม่มีเจตนาร้าย? คำพูดนี้เจ้าเอ่ยออกมาไม่รู้สึกกระดากเลยหรือ” จีอู๋จิ้งถาม

กู้เจี้ยนหลีไร้คำพูดไปชั่วขณะ ไม่รู้ควรแก้ต่างให้บิดาอย่างไร คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้หาข้ออ้างให้บิดา กลับเอ่ยตามความจริงว่า “ท่านพ่อพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก”

ยามนี้เองจีอู๋จิ้งจึงค่อยหันมามองนาง เขายื่นแขนออกมาเชยคางกู้เจี้ยนหลี ท้องนิ้วหัวแม่มือปัดผ่านคางของนางไปมาขณะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา

“พบบ้านสามีใหม่ที่เหมาะสมแล้วหรือยัง”

“แน่นอนว่ายัง!”

“แล้วจะเริ่มหาเมื่อไร จะรอหลังข้าตายหรือตอนที่ข้านอนติดเตียงใกล้จะหมดลม?”

กู้เจี้ยนหลีเอ่ยเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อจะทำสิ่งใดข้าล้วนก้าวก่ายไม่ได้ แต่ข้าไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ เรื่องของอนาคตยากจะหยั่งรู้ หากท่านจากไปก่อนจริงๆ ข้าย่อมรักษาธรรมเนียมไว้ทุกข์ให้อย่างเคร่งครัด”

“เพียงแค่ไว้ทุกข์?” จีอู๋จิ้งใบหน้าแย้มยิ้ม “ไม่ตายตามมาฝังรวมกับข้า?”

“ข้า…” กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะเอ่ยปากก็เห็นว่าสีหน้าของจีอู๋จิ้งแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นัยน์ตาสีเข้มของเขาทอประกายสีแดงอยู่รางๆ แผ่กลิ่นอายดุดันกดทับจนนางกระทั่งหายใจยังลำบาก นางมองเขาอย่างอึ้งงัน ลืมวาจาที่จะพูดไปหมดสิ้น

ชั่วขณะหนึ่งกู้เจี้ยนหลีรู้สึกว่าจีอู๋จิ้งไม่ได้ล้อเล่น แต่จะบีบคอนางให้ตายตกฝังรวมไปกับเขาจริงๆ

ตอนที่ได้สติกลับมาจีอู๋จิ้งก็ปล่อยมือแล้ว อีกฝ่ายเอนพิงผนังรถม้าพลางหยิบลูกกวาดในกล่องไม้จันทน์ใส่ปากอย่างเกียจคร้าน ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มทำเอากู้เจี้ยนหลีคิดไปว่าท่าทางดุดันของเขาเมื่อครู่นั้นเป็นนางมองผิดไปเอง

ตลอดทางปราศจากคำพูดอื่นใดอีก กระทั่งถึงจวนก่วงผิงป๋อ จีอู๋จิ้งเป็นฝ่ายลงรถม้าจากไปก่อนโดยไม่แม้แต่จะมองนางสักแวบ

กู้เจี้ยนหลีทอดสายตามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม รู้ได้ทันทีว่าเขาโกรธจริงๆ แล้ว นางนั่งอยู่ริมรถม้า เท้าขวากำลังเหยียบลงบนแท่นเหยียบ สองมือจับขาซ้ายวางลงก่อนลงจากรถม้าโดยมีจี้ซย่าคอยประคอง เคราะห์ดีที่ตอนลงยุ่งยากน้อยกว่าตอนขึ้นจึงยังไม่ถึงขั้นลำบากเกินไป

กู้เจี้ยนหลีค้ำไม้เท้าไปพลางให้จี้ซย่าประคองไปพลาง เดินเข้าไปในจวนอย่างเชื่องช้า นางก้มลงมองขาซ้ายของตนเองพลางเอ่ยขึ้น

“ดีที่อีกไม่กี่วันก็เอาไม้สองแผ่นนี้ออกได้แล้ว”

จี้ซย่ายิ้มตาม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อีกไม่นานท่านก็จะหายดีแล้ว”

เดิมทีกู้เจี้ยนหลีคิดจะไปหาจีซิงหลันทันที แต่บังเอิญว่าเด็กน้อยเพิ่งจะกินยาและนอนกลางวันไป กู้เจี้ยนหลีจึงไม่ได้ปลุกนางตื่นแต่กลับห้องไปก่อน

บ่าวในเรือนจีอู๋จิ้งเดิมก็มีน้อยอยู่แล้ว จีอู๋จิ้งกับกู้เจี้ยนหลีไม่อยู่ที่นี่ถึงเดือนครึ่งจึงไม่ได้ทำความสะอาดอย่างละเอียดมานาน จี้ซย่ากับฉางเซิงปัดกวาดเช็ดถูอย่างคล่องแคล่ว ฝ่ายแรกยังไม่ลืมที่จะต้มน้ำอุ่น กู้เจี้ยนหลีเหน็ดเหนื่อยอยู่บนรถม้าค่อนวันย่อมต้องการอาบน้ำเป็นแน่ บ่าวทั้งสองเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยก่อน น้ำอุ่นก็เตรียมพร้อมแล้ว ตอนที่ฉางเซิงไปกวาดลานเรือน จี้ซย่าก็ไปต้มยาให้กู้เจี้ยนหลีในครัว

กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่ที่มุมเตียงหลัวฮั่นพลางมองไปทางจีอู๋จิ้งที่อยู่บนเตียงนอน

จีอู๋จิ้งนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ขายาวทั้งสองข้างหนึ่งเหยียดตรง อีกข้างห้อยลงข้างเตียง ระหว่างมือทั้งสองกั้นกลางไว้ด้วยกลองป๋องแป๋งอันหนึ่ง เขาหมุนมันไปมาอย่างนึกสนุกจนเกิดเสียงดัง ‘ตึงๆๆ’ ไม่หยุด บนหน้ากลองวาดเป็นรูปเด็กน้อยจ้ำม่ำสวมเอี๊ยม ลูกปัดปลายเชือกทั้งสองด้านกระทบใบหน้าของเด็กน้อยติดต่อกัน เด็กน้อยจ้ำม่ำยังคงฉีกยิ้มโง่งมอยู่เช่นนั้น

กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นยืนก่อนจะอาศัยไม้เท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง เม้มปากพลางมองไปทางจีอู๋จิ้ง นางรออยู่ครู่หนึ่ง สายตาของชายหนุ่มยังคงจ้องมองเพียงกลองป๋องแป๋งไม่ยอมมองนาง นางจึงทำได้เพียงเอ่ยปากก่อน

“ข้าอยากอาบน้ำ ท่านช่วยถูหลังให้ได้หรือไม่”

“เรียกจี้ซย่าสิ” จีอู๋จิ้งเอ่ยอย่างเชื่องช้า

“จี้ซย่ากำลังต้มยาอยู่ อาหารกลางวันแวะกินข้างนอกจึงไม่ได้กินยาไปเทียบหนึ่ง”

“เช่นนั้นก็เรียกผู้อื่น” จีอู๋จิ้งยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ ทว่าท่าทางยามหมุนกลองป๋องแป๋งกลับช้าลง

กู้เจี้ยนหลีพยักหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง “ได้ เช่นนั้นข้าจะเรียกฉางเซิงเข้ามาช่วย”

จีอู๋จิ้งพลันชะงักมือ จากนั้นก็ยื่นกลองป๋องแป๋งมาตรงหน้านางแล้วพลิกข้อมือคราหนึ่ง ตัวกลองที่คล้ายค้อนไม้น้อยๆ ก็ทุบลงบนหลังมือข้างที่วางอยู่บนไม้เท้าจนกู้เจี้ยนหลีอุทานออกมา ต้องรีบใช้มืออีกข้างนวดคลึง

กลองป๋องแป๋งถูกโยนทิ้งไป ก่อนที่จีอู๋จิ้งจะลุกลงจากเตียงก้าวไปยังห้องข้างทางตะวันตกด้วยสีหน้าดุดัน กู้เจี้ยนหลีพยุงตนเองด้วยไม้เท้าตามไปด้านหลังอย่างช้าๆ พลางถลึงตามองแผ่นหลังของเขา ทว่าตอนที่เขาหันกลับมานางก็รีบเก็บสีหน้าหลุบตาลง

จีอู๋จิ้งวกกลับมาประคองนางอย่างไม่มีน้ำอดน้ำทน

น้ำอุ่นในอ่างตั้งทิ้งไว้สักพักแล้ว ทั้งห้องอาบน้ำเต็มไปด้วยไอน้ำจำนวนมาก ถึงขั้นยื่นมือออกไปก็มองเห็นนิ้วทั้งห้าได้ไม่ชัดเจน

“นั่งลง” จีอู๋จิ้งกดร่างกู้เจี้ยนหลีนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นค่อยนั่งลงบนพื้นตรงหน้านาง ยกเท้าซ้ายของนางวางลงบนขาตนเองแล้วแกะผ้าพันแผลออก

“แกะได้แล้วหรือ” กู้เจี้ยนหลีถามอย่างประหลาดใจ

จีอู๋จิ้งไม่สนใจนาง

กู้เจี้ยนหลีเอ่ยกับตนเอง “ดีจริงๆ ไม่ต้องถูกจับดามไว้กับไม้แล้ว”

ผ้าฝ้ายแถบยาวถูกแกะออกทีละชั้น ไม้กระดานสองแผ่นก็ถูกแกะออก มือของจีอู๋จิ้งคลำไปตามขาของนางก่อนหยุดลงตรงที่กระดูกหักครู่หนึ่ง

กู้เจี้ยนหลีลอบมองสีหน้าอีกฝ่าย เอ่ยชมอย่างเกินจริงว่า “โอ้โห นายท่านห้าช่างร้ายกาจ ถึงกับสามารถรักษา…”

ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันแข็งค้าง เจ็บเสียจนต้องจับพนักเก้าอี้ไว้แน่น

จีอู๋จิ้งมองดูสีหน้านางแวบหนึ่งก่อนเบาแรงยามจัดกระดูกลง จากนั้นก็วางเท้านางลงบนพื้น เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “ตั้งแต่วันนี้ก็ลองออกแรงเดินเองดู”

“อื้ม!” กู้เจี้ยนหลีพยักหน้าอย่างแรงแล้วค้อมตัวน้อยๆ สายตาจับจ้องที่ขาของตนอยู่ตลอด

“เจ้ายังจะอาบอยู่หรือไม่” จีอู๋จิ้งเอ่ยถาม

กู้เจี้ยนหลีอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา “อาบ…”

นางก้มหน้าลงปลดปมที่ผูกไว้ตรงเอวด้านซ้ายของเสื้อบุนวม

จีอู๋จิ้งลุกขึ้นยืนก่อนลองวัดความร้อนของน้ำในอ่าง จากนั้นจึงยกกาน้ำด้านข้างมาเทน้ำร้อนเพิ่มอีกหน่อย เรียบร้อยแล้วค่อยหันกลับมามอง เห็นว่าหญิงสาวยังคงถอดเสื้อผ้าอย่างติดๆ ขัดๆ

จีอู๋จิ้งหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง

ใช้วิธีเช่นนี้มาง้อเขา ช่างโง่งมเสียจริง

กู้เจี้ยนหลีหันไปมองจีอู๋จิ้งแวบหนึ่งก่อนจะถอดเสื้อบุนวมออก จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวใน นางชะงักมือเล็กน้อยก่อนจะถอดเอี๊ยมออกมาพร้อมกันแล้วค่อยถอดกระโปรงกับถุงเท้า บนร่างเหลือเพียงกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนตัวเดียวที่ไม่กล้าถอดออกจริงๆ

นางออกแรงจับพนักเก้าอี้พยุงตนเองลุกขึ้นมามองจีอู๋จิ้ง

“ช่วยพยุงข้าเข้าไปได้หรือไม่” นางทำทีว่าไม่มีอะไร พยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ทว่าใบหน้ากลับแดงเรื่อเป็นที่เรียบร้อย

จีอู๋จิ้งเดินเข้ามาใกล้แล้วค้อมตัวช้อนร่างอุ้มนางขึ้นมา ก่อนที่จะวางนางลงในอ่างอาบน้ำจู่ๆ เขาก็เอียงศีรษะลงแนบหูเข้ากับทรวงอกของนาง

กู้เจี้ยนหลีตกใจจนแทบกรีดร้องออกมา คิดจะผลักชายหนุ่มออกโดยสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นแตะไหล่อีกฝ่ายแล้ว ทว่ากลับอดทนไว้ได้ในชั่วขณะที่จะผลักออก

จีอู๋จิ้งฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่งด้วยท่าทางเช่นนี้ไม่ขยับเขยื้อน จู่ๆ ก็ยกมุมปากข้างหนึ่งยิ้มพลางมองใบหน้าแดงเรื่อของกู้เจี้ยนหลีแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“กู้เจี้ยนหลี ใจเจ้าเต้นแรงมาก ไม่สบายหรือไม่”

กู้เจี้ยนหลีบังคับไม่ให้ตนเองหอบหายใจเพื่อกันไม่ให้หน้าอกกระเพื่อม นางแทบจะเค้นคำพูดออกมาทีละคำๆ “เพราะท่านทำเช่นนี้ ข้าจึงรู้สึกอาย…”

จีอู๋จิ้งมองนางอีกแวบก่อนวางร่างนางลงในอ่างอาบน้ำ

“ระวังขาด้วย” เขากล่าว

กู้เจี้ยนหลีกอดเข่าซ้ายไว้อย่างโง่งมเพื่อไม่ให้ขากระแทก ทั้งร่างนางรายล้อมด้วยน้ำอุ่น ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าร่าง โอบล้อมทั่วสรรพางค์กาย

นางถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง

จีอู๋จิ้งหยิบผ้าที่พาดไว้ด้านข้างมาถูหลังให้นางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กู้เจี้ยนหลียืดหลังตรงปล่อยให้เขาช่วย รอจนเขาเช็ดถูเรียบร้อยและพาดผ้าไว้กับขอบอ่างส่งๆ นางค่อยหันไปมองเขาพลางถาม

“ท่านไม่โกรธท่านพ่อแล้วใช่หรือไม่”

ผิวน้ำสะท้อนภาพใบหน้าของนาง ทว่ากลับสะท้อนแววตาที่ชวนให้ลุ่มหลงมัวเมาในดวงตาไม่ได้

จีอู๋จิ้งเบนสายตาหนี เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “คร้านจะโกรธคนน่าเบื่อเช่นเขาแล้ว”

กู้เจี้ยนหลีวางมือเปียกชื้นลงบนขอบอ่างพลางมองเขา ถามต่ออีกว่า “แล้วก็ไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”

จีอู๋จิ้งเลื่อนสายตากลับมามองหน้านางอีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบว่า “โกรธ”

“อา…” เครื่องหน้าของกู้เจี้ยนหลียับยู่ยี่โดยพลัน “ตั้งหนึ่งเดือนแล้วเหตุใดยังโกรธอยู่อีก”

หางตาจิ้งจอกของจีอู๋จิ้งยกโค้งขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นขณะกล่าวอย่างเชื่องช้า “ให้อาเช็ดตัวให้ทั้งตัวก็ไม่โกรธแล้ว”

กู้เจี้ยนหลีอึ้งงันก่อนมองตาอีกฝ่ายอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่งเสียงหึอย่างกระเง้ากระงอดแล้วหันหน้าหนี เอ่ยเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นท่านก็โกรธต่อไปเถอะ!”

ยามที่หันหน้ากลับมุมปากของนางยกยิ้มอยู่บางๆ

สองมือของจีอู๋จิ้งวางลงบนขอบอ่างก่อนโน้มตัวลง กระซิบเรียกที่ข้างหูนาง “กู้เจี้ยนหลี”

“หือ?” ตอนกู้เจี้ยนหลีหันกลับมา ริมฝีปากนุ่มชื้นพลันปัดผ่านแก้มของชายหนุ่ม นางรีบร้อนถอยหนีด้วยความตกใจ ทว่าฝ่ามือของจีอู๋จิ้งกลับคว้าศีรษะของนางไว้ไม่ให้ถอยแล้วขบกัดริมฝีปากเย้ายวนนั้น

เจ็บ

จีอู๋จิ้งปล่อยกู้เจี้ยนหลีก่อนลูบศีรษะนาง จากนั้นจึงเหยียดหลังตรงเดินออกจากห้องอาบน้ำไปด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กู้เจี้ยนหลีมองตามแผ่นหลังเขาพลางลูบริมฝีปากตนเองอย่างทึ่มทื่อ บนปลายนิ้วเรียวผ่องมีโลหิตเปรอะเปื้อน

กัดจนปากแตกแล้ว

 

หลังจากกู้เจี้ยนหลีอาบน้ำเรียบร้อยจีอู๋จิ้งไม่ได้เข้ามาแต่เป็นจี้ซย่าที่คอยปรนนิบัตินาง

“ซิงหลันตื่นหรือยัง” กู้เจี้ยนหลีถาม

“ได้ยินหลินหมัวมัวบอกว่าเพิ่งตื่นเจ้าค่ะ”

กู้เจี้ยนหลีพยักหน้าก่อนเดินไปที่เรือนหลัง เพิ่งจะถึงประตูห้องของจีซิงหลันก็เห็นเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยนั่งป้อนยาให้เด็กน้อยอยู่ที่ข้างเตียง

จี้ซย่าสีหน้าแปรเปลี่ยนในฉับพลัน ในใจลอบร้องว่า ‘แย่แล้ว!’ ผู้เป็นนายสั่งให้นางจับตาดูเยี่ยอวิ๋นเยวี่ย ทว่านางกลับตามไปปรนนิบัติผู้เป็นนายที่เรือนสกุลกู้ถึงหนึ่งเดือนกว่า คิดไม่ถึงว่าสตรีหน้าไม่อายเช่นเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยจะฉวยโอกาสนี้มาเข้าหาเจ้านายน้อยแทน!

“ท่านป้าอวิ๋นเยวี่ย ท่านช่างดีกับข้าจริงๆ” จีซิงหลันพูดเสียงอ้อแอ้พลางยิ้มหวาน

“หลันเอ๋อร์ช่างเป็นเด็กดี!” เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยอ่อนโยนอย่างยิ่ง มิใช่ว่านางไม่เคยคิดจะดึงจีซิงโล่วมาเป็นพวก ทว่าจีซิงโล่วเอาใจไม่ง่ายนัก ดังนั้นนางจึงใช้เวลาทั้งเดือนเอาใจจีซิงหลัน

ดึงจีซิงหลันเป็นพวกแทนก็ได้ อย่างไรนางก็อาจจะได้เป็นฮองเฮาน้อยในวันหน้า!

บทที่ 75

“ตายจริง” จี้ซย่าเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะทว่าแหลมเล็ก “อวิ๋นเยวี่ย เจ้ามาแอบอู้อยู่นี่ได้อย่างไร เดือนกว่ามานี้ทั้งเรือนมีฝุ่นเขรอะไปหมด หากปกติเจ้าใส่ใจกว่านี้อีกหน่อย ถือผ้าเดินปัดส่งๆ สักทีสองที ฝุ่นก็คงจะไม่ถึงขั้นนี้หรอกกระมัง”

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยอึ้งงัน รีบหันมองไปทางประตู

จีซิงหลันเองก็เอียงศีรษะเล็กๆ มองตาม พอเห็นกู้เจี้ยนหลีเข้าดวงตาก็เป็นประกายในทันที ทว่าครู่ถัดมากลับค่อยๆ จางหาย เปลี่ยนมายู่ปากแทน

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยรีบวาดยิ้ม กล่าวตอบไปว่า “งานปัดกวาดแม้จะสำคัญ แต่จะสำคัญกว่าคุณหนูหลันเชียวหรือ ฮูหยินจากไปนานเพียงนั้นย่อมไม่รู้ว่าคุณหนูหลันป่วยหนักเพียงใด ข้าจะกล้าจากไปแม้เพียงครู่ได้อย่างไร แทบจะอยากคอยเฝ้าดูแลอยู่ข้างกายคุณหนูหลันตลอดเวลาด้วยซ้ำ”

จี้ซย่าเลิกคิ้ว เค้นถามต่อว่า “คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าคุณหนูหลันป่วยมาเดือนครึ่งแล้ว? หรือว่าเจ้าอยากอู้จึงใช้คุณหนูหลันเป็นข้ออ้าง แช่งให้นางป่วยนานๆ กัน!”

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยสำลักอากาศ ถลึงตามองจี้ซย่าอย่างดุดัน พยายามดับไฟโทสะอย่างอดทนอดกลั้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหายไปแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบ

“จี้ซย่า เจ้าเป็นคนที่ฮูหยินพามา ฐานะย่อมแตกต่างจากบ่าวในจวน ทว่าก็ไม่ควรบีบคั้นผู้อื่นเพียงนี้ อีกอย่างเจ้าคิดหรือว่าเจ้านายน้อยทั้งสองต้องการคนดูแลแค่ยามที่ป่วยไข้ ปกติแล้วในชีวิตประจำวันมีตอนใดบ้างไม่ต้องการผู้ใหญ่คอยใส่ใจดูแลอยู่ข้างๆ อีกทั้งคุณหนูหลันกับคุณชายหกล้วนเพิ่งจะเริ่มเล่าเรียน ย่อมจำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่คอยดู”

“เช่นนี้แปลว่าข้ากล่าวหาจิตใจอันดีงามที่ลำบากคิดอ่านอย่างรอบคอบของเจ้าอย่างนั้นสิ” จี้ซย่าแค่นเสียงหึ “ทว่าฮูหยินยืนอยู่ตรงนี้ เจ้านั่งสงบเสงี่ยมถึงเพียงนี้ยังมีกฎระเบียบสักนิดหรือไม่ อ้อ เจ้าจัดการเรื่องต่างๆ อย่างใส่ใจรอบคอบเพียงนั้น ดูท่าก็มิใช่ไม่เข้าใจกฎระเบียบ เช่นนั้นก็…จงใจอย่างนั้นหรือ”

“เจ้า!” เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยรีบมองไปทางกู้เจี้ยนหลี รอคอยให้นางออกหน้าขัดขวางสาวใช้ที่เอาแต่บีบคั้นผู้อื่นทุกทางของนางเสีย

ทว่ากู้เจี้ยนหลีตั้งแต่ต้นจนจบบนใบหน้าล้วนประดับยิ้มบางงดงาม ไม่ได้มีท่าทีจะเอ่ยปากยับยั้งจี้ซย่าสักนิด

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่ป้อนยาให้คุณหนูหลันเท่านั้น”

นางรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับจากทั้งกู้เจี้ยนหลีและจี้ซย่าก็ทำได้เพียงยืนขึ้นอย่างงุ่มง่าม

ตอนนี้กู้เจี้ยนหลีค่อยๆ ใช้ไม้เท้าพยุงตัวก้าวข้ามธรณีประตูไปโดยมีจี้ซย่าคอยประคอง

จีซิงหลันเบิกตากว้าง มองดูไม้เท้าของกู้เจี้ยนหลีอย่างตื่นตกใจ คอน้อยๆ ยื่นออกมาเสียยาว จ้องมองหญิงสาวก้าวเข้ามาใกล้ตาไม่กะพริบ

กู้เจี้ยนหลีเดินมาถึงข้างเตียงอย่างเชื่องช้าก่อนจะส่งไม้เท้าให้จี้ซย่าแล้วประคองตนเองนั่งลงตรงขอบเตียง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“หลันหลันดีขึ้นแล้วหรือยัง”

จีซิงหลันเอียงศีรษะเล็กๆ มองกู้เจี้ยนหลีก่อนพยักหน้าช้าๆ ถามขึ้นว่า “ขาของท่านเป็นอะไรไป”

“ไม่ระวังจนตกลงมาจากชั้นบนน่ะสิ”

จีซิงหลันตกใจจนตาโต ยกมือตบอกน้อยๆ ของตนเองเบาๆ ถามอย่างตกใจว่า “อย่างนั้นก็เจ็บมากๆ เลยใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว ตอนแรกเจ็บจนนอนไม่หลับทุกคืนเลย พักนี้จึงจะดีขึ้น” กู้เจี้ยนหลีขมวดคิ้วยามเอ่ยตอบ เล่าออกมาตามจริงราวกับเด็กน้อย

จีซิงหลันนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเบะปาก ผิวของเด็กน้อยบอบบางมาก เพียงสูดจมูกเบาๆ ขอบตาก็แดงแล้ว

“อย่างนั้น…ต้องกินยาเหม็นขมๆ เยอะเลยใช่หรือไม่”

“ต้องกินอยู่แล้ว วันหนึ่งต้องกินสองสามครั้งเชียว ทั้งยังต้องกินน้ำแกงบำรุงตั้งเยอะ ทั้งมันทั้งเลี่ยน” กู้เจี้ยนหลีบ่น

จีซิงหลันกะพริบตาปริบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไข้หวัดเพียงไม่กี่วันนี้ของตนเองไม่ได้น่าสงสารเพียงนั้นแล้ว มือน้อยๆ ดันผ้าห่มบนร่างออก จากนั้นก็ออกจากกองผ้าห่มมายืน ยื่นแขนน้อยๆ ไปกอดพลางลูบหลังกู้เจี้ยนหลีเบาๆ ราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย พูดอย่างจริงใจ

“ต้องเป็นเด็กดีกินยาถึงจะหายสนิทนะ ไม่กินยาครั้งหนึ่งก็จะหายช้าไปวันหนึ่ง!”

กู้เจี้ยนหลีอดรนทนไม่ไหวกอดแม่หนูน้อยตัวหอมไว้ในอ้อมกอดแน่น

“ได้ หลันหลันก็กินยาไปพร้อมข้า ต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ”

“อื้ม!” จีซิงหลันพยักหน้าอย่างแรง “หลันหลันเป็นเด็กดีมาตลอดเลย!”

กู้เจี้ยนหลียิ้มพลางลูบหน้าผากจีซิงหลันอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยยังคงมีไข้อีกนิดหน่อย กู้เจี้ยนหลีจึงถามว่า “หลันหลันหนาวหรือไม่ รีบหลบเข้าไปในกองผ้าห่มเร็วเข้า”

“ไม่หนาวๆ!” จีซิงหลันส่ายหน้ารัว “ท่านป้าอวิ๋นเยวี่ยใส่เตาอุ่นมือไว้ในผ้าห่มให้หลันหลัน ทั้งยังทำเสื้อบุนวมอุ่นๆ ให้ด้วย ไม่หนาวเลยสักนิด”

เด็กน้อยว่าพลางดึงชายเสื้อให้กู้เจี้ยนหลีดูเสื้อบุนวมบนตัวราวกับกำลังอวด

กู้เจี้ยนหลีลองคลำดู ฝีเข็มบนเสื้อบุนวมสีแดงอ่อนเป็นระเบียบ ฝ้ายที่ยัดไว้ภายในก็มีมากพอ แค่ดูก็รู้ว่าทำขึ้นอย่างใส่ใจ นางจึงพยักหน้าน้อยๆ

“ไม่หนาวก็ดีแล้ว หากหนาวหรือไม่สบายตัวต้องบอกนะ”

ยามพูดกับจีซิงหลันน้ำเสียงของกู้เจี้ยนหลีมักจะอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นติดสำเนียงนุ่มนิ่มแบบเด็กๆ มาด้วยไม่น้อย

จีซิงหลันกะพริบตาปริบๆ เอียงคอมองกู้เจี้ยนหลีครู่หนึ่งด้วยสายตาแปลกประหลาด

เด็กน้อยคล้ายจะเอ่ยปากพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด อดกลั้นจนหน้าแดง นางรอให้กู้เจี้ยนหลีเริ่มถามก่อน แต่รอสักพักอีกฝ่ายกลับไม่ยอมถาม นางจึงจำต้องเอ่ยขึ้นเองอย่างตะกุกตะกัก

“ข้า…ข้าโกรธท่านแล้ว! ดังนั้นจึงไม่ได้ลงจากเตียงไปรับท่าน”

“อืม” กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับก่อนจะสบตาใสกระจ่างสว่างไสวของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน

จีซิงหลันยู่ปาก มองดูกู้เจี้ยนหลีแวบหนึ่งก็ก้มหน้าลงอย่างกระมิดกระเมี้ยน กล่าวเสียงค่อยว่า “แต่พอเห็นท่านเดินกะโผลกกะเผลกกลับสงสารจนได้…”

เด็กน้อยถอนหายใจแรงๆ คราหนึ่ง ดูท่ากำลังโทษตนเองว่าใจอ่อนเกินไป

กู้เจี้ยนหลียิ้มพลางยื่นมือไปทางจี้ซย่า จี้ซย่าก็ยื่นกล่องลูกกวาดที่เตรียมไว้ส่งให้นาง นางรับกล่องลูกกวาดมาวางไว้บนตักแล้วเปิดฝา ภายในเต็มไปด้วยลูกกวาดเนื้อนุ่มรูปกระต่ายน้อย

จีซิงหลันฉีกยิ้มกว้าง พุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดกู้เจี้ยนหลีด้วยความดีใจในทันทีแล้วตะโกนอย่างเบิกบาน “ท่านยังไม่ลืม!”

กู้เจี้ยนหลีป้อนลูกกวาดรูปกระต่ายน้อยให้เด็กหญิง จีซิงหลันกินลูกกวาดไปพลางยกยิ้มจนตาโค้งให้กู้เจี้ยนหลีไปพลาง หญิงสาวให้เด็กน้อยขึ้นมานั่งตักตนเองแล้วแกะผมมวยหลวมๆ สองข้างออก ก่อนใช้นิ้วเรียวบางรวบกลับมาเป็นทรงให้นางใหม่อีกครั้ง

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมของกู้เจี้ยนหลีกับจีซิงหลันแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก มิใช่กล่าวกันว่าเด็กน้อยลืมง่ายหรอกหรือ กู้เจี้ยนหลีจากไปตั้งเดือนครึ่ง จีซิงหลันน้ำตาร่วงด้วยความผิดหวังมาตั้งหลายครั้ง เหตุใดพอกู้เจี้ยนหลีกลับมา เด็กน้อยก็กลับไปกระโจนเข้าอ้อมกอดนางอีกแล้วเล่า

จีซิงหลันกินลูกกวาดเม็ดนั้นหมดแล้วก็ยื่นมือไปหยิบเม็ดที่สองมาอีก

จู่ๆ เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยก็เอ่ยปากยิ้มๆ “หลันเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าข้าเคยพูดหรอกหรือว่ากินมากไปจะปวดฟันเอา”

หัวคิ้วของจีซิงหลันขมวดมุ่นขณะมองดูลูกกวาดรูปกระต่ายน้อยที่ดูคล้ายมีชีวิต จากนั้นก็หันไปมองเยี่ยอวิ๋นเยวี่ย ก่อนจะหันไปมองกู้เจี้ยนหลี

จี้ซย่าเอ่ยปากกระแนะกระแหน “กินสองเม็ดก็ปวดฟันแล้วหรือ อวิ๋นเยวี่ยเจ้าเป็นหมอหรือว่าตัวเจ้าเองกินสองเม็ดก็ปวดฟันแล้วกันแน่ หากเป็นเช่นนั้นฟันเจ้าก็แย่เกินไปแล้วกระมัง”

วันนี้เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยถูกจี้ซย่าบีบให้จนมุมมาหลายครั้งจนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอ่ยด้วยความโกรธ “จี้ซย่า บ่าวเช่นเจ้าคิดว่าตนเองเป็นนายหรืออย่างไร เจ้านายยังไม่ทันพูด เจ้าจะพูดอะไรมากมายนักหนา!”

“ใช่ ข้าเป็นบ่าว ทว่าในห้องนี้ก็ไม่ได้มีบ่าวปากมากเช่นข้าเพียงคนเดียว” จี้ซย่าว่าพลางกลอกตา

“ข้าล้วนทำไปเพราะหวังดีกับคุณหนูหลัน! ดังคำที่ว่ายาดีต้องมีรสขม เอาใจให้คุณหนูหลันมีความสุขโดยไม่สนใจร่างกายของนางจึงจะเป็นเรื่องที่ผิด ข้าไม่คิดว่าตนเองพูดสิ่งใดผิดไป เรื่องวันนี้ไม่ว่าให้ใครตัดสิน ข้าก็ไม่ใช่ฝ่ายที่ไร้เหตุผลแน่นอน!”

จีซิงหลันรู้สึกกลัวอยู่บ้าง มองดูผู้ใหญ่ทั้งสามอย่างไร้เดียงสา

“คุณหนูสกุลเยี่ย” ในที่สุดกู้เจี้ยนหลีก็หันไปมองเยี่ยอวิ๋นเยวี่ย

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยตื่นตัวในทันที รวบรวมสติเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่

“ออกไป” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบาเพียงสองคำก็หันกลับไปผูกผมให้จีซิงหลันต่อ

ฝ่ายจีซิงหลันลอบยัดลูกกวาดที่กำไว้ในมือเข้าปากจนแก้มน้อยๆ พองขึ้น

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยบันดาลโทสะในทันที นี่แย่ยิ่งกว่าตำหนินางสักประโยคสองประโยคด้วยซ้ำ อย่างน้อยการตำหนิก็แสดงออกถึงความใส่ใจไม่ก็เพราะอารมณ์โกรธ ทว่าเช่นนี้นับเป็นอะไร นี่นับเป็นการดูแคลนอย่างถึงที่สุด กระทั่งพูดกับนางสักประโยคยังไม่คิดจะทำ เป็นการดูถูกนางอย่างแท้จริง

เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยกัดฟันกรอดพลางเดินออกไปอย่างกรุ่นโกรธ บอกตนเองว่าให้อดทนอีกหน่อย อย่างไรเสียอีกไม่นานจีเสวียนเค่อก็จะกลับมา กู้เจี้ยนหลีกับจีเสวียนเค่อแต่เดิมก็มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ชาตินี้นางเพียงราดน้ำมันบนกองไฟสักหน่อย จีอู๋จิ้งผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ย่อมไม่คิดเก็บกู้เจี้ยนหลีเอาไว้ ไม่แน่อาจจะฆ่ากู้เจี้ยนหลีด้วยมือตนเองก็ได้! เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสอันดีของนางแล้ว…

จีซิงหลันถามเบาๆ “นางโกรธแล้วหรือ”

“ไม่ใช่หรอก นางมีเรื่องต้องไปทำเท่านั้น” กู้เจี้ยนหลีตอบส่งๆ

“อ้อ!” จีซิงหลันอายุยังน้อยจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงครู่เดียวก็ลืมแล้ว

 

ระหว่างทางกลับจี้ซย่ายังคงพร่ำบ่นเรื่องเยี่ยอวิ๋นเยวี่ย นางถอนหายใจพลางกล่าว “บ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แค่ไม่ชอบหน้านาง เพียงเห็นก็รู้สึกรำคาญแล้วเจ้าค่ะ!”

กู้เจี้ยนหลีเอ่ยขึ้น “ข้าดูแล้วนางใส่ใจเรื่องซิงหลันมากจริงๆ ดูแลซิงหลันได้ไม่เลวเลย” ผ่านไปอีกครู่หนึ่งกู้เจี้ยนหลีคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ทว่าจุดประสงค์ของนางไม่บริสุทธิ์ หากซิงหลันรู้เข้า แม่หนูน้อยต้องน้ำตาร่วงเป็นแน่”

“ใช่ๆๆ! นางหลอกใช้คุณหนูสี่ชัดๆ ท่านห้ามใจอ่อนเชียวนะเจ้าคะ!” จี้ซย่ารีบกล่าว

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกขบขันท่าทางของจี้ซย่า เอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยผู้นั้นเหตุใดทำให้จี้ซย่าของข้าโมโหได้ถึงเพียงนี้”

“บ่าวกลัวว่าฮูหยินมีจิตใจดีเช่นนี้จะถูกนางหลอก! ดูแล้วหลังจากนางแต่งงานไปชีวิตไม่ราบรื่นนักจึงวกกลับมาหานายท่านห้า จะให้นางเหยียบศีรษะท่านขึ้นไปตามใจไม่ได้นะเจ้าคะ”

“ให้นางก่อเรื่องไปเถิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

จี้ซย่าพิจารณาความนัยในวาจาของกู้เจี้ยนหลีโดยละเอียด นี่แปลว่ามดปลวกเช่นเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยไม่ควรค่าให้ผู้เป็นนายออกโรงเองอย่างนั้นหรือ ก็จริง เจ้านายของนางกระทั่งฮ่องเต้ยังกล้าสังหาร เพียงแค่คนตัวเล็กๆ อย่างเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยไหนเลยจะคู่ควรให้เจ้านายลดตัวมาจัดการ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยให้นางจัดการเองเถิด

จี้ซย่าลอบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จะต้องจัดการเรื่องเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยอย่างดีให้จงได้ เจ้านายจะได้ไม่เสียหน้า!

 

เมื่อกู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งกลับจวน คนอื่นๆ ในจวนก่วงผิงป๋อจึงพากันส่งของขวัญมาไม่หยุด หากมิใช่จีอู๋จิ้งไม่ชอบให้ผู้อื่นเหยียบย่างเข้าเรือนมารบกวน คนที่พากันเบนหางเสือตามทิศทางลม เหล่านี้คงจะก้าวเข้าเรือนมาไม่เว้นจนธรณีประตูพังทีเดียว

รัตติกาลยังไม่ทันโรยตัวจีอู๋จิ้งก็หลับไปแล้ว กู้เจี้ยนหลียืนมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงจากหน้าประตูพลางขมวดคิ้ว นางลองนับวันดู วันพรุ่งนี้ฤทธิ์จากหนอนกู่ตัวลูกในร่างของจีอู๋จิ้งจะบรรเทาลงแล้ว

กู้เจี้ยนหลีโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้จี้ซย่าออกไปได้ ส่วนตนเองค้ำไม้เท้าเดินตรงไปทางเตียงอย่างเชื่องช้า นางลองออกแรงเดินด้วยขาซ้าย ทว่ารู้สึกเจ็บมากจึงได้แต่ยอมแพ้ หลังจากเดินมาถึงก็นั่งลงตรงขอบเตียง จากนั้นก็โน้มตัวลงเท้าคางมองบุรุษบนเตียง

เนิ่นนานจากนั้นจีอู๋จิ้งก็เอ่ยปากขึ้นอย่างเกียจคร้านทั้งที่ยังปิดเปลือกตาอยู่ “กู้เจี้ยนหลี เจ้าหลงใหลในความงามของอาอีกแล้ว”

กู้เจี้ยนหลีขยับริมฝีปากโดยไร้เสียง ‘หน้าไม่อาย’ จากนั้นนางจึงเอ่ยปากว่า “ข้าไม่อยากเห็นเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยอีกแล้ว”

จีอู๋จิ้งเปิดเปลือกตาขึ้นครึ่งเดียว หรี่ตามองมาทางกู้เจี้ยนหลี น้ำเสียงทุ้มต่ำยามเอ่ยถามแฝงแววอ่อนเพลียอยู่หลายส่วน

“ผู้ใด”

“เยี่ยอวิ๋นเยวี่ย”

จีอู๋จิ้งขมวดคิ้วราวกับหมดความอดทน “นั่นตัวอะไร”

บทที่ 76

“ไม่ใช่ตัว เป็นคน! คุณหนูสกุลเยี่ยที่ท่านให้อยู่ที่เรือนในฐานะสาวใช้ อดีตคู่หมั้นของท่าน เยี่ยอวิ๋นเยวี่ย” กู้เจี้ยนหลีอธิบายอย่างชัดเจนในรวดเดียว

“อ้อ” จีอู๋จิ้งตอบรับด้วยท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไรนักพลางกำมือหลวมๆ ขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

กู้เจี้ยนหลีดึงชายเสื้อเขาไว้พลางมุ่นคิ้ว “นางเป็นคนที่ท่านให้รั้งอยู่ ซ้ำฐานะยังพิเศษ ข้าจึงไม่กล้าตำหนินางแม้ครึ่งคำ ยามนี้นางเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังซิงหลันทุกวัน ข้าไม่วางใจ หากท่านอยากจะรับอนุข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ให้นางเป็นนายก็ไม่ใช่บ่าวก็ไม่เชิงเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจัดการกับนางเช่นไรดี” นางเม้มปากเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่ออีก “ทว่าหากท่านอยากรับอนุ คุณหนูสกุลเยี่ยกลับไม่เหมาะนัก ลองหาผู้ที่รู้หน้าที่ตนเองสักหน่อยจะดีกว่า”

“อะไรยุ่งยากวุ่นวายนักหนา” จีอู๋จิ้งที่กำลังหลับตารู้สึกง่วงงุนอยู่บ้าง “กู้เจี้ยนหลี รบกวนคนจะนอนต้องถูกตีก้น”

กู้เจี้ยนหลีปล่อยมือที่กำชายเสื้อจีอู๋จิ้งไว้ออก นางไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพียงนั่งมองเขาอยู่ข้างๆ

จีอู๋จิ้งยื่นมือมาหานาง กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มานี่ ให้อากอดนอน”

กู้เจี้ยนหลีหันไปมองทางหน้าต่างแวบหนึ่ง ฟ้ายังไม่ทันมืดเลย ช่างเถิด อย่างไรก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำอยู่แล้ว

นางลุกขึ้นค้ำไม้เท้าไปปลดม่านตรงหน้าต่างเพื่อบังแสงก่อนกลับมาที่เตียงแล้วปลดมุ้งลง จากนั้นจึงขึ้นไปบนเตียงโดยไม่ให้กระทบขาซ้าย จีอู๋จิ้งนอนมาครึ่งค่อนวันแล้ว ผ้าห่มจึงอุ่นอยู่มาก กู้เจี้ยนหลีกระถดตัวเข้าไป เพราะบาดแผลที่ขานางจึงเข้านอนในท่านอนหงายมานาน ยามนี้ถอดไม้ดามออกแล้ว นางจึงพลิกตัวอย่างระมัดระวัง ยกขาซ้ายพาดขาขวาช้าๆ ก่อนมุดหน้ากับหมอนอย่างมีความสุข ยังคงรู้สึกว่านอนตะแคงสบายกว่าอยู่สักหน่อย

แขนของจีอู๋จิ้งสอดเข้าใต้ลำคอของกู้เจี้ยนหลี ขยับเข้าใกล้กอดนางไว้จากด้านหลัง ส่วนแขนอีกข้างพาดไว้บนเอวนาง

กู้เจี้ยนหลีมึนงงอยู่บ้าง นึกออกอย่างรางๆ ว่าก่อนขานางจะได้รับบาดเจ็บจีอู๋จิ้งก็ชอบนอนกอดนางจากด้านหลัง ราวกับเห็นนางเป็นหมอนอย่างไรอย่างนั้น

สายตาของกู้เจี้ยนหลีเหลือบไปหยุดที่กลองป๋องแป๋งซึ่งวางอยู่ด้านในของเตียงโดยไม่ตั้งใจ นางมองดูภาพเด็กน้อยจ้ำม่ำสวมเอี๊ยมบนนั้น ในความคิดปรากฏภาพจีอู๋จิ้งยามนอนเล่นกลองป๋องแป๋งอยู่บนเตียงก่อนหน้านี้ สายตาของนางหยุดอยู่ตรงเด็กน้อยจ้ำม่ำบนกลองป๋องแป๋งนิ่งนาน จู่ๆ ใจพลันกระตุกหนึ่งจังหวะ

เหตุใดจีอู๋จิ้งจึงเล่นกลองป๋องแป๋งที่วาดภาพเด็กจ้ำม่ำ ซ้ำยังเล่นอย่างจดจ่อนานเพียงนี้

เขาคงไม่ได้อยากจะมีลูกกระมัง

กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้วพลางนึกถึงยามปกติที่จีอู๋จิ้งอยู่กับจีซิงหลันและจีซิงโล่วแล้วคิดว่าเขาไม่น่าจะชื่นชอบเด็กนัก ทว่าไม่รู้เพราะฐานะของเด็กทั้งสองค่อนข้างอ่อนไหวหรือไม่ บางทีจีอู๋จิ้งจึงอยากจะมีบุตรจากภรรยาเอกขึ้นมา

กู้เจี้ยนหลีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงพิษในกายเขาขึ้นมา หนอนกู่ตัวลูกเพียงแค่ช่วยหล่อเลี้ยงอวัยวะห้ากลั่นหกกรองให้อบอุ่น ฤทธิ์ของมันจะค่อยๆ ลดลงไปตามกาลเวลา ที่จริงนางเองก็มองออกว่าพักนี้จีอู๋จิ้งมักจะง่วงงุนอีกแล้ว

นางคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยอีกครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปคว้ากลองป๋องแป๋งอันนั้นไว้ กลองป๋องแป๋งเพิ่งจะตกอยู่ในมือนาง ลูกปัดน้อยๆ ซึ่งทำจากไม้ทั้งสองฝั่งก็สะบัดไปมาจนเกิดเสียงตึงๆ นางจึงรีบประคองมันไว้แนบอกไม่ให้มันสั่นอีก

จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงคล้ายหมดความอดทนของชายหนุ่ม

จีอู๋จิ้งงอนิ้วเคาะลงกับศีรษะด้านหลังของกู้เจี้ยนหลี เอ่ยเสียงแหบพร่า “เข้านอน”

“เจ็บ!” กู้เจี้ยนหลีกุมศีรษะพลางโอดครวญ

จีอู๋จิ้งฝืนลืมตาพลางลองนึกเรื่องเยี่ยอวิ๋นเยวี่ย ตอนแรกเขาให้สตรีผู้นั้นรั้งอยู่ในฐานะสาวใช้ด้วยเหตุใดเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว อาจเป็นเพราะนางกล่าววาจาจำพวก ‘จะเป็นสาวใช้’ เขาจึงตอบรับส่งๆ ให้นางมาเป็นสาวใช้กระมัง

จีอู๋จิ้งเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ไม่อยากเห็นก็ไล่นางไปเสีย หากดื้อไม่ยอมจากไปก็ให้ฉางเซิงบีบคอให้ตาย กู้เจี้ยนหลี หากเจ้ายังเอาเรื่องเล็กเพียงนี้มากวนตอนข้านอนอีก ข้าจะ…”

จะทำอะไร

จีอู๋จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็คิดไม่ออกจึงไม่พูดอะไรต่อ หลับตาเข้านอนใหม่อีกครั้ง

“จะทำอะไร” กู้เจี้ยนหลีกลับถามด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

จีอู๋จิ้งไม่สนใจนาง

ผ่านไปครู่หนึ่งกู้เจี้ยนหลีก็เอ่ยถามเสียงเบาอีกครั้งทั้งที่ยังประคองกลองป๋องแป๋งไว้แนบอก “นายท่านห้า ท่านหลับแล้วหรือ”

จีอู๋จิ้งลืมตา ลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีเข้มปรากฏเส้นเลือดสีแดงก่ำ สายตาของเขาหยุดลงตรงลำคอเรียวขาวของกู้เจี้ยนหลี ก่อนจะฉวยโอกาสดึงเสื้อของนางเข้าหาตัวจนหัวไหล่มนส่วนบนเผยออกมาให้เห็นแล้วกัดลงไป

หากเป็นตอนที่เพิ่งแต่งเข้าจวนก่วงผิงป๋อ กู้เจี้ยนหลีย่อมตื่นตระหนกจนสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยกังวลว่าจะถูกหัวหน้าหน่วยเสวียนจิ้งที่เล่าลือกันว่าชอบดื่มกินเลือดเนื้อผู้อื่นปลิดชีพเข้า ทว่ายามนี้เมื่อจีอู๋จิ้งกัดลงมา นางเพียงตกใจในชั่วขณะแรกเพราะคาดไม่ถึง จากนั้นก็คลายความตื่นตระหนกอย่างรวดเร็ว

เจ็บนิดหน่อย นางขมวดคิ้วพลางกำผ้าห่มไว้แน่น ไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด

อวัยวะห้ากลั่นหกกรองของจีอู๋จิ้งคล้ายกับถูกแมลงตัวเล็กตัวน้อยนับร้อยพันรุมกัดแทะ ทั้งคันทั้งชายากจะทานทน เส้นเลือดสีแดงก่ำในดวงตาค่อยๆ เข้มขึ้น ท่ามกลางแววดุดันยังปรากฏไอเยียบเย็นที่น่าขนลุก

กู้เจี้ยนหลีสัมผัสได้ว่าลมหายใจของบุรุษที่อยู่ด้านหลังหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย หน้าอกที่แนบชิดกับแผ่นหลังของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ นางเริ่มรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงรีบถามขึ้น

“นายท่านห้าท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายตัวหรือ”

นางทำท่าจะหันกลับไป จีอู๋จิ้งกลับกักตัวนางไว้ทำให้นางไม่อาจขยับตัว

ร่างอ่อนนุ่มนวลเนียนแนบชิดเต็มอ้อมกอด จู่ๆ ในหูของจีอู๋จิ้งก็คลับคล้ายได้ยินวาจาของกู้จิ้งหยวนแว่วมา ‘จีเจา เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าพิษในตัวเจ้าถอนได้หรือไม่กันแน่ เจ้าจะมีชีวิตต่อไปได้อีกนานเท่าไร ถึงสามปีหรือไม่…ข้าจะคำนวณเวลาสำหรับหาบ้านสามีใหม่ให้เจี้ยนหลีของข้าล่วงหน้า!’

ยาพิษเป็นเขาเลือกดื่มด้วยตนเอง ชีวิตนี้จีอู๋จิ้งไม่รู้จักคำว่าเสียใจภายหลังแม้แต่น้อย

“นายท่านห้า?” ความกังวลในน้ำเสียงกู้เจี้ยนหลีฉายชัดยิ่งขึ้น

ฝ่ามือของจีอู๋จิ้งวางอยู่บนหน้าท้องของหญิงสาว เพียงออกแรงกระชับก็รั้งร่างของนางเข้าในอ้อมกอดยิ่งกว่าเดิม กู้เจี้ยนหลีสัมผัสได้ว่าบางสิ่งที่แข็งขึงแนบชิดบั้นท้ายกลมกลึงของตนเองจึงอึ้งค้าง เข้าใจบางอย่างได้อย่างเลือนราง พอนางตกใจกลองป๋องแป๋งที่ประคองไว้ในมือก็ร่วงลงเสียงดังตึงๆ ก่อนหยุดลง ลูกปัดน้อยๆ ฝั่งหนึ่งตกลงบนเตียง อีกฝั่งร่วงลงบนใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กน้อยจ้ำม่ำบนหน้ากลอง

ในหัวของกู้เจี้ยนหลีว่างเปล่าไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรดี

ความรู้สึกต่อต้านปะปนกับความรู้สึกคล้อยตาม ท้ายที่สุดหลงเหลือเพียงความมึนงง

ขายาวของจีอู๋จิ้งยืดออกจนโดนขาซ้ายของกู้เจี้ยนหลี เจ็บจนนางร้องออกมา ขอบตาแดงขึ้นโดยพลัน จีอู๋จิ้งชะงักการกระทำเปลี่ยนมาสวมกอดนางจากด้านหลังนิ่งๆ ในทันที ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงยื่นฝ่ามือข้ามเอวคอดของหญิงสาวไปคลำหามือนางที่ด้านหน้าแล้วกุมเอาไว้ จากนั้นดึงมือนางมาด้านหลังให้นางกำรอบ ‘สิ่งนั้น’

กู้เจี้ยนหลีเบิกตาโพลงโดยแรง ใจดวงนั้นในอกเต้น ‘ตึกตักๆ’ ไม่หยุด

การกระทำต่อจากนั้นเป็นจีอู๋จิ้งคอยจับมือนางทำจนเสร็จ กู้เจี้ยนหลีสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด กระทั่งหลังความมึนงงเนิ่นนานนี้ผ่านไป ฝ่ามือของนางเปรอะเปื้อน ในใจจึงค่อยบังเกิดความอับอายอย่างใหญ่หลวงถาโถม ตั้งแต่ต้นจนจบนางหันหลังให้จีอู๋จิ้ง นิ้วทั้งห้าที่เปรอะเปื้อนกางออกแข็งค้างอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ควรทำสิ่งใดต่อ

จีอู๋จิ้งเช็ดมือให้กู้เจี้ยนหลีแล้วกุมมือมาวางลงบนหน้าท้องของนาง ก่อนจะแนบหน้าผากลงกับท้ายทอยนาง เอ่ยเสียงแหบพร่า

“กู้เจี้ยนหลี”

กู้เจี้ยนหลีเผยอปากอ้า อยากจะเอ่ยรับคำทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

จู่ๆ จีอู๋จิ้งก็หัวเราะเสียงต่ำคราหนึ่ง ลมหายใจที่ผ่อนออกรินรดลงบนท้ายทอยของนางชวนให้รู้สึกจักจี้

ดวงตาจิ้งจอกของจีอู๋จิ้งปรือขึ้นครึ่งหนึ่ง ริ้วสีแดงก่ำจางลงแล้ว ยามนี้เขาก็ถามขึ้นว่า “กลัวแล้วหรือ”

กู้เจี้ยนหลีตะแคงหันหลังให้จีอู๋จิ้งไม่ขยับเขยื้อน ไม่เพียงไม่ขยับแต่ยังไร้ซึ่งวาจา นอนเงียบๆ อยู่บนเตียงที่มืดมิดเพราะปลดม่านมุ้งลงหมด

จีอู๋จิ้งไม่ได้เข้านอน เขาแนบหน้าผากกับท้ายทอยของหญิงสาวพลางหลุบตาไม่ยอมขยับเขยื้อนเช่นกัน กระทั่งรู้สึกได้ว่ามือของนางขยับเล็กน้อย

กู้เจี้ยนหลีพลิกข้อมือ จากนั้นก็บิดมือน้อยๆ ของตนเองออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มอย่างระมัดระวังจนฝ่ามือของเขาว่างเปล่าลง จีอู๋จิ้งไม่ได้ขยับตัว ซ้ำยังไม่ได้คว้าข้อมือนางไว้

ฝ่ามือของกู้เจี้ยนหลีแสบร้อนไปหมดทั้งยังปวดมาก แม้จีอู๋จิ้งจะเช็ดให้แล้ว แต่นางยังคงรู้สึกว่าสกปรกอย่างยิ่ง นางดึงชายเสื้อของเขาที่ร่นขึ้นเล็กน้อยเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ถูฝ่ามือกับชายเสื้อโดยแรง

ถูแล้วถูอีก ถูแรงๆ เช่นนั้นไม่หยุด

นางเอ่ยเสียงงึมงำ “ท่านช่างน่ารำคาญจริงๆ”

จีอู๋จิ้งหลุดหัวเราะเสียงต่ำ หน้าผากที่แนบอยู่กับท้ายทอยขยับเล็กน้อยตามการหัวเราะ ทำเอากู้เจี้ยนหลีรู้สึกจักจี้ยิ่งกว่าเดิม

“กู้เจี้ยนหลี”

“เอาแต่เรียกข้าแล้วก็ไม่พูด จะทำอะไรกันแน่!” ภายในน้ำเสียงกระเง้ากระงอดของกู้เจี้ยนหลีแฝงแววไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย

“กู้เจี้ยนหลี”

กู้เจี้ยนหลียกมือทั้งสองปิดหูอย่างกรุ่นโกรธ

สายตาของจีอู๋จิ้งกวาดผ่านมือแดงๆ ของนางแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ “มือเจ้าสกปรก จะเปื้อนไปถึงหูแล้ว”

กู้เจี้ยนหลีตัวแข็งค้าง รีบปล่อยมือโดยเร็วแล้วคว้ามือของเขาขึ้นมาเช็ดหูตนเองแทน

ฝ่ามือของจีอู๋จิ้งปัดผ่านใบหูร้อนผ่าวของนางไปมา เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “มือข้าก็สกปรก”

กู้เจี้ยนหลีขบริมฝีปากพลางผลักมือของเขาออก จากนั้นก็ขยับยุกยิกคลุมโปงนอนราวกับแมลงน้อยตัวหนึ่ง ก่อนหลับตาลงโดยแรง นางรับรู้อย่างเลือนรางว่าที่แท้ ‘แมลง’ ตัวนั้นไม่เพียงยืดได้หดได้ ยังสามารถพ่นน้ำสกปรกออกมาตอนที่เป็นไข้ด้วย ร่างกายบุรุษช่างน่ากลัวและซับซ้อนจริงๆ

น่าเสียดายรูปโฉมงดงามเย้ายวนของเขา บนร่างกายกลับยังมีอวัยวะที่อัปลักษณ์เช่นนี้

ดังนั้นมีบุตรสาวจะดีกว่า

กู้เจี้ยนหลีคิดเช่นนี้

เดิมทีนางคิดว่าตนเองจะรังเกียจอับอายจนหลับไม่ลง ทว่าสุดท้ายกลับหลับไปอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกลับจวน

นางหลับไปอย่างรวดเร็วจนจีอู๋จิ้งประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ท่ามกลางความมืดมิดชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย

 

เช้าตรู่วันถัดมากู้เจี้ยนหลีตื่นเร็วกว่าจีอู๋จิ้ง เดิมทีเมื่อคืนนางก็พักผ่อนค่อนข้างเร็ว เวลาตื่นจึงเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย นางคลึงดวงตาด้วยความสะลึมสะลือก่อนบิดขี้เกียจ จากนั้นค่อยหันมองจีอู๋จิ้งแวบหนึ่งอย่างเพิ่งรู้ตัว เห็นเขายังหลับอยู่ก็ลอบมองดูฝ่ามือตนเอง

ทั้งที่มองไม่เห็นร่องรอยใดอีกแล้ว นางกลับรู้สึกว่าฝ่ามือคันยุบยิบ

ไม่อยากคิดถึงอีกแล้ว

กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้วพลางคลำหาไม้เท้าที่หัวเตียง จากนั้นก็เดินออกไปโดยพยายามเบาเสียงที่สุด เพิ่งจะเดินมาถึงด้านนอกก็ทำให้จี้ซย่าตกใจแล้ว อีกฝ่ายรีบเข้ามาประคองนางนั่งลงก่อนเตรียมน้ำให้นางล้างหน้าล้างตา

ตอนนี้เองหลินหมัวมัวก็รีบเข้ามารายงานด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายหกก่อเรื่องอีกแล้ว ยามนี้ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากักตัวไว้จะลงโทษเจ้าค่ะ!”

ครั้งก่อนกู้เจี้ยนหลีเคยกำชับไว้ว่าหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกให้มารายงานนาง หลินหมัวมัวลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมมารายงาน

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: