บทที่ 80
เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดาก รู้สึกว่ากล่าวเรื่องที่ระดูไม่มาสองเดือนออกมาเช่นนี้น่าอับอายมาก
จีอู๋จิ้งนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยปากถาม “เจ้าเชิญหมอมาตรวจแล้ว?”
“ยัง…ยังไม่ได้เชิญ…” กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงตนเองสั่นเครือน้อยๆ
เหตุใดเสียงต้องสั่นด้วยความกลัวเล่า ข้าไม่ได้ทำผิดอันใดสักหน่อย ท่าทางร้อนตัวเช่นนี้หากเขาเข้าใจผิดว่าข้าตั้งครรภ์บุตรของผู้อื่นขึ้นมาจะต้องแย่แน่ๆ!
กู้เจี้ยนหลีรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นเชิดคางน้อยๆ สบตากับจีอู๋จิ้งตรงๆ พยายามควบคุมเสียงของตนเองไม่ให้สั่นเครือขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
“ข้าคิดว่ายังเร็วเกินไปจึงยังไม่ได้เชิญหมอ หากเดือนหน้าระดูยังไม่มาก็ค่อยเยิน…”
ทั้งที่น้ำเสียงช่วงแรกยังคงควบคุมให้ปกติได้ พอกล่าวถึงตอนท้ายอาจเพราะคลายความหวาดระแวงลง คำว่า ‘เชิญ’ ที่เอ่ยออกมาท้ายสุดจึงเพี้ยนไปเป็น ‘เยิน’
สีหน้าที่อดกลั้นไว้ได้อย่างยากเย็นพลันบิดเบี้ยวเล็กน้อย หญิงสาวลอบขบริมฝีปาก หลบสายตาอย่างทำตัวไม่ถูกนัก
จีอู๋จิ้งยืนอยู่ที่เดิม แผ่นหลังเหยียดตรงกว่าปกติที่ชอบทำท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง ดวงตาของเขาพินิจมองกู้เจี้ยนหลีแวบหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะก้าวเข้าใกล้นางทีละก้าวแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ ดึงมือนางไว้ให้นั่งลงบนตักเขา
เขาถามขึ้นว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง เด็กดิ้นหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีหันหน้ามามองเขาอย่างตกใจขณะเอ่ยตอบ “เพิ่งสองเดือนจะดิ้นได้อย่างไร”
จีอู๋จิ้งพยักหน้ารับ อ้อ ที่แท้ก็รู้เรื่องนี้ด้วย
เขาสบมองดวงตาสุกใสบริสุทธิ์ของนาง จู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างนึกสนุก “กู้เจี้ยนหลี เจ้าอยากได้ลูกแฝดหรือไม่”
“ลูกแฝด?” กู้เจี้ยนหลีไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เจ้าตัวน้อยในครรภ์จะมีคนเดียวหรือสองคน เป็นหญิงหรือชายก็ล้วนยังไม่ได้คิดทั้งนั้น
จีอู๋จิ้งค่อยๆ ชักจูงไปทีละก้าว “ใช่ ลูกแฝด เป็นเด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดคู่หนึ่ง”
กู้เจี้ยนหลีพลันนึกถึงจีซิงหลันกับจีซิงโล่วขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “แต่หน้าตาของซิงหลันกับซิงโล่วก็ไม่ได้เหมือนกันไม่มีผิดสักหน่อย พวกเขาหน้าตาไม่เหมือนกันสักนิด”
“อืม…ฝาแฝดชายหญิงอาจหน้าตาไม่เหมือนกัน ทว่าหากเป็นคู่แฝดชายหรือคู่แฝดหญิงก็จะหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด”
“อ๋อ…” กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับ ยังคงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง “แต่ว่าจะเป็นลูกแฝดหรือไม่หาใช่ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราสักหน่อย”
“อืม…” จีอู๋จิ้งลากเสียงยาว “ลองดูก็ได้ มีความเป็นไปได้อยู่สองถึงสามส่วน”
กู้เจี้ยนหลีมองดูจีอู๋จิ้งอย่างประหลาดใจ นางไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีที่ว่ามาก่อน
จีอู๋จิ้งทัดผมปอยหนึ่งตรงจอนไปไว้หลังใบหูของนาง เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “หากทำเพิ่มครั้งหนึ่งภายในสามเดือนแรกที่ตั้งครรภ์ก็มีโอกาสเป็นลูกแฝดได้”
กู้เจี้ยนหลีมองเขาด้วยความสงสัย สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อคำเขานัก
จีอู๋จิ้งปล่อยให้สายตาพินิจพิเคราะห์ของหญิงสาวมองอยู่เช่นนั้นพลางเอ่ยต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “แน่นอน ข้าบอกไปแล้วว่าเป็นไปได้เพียงสองถึงสามส่วนเท่านั้น”
กู้เจี้ยนหลียังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทันใดนั้นนางพลันนึกขึ้นได้ว่าจีซิงโล่วกับจีซิงหลันก็เป็นฝาแฝด บางทีจีอู๋จิ้งอาจพูดจริงก็ได้
จีอู๋จิ้งยกมุมปากข้างหนึ่งก่อนขยับเข้าไปจุมพิตริมฝีปากของกู้เจี้ยนหลี
เมื่อความรู้สึกนุ่มชื้นที่ไม่นับว่าแปลกใหม่เท่าไรแล้วเข้าจู่โจม กู้เจี้ยนหลียังคงเกร็งตัวตามสัญชาตญาณไปชั่วขณะ ในดวงตาฉายความมึนงงระคนลังเล
จีอู๋จิ้งมองตาคู่งามในระยะใกล้ก่อนจะงับปลายลิ้นของนาง
“ท่านหลอกกันนี่!” จู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็ผลักเขาออกโดยแรง “ทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์สักหน่อย…”
กู้เจี้ยนหลีใช้หลังมือเช็ดคราบชื้นแฉะบนริมฝีปากออกแล้วหลบตาด้วยความเก้อเขินอย่างว่องไว ต่อให้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกจุมพิต ทว่านางกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกยามใจเต้นไม่เป็นส่ำ สติจวนจะหลุดลอยช่างทำให้ไม่สบายใจเอาเสียเลย
อ้อ ที่แท้นางยังรู้ด้วยว่าจุมพิตไม่ทำให้ตั้งครรภ์
จีอู๋จิ้งก้มลงปลดสายรัดเอวอย่างคล่องแคล่ว
กู้เจี้ยนหลีมองการกระทำของเขาแล้วลนลานขึ้นมาในฉับพลัน เขาคงไม่ได้คิดจะทำเพิ่มอีกครั้งจริงๆ กระมัง สกปรกจะตาย…
“อย่านะ!” กู้เจี้ยนหลีรีบร้อนซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง
อ้อ ที่แท้ก็คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะตั้งครรภ์นี่เอง
จีอู๋จิ้งแสร้งทำท่าทางเสียดายพลางถาม “ไม่ลองทำลูกแฝดจริงหรือ”
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้าอย่างแรง มือที่ไพล่ไว้ด้านหลังถูไถไปกับเนื้อผ้าของชุดที่สวมใส่เล็กน้อย เพียงแค่คิดถึงประสบการณ์ยามทำลูกในคืนนั้น นางก็รู้สึกว่าฝ่ามือสกปรกยิ่งนัก
“ก็ได้” จีอู๋จิ้งลูบศีรษะนางเบาๆ “เช่นนั้นก็ผูกให้อาเสีย”
กู้เจี้ยนหลีมองชายหนุ่มอย่างสงสัย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งมือที่ซ่อนไว้ข้างหลังจึงค่อยๆ ยื่นออกมาด้านหน้าเพื่อผูกสายรัดเอวที่หลุดลุ่ยของจีอู๋จิ้งด้วยท่าทางระมัดระวัง หลบเลี่ยงไม่ให้สัมผัสโดนสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส
จีอู๋จิ้งมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของกู้เจี้ยนหลีนิ่งๆ อยู่นาน ไม่ว่าจะมองจากมุมใดนางล้วนงดงาม แทบจะกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ
“เรียบร้อยแล้ว” นางถอนมือออกแล้วค่อยๆ หดกลับไปซ่อนข้างหลังใหม่ มือทั้งสองกุมกันอยู่อย่างนั้น
กู้เจี้ยนหลีเคยได้ยินหญิงรับใช้สูงวัยพูดโดยบังเอิญว่าขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ไม่อาจทำเรื่องอย่างว่าได้ พอคิดเช่นนี้แล้วหมายความว่าต่อไปอีกหนึ่งปีนางก็จะไม่ต้องหวาดกลัวหัวหด ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถูกจีอู๋จิ้งทำให้เปรอะเปื้อนอีก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี
นางตบแต่งเข้ามายามที่ตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษจึงไม่มีใครสอนมาก่อนว่าขั้นตอนการเข้าหอเป็นอย่างไรกันแน่ และเพราะใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของธรรมเนียมอันเคร่งครัด นางจึงไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่นจนกระจ่างแจ้ง สองสามเดือนก่อนไม่ง่ายเลยกว่านางจะขอตำราภาพวังวสันต์จากพี่สาวเพื่อมาลองเรียนรู้ดู เพิ่งอ่านไปได้เพียงสองหน้าก็ถูกจีอู๋จิ้งแย่งไปแล้ว…
“กู้เจี้ยนหลี” จีอู๋จิ้งเอ่ยเรียก
“หือ?” นางหันไปมอง ประสานสายตาเข้ากับอีกฝ่าย
ผ่านไปครู่ใหญ่วงแขนของจีอู๋จิ้งค่อยโอบรอบเอวสวมกอดกู้เจี้ยนหลีไว้ จากนั้นก็โน้มลงแนบหูกับหน้าท้องของนาง หญิงสาวรู้สึกไม่คุ้นชินนักจึงอยากถอยหลบ ทว่าแผ่นหลังกลับถูกวงแขนของอีกฝ่ายยึดไว้แน่น
“อย่าขยับ” จีอู๋จิ้งกล่าว
กู้เจี้ยนหลีไม่ขยับดังคำเขา ทว่าถามขึ้นอย่างงุนงง “ไม่น่าจะได้ยินสิ่งใดใช่หรือไม่”
จีอู๋จิ้งฟังอยู่นานราวกับได้ยินเสียงเด็กดิ้นอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นค่อยกลับมาเหยียดหลังตรง สายตายามมองกู้เจี้ยนหลีแปลกประหลาดอยู่บ้าง เป็นแววตาที่นางไม่ค่อยเข้าใจนัก
“กู้เจี้ยนหลี คลอดลูกเจ็บมาก” เขากล่าว
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว เครื่องหน้างดงามเริ่มจะยับย่น
จีอู๋จิ้งงอนิ้วชี้เล็กน้อยก่อนไล้ไปตามหว่างคิ้วขมวดมุ่นของนาง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว จะมามีลูกให้ข้าด้วยเหตุใด”
กู้เจี้ยนหลีโต้กลับอย่างดื้อรั้น “จะมีลูกให้ท่านด้วยเหตุใด นี่ก็เป็นลูกข้าเหมือนกัน”
“อืม” จีอู๋จิ้งรับคำอย่างเชื่องช้าพลางดึงมือขาวนุ่มนิ่มของกู้เจี้ยนหลีมาวางบนฝ่ามือตนเองแล้วบีบเล่นอย่างสนอกสนใจ “ทว่าหากข้าตายแล้วเด็กก็ไม่มีพ่อ จะถูกรังแกได้”
“ข้าจะปกป้องเอง จะไม่ให้ใครมารังแกเขา” กู้เจี้ยนหลีกล่าวอย่างจริงจัง
จีอู๋จิ้งยังพูดต่อไม่เร็วไม่ช้า “แต่หากเจ้ามีลูกติดแล้วตบแต่งให้กับผู้อื่น ตระกูลสามีใหม่ของเจ้าย่อมไม่มีทางยอมให้เจ้าเก็บลูกไว้ข้างกาย ต่อให้ยอมก็จะทุบตีด่าว่าเขา”
กู้เจี้ยนหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตนเองแล้วกล่าวขึ้น “หากไม่มีใครยอมรับเขา ข้าก็จะเรียนทำการค้าเลี้ยงดูเขาด้วยตนเอง ไม่แต่งงานใหม่แล้ว”
จีอู๋จิ้งเหลือบตามองกู้เจี้ยนหลี ค่อยๆ มองลึกลงไปในแววตาจริงใจของนาง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ท่านหัวเราะอะไร” กู้เจี้ยนหลีถาม
จีอู๋จิ้งไม่ตอบคำ เขาเพียงบีบนิ้วเรียวของหญิงสาวค้างไว้แล้วดึงมือนางมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปาก มือนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่กลับทำให้รู้สึกว่าหอมนัก จีอู๋จิ้งจุมพิตที่หลังมือแล้วใช้ลิ้นอุ่นไล้เลียก่อนจะจบลงที่ขบกัดด้วยแรงไม่มากนัก
กู้เจี้ยนหลีมองเขานิ่งๆ ไม่ได้หลบเลี่ยง ในใจนางลอบคาดเดาอารมณ์ของเขา หรือเขารู้สึกเศร้าที่ตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาวกัน?
จีอู๋จิ้งปล่อยมือ กลับมามีรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าในที่สุด ก่อนจะเคาะหน้าผากหญิงสาวเบาๆ พลางกล่าวว่า “ยังไม่แน่ว่าจะตั้งครรภ์จริงๆ พรุ่งนี้จะให้หมอมาจับชีพจรให้เจ้า”
“ได้” กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังก่อนก้มลงมองหน้าท้องของตนเอง
จีอู๋จิ้งใช้ท้องนิ้วลูบปลายคางอย่างหมดคำจะพูดอยู่บ้าง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วช้อนร่างนางขึ้นอุ้ม พาไปส่งที่เตียงพลางเอ่ยวาจาที่ขัดกับความรู้สึกตนเองด้วยท่าทีราวกับกล่อมเด็ก
“ช่วงนี้ฮูหยินน้อยของข้าต้องบำรุงครรภ์ให้ดีจึงจะใช้ได้”
กู้เจี้ยนหลีนอนลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย พยักหน้ารับอย่างจริงจัง “อื้ม!”
วันต่อมาจี้จิ้งอี้มาที่จวนก่วงผิงป๋อพร้อมกับหลัวมู่เกอลูกศิษย์ของเขา
“ท่านหมอจี้ เป็นอย่างไรบ้าง” กู้เจี้ยนหลีถามเขาอย่างเคร่งเครียด
“นี่…”
“แค่ก” จีอู๋จิ้งแสร้งส่งเสียงไอคราหนึ่งราวกับไม่ใส่ใจ
จี้จิ้งอี้หยุดวาจาครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนไปตอบว่า “ฮูหยินยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เพียงแต่เลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยดีเท่านั้น”
กู้เจี้ยนหลีชะงักงัน ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกว่าในใจวูบโหวง ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วตนเองกำลังโล่งใจหรืออยู่ในอารมณ์อื่นกันแน่ นางหันไปมองจีอู๋จิ้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านโดยไม่รู้ตัว เห็นเขาก้มหน้าเล่นถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้มีท่าทีสนใจสิ่งใดนัก
หญิงสาวถอนสายตากลับ คิดดูแล้วก็จริง เดิมทีเขาก็ไม่ชอบเด็กอยู่แล้ว
“มู่เกอ เตรียมกระดาษพู่กันให้อาจารย์” จี้จิ้งอี้กล่าว
“เจ้าค่ะ” หลัวมู่เกอส่งกระดาษกับพู่กันให้จี้จิ้งอี้เขียนเทียบยาที่ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี
หลัวมู่เกอผู้นี้เป็นศิษย์น้องหญิงของจีอู๋จิ้งกับเฉินเหอ ทว่าไม่ได้กราบอาจารย์คนเดียวกัน ตั้งแต่เด็กนางกราบจี้จิ้งอี้เป็นอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาแพทย์ ที่ทำให้นับเป็นศิษย์น้องของจีอู๋จิ้งกับเฉินเหอเป็นเพราะบิดาแท้ๆ ของนางเป็นอาจารย์ของจีอู๋จิ้งกับเฉินเหอ หรือก็คือผู้บัญชาการสำนักประจิมคนก่อนหน้า ทว่าอีกฝ่ายเป็นขันทีจึงไม่เหมาะให้ผู้อื่นรับรู้ว่าก่อนเขาถูกตอนมีบุตรสาวมาแล้วผู้หนึ่ง ดังนั้นชาติกำเนิดของหลัวมู่เกอจึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้
สองสามเดือนก่อนหลัวมู่เกอออกไปเก็บสมุนไพรที่ข้างนอก พักนี้เพิ่งจะกลับเมืองหลวงมา นางได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจีอู๋จิ้งแต่งภรรยา ซ้ำยังเป็นหนึ่งในสองหลีแห่งเมืองหย่งอัน ทว่านางไม่เคยพบกู้เจี้ยนหลีมาก่อน ยามนี้จึงอดไม่ได้ที่จะพินิจมองอีกฝ่าย
มองเพียงแวบเดียวหลัวมู่เกอก็รู้ได้ว่าชื่อเสียงของสองหลีแห่งเมืองหย่งอันมิใช่คำกล่าวเลื่อนลอย ที่แท้โลกนี้ยังมีสตรีที่ทำให้เพียงพบเห็นก็ตรึงตรา พิจารณาก็ตรึงใจอยู่จริงๆ
กู้เจี้ยนหลีรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายจึงมองตอบ เมื่อประสานสายตากับหลัวมู่เกอนางก็ยกยิ้มน้อยๆ
หลัวมู่เกอเองก็ยิ้มน้อยๆ ตอบอย่างเป็นมิตร ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด นางรู้สึกว่าสตรีตรงหน้านี้อ่อนแอบอบบางยิ่งนัก นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าท่าทางยามแม่นางน้อยแสนอ่อนโยนผู้นี้ยืนอยู่ข้างกายศิษย์พี่จะเป็นเช่นไร
ทว่าหลัวมู่เกอกลับไม่มีโอกาสเห็นท่าทางยามกู้เจี้ยนหลียืนอยู่ข้างกายจีอู๋จิ้ง เพราะเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นยืน จีอู๋จิ้งก็ลุกขึ้นตามก่อนเดินมาสอดมือใต้ข้อพับกู้เจี้ยนหลีแล้วอุ้มเดินออกจากโถงไป
หลัวมู่เกอมองศิษย์พี่อย่างเหนือความคาดหมาย นึกว่าตนเองมองผิดไปเสียแล้ว
บทที่ 81
กู้เจี้ยนหลีถูกอุ้มต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ชวนให้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก เพิ่งจะเข้ามาในห้องชั้นในนางก็กล่าวขึ้นเสียงค่อยเพื่อไม่ให้คนที่โถงชั้นนอกได้ยิน
“ท่านจะอุ้มข้าด้วยเหตุใด ข้าค้ำไม้เท้าค่อยๆ เดินเอง หรือท่านประคองข้าเดินก็ได้นี่”
“ช้า”
กู้เจี้ยนหลีไม่เอ่ยอะไรอีก อาจจะช้าสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีเรื่องรีบร้อนอะไรนี่
จีอู๋จิ้งหลุบตามองใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไรของนางแล้วเอ่ยถาม “ไม่ได้ตั้งครรภ์เช่นนี้รู้สึกโล่งอกหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีมองดูสีหน้าเขาพลางตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่เลย”
“เช่นนั้นรู้สึกผิดหวังหรือไม่”
“ไม่เช่นกัน” คราวนี้กู้เจี้ยนหลีเอ่ยตอบตามจริงแล้ว
จีอู๋จิ้งอุ้มหญิงสาวมาวางลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้นาง
กู้เจี้ยนหลีเอ่ยอย่างอึดอัด “ตอนนี้ข้าไม่ต้องบำรุงครรภ์แล้ว…”
“ไม่เห็นเป็นไร ลองฝึกดูก่อนว่าต้องบำรุงครรภ์เช่นไรแล้วพวกเราก็เร่งมือสักหน่อยเพื่อให้ตั้งครรภ์เร็วๆ” ฝ่ามือของจีอู๋จิ้งไล้ผ่านดวงตาของกู้เจี้ยนหลี “เจ้านอนกลางวันไปเถิด”
กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงชายหนุ่มเดินจากไปแล้วค่อยลืมตาขึ้นเหม่อมองไปทางประตูครู่ใหญ่ จากนั้นค่อยๆ รู้สึกง่วงงุน นางหาวหวอดหนึ่งแล้วปิดเปลือกตาลงใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานหลังจีอู๋จิ้งกล่าวว่าวันนี้จะเชิญท่านหมอมาตรวจดู นางนอนหลับไม่สนิทนัก รู้สึกง่วงมากจริงๆ
ตอนที่จีอู๋จิ้งเดินมาถึงโถงชั้นนอก จี้จิ้งอี้เตรียมเข็มเงินพร้อมแล้ว หลัวมู่เกอเองก็กำลังจะนำยาที่เตรียมไว้ไปต้มในครัว
“ให้ฉางเซิงทำก็ได้” เขากล่าวขึ้น
หลัวมู่เกอที่เพิ่งจะเดินไปถึงประตูหันกลับมามองก่อนยิ้มน้อยๆ ให้จีอู๋จิ้ง “อย่างไรคนที่รู้วิชาแพทย์ก็กะความร้อนได้แม่นยำกว่า”
จีอู๋จิ้งฟังแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เพียงนั่งลงแล้วเลิกแขนเสื้อกว้างขึ้นก่อนยื่นแขนให้จี้จิ้งอี้ อีกฝ่ายจับเข็มเงินไว้มั่น จากนั้นก็ฝังลงบนจุดชีพจรที่แขนท่อนล่างของจีอู๋จิ้งเล่มแล้วเล่มเล่า
ด้านหลัวมู่เกอเมื่อมาถึงครัวก็พบกับจี้ซย่าที่กำลังต้มโจ๊กผัดผักอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นนางเข้าก็ถามขึ้นว่า “แม่นางหลัว หม้อหินที่ใช้ต้มยาอยู่ตรงนี้ ท่านลองดูว่าจะใช้ใบใด แล้วยังมีอะไรให้บ่าวช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าทำงานของตนเองไปเถิด ข้าทำเองได้” หลัวมู่เกอมองดูจี้ซย่าโรยเกลือลงไปในหม้อแล้วกำชับเพิ่มเล็กน้อย “ฮูหยินเลือดลมไหลเวียนไม่ดี ช่วงนี้ควรกินอาหารรสจืดเป็นหลัก นายท่านห้าเองก็กินรสเค็มมากไม่ได้ พยายามอย่าใส่เกลือกับน้ำมันมากเกินไปจึงจะดี”
“เจ้าค่ะ บ่าวจำไว้แล้ว!”
หลัวมู่เกอเลือกหม้อใบหนึ่งมาแล้วเดินถือออกไปต้มยาอยู่หน้าครัว
จี้ซย่าลอบมองหลัวมู่เกอจากบานประตูที่เปิดไว้ ในใจคิดว่าแม่นางหลัวผู้นี้ช่างแตกต่างจากสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงนัก แม้จะมีรูปโฉมงดงาม ทว่าจี้ซย่าไม่ยอมรับหรอกว่าใต้หล้านี้จะมีสตรีใดงามเทียบเท่ากู้เจี้ยนหลี นางเพียงรู้สึกว่าหลัวมู่เกอสวมชุดกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์สง่างามราวกับดอกติงเซียงบนยอดไม้ ทว่ากลับดูจืดชืด ซ้ำยังราวกับแผ่กลิ่นอายเย็นชาเป็นปราการกันผู้อื่นออกห่างนับพันหลี่ จึงดูคล้ายหิมะเย็นเยือกที่เกาะพราวบนกิ่งเหมยแดงเสียมากกว่า
ในจังหวะนี้เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยรีบรุดเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลัวมู่เกอพลางกล่าวยิ้มๆ “ไม่พบกันนานเชียวนะ มู่เกอ”
หลัวมู่เกอกำลังโบกพัดเบาๆ คุมความร้อนของหม้อยาอยู่ ยามนี้นางเงยหน้ามองเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยแวบหนึ่งแล้วก้มลงไปตามเดิมพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไม่พบกันนานจริงๆ”
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตอนนั้นเจ้าตั้งใจใช่หรือไม่!”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายถึงเรื่องใด” น้ำเสียงของหลัวมู่เกอยังคงเรียบเฉย
ตอนที่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นจี้ซย่าก็เริ่มระแวดระวังแล้ว พอเห็นว่าอีกฝ่ายตรงมาหาหลัวมู่เกอ จี้ซย่าก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้นอีก นางยืนลอบฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่แถวประตูอย่างตั้งอกตั้งใจ
“จีเจาผู้นี้นิสัยแปลกประหลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบสังหารคนกระทำทัณฑ์ทรมานอยู่เป็นนิจ ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากมายนับไม่ถ้วน ชมชอบการแล่เนื้อเถือหนัง สวมเสื้อผ้าและจุดโคมที่ทำจากหนังมนุษย์ ในเรือนชานประดับรูปสลักจากกระดูก กับสตรียิ่งชอบชำเราขืนใจ ฉุดคร่าสตรีมาแล้วนับไม่ถ้วน เด็กสองคนที่พากลับมาวันนี้ก็เป็นลูกชู้ มิหนำซ้ำเขายังมีลูกชู้อีกมากมายอยู่ด้านนอก! ที่ถูกพิษร้ายแรงก็เป็นเพราะกรรมตามสนอง ไม่นานจะต้องทรมานจนตาย!”
หลัวมู่เกอฟังอีกฝ่ายพูดจบแล้วพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ตอนนั้นข้าเคยพูดเช่นนี้กระมัง จำไม่ค่อยได้แล้ว”
“แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของนายท่านห้า!” เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ
“ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาจำเป็นต้องกล่าวออกไปด้วยหรือ” หลัวมู่เกอช้อนตามองอีกฝ่าย “เรื่องพวกนั้นข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เป็นเจ้าที่สืบเรื่องนายท่านห้าจากข้า ข้าจึงเล่าให้เจ้าฟังด้วยความหวังดี หากเจ้าไม่เชื่อไปลองถามเขาเองก็ใช้ได้แล้ว”
“อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าจงใจว่าร้ายเพราะไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับเขา! เจ้าพูดมา เป็นเพราะเจ้าอยากแต่งงานกับเขาใช่หรือไม่!”
หลัวมู่เกอมุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยก้าวขึ้นหน้าคิดจะจับไหล่หลัวมู่เกอไว้อย่างไม่ยินยอม นางกำลังจะดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ทว่ามือของนางเพิ่งจะแตะถูกไหล่ของหลัวมู่เกอ หลัวมู่เกอก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย กลับกลายเป็นฝ่ายปักเข็มเงินลงตรงหัวไหล่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยแทน
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยร้องออกมาเสียงหนึ่งด้วยความเจ็บก่อนทรุดลงคุกเข่ากับพื้น เหงื่อซึมผุดพรายทั่วตัวอย่างรวดเร็ว
จี้ซย่าที่ลอบฟังอยู่ตรงประตูพลันรู้สึกตื่นตระหนก แม่นางหลัวเคยจงใจว่าร้ายนายท่านห้าให้เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยฟัง? จะเพียงแค่ได้ยินมาอีกทีจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่จี้ซย่าไม่แน่ชัดนัก ทว่านางรู้สึกว่าควรนำเรื่องนี้ไปรายงานกู้เจี้ยนหลีเสียก่อน
หลัวมู่เกอดึงเข็มเงินที่ปักหัวไหล่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยออกแล้วโยนทิ้งส่งๆ จากนั้นก็โบกพัดเบาๆ คุมความร้อนของหม้อยาต่อ ไม่ได้สนใจใครอีก
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยนั่งคุกเข่าหอบหายใจอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน รอจนมองไปทางหลัวมู่เกออีกครั้งก็คาดเดาบางอย่างได้แล้ว
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยยิ้มเย็น ก่อนจะลุกขึ้นหันกายจากไปด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วง
หลัวมู่เกอหันไปมองในครัวแวบหนึ่ง จากนั้นก็วางพัดลงลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านใน ฝ่ายจี้ซย่ารีบหันกลับไปโยนพุทราแดงลงในหม้อใบใหญ่ก่อนจะหันมาถามราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว
“แม่นางหลัว เหตุใดเมื่อครู่บ่าวได้ยินเสียงพูดคุย มีใครมาหรือไม่เจ้าคะ ใช้หมัวมัวผู้หนึ่งหรือไม่”
“ไม่มีใครมา”
“อ้อ” จี้ซย่ารับคำพลางหันกลับไปตามเดิม
หลัวมู่เกอกลับวางมือลงบนเอวของจี้ซย่าคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ก่อนปักเข็มเงินเล็กแหลมเล่มหนึ่งลงไป
จี้ซย่าร้องครางเสียงหนึ่ง ดวงตาใสกระจ่างพลันฉายแววมึนงง
หลัวมู่เกอดึงเข็มเงินกลับก่อนจะตบบ่าจี้ซย่าเบาๆ
จี้ซย่าหันมามองหลัวมู่เกอด้วยความสับสน ร้องถามออกมาอย่างประหลาดใจว่า “แม่นางหลัว ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ จะใช้ครัวหรือ ดูบ่าวสิผัดผักเสียดังเชียว ท่านเดินมาถึงด้านหลังยังไม่รู้ตัวอีก”
หลัวมู่เกอยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้ามาเอาหม้อต้มยา”
“หม้อหินที่ใช้ต้มยาอยู่ตรงนี้ ท่านลองดูว่าจะใช้ใบใด แล้วยังมีอะไรให้บ่าวช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
หลัวมู่เกอพยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วหยิบมาส่งๆ ใบหนึ่ง
ระหว่างที่จี้ซย่ายืนผัดผักต่อ นางค้นพบโดยไม่ตั้งใจว่าหม้อหินสำหรับต้มยาที่วางไว้ตรงมุมนั้นหายไปใบหนึ่ง นางเดินไปหยุดอยู่ตรงประตูอย่างงุนงง ก่อนจะเห็นว่าตรงหน้าหลัวมู่เกอวางหม้อหินไว้สองใบ
“เอ๋? เมื่อครู่นางถือไปสองใบหรือ” จี้ซย่าพึมพำกับตนเอง “ต้องใช้ถึงสองใบเชียวหรือนี่…”
ทว่าจี้ซย่าไม่ได้สนใจนัก เพียงกลับไปผัดผักต่อ
ตอนที่หลัวมู่เกอยกยาที่ต้มเรียบร้อยกลับไปถึง บนแขนท่อนล่างของจีอู๋จิ้งก็ฝังเข็มไว้แน่นขนัดแล้ว จีอู๋จิ้งนั่งหลับตา ใบหน้านอกจากซีดขาวอยู่บ้างก็ไม่มีความรู้สึกอื่น ทว่าหลัวมู่เกอรู้ว่ายามนี้ภายในร่างกายของเขาเจ็บปวดยิ่งยวดเพียงใด
นางเทยาที่ต้มเรียบร้อยแล้วลงในอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาด กลิ่นหอมประหลาดชนิดหนึ่งพลันตลบอบอวลในทันใด
จี้จิ้งอี้มองธูปที่จุดไว้บนโต๊ะแวบหนึ่ง ก่อนจะเริ่มดึงเข็มเงินบนแขนของจีอู๋จิ้งออกทีละเล่ม ทุกครั้งที่ดึงเข็มเงินออกก็จะปรากฏคราบเลือดสีดำตาม
ตอนที่เข็มซึ่งฝังไว้ในแขนท่อนล่างของจีอู๋จิ้งดึงออกมาแล้วกว่าครึ่ง เขาพลันลืมตาขึ้นมองไปทางห้องชั้นใน
กู้เจี้ยนหลีกำลังค้ำไม้เท้าเดินออกมาจากในห้องอย่างเชื่องช้า
“มีอะไรอีก” จีอู๋จิ้งถามส่งๆ
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้าเล็กน้อย ขยับเข้าไปนั่งลงตรงข้างจีอู๋จิ้ง มองดูเข็มเงินที่จี้จิ้งอี้ดึงออกจากแขนเขาอย่างต่อเนื่องไม่ละสายตา
หลัวมู่เกอหยิบผ้าที่แช่ยาไว้ขึ้นมาบิดเล็กน้อยก่อนจะเตรียมนำไปเช็ดแขนให้จีอู๋จิ้ง
“ให้ข้าทำเถิด” กู้เจี้ยนหลียื่นมือออกมา
หลัวมู่เกอลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยื่นผ้าไปให้กู้เจี้ยนหลีพลางกล่าวว่า “ต้องออกแรงสักหน่อยเพื่อให้ยาซึมเข้าไป”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับก่อนเช็ดให้จีอู๋จิ้งอย่างละเอียดลออ
จีอู๋จิ้งมองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของสตรีที่ก้มหน้าอยู่ จู่ๆ ก็ขยับเข้าไปชิดใบหูของนางแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ไม่มีอาคอยกอดแล้วนอนไม่หลับหรือ”
กู้เจี้ยนหลีชะงักมือครู่หนึ่งก่อนจะยกเท้าเหยียบอีกฝ่ายใต้โต๊ะอย่างแรง
จีอู๋จิ้งหัวเราะเสียงดัง
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว ด่าในใจคำหนึ่งว่าไร้สาระ! จากนั้นนางค่อยถามขึ้น “เช่นนี้ใช้ได้แล้วหรือยัง”
จี้จิ้งอี้ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ จีอู๋จิ้งก็เอ่ยตัดหน้าว่า “ไม่ได้ ต้องเช็ดมืออีก เช็ดให้ละเอียดด้วยเล่า”
“อ้อ” กู้เจี้ยนหลีรับคำแล้วจับมือจีอู๋จิ้งมาเช็ดอย่างช้าๆ นิ้วมือแต่ละนิ้วล้วนเช็ดอย่างละเอียดลออ กระทั่งข้อพับระหว่างนิ้วยังไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตา
จีอู๋จิ้งมองท่าทางจดจ่อของกู้เจี้ยนหลีอย่างสนอกสนใจ
ฝ่ายจี้จิ้งอี้ใช้มีดเล่มน้อยกรีดมือของจีอู๋จิ้ง จากนั้นจีอู๋จิ้งก็จุ่มมือลงไปในยาน้ำสีขาวนวล ไม่นานหนอนกู่ตัวลูกก็ลอยออกมา
จี้จิ้งอี้กล่าวว่า “ต่อไปนี้ฝังเข็มเจ็ดวันครั้ง หลังจากครบเจ็ดครั้งก็จะเพาะหนอนกู่ตัวแม่ได้แล้ว” เขากำชับอีกคราหนึ่ง “ท่านหัวหน้า ห้ามใช้กำลังภายในตามใจตนเองอีกเด็ดขาด”
จีอู๋จิ้งรับคำส่งๆ เสียงหนึ่ง
จี้จิ้งอี้ถอนใจ อันที่จริงเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าจีอู๋จิ้งจะฟังคำกำชับของเขา หากจีอู๋จิ้งดูแลตนเองอย่างดีจริงๆ เหตุใดจนถึงตอนนี้จึงยังไม่อาจเพาะหนอนกู่ตัวแม่ได้เล่า
ต่อให้หนอนกู่ตัวแม่ไม่ใช่ยาถอนพิษ ทว่าอย่างไรก็ช่วยยืดชีวิตได้
หลังจากจี้จิ้งอี้กับหลัวมู่เกอลากลับไปแล้ว จีอู๋จิ้งก็หันมองไปยังกู้เจี้ยนหลีที่เหม่อลอยอยู่ด้วยท่าทางเกียจคร้านพลางถาม
“ไม่ง่วงแล้วหรือ”
“ตอนนี้ไม่อยากนอน”
“เช่นนั้นก็ไปฝึกเดินได้แล้ว” จีอู๋จิ้งลุกขึ้นก่อนอุ้มนางเข้าไปในห้องชั้นในโดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อรอง
ชั่วขณะที่ร่างกายลอยหวือกลางอากาศ กู้เจี้ยนหลีลนลานคว้าไม้เท้าที่วางไว้ข้างๆ มากำไว้แน่น
จีอู๋จิ้งวางนางลงที่หน้าประตูห้องแล้วยึดไม้เท้าในมือนางไว้ ก่อนจะถอยหลังไปทางเตียงนอน ถอยไปพลางเอ่ยขึ้น
“เดินมาเอาไม้เท้าของเจ้าไป”
กู้เจี้ยนหลีลองก้าวเท้าซ้ายออกไป ฝ่าเท้าเพิ่งจะแตะพื้นก็รู้สึกเจ็บจนต้องยกเท้ากลับ
“กู้เจี้ยนหลี”
“ยัง…ยังไม่หายดี รออีกหน่อย…” นางเอ่ยเรียกเสียงเบาอย่างร้อนรน “ท่านอา…”
จีอู๋จิ้งเลียริมฝีปาก
ผู้หนึ่งไม่ยอมก้าวเท้า ผู้หนึ่งไม่ยอมถอยหลัง นิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
กระทั่งจู่ๆ จีอู๋จิ้งก็เดินไปหากู้เจี้ยนหลี
กู้เจี้ยนหลีมองดูชายหนุ่มที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา ในใจพลันรู้สึกกังวล เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
นางมองจีอู๋จิ้งที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
หางตาของจีอู๋จิ้งชี้ขึ้นเล็กน้อย ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่แฝงเจตนาไม่ดีนัก จากนั้นก็บีบบังคับถอดเสื้อผ้าของนางอย่างฉับไว รอจนกู้เจี้ยนหลีรู้เนื้อรู้ตัว เสื้อผ้าก็ถูกถอดออกจนแทบจะเปลือยเปล่า บนตัวเหลือไว้เพียงกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนกับถุงเท้าเท่านั้น
นางรีบกอดอกไว้ ถลึงตาใส่บุรุษที่ถอยหลังไปอย่างมีน้ำโห เค้นถามว่า “ทำอะไรของท่าน!”
จีอู๋จิ้งแกว่งเอี๊ยมในมือไปมา ถอยหลังไปพลางกล่าวยิ้มๆ “มาเอาคืนสิ”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนพฤศจิกายน 2568)
Comments
comments
No tags for this post.