บทที่ 1
เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะออกแรงมากเกินไปหรือเพราะอากาศหนาวเหน็บ นิ้วมือเรียวยาวเนียนละเอียดของนางจึงซีดขาวยิ่งนัก
เหมันต์เดือนสิบสองอากาศหนาวจัด สตรีบอบบางดุจหยกปานบุปผาผู้หนึ่งยืนอยู่ในตรอกกันดาร ยามลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่านทำเอาชุดกระโปรงเนื้อบางแนบเข้ากับเอวคอด ส่งผลให้คนงามยิ่งดูน่าทะนุถนอม เรียกสายตาหลายคู่ตั้งแต่ต้นจนท้ายตรอกให้หันมองมา
‘แอ๊ด…’
เวลานี้เองประตูไม้หนักอึ้งของโรงจำนำเปิดออกจากภายใน กู้เจี้ยนหลีกระชับของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่มารดาทิ้งไว้ให้ แล้วจึงก้าวข้ามธรณีประตูไปอย่างเร่งรีบ
แม้จะทำใจไม่ได้ปานใด บิดาก็ยังคงรอคอยยาสำหรับรักษาชีวิตอยู่…
ทุกหนทุกแห่งในตรอกแห่งนี้พลันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
“อู่เสียนอ๋องเป็นถึงอ๋องต่างสกุล* เพียงหนึ่งเดียวในต้าจีเชียวนะ ในอดีตเกียรติยศล้ำเลิศกว่าผู้ใด แต่ตอนนี้…จุๆ ถูกริบทั้งบรรดาศักดิ์และทรัพย์สิน ซ้ำยังถูกลากคอเข้าคุกหลวง ถ้าไม่ใช่เพราะถึงวาระอภัยโทษทั้งแผ่นดินเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา เขาก็คงจะ…” ชายผู้หนึ่งกล่าวขึ้นถึงตรงนี้ก็ทำท่าเชือดคอตนเอง
อีกคนหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยต่อ “ตอนนี้เขาก็อาการร่อแร่แล้ว จะตายเร็วหรือตายช้าต่างกันตรงที่ใด”
คนเหล่านี้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ราวกับลืมไปแล้วว่ายามที่อู่เสียนอ๋องกลับมาหลังจากชนะศึกในปีนั้นตนเองก็เคยหมอบกราบเขา ร่ำร้องสรรเสริญว่า ‘เทพสงคราม’ อย่างปลื้มปีติมาก่อน
“เสียดายก็แต่สองหลีแห่งเมืองหย่งอัน…” ชายคนแรกทอดถอนใจ
บุตรสาวทั้งสองของอู่เสียนอ๋องล้วนมีอักษร ‘หลี’ อยู่ในชื่อ เพราะหน้าตางดงามจึงมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า รู้จักกันในนาม ‘สองหลีแห่งเมืองหย่งอัน’ เป็นดั่งจันทราสุกสว่างบนนภาที่บุรุษทั่วทั้งเมืองหย่งอันมิอาจเอื้อมคว้ามาไว้ในครอบครองได้
“ได้ยินว่ากู้ไจ้หลีที่เป็นพี่สาวออกเรือนไปแล้วสามปีกลับไม่มีทายาท ตอนนี้ยังเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก ไม่รู้ว่านางจะถูกครอบครัวสามีเขียนหนังสือหย่าหรือไม่ ส่วนน้องสาวอย่างกู้เจี้ยนหลีก่อนหน้านี้มีสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายสามจวนก่วงผิงป๋อ เดิมทีการแต่งงานครั้งนี้นับว่าครอบครัวเชื้อพระวงศ์ตกอับนั่นคิดอาจเอื้อมเกี่ยวดองกับอู่เสียนอ๋อง แต่ดูจากสถานการณ์ในยามนี้ เกรงว่างานแต่งคงต้องยกเลิกแล้ว”
คู่สนทนากลับเกิดคลางแคลงใจขึ้นมา “ไม่ได้กระมัง การแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทเชียวนะ!”
กู้เจี้ยนหลีไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น หรือต่อให้ได้ยินนางก็คงมิได้ใส่ใจ สามเดือนมานี้นางฟังเสียงเหล่านั้นมามากพอแล้ว หลังจากจำนำของเรียบร้อยนางก็ไปซื้อยาที่ร้านยา อดทนจากสายตามองสำรวจที่แฝงเจตนาไม่ดีมากมายหลายคู่นั้นแล้วรีบกลับเรือนของตน
เวลานี้ครอบครัวสกุลกู้ทั้งสี่คนอาศัยอยู่ในเรือนน้อยสภาพซอมซ่อที่มีบ่าวผู้ซื่อสัตย์ยกให้ เรือนที่ว่านี้มีขนาดเล็กมาก ทั้งเรือนรวมกันยังใหญ่ไม่เท่าห้องนอนที่กู้เจี้ยนหลีเคยอยู่ด้วยซ้ำ ในเรือนมีห้องเพียงสองห้อง บิดา มารดาเลี้ยง และบุตรของนางพักรวมกันในห้องหนึ่ง ส่วนอีกห้องกู้เจี้ยนหลีพักอยู่ผู้เดียว ห้องที่นางพักอยู่นี้เดิมทีเป็นห้องครัวมาก่อน พื้นที่คับแคบยิ่ง แทบจะไม่มีที่เดินด้วยซ้ำ
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งเดินมาถึงปากตรอกก็ได้ยินเสียงโต้เถียงดังสนั่นมาจากเรือนหลังนั้น เสียงแหบแห้งของมารดาเลี้ยงอย่างเถาซื่อ เสียดแทงโสตประสาทมากเป็นพิเศษ มือหนึ่งของเด็กสาวพลันกระชับยาในมือแน่น อีกมือจับกระโปรงแล้วออกวิ่งไปทางเรือนทันที
“พวกเจ้าจวนก่วงผิงป๋อมันก็แค่คนปลิ้นปล้อนที่ทั้งเลวทรามทั้งขี้ขลาดตาขาว! ไม่แปลกใจเลยที่ตกอับจนถึงขั้นนี้ ทีแรกจ้องจะสู่ขอบุตรสาวบ้านเราตาเป็นมัน ตอนนี้เห็นพวกเราเดือดร้อนกลับมาซ้ำเติมถึงที่! รังแกกันเพราะสามีข้านอนป่วยลุกไม่ขึ้นเช่นนี้ พวกเจ้าจะต้องได้รับกรรมแน่!” เถาซื่อตะโกนไปพลางร้องไห้ไปพลาง
กู้เจี้ยนหลีที่มาถึงหน้าประตูเรือนแล้วได้ยินคำพูดของเถาซื่อเข้าพอดี ในใจพลันกระตุกวูบ หรือว่า…จวนก่วงผิงป๋อมาถอนหมั้นแล้ว
ดวงตาของเด็กสาวฉายแววเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อยก่อนหายวับไปอย่างรวดเร็ว นางขบริมฝีปากสีชมพูอ่อนของตนเองจนบนนั้นเกิดรอยฟันสีขาวขึ้น
หน้าประตูเรือนมีคนรอชมความครึกครื้นมากมาย ทว่าประตูเรือนปิดสนิทไม่ให้เห็นเหตุการณ์ภายใน แต่ละคนจึงทำได้เพียงเงี่ยหูฟังเสียง คราวนี้พอเห็นว่ากู้เจี้ยนหลีกลับมาแล้วก็หลีกทางให้เล็กน้อย
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะเปิดประตูเรือน กลุ่มคนที่มาชมความครึกครื้นต่างก็พากันชะเง้อคอมองไปด้านในทันที
เถาซื่อที่นั่งกองอยู่กับพื้นพลันตะเกียกตะกายพลิกตัวลุกขึ้น แล้วคว้าถังไม้บรรจุน้ำสกปรกขึ้นสาดออกไปด้านนอก “ดูอะไรนักหนา! ถ้ายังดูอีกข้าจะควักลูกตาพวกเจ้าให้หมด!”
นางยังด่าทออีกหลายประโยค จากนั้นหยิบไม้กวาดตรงประตูขึ้นมากวัดแกว่งไล่ตามคนพวกนั้นไปจนถึงปากตรอก
ผู้ที่มาเป็นตัวแทนของจวนก่วงผิงป๋อในวันนี้คือพ่อบ้านซ่ง ด้านหลังยังมีบ่าวรับใช้อีกสองคนกับหีบห่อผ้าไหมสีแดงอีกสองใบ
กู้เจี้ยนหลีมองไปที่ผ้าไหมสีแดงบนหีบเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ
ด้านพ่อบ้านซ่งคำนับทักทายกู้เจี้ยนหลีด้วยรอยยิ้มที่ไม่จริงใจนัก “คารวะคุณหนูรองสกุลกู้”
เด็กสาวยังจำได้ว่าคนผู้นี้ทำหน้าประจบประแจงเพียงใดตอนที่มาพบนางเมื่อคราวก่อน
“คุณหนูรองสกุลกู้ บ่าวนำสินสอดมามอบให้ อีกสามวันข้างหน้าเป็นฤกษ์งามยามดี ถึงเวลานั้นเกี้ยวเจ้าสาวจะมารับท่าน บ่าวขออวยพรล่วงหน้าให้ท่านกับนายท่านห้าครองรักกันจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง!”
กู้เจี้ยนหลีเงยหน้าขึ้นโดยพลัน ดวงตาสุกใสคู่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ยามนางก้มหน้าก้มตาก็นับว่างามราวกับภาพวาดแล้ว ยามนี้เมื่อนางช้อนตาขึ้นมองผู้อื่น ก็ยิ่งนับเป็นความงดงามอีกแบบหนึ่ง
พ่อบ้านซ่งถึงกับนิ่งงัน เขาย่อมรู้ซึ้งถึงชื่อเสียงของสองหลีแห่งเมืองหย่งอัน ทว่ากู้เจี้ยนหลีอายุย่างสิบห้าปีเท่านั้น ยังไม่ถึงวัยงามสะพรั่ง พ่อบ้านซ่งจึงคิดมาตลอดว่านางงดงามไม่เท่าพี่สาว วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าตนเองคิดผิดถนัด หากผ่านไปอีกสองปีเสน่ห์ของสตรีในตัวกู้เจี้ยนหลีปรากฏออกมาเด่นชัดแล้วไม่รู้ว่าจะงามล่มเมืองปานใด
ด้านกู้เจี้ยนหลีเตรียมใจจะถูกถอนหมั้นมานานแล้ว สกุลกู้ในยามนี้ตกต่ำลงมาก เดิมนางจึงคิดว่าจวนก่วงผิงป๋อส่งคนมาวันนี้เพื่อที่จะถอนหมั้น อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมามอบสินสอดแทนนายท่านห้าสกุลจีของพวกเขา
นายท่านห้าสกุลจี…
ปลายนิ้วมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวพลันสั่นเทาเล็กน้อย
นางไม่เคยพบนายท่านห้าสกุลจี ทว่านางรู้จักคนผู้นี้ ทั่วทั้งแคว้นต้าจีไม่มีผู้ใดไม่รู้จักปีศาจร้ายที่สองมือเปื้อนเลือดเช่นเขา
กู้เจี้ยนหลีถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างตื่นกลัวระคนไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “นี่หมายความว่าอย่างไร”
เสียงของพ่อบ้านซ่งอ่อนลงหลายส่วน ตอบกลับเสียงเบาว่า “คุณหนูรองสกุลกู้ บ่าวขอกล่าวกับท่านด้วยความสัตย์จริง ด้วยสภาพการณ์ของตระกูลท่านในยามนี้ หากวันใดฝ่าบาทคิดสืบสาวเอาความขึ้นมาอีกจะมีโทษประหารถึงเก้าชั่วโคตรเชียว คุณชายสามจวนเราจะกล้าแต่งกับท่านได้อย่างไร”
ใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีซีดขาว นางอดกลั้นต่อความเจ็บปวดในใจแล้วถามต่อ “เหตุใดไม่ถอนหมั้นให้จบๆ ไป”
“นี่เป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทเชียวนะขอรับ”
กู้เจี้ยนหลีไม่เข้าใจ ถอนหมั้นไม่ได้แต่เปลี่ยนคู่สมรสได้? นี่มิใช่เป็นการขัดราชโองการเช่นกันหรอกหรือ
ยามนี้พ่อบ้านซ่งพลันแย้มยิ้ม “นายท่านห้านามว่า ‘เจา’ คุณชายสามนามว่า ‘เซ่า’ ไม่รู้บนราชโองการมีน้ำหมึกหกมาหยดหนึ่ง บดบังตัวอักษรครึ่งซ้ายไปได้อย่างไร”
“ลอบเปลี่ยนแปลงราชโองการถือเป็นโทษประหารเช่นกัน…” เสียงของกู้เจี้ยนหลีสั่นเครือเล็กน้อย ทว่าเมื่อนางมองดูรอยยิ้มของพ่อบ้านซ่งก็แจ่มแจ้งขึ้นมาโดยพลัน
เกรงว่านี่จะเป็นความต้องการของคนในวังกระมัง
เวลานี้เถาซื่อกลับมาแล้ว นางพุ่งตรงเข้ามาในเรือนก่อนดึงตัวกู้เจี้ยนหลีไปยืนด้านหลังตนเอง จากนั้นมือหนึ่งยกขึ้นเท้าเอว อีกมือยกขึ้นชี้หน้าพ่อบ้านซ่งพลางกล่าวอย่างมีน้ำโห “ใครไม่รู้บ้างว่านายท่านห้าของพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นฤดูหนาวนี้ กระทั่งโลงศพยังเตรียมไว้พร้อมแล้ว! นี่คิดจะให้เอ้อร์เหนียง ของเราฝังรวมไปกับเขาเลยสินะ! พอเอ้อร์เหนียงตายไปวันหน้าก็ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไม่ได้แล้ว ซ้ำยังรักษาเกียรติรักษาหน้าตาไว้ได้ ช่างคำนวณไว้ได้ดีเสียจริง! พวกเจ้าจวนก่วงผิงป๋อไม่กล้าขัดราชโองการ แต่สกุลกู้ของพวกข้ากล้า! กลับไปบอกคนปลิ้นปล้อนพวกนั้นด้วยว่าวันนี้เป็นเอ้อร์เหนียงของเราปลดเจ้าสารเลวจีเสวียนเค่อนั่นออกจากการเป็นว่าที่สามี!”
ระหว่างที่ตะโกนโต้ตอบเถาซื่อทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปด้วย
“พวกขี้ขลาด ขี้ขลาดตาขาวกันทั้งนั้น!”
ยามนี้กู้เจี้ยนหลีค่อยๆ คลายอาการตกตะลึงลงแล้ว นางย่อตัวลงเปิดหีบออกดู
ภายในหีบมีเพียงผ้าสองผืน ข้าวเหนียวกับเส้นบะหมี่ อย่างละกระสอบ และเงินอีกห้าสิบตำลึง
หากสกุลกู้มีชื่อเสียงเกียรติยศเช่นวันวาน ไม่ว่าผู้ที่สู่ขอนางจะเป็นนายท่านห้าหรือคุณชายสามสกุลจี สินสอดที่ส่งมาก็ไม่อาจมีเพียงเท่านี้ ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจงใจหยามเกียรติกันอยู่จริงๆ
ทว่าในใจกู้เจี้ยนหลีกลับสงบนิ่งเกินความคาดหมาย นางลูบคลำเงินเหล่านั้นพลางคิด หากคนผู้นี้มาก่อนหน้าสักวันสองวันก็คงดี เช่นนั้นก็ไม่ต้องนำของต่างหน้าของท่านแม่ไปจำนำแล้ว
ส่วนการแต่งงานที่เอาชีวิตไปทิ้งเช่นนี้…
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับในที่สุด “รบกวนพ่อบ้านซ่งนำความกลับไปแจ้งด้วยว่าข้าตกลงจะแต่งงาน”
“ไม่ได้นะ! เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ!” เถาซื่อฉุดกู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นด้วยความโกรธ จากนั้นเดินไปข้างหน้าก้าวใหญ่บดบังร่างลูกเลี้ยงของตนไว้ ถกแขนเสื้อเตรียมจะด่าผู้มาเยือนจนสาแก่ใจ
“ท่านแม่” กู้เจี้ยนหลีเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา
เถาซื่อพลันชะงัก ตอบสนองไม่ทันอยู่นาน นางแต่งเข้าสกุลกู้มาเจ็ดปี รู้ดีว่าลูกเลี้ยงทั้งสองคนล้วนไม่ชอบตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ สามเดือนมานี้ภาพลักษณ์ใดของนางล้วนไม่หลงเหลือแล้ว ดึงดันแบกรับทุกอย่างเอาไว้ราวกับคนบ้า ยามนี้ในใจคล้ายถูกคลื่นลูกหนึ่งซัดสาด ทั้งขมขื่นทั้งปวดร้าว
ฝ่ายพ่อบ้านซ่งสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง ประหลาดใจอย่างยิ่งที่กู้เจี้ยนหลีตอบรับอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พลันนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับมา จึงยกยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้จึงจะถูกต้อง ด้วยสภาพการณ์นี้ วันนี้อยู่ได้ใช่ว่าพรุ่งนี้จะยังอยู่ได้เช่นกัน ไขว่คว้าสิ่งใดได้ก็ไขว่คว้าไว้ก่อนเถิด”
กู้เจี้ยนหลีสีหน้าเรียบนิ่ง ท่าทีห่างเหินเฉยชา ไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใดต่ออีก
พ่อบ้านซ่งพลันนึกกระดากอาย ฉวยโอกาสที่เถาซื่อยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบพาบ่าวรับใช้อีกสองคนจากไปอย่างรวดเร็ว
เรือนน้อยคับแคบเงียบสงบลงในที่สุด เถาซื่อกลั้นน้ำตาพลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดจึงทำเช่นนี้ จวนก่วงผิงป๋อจงใจหยามเกียรติให้พวกเราเป็นฝ่ายออกปากขัดราชโองการปฏิเสธการแต่งงานนี้เอง จวนเรายามนี้แบกรับโทษประหารเอาไว้แล้ว จะรับโทษขัดราชโองการอีกสักความผิดจะเป็นไรไป ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเงินมารักษาท่านพ่อของเจ้า แต่เราหาเงินได้มากมายหลายวิธี เหตุใดต้องให้เด็กสาวเช่นเจ้าเอาชีวิตไปแลกด้วยเล่า เพียงเจ้าปักผ้าสักหน่อย ข้านำไปขายให้ร้านก็ได้เงินมา…”
กู้เจี้ยนหลีหลุบตา เสียงของนางทั้งแหบต่ำและแผ่วเบา แต่แฝงไว้ซึ่งความดื้อดึง “ถึงจะกล่าวกันว่าพยานหลักฐานมีพร้อม แต่ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อเป็นคนเช่นนั้น ที่บีบให้เราขัดราชโองการหาใช่จวนก่วงผิงป๋อ ทว่าเป็นคนในวัง หากเราขัดราชโองการยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ย่อมเป็นการตกหลุมพราง เช่นนั้นพวกเราจะไม่มีทางมีชีวิตรอดถึงวันที่ท่านพ่อได้ล้างมลทินเป็นแน่ มีชีวิตห้าสิบปีนับว่ามีชีวิต มีชีวิตเพียงสิบห้าปีก็นับว่ามีชีวิต ข้ายอมสละชีวิตเพียงคนเดียว แต่จะไม่ยอมให้ทั้งสกุลกู้รอดชีวิตพร้อมมลทินติดตัวเด็ดขาด”
เด็กสาวเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่นพลางกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ
“อีกอย่างอาการของท่านพ่อไม่อาจรักษาด้วยยาราคาถูกพวกนี้ได้ ทว่าแค่ค่ายาเหล่านี้เรายังไม่มีเลย ร่างกายของท่านพ่อรอยาจากน้ำพักน้ำแรงค่าผ้าปักของข้าไม่ไหวหรอก เงินห้าสิบตำลึงนี้จึงนับว่านำมาแก้ขัดได้พอดิบพอดี”
เถาซื่ออ้าปากค้าง กล่าวสิ่งใดไม่ออกสักคำ นางเพิ่งรู้ว่าตนโง่งมจนมองเรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้ไม่ออกเลยสักนิด
ตอนนั้นเองจู่ๆ ที่กำแพงก็เกิดเสียงดังคล้ายกับก้อนอิฐตกกระทบพื้น กู้เจี้ยนหลีกับเถาซื่อหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงศีรษะหนึ่งผลุบโผล่ออกมาจากกำแพง ที่แท้เป็นจ้าวเอ้อร์วั่งจากบ้านสกุลจ้าวตรงริมถนนกำลังปีนกำแพงขึ้นมา
“ได้ยินว่าตอนนี้บ้านพวกเจ้าไม่มีเงินประทังชีวิตอย่างนั้นหรือ” สายตากะลิ้มกะเหลี่ยของจ้าวเอ้อร์วั่งเลื่อนมองมายังกู้เจี้ยนหลี “นอนกับพี่ชายสักคืนจะให้เจ้าสามร้อยอีแปะสนใจหรือไม่”
“ข้าจะตีพวกขี้เรื้อนสกปรกเช่นเจ้าให้ตาย!” เถาซื่อรีบก้มลงคว้าหินก้อนหนึ่งขึ้นมาเขวี้ยงไปทางจ้าวเอ้อร์วั่งก่อนวิ่งตามไปด่าถึงที่
หินก้อนนั้นเขวี้ยงโดนศีรษะของจ้าวเอ้อร์วั่งเข้าอย่างจัง เขาร้องออกมาคำหนึ่ง ทั้งร่างร่วงลงจากกำแพง พอตั้งหลักได้ก็ออกวิ่ง เขาวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “เปลี่ยนใจเมื่อไรมาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของกู้เจี้ยนหลีเม้มเข้าหากันเล็กน้อย หลังพรูลมหายใจบางเบาออกจนหมดสิ้น รอยยิ้มบางจึงประดับอยู่บนริมฝีปากพร้อมเอ่ยวาจาเสียงเบา “ต่อให้อยู่ที่นี่ต่อก็หาได้มีผลดีอะไร”
หัวใจเถาซื่อหล่นดังตุ้บ ไม่คิดไล่ตามจ้าวเอ้อร์วั่งต่อแล้ว นางหันกลับไปมองกู้เจี้ยนหลี ถึงอีกฝ่ายสวมชุดกระโปรงเนื้อหยาบซอมซ่ออย่างชาวนาชาวไร่แต่กลับไม่อาจลบเลือนความงามผุดผาดไปได้ ในอดีตมารดาของนางงามล่มเมือง ยามนี้นางกับพี่สาวถึงวัยงามเฉิดฉัน คาดไม่ถึงว่าจะงดงามเสียยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิดเสียอีก
งามดุจบุปผาล่มแผ่นดิน
ใบหน้านี้ของนาง…เป็นดั่งหายนะ
ความรู้สึกเย็นยะเยือกแล่นจากปลายเท้ากระจายไปทั่วสรรพางค์กาย เถาซื่อพลันเข้าใจขึ้นมาอย่างเลือนรางแล้ว ไม่ว่าตนเองจะใช้ความดุร้ายถึงเพียงใดมาบดบังไว้ เกรงว่าสุดท้ายก็ยังคงคุ้มครองเด็กผู้นี้ไม่ได้อยู่ดี
บทที่ 2
ในใจเถาซื่ออึดอัดคับข้องอย่างมาก นางทั้งอึดอัดคับข้องกับสภาพการณ์ตอนนี้ ทั้งอึดอัดคับข้องกับความไร้น้ำใจของผู้คน ยิ่งคิดถึงเหตุที่กู้จิ้งหยวนต้องโทษ นางก็ยิ่งอึดอัดคับข้องใจ
เหตุที่กู้จิ้งหยวนต้องโทษ เป็นเพราะขืนใจหลีกุ้ยเฟย
ตอนกลางคืนขณะเถาซื่อห่มผ้าให้กู้จิ้งหยวนได้ยินเสียงเขาละเมอ นางขยับเข้าใกล้จึงได้ยินคำว่า ‘หลี’ อย่างเลือนราง เถาซื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดถึงภรรยาคนแรกของตนเองอยู่
กู้จิ้งหยวนเป็นทั้งสามีและวีรบุรุษที่นางนับถือ เป็นนางเองที่เสนอตัวเข้ามาเป็นภรรยาคนใหม่โดยไม่สนใจสิ่งใด ความรักลึกซึ้งที่กู้จิ้งหยวนมีต่อภรรยาคนแรกนั้นนางเข้าใจมากกว่าผู้ใด และนางก็เชื่อมั่นในมโนธรรมของเขา มั่นใจเป็นที่สุดว่าเขาไม่มีทางรังแกข่มเหงสตรีโดยเด็ดขาด
ทว่า…หลีกุ้ยเฟยเป็นน้องสาวภรรยาคนแรกของเขา รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ใจเถาซื่อกระตุกวูบ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา
นางไม่อาจคิดต่อ ซ้ำยังไม่กล้าคิดต่อ เพียงแต่ซับรอยชื้นตรงหางตาก่อนเดินไปผลักประตูห้องกู้เจี้ยนหลีที่อยู่ด้านในให้เปิดออก
กู้เจี้ยนหลีนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง คางของนางแนบไปกับหัวเข่า ดูไปแล้วคล้ายขดตัวเป็นก้อนอยู่ในห้องเล็กมืดทึม นางเอียงศีรษะมา ช้อนตาขึ้นมองเถาซื่อ จากนั้นตบที่นั่งข้างตัวเบาๆ เป็นเชิงเชิญเถาซื่อเข้ามานั่ง
เถาซื่อข่มกลั้นอารมณ์ปวดใจก่อนเข้าไปนั่งข้างๆ พยายามฝืนยิ้มออกมา ด้านหนึ่งสังเกตสีหน้ากู้เจี้ยนหลี ด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเอาใจระคนลองเชิง “ข้าเพียงแต่อยากมาคุยกับเจ้า ไม่ได้รบกวนใช่หรือไม่”
ยามเผชิญหน้ากับผู้อื่นเถาซื่อไม่เคยเสียเปรียบเรื่องฝีปาก มีเพียงยามอยู่ต่อหน้าสามพ่อลูกสกุลกู้เท่านั้นที่พูดจาอึกอักเงอะงะขึ้นมาบ้าง บางทีอาจเพราะรู้ดีว่าฐานะต่ำต้อยกว่าจึงพาให้รู้สึกว่าตนเองด้อยค่ากระมัง
กู้เจี้ยนหลีทาบมือบนหลังมือของเถาซื่อ เถาซื่อมองมือที่ซ้อนทับกันไว้คู่นั้น พลันรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“ขอบคุณท่านมาก” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปาก
เถาซื่อเอ่ยอย่างลนลาน “นี่…พูดอะไรของเจ้า…”
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้ายิ้มๆ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนเจี้ยนหลียังเด็กไม่รู้ความ ไม่เคารพท่านเท่าที่ควร…”
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้เสียหน่อย! พูดเหลวไหลอะไรกัน” เถาซื่อรีบเอ่ยขัดคำพูดของอีกฝ่าย นางเข้าใจลูกเลี้ยงทั้งสองดี ไม่มีใครชื่นชอบมารดาเลี้ยงของตนจากใจจริงหรอก ซ้ำลูกเลี้ยงสองคนของนางนี้เมื่อก่อนก็เพียงแค่เย็นชาห่างเหินกับนางมากหน่อยเท่านั้น ไม่อาจนับว่าไม่เคารพนาง
สองแม่ลูกสบตาแล้วยกยิ้ม ถ้อยคำที่เหลือไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความแล้ว
เถาซื่อเปลี่ยนมาเอ่ยปลอบกู้เจี้ยนหลีแทน “คนใกล้ตายบางคนพอจัดงานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง เจี้ยนหลีของเราดวงดีมาตั้งแต่เด็ก ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะขลุกขลักอยู่สักหน่อย สุดท้ายจับพลัดจับผลูต้องแต่งงานกับนายท่านห้าสกุลจี แต่อาจไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าเจ้าอาจช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของนายท่านห้าผู้นั้น แต่งไปสักวันสองวันเขาอาจจะกลับมามีกำลังวังชาเหมือนเก่าก็เป็นได้”
กู้เจี้ยนหลีไม่ค่อยเชื่อเรื่อง ‘งานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย’ นัก ทว่าเถาซื่อปลอบโยนนาง นางก็ไม่อยากให้มารดาเลี้ยงของนางเป็นกังวลมากเกินไปจึงยิ้มรับเออออกับอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำกึ่งเล่นกึ่งจริง “ขอให้เป็นดังคำท่านก็แล้วกัน แต่ข้าหวังว่าเขาจะนอนป่วยหายใจโรยรินต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้กลับมามีกำลังวังชาเลยจะดีกว่า”
หว่างคิ้วของกู้เจี้ยนหลียับย่นเล็กน้อย แสดงท่าทีไร้เดียงสาเฉกเช่นเด็กสาวอายุย่างสิบห้าออกมาอย่างหาได้ยาก
เถาซื่อพลันชะงัก ก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้ากลัวเขาหรือ”
กู้เจี้ยนหลีจึงย้อนถามนาง “มีใครไม่กลัวเขาด้วยหรือ”
“นี่…”
พอนึกถึงสิ่งที่นายท่านห้าจวนก่วงผิงป๋อผู้ใกล้หมดลมหายใจเคยกระทำ ฉับพลันนั้นเถาซื่อก็อับจนหนทางจะปลอบประโลมกู้เจี้ยนหลีต่อแล้ว อย่าว่าแต่ลูกเลี้ยงที่อายุใกล้จะสิบห้าปีของนางเลย ต่อให้เป็นนางเองหากพบเจอนายท่านห้าผู้นั้นซึ่งหน้าเข้าก็คงขาสั่นพั่บๆ เช่นกัน
กู้เจี้ยนหลีคล้ายจะคิดสิ่งใดออก จู่ๆ ก็ตัวสั่นระริก แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเครือไปเล็กน้อย “ข้าเคยได้ยินว่าหากฆ่าคนมามากมาย ตายไปแล้วจะถูกผีร้ายตามรังควาน เขาฆ่าคนมาไม่น้อย หากตายไปแล้วข้าต้องฝังรวมกับเขาจริงๆ จะถูกผีร้ายนับไม่ถ้วนตามรังควานไปด้วยหรือไม่”
ใบหน้างดงามขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย ความสุขุมเยือกเย็นในตอนแรกเลือนหายไปหมดสิ้น
เถาซื่อรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ทำสิ่งใดล้วนไม่เกรงกลัว แต่กลับกลัวผียิ่งกว่าอะไร นางกำลังคิดว่าจะปลอบอย่างไรดี นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็ผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง
“ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน! เขาฆ่าคนไปมากเพียงนั้น ตายไปก็ต้องกลายเป็นผีร้ายที่เฮี้ยนที่สุดอยู่แล้ว ผีตนอื่นต้องไม่กล้ารังควานเขาแน่…” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยเสียงเบาลงเรื่อยๆ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเลระคนหวาดหวั่น
“เจี้ยนหลี อย่าพูดเหลวไหลไปเลย โลกนี้มีผีเสียที่ใดกัน!”
พอเห็นกู้เจี้ยนหลีมิได้ตอบรับ ยังคงตกอยู่ในภวังค์สมมติของตนเอง เถาซื่อจึงรีบพูดต่อเพื่อไม่ให้นางคิดฟุ้งซ่านจนเก็บเอาไปฝันร้ายตื่นมาร้องไห้โฮกลางดึก
“เจี้ยนหลี เรายังไม่ได้เดินถึงทางตันเสียหน่อย ขอแค่มีชีวิตอยู่อย่างไรก็ยังมีหวัง อย่าว่าแต่นายท่านห้าสกุลจีจะรีบร้อนป่วยตายไปหรือไม่เลย ต่อให้เขาป่วยตายไปจริงๆ ก็ใช่ว่าเจ้าจะต้องฝังรวมกับเขาแน่นอนเสียเมื่อไร หนทางรอดมีไว้ให้คนเดิน วิธีการมีไว้ให้คนเสาะหา สกุลกู้ของเราไม่มีทางเอาแต่ก้มหัวหมดอาลัยตายอยาก สูญเสียจิตวิญญาณที่จะดิ้นรนต่อสู้ไปง่ายๆ หรอก”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้มารดาเลี้ยงของตนเป็นกังวลมากเกินไป ทว่าในใจนางยังคงคิดฟุ้งซ่านอยู่เช่นเดิม
ไม่ว่าอย่างไรข้าก็นับว่าแต่งเป็นภรรยานายท่านห้าสกุลจี หลังจากแต่งเข้าไปแล้วไม่แน่ว่าก่อนเขาจะตายยังคงได้ดูแลสักวันสองวัน เมื่อลงไปปรโลกแล้วเห็นแก่ที่ข้าดูแลซ้ำยังต้องถูกฝังรวม บางทีอาจจะช่วยปกป้องไม่ให้ผีร้ายพวกนั้นมารังควานข้ากระมัง
ทว่าบุรุษเลือดเย็นอำมหิตเช่นนายท่านห้าสกุลจีน่ะหรือจะซาบซึ้งบุญคุณผู้อื่น ไม่แน่ว่าผีตนแรกที่จะจับข้ากินคงมิใช่ใครอื่น แต่เป็นผีเฮี้ยนเช่นเขานั่นล่ะ!
คืนนั้นกู้เจี้ยนหลีนอนฝันร้ายทั้งคืน ฝันเห็นตนเองตายตกไปอยู่ปรโลก รอบกายมีแต่ผีร้ายน่าเกลียดน่ากลัว นางวิ่งหนีไปเรื่อยๆ ไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มเข้า พอเงยหน้าก็พบนายท่านห้าสกุลจีที่มีสามเศียรหกกร นายท่านห้าผู้นั้นคว้านางขึ้นมาก่อนอ้าปากมหึมาของตนเอง กัดกร้วมคำหนึ่งกลืนนางลงท้องไปในคำเดียว!
เด็กสาวสะดุ้งตื่น เหงื่อเย็นเปียกชุ่มทั่วเสื้อผ้า “ปรโลกน่ากลัวเกินไปแล้ว…”
นางประนมมือตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่
ขอให้นายท่านห้าสกุลจีมีชีวิตอยู่ต่อไปนานสักหน่อย อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด แต่อย่าได้ฟื้นขึ้นมาเชียว จะให้ดีก็ขอให้ใกล้ตาย เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายเช่นนี้เรื่อยๆ นี่ล่ะ
กู้เจี้ยนหลีขบริมฝีปากเบาๆ ตำหนิตนเองที่ไม่คาดหวังให้นายท่านห้าสกุลจีกลับมาแข็งแรงว่าไร้น้ำใจอยู่สักหน่อย ทว่าพอคิดถึงชื่อเสียงฉาวโฉ่ของคนผู้นั้นแล้วนางก็ได้แต่กัดฟันให้อภัยตนเองอย่างเห็นแก่ตัว
เวลาสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาหงส์ ทอประกายใสกระจ่าง ปราศจากร่องรอยเซื่องซึมเช่นคนเพิ่งตื่นนอน ทุกคืนที่ผ่านมานางข่มตาหลับแทบไม่ลง
นางนั่งเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อนอยู่สักพัก ก่อนหยิบจดหมายที่ซ่อนไว้ใต้หมอนมาเปิดออกช้าๆ ด้วยท่าทีลังเล
ฟ้ายังไม่สว่าง นางเองก็ตัดใจจุดเทียนไม่ลง ท่ามกลางความมืดมิดในห้อง กู้เจี้ยนหลีอ่านอักษรบนจดหมายไม่ถนัดนัก ทว่ากลับจำเนื้อหาได้ขึ้นใจ นางไล้ปลายนิ้วเนียนละเอียดไปตามกระดาษ ริมฝีปากขยับอ่านคำกลอนบนนั้นโดยไร้เสียง
นี่เป็นจดหมายที่จีเสวียนเค่อลอบส่งมาให้หลังจากที่นางกับเขาตกลงหมั้นหมายกันได้สองวัน
กู้เจี้ยนหลีนั่งนิ่งไม่ไหวติง เหม่อลอยเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน
สามเดือนมานี้นางได้รู้ซึ้งถึงความไร้น้ำใจของผู้คน ขนาดเครือญาติยังซ้ำเติมเมื่อตกระกำลำบาก นางกับจีเสวียนเค่อยังไม่ทันได้เป็นสามีภรรยา เขาจะตีตัวออกหากเพื่อตนเองก็นับเป็นเรื่องธรรมดา จะมีสิ่งใดให้ถือสาคิดแค้นกัน
กู้เจี้ยนหลีจุดเทียนด้วยรอยยิ้มไร้กังวล จากนั้นดวงไฟสีเหลืองหม่นก็ค่อยๆ กลืนกินกระดาษจดหมาย กลืนกินทุกถ้อยคำที่ประดับบนจดหมายฉบับนั้น เผาผลาญทุกสิ่งเกี่ยวกับจีเสวียนเค่อจนหมดสิ้น
ชุดแต่งงานสีแดงสดวางอยู่บนโต๊ะ กู้เจี้ยนหลีไล้มือสัมผัสเนื้อผ้าหยาบๆ นั้นสักครู่ก็สวมใส่แล้วเดินออกไปยังห้องด้านนอก ยามนี้มารดาเลี้ยงกับน้องชายอยู่ที่ลานเรือน ในห้องจึงเหลือเพียงบิดาที่นอนอยู่บนเตียง
กู้เจี้ยนหลีนั่งลงข้างเตียงของบิดาอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาฉายแววเศร้าสร้อยระคนอาลัยอาวรณ์ นางมองบิดานิ่งนาน ไม่ยอมเบนสายตาไปทางอื่นแม้แต่น้อย
จวบจนได้ยินเสียงจากด้านนอกนางถึงค่อยกุมมือบิดาตนเองไว้ โน้มตัวลงเอ่ยเบาๆ ที่ข้างหูว่า “ท่านพ่อ เจี้ยนหลีจะแต่งงานแล้ว แต่ชุดแต่งงานที่ท่านเตรียมไว้ให้ถูกผู้อื่นแย่งไป ท่านรีบตื่นขึ้นมาช่วยลูกนำกลับมาได้หรือไม่เจ้าคะ”
กู้เจี้ยนหลีไม่ทันสังเกตเห็นว่ามือข้างลำตัวผู้เป็นบิดากระตุกเล็กน้อย
ยามนี้เถาซื่อก้าวเข้ามาภายในห้องแล้วยัดบะหมี่ชามหนึ่งใส่มือกู้เจี้ยนหลี นอกจากเส้นบะหมี่ในชามยังมีไข่ต้มที่ปอกเปลือกเรียบร้อยอยู่ด้วย
กู้เจี้ยนหลีประคองชามบะหมี่ร้อนลวกมือไว้พลางมองเถาซื่ออย่างงุนงง นางรู้สึกเสียดายเงินอยู่เล็กน้อย อยากจะเก็บเงินทั้งหมดไว้รักษาอาการป่วยของบิดา
“รีบกินเสีย บะหมี่อายุยืน ของเจ้า”
กู้เจี้ยนหลีชะงักไป จากนั้นรีบก้มหน้าปล่อยน้ำตาร่วงลงในชาม ยามกินบะหมี่เข้าไปทีละคำก็พยายามเบิกตาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลอีก
สตรีในแคว้นต้าจีโดยทั่วไปจะออกเรือนเมื่ออายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องสิบห้าปี หากอายุน้อยกว่าสิบห้าปีจะไม่ได้รับอนุญาต จวนก่วงผิงป๋อกลัวว่านายท่านห้าจะจากไปเร็ว ไม่กล้าปล่อยให้ยืดเยื้อจึงรอเพียงสามวัน นั่นเป็นเพราะวันนี้คือวันเกิดปีที่สิบห้าของกู้เจี้ยนหลี
จากนั้นเถาซื่อยังยัดเงินสองก้อนเข้ามาในอ้อมอกของลูกเลี้ยง
“ข้าคงไม่ได้ใช้ ท่านเก็บไว้เองเถิดเจ้าค่ะ” กู้เจี้ยนหลีดันเงินเหล่านี้กลับคืนไป
เถาซื่อตบหลังมืออีกฝ่ายแรงๆ ทีหนึ่ง “ไม่เอาไหนเลยจริงๆ ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะหมดอาลัยตายอยากเสียหน่อย ข้าให้เจ้าเก็บไว้ก็เก็บไว้เถอะ!”
กู้เจี้ยนหลีเม้มปากยิ้ม รู้ดีว่าเถาซื่อปลอบด้วยความหวังดีจึงไม่ดึงดันต่อ นางหันกลับไปมองบิดาที่ไม่ได้สติบนเตียงอย่างลึกซึ้งก่อนตบไหล่น้องชายที่อายุยังน้อยคราหนึ่ง จากนั้นปล่อยผ้าคลุมหน้าสีแดงลงแล้วก้าวผ่านธรณีประตู
“พี่หญิง!” จู่ๆ กู้ชวนก็เข้ามากอดขาของนางไว้
น้องชายผู้นี้ซุกซนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยเชื่อฟังนัก ทว่าตั้งแต่ตระกูลของนางเกิดเรื่อง เขาก็เงียบขรึมจนผิดวิสัย ทั้งวันแทบไม่ยอมพูดสักคำ ตอนนี้ดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำ เสียงเล็กๆ ยังกล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ท่านรอข้านะ!”
กู้เจี้ยนหลีมองกู้ชวนผ่านชายผ้าคลุมหน้า จากนั้นลูบศีรษะเขาเล็กน้อยพลางกล่าว “เสี่ยวชวนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องปกป้องท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี”
กู้ชวนพยักหน้ารับโดยแรง
กู้เจี้ยนหลีหมุนกายเดินออกไปข้างนอก นางอดใจไม่หันกลับไปมอง ก้าวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอย่างมั่นคง จากนั้นเกี้ยวเจ้าสาวก็เคลื่อนที่โคลงเคลงห่างออกมาไกลขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงร้องเรียกที่เบื้องหลังก็เริ่มจะไม่ได้ยินแล้ว
กู้เจี้ยนหลีที่นั่งอยู่ในเกี้ยวปล่อยน้ำตาไหลรินเป็นสาย หยาดน้ำตามากมายเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้างดงาม
สามเดือนที่ตกจากสวรรค์ร่วงสู่โคลนตมนี้นางมักจะกลั้นน้ำตาเอาไว้เสมอ วันนี้กลับกลั้นไม่อยู่เสียแล้ว
ผ้าคลุมสีแดงปกปิดใบหน้า เกี้ยวเจ้าสาวเสมือนปราการขวางกั้น ล้วนแต่ช่วยให้นางได้ร่ำไห้อย่างไร้เสียงจนสาแก่ใจ
เรื่องราวในอดีตราวกับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่าดวงตาเอ่อคลอด้วยหยดน้ำ จะอย่างไรก็มองภาพช่วงเวลาอันงดงามเหล่านั้นได้ไม่ชัดเจน
กระทั่งร่ำไห้จนปลอดโปร่งแล้วกู้เจี้ยนหลีจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากในแขนเสื้อออกมาบรรจงซับใบหน้า ดวงหน้าที่เคยชโลมไปด้วยน้ำตาคล้ายจะขาวนวลเนียนดุจหยกบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าเก่า หญิงสาวยกมุมปากขึ้นช้าๆ แย้มรอยยิ้มน้อยๆ อย่างสง่างาม
เกี้ยวเจ้าสาวของนางถูกหามเข้าจวนก่วงผิงป๋อทางประตูข้าง บรรยากาศเรียบง่ายชืดชา ปราศจากเสียงประทัดและความครื้นเครง
“ฮูหยินห้า ลงจากเกี้ยวได้แล้วเจ้าค่ะ”
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากภายในเกี้ยว ซ่งหมัวมัว* ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเข้าไปประคอง นางประคองกู้เจี้ยนหลีเข้าไปในเขตเรือนเล็ก อดไม่ได้ที่จะอธิบายไปด้วย “สุขภาพของนายท่านห้าไม่ดีนักจึงไม่อาจเสียงดังรบกวน งานเลี้ยงจัดขึ้นที่เรือนชั้นนอก ส่วนพิธีการอื่นๆ ล้วนแต่ลดทอนลงเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับเบาๆ พลางก้มมองทางเดินหินผ่านชายผ้าคลุมหน้า
ซ่งหมัวมัวยังเอ่ยบางอย่างต่อ ทว่ากู้เจี้ยนหลีไม่ได้ตั้งใจฟังนัก เป็นเพราะเข้าใกล้นายท่านห้าสกุลจีผู้นั้นขึ้นเรื่อยๆ ในใจนางจึงยิ่งหวาดหวั่น
พอเข้ามาถึงที่หมาย กลิ่นยาภายในห้องพลันพรั่งพรูเข้ามาปะทะจมูก
รอจนซ่งหมัวมัวประคองนางนั่งลงข้างเตียงใหญ่ กู้เจี้ยนหลีเหยียดหลังตรงทันที ทั้งร่างเครียดเกร็งไปหมด เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายตรงหน้าผากไม่หยุด
คนผู้นั้น…อยู่ข้างๆ ข้าอย่างนั้นหรือ
คลองสายตาที่บดบังด้วยผ้าคลุมสีแดงพลันปรากฏภาพนายท่านห้าสกุลจีที่พบเจอในฝัน…อสุรกายตัวมหึมาที่มีสามเศียรหกกรตนนั้น
มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างกำผ้าเช็ดหน้าแน่น อาจเพราะออกแรงมากเกินไปเล็บจึงฉีก เจ็บเสียจนนางถึงกับสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.