บทที่ 7
ครึ่งคืนหลังคนในจวนก่วงผิงป๋อพากันตื่นขึ้นมาหมด ตะเกียงในห้องพลันสว่างวาบทีละดวงๆ
กู้เจี้ยนหลียืนอยู่หน้าประตู มองคนในจวนก่วงผิงป๋อก้าวเข้าๆ ออกๆ เรือน บนใบหน้าเหล่านั้นบ้างก็ยินดีบ้างก็แฝงแววหวาดหวั่น เวลาเพียงครู่เดียวเรือนที่เงียบสงบลับตาคนที่สุดในจวนก็พลันคึกคักขึ้นมา
หญิงสาวมองคนเหล่านี้แล้วนึกถึงคำพูดของเถาซื่อขึ้นมา
‘คนใกล้ตายบางคนพอจัดงานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง เจี้ยนหลีของเราดวงดีมาตั้งแต่เด็ก ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะขลุกขลักอยู่สักหน่อย สุดท้ายจับพลัดจับผลูต้องแต่งงานกับนายท่านห้าสกุลจี แต่อาจไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าเจ้าอาจช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของนายท่านห้าผู้นั้น แต่งไปสักวันสองวันเขาอาจจะกลับมามีกำลังวังชาเหมือนเก่าก็เป็นได้…’
กู้เจี้ยนหลียิ้มขื่น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเหมือนที่เถาซื่อพูดไม่มีผิด ครั้นนึกถึงเถาซื่อก็อดนึกถึงบิดาไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งจากมาเพียงสองวัน ไม่รู้เหตุใดกลับรู้สึกว่ายาวนานดุจผ่านไปราวสองชาติภพ
ดูท่าคนในจวนจะยังไม่รู้เรื่องที่จ้าวเฟิ่งเสียนลอบปีนหน้าต่างเข้าเรือนมา เช่นนี้ก็ดี อย่างไรคนในจวนนี้ก็อยากให้นางตาย พูดเรื่องนี้ออกไปก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรม ซ้ำยังจะกลายเป็นจุดอ่อนให้ผู้อื่นคว้ามาป้ายสีว่ามีราคี
ยิ่งไปกว่านั้น…กู้เจี้ยนหลีหันมองไปในห้องครู่หนึ่ง
นางตบแต่งให้กับจีอู๋จิ้ง เรื่องของจ้าวเฟิ่งเสียนตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายรับรู้ดี
กู้เจี้ยนหลีเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเดินมาหาโดยมีซ่งหมัวมัวคอยพยุงนางถึงหลุดจากภวังค์
“คืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อู๋จิ้งฟื้นแล้วจริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม
กู้เจี้ยนหลีหลุบตา เอ่ยตอบเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าค่ะ นายท่านห้าฟื้นแล้ว ท่านพ่อกับพวกท่านพี่มาถึงแล้ว ท่านก็เข้าไปดูเขาเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับ มองกู้เจี้ยนหลีอย่างลึกซึ้งคราหนึ่งก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป
นายท่านทั้งหลายล้วนอยู่ในห้อง กู้เจี้ยนหลีไม่คิดจะเข้าไป นางเพียงยืนรอต้อนรับสมาชิกสตรีที่ทยอยกันมาถึง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง และฮูหยินสามต่างอยู่ที่โถงชั้นนอก พวกนางเพียงแค่ตามสามีของตนเองมาเท่านั้น สามีของพวกนางล้วนเข้าไปดูอาการจีอู๋จิ้งที่ด้านใน ส่วนพวกนางรออยู่ด้านนอก
ยามนี้บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองเองก็มาถึงแล้ว
จีเยวี่ยหมิงสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ ถูมือไปมาด้วยความหนาว พอเข้าเรือนมาก็รับเตาอุ่นมือ จากสาวใช้ ก่อนจะเชิดหน้าเล็กน้อยแล้วถามกู้เจี้ยนหลี “ท่านอาข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
จีเยวี่ยเหวินเดินตามอยู่ด้านหลัง กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจีเยวี่ยเจิน อาจเพราะหลับสนิทจนไม่ได้ตื่นมาดู
“ฟื้นแล้ว” กู้เจี้ยนหลีตอบเพียงเท่านี้
ดวงตาของจีเยวี่ยหมิงมองผ่านอีกฝ่าย จู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ นางส่งเตาอุ่นมือคืนให้สาวใช้แล้วเดินขึ้นหน้าสองก้าว คว้าข้อมือกู้เจี้ยนหลีไว้พลางยกยิ้ม “เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อเรื่องงานมงคลปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเลย คิดไม่ถึงว่าอาสะใภ้ห้าจะดวงดีถึงเพียงนี้ จวนของเรารับสะใภ้เช่นท่านมานับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ”
วาจานี้ฟังอย่างไรก็ดูไม่ไว้หน้าสักนิด
ฮูหยินใหญ่เหลือบมองด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นขมวดคิ้วเอ่ยปรามบุตรสาว “เยวี่ยหมิง เจ้าอย่าโวยวายเสียงดัง ระวังจะรบกวนท่านอาห้าของเจ้า”
จีเยวี่ยหมิงเดิมทีอยากต่อปากต่อคำ ทว่าพอมองตามสายตามารดาเข้าไปในห้องแล้วก็ได้แต่เก็บความคิดที่จะถากถางกู้เจี้ยนหลีกลับไปก่อน
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” จีเยวี่ยหมิงปล่อยมือกู้เจี้ยนหลีก่อนหมุนกายไปหยุดอยู่มุมหนึ่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบซึ่งวางเรียงเป็นแถว จากนั้นจ้องใบหน้ากู้เจี้ยนหลีอย่างสนอกสนใจและคาดหวังว่าจะเห็นสีหน้าขุ่นเคืองหรือน้อยเนื้อต่ำใจจากจันทรากลางนภาในกาลก่อนนางนี้ น่าเสียดายที่ไม่เป็นไปตามที่นางหวัง กู้เจี้ยนหลีมิได้แสดงสีหน้าใดคล้ายกับคำพูดถากถางของนางไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
จีเยวี่ยหมิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ยามที่กำลังจะเอ่ยวาจาอีกครั้ง ซ่งหมัวมัวก็พรวดพราดเดินออกมาหยุดอยู่ข้างกายกู้เจี้ยนหลี เขย่าเสื้อคลุมในอ้อมแขนเล็กน้อย จากนั้นก็คลุมให้กู้เจี้ยนหลีด้วยตนเอง
เหตุการณ์นี้ทำเอาสมาชิกสตรีรวมถึงสาวใช้หลายคนในโถงชั้นนอกถึงกับตกใจ ซ่งหมัวมัวผู้นี้เป็นบ่าวที่ติดตามรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า แต่ไหนแต่ไรเคยปรนนิบัติผู้อื่นด้วยตนเองที่ใดกัน
กู้เจี้ยนหลีเดิมทีไม่รู้ว่าซ่งหมัวมัวไม่ปรนนิบัติใครง่ายๆ ทว่าสังเกตสีหน้าของคนอื่นในที่นี้ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ เช่นกัน
คล้ายจะรับรู้ได้ถึงความประหลาดใจของคนในโถงชั้นนอกนี้ ซ่งหมัวมัวจึงไขข้อข้องใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นายท่านห้าบอกว่าฮูหยินห้าสวมเสื้อผ้าตัวบาง ด้านนอกอากาศหนาว จึงให้บ่าวนำเสื้อคลุมมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ในดวงตาที่แบ่งแยกส่วนดำขาวชัดเจนพลันฉายแววตกใจ คล้ายจะรู้สึกซาบซึ้ง ทว่าพอนึกถึงดวงตาคล้ายดวงตาจิ้งจอกกับรอยยิ้มพิลึกพิลั่นแฝงแววอันตรายของบุรุษผู้นั้น รวมถึงกลิ่นอายเย็นเยียบที่กำจายรอบตัวเขาแล้ว…กู้เจี้ยนหลีกลับจำได้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นราวกับอสรพิษเลื้อยตามแผ่นหลัง ความซาบซึ้งอื่นใดพลันอันตรธานไปหมดสิ้น
ส่วนผู้อื่นในโถงนี้ไม่ว่าจะนายบ่าวล้วนแต่พากันตื่นตระหนก
นี่…
นายท่านห้าเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นเมื่อไรกัน
จริงอยู่ที่จีอู๋จิ้งมีนิสัยแปลกประหลาด จู่ๆ นึกอยากหยอกเย้าผู้อื่นขึ้นมาก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ นี่เขามิใช่ว่าเพิ่งฟื้นหรอกหรือ เวลาเพียงเท่านี้ก็ยอมรับภรรยาที่ถูกผู้อื่นยัดเยียดให้แล้ว?
ฮูหยินรองจับจ้องเสื้อคลุมบนร่างกู้เจี้ยนหลี ในใจรู้สึกไม่สงบขึ้นมา เจ้าห้าคงไม่ใช่รอดชีวิตจริงๆ หรอกนะ เช่นนั้นจะกำจัดตัวปัญหาใหญ่หลวงที่เป็นตัวถ่วงจวนก่วงผิงป๋ออย่างกู้เจี้ยนหลีไปภายในเก้าวันได้อย่างไรกัน
ส่วนฮูหยินใหญ่กับฮูหยินสามหันมาสบตากันคราหนึ่ง พบว่าต่างฝ่ายต่างปรากฏแววตาแบบเดียวกัน
ตอนนั้นเองพ่อบ้านก้าวมาค้อมคำนับที่ด้านนอกแล้วรายงานว่าหมอหลวงจากในวังมาถึงแล้ว ซ่งหมัวมัวจึงรีบไปเลิกม่านขึ้นและเชิญหมอเข้าไปด้านใน
กู้เจี้ยนหลีกระชับเสื้อคลุมบนไหล่ เนื้อผ้านุ่มลื่นสัมผัสฝ่ามือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้นางเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของจวนก่วงผิงป๋อมากขึ้นแล้ว เดิมทีนางคิดว่าเพราะจีอู๋จิ้งป่วยหนักคนในจวนจึงเลือกเรือนเงียบสงบลับตาผู้นี้ให้เขาแบบส่งๆ กระทั่งบ่าวคอยปรนนิบัติยังไม่จัดหามาให้ ทว่าสังเกตจากผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ตอนดึกๆ ดื่นๆ แล้ว นางจึงค่อยเข้าใจแจ่มแจ้ง ดูท่าเป็นเพราะจีอู๋จิ้งชอบอยู่เงียบๆ จึงเลือกเรือนนี้ไว้อยู่อาศัยด้วยตนเองจริงๆ
ทว่ากู้เจี้ยนหลียังเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีอู๋จิ้งกับคนในจวนเป็นเช่นไร และเดาไม่ออกว่าคนเหล่านี้อยากให้เขากลับมาแข็งแรงหรืออยากให้เขาตาย ที่นางดูออกมีเพียงทุกคนที่นี่ไม่กล้าล่วงเกินเขา
ก็จริง เขาทั้งน่ากลัวทั้งอันตรายมากเพียงนั้น
ท่านป๋อผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมาด้านนอกแล้วโดยมีบุตรชายทั้งสามคนตามมา
ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพินิจกู้เจี้ยนหลีครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “เจ้าห้าให้เจ้าเข้าไป”
จะให้เข้าไปด้วยเหตุใดกัน…กู้เจี้ยนหลีขมวดคิ้วอยู่ในใจ ภายนอกกลับย่อกายเล็กน้อยพลางรับคำก่อนเข้าไปในห้อง
จีอู๋จิ้งยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ราวกับรักษาท่วงท่ายามเพิ่งฟื้นไว้ไม่ขยับเขยื้อน ส่วนหมอหลวงคนนั้นกำลังโน้มกายลงเขียนเทียบยา
กู้เจี้ยนหลีเดินไปทางเตียงใหญ่ ตอนที่เดินผ่านหมอหลวงนางเหลือบเห็นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดผืนนั้นวางอยู่บนโต๊ะ ดูท่าหมอหลวงจะใช้เลือดที่จีอู๋จิ้งไอออกมามาวิเคราะห์อาการของอีกฝ่าย
คราบเลือดบนผ้าเช็ดหน้ายามนี้เป็นสีแดงคล้ำปะปนกับสีดำในบางจุด ทว่ากู้เจี้ยนหลีจำได้ว่าตอนที่จีอู๋จิ้งไอออกมาเลือดที่อาบย้อมบนนั้นเป็นสีแดงสด…
กู้เจี้ยนหลีก้าวไปหยุดอยู่ข้างเตียง เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “นายท่านห้ามีอะไรหรือเจ้าคะ”
จีอู๋จิ้งเอียงหน้ามามองก่อนเอ่ยถาม “ปลาของข้าเล่า”
“อา…” กู้เจี้ยนหลีอุทานเบาๆ ก่อนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง นัยน์ตาสีเข้มกลอกหลบอย่างมีพิรุธ
นางลืมไปเสียสนิท
“ข้า…ข้าจะรีบไปบอกให้…” กู้เจี้ยนหลีขบริมฝีปากเบาๆ หาข้ออ้างด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ
“ท่านเพิ่งฟื้น ข้างนอกมีคนเยอะ ข้า…ข้าเอาแต่ต้อนรับ…” เสียงของนางเบาลงเรื่อยๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนตัว
“ช่างเถอะ” จีอู๋จิ้งเอ่ยด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ไปเรียกฉางเซิงเข้ามา”
หลังจากวุ่นวายมาค่อนคืน คนที่มาเยี่ยมต่างก็ทยอยกันจากไป กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น ลอบมองจีอู๋จิ้งที่กำลังกินปลาเล็กน้อย
คนที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วยไม่ใช่ว่าควรพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินหรอกหรือ เหตุใดจึงกินปลาคำโตไม่หยุดเช่นนั้น
ชอบกินปลาถึงเพียงนั้นเลยหรือ
กู้เจี้ยนหลีนั่งหลังตรง เริ่มจะง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้ใกล้จะรุ่งสางแต่นางกลับยังไม่ได้นอนเลยสักงีบ ทว่าเห็นได้ชัดว่ามิใช่เวลานอน นางทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ อย่างสง่างามอยู่ตรงนี้
“นายท่าน เหตุใดท่านจึงฟื้นขึ้นมาตอนนี้” ฉางเซิงถามออกมาหนึ่งประโยค พลันนึกได้ว่ากู้เจี้ยนหลียังนั่งอยู่ไม่ไกลจึงกลืนความสงสัยทั้งหมดกลับไปโดยเร็ว
“เสียงดัง” จีอู๋จิ้งโยนก้างปลาทั้งชิ้นกลับไปบนจาน จากนั้นก็หยิบตัวใหม่ขึ้นมากินต่อ
กู้เจี้ยนหลีหลุบตานิ่ง หูกลับตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างนายบ่าวที่อยู่ไม่ไกล
“มีคนปีนหน้าต่างเข้ามาเจ้ายังไม่รู้ อยากโดนลงโทษหรือไร หือ?!” จีอู๋จิ้งกล่าวช้าๆ ท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
“อะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร…” ฉางเซิงทำตาโตก่อนจะรีบร้อนอธิบาย “นายท่าน ยามนี้ท่านมีภรรยาแล้ว ฉางเซิงไม่อาจคุ้มกันอยู่ด้านใน ลี่จื่อเองก็ทึ่มทื่อ…”
จีอู๋จิ้งได้ยินเข้าก็พลันหยุดแทะปลาก่อนเหลือบตาไปทางกู้เจี้ยนหลีที่นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ไกลๆ
เขาเกือบลืมไปแล้ว หลับไปตื่นหนึ่ง ฟื้นขึ้นมาก็มีภรรยาเพิ่มมา
จีอู๋จิ้งโยนปลาในมือกลับไปแบบส่งๆ ก่อนใช้ผ้าเช็ดมือ จากนั้นลูบคางพลางมองหญิงสาวผู้นั้น
กู้เจี้ยนหลีรู้ดีว่าอีกฝ่ายมองมาทางตน ทว่านางไม่รู้จะรับมือเช่นไร จึงทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น
ผ่านไปพักใหญ่นานเสียจนกู้เจี้ยนหลีแทบจะทนไม่ไหว นานเสียจนแม้แต่ฉางเซิงก็รู้สึกว่าอยู่ต่อไม่ได้แล้วจึงเกาหัวพลางพูดขึ้นว่า “นายท่าน จะอาบน้ำหรือไม่ขอรับ”
จีอู๋จิ้งยังคงไม่ละสายตาจากกู้เจี้ยนหลี เพียงพยักหน้ารับด้วยท่าทีเกียจคร้านเหมือนเคย
พอฉางเซิงออกไปเก็บจาน ในห้องก็เหลือเพียงกู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้ง
กู้เจี้ยนหลีหวาดกลัวการอยู่กับจีอู๋จิ้งเพียงลำพังเป็นที่สุด ต่อให้ต้องนั่งลงบนพรมที่เต็มไปด้วยเข็มก็ยังไม่หวาดกลัวเท่านี้
มุมทางตะวันตกในห้องยังมีห้องข้างเล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง ปกติใช้เป็นห้องอาบน้ำ ผ่านไปไม่นานฉางเซิงก็เติมน้ำอุ่นลงในอ่างไม้ทรงกลมจนเต็ม ไอน้ำลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว
ฉางเซิงเตรียมน้ำอุ่นกับเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็มองไปทางกู้เจี้ยนหลีอย่างทึ่มทื่อแวบหนึ่ง จากนั้นพูดกับจีอู๋จิ้งอย่างลังเล “นายท่าน ข้าไปแล้วนะขอรับ”
“อืม…” จีอู๋จิ้งรับคำเสียงยานคางอย่างเกียจคร้าน
กู้เจี้ยนหลีที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม้รีบเงยหน้าขึ้น ฉางเซิงออกไปแล้วใครจะปรนนิบัติจีอู๋จิ้งอาบน้ำเล่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจีอู๋จิ้งยังร่างกายอ่อนแออยู่ ต่อให้เขาแข็งแรงดีก็ควรจะมีบ่าวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมิใช่หรือ
กู้เจี้ยนหลีค่อยๆ หันไปมองอีกฝ่าย ยามนี้บิดายังไม่ได้ล้างมลทิน ทางรอดของนางก็ริบหรี่ โอกาสที่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าย่อมควรค่าแก่การคว้าไว้ จีอู๋จิ้งหลับไปเป็นเวลานาน ย่อมไม่รู้เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว ตอนที่คนจวนก่วงผิงป๋อเลือกผลักเขาออกมาคงไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาฟื้นขึ้นมา บางที…นางอาจคว้าโอกาสนี้ไว้ใช้ประโยชน์ได้บ้างกระมัง
จีอู๋จิ้งยามนี้คล้ายคิดสิ่งใดอยู่จึงออกจะเหม่อลอยอยู่บ้าง
ในใจกู้เจี้ยนหลีขัดแย้งกันเองอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินมาทางจีอู๋จิ้ง
ตอนที่นางลุกขึ้นนั้นเองจีอู๋จิ้งพลันมองมาทางนาง จับจ้องทุกฝีก้าวขณะนางก้าวเข้าใกล้
กู้เจี้ยนหลีเดินมาถึงข้างเตียงใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ย่อกายลงนั่งยองๆ ชายชุดกระโปรงหรูฉวิน* สีแดงอ่อนซ้อนกันเป็นชั้นๆ ยามยอบกายลงพลิ้วไหวราวกับดอกเสาเย่า สีแดงกำลังผลิบาน
แพขนตาของหญิงสาวสั่นเล็กน้อยยามช้อนตาขึ้นมองบุรุษตรงหน้า “นายท่านห้า ข้าคือภรรยาของท่าน กู้เจี้ยนหลี”
จีอู๋จิ้งจ้องมองใบหน้ากู้เจี้ยนหลีครู่หนึ่ง หางตายกขึ้นน้อยๆ เจือรอยยิ้มอันไม่อาจคาดเดาอยู่หลายส่วน
บทที่ 8
จีอู๋จิ้งโน้มกายเข้ามาใกล้ใบหน้างามดวงนั้น จับจ้องดวงตาสุกใสราวหยดน้ำกลิ้งกลอกไม่วางตายามเอ่ยขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว “อ้อ กู้เจี้ยนหลี จีเจาจำไว้แล้ว”
เขาเข้ามาใกล้มาก แทบจะแนบชิดกับใบหน้าของนางอยู่แล้ว
กู้เจี้ยนหลีถึงขั้นได้กลิ่นปลาจากเขา
นางเม้มปากเล็กน้อย อดกลั้นความคิดที่จะบุ่มบ่ามถอยหลังกลับ มือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อกำแน่นจนขึ้นข้อขาวพลางกล่าวว่า “ที่ผ่านมาท่านสลบไสลไม่ได้สติมาโดยตลอด ในจวนจัดงานมงคลให้ท่านโดยพลการ ท่านเองไม่ทราบเรื่องมาก่อน ดังนั้นท่านก็มิได้ยินดี…”
“ยินดีสิ” จีอู๋จิ้งเอ่ยขัดคำพูดของกู้เจี้ยนหลีก่อนยกมุมปากขึ้นช้าๆ “ตื่นขึ้นมามีคนงามอยู่เคียงข้าง เหตุใดจะไม่ยินดี”
กู้เจี้ยนหลีพลันชะงัก ลืมถ้อยคำที่เตรียมจะพูดไปหมดสิ้น ได้แต่เอ่ยอย่างลนลาน “เพราะ…เพราะว่าในจวนมิได้ถามความเห็นท่าน…”
จีอู๋จิ้งหลุดหัวเราะออกมา
“ข้าจีเจาชื่อเสียงย่ำแย่ ในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าตบแต่งให้ แต่กลับชอบของสวยๆ งามๆ เป็นที่สุด ต้องการเพียงคนงามล้ำเลิศที่สุดในใต้หล้าเท่านั้น” เขาวาดนิ้วชี้ขึ้นไล้ผ่านแก้มนวลเนื้อนุ่มของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า พร้อมถามต่อด้วยรอยยิ้ม “เจ้างามหรือ”
บนพวงแก้มของหญิงสาว ตรงใดที่นิ้วเขาปัดผ่านล้วนรู้สึกชา ตอนนั้นเองกู้เจี้ยนหลีพลันเห็นแววหยอกเย้าในดวงตาของเขา
เขาจงใจนี่!
หน้าอกของกู้เจี้ยนหลีสะท้อนขึ้นลงทันใด นางระงับอารมณ์โกรธลงก่อนตอบอย่างจริงจัง “ข้ากับพี่สาวได้รับฉายาว่าสองหลีแห่งเมืองหย่งอัน ผู้คนล้วนเล่าลือว่ารูปโฉมของพวกเราพี่น้องงดงามกว่าสตรีใดในเมืองหลวง ดังนั้นก็น่าจะงาม”
“หึๆ” จีอู๋จิ้งหัวเราะเสียงต่ำ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของกู้เจี้ยนหลี เพราะเมื่อครู่เขาหัวเราะออกมา กู้เจี้ยนหลีจึงรู้สึกได้ว่าตรงหน้าผากสั่นเล็กน้อย
ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็ขึ้นสี
จีอู๋จิ้งขยับถอยเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะคนตรงหน้าเบาๆ พลางเอ่ยถาม “เด็กน้อย เจ้าอายุสิบสี่แล้วหรือ หรือว่าเพิ่งจะสิบสาม”
“ข้าถึงวัยปักปิ่นแล้ว!”
“หือ?” สายตาของจีอู๋จิ้งพลันเลื่อนลงมองเอวที่บางเสียจนกำรอบได้ด้วยมือข้างเดียว
“เมื่อวานนี้เอง!” นัยน์ตาสีเข้มของหญิงสาวเหลือบไปด้านข้าง ลอบมองทางหน้าต่างด้วยหางตา เห็นแสงสีขาวของรุ่งอรุณลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านเข้ามาถึงรู้ว่าฟ้าสว่างแล้ว
นางจึงเปลี่ยนคำตอบเสียใหม่ “…เมื่อวานซืน”
จีอู๋จิ้งยิ้มขำไม่ตอบคำพลางเปลี่ยนอิริยาบถให้นั่งสบายกว่าเดิม เขาเหยียดขายาวทั้งสองข้างออก จากนั้นชันเข่าด้านหนึ่งขึ้น วางมือลงบนเข่าอย่างสบายๆ
กู้เจี้ยนหลีมองมือเรียวยาวที่ปลายนิ้วชี้ลงพื้นของเขา ในใจคิดว่ามือข้างนั้นเพียงออกแรงเบาๆ ก็สามารถหักคอตนเองได้แล้ว…
จากนั้นนางจึงลอบมองสีหน้าของจีอู๋จิ้งแล้วรวบรวมความกล้า เอ่ยถามขึ้นอย่างลองเชิง “นายท่านห้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อ หากไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้ไม่สู้เขียนหนังสือหย่าโดยเร็ว หรือไม่ก็…เอ่อ…อยู่ๆ กันไปเช่นนี้”
ขณะที่นางพูดมือที่อยู่ในชายเสื้อยิ่งกำแน่นมากขึ้นทุกที
จีอู๋จิ้งมองท่าทางที่หวาดกลัวหัวหดแต่ยังแกล้งทำเป็นนิ่งขรึมใจเย็นของกู้เจี้ยนหลี ดูไปก็คล้ายกับเด็กน้อยกำลังเลียนแบบท่าทางผู้ใหญ่ น่าสนใจมากทีเดียว
พอรู้สึกว่าน่าสนใจจนอยากหัวเราะ เขาก็หัวเราะออกมาจริงๆ
หัวคิ้วของกู้เจี้ยนหลียับย่นเล็กน้อย ลือกันว่านายท่านห้าผู้นี้ไม่เพียงใจดำอำมหิต ยังมีนิสัยแปลกประหลาด ดูท่าจะมิใช่เรื่องเท็จ
ทว่ากู้เจี้ยนหลียังพูดไม่จบ นางจึงได้แต่ฝืนพูดต่อ “ทว่าบางทีในจวนนี้อาจไม่ต้องการให้ข้าอยู่ต่อ”
กู้เจี้ยนหลีไม่อาจยุแยงให้สองฝ่ายแตกกันได้อย่างชัดเจนเกินไป นางคิดว่าเพียงประโยคเดียวนี้จีอู๋จิ้งก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าคนในจวนก่วงผิงป๋อล้วนมองเขาเป็นคนตาย
มิใช่กล่าวกันว่านายท่านห้าสกุลจีจิตใจคับแคบหรอกหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะผูกใจเจ็บก็ได้
กู้เจี้ยนหลีเคยนึกภาพว่าวันใดที่จีอู๋จิ้งฟื้นขึ้นมา นางจะจงใจยั่วโมโหจนอีกฝ่ายเขียนหนังสือหย่าและปล่อยนางกลับบ้านไป ทว่าเมื่อคืนหลังจากเห็นสภาพการณ์ที่ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ในจวนก่วงผิงป๋อล้วนแต่พากันมาเยี่ยมเขา อีกทั้งหมอหลวงจากในวังยังมาตรวจดูอาการให้เขาตอนดึกๆ ดื่นๆ กู้เจี้ยนหลีจึงเปลี่ยนใจ นางคิดว่าบางทีอาจยืมมือจีอู๋จิ้งล้างมลทินให้บิดานางได้
จีอู๋จิ้งย่อมเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในวาจาของอีกฝ่าย ในความเป็นจริงต่อให้กู้เจี้ยนหลีไม่พูดเขาก็พอจะเดาได้ ทว่าเขายังคงรู้สึกว่าน่าสนใจ รู้สึกว่ายามกู้เจี้ยนหลีซ่อนกลอุบายไว้ภายใต้ท่าทีจริงจังเช่นนี้น่าสนใจมากจริงๆ
จู่ๆ จีอู๋จิ้งก็เอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปกติบิดาเจ้าเรียกข้าว่าอย่างไร”
กู้เจี้ยนหลีใจเต้นโครมคราม นางเคยได้ยินบิดาพูดถึงจีอู๋จิ้งมาก่อนจริงๆ วันนั้นเขาโกรธเกรี้ยวจนด่าจีอู๋จิ้งเป็น ‘คนวิปลาส’ อยู่ทุกคำทีเดียว
นี่…แกล้งไม่รู้น่าจะดีกว่ากระมัง
“เรียกว่า ‘น้องชาย’ ” ในที่สุดจีอู๋จิ้งก็เฉลยออกมา
กู้เจี้ยนหลีค่อยลอบพรูลมหายใจ เขาไม่บาดหมางกับบิดาจึงจะนับเป็นเรื่องดี หากบาดหมางกันคงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแทนแล้ว
“ดังนั้น…” จีอู๋จิ้งยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เด็กน้อยเช่นเจ้าควรจะเรียกข้าว่า ‘ท่านอา’ ไหนลองเรียกให้ฟังหน่อยซิ”
ในดวงตาของกู้เจี้ยนหลีสะท้อนภาพนัยน์ตาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย เป็นอีกครั้งที่มองเห็นแววหยอกเย้าในนั้น
เขาจงใจอีกแล้ว!
จีอู๋จิ้งร้อง “อืม” คำหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “บิดาเจ้าถึงกับยอมให้เจ้าแต่งกับคนวิปลาสเช่นข้าเชียวหรือ เขาโดนจับหรือว่าเสียสติไปแล้วกันล่ะ”
“ท่านพ่อบาดเจ็บตั้งแต่อยู่ในคุก ถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา…” แววตาของหญิงสาวพลันหม่นหมอง
จีอู๋จิ้งร้อง “อ้อ” อย่างไม่ใส่ใจอีกคำหนึ่ง “ตาเฒ่าจอมดื้อด้านเช่นเขาทำผิดอะไรมาล่ะ”
“เขา…เขา…ท่านพ่อถูกใส่ความต่างหาก!” กู้เจี้ยนหลีรีบแก้ต่าง
จีอู๋จิ้งยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในดวงตาจิ้งจอกฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อยยามกล่าวช้าๆ “รอตาเฒ่านั่นฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าบุตรสาวตนเองแต่งงานกับข้า เกรงว่าจะโมโหตายทั้งอย่างนั้น”
สามเดือนมานี้กู้เจี้ยนหลีได้เรียนรู้หลายสิ่ง โดยเฉพาะเรียนรู้ที่จะอดกลั้น ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของบิดานางกลับไม่อาจทำได้ อย่างไรก็อดรนทนไม่ไหว
นางอดกลั้นได้เพียงครึ่งหนึ่งแล้วถลึงตามองจีอู๋จิ้งอย่างกรุ่นโกรธเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านควรเรียกท่านพ่อว่า ‘ท่านพ่อตา’ ”
รอยยิ้มของจีอู๋จิ้งพลันแฝงแววเข้าใจแจ่มแจ้ง เอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจเช่นเคย “ยุ่งยากเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นข้าส่งบุตรสาวคืนให้เขาน่าจะดีกว่า”
กู้เจี้ยนหลียังคิดตามไม่ทันจึงมึนงงอยู่บ้าง ริมฝีปากงามเผยอออกน้อยๆ นัยน์ตาสุกใสฉายแววตื่นตระหนกลนลาน
จีอู๋จิ้งเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกวางน้อยที่หลงทางอยู่ในป่าใหญ่ เขาเลือกที่จะง้างธนูหยอกล้อกวางน้อยบีบให้มันตื่นกลัว เพราะหากฆ่ามันในทีเดียวก็คงจะหมดสนุก
จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือให้กู้เจี้ยนหลี
กู้เจี้ยนหลีรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
“น้ำจะเย็นแล้ว” จีอู๋จิ้งกล่าว
กู้เจี้ยนหลีกะพริบตาเชื่องช้า แววตื่นตระหนกในดวงตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นกลัวในอีกแบบหนึ่ง นางรีบก้มหน้าลงถอนสายตาไปทางอื่น บนพวงแก้มแต้มสีแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว นางลุกขึ้นยืน สายตายังคงหยุดอยู่ที่ปลายเท้าตนเอง ขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น จากนั้นค่อยๆ ขยับเข้าไปประคองแขนจีอู๋จิ้ง พยุงเขาลุกลงจากเตียง
พอจีอู๋จิ้งลงจากเตียงก็แทบจะเทน้ำหนักทั้งร่างไปบนตัวกู้เจี้ยนหลี เขากำลังจะก้าวขา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ของหญิงสาวกล่าวขึ้น
“รอเดี๋ยว…”
จีอู๋จิ้งหันไปมองนาง
“ขา…ขาข้าชาแล้ว”
เมื่อครู่นางนั่งยองๆ นานไปหน่อย ยามนี้สองขาจึงไร้เรี่ยวแรง ก้าวขาแทบไม่ไหว
กู้เจี้ยนหลีก้มหน้า รอให้อาการชาบรรเทาลง จีอู๋จิ้งเลิกคิ้ว มองเสี้ยวหน้าที่อยู่ไม่ไกลของนางอย่างนึกสนใจ
หญิงสาวกำลังหลุบตา มองไปแล้วดูอ่อนโยนเชื่อฟัง ทว่านัยน์ตาดำขลับที่หลบซ่อนไว้กลับกลอกกลิ้งไม่หยุด นึกแค้นใจที่เวลาผ่านไปเชื่องช้า อาการชาไม่หายไปสักที ซ้ำยังนึกโมโหที่จีอู๋จิ้งเอาแต่จ้องไม่หยุด ทำเอานางรู้สึกทำตัวไม่ถูก
จริงๆ เลย ดวงตาคู่นั้นน่ารังเกียจยิ่งนัก!
กู้เจี้ยนหลีรอจนขาหายชาค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หายแล้ว” ก่อนจะพยุงจีอู๋จิ้งเข้าไปห้องข้างทางทิศตะวันตกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ห้องข้างนี้ไม่ใหญ่มาก ทั้งห้องอบอวลไปด้วยไอน้ำ กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะก้าวเข้าไป พวงแก้มทั้งสองก็ขึ้นสีเรื่ออย่างไม่อาจควบคุม
จีอู๋จิ้งปล่อยมือจากตัวนางมาวางตรงขอบอ่างเพื่อพยุงตนเองให้ยืนได้
กู้เจี้ยนหลีขยับเล็กน้อยไปหยุดตรงหน้าเขา ก้มหน้าพลางปลดสายรัดบนเสื้อนอนสีขาวสะอาด มือเรียวขาวนวลคู่นั้นง่วนอยู่กับการแก้ปมสายรัดตรงข้างเอวชายหนุ่มไม่หยุด
ครั้งแรกนางปลดไม่สำเร็จ นิ้วมือของนางสั่นน้อยๆ จึงยิ่งทำให้ปลดยากเข้าไปใหญ่
ชั่วขณะนั้นกู้เจี้ยนหลีรู้สึกลำบากใจยิ่ง จีอู๋จิ้งยังจ้องนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับดูละครฉากหนึ่งอยู่อีก ไม่มีทีท่าจะคลี่คลายสถานการณ์ให้สักนิด ต่อให้นางไม่มองเขาอยู่ก็รู้ดีว่าเขามองมา เพราะดวงตาของเขายังคงดุจอสรพิษร้ายกาจตัวหนึ่ง
กู้เจี้ยนหลีบ่นอุบเสียงเบา “เรือนของนายท่านห้านี้ไม่มีคนคอยปรนนิบัติสักคนเลยหรือ”
“มีสิ แต่เพราะเจ้าเข้ามาอยู่ฉางเซิงจึงเข้ามาเรือนชั้นในไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
กู้เจี้ยนหลีขบริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะหยุดมือ เพราะเมื่อครู่นางกำลังลนลานจึงเผลอผูกสายรัดเสื้อของจีอู๋จิ้งเป็นเงื่อนตาย
จู่ๆ หญิงสาวก็หมุนกายไปนั่งยองๆ ลงตรงตู้ด้านข้าง ค้นหาของด้านในสักครู่ ในที่สุดก็หยิบกรรไกรออกมาได้เล่มหนึ่งและกลับมาตัดสายรัดบนเสื้อของจีอู๋จิ้งขาดดัง ‘ฉับ’
สาบเสื้อที่ซ้อนทับกันอยู่พลันหลุดออกจากกันเผยให้เห็นแผงอกของจีอู๋จิ้ง กู้เจี้ยนหลีหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองส่งเดชแม้แต่น้อย นางหลับตาลงทั้งอย่างนั้นพลางคลำมือไปตามสายรัดเอวต่อ ในที่สุดก็คลำโดนปมที่ผูกไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะพยายามปลดออก
จีอู๋จิ้งพลันยืนมือแทรกไปในปมที่มัดไว้ก่อนดึงออกเบาๆ เพื่อกันไม่ให้นางมัดเป็นเงื่อนตายอีก
พอได้ยินเสียงกางเกงของจีอู๋จิ้งร่วงลงพื้น กู้เจี้ยนหลีมิได้ลืมตาแต่รีบหันกายหนีอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เห็นภาพที่ไม่น่ามองนัก
จีอู๋จิ้งอยากเอ่ยบางอย่าง ทว่าเห็นหัวไหล่ที่เครียดเกร็งเพราะความลนลานของอีกฝ่ายแล้วก็เงียบปากอย่างหมดสนุก เพียงแค่วางมือลงบนไหล่ใช้นางเป็นหลักแล้วก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ
ยามที่จีอู๋จิ้งวางมือบนไหล่ กู้เจี้ยนหลีพลันรู้สึกหนักอึ้งราวพันชั่ง รอจนอีกฝ่ายปล่อยมือนางถึงรู้สึกโล่งอก จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงน้ำที่ด้านหลัง บนใบหน้างดงามก็แดงเรื่อทันทีโดยไม่รู้ตัว นางขยับไปข้างหน้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่หันหลังให้จีอู๋จิ้ง
เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้า
กู้เจี้ยนหลีก้มศีรษะลงมองนิ้วหัวแม่มือที่เล็บฉีกไป บาดแผลมีรอยช้ำสีเขียวคล้ำ นางค่อยๆ เผยอปากดูดท้องนิ้วบริเวณนั้นเบาๆ อีกครั้ง
เสียงน้ำจากด้านหลังดังขึ้นอีกชวนให้จิตใจไม่สงบ นางพยายามคิดเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจตนเอง
ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้าง…อาการจะดีขึ้นบ้างหรือยัง คนที่ชอบตามมาเยาะหยันเหล่านั้นยังกลับมารังควานท่านแม่กับน้องชายหรือไม่…
เมื่อคิดไปคิดมาแพขนตาของกู้เจี้ยนหลีก็สั่นระริก ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า อดนอนมาหนึ่งคืนซ้ำยังประสบพบเจอเรื่องราวมากมายเพียงนั้น ท่ามกลางม่านละอองไอน้ำในห้องอาบน้ำเล็กๆ นี้ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานมาอีกครั้ง โดยไม่รู้ตัวนางก็นอนพิงเก้าอี้หลับไป
ตอนที่จีอู๋จิ้งสวมเสื้อนอนสีขาวสะอาดตัวใหม่และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขามิได้ปลุกนาง
ขณะที่หญิงสาวกำลังหลับใหลกลีบปากนุ่มสีอ่อนหวานของนางเผยอเปิดเล็กน้อย แพขนตาหนานุ่มดูยาวมากเป็นพิเศษ เงาที่ทาบทับบนขอบตาล่างปรากฏเป็นรูปจันทร์เสี้ยวโค้งมน ผิวของนางเดิมทีก็ขาวนวลเนียนอยู่แล้ว เมื่อถูกบดบังด้วยไอน้ำเบาบางโดยรอบ ใบหน้าราบเรียบก็ยิ่งผุดผ่องไร้ราคี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.