X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว

ทดลองอ่าน สามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว บทที่ 19-บทที่ 21

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 19 จวนจิ้งหนิงโหว

เจียงชิงหว่านรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนรักหน้าตา เมื่อวานยังกำชับนางเป็นพิเศษให้แต่งตัวหรูหรามากขึ้น ด้วยเหตุนี้ตอนที่ตื่นมานางจึงเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่จะใส่ด้วยตนเอง

ครั้นเจียงชิงหว่านมายืนอยู่เบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ฝ่ายหลังเห็นนางสวมเสื้อผ้าต่วนเงาสีชมพูปักลายดอกเสาเย่า และปักปิ่นระย้าทองแท้ยอดหงส์สามหางประดับขนนกกระเต็นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “แม้เจ้าจะมีเครื่องหน้าวิจิตรบรรจง แต่เมื่อก่อนผิวคล้ำจึงมองไม่ออกว่าหน้าตาดีเพียงไร ตอนนี้ผิวขาวนวลแล้วถึงได้เผยรูปโฉมอันงดงามของเจ้าออกมา” ครั้นแล้วก็ยกมือชี้ดอกเสาเย่าสีชมพูในแจกันที่อยู่บนโต๊ะยาวพลางกล่าวยิ้มๆ “เหมือนกับดอกเสาเย่าสีชมพูนี้ยิ่ง ดูงามสะพรั่งนัก”

เสาเย่าสีชมพูในแจกันนี้ เมื่อวานเจียงชิงหว่านเด็ดมาปักแจกันให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเพื่อแสดงความกตัญญูโดยเฉพาะ

เจียงชิงหว่านรีบขอบคุณ ก่อนจะพูดถ่อมตัวอีกสองคำ ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพอใจยิ่ง

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นเจียงชิงหว่านสวมกำไลทองถักไว้บนข้อมือขวาแค่วงเดียว คิดแล้วก็บอกให้เถาเยี่ยไปเปิดกล่องเครื่องประดับใบที่อยู่ในสุดของตนออก “หยิบกำไลหยกคู่นั้นมา”

เครื่องประดับทุกชิ้นของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีเถาเยี่ยเป็นผู้ดูแล นางรับคำแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องด้านในทันที เพียงครู่เดียวก็ออกมา สองมือประคองกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงใบเล็กใบหนึ่งเอาไว้

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้าบอกเถาเยี่ยเปิดกล่องให้เจียงชิงหว่านดู “เมื่อก่อนข้าไม่เคยซื้อของดีให้เจ้า กำไลคู่นี้มอบให้เจ้าใส่แล้วกัน”

ที่ยื่นมาคือกำไลหยกสีเขียวอ่อน น้ำดีและใสวาวราวกับเป็นน้ำในสระสะท้อนกับท้องฟ้าอันปลอดโปร่งก็มิปาน ให้ความรู้สึกสงบราบเรียบยิ่งนัก

เจียงชิงหว่านเข้าใจเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงมิได้ปฏิเสธ เอ่ยปากขอบคุณเสร็จก็ให้เถาเยี่ยช่วยสวมกำไลหยกคู่นั้นลงบนข้อมือซ้าย

ย่าหลานทั้งสองกินอาหารเช้าเรียบร้อย นั่งคุยกันบนตั่งหลัวฮั่นได้ไม่กี่คำก็เห็นสาวใช้รูปหน้าเหลี่ยมยาวในชุดเสื้อกั๊กผ้าไหมสีถั่วเขียวซ่อนลายเดินเข้ามา เป็นฝูหรงนั่นเอง นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสาม เตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังรออยู่หน้าประตูใหญ่ บ่าวจะประคองท่านเดินไปเจ้าค่ะ”

นางพูดพลางทำท่าจะเดินมาประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ “เจ้าอยู่เฝ้าเรือนนี้ไปเถิด”

จากนั้นก็เรียกเถาเยี่ยมาประคองแทน รวมถึงเรียกสาวใช้ระดับรองอีกคนให้ตามออกไปข้างนอกด้วย

ฝูหรงสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย

ตอนแรกที่ถูกส่งมาเรือนซงเฮ่อนี้นางเป็นสาวใช้ระดับหนึ่ง ต้องปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่ไม่กี่วันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมิได้ให้นางติดตามรับใช้ข้างกาย เพียงแต่ให้นางยกน้ำยกชาเท่านั้น

นี่ล้วนเป็นงานของสาวใช้รุ่นเล็ก ทว่าเป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ใครจะกล้าขัดเล่า แม้แต่กับคุณหนูรองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังลงโทษโดยไม่พูดพร่ำเลย

ฝูหรงได้แต่ตอบรับ จากนั้นก็เดินไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงออกนอกประตู

ในใจเจียงชิงหว่านรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่เชื่อใจฝูหรง นั่นก็ไม่แปลก หลายปีมานี้จวนป๋อล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของเมิ่งอี๋เหนียง ในบรรดาสาวใช้เหล่านี้คิดว่าต้องมีคนของเมิ่งอี๋เหนียงอยู่แน่นอน ดีไม่ดีจะนำเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำและพูดไปบอกให้นายของตนรู้ทั้งหมด ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงป้องกันไว้สักหน่อยก็เป็นการสมควร

เจียงชิงหว่านจึงหันหน้าน้อยๆ ไปมองหัวหน้าสาวใช้ที่ติดตามตนเอง

เมื่อวานนางได้สอบถามแล้ว รู้ว่าสาวใช้ผู้นี้มีนามว่าลวี่หลัว ปีนี้อายุสิบห้า ดูสุขุมเยือกเย็นรู้ฐานะหน้าที่ ไม่รู้ว่าเป็นคนของเมิ่งอี๋เหนียงหรือไม่ ยังคงต้องจับตามองไปอีกสักระยะ

รถม้าจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ ดูโอ่อ่ายิ่ง ด้านหลังยังมีองครักษ์ติดตามอีกหลายคน

ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงชิงหว่านเข้าไปนั่งในรถม้าแล้ว สารถีที่นั่งอยู่บนคานรถด้านนอกก็ออกรถทันที

ภายในรถม้ามีขนาดใหญ่ ปูด้วยฟูกหุ้มแพรหนา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังเอนตัวพิงหมอนอิงสีเขียวขี้ม้า กล่าวกับเจียงชิงหว่านว่า “สถานที่ที่พวกเราจะไปเยี่ยมเยียนวันนี้เป็นตระกูลที่มีอำนาจมาก ประเดี๋ยวไปถึงแล้วเจ้าจะต้องมีไหวพริบหน่อย อย่าพูดจาส่งเดช”

ในสายตาฮูหยินผู้เฒ่าเจียง เจียงชิงหว่านในสมัยก่อนเป็นเด็กซุกซนไม่รู้จักมารยาท หลานสาวเช่นนี้นางไม่อยากพาออกมาข้างนอก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็กสาวอายุไม่มากกลับดูสงบนิ่ง ทั้งยังรู้จักการควรการไม่ควร เข้าใจมารยาท นับตั้งแต่ผิวขาวนวลเนียนขึ้นรูปโฉมก็ดูดีขึ้นมาก งามกว่าหลานสาวคนอื่นๆ ของนางมาก พาออกมาด้วยก็ช่วยเสริมศักดิ์ศรีหน้าตา

มิหนำซ้ำจะอย่างไรเจียงชิงหว่านก็เป็นคุณหนูสายตรงเพียงคนเดียวของจวนหย่งชางป๋อ อนาคตจะต้องหมั้นหมายกับตระกูลดีๆ แน่นอน ที่แล้วมาเจียงชิงหว่านอาศัยอยู่แต่ชนบท ไม่เคยได้เปิดหูเปิดตา ตอนนี้จะต้องพานางออกไปพบผู้คนบ่อยๆ ทำให้คนรู้ว่าจวนหย่งชางป๋อมีคุณหนูสายตรงที่โดดเด่นเพียงนี้อยู่ด้วย

เมื่อเย็นวานเจียงชิงหว่านมองเห็นของขวัญล้ำค่าราคาแพงเหล่านั้น ในใจก็นึกอยากรู้แล้วว่าผู้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไปเยี่ยมเยียนในวันนี้เป็นผู้ใด ยามนี้ยังเห็นอีกฝ่ายกำชับตนเองอย่างจริงจังถึงเพียงนี้อีก จึงมิวายต้องเอ่ยถามสักคำ “ท่านย่า มิทราบว่าผู้ที่พวกเรากำลังไปเยี่ยมเยียนเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน จะมีคนรู้จักได้สักกี่คนเชียว หรือว่าเป็นคนที่นางรู้จักในอดีต หากแต่ได้ยินว่าเมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นเพียงบุตรสาวสายรองของตระกูลขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ในเมืองหลวง จะไปรู้จักบุคคลใหญ่โตได้อย่างไร มิหนำซ้ำหลังจากเรื่องกบฏหนิงอ๋องเมื่อหกปีก่อน ตระกูลสูงศักดิ์ทรงอำนาจจำนวนมากก็ล้วนแต่ตกต่ำลงแล้ว…

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา “เป็นสตรีสกุลชุยของจิ้งหนิงโหว หรือก็คือผู้บัญชาการมณฑลทหาร”

เจียงชิงหว่านพลันใจเต้นตึก หน้าเริ่มเปลี่ยนสีอยู่บ้างแล้ว

บ้านที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไปเยี่ยมเยียนคือบ้านของชุยจี้หลิง?

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังคงนั่งพูดอยู่ตรงนั้น “น่าขำที่บิดาเจ้าถึงกับเป็นคนโง่ เอาแต่คิดว่าท่านโหวชุยมีภูมิหลังเป็นบัณฑิต ในใจจึงดูถูกและไม่เคยไปเยี่ยมเยียนเขามาก่อน พึงต้องรู้ว่าภูมิหลังเป็นบัณฑิต แต่สุดท้ายสามารถเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารได้ นับว่าเก่งกาจกว่าทหารเหล่านั้นตั้งเท่าไร ได้ยินว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ทรงเป็นน้องสาวร่วมอุทรของท่านโหวชุย ชุยฮองเฮาทรงคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งด้วย แม้ว่าตำแหน่งรัชทายาทจะยังเป็นขององค์ชายใหญ่ที่ประสูติจากอดีตเซวียฮองเฮา แต่ดูจากอำนาจในมือท่านโหวชุยในตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่าวันหน้าสถานการณ์จะเป็นเยี่ยงไร สกุลจิ้งหนิงโหวนี้พวกเราจะต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้ ประจวบเหมาะว่าท่านโหวชุยเคยยื่นมือช่วยพวกเราไว้ระหว่างทาง เป็นข้ออ้างให้พวกเราได้พอดี”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงฉลาดกว่าเจียงเทียนโย่ว หากนางมาเมืองหลวงเร็วกว่านี้ คิดว่าจวนหย่งชางป๋อคงไม่มีทางเป็นเหมือนในปัจจุบัน

หากแต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือวันนี้พวกนางจะไปเยี่ยมเยียนสมาชิกสตรีของสกุลชุย

ในใจเจียงชิงหว่านสับสนวุ่นวาย ฝ่ามือก็ชื้นเหงื่อไปหมด

สวรรค์มอบโอกาสให้นางได้กลับมาเกิดใหม่อีกชาติแล้วแท้ๆ ชาตินี้นางเพียงอยากจะใช้ชีวิตในตัวตนนี้ไปอย่างราบเรียบมั่นคงปลอดภัย ส่วนบรรดาผู้คนและเรื่องราวในชาติก่อน โดยเฉพาะชุยจี้หลิงนั้น นางอยากจะหลีกหนี ไม่อยากรับรู้เรื่องใดๆ ของเขา และยิ่งไม่อยากพบเขาอีกต่อไป

ทว่าบัดนี้นางถึงกับจะตามฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปเยี่ยมเยียนสมาชิกสตรีของสกุลชุย

มิใช่จะต้องเจอฮูหยินผู้เฒ่าชุย รวมถึงซุนอิ้งเซวียน?

นึกถึงภาพที่ซุนอิ้งเซวียนคุกเข่าเบื้องหน้าตน บอกว่านางกับชุยจี้หลิงต่างมีใจให้กัน ขอให้ตนช่วยสงเคราะห์ ซ้ำยังบอกว่าในท้องนางมีลูกของชุยจี้หลิงอยู่…

มือทั้งสองของเจียงชิงหว่านพลันกำหมัดแน่น หัวใจในอกเต้นไม่เป็นส่ำ

เจียงชิงหว่านไม่อยากพบคนพวกนั้น นึกอยากจะกลับเสียเดี๋ยวนี้

เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะคิดข้ออ้างมาปฏิเสธไม่ไปสกุลชุยออก รถม้าก็หยุดลงแล้ว เสียงของสารถีดังผ่านม่านไหมสีน้ำเงินเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสาม ถึงจวนจิ้งหนิงโหวแล้วขอรับ”

เถาเยี่ยเดินมาเปิดม่านรถม้าออก ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงจากรถ ถัดจากนั้นลวี่หลัวก็เดินมาทำท่าจะประคองเจียงชิงหว่านลงรถเช่นกัน

กลับเห็นแต่เจียงชิงหว่านมีใบหน้าซีดขาว ไม่ยื่นมือมาเสียที

ลวี่หลัวนึกฉงน จึงเอ่ยเรียก “คุณหนูเจ้าคะ?”

เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็หันหน้ามามองเช่นกัน ครั้นเห็นสีหน้าของเจียงชิงหว่าน หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไรไป”

เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่แท้ๆ หรือว่าพอได้ยินว่าจะมาจวนจิ้งหนิงโหวก็ตกใจเสียแล้ว ถึงขนาดว่ายื่นมือไม่ออกเยี่ยงนี้?

ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอดจะไม่พอใจอยู่บ้างไม่ได้

เจียงชิงหว่านเห็นปราดเดียวก็เดาได้ จึงลอบถอนหายใจในใจ

วันหน้าอย่างไรนางก็ต้องใช้ชีวิตในจวนหย่งชางป๋อ ไม่อาจทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่ชอบนางได้เด็ดขาด

ช่วงเวลาสามปีในโรงซักล้างเมื่อชาติก่อนนางมีชีวิตลำบากยากเข็ญมาพอแล้ว ชาตินี้ไม่อยากจะมีชีวิตเช่นนั้นอีก

เจียงชิงหว่านจึงสูดหายใจลึกคำรบหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือลวี่หลัว ประคองตัวเดินลงจากรถม้า

กลัวอันใดเล่า หน้าตาในตอนนี้ของนางแตกต่างจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง ใครจะรู้ว่านางคือเจียงชิงหว่านผู้นั้น ล้วนแต่จะคิดว่านางเป็นคุณหนูสายตรงของจวนหย่งชางป๋อทั้งนั้น

อันที่จริงนางเองก็อยากรู้ยิ่งว่าบรรดาคนในชาติก่อนเหล่านั้นตอนนี้มีชีวิตเป็นอย่างไร หากคนพวกนั้นมีชีวิตไม่ดี เช่นนั้นในใจนางก็จะมีความสุข แต่ถ้าอีกฝ่ายมีชีวิตที่ดียิ่ง…

เจียงชิงหว่านก้มหน้ายิ้มบางๆ นางยังคงเชื่อคำกล่าวนั้นเสมอมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนพวกนั้นมิใช่ไม่ต้องรับกรรม เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง

ก่อนหน้านี้มีองครักษ์ของจวนหย่งชางป๋อมายื่นหนังสือขอเข้าเยี่ยมไว้แล้ว ยามนี้พอฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงชิงหว่านลงจากรถม้ามา องครักษ์ก็ก้าวไปเคาะประตูและแจ้งนาม บ่าวชายเฝ้าประตูก็รีบเปิดประตูฝั่งตะวันออกแล้วเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงชิงหว่านเข้าไป

ด้านในป้อมเฝ้ายามมีหญิงรับใช้สองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่บนม้านั่งยาว มองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงชิงหว่านเข้ามา คนทั้งสองก็รีบเดินออกมาค้อมตัวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูจากจวนหย่งชางป๋อใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เถาเยี่ยตอบไปเสร็จ หญิงรับใช้ในเสื้อกั๊กตัวยาวสีเขียวอมดำก็กล่าวยิ้มๆ “เราสองคนเป็นบ่าวที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมารอพวกท่านโดยเฉพาะ ทั้งสองท่านโปรดตามพวกบ่าวมาเจ้าค่ะ”

พูดพลางออกเดินนำทางอยู่ข้างหน้า

จวนจิ้งหนิงโหวย่อมจะมีขนาดใหญ่กว่าจวนหย่งชางป๋อ ตลอดทางที่เดินมานี้เจียงชิงหว่านได้ยินหญิงรับใช้ที่ด้านหน้าสองคนนั้นเล่าว่าถนนทั้งเส้นนี้ล้วนเป็นของจวนจิ้งหนิงโหวของพวกนาง แววภาคภูมิใจในน้ำเสียงไม่ว่าใครก็สามารถฟังออก

เจียงชิงหว่านเพียงแต่ก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา ไม่ได้มองทัศนียภาพข้างทางใดๆ โดยสิ้นเชิง

เพียงแค่คิดว่าทัศนียภาพเหล่านี้ล้วนผ่านตาชุยจี้หลิงมาก่อน ถึงขนาดว่าทางเส้นที่นางเดินในตอนนี้ชุยจี้หลิงก็เคยเดินผ่าน ในใจนางก็มีความรู้สึกอันบรรยายไม่ถูกผุดขึ้นมา ทำได้เพียงพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ไปคิดเรื่องเหล่านี้อย่างสุดกำลัง

หลังเดินผ่านระเบียงยาวคดเคี้ยวหลายเส้นก็มาถึงที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าชุยแล้ว

เป็นเรือนห้าคั่น ตรงกลางของตอนที่สามเป็นเรือนหลักและลานเรือนใหญ่

หญิงรับใช้ทั้งสองเข้าไปรายงานเสร็จก็มีสาวใช้มาเชิญฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงชิงหว่านเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ในห้องกลาง มีสาวใช้ปักปิ่นเงินลายดอกท้อผู้หนึ่งยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าของเราต้องไปไหว้พระที่หอพระเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามทุกเช้า ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่ามาประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

สาวใช้พูดพลางยอบตัวคารวะ ก่อนหันหลังเดินออกนอกห้อง

เจียงชิงหว่านจึงคิดในใจอย่างเย็นชาว่าเมื่อก่อนนายหญิงชุย ไม่สิ ยามนี้ต้องเป็นฮูหยินผู้เฒ่าชุย มิใช่เคยพูดต่อหน้านางว่าไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงจะปล่อยให้บุตรชายของตนแต่งภรรยาอย่างนางเข้ามาได้หรือไร ซ้ำยังเคยด่านางด้วยว่าเป็นนางจิ้งจอก กรอกยาเสน่ห์ให้บุตรชายกินเป็นชามใหญ่ มิเช่นนั้นจะล่อลวงให้ในใจบุตรชายมีแต่นางผู้เดียว สามปีแล้วยังไม่มีลูกก็ยังไม่ยอมรับอนุภรรยาได้อย่างไร

บทที่ 20 แม่สามีในชาติก่อน

แม้จะผ่านไปหลายปีและเคยตายมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องน่าเศร้าในสมัยก่อนเหล่านั้นขึ้นมา เจียงชิงหว่านก็ยังคงรู้สึกทรมานใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย นางจึงปลอบใจตนเองว่าตอนนี้นางเป็นคุณหนูของจวนหย่งชางป๋อ มิใช่หญิงโง่เขลาในอดีตที่วิ่งไปหาเขาในคืนฝนพรำ ทำทุกอย่างเพื่อความรักโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

ขณะที่ในใจกำลังคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องเหล่านี้ก็เห็นหญิงสาวที่ปักปิ่นเงินลายดอกท้อก่อนหน้านี้ประคองฮูหยินผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินเข้ามา

เป็นฮูหยินผู้เฒ่าชุยจริงๆ จอนผมของอีกฝ่ายเป็นสีเงิน โหนกแก้มซูบๆ ยกสูง มุมปากทั้งสองข้างกลับโค้งลง บนใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเล็กๆ

เจียงชิงหว่านอึ้งไปเล็กน้อย

นางจำได้ว่าอันที่จริงมารดาของชุยจี้หลิงอายุน้อยกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ปีนี้น่าจะยังไม่ถึงหกสิบ แต่ดูสภาพอีกฝ่ายในตอนนี้แล้ว บอกว่าเจ็ดสิบปีก็ยังมีคนเชื่อ

เจียงชิงหว่านไม่รู้ว่าในหลายปีนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงได้กลายมามีสภาพแห้งเหี่ยวราวกับขิงแก่เช่นปัจจุบัน

ทั้งที่บุตรชายได้เป็นจิ้งหนิงโหว ได้เป็นถึงผู้บัญชาการมณฑลทหารแล้ว บุตรสาวก็ได้เป็นถึงฮองเฮา หนำซ้ำเมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าชุยมิใช่ชอบซุนอิ้งเซวียนมากหรือไร ตอนนี้บุตรของซุนอิ้งเซวียนกับชุยจี้หลิงน่าจะแปดเก้าขวบได้แล้วกระมัง นางยังจะมีอะไรไม่สมใจปรารถนาจนกลายเป็นแก่ชราเยี่ยงนี้

หากแต่ถัดมาในใจเจียงชิงหว่านกลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมา

ได้เห็นคนที่เคยค่อนแคะและทำให้นางลำบากใจในกาลก่อนมีชีวิตที่ไม่ดี ในใจย่อมรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอยู่บ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงในเวลานี้ก็มีสีหน้าอึ้งงันเช่นกัน หากแต่สาเหตุคือฮูหยินผู้เฒ่าชุยตรงหน้านี้ดูคล้ายจะเป็นสหายเก่าของนาง

นางจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระคนแววลังเล “ท่าน…สกุลเดิมของท่านใช่แซ่หยางหรือไม่”

เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเองก็จำฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้เช่นกัน แม้หลายปีมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะอยู่ที่กานโจว แต่ก็บำรุงรักษาตนเองได้ไม่เลว แม้จะอายุมากแล้ว ทว่าดูจากรูปโฉมยังคงสามารถมองเค้าในวัยสาวออกได้หลายส่วน

“ท่าน…ท่านคือภรรยาของบุตรชายใต้เท้าเจียงที่เป็นเสมียน?”

เจียงชิงหว่านรู้ว่าเมื่อก่อนปู่ของเจียงเทียนโย่วเป็นขุนนางในสังกัดจวนบัญชาการ ดูเหมือนจะเป็นเสมียนขั้นห้า ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยถึงกับบอกออกมาได้ในรวดเดียว…

ในใจเจียงชิงหว่านกำลังนึกข้องใจ ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยเดินเข้าหากันด้วยอารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่านแล้ว ซ้ำมือยังจับกันแน่น

ฟังจากบทสนทนาหลังจากนั้นของพวกนางสองคน เจียงชิงหว่านก็ได้รู้ว่าปู่สกุลเจียงกับปู่สกุลชุยในตอนนั้นไม่เพียงเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก แต่ยังเป็นสหายที่สนิทที่สุดถึงขั้นฝากชีวิตกันได้ด้วย ต่อมาคนทั้งสองก็ได้รับโทษจนเสียตำแหน่งขุนนางไปพร้อมกัน จึงได้แยกย้ายกันกลับบ้านเกิด เนื่องด้วยอยู่ห่างกันหนึ่งเหนือหนึ่งใต้ อีกทั้งผู้เฒ่าทั้งสองก็ทยอยลาโลกไป สองตระกูลถึงได้ค่อยๆ ติดต่อกันน้อยลง

ทว่าตอนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยยังสาวต่างก็เคยพบกัน เมื่อก่อนสองตระกูลสนิทสนมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน สมาชิกสตรีจึงไปมาหาสู่กันเนืองๆ

เจียงชิงหว่านได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าชุยพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเลย จึงไม่รู้ว่าหย่งชางป๋อก็คือโย่วเกอ หากได้รู้คงเชิญเขามาที่บ้านนานแล้ว”

สองมือจับมือฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไว้แน่น ท่าทางตื่นเต้นยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน

ตอนที่สองตระกูลยังอยู่ที่เมืองหลวง ในใจนางอาจจะดูแคลนฮูหยินผู้เฒ่าชุย รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงบุตรสาวจากครอบครัวบัณฑิตยากจน ซ้ำยังทำตัวสูงส่งบริสุทธิ์ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่ใครจะไปคาดคิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะถึงกับมีบุตรชายที่มีอนาคตปานนี้ ซ้ำยังมีบุตรสาวที่ได้เป็นถึงฮองเฮาอีกด้วย

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจิ้งหนิงโหวผู้โด่งดังจะเป็นบุตรชายของท่านเช่นกัน หากรู้ก่อน ข้าก็น่าจะเข้าเมืองหลวงมาพบท่านเร็วกว่านี้ เอาแต่นึกว่าเกิดสงครามวุ่นวายเมื่อหลายปีก่อน พวกเราสองพี่น้องคงไม่ได้พบกันอีก คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกันในตอนนี้”

ตอนที่สกุลเจียงและสกุลชุยออกจากเมืองหลวง เจียงเทียนโย่วเพิ่งจะอายุได้สามเดือน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าชุยยังไม่มีลูก กว่าจะมีชุยจี้หลิงก็ไปถึงอวิ๋นโจวได้หลายปีแล้ว ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงไม่เคยพบชุยจี้หลิงมาก่อน

เจียงชิงหว่านมองดูคนทั้งสองที่มีท่าทางตื่นเต้นอยู่ข้างๆ อดจะลอบยิ้มขื่นไม่ได้

ชาตินี้นางไม่อยากพัวพันกับผู้ใดในชาติก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าสกุลเจียงและสกุลชุยจะมีไมตรีแน่นแฟ้นกันมาหลายชั่วคนจนเปรียบเสมือนญาติ อีกทั้งหากนับตามลำดับอาวุโส นางจะต้องเรียกชุยจี้หลิงว่า ‘ท่านอา’

สามีภรรยาในชาติก่อน ชาตินี้ถึงกับกลายมามีความสัมพันธ์ฉันอาหลาน ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าชุยจี้หลิงรู้เข้าจะมีสีหน้าเช่นไร

ทางที่ดีเขาอย่ารู้เลยจะดีกว่า ขอให้อย่าได้รู้ไปตลอดกาล ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขาในตอนนี้ ถ้าเกิดรู้ว่านางเป็นใคร เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ได้

ถวายภรรยาร่วมผูกผมของตนให้ฮ่องเต้ชราราชวงศ์ก่อนเพื่อแลกกับอำนาจและความมั่งคั่งร่ำรวย เรื่องนี้เป็นมลทินที่เขาไม่มีวันล้างออกได้หมด หากเป็นที่โจษจันออกไปผู้อื่นจะมองเขาอย่างไรเล่า เขาจะต้องไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตบนโลกนี้ต่อไปแน่นอน

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยต่างบอกเล่าเรื่องราวหลังแยกจากกัน

ตอนนั้นคนทั้งสองยังเป็นสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลได้ไม่นาน ถึงแม้ตอนสาวๆ ในใจของแต่ละฝ่ายอาจนึกดูถูกกัน แต่ครั้นได้มาพบกันในช่วงบั้นปลายชีวิต ต่างฝ่ายต่างก็จอนผมขาวเทาราวหิมะ ในใจย่อมจะมีความสะเทือนใจใหญ่หลวง ความรู้สึกก็ลึกซึ้งขึ้นมา

หลังจากร่ำไห้ด้วยกันได้ครู่หนึ่ง คนทั้งสองถึงค่อยๆ สงบลงด้วยการปลอบใจของสาวใช้

คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยถึงค่อยสังเกตเห็นเจียงชิงหว่านที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาพินิจมองนาง ก่อนเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “แม่นางผู้นี้คือ?”

“นี่คือหลานสาวของข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีรอยยิ้มบนหน้า “อยู่ในลำดับที่สามในบ้าน” ทางหนึ่งก็เรียกเจียงชิงหว่าน “ชิงหว่าน รีบมาคารวะเหล่าไท่จวินเร็วเข้า”

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยได้ยินนามของเจียงชิงหว่านชัดเจน ใบหน้าก็เปลี่ยนสีทันควัน สายตาที่มองมาก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน

“ชิงหว่าน? เจียงชิงหว่าน?” นางทางหนึ่งจ้องเจียงชิงหว่าน อีกทางก็พูดพึมพำเบาๆ

นามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยถึงอีกตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อนแล้ว นางเองก็ไม่เคยได้ยินอีกเลยเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางตรงหน้านี้ก็จะมีนามว่า ‘เจียงชิงหว่าน’

ทั้งแซ่ทั้งนามเหมือนกับคนผู้นั้นมิผิดเพี้ยน

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นนางหน้าถอดสี สายตาที่มองเจียงชิงหว่านคล้ายแฝงด้วยแววประหม่าหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบถามว่า “ท่านเป็นอะไรไป หลานสาวผู้นี้ของข้ามีอะไรไม่เหมาะสมหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยพินิจมองเจียงชิงหว่านอย่างละเอียด ผิวขาวราวกับหยก คิ้วเรียวเล็กพาดยาว งดงามละมุนละไมประหนึ่งดวงจันทร์ในสายน้ำแห่งเจียงหนาน

เป็นเด็กสาวที่มีรูปโฉมชวนพิศผู้หนึ่ง ไม่มีที่เหมือนกับคนผู้นั้นแม้แต่กระผีกเดียว

คราวนี้หัวใจฮูหยินผู้เฒ่าชุยที่เต้นไม่เป็นส่ำมาตลอดถึงค่อยๆ สงบลงได้

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยหัวเราะเยาะตนเองในใจว่าตนหวาดระแวงตื่นกลัวเกินเหตุจริงๆ คนผู้นั้นตอนนี้น่าจะกำลังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่กับสหายวัยเด็กของนาง เด็กสาวตรงหน้านี้ก็แค่บังเอิญมีนามเหมือนกับคนผู้นั้นเท่านั้นเอง จะเป็นนางไปได้อย่างไรเล่า

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยจึงหันหน้าไปตอบอีกฝ่ายยิ้มๆ “มิได้มีอันใดไม่เหมาะสม เพียงแต่ข้าเห็นหลานสาวผู้นี้ของท่านดูคุ้นตา จึงได้มองนานไปสักหน่อย”

รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงมีแววกล้ำกลืนอยู่หลายส่วน ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นแล้วในใจก็ให้นึกสงสัยยิ่ง ทว่าก็มิได้พูดอะไร แต่เปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องที่ชุยจี้หลิงได้ช่วยพวกนางไว้ขณะอยู่ชานเมืองไท่หยวนแทน

“…หากมิใช่ท่านโหวให้การช่วยเหลือ พวกข้าแม่สามี ลูกสะใภ้ รวมถึงหลานสาวจะต้องได้จบชีวิตอยู่ที่นั่นแน่นอน ตอนนี้ข้าไหนเลยจะยังมาพบท่านได้ ในใจข้าสำนึกต่อบุญคุณนี้ของท่านโหว จึงได้สั่งให้โย่วเกอไปเตรียมของขวัญตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึงจวน และนี่อย่างไร วันนี้ก็มาเยี่ยมเยียนท่านแล้ว หากข้าไม่ได้มาในวันนี้ พวกเราสองคนคงจะไม่ได้พบกัน เห็นได้ว่าเป็นสวรรค์กำหนดไว้ก่อนแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเรียกให้หญิงรับใช้ที่ติดตามมาหยิบของขวัญที่จัดเตรียมไว้ออกมาทั้งหมด

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยมองดูของขวัญล้ำค่าราคาแพงเหล่านี้พลางกล่าวว่า “ตระกูลของท่านกับข้าเปรียบเสมือนญาติ หลิงเกอช่วยท่านก็เป็นการสมควร ไยต้องสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้”

ซ้ำยังยืนกรานจะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนำของขวัญเหล่านี้กลับไปให้ได้ “หากท่านไม่นำกลับไป ก็เท่ากับวางตัวห่างเหินกับข้าแล้ว”

สุดท้ายหลังจากคนทั้งสองเกี่ยงกันไปมา ฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็รับไว้เพียงไม้จันทน์แดงกับผ้าไหมแพรพรรณอีกไม่กี่พับ อย่างอื่นล้วนบอกให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนำกลับไป

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ได้แต่ยอมแพ้ สั่งให้สาวใช้เก็บของกลับมา จากนั้นนางก็มองดูรอบห้องแล้วถามว่า “ไยจึงไม่เห็นสะใภ้กับหลานของท่านเลยเล่า พวกเขาไม่อยู่ที่จวนหรือ”

นางรู้ว่าตอนนี้ชุยจี้หลิงกำลังออกรบกับเผ่าต๋าต๋าอยู่ที่ซานซี ไม่มีทางกลับมาเร็วปานนั้น ทว่าที่มาในวันนี้เดิมทีก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนพบปะสมาชิกสตรีของจวนจิ้งหนิงโหวก่อนอยู่แล้ว ฉะนั้นจะต้องพบชุยฮูหยินให้ได้

ทั้งยังอยากจะพบหลานชายหลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่าชุยสักหน่อย คนทั้งสองจะอย่างไรก็เคยรู้จักกัน สมควรต้องพบหน้ารุ่นหลานของกันและกันเสียหน่อย

หัวใจของเจียงชิงหว่านบีบรัดแน่น

ฮูหยินกับบุตรชายของชุยจี้หลิง?

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่ซุนอิ้งเซวียนหรือไม่ จะอย่างไรซุนอิ้งเซวียนก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าชุยจะยอมให้นางเป็นภรรยาเอกของชุยจี้หลิง อย่างมากก็เป็นได้แค่อนุภรรยาเท่านั้น

ทว่าหลานชายคนโตของฮูหยินผู้เฒ่าชุยจะต้องเป็นบุตรของซุนอิ้งเซวียนมิผิดแน่กระมัง เวลานั้นตนได้ยินหมอผู้นั้นบอกเองกับหูว่าซุนอิ้งเซวียนตั้งท้องได้สามเดือนกว่าแล้ว

น่าขันที่ตอนนั้นตนยังเป็นห่วงเป็นใยซุนอิ้งเซวียนยิ่ง นึกว่านางถูกบุรุษคนใดหลอกลวงเอา ขนาดตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้วก็ยังไม่เห็นเขามาสู่ขอ พูดด้วยความแค้นเคืองต่อความอยุติธรรมว่าจะไปหาตัวบุรุษผู้นั้น จากนั้นถึงได้รู้ว่านั่นถึงกับเป็นบุตรของชุยจี้หลิง

ตนในเวลานั้นช่างโง่เขลาเกินไปแล้วจริงๆ

เจียงชิงหว่านหัวเราะเยาะตนเอง หันหน้าไปมองภาพทิวทัศน์ขุนเขาสายน้ำวาดสีทองและสีเขียวที่แขวนอยู่บนผนัง

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินคำตอบจากฮูหยินผู้เฒ่าชุย ในใจเจียงชิงหว่านกำลังฉงนสงสัยก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าชุยกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยเสียงติดจะแหบแห้งฝาดเฝื่อน “ข้าอิจฉาท่านที่ตอนนี้มีบุตรหลานห้อมล้อม ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวยิ่งนัก ในส่วนของข้านั้น เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติก่อนไปทำกรรมอะไรมากันแน่ บุตรชายผู้นี้ของข้าอกตัญญูมากจริงๆ ตอนนี้เขาหาได้มีภรรยาไม่ ซ้ำยังไม่มีลูกแม้แต่ครึ่งคน ข้าจะไปเอาหลานชายหลานสาวมาจากที่ใดเล่า”

บทที่ 21 โรคที่เปิดเผยไม่ได้ของอดีตสามี

 เจียงชิงหว่านได้ยินก็ตกใจ จึงหันหน้าไปมองฮูหยินผู้เฒ่าชุย ก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน

นับๆ ดูบัดนี้ชุยจี้หลิงก็อายุสามสิบแล้ว อายุเท่านี้ยังไม่มีภรรยา ซ้ำยังไม่มีบุตร พูดขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนมากจริงๆ

เกรงว่าผู้อื่นคงจะได้คิดว่าเขามีโรคอะไรที่เปิดเผยไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็มีสีหน้าตระหนกตกใจไปแล้ว

หากแต่เจียงชิงหว่านรู้ว่าชุยจี้หลิงไม่ได้มีโรคที่เปิดเผยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่มีโรค ยามอยู่บนเตียงยังเผด็จการเปี่ยมด้วยกำลังวังชายิ่ง ไม่ได้มีท่าทางอ่อนโยนสงวนท่าทีเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นแม้แต่น้อย

หากแต่ตอนนี้เขาถึงกับยังไม่มีภรรยา? เวลานั้นซุนอิ้งเซวียนมิใช่ท้องบุตรของเขาหรือไร แล้วไฉนจึงไม่มีบุตรได้ เด็กคนนั้นไม่ได้เกิดมาอย่างนั้นหรือ หรือว่าตายไปหลังจากเกิดมาแล้ว

เจียงชิงหว่านเกิดความอยากรู้อย่างอดไม่ได้ แต่ก็หัวเราะเยาะตนเองขึ้นมาเบาๆ ในทันที

ชาติก่อนนางถูกชุยจี้หลิงทรยศหักหลังและได้ตายมาแล้วหนหนึ่ง เรื่องของชุยจี้หลิงยังมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนางอีก หากขณะอยู่ที่โรงซักล้างไม่มีซุนกูกู* คอยช่วยชี้ทางสว่าง บอกให้นางเลิกเคียดแค้น แล้วใช้ชีวิตให้เบิกบานผ่อนคลายมากขึ้น กระทั่งนางค่อยๆ ปลงต่อเรื่องเหล่านี้ได้ มิเช่นนั้นป่านนี้นางคงอยากจะปราดไปตบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าชุยทันทีที่เห็นอีกฝ่ายแล้ว มีหรือจะเอาแต่นั่งฟังอีกฝ่ายกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดคุยกันอยู่เงียบๆ เช่นนี้

เจียงชิงหว่านเองก็รู้ว่าแม้ฐานะของนางในตอนนี้จะไม่ต่ำต้อย แต่จะไปตบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าชุยไม่ได้แน่นอน อันดับแรกจะต้องผ่านด่านฮูหยินผู้เฒ่าเจียงให้ได้ก่อน อีกทั้งชาตินี้นางอยากจะใช้ชีวิตไปอย่างราบเรียบมั่นคงปลอดภัย ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนี้เช่นนี้แล้ว

ครั้นมองเห็นว่าแม้ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยจะมีความเป็นอยู่หรูหราดีงาม แต่งกายด้วยผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี แต่ยังคงไม่มีความสุขแม้แต่น้อย ในใจเจียงชิงหว่านก็ยังคงรู้สึกปลอดโปร่ง

ตลอดเวลามานี้นางยังคงไม่อาจลืมผู้คนและเรื่องราวในชาติก่อนไปได้

หลังฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหายตกใจก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาในใจอย่างยากจะระงับ จึงถามว่า “นี่ท่านโหวยังไม่เคยแต่งงานหรือ”

เสียงเบาลงกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย

จิ้งหนิงโหว ผู้บัญชาการมณฑลทหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านใต้หล้า ไฉนจึงยังไม่ได้แต่งงาน ต่อให้เมื่อก่อนมีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง แต่บัดนี้ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเมืองหลวงสมควรจะมีผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจจำนวนไม่น้อยที่อยากยกบุตรสาวให้แต่งกับเขามิใช่หรือ เขาสามารถเลือกได้ตามใจชอบ และถึงจะไม่ได้แต่งงาน ในจวนเองก็น่าจะมีสตรีอยู่บ้างกระมัง ไฉนอายุปาไปสามสิบแล้วกลับยังไม่มีลูกแม้แต่ครึ่งคน

ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเต็มไปด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น อยากจะซักถามให้ทะลุถึงเบื้องลึกใจแทบขาด ด้วยเหตุนี้จึงมองฮูหยินผู้เฒ่าชุยด้วยสายตาแวววาว

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าฮูหยินผู้เฒ่าชุยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากนัก เพียงกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “เมื่อก่อนเขาเคยแต่งงานครั้งหนึ่ง ทว่าภายหลังภรรยาไม่อยู่แล้ว ต่อจากนั้นข้าพูดเรื่องแต่งงานกับเขา เขาก็เดินหนีด้วยความไม่พอใจ ข้าจึงทำได้เพียงไม่พูดถึงอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าชุยไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้มากความอีก

ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังคงมีความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าชุยฮูหยินในสมัยก่อนนั้นเป็นคนเช่นไร อีกทั้งเป็นบุตรสาวบ้านใดกันแน่ มิหนำซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็บอกว่านางไม่อยู่แล้ว นี่หมายความว่าอย่างไรกัน หรือว่าตายไปแล้ว ชุยจี้หลิงรักนางมากจนลืมไม่ลงถึงได้ไม่แต่งงานใหม่หรือ แต่ฟังจากความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าชุย ชุยฮูหยินผู้นั้นก็ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยากจะถามต่อ แต่ครั้นเห็นสีหน้าในยามนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าชุย นางก็เบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่นแทนอย่างมีไหวพริบ

ตลอดเวลานี้เจียงชิงหว่านเอาแต่มองภาพทิวทัศน์ขุนเขาสายน้ำวาดสีทองและสีเขียวที่แขวนอยู่บนผนังภาพนั้นโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเห็นแล้วคงรู้สึกว่าพวกนางสองคนคุยกันจนละเลยเจียงชิงหว่านไป จึงบอกให้สาวใช้นำขนมและผลไม้เชื่อมมาให้นางกิน แต่นางก็ดูไม่มีท่าทางสนใจ จึงกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงว่า “ข้าให้คนพาหลานสาวผู้นี้ของท่านไปเดินเล่นในสวนสักหน่อยแล้วกัน ให้นางนั่งฟังพวกเราสองคนคุยกันอยู่ข้างๆ ตลอดเช่นนี้ นางคงจะเบื่อหน่ายแย่”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับรู้สึกว่าเจียงชิงหว่านเป็นเช่นนี้ดียิ่ง ผู้ใหญ่สนทนากัน ผู้น้อยก็ไม่ควรพูดแทรกอยู่แล้ว อีกทั้งนางนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบสงบเช่นนี้ก็ดูว่าง่ายมากจริงๆ เหมือนกับท่าทางของธิดาตระกูลใหญ่

ทว่าตนยังมีเรื่องต้องคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยอีกมาก ให้เจียงชิงหว่านนั่งฟังพวกตนคุยกันอยู่ข้างๆ ตลอดก็น่าเบื่อเกินไปจริงๆ จึงยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าชุย “สวนดอกไม้ของจวนท่านต้องงดงามมากเป็นแน่ หลานสาวผู้นี้ของข้ามีบุญ วันนี้ถึงได้ไปเปิดหูเปิดตา”

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเองก็กล่าวยิ้มๆ “หากท่านอยากไปชม ประเดี๋ยวพวกเราสองคนก็ไปเดินเล่นกันสักหน่อยเถิด”

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยออกจากบ้านน้อยครั้งนัก หากมิใช่สวดมนต์ไหว้พระอยู่ในหอพระเล็ก ก็เอาแต่อ่านคัมภีร์ ไม่มีใครให้คุยเล่นด้วย ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาแล้ว ซ้ำยังเป็นคนรู้จักในอดีต ระหว่างกันมีเรื่องให้คุยมากมาย

นางจึงเรียกหญิงสาวปักปิ่นเงินลายดอกท้อคนเมื่อครู่มาหา “ปี้อวี้ เจ้าพาคุณหนูเจียงไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ให้ดี”

ปี้อวี้รับคำเสร็จ เจียงชิงหว่านก็ลุกขึ้นขอตัวกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยและฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แล้วเดินตามปี้อวี้ออกไป

นางเองก็ไม่อยากนั่งฟังฮูหยินผู้เฒ่าชุยพูดอยู่ตรงนี้เช่นกัน เพราะมักจะนึกถึงท่าทางยามอีกฝ่ายต่อว่าค่อนแคะนางในชาติก่อนขึ้นมา

เรือนส่วนหน้าของจวนจิ้งหนิงโหวกว้างใหญ่โอ่อ่า งดงามหรูหราวิจิตรประณีต ทิวทัศน์ในสวนดอกไม้ด้านหลังนี้กลับสงบเงียบงดงาม ดูรื่นตารื่นใจ

ทว่าเจียงชิงหว่านไม่มีแก่ใจจะชมดูนัก เพียงแต่เดินตามหลังปี้อวี้ไปอย่างทึมทื่อ แม้แต่ปี้อวี้แนะนำทัศนียภาพในสวนอย่างไรบ้าง นางก็ฟังไม่เข้าหัวเสียเท่าไร

เมื่อเดินผ่านทางเดินล้อมไผ่ ทะลุประตูวงเดือนมา ตรงหน้าก็พลันเปิดโล่ง ถึงกับเต็มไปด้วยสายน้ำใสสะอาด ริมฝั่งมีศาลาอยู่แห่งหนึ่ง หน้าต่างฉลุลายรอบด้านเปิดอยู่ แผ่นป้ายที่แขวนอยู่ด้านบนเขียนอักษรคำว่า ‘ทิงเซียง’ ไว้สองตัว

ปี้อวี้ยิ้มพลางเชิญเจียงชิงหว่านเข้าไปในศาลาทิงเซียงแห่งนี้ “คุณหนูเดินมาตลอดทางคงจะเหนื่อยแล้ว เชิญเข้าไปพักในศาลานี้สักหน่อยนะเจ้าคะ”

เจียงชิงหว่านจะอย่างไรก็ได้ จึงก้าวเท้าเดินไป

หน้าศาลามีแท่นยกพื้น มีโต๊ะหนึ่งตัวและม้านั่งกลมอีกสองสามตัววางอยู่ รอบข้างก็มีม้านั่งพนักเอนให้นั่งได้

เจียงชิงหว่านจึงนั่งลงบนม้านั่งพนักเอน มองดูทะเลสาบเล็กๆ ที่เบื้องหน้า

ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน บนผิวน้ำมีใบบัวขนาดเล็กอยู่จำนวนหนึ่ง ซ้ำยังไม่มีดอกผลิบาน แต่รอให้อากาศร้อนกว่านี้แล้วมานั่งในศาลาริมน้ำ ก็จะสามารถมองเห็นใบบัวสีเขียวขจีและดอกบัวสีชมพูได้ ยามสายลมอ่อนๆ โชยผ่านได้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นของดอกบัว สมกับชื่อว่า ‘ทิงเซียง’ จริงๆ

เจียงชิงหว่านดูใบบัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้ามองดูรอบๆ ก็เห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีรั้วหยกขาวและภูเขาจำลองเล็กๆ อยู่ด้วย และที่ข้างรั้วใต้ภูเขาจำลองก็เห็นได้ชัดว่าเป็นดงดอกเสาเย่าที่กำลังบานสะพรั่งดงใหญ่ ไม่ว่าสีอะไรก็ล้วนมีทั้งสิ้น ช่างชวนให้สะท้านใจโดยแท้

เจียงชิงหว่านตกใจยิ่ง ชี้ทางนั้นพลางถามปี้อวี้ “ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบนั้นเป็นอะไร”

ปี้อวี้มองเห็นแล้วเช่นกัน นึกว่านางอยากจะไปดู จึงทำสีหน้าลำบากใจออกมา ตอบว่า “นั่นคือแปลงเสาเย่าเจ้าค่ะ เพียงแต่ตรงนั้นท่านโหวไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดย่างเท้าเข้าไป แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าของเราก็ยังไม่เคยไปตรงนั้นเช่นกัน”

ท่านโหว? นั่นก็คือชุยจี้หลิง เขาถึงกับปลูกดอกเสาเย่าไว้แปลงใหญ่เพียงนี้ ซ้ำยังไม่ให้ผู้อื่นย่างกรายเข้าไปใกล้ด้วย

เจียงชิงหว่านอึ้งงันไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้มเย็นในใจ จำได้ว่าเมื่อก่อนนางเคยบอกชุยจี้หลิงว่าอยากได้แปลงเสาเย่าแปลงใหญ่ๆ ด้านในจะปลูกดอกเสาเย่าที่โด่งดังล้ำค่าไว้นานาชนิด รอยามพวกมันผลิบาน นางก็จะอยู่ในนั้นทั้งวัน แม้แต่กลางคืนก็จะไม่ไปที่ใด เวลานั้นชุยจี้หลิงรักใคร่โปรดปรานนางยิ่ง ย่อมรับปากนางไปทุกเรื่อง ซ้ำยังบอกด้วยว่าถึงเวลานั้นจะจุดเทียนแล้วมาชมดอกเสาเย่ากับนางตอนกลางคืน

ตอนนี้เขาปลูกดอกเสาเย่าเป็นแปลงใหญ่ไว้จริงๆ

เพียงแต่เจียงชิงหว่านไม่รู้สึกว่านี่เป็นเพราะชุยจี้หลิงมีความรักลึกซึ้งต่อนาง เพราะหากเขามีความรักลึกซึ้งต่อนางจริง เขาจะไปมีบุตรกับซุนอิ้งเซวียนลับหลังนาง จะถวายนางให้ฮ่องเต้ชราราชวงศ์ก่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างไร คงเป็นเพราะในใจละอายต่อนางอยู่บ้างเท่านั้นเอง และอาจจะยังมีความสงสารอยู่เล็กน้อย

ทว่านางไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้อีก เรื่องในชาติก่อนล้วนผ่านไปแล้ว ชาตินี้นางเพียงอยากมีชีวิตที่ราบเรียบมั่นคงปลอดภัย ไม่ขอพบกับเขาอีก

เจียงชิงหว่านไม่อยากเห็นดอกเสาเย่าเหล่านั้น จึงลุกขึ้นเดินออกจากศาลาริมน้ำเพื่อกลับไป

กลางทางบังเอิญเจอสาวใช้ที่มาตามหาพวกนางเข้าพอดี บอกว่าอาหารกลางวันเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเชิญคุณหนูเจียงไปกินด้วยกัน

ครั้นกลับไปถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ถามเจียงชิงหว่านว่าดูอะไรมาบ้าง นางก็ตอบไปด้วยสีหน้านอบน้อมอ่อนโยน ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเห็นแล้วก็พูดขึ้นยิ้มๆ อยู่ด้านข้าง “หลานสาวผู้นี้ของท่านดูวางตัวดีจริงๆ ท่วงท่างดงามอ่อนหวานนัก”

ก่อนจะถามอีกว่าหมั้นหมายแล้วหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้แต่ตอบยิ้มๆ ว่า “ยังเลย หนึ่งคือตอนนี้นางเพิ่งอายุสิบสี่ สองคือเมื่อก่อนอยู่กับข้าที่กานโจวตลอด เพิ่งจะมาเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน ผู้อื่นคงจะไม่รู้ว่าในบ้านข้ามีหลานสาวสายตรงเช่นนี้อยู่ด้วย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงนี้มีคนหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความรู้ความสามารถอยู่บ้างหรือไม่ ค่อยๆ มองหาไปแล้วกัน อย่างไรก็ต้องหาคนดีๆ ให้นาง ข้าถึงจะวางใจได้”

ว่าแล้วก็บอกให้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยช่วยดูๆ สักหน่อย

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยรับปาก สีหน้าดูครุ่นคิด

เจียงชิงหว่านรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลมากจริงๆ แต่ก็แค่นึกว่านี่เป็นการพูดตามมารยาทเท่านั้น จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ครั้นสาวใช้จัดวางอาหารเสร็จ นางก็ไปนั่งกิน

ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าชุยดูไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่านัก หลังกินอาหารเสร็จฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งคุยกับนางต่อได้อีกครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัว

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ยิ่ง จับมือฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพลางบอกให้ฝ่ายหลังมาคุยกับนางบ่อยๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยิ้มพลางตอบรับ ซ้ำยังบอกว่าถ้านางมีเวลาว่างก็ไปเดินเล่นที่บ้านของตนได้ “แม้จวนของข้าจะสู้จวนท่านไม่ได้ แต่ก็มีสองสามที่ที่นับว่ามีทัศนียภาพใช้ได้อยู่ ท่านถือเสียว่าไปผ่อนคลายอารมณ์ก็แล้วกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเองก็รับปาก ก่อนจะสั่งให้ปี้อวี้และหัวหน้าสาวใช้อีกคนนามเป่าจูไปส่งย่าหลานทั้งสองออกจากจวน

ครั้นเดินมาถึงข้างกำแพงกั้นหลังประตูใหญ่ กลับเห็นบ่าวชายเฝ้าประตูกำลังเปิดประตูรองฝั่งตะวันตก ค้อมตัวเชิญคนผู้หนึ่งเข้ามา

พอเจียงชิงหว่านเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นชัดเจนก็ยืนแข็งค้างอยู่กับที่ในทันที

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 03 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: